--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แกะรอย ณัฐวุฒิ-จตุพร-จักรภพ-วีระ โอนหุ้นโทรทัศน์แดง PTV 2 บริษัท 40 ล้านอุตลุตช่วงปี2550 ให้ใครบ้าง

แม้ว่า "เขาพลายดำรีสอร์ท" ใน อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช (แหล่งพักพิกของนายจตุพร พรมหพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ) ไม่มีชื่อของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเด็จการแห่งชาติ (นปช.)  ถือครองแม้แต่หุ้นเดียว 

กระนั้นมี 2 บริษัทที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวีระ มุสิกพงศ์ และ นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.เหล่านี้ร่วมกันถือหุ้น

นั่นคือ บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด และ บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด หรือทีวีของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งมีบทบาทในการขับเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงเมื่อ 2 ปีก่อน
  
ประการสำคัญหากเจาะลึกพบว่าทั้ง 2 บริษัทมีการผ่องถ่ายหุ้นอุตลุตกว่า 40 ล้านบาท กล่าวคือ 


1.บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2545 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ผู้ถือหุ้น 7 คน ประกอบด้วย นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า  15,000 หุ้น นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า นายอนกูล ก้องกูล นายชนินทร์ หวันกะมา  คนละ 10,000 หุ้น  นายวุฒิไกร ทองอ่อน 2,000 หุ้น นายเชิดศักดิ์ พงศ์เวตร  และนายสาวธัญรัตน์ พุทธสุข  คนละ 1,500 หุ้น  รวม 50,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท  (ดูตารางประกอบ) 

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2549 (ยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  นายจตุพร พรหมพันธุ์   และนายวีระ มุสิกพงศ์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่  โดยนายณัฐวุฒิถือ  20,000 หุ้น นายจตุพร  10,000 หุ้น นายวีระ   10,000 หุ้น  ขณะที่ นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า  นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า  นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร คนละ 2,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ

วันที่  18 มกราคม 2550 บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 45 ล้านบาท (จาก 5 ล้านบาทเป็น 50 ล้านบาท)   นายณัฐวุฒิได้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นเป็น  200,000 หุ้น (มูลค่า 20 ล้านบาท)  นายจตุพร  100,000 หุ้น (มูลค่า 10 ล้านบาท)  นายวีระ   100,000 หุ้น ขณะที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า  นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า  นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ได้เพิ่มสัดส่วนเป็นคนละ 25,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท  โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 นายจักรภพ เพ็ญแข ได้เข้ามาถือหุ้นบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด เป็นครั้งแรก โดยได้รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิ จำนวน 100,000 หุ้น เท่ากับ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร   นายวีระ และ นายจักรภพ ถือหุ้นเท่ากับคนละ 100,000 หุ้น (มูลค่าคนละ 10 ล้านบาท) ส่วนที่นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า  นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า  นายนิรันดร์ แก่นยะมูล และ นายเสกสรรค์ แก้วนพจิตร ถือครองหุ้นจำนวนเท่าเดิม คนละ 25,000 หุ้น

วันที่ 31 ตุลาคม 2550  บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง  นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 100,000 หุ้น รวม 200,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ

นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า  50,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 75,000 หุ้น)
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า  50,000 หุ้น  (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 75,000 หุ้น) 
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 90,000 หุ้น (จากเดิม 25,000 หุ้นเพิ่มเป็น 115,000 หุ้น)
และ นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์  10,000 หุ้น (นายอุกฤษฏฺ์ เข้ามาถือเป็นครั้งแรก อยู่บ้านเลขที่ 126 หมู่ที่ 3 ต.ทุ่งใส อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช)

ส่วนนายวีระ และ นายจักรภพ ถือครองหุ้นเท่าเดิมคนละ 100,000 หุ้น

วันที่ 15 มกราคม 2551 (รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯวันที่ 6 ก.พ.2551 นายจักรภพ เพ็ญแข เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯกำกับสื่อของรัฐ) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 คนคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้น 100,000 หุ้นไปให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี  อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 6 ต.อิสาณ อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ทั้งหมด

วันที่ 11 กันยายน 2551  (รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯวันที่ 25 ก.ย.2551) มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นอีกครั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นจาก 100,000 หุ้น เหลือ 20,000 หุ้น  อีก 80,000 หุ้นได้โอนไปให้ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้นายนิรันดร์เพิ่มสัดส่วนจาก 115,000 หุ้น เป็น 195,000 หุ้นวันที่ 6 กรกฎาคม 2552  (รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯวันที่ 22 ธ.ค.2551)  บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ซึ่งมีนายวีระ เป็นกรรมการ ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 40  ล้านบาท (จาก 50 ล้านบาทเป็น 90 ล้านบาท) แบ่งเป็น 400,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท  มีการกระจายให้ผู้ถือหุ้น 7 คน

นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า  จาก 75,000 หุ้น เพิ่มเป็น 135,000 หุ้น
นายสุชาติ ประเสริฐศรี จาก 100,000 หุ้น  เพิ่มเป็น 180,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์ จาก  20,000 หุ้น เพิ่มเป็น 36,000 หุ้น
นายนิรันดร์ แก่นยะมูล 195,000 หุ้น เพิ่มเป็น 351,000 หุ้น
นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร   จาก 25,000 หุ้น เพิ่มเป็น 45,000 หุ้น
นายอุกฤษก์ ชลสินธุ์ จาก 10,000 หุ้น เพิ่มเป็น 18,000 หุ้น 


2. บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จดทะเบียนวันที่  12 กุมภาพันธ์ 2550 ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท
วันที่ 4 มิถุนายน 2550 มีผู้ถือหุ้น 8 คน คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ  นายวีระ มุสิกพงศ์  นายจักรภพ เพ็ญแข  นายจตุพร พรหมพันธุ์  คนละ 10,000 หุ้น  นายนิรันดร์ แก่นยะมูล นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่าคนละ 2,500 หุ้น รวม 50,000 หุ้น มูลค่า หุ้นละ 100 บาท มีนายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นกรรมการ
    
วันที่ 31 ตุลาคม 2550  นายณัฐวุฒิและนายจตุพร ซึ่งถือคนละ 10,000 หุ้น รวม 20,000 หุ้น ได้ถอนการถือครองหุ้นทั้งหมด กระจายให้บุคคล 4 คนคือ นายนิรันดร์ แก่นยะมูล  จำนวน 10,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้น เป็น 12,500 หุ้น)   นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า และ นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า  คนละ 5,000 หุ้น (จาก 2,500 หุ้นเป็น 7,500 หุ้น)


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2550  นายวีระได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น 1 รายคือขอเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2550  ใหม่คือนายนิรันดร์ แก่นยะมูล  ซึ่งที่ถือ 12,500 หุ้น ลดเหลือ 11,500 หุ้น อีก 1,000 หุ้นโอนให้ให้นายอุกฤษฏ์ ชลสินธุ์ 

วันที่ 31 มกราคม 2551 นายวีระ ได้หนังสือถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น1 รายคือ นายจักรภพ เพ็ญแข ได้โอนหุ้นให้นายสุชาติ ประเสริฐศรี ทั้งหมด


วันที่ 11 กันยายน 2551  นายวีระได้ลดสัดส่วนการถือครองหุ้นเหลือ 2,000 หุ้น ที่เหลือ 8,000 หุ้น ได้โอนไปให้นายนิรันดร์ แก่นยะมูล ทำให้มนายนิรันดร์มีสัดส่วนจาก 11,500 หุ้นเป็น 19,500 หุ้น

กระทั่งวันที่ 23 มกราคม 2552  หุ้นของนายนิรันดร์ แก่นยะกูล จำนวน 8000 หุ้น ได้โอนกลับมาให้นายวีระเหมือนเดิม ทำให้นายวีระมีสัดส่วนการถือหุ้นเป็น 10,000 หุ้น
       

กรณีดังกล่าวมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
นายณัฐวุฒิถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน 200,000 หุ้น (ขณะเพิ่มทุนในช่วงปี 2550 และยังไม่โอนให้บุคคลอื่น) มูลค่า 20 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท รวมมูลค่า 21 ล้านบาท


นายจตุพร ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด จำนวน  100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท


นายจักรภพ เพ็ญแข  ถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ช่วงปี 2550 (รับโอนมาจากนายณัฐวุฒิวันที่ 4 มิถุนายน 2550) จำนวน 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท , บริษัท พีทีวี ทีวีเพื่อประชาชน จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท


นายวีระ มุสิกพงศ์ ถือครอง บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท ,บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท   
กล่าวเฉพาะนายณัฐวุฒิ  ในช่วงนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ  มีตำแหน่งเป็นรองโฆษรัฐบาล บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มิได้เปิดเผยต่อสาธารณชน จึงไม่ใครทราบว่านายณัฐวุฒิแสดงทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.ว่ามีทรัพย์สินเท่าไหร่
   
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็น ส.ส.วันที่ 22 มกราคม 2551 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินฝาก 2,599,939 บาท  หนี้สิน เงินกู้ 2,750,112 บาท
 
นายจักรภพ เพ็ญแข  ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตอนเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ วันที่ 6 กุมภาพันธ์  2551 ระบุว่าทรัพย์สิน 10.3 ล้านบาท ไม่มีเงินลงทุน แต่มีเงินสดและเงินฝาก  1.1 ล้านบาท หนี้สิน 1.7 ล้านบาท


จากข้อมูลดังกล่าวย่อมต้องเกิดคำถามทันทีนอกจาก"ที่มา"ของเงินลงทุน 40-50 ล้านบาทของนายณัฐวุฒิ นายจตุพร และเครือข่ายแล้ว เงินที่ได้จากการขายหุ้น (ถ้าขาย) หายไปอย่างพิสดารได้อย่างไร?
    

                                         การถือครองหุ้น บริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด
25 ธ.ค.2549
18 ม.ค.2550  (เพิ่มทุนเป็น 50 ล้าน)
4 มิ.ย.2550
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า         2,500 หุ้น
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า         25,000 หุ้น
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า         25,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า        2,500 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า        25,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า        25,000 หุ้น
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ           20,000 หุ้น
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ           200,000 หุ้น
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ           100,000 หุ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์      10,000 หุ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์      100,000 หุ้น
นายจตุพร พรหมพันธุ์      100,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์             10,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์             100,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์             100,000 หุ้น
นายนิรันดร์  แก่นยะกูล     2,500 หุ้น
นายนิรันดร์  แก่นยะกูล     25,000 หุ้น
นายนิรันดร์  แก่นยะกูล     25,000 หุ้น
นายเสกสันต์  แก้วนพจิตร    2,500 หุ้น
นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร   25,000 หุ้น
นายเสกสันต์ แก้วนพจิตร   25,000 หุ้น


นายจักรภพ เพ็ญแข       100,000 หุ้น


31 ต.ค.2551
15 ม.ค.2551
11 ก.ย.2551
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า         75,000 หุ้น
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า         75,000 หุ้น
นายณรงค์ศักดิ์ คำเก่า         75,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า        75,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า        75,000 หุ้น
นายอนันต์ศักดิ์ คำเก่า        75,000 หุ้น
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ           -
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ           -
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ           -
นายจตุพร พรหมพันธุ์      -
นายจตุพร พรหมพันธุ์      -
นายจตุพร พรหมพันธุ์      -
นายวีระ มุสิกพงศ์             100,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์             100,000 หุ้น
นายวีระ มุสิกพงศ์             20,000 หุ้น
นายนิรันดร์  แก่นยะกูล     115,000 หุ้น
นายนิรันดร์  แก่นยะกูล     115,000 หุ้น
function BackPage() {history.back();}
-->

ที่มา.มติชนออนไลน์
*****************************************************************************

เมื่อการขายรองเท้าแตะกล่ายเป็น “อาชญากรรมร้ายแรง” ในประเทศไทย

 

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ตำรวจได้จับกุมนายมด (นามสมมุติ) นักเรียนมัธยมปลายที่ขายรองเท้าแตะลายพิมพ์คล้ายหน้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยตำรวจอ้างว่านายมดกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 ที่ระบุว่า “ผู้ใดในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัลกระทำ ด้วยประการใด ๆ อันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่นหรือกระทำให้ผู้อื่น ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน หนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”

การจับกุมในลักษณะดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก โดยเมื่อวันที่ 3ตุลาคม น.ส.อมรวัลย์ เจริญกิจ แม่ค้าขายรองเท้าแตะลายพิมพ์คล้ายหน้านายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยถูกจับกุมที่ จ.อยุธยาภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคง แม้ว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจ.อยุธยา จะถูกยกเลิกแล้วก็ตาม

นายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ออกมาสนับสนุนการจับกุมดังกล่าวว่าการขายรองเท้าดังกล่าวเป็นเรื่องที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

หลายคนคงอยากถามเจ้าหน้ารัฐและนายไพบูลย์ วราหะไพฑูรย์ว่าการที่กลุ่มอำมาตย์ส่งมือปืนซุ่มยิงไปยิงผู้ชุมนุมที่ปราศจากอาวุธ พยาบาลอาสา นักข่าวและประชาชนผู้บริสุทธิ์ รวมถึงจับกุมคุมขังและคุกคามฝ่ายตรงข้าม เป็นการข่มเหงรังแกผู้อื่น และละเมิดสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือไม่ หากใช่เหตุใดผู้บ่งการยังลอยหน้าลอยหน้าลอยนวลอยู่ หรือพวกท่านเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามหรือคนที่คิดต่างจากท่าน “ไม่ใช่มนุษย์”?

ที่มา:

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"ต้องเปิดพื้นที่ความรู้ สร้างกลไกเชิงซ้อนตรวจสอบถ่วงดุล"

รัฐบาลเอาใจกลุ่มทุน ผลักภาระให้คนจน ยังเชื่อตลาดทำงานดี คนก็จะดีขึ้น...ไม่มองความขัดแย้งเป็นตัวแก้ปัญหา ต้องไม่ผูกขาดความรู้แค่สถาบันศึกษา

ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เสนอผลการศึกษา "พื้นที่ความรู้และกลไกเชิงซ้อนในจินตนาการใหม่ของสังคมเปลี่ยนผ่าน" ต่อ สภาวิจัยแห่งชาติ และนำเสนอในหลายเวที “กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” สัมภาษณ์หามุมมองต่อสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบัน

ปัญหาปัจจุบันเกี่ยวเนื่องจากอะไร เพราะขัดแย้งทางชนชั้นหรือเปล่า
ไม่ใช่ สังคมไทยเข้าสู่ระบบโลกาภิวัตน์มากขึ้น เราเปิดตลาดอะไรต่าง ๆ เกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมจากเกษตรกรรมฐานที่ดิน มาเป็นเกษตรพึ่งพาทุนอย่างมาก การปรับโครงสร้างนี้ผลตามมาได้เกิดคนกลุ่มใหม่ ๆ มากขึ้น กลุ่มคนที่เรามองไม่เห็น เมื่อก่อนเราเรียกชาวนาก็ใช่ เรียกคนงานก็โอ เค แต่เดี๋ยวนี้ชาวนาเหมือนกัน แต่เป็นชาวนาตามพันธะสัญญา คุณเป็นเจ้าของที่ดินคุณก็เป็นชาวนา แต่การทำงานตัวคุณเป็นเหมือนคนงาน นอกจากนี้ยังมีคนงานผลัดถิ่นจากต่างประเทศ คนกลุ่มน้อยไร้สัญชาติในประเทศ

คนเหล่านี้เราอาจเห็น แต่เราไม่รู้จัก ในเมื่อโครงสร้างเปลี่ยนคนเหล่านี้ก็ไม่สามารถได้รับผลพวงประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเต็มเม็ดเต็มหน่วย นอกจากไม่ได้ประโยชน์หรือได้น้อยไม่พอ พวกเขายังถูกผลักภาระความเสี่ยงให้ทั้งหมดตามระบบพันธะสัญญา ตัวอย่างชัดเจนเมื่อไหร่บริษัททำกำไรได้ คนกลุ่มนี้ก็ได้บ้างไม่มาก แต่เมื่อไหร่เกิดความเสี่ยงพวกเขาจะถูกผลักภาระความเสี่ยงมาทั้งหมดเลย นอกจากนี้ก็มีความเสี่ยงหลายรูปแบบ ยกตัวอย่าง มาบตาพุด ชาวบ้านรับเคราะห์กรรม นั่นคือกลไกกำกับความสัมพันธ์บริษัทกับชุมชนมันไม่มีเลย

พันธะสัญญาแบบนี้พูดถึงแต่ตัวเลขตอบแทนใช่ไม่ แต่ไม่ระบุปริมาณปล่อยของเสีย การรับผิดชอบ
เราไม่มีกติกาทางสังคมต่อกรณีไง ปล่อยให้บริษัทใช้อำนาจมากมารุกรานวิถีชีวิต ชาวบ้านเองก็ต้องพึ่งทุนมากขึ้นไง ถ้าโอพะเรทกันแบบเดิมมันก็ได้(เสียงสูง) แต่ไม่เพียงพอ ลูกหลานเขาไม่มีที่เรียนทำไง ไม่สามารถอยู่ในชุมชนตัวเองได้อย่างมีความสุขทำไง เพราะเราปล่อยให้กลไกตลาดมีอำนาจมากเกินไป

กลุ่มคนล่องหน สังคมไม่เห็นหัวเขาเหล่านี้ ได้ต่อสู้กับทุนนิยมเสรีนิยมใหม่ เพื่อพวกเขาเองอย่างไรบ้าง
เขาต่อสู้เชิงตั้งรับไง เช่นชะลอการขายผลผลิต ก็แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่มาถึงจุดหนึ่งมันออกมาในรูปการชุมนุมไปอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดง เราก็งงมาก มาได้ยังไง
0 37 ปีเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 มาถึงขบวนการเสื้อแดง มีทั้งกลุ่มคนที่มองไม่เห็นสถานะ และกลุ่มคนรุ่น 14 ตุลาไปรับใช้อำนาจทุน อำนาจรัฐ ก่อความรุนแรง เป็นปรากฏการณ์ชั่วคราวที่ชูทักษิณหรือไม่

คนรุ่นนี้มีการเสพข่าวสาร รู้ข้อมูลมากขึ้น แต่ก็เป็นปัจเจกมากขึ้น การรวมตัวต่อสู้ต่อรองก็ยังน้อย ดังนั้น คนเหล่านี้จึงเลือกจะรวมกลุ่มที่สามารถไปต่อรองกับอำนาจรัฐได้ บางคนถือโอกาสเข้าไปในกลุ่มเสื้อแดงสายคุณทักษิณ เพื่อสร้างอำนาจต่อรอง เหล่านี้ผมเรียกว่าปัญหาอัตลักษณ์ ปัญหาตัวตน คนมองไม่เห็นเขา การใส่เสื้อสีอะไรจึงเป็นการแสดงสัญลักษณ์ พวกเขามีข้อมูลข่าวสารก็เอามาบอกให้สังคมได้รู้จักในนามของสีเสื้อ

ไม่นานมานี้ มีวิจัยสาเหตุขัดแย้งโดยเฉพาะเสื้อแดง ว่าไม่ใช่มีสาเหตุจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ แต่เกิดจากความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ถูกกระทำ 2 มาตรฐาน เป็นจริงหรือแค่ปรากฏการณ์
ความเหลื่อมล้ำมีหลายลักษณะ ไม่ใช่แค่จนกับรวย การพูดแค่นี้เป็นลักษณะคู่ตรงข้าม เป็นการพูดแบบลดรูปให้เหลือแค่ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การกระจายรายได้ยังไม่ดีพอ ส่วนใหญ่คิดกันอย่างนี้จริง ๆ มันเป็นความขัดแย้งเชิงซ้อน เช่น คนเข้ามาสร้างความเจริญในพื้นที่ก็จริง แต่มองไม่เห็นหัวคนที่นั่น อะไรๆ ก็ไม่ได้ด้วย คือเขาไม่ได้อย่างที่เขาคิดว่าจะได้นะ นี่คือเรื่องสิทธิ

เสื้อแดงไม่ได้สิทธิในแง่ไหน
เรื่องเสื้อแดงนี่ผมไม่รู้ ที่ไปสัมภาษณ์มาเป็นเพียงเฉพาะหน้า ไม่มีบริบทอื่นประกอบ งานวิจัยจะอ้างว่า เขาต้องการสิทธิในการเลือกตั้ง สิทธิในการเลือกผู้นำเอง ซึ่งอันนี้ก็เป็นการลดรูปเรื่องสิทธิให้เหลือแค่นั้น เราต้องดูโครงสร้างด้วยหมายถึงอะไร ที่ทำมาเป็นแค่ปรากฏการณ์ แก้ไม่ได้

ปัญหาอยู่ที่นักวิชาการด้วยไหม หยิบมาขยายต่อให้ใหญ่โต
ในเมื่อพูดแค่ปรากฏการณ์ ซึ่งก็ไม่ผิด เพราะมันถูกแค่ปรากฏการณ์ คือมีปัญหาอื่น ๆ อีกคุณไม่พูด พูดนิดเดียว มันก็ไม่ผิด เราก็ไม่เถียง แต่ไม่ได้บอกปัญหาอย่างนี้มีความเป็นมาอย่างไร ภายใต้โครงสร้างอย่างไร มีเงื่อนไขอะไรทำให้เป็นอย่างนี้ ที่ผมพยายามบอกคือปัญหาเรื่องตัวตน ปัญหาเรื่องสิทธิ และปัญหาเรื่องความรู้ 3 อย่าง

พัฒนาการสังคมมาถึงจุดที่ วัด บ้าน โรงเรียน ช่วยแก้ปัญหาชุมชนไม่ได้แล้วหรือ
มาบตาพุด วัด บ้าน โรงเรียนจะไปแก้ยังไง เป็นปัญหาต้องรับความเสี่ยง นี่แหละที่ว่าไปทำพันธะสัญญาแล้วโรงงานก็ผลักภาระให้ชุมชนต้องรับผิดชอบเอง แล้วจะแก้อย่างไง พวกคุณอยู่ในความสัมพันธ์แบบใหม่ แต่ไปใช้โครงสร้างเก่า กลไกเก่ามาแก้ได้ยังไง เออถ้าผัวเมียตีกันอย่างนี้ โอ เค วัดบ้านโรงเรียน พอได้ (หัวเราะ)

กลไกใหม่คืออะไร อย่างไร
กลไกหลัก ๆ คือการตรวจสอบถ่วงดุลตลาด นี่พูดรวม ๆ เช่นอะไรบ้าง กลไกภาษีที่ดิน ภาษีทรัพย์สิน ภาษีมลพิษหรือกลไกเพื่อการใช้ เช่นนายทุนมาซื้อที่ดินเป็นเจ้าของจะทำอะไร ต้องถามชุมชนที่จะถูกผลกระทบก่อน พูดง่ายๆ หลักการเชิงซ้อนนำไปสร้างกลไกเชิงซ้อนเพื่อตรวจสอบถ่วงดุลให้เกิดความเป็นธรรม เกิดความสงบสุขในสังคม

คณะกรรมการสี่ฝ่ายแก้ปัญหามาบตาพุดล่ะ
อันนี้ไม่ใช่กลไกเชิงซ้อน ไม่ใช่มาตรการเคลื่อนไหวทางสังคม ต้องให้ท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนร่วมมากที่สุด จะพูดว่ากระจายอำนาจก็ได้ แต่พูดมาจนเบื่อแล้ว ผมมาพูดใหม่บ้างคือจัดการการใช้อำนาจเชิงซ้อน เป็นคอนเซ็ปท์ ส่วนจะเป็นแบบไหนมาคุยกัน ไม่ใช่ปล่อยให้ใครรวบหัวรวบหาง ตั้งอะไรขึ้นมา

ถามย้ำอีก ทักษิณเป็นเงื่อนไขสำคัญ หรือเป็นแค่ตัวแปรในความขัดแย้งครั้งนี้
ทักษิณเป็นเพียงแค่ปลายของภูเขาน้ำแข็ง ประเทศเราสะสมปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำมานาน ละเลยคน ละเลยเรื่องตัวตน ละเลยเรื่องสิทธิ ละเลยเรื่องความรู้ คิดว่าการปฏิรูปอย่างเดียวจะแก้ปัญหาได้หมด ทั้งที่มีความรู้หลายรูปแบบ แต่ไม่นำความรู้นั้นมาสังเคราะห์หรือมาผสมผสานใหม่ให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ พูดง่าย ๆ เป็นปัญหาทางโครงสร้าง เรามาติดปลายเหตุที่ทักษิณ ผมจึงพยายามดึงมาหาปัญหาโครงสร้าง โอเคพูดปรากฏการณ์ก็ไม่ผิด แต่จะบอกว่าเลือกตั้งอย่างเดียวแล้วปัญหาจบ มันไม่ได้ ทักษิณตอนอยู่ในอำนาจก็ไม่เห็นทำเรื่องพวกนี้เลย ผมพูดกับทักษิณตั้งหลายที ไม่เห็นมันทำ...อะไร

ทักษิณก็เป็นทุนนิยมเสรี รัฐบาลปัจจุบันก็เป็นทุนนิยมเสรี แล้วต่างกันยังไง มีจุดแยกแค่เรื่องทุจริตภาษีหรือ
ชูประชานิยมเหมือนกัน

มองนโยบายรัฐบาลนี้ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยไหม
ยังไม่พยายามทำเรื่องกำกับตลาด ที่ทำคือเอาใจกลุ่มทุน ผลักภาระให้คนจน ที่พูดกันมานับสิบปีแล้ว คือโฉนดชุมชน เพราะสังคมใหม่ ฐานไปอยู่ที่ทุน ไม่ใช่อยู่ที่ดิน หรือแลนด์เบส อีกแล้ว ฐานโครงสร้างมันล้ำเข้ามาเรื่องทุนขนาดนี้แล้ว ถ้าจะแก้แค่นี้ก็ไม่ผิด ก็ดี แต่ยังน้อยเกินไป คือเขาคิดว่าปล่อยให้ทุนมันดีขึ้นกว่านี้ ให้ตลาดทำงานดีกว่านี้ คนก็จะดีขึ้น เขายังเชื่อแบบเดิม เมื่อไม่ได้กำกับทุนก็จะมีปัญหามากขึ้น เพราะเรื่องสิทธิ เรื่องกฎหมายยังไม่ได้แก้

กฎหมายที่ออกจากสภา กลไกใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไร
ศาลมีปัญหามาก เพราะยังใช้หลักคิดเชิงเดี่ยว เช่นเรื่องป่า กรมป่าไม้มีอำนาจ ใครมีอำนาจ อำนาจอยู่ที่ใครคนนั้นถูก ใช้ไม่ได้ จะฝากอำนาจไว้กับแค่คนกลุ่มเดียวไม่ได้ ยกตัวอย่างผมไปออสเตรเลีย เพื่อนผมเขาบอกวันนี้ต้องไปพิพากษาคดีชาวอะบอริจิน คือศาลที่นั่นเขาจะมีนักวิชาการมานุษยวิทยาไปร่วมพิจารณาตัดสินด้วย คนวัฒนธรรมแตกต่างจะใช้กฎหมายเดียวไปยัดเยียดให้เขาผิดไม่ได้

อเมริกาเมื่อเกือบร้อยปีมาแล้ว ออกกฎหมาย Public Accommodation Law คนผิวสีจะไปพักโรงแรม เจ้าของโรงแรมคนผิวขาวไม่ยอมให้พัก กฎหมายนี้จึงกำหนดว่าถึงแม้เป็นเจ้าของโรงแรมก็จริง แต่ไม่มีสิทธิปฏิเสธผู้ใช้บริการ ไม่สามารถบังคับสิทธิได้สมบูรณ์เบ็ดเสร็จ กฎหมายเปิดให้สังคมสามารถบังคับสิทธิซ้อนทับลงไปได้อีกด้วย

ชาวเขาทำไร่หมุนเวียน พวกเราไปเรียกไร่เลื่อนลอย ถูกจับ แต่ปลูกยางพาราในพื้นที่เดียวกัน ไม่จับ ยางพารามันเป็นนโยบาย มันสร้างรายได้ ชาวเขาปลูกข้าวไว้กินมันไม่สร้างรายได้ ไร่หมุนเวียนเขาทำมาเป็นพันปี แต่คนเมืองไม่ยอมรับความแตกต่าง เขาทำไร่แบบนั้น ไม่ใช่กฎเกณฑ์ของคนเมือง ดังนั้น ถ้าคุณไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของเขาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ใหญ่แล้วจะอยู่กันได้อย่างไร ในสังคมไทยมีกฎเกณฑ์ตั้งหลายอย่างสลับซับซ้อน แต่พูดลดรูปเหลือแค่กฎหมายที่บัญญัติเท่านั้น

ศาลแรงงานก็มีผู้พิพากษาสมทบจากคนภายนอก ศาลครอบครัวเด็กและเยาวชนก็มีคนนอกมีประสบการณ์มาร่วมตัดสินด้วย เป็นเชิงซ้อนหรือยัง
เป็นความพยายามที่จะมีหลายศาลเท่านั้น แต่ก็เป็นกฎหมายเดียว เอาเฉพาะที่เป็นตัวกฎหมายมาตัดสิน

เรื่องความขัดแย้งที่เชียงใหม่ รุนแรง นักวิชาการที่นั่นเตือนๆ บ้างไหม
เรื่องพวกนี้ผมไม่ค่อยรู้จริง และก็มีการช่วงชิงข้อมูลกัน ป้ายกันไปป้ายกันมา ไม่รู้ความจริงหรืออะไร พูดง่ายๆ อย่าไปตกเป็นเครื่องมือของใคร โอเคเห็นด้วยคนถูกฆ่าก็จะต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา ผมเองก็ถูกอ้างชื่อด้วยกับยุบสภา แต่ผมไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่อง มันแค่ประเด็นเดียว ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยกับแนวทางพวกเคลื่อนไหว เพราะหลายๆ อย่างไม่ตรงกับเราคิด เช่นหลายๆ เรื่องที่รัฐบาลฝากให้บางคณะดูแล

คณะกรรมการปฏิรูป สมัชชาปฏิรูป คณะกรรมการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรง เป็นแค่รัฐบาลฝากงาน
เป็นเรื่องที่ฝ่ายกล่าวหารัฐบาล ๆ ก็พยายามหาอะไรมาถ่วงเวลาหรือซื้อเวลาอะไรก็แล้วแต่ เรื่องปฏิรูป สังคมมักคิดว่าได้คนมีความรู้เข้ามาจะแก้ได้ อย่างเก่งก็จัดรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น ต้องถามว่าปฏิรูปอะไร ตั้งขึ้นมาแล้วเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงกัน และมีการเคลื่อนไหวทางสังคม

กังวลเรื่องระเบิดบ่อยๆ ไหม
ไม่กังวล เป็นข่าวประจำวันแล้ว เป็นการสร้างสถานการณ์ก็ได้ ผมอยู่กับงานวิจัย เรื่องที่ไม่รู้ ไม่อยากพูด

เห็นข้อดีของความขัดแย้งในสังคมไทยในช่วงนี้บ้างไหม
ความขัดแย้งครั้งนี้ไปในทางไม่ค่อยดี ซึ่งมันน่าจะดีได้ แต่ไม่รู้เพราะอะไร อาจเป็นที่หมู่แกนนำ ค่อนข้างวิเคราะห์สังคมพลาด แกนนำเองก็มีปัญหาซับซ้อน บางคนนำพาไปเรื่องรัฐชาติ พรมแดน ชนชั้น ติดกับมัน ปวดใจจริงๆ โลกไร้พรมแดนมากขึ้น เสียดายในสังคมตั้งเยอะแยะมองเห็นแค่ไม่กี่คน เสียดายสังคมมองความขัดแย้งเป็นปัญหา ไม่มองความขัดแย้งเป็นตัวแก้ปัญหา สังคมที่ถูกครอบงำความรู้ พูดตามๆ กันมากกว่าจะพูดจากสติปัญญา ดังนั้นจะต้องไม่ผูกขาดความรู้แค่ในสถาบันการศึกษา ทุกคนลดรูปความเป็นจริงลง ทุกอย่างจึงบิดเบี้ยวไร้สติ เราเลยอ่อนด้อยสติปัญญา ขาดความสามารถจะต่อกรกับปัญหาได้ แทนที่จะใช้ความขัดแย้งมาสร้างสรรค์ ช่วยกันเสนอประเด็นปัญหาเพื่อสร้างสถาบันหรือกลไกเผชิญในโลกสมัยใหม่ ที่ผ่านมาพูดแต่เรื่องรูปแบบ เรียกร้องระบบประชาธิปไตยก็แค่รูปแบบ

คณะกรรมการปฏิรูปประเทศทำอยู่พอไหวไหม
ไม่พอ ยังวิเคราะห์สังคมแบบ 20 ปีที่แล้ว ควรจะทำเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาทำตอนนี้ถือว่าน้อยไป

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ

คลิปร้อนๆ

ร้อนฉ่าจนควันขึ้นไปทั้งแวดวงการเมือง และวงการศาลหลัง 'คลิป' ลับ 5 ชุดรวดเผยแพร่ออกมา ซึ่งหาดูได้จากเว็บไซต์ 'ยูทูบ' และอื่นๆ ที่ส่งกันแพร่หลาย

คลิปที่กำลังเป็นเรื่องคือการพบปะระหว่าง นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในทีมกฎหมายสู้คดียุบพรรค กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ เลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ

อันเป็นศาลที่ทำหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ในขณะนี้

คลิปอีกชุดเป็นการหารือกันของ 'ตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญ' เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ตัวละครในคลิปออกมาชี้แจงแถลงไข ในรูปแบบแตก ต่างกันไป

คลิปแรกนายวิรัช อ้างว่าถูกหลอกล่อให้ไปปรากฏตัว แต่ภายหลังยอมรับว่าเคยพบปะกับนายพสิษฐ์ หลายครั้ง และอ้างว่าทำไปเป็นการส่วนตัว!?

ถึงจะอ้างว่าไม่ได้คุยกับเรื่องยุบพรรค แต่สังคมมีสิทธิ์ระแวงเช่นกัน

เพราะคนหนึ่งเป็นเลขาฯ ประธานศาล อีกคนเป็นทีมกฎหมายของจำเลย

หากเปรียบกับศาลอื่น เช่น ศาลอาญา เกิดเลขาฯ ของผู้พิพากษา นัดพบปะกับทนายจำเลยในคดีที่ผู้ พิพากษาท่านนี้กำลังพิจารณาอยู่

ต่อให้เป็นเพื่อนกันมาก่อน หรือรู้จักมักคุ้นและไม่ได้คุยในเรื่องคดีก็ตาม

คำถามเรื่องความเหมาะ ความควร ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน

ส่วนเรื่องคลิปการหารือของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการจะให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต. มาเป็นพยาน ไม่ขอก้าวล่วงเพราะล่าสุดตุลาการศาลรัฐธรรมนูญตัดนายอภิชาต ออกจากพยานแล้ว

แต่ต้องอธิบายความสำคัญของนายอภิชาต ว่าเป็นบุคคลที่ไม่เห็นชอบให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ มาตั้งแต่แรก

ซึ่งทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ใช้ความเห็นของนายอภิชาต ในฐานะประธานกกต. มาเป็นแนวทางต่อสู้คดี

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจกับคลิปที่เผยแพร่ออกมา คือท่าทีของผู้เกี่ยวข้องทั้งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาล รวมไปถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ดูเหมือนไม่มีใครใส่ใจหาข้อเท็จจริงว่า มีการกระทำที่ไม่เหมาะสมตามที่ปรากฏในคลิปหรือไม่ หรือมีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่จะหาทางหนีทีไล่เพื่อช่วยเหลือ 'จำเลย' จริงหรือไม่

แต่กลับพยายามเล่นงานผู้เผยแพร่คลิป และลากโยงว่าต้องการถล่มไปถึงคนโน้น คนนี้

ในเบื้องลึกเบื้องหลังผู้เผยแพร่คลิปอาจมีความต้องการเช่นนั้นจริงๆ

แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคลิปนี้ก็มีอยู่จริงเช่นกัน!?

ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
คอลัมน์ เหล็กใน

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2553

จุดเริ่มของจุดจบ...

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ กล่าวถึงกรณีข่าวจะมี 3 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวจากองค์คณะในการวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อให้คดีไม่สามารถตัดสินได้ว่า ทำไมถึงต้องทำขนาดนั้น และขอให้ 3 ตุลาการคิดให้ดี เพราะถ้ามีการถอนตัวจริงอย่างที่เป็นข่าวตนเป็นห่วงว่าจะทำให้องค์กรศาลเสื่อมเสียยิ่งแย่ลงไปอีกถึงขั้นเกิดวิกฤตตุลาการครั้งใหญ่ในประเทศไทยเลยทีเดียว

รศ.อัษฎางค์ กล่าวว่า “ผมคิดว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่ 3 ตุลาการจะต้องถอนตัวจากองค์คณะในการตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เลย และถ้าถอนตัวจริงจะยิ่งทำให้ปัญหาวิกฤตตุลาการบานปลายออกไป และสะท้อนให้เห็นว่า องค์กรศาลไม่เป็นเอกภาพ ทั้งๆที่ความจริงสถาบันศาลจะแบ่งเป็นค่ายไม่ได้ ต้องยึดระบบของตัวเองเป็นหลัก และเมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไข”

ขณะนี้ถึงเวลาที่จะต้องมีการสังคายนาองค์กรศาลครั้งใหญ่ เพราะขาดความเชื่อถือจากประชาชน โดยจะต้องมีการปรับปรุงไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงสร้างและที่มาในการคัดเลือกตุลาการ เพื่อให้ปลอดจากการเมืองอย่างแท้จริง ส่วนกรณีที่ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญปลดนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ พ้นจากเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตนคิดว่า ประธานศาลรัฐธรรมนูญต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วย เพราะเป็นคนที่แต่งตั้งนายพสิษฐ์เป็นเลขานุการรวมทั้งจะต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่า มีส่วนรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่

รศ.อัษฎางค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ผมคิดว่า สถานการณ์ขณะนี้มีธงเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยคือ จะต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความเห็นของ กกต. ที่ได้มีมติ 5 ต่อ 0 ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไปก่อนหน้านี้และส่วนตัวก็คิดว่า หวยน่าจะออกให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ตัวบุคคลอาจไม่โดน เพราะนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต้องยอมรับว่า มีผู้อยู่เบื้องหลังที่ให้การสนับสนุนแข็งมาก” รศ.อัษฎางค์กล่าว

เรื่องราวมหากาพย์การเมืองกรณียุบพรรคประชาธิปัตย์นี้ หากมองกันด้วยหลักฐานที่ปรากฏชัดจากคำให้การของนายประจวบ สังข์ขาว คนเก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์เอง รวมถึงการสืบพยานที่แสดงให้เห็นถึงการทำนิตกรรมอำพลาง หรือแม้แต่ข้อผิดพลาดจากการให้เบิกความของแม่ทัพคนปัจุบันของประชาธิปัตย์อย่างนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ที่ยอมรับสารภาพกลางศาลว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างทำป้ายหาเสียงเมื่อเดือนมกราคมปี 2548 จริง ทั้งๆที่การจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปี 2547 เรียกได้ว่าเป็นการโกหกคำโตกลางศาลก็ว่าได้สอดรับกับข้อกล่าวหาทำนิติกรรมอำพลางและใช้เงินอุดหนุนพรรคการเมืองผิดประเภทเข้าอย่างจัง และที่สำคัญไปกว่าเรื่องนั้นคือลักษณะการเบิกความของนายอภิสิทธิ์ ตั้งแต่ต้นจนจบเป็นการตั้งสมมุติฐานว่าจะเป็นเช่นนั้นหรือออกแนวใช้สำนวนเชื่อได้ว่ากันเป็นสิบๆครั้ง แต่ทุกข้อกล่าวอ้างที่นายอภิสิทธิ์ ใช้เบิกความนั้นกลับไร้ซึ่งหลักฐานใดๆมาสนับสนุนคำให้การแม้แต่เรื่องเดียว

พูดมาถึงตรงนี้ก็คงต้องบอกได้เลยว่าหากศาลยังคงมีสำนึกและรักษาไว้ซึ่งความเป็นธรรม เป็นตาชั่งเที่ยงตรง ประชาธิปัตย์คงเหลือเพียงชื่อในหน้าประวัติศาสตร์เป็นแน่ แต่อย่างที่เราท่านทราบกันดีด้วยพรรคนี้บารมีล้นเหลือจึงเกิดกระแสล้มคดี โดยการถอนตัวของ 3 ตุลาการอย่างที่ท่าน รศ.อัศฎางค์ได้ออกมาเตือนสติ เป็นทางรอดสุดท้ายของประชาธิปัตย์แต่อาจเป็นทางตายทางแรกของประเทศนี้ก็เป็นได้

ผมเชื่อเหลือเกินว่าหากวันนี้หลักฐานพร้อมมูล แต่ไม่ถูกลงโทษตามโทษานุโทษแล้วไซ้ บ้านเมืองที่เรียกว่าสยามเมืองยิ้ม ก็คงสิ้นลงไปพร้อมคำตัดสินที่ไร้ซึ่งความเป็นธรรมนั่นเอง

โดย.นักวิชาการลูกพ่อขุน

ปูดตุลาการถอนตัวลากยาวตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

อดีต ส.ว. ปูดได้ข่าวจะมีการพลิกเกมให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญถอนตัวจากการเป็นองค์คณะตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์อีก 3 คน เพื่อให้คดีนี้ค้างเติ่งไม่สามารถตัดสินได้เพราะองค์คณะไม่ครบ ระบุหากทำจริงสถาบันตุลาการพัง หมดความน่าเชื่อถือทันที ชี้กำลังมีความพยายามบิดประเด็นให้สังคมเข้าใจว่าการแอบถ่ายคลิปเป็นความผิด ทั้งที่ควรดูเนื้อหาในคลิปว่ามีการเจรจาล็อบบี้กันจริงหรือไม่ ตั้งข้อสังเกตทำไมรีบไล่ “พสิษฐ์” ออกทั้งที่เป็นกุญแจสำคัญที่จะไขความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลังคลิปฉาวตัวจริง ด้านเพื่อไทย-ประชาธิปัตย์เปิดศึกยื่นฟ้องกันแหลก ต่างกล่าวหาอีกฝ่ายทำให้เสียหาย “จรัญ” รูดซิบปากไม่พูดทุจริตสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาล อ้างไม่อยากทะเลาะ “จตุพร” ขณะที่ตุลาการเตรียมแถลงชี้แจงอีกครั้งวันนี้ (20 ต.ค.)

ท่ามกลางความสับสนเรื่องคลิปอื้อฉาวที่เป็นการสนทนากันระหว่าง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์กับอดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีผลเกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่

ปูดมีตุลาการ 3 คนจ่อถอนตัว

ล่าสุดนายพนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.จังหวัดตากและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกมาเปิดประเด็นใหม่เกี่ยวกับคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่าได้ข่าวจากวงในศาลรัฐธรรมนูญว่าจะมีตุลาการ 3 คนถอนตัวจากการเป็นองค์คณะพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไม่ให้ครบองค์ จะได้ยื้อเวลาตัดสินคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ออกไป

“ผมทราบมาว่าจะมีตุลาการ 3 คนขอถอนตัวจากคดีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้ถอนตัวไปแล้ว 1 คนคือ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ผมยังไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นอย่างไร แต่หากมีการถอนตัวเพิ่มจะทำให้ไม่สามารถพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปได้”

ลากยาวไม่ตัดสินคดียุบประชาธิปัตย์

นายพนัสคาดการณ์ว่า สาเหตุที่ต้องออกลูกนี้เพราะคงประเมินกันแล้วว่าไม่สามารถเดินหน้าต่อคดียุบพรรคได้ เพราะมีแรงกดันจากภายนอกมากเหลือเกิน หากเดินหน้าต่อไม่มีทางออกอื่นต้องยุบพรรคสถานเดียว จึงคิดใช้วิชามารให้ตุลาการถอนตัวออกจากการพิจารณาคดีเพิ่มเติม เพื่ออ้างว่าตัดสินคดีไม่ได้เพราะองค์คณะไม่ครบ หากเรื่องนี้เป็นจริงคงต้องดูว่าเขาเอาเหตุผลอะไรมาอ้างเพื่อถอนตัว เพราะตามปรกติหากไม่มีการยื่นคัดค้านตุลาการไม่มีสิทธิถอนตัว

ถ้าทำจริงก็พังหมดความน่าเชื่อถือ

“ถ้าจะเอากันถึงขนาดนั้นจริงก็พัง สถาบันตุลาการจะหมดความน่าเชื่อถือ ซึ่งจริงๆหมดความน่าเชื่อถือไปตั้งนานแล้ว เพราะข้างในกลวง เน่าเฟะมาก แต่คนข้างนอกไม่ค่อยรู้” นายพนัสกล่าวและว่า ทางออกของประเทศในขณะนี้ค่อนข้างมืดมน ที่พูดกันเรื่องการสร้างความปรองดองต่างๆความจริงเป็นไปไม่ได้ เพราะสถานการณ์มาไกลเกินกว่าที่จะปรองดองกันได้แล้ว และคงต้องวุ่นวายกันอีกหลายรอบ

นายพนัสกล่าวอีกว่า เรื่องคลิปวิดีโอที่ออกมาเป็นการล่อคนเสื้อแดง เพราะหากออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านก็จะเข้าทางเขา จะมีการปราบปรามคนเสื้อแดงอีก หรือไม่ก็อาจถึงขั้นยึดอำนาจ

เชื่อแพร่คลิปขุดบ่อล่อเสื้อแดง

“เป็นแผนขุดบ่อล่อปลา แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นแผนของใคร” นายพนัสระบุและว่า สิ่งที่ประชาชนอยากรู้ในตอนนี้คืออะไรคือข้อเท็จจริง เรื่องใครหลอกใครไปถ่ายคลิปไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือมีการล็อบบี้กันจริงหรือไม่ โดยเฉพาะการพูดว่าต้องการให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาศาล ซึ่งไม่ได้เป็นการพูดกันระหว่างนายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับนายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ อดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ เท่านั้น แต่ในที่ประชุมศาลรัฐธรรมนูญก็มีการพูดเรื่องนี้ด้วย

ให้ดูเนื้อหาล็อบบี้กันจริงหรือไม่

“การที่พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าใช้วิธีการชั่วช้าต่างๆเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะตำรวจก็ใช้วิธีล่อซื้อแบบนี้เพื่อดักจับผู้ร้าย สิ่งที่สังคมอยากรู้มากที่สุดคือ เนื้อหาการสนทนาในคลิปวิดีโอเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ มีการพูดเพื่อที่จะทำอะไร ส่วนคลิปที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีการประชุมเป็นเรื่องจริงหรือไม่ก็ไม่เห็นมีใครปฏิเสธ ขณะนี้มีการบิดประเด็นว่าเป็นการล่อไปแอบถ่าย การแอบถ่ายเป็นความผิด แต่ประเด็นจริงๆอยู่ที่สิ่งที่ถ่ายมาเป็นความจริงหรือเปล่ามากกว่า” นายพนัสกล่าว

ตั้งคำถามทำไมรีบตัดตอน “พสิษฐ์”

ส่วนกรณีที่ประธานศาลรัฐธรรมนูญไล่นายพสิษฐ์ออกจากเลขานุการนั้น นายพนัสกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวเหมือนเป็นการปิดปากพยานมากกว่า เพราะนายพสิษฐ์เป็นผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุด นายพสิษฐ์จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะบอกว่าใครเป็นคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ที่ศาลไม่ดำเนินการกับผู้นำคลิปที่อ้างว่าเป็นการล็อบบี้คดีไม่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์มาเผยแพร่เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นอาญาแผ่นดิน ตำรวจสามารถดำเนินการได้ทันที ไม่จำเป็นต้องให้ผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ

เชื่อคลิปฉาวไม่กระทบศาลรัฐธรรมนูญ

“ผมเชื่อว่าคลิปฉาวนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญในการพิจารณาคดี เพราะศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำ เป็นผู้ถูกละเมิด และเป็นผู้ถูกใส่ร้ายป้ายสี” นายจรัญกล่าว

ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ระบุว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 3 คนทุจริตสอบเข้าเป็นเจ้าหน้าที่ศาลนั้น นายจรัญปฏิเสธที่จะพูดถึงเรื่องนี้ โดยบอกว่า “ผมไม่อยากทะเลาะกับนายจตุพร”

ตุลาการเตรียมแถลงโต้ “จตุพร”

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเตรียมเปิดแถลงข่าวชี้แจงข้อกล่าวหาของนายจตุพรในวันนี้ (20 ต.ค.)

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตอบคำถามในเว็บไซต์ส่วนตัวที่มีคนโพสต์ถามเรื่องการตัดสินคดีของศาลรัฐธรรมนูญท่ามกลางกระแสกดดันว่า คนที่จะมาเป็นศาลรัฐธรรมนูญได้ย่อมมีเกียรติประวัติของตัวเองที่จะต้องรักษา และจะต้องรักษาความปราศจากอคติทั้งปวง

นอกจากนี้ยังระบุว่า การตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลมีกระบวนการอยู่แล้วคือ ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา หากให้ประชาชนไปตรวจสอบได้เองบ้านเมืองคงไม่มีขื่อไม่มีแป

“วิรัช” ยืนยันอีกครั้งไม่ได้นัดคุย

นายวิรัช ร่มเย็น ส.ส.ระนอง หนึ่งในทีมกฎหมายเพื่อต่อสู้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ปรากฏภาพในคลิปพูดคุยกับนายพสิษฐ์ ชี้แจงยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้เป็นคนนัดหมาย และเนื้อหาการพูดคุยที่นำมาเผยแพร่ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวกับการพิจารณาคดีของศาล ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าจะมีคลิปชุดสองออกมาอีกนั้นไม่มีปัญหา ทุกอย่างต้องพิสูจน์กัน หากเกี่ยวกับตนก็จะชี้แจง

ยอมรับคุย “พสิษฐ์” หลายครั้ง

ผู้สื่อข่าวถามว่าไปพบนายพสิษฐ์มากี่ครั้ง นายวิรัชยอมรับว่าหลายครั้ง แต่รอให้เขาเอาคลิปมาเปิดก่อนจึงจะชี้แจง

“ผมยืนยันว่ามีการวางแผนทำกันเป็นขั้นตอนเพื่อทำลายทั้งระบบ” นายวิรัชกล่าวพร้อมยอมรับว่า การไปรับประทานอาหารกับอดีตเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ละครั้งไม่ได้แจ้งให้นายชวน หลีกภัย หัวหน้าทีมกฎหมายต่อสู้คดียุบพรรค ทราบเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ซึ่งการไปทุกครั้งนายพสิษฐ์เป็นคนนัด ตนไม่ได้นัด ส่วนนายวรวุฒิ นวโภคิน ที่เป็นคนติดต่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์

ตำรวจรอคนเสียหายแจ้งความ

พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า เรื่องนี้ต้องมีคนร้องทุกข์กล่าวโทษตำรวจจึงสามารถเข้าไปดำเนินการได้ ส่วนคลิปที่นำมาเปิดไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ ต้องตรวจสอบจากต้นฉบับ

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคจะหารือกันวันที่ 21 ต.ค. นี้ว่าจะเข้าแจ้งความให้ดำเนินคดีกับผู้ที่เอาคลิปมาเผยแพร่หรือไม่

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อเท็จจริงเรื่องคลิป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ตั้งกรรมการสอบนายวิรัช โดยมอบหมายให้นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ เป็นประธาน ทำงานร่วมกับกรรมการอีก 5 คน

“มาร์ค” สั่งดำเนินคดีทุกคนที่กล่าวหา

“ประเด็นที่จะสอบคือสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีคนของพรรครู้เห็นเป็นใจหรือไม่ คาดว่าจะรู้ผลใน 7-15 วัน หากพบว่ามีคนของพรรครู้เห็นกับเรื่องนี้จะต้องได้รับโทษตามข้อบังคับพรรค” นายเทพไทกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์ได้สั่งการให้ไปประสานกับนายวิรัชยื่นฟ้องดำเนินคดีกับทุกคนที่ทำให้เกิดความเสียหาย ในส่วนของพรรคจะพิจารณากันวันที่ 21 ต.ค. หากเห็นว่าใครกล่าวหาให้พรรคเสียหายก็จะฟ้องดำเนินคดีด้วย

ไล่ “วรวุฒิ” พ้นกรรมาธิการ

ส่วนกรณีของนายวรวุฒิ นายเทพไทกล่าวว่า นายวิรัชได้ให้ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรแล้ว ขอยืนยันว่านายวรวุฒิไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และคนในพรรคก็ไม่มีใครรู้จักนายวรวุฒิ สำหรับกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะนำคลิปออกมาเผยแพร่อีกนั้น หากมีคนของพรรคเข้าไปเกี่ยวข้องจะตั้งกรรมการสอบในทุกกรณี

“พร้อมพงศ์” ฟ้อง ปชป. กล่าวหาเสียหาย

ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า วันที่ 20 ต.ค. นี้จะเดินทางไปที่กองปราบปรามพร้อมฝ่ายกฎหมายของพรรค เพื่อแจ้งให้ดำเนินคดีกับนายวิรัชข้อหาหมิ่นประมาทพรรคเพื่อไทย กรณีกล่าวหาว่าพรรคจัดฉากสร้างเรื่องถ่ายคลิปเพื่อทำลายองคมนตรี ตุลาการ และพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็นการกล่าวหาให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ และนักศึกษาด้านการพัฒนาระหว่างประเทศ ประจำสถาบันคอร์เนลล์เพื่อภารกิจของรัฐ (Cornell Institute for Public Affairs) มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ (Cornell University) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง คอการเมืองคิดอย่างไรต่อข่าวคลิปวิดีโอเกี่ยวข้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยสำรวจประชาชนในกรุงเทพฯและปริมณฑล 1,056 คน ระหว่างวันที่ 17-18 ต.ค. ที่ผ่านมา

คลิปฉาวฉุดคะแนนนิยม ปชป. ลด

ผลสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 52.2 ระบุว่าคลิปดังกล่าวทำให้คะแนนนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ลดต่ำลง ร้อยละ 47.8 เชื่อว่ายังมีความนิยมมากขึ้น นอกจากนี้พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เคยเป็นพลังเงียบร้อยละ 63.8 ระบุว่าชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์น้อยลงถึงไม่ชอบเลย ขณะที่กลุ่มให้การสนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 75.8 ยังชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ส่วนกลุ่มที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลร้อยละ 89.9 นิยมพรรคประชาธิปัตย์ระดับน้อยถึงไม่นิยมเลย

กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 54.0 ระบุว่าคลิปดังกล่าวกระทบต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม ร้อยละ 46.0 ระบุว่าไม่กระทบความเชื่อมั่น

ต่อข้อถามที่ว่าหากพรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบจะมีผลกระทบอย่างไร ร้อยละ 59.7 ระบุว่าการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจะไม่ต่อเนื่อง และบ้านเมืองจะเกิดความวุ่นวาย ร้อยละ 40.3 ระบุว่าไม่มีผลกระทบอะไร เพราะรัฐบาลไม่ได้มีผลงานอะไรชัดเจน

จาก:หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

ทำไมไม่มี..หนึ่งไทยแลนด์?

เมื่อมีหนึ่งมาเลเซีย
“หนึ่งมาเลเซีย ประชาชนมาก่อนและต้องทำเดี๋ยวนี้ยุคข้าราชการรู้ทุกเรื่องได้จบลงแล้ว”

นี่คือคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซีย ท่าน Mohd. Najib bin Tun Abdul Razak หรือเรียกตามสื่อต่างๆว่า ท่านนายกฯ นาจีบ ราซัค เมื่อท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของมาเลเซีย จึงจัดว่าเป็นศักราชใหม่ของการบริหารงานที่เน้นการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติและให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคน

>> มาเลเซียโมเดลเอกภาพคือพลัง

มาเลเซียเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเราที่มีประชากรราว 27 ล้านคน และมีคำขวัญประจำชาติ คือ Bersekutu Bertambah Mutu หรือ “ความเป็นเอกภาพคือพลัง” ทั้งนี้น่าจะเนื่องมาจากประเทศ มาเลเซียมีปัญหาประชากรหลากหลายเชื้อชาติ และในอดีตเคยเกิดสงครามกลางเมือง เนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ จึงต้องเน้นการรวมกันเป็นชาติ และมีเอกภาพเป็นสำคัญ

ประชากรส่วนใหญ่ของมาเลเซียเป็นชาวมลายู ร้อยละ 50.4 เรียกว่าเป็นชาวภูมิบุตร (Bumiputra) คือบุตรแห่งแผ่นดิน รวมไปถึงชนดั้งเดิมของประเทศ อีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ กลุ่มชนเผ่าในรัฐซาราวัก และรัฐซาบาห์มีอยู่ร้อยละ 11 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญของมาเลเซียนั้น ชาวมลายูนั้นคือมุสลิมและอยู่ในกรอบ วัฒนธรรมมลายู แต่ชาวภูมิบุตรที่ไม่ใช่ชาวมลายูนั้น มีจำนวนกว่าครึ่งของประชากรในรัฐซาราวักและรัฐ ซาบาห์

นอกจากนี้ ยังมีชนพื้นเมืองดั้งเดิมของคาบ สมุทรมลายูอีกกลุ่มหนึ่ง คือ โอรัง อัสลี ส่วนชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนมีร้อยละ 23.7 มีชาวมาเลเซีย เชื้อสายอินเดีย อีกร้อยละ 7.1 ของประชากร รวมทั้งยังมีกลุ่มชาวมาเลเซียเชื้อสายไทยอาศัยอยู่ใน รัฐทางตอนเหนือของประเทศ และมีคนเชื้อสายชวา และมินังกะเบาในรัฐทางตอนใต้ของคาบสมุทรอย่าง รัฐยะโฮร์ มีชุมชนลูกครึ่งคริสตัง (โปรตุเกส-มลายู) ที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และชุมชน ลูกครึ่งอื่นๆ อย่าง ฮอลันดา และอังกฤษส่วนมากอาศัยในรัฐมะละกา ส่วนลูกครึ่งเปอรานากัน หรือชาวจีนช่องแคบ (จีน-มลายู) ส่วนมากอาศัยอยู่ในรัฐมะละกา และมีชุมชนอยู่ในรัฐปีนัง

ประเทศนี้จึงมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ อย่างมาก

>> วาระผลัดใบประเทศ

สิ่งที่จะเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้คือ การที่มาเลเซีย กำลังปรับเปลี่ยนประเทศให้เข้าสู่ยุคใหม่ ยุคของความสมานฉันท์ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล ตลอดจนเสริมสร้างความซื่อตรงของคนในชาติ ที่เป็นนโยบายหลักของท่านนายกฯ นาจีบทำไมนายกฯ ท่านนี้จึงสนใจเรื่องนี้นัก เราลอง มารู้จักท่านสักเล็กน้อย

ท่านนายกฯ นาจีบเกิดวันที่ 23 กรกฎาคม 2496 ที่ปาหัง เป็นบุตรคนโตของอดีตนายกรัฐมนตรี อับดุล ราซัค (จากพี่น้อง 6 คน) เป็นหลานของท่าน ฮุสเซ็นออน นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของมาเลเซีย ท่านมีมรดกที่ดินมากมายในรัฐปาหัง จบปริญญาตรี จากอังกฤษทางด้านเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม ก่อนเข้าสู่การเมืองท่านเคยเป็นนักธุรกิจ เคยทำงาน กับธนาคารกลาง และบริษัทปิโตรแนส ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของมาเลเซีย ในฐานะผู้จัดการกิจการสาธารณะ ท่านเป็นทายาทนักการเมืองที่ ยิ่งใหญ่ ที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารธุรกิจ และมีทรัพย์สมบัติจากบรรพบุรุษมหาศาล แบบที่ไม่ ต้องไปแสวงหาอีกแต่อย่างใด

ท่านนายกรัฐมนตรีนาจีบพยายามลดความตึงเครียดทางการเมืองลงโดยในวันแรกที่ท่านเข้าทำงานได้ยกเลิกการห้ามออกหนังสือพิมพ์สองฉบับ ที่เป็นของผู้นำฝ่ายค้าน และปล่อยนักโทษที่ถูกจับตามกฎหมายความมั่นคง (บางคนเคยรณรงค์ต่อต้าน รัฐ) นอกจากนี้ ท่านยังมุ่งมั่นที่จะลดความยากจนของชาวมาเลเซีย ปรับโครงสร้างสังคมมาเลเซีย ขยายการเข้าถึงคุณภาพการศึกษาสำหรับทุกคน และส่งเสริมโครงการที่สนองความต้องการของประชาชนด้านการบริการสาธารณะ

>> ปฏิบัติการหนึ่งมาเลเซีย

โครงการแรกที่ดิฉันประทับใจและจะกล่าวถึง คือ “โครงการหนึ่งมาเลเซีย” หรือ “1 Malaysia” เป็นโครงการที่มีการรณรงค์อย่างกว้างขวางในขณะนี้ และมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ทั้งเป็นโครงการ ที่ประกาศโดยนายกรัฐมนตรีนาจีบเอง

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรี หน่วยงานของรัฐ และข้าราชการให้ความสำคัญกับการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว และมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ

โดยมีค่านิยมแปดประการของหนึ่ง มาเลเซีย คือ การมีมานะอุตสาหะ (perseverance) มีวัฒนธรรมของการมุ่งมั่นสู่ความเป็นเลิศ (a culture of excellence) การยอมรับกัน (acceptance) การมีความจงรักภักดี (loyalty) การศึกษา (education) การอ่อนน้อมถ่อมตน (humility) การมีความซื่อตรง (integrity) และการยึดมั่นในคุณงามความดีหรือมีระบบที่เชื่อในความสำเร็จด้วยตนเองที่ไม่ใช้สิทธิพิเศษ (meritocracy)

เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2551 หรือวันเดียวหลังจากประกาศโครงการหนึ่งมาเลเซีย ท่านนายกฯ นาจีบ ได้เปิดเว็บไซต์ www. 1Malaysia.com.my ท่านได้ใช้เว็บไซต์นี้ในการประชาสัมพันธ์นโยบายทางการเมือง และจัดให้มีเวทีสำหรับชาวมาเลเซียที่จะอภิปราย กันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของรัฐบาล โครงการหนึ่งมาเลเซียนี้ มีการใช้สื่อ สาธารณะอย่างกว้างขวาง รวมทั้งเฟซบุ๊ก และทวิตเตอร์

>> รัฐบาลจิ๋วแต่แจ๋ว

รัฐบาลของท่านนาจีบ กำลังดำเนินโครงการที่เป็นการปรับเปลี่ยนระบบการทำ งานของภาครัฐ ในการให้บริการที่ดีเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและให้มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น มีการใช้มาตรการต่างๆ และมีตัวชี้วัดมากมายที่จะแสดงถึงการทำงานที่มีประสิทธิภาพและมีการให้รางวัลหน่วยงานต่างๆ ด้วย นับเป็นช่วงเวลาที่มาเลเซียกำลัง ปฏิรูปตัวเองอย่างแข็งขัน เพราะชาวมาเลเซีย จะเข้าใจคำว่า หนึ่งมาเลเซีย หรือวันมาเลเซีย ได้อย่างดี เพราะหากอ่านตรงตัวก็คือ มาเลเซียเป็นหนึ่งเดียว แม้คนขับแท็กซี่ยังบอกว่า หนึ่งมาเลเซีย เป็นสิ่งที่จะทำให้มาเลเซียไปสู่ความ สำเร็จในเรื่องของการพัฒนาทางเศรษฐกิจและทุกๆ ด้านได้

ไม่เพียงเท่านั้น ยังสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชนมากมายภายใต้การจัดซื้อจัดจ้างที่เพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมมาก ขึ้น ทั้งในการพิจารณาและการแสดงความเห็น ต่อการใช้จ่ายเงินของรัฐบาล

ท่านนายกฯ นาจีบ ยังสัญญาที่จะทำ ให้รัฐบาลจิ๋วแต่แจ๋ว จึงยุบกระทรวงไปสองกระทรวง แต่สร้างกระทรวงพลังงาน เทคโนโลยีสะอาดและน้ำขึ้น แต่คณะรัฐมนตรีของเขามี รัฐมนตรีรวม 28 คนซึ่งน้อยกว่ายุคก่อนๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้นำพรรคของชาวจีนในมาเลเซียเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเอกภาพและการดำเนินการอีกด้วย แสดงถึงการยึดมั่น ในการลดความตึงเครียดทางเชื้อชาติและศาสนาอย่างเอาจริงเอาจัง

>> สร้างความเป็นหนึ่งอย่างบูรณาการ

อีกประการหนึ่งที่น่าชื่นชมคือการที่เขา รณรงค์ในการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว เป็นการรวมใจการสร้างการเป็นหนึ่งในทุกเรื่องทั้งการ ศาสนา กีฬา เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง และศิลปวัฒนธรรม เมื่อกลางเดือนสิงหาคม 2510 ที่ผ่านมา คณะนักวิชาการของสถาบันพระปกเกล้าไปศึกษาวิจัยที่กัวลาลัมเปอร์ จึงพบป้ายรณรงค์เรื่องหนึ่งมาเลเซียในด้านต่างๆ เต็มเมืองไปหมดคู่กับการประดับธงชาติที่สวยงามในอาคารต่างๆ ทั้งเอกชน สื่อมวลชน องค์กรต่างๆ และหน่วยงานราชการพากันขานรับเรื่องนี้ทั้งนั้น

แม้ในพิพิธภัณฑ์เองก็มีการจัดนิทรรศ การให้ความรู้เรื่องการพัฒนาด้านต่างๆ ของมาเลเซียทั้งก่อนและหลังการเป็นอาณานิคม การสร้างความเป็นเลิศด้านต่างๆ ได้แสดงให้ เด็กชม แม้กระทั่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเป็นนักบินอวกาศของวิศวกรหนุ่มรูปหล่อ การมีสนามแข่งรถ การค้นพบน้ำมัน และการ มีตึกที่สูงติดอันดับโลก เป็นต้น

>> แผนความซื่อตรงแห่งชาติ

สิ่งที่พลาดไม่ได้อีกเช่นกันคือการไปเรียนรู้เรื่องการทำแผนความซื่อตรงแห่งชาติ ซึ่งเป็นผลงานชิ้นโบแดงของผู้นำชาวมาเลเซีย ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันโดยเฉพาะในสมัยท่านมหาธีร์ เขาก่อตั้งสถาบันความซื่อตรงแห่งชาติ หรือ Malaysian Institute of Integrity (IIM) และทำงานขับเคลื่อนแผนความซื่อตรงแห่งชาติ โดยเฉพาะด้านการรณรงค์เรื่องความซื่อตรง ให้เป็นวิถีชีวิตของคนมาเลเซีย การศึกษาวิจัย การอบรมเผยแพร่เรื่องความซื่อตรงให้กับประชาชนทุกระดับตั้งแต่เด็ก นักเรียน นักศึกษา และข้าราชการ ตลอดจนเอกชน

รัฐบาลมาเลเซียสนับสนุนเรื่องนี้อย่าง จริงจัง จะเห็นได้จากอาคารที่เขาใช้ทำงาน เป็นอาคารเช่าในราคาไม่กี่พันบาท จัดว่าแทบ อยู่ฟรี และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เป้าหมายของการจัดทำแผนความซื่อตรง เพื่อการลดการทุจริต การประพฤติมิชอบ และการใช้อำนาจมิชอบ การเพิ่มประสิทธิภาพในการ ให้บริการสาธารณะ การลดการทำงานที่ล่าช้า ของราชการ การเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาคเอกชน และเสริมสร้างความซื่อตรงในสังคม และครอบครัว และการเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีการจัดตั้งสถาบันนี้ขึ้น และมีกรรมการมาจากหลายภาคส่วนในการมากำหนดนโยบายและการบริหารงานของสถาบัน ทั้งร่วมกันเสริมสร้างค่านิยมแห่งความซื่อตรงให้เกิดขึ้น ในทุกปียังมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับความซื่อตรงและนำเสนอประเด็นต่อนายกรัฐมนตรี ปีที่แล้วเป็นเรื่องของเยาวชนกับความซื่อตรง เขามีโครงการให้เยาวชนก่อตั้งชมรมความซื่อตรง และทำโครงการเสริมสร้างความซื่อตรงโดยมีเงินให้ทำกิจกรรมเล็กน้อยด้วย ในทุกปียังมีการโต้ วาทีเรื่องความซื่อตรงอีกด้วย

ในโอกาสที่ไปเยือนสถาบันอันทรงเกียรติ แห่งนี้ เราได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากท่านดาโต๊ะ ด็อกเตอร์โมฮัมหมัด แทป ซาเลย์ (Datuk Dr. Mohd Tap Salleh) ประธานของสถาบันและยังให้ความรู้แก่พวกเราอย่าง มากมายอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แม้เป็นช่วงถือศีลอดก็ตาม

>> ปฏิรูปประเทศอย่ามองแค่การเมือง

หลังจากนั้นการส่งเสริมอย่างจริงจังใน เรื่องทำความดีจึงแพร่ไปทั่งในวงการราชการ มีการมอบรางวัลแห่งความเป็นเลิศในการบริการและมีธรรมาภิบาล ทั้งมีรางวัลที่เรียก ว่าหน่วยงานราชการแบบห้าดาวอีกด้วย ดิฉันจึงได้มีโอกาสไปปุตราจายา เมืองหลวงใหม่หรือเมืองราชการเพื่อศึกษาหน่วยงานตัวอย่าง ที่มีการบริการแบบห้าดาวอีกด้วย และต้องยอมรับว่าสุดยอดจริงๆ ในเรื่องการบริการด้วยใจ

ทั้งหนึ่งมาเลเซีย และแผนความซื่อตรง แห่งชาติจนถึงหน่วยงานราชการห้าดาวล้วนน่าสนใจ และนำมาเป็นตัวแบบของการพัฒนา ชาติของเราให้เดินไปสู่ความสมานฉันท์ รวมใจเป็นหนึ่ง สร้างค่านิยมร่วมในเรื่องความซื่อตรงและธรรมาภิบาล เพราะเป็นของจริงที่ต้องปฏิรูป การมองเพียงประเด็นการเมือง สถาบันการเมือง และรัฐธรรมนูญคงไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้

หากยังคงละเลยเรื่องที่เพื่อนบ้านเรา เขามองเห็นและเดินล่วงหน้าไปแล้ว!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ