สยามธุรกิจ
เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ สำหรับชาวประชาธิปัตย์พันธุ์แท้และชาวประชาผู้สนับสนุนประชาธิปัตย์ทั้งหลาย..เพราะพืชพันธุ์ประชาธิปัตย์ที่ท่านทั้งหลายช่วยกันเพาะหว่านกันมาเนิ่นนานกว่า 60 ปีนั้น
ท่านทั้งหลายหวังว่า..มันจะผลิดอกออก ผลขึ้นมาในผืนนาของท่าน ท่านทั้งหลายจึงผิดหวัง ที่พืชพันธุ์ประชาธิปัตย์ที่ท่านหว่านพันธุ์และบำรุงปุ๋ยนั้น..มันไปงอกงามอยู่ ในผืนนาแปลงอื่น..
พวกท่าน..มัวมองไปแต่ในแปลงนาของคน อื่น..ท่านมัวแต่อิจฉาคนอื่นๆ จนลืมมองเข้าไปใน แปลงนาของท่าน..ว่ามันก็ผลิดอกออกผลเช่นเดียว กัน..ถึงมันจะน้อยกว่า มันก็เป็นพืชพันธุ์เดียวกันพันธุ์ประชาธิปไตย
พันธุ์ประชาธิปไตย ไม่ใช่ไม้ใหญ่ยืนต้นเช่นพันธุ์เผด็จการ..แต่มันเป็นพืชพันธุ์รากหญ้าที่ไหลเลื่อนไปตามกรากเชี่ยวของสายน้ำ..มันจะละล่อง ปลิวลมออกไปทุกทิศทุกทาง..มันเรี่ยรายหกหล่นไป ตามเส้นทางถนนและท้องน้ำ..มันจึงไม่มีวันสิ้นสุด มัน จึงไม่มีจุดจบ..มันมีแต่แพร่ขยายกระจายพันธุ์ออกไป.. เกรอะแห้งเมื่อแล้งน้ำ หยั่งรากเพาะพันธุ์เมื่อความ ชุ่มฉ่ำกรายผิว
พืชพันธุ์ประชาธิปไตยที่ชาวประชาธิปัตย์ ช่วยกันหว่านไถ..จึงไม่งอกงามบานใหญ่อยู่ในเฉพาะภาคใต้ แต่มันงอกงามอยู่ในพื้นผิวของแผ่นดินไทย..ถึงอย่างไรมันก็เป็นพันธุ์ประชาธิปไตย เช่นเมื่อมันกำเนิดมา..
ไม้ใหญ่เผด็จการนั้น..โค่นล้มไปนานแล้ว.. เช่นเดียวกับประชาธิปไตยที่กล้าแข็ง..อำนาจของประชาชนนั้นยิ่งใหญ่..แต่ผู้ที่เขา เอาอำนาจไปมอบให้ต่างหากที่ล้มเหลว..เพียงเพราะ จิตใจของพวกท่านมันคับแคบ..เผด็จการถึงฟื้นคืน อำนาจพาชาติพินาศย่อยยับลงมาถึงปานนี้
วันนี้พืชพันธุ์ประชาธิปไตยบานสะพรั่ง..เพียง ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร จับมือกันเป็น รัฐบาล..ประชาธิปไตยก็เจิดจรัส..เพียง 2 ท่านปฏิเสธ การคอร์รัปชั่นและสอดส่องดูแล..แผ่นดินนี้ก็เติบใหญ่ประชาไทยก็มั่งคั่ง
แล้วพวกท่านทำอะไร..ท่านแย่งกันเป็นใหญ่.. ทำลายประชาธิปไตยของประชาชนส่วนใหญ่ ไปอิงแอบประชาธิปไตยจัญไร..ของพวกขายตัวซื้อ เสียง..พวกท่านยอมให้แมงดาหัวหน้าซ่อง.. ต่อรองเรื่องอำนาจท่านขี้ขลาดต่อการเอาชนะตัวเองเพียง 2 ท่าน...ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร ใช่หรือไม่???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง
ที่มา.มติชนออนไลน์
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์รุ่นใหม่และผู้บรรยายหลักสูตรสำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เขียนตำราวิชาการหนังสือวิชาการ "ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา" และหนังสือ "รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า"ปาฐกถา หัวข้อ "ความรุนแรงและอำนาจรัฐ" ในโอกาสครบรอบ 34 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์
นายศิโรตม์ กล่าวถึงความรุนแรงว่า มีความหมายกว้างการทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น แต่หมายถึง ความรุนแรงชนิดอื่นๆ เช่น ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ หรือ ความรุนแรงทางการเมือง
1. ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีช่องว่างในการทำงานนับตั้งแต่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 19 ตัวเลขที่น่าสนใจ คือ คนจำนวนมากในประเทศมีช่องว่างทางรายได้มาก ในช่วง ค.ศ. 1960 ช่องว่างทางรายได้ของสังคมไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.3 หลังจากที่มีพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่องว่างทางรายได้เพิ่มตามไปด้วย
ตัวเลขที่ 2 คือ รายได้ของคนภาคเกษตรกร ในรอบ 30-40 ปี ที่ผ่านมาแทบไม่เคยขึ้นเลย ทำให้คนในภาคเกษตรออกมาเป็นคนงาน แรงงานในเขตเมืองและโรงงานอุตสาหกรรม และตัวเลขเศรษฐกิจยังบอกอีกว่ารายได้ของแรงงานภาคอุตสาหกรรมรายได้ของคนจนเมืองในรอบ 30-40 ปี รายได้รวมเพิ่มขึ้นแต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่มขึ้น หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา แรงงานขั้นต่ำมีรายได้ที่สูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นรายได้แรงงานไทยไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีก เช่น ปัญหาคนไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง
2. ความรุนแรงของภาษา
ภาษาเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง เมื่อ 2-3 วันก่อน ส.ส.มีการประชุมเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องความขัดแย้งกับกลุ่มกระเทย คือ ผู้ชายที่อยากแปลงเพศ ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ทหารกระทรวงกลาโหมจะบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนโรคจิต เป็นประเด็นที่คนเหล่านี้ถกเถียงตลอดว่าเขาไม่ใช่คนโรคจิต ถ้าระบุว่าพวกเขาเป็นคนโรคจิต สิทธิตามกฎหมายที่จะทำนิติกรรมบางอย่างจึงทำไม่ได้ จึงเกิดความพยายามของกระเทยในสังคมไทยที่อยากจะให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกการเรียกเขาว่าพวกโรคจิต มีความพยายามในการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.มีการประชุมกันในเรื่องนี้ระหว่างแพทย์ ทหารจากกระทรวงกลาโหม กรรมาธิการ ส.ส. ตัวแทนสื่อ เพื่อคุยกันว่า "กระเทย" เป็นโรคจิตหรือไม่
วิธีการของทหารจากกระทรวงกลาโหมที่ให้คำนิยามว่ากระเทยเป็นโรคจิตมีความน่าสนใจโดยยกเอานิยามขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพการเมือง ในประเทศตะวันตก เช่น ถ้ากลุ่มรักร่วมเพศมีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองสูงก็สามารถในการกดดันว่าองค์กรอนามัยโลกหรือรัฐบาลไม่มีอำนาจที่นิยาม ว่า กระเทยโรคจิต แต่ในสังคมไทยอ้างอิงองค์กรอนามัยโลกจึงมีการถกเถียงกันว่ากระเทยเป็นโรคจิตหรือไม่เป็นในที่สุดทางกระทรวงกลาโหมก็ยอมที่จะกลับไปแก้ไขว่ากระเทยไม่ใช่โรคจิต เพราะการระบุ ว่า กระเทยเป็นโรคจิตไม่มีข้อมูลทางการแพทย์มายืนยัน
ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นความรุนแรงจากภาษา การบอก ว่า กระเทยเป็นโรคจิตเป็นนิยามที่จะทำให้กระเทยต้องเผชิญปัญหาชีวิตไปอีกยาวนาน
3.ความรุนแรงของกฎหมาย
กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องที่อยากต่อการทำความเข้าใจเพราะประเทศไทยอยู่ภายใต้การบังคับใช้พระราชกำหนดมายาวนานประมาณ 6 เดือน หลายคนมองว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติที่รัฐบาลออกมาเพราะว่ามีความจำเป็นต้องออกเนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษหลายข้อ
ข้อแรก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำในหลายๆเรื่องในสภาวะปกติไม่ผิดกลายเป็นการกระทำที่ผิดแล้วถูกลงโทษได้ เช่น คนที่ถูกจับและถูกดำเนินคดีในช่วง พฤษภาคม 2553 มีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวออกจากตลาดไทยมาให้ผู้ชุมนุมจนถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังติดคุกอยู่ การกระทำเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่พอการกระทำนี้เกิดในช่วงที่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นความผิดขึ้นมา
คนจำนวนมากที่ถูกยิง บาดเจ็บเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พฤษภาคม 53 ทุกคนใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติบางคนไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมโดยตรงด้วยซ้ำ ในหลายพื้นที่คนจำนวนมากถูกจับโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กฎหมายระบุว่าผิดเพราะเขาไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถาการณ์ที่กฎหมายระบุว่าการกระทำแบบนั้นผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นตัวอย่างความรุนแรงของกฎหมายเพราะโดยการกระทำในตัวมันเองไม่ผิดเลย ผลจากการกระทำดังนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก เสียชีวิต บาดเจ็บโดยไม่มีใครรับผิดชอบจนปัจจุบัน
4.ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์
ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์ เป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งที่คนไม่คิดว่าเป็นปัญหา ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองหลังปี พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา มีประเด็นที่เห็นว่าเป็นข้อขัดแย้งในกลุ่มต่างๆ ตัวอย่าง กรณีการจับคนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อและความคิดว่า การเมืองไทยหรือการปกครองไทยคือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องน่าสนใจว่าในประเทศไทยขณะนี้การนิยามคำว่า ประชาธิปไตยไทย คืออะไร การเอาประมุขของรัฐเป็นศูนย์กลาง กระทั่งนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีกับคนจำนวนมาก ซึ่งหลายกรณีอาจจะไม่มีความผิด หลายกรณีถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หลายกรณีอาจจะเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็เป็นได้
กรณีแบบนี้น่าสนใจว่าประเทศไทยทำไมไม่เป็นประเทศที่ถูกนิยามว่าคำว่าประชาธิปไตยแยกออกจากประมุขของรัฐเช่น ประชาธิปไตยที่มีมวลชนเป็นแกนกลาง ที่มีความเชื่อว่าต้องยึดเอาสิทธิเสรีภาพของประชาชนขั้นพื้นฐานเป็นการเมืองการปกครองที่เคารพในสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรม
"ความรุนแรงทางวาทกรรม ถ้าดูนิยามประชาธิปไตยทั่วโลกจะเห็นว่านิยามประชาธิปไตยมีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ประชาธิปไตยของไทยถูกนิยามผ่านมุมมอง กรอบบางเรื่อง ในที่สุดแล้วสร้างปัญหาสร้างสถานการณ์บางอย่าง ประชาชนบางกลุ่มได้รับความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุอันควร"
ยกตัวอย่าง "ดา ตอร์ปิโด" ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบความเห็นในสิ่งที่ดา ตอร์ปิโด พูดก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ดา ตอปิโด ถูกลงโทษ คือ ติดคุก 18 ปี มันมากเกินไป ถ้าใช้นโนธรรมสำนึกพิจารณาดูว่านักโทษข่มขืน ค้ายาเสพติด ติดคุกไม่ถึง 18 ปี แต่ในกรณีนี้มีคนติดคุก 18 ปีได้ นี่คือ ตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมโดยตรง
งานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ นักวิชาการจากประเทศออสเตรเลีย พูดถึงความรุนแรงในสังคมไทย 2 ช่วง คือ
1. สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี
2. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
1.1 กรณีของจอมพลสฤษดิ์ คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาเป็นภัยสังคมตามที่จอมพลสฤษดิ์เห็นว่า เป็น "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับยอมให้เจ้าหน้าที่สามารถกักขังผู้ต้องสงสัยได้ 30 วัน และการต่ออายุสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตโดยไม่มีกำหนดเวลา คล้ายกับกรณีที่คนเสื้อแดงถูกจับในสถานการณ์พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมกักขังคนเหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในประเทศไทยปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนว่าเป็นการจับกุมและกักขังโดยผ่านการพิจารณาของศาล อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
คำสั่งที่ให้กักขังของจอมพลสฤษดิ์ถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กลายเป็นว่าประเทศเรามีคนถูกจับกุมกักขังจำนวนมากโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลเป็นเวลา 16 ปี
ในคำสั่งยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ระบุว่า เพราะกฎหมายนี้ขัดต่อหลักประชาธิปไตย คนที่ถูกจับไปนับร้อยคนจนถึงขณะนี้มีคนชดเชยให้พวกเขาแล้วหรือยัง หมายความว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด แล้วถามว่าคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชยความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง ซึ่งไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
1.2 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการจับกุมและต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ เพื่อให้บุคคลเป็นพลเมืองดี ผู้มีอำนาจในการจับกุม ผู้บัญชาการ หทาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถจับได้ ตัวเลขผู้ที่ถูกจับกุม 6 ตุลาคม ค่อยข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2 พันบางตัวเลขบอก 1 หมื่นคน แต่นี่คือสภาพของสังคมที่เกิดขึ้น
ในงานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ พูดถึงตัวเลขการอบรมคนเป็นพลเมืองดี สัมภาษณ์คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาคม ว่าถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี คนที่ถูกจับกุมบอกว่าไม่ได้ถูกซ้อมหรือถูกทรมาน โดยไม่ได้มองว่าการซ้อมหรือการทรมานเป็นปัญหาคุกคามมากเท่ากับการถูกอบรมเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ ในเรื่องเอกลักษณ์ของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติคืออะไร คนจำนวนมากที่ถูกจับกุมในช่วงเดือน 6 ตุลาคม แม้ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดไม่รู้สึกว่าเขาเผชิญปัญหาถูกซ้อมหรือทรมานแต่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกซ้อมและถูกทรมานได้ทุกเมื่อ
นี่สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร ในอีกด้านหนึ่ง คือ แสดงให้เห็นว่าคนหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายซึ่งเป็นเรื่องคุกคามตลอดเวลา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบันคล้ายกับกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจับคนในลักษณะแบบเดียวกัน คือ จับคนเข้าอบรมการเป็นพลเมืองดี ชาติไทย ศาสนาอิสลาม ที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่ได้รับการอบรม 30-45 วัน จนกระทั่งทหารจะมองว่าถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะออกไปเป็นพลเมืองดี นี่คือวิธีการที่คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลา
5. ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง
ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง หรือ ความรุนแรงเรื่องการกดขี่ปราบปราม คือ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เดือนพฤษภา 2553 กรือเซะ ตากใบ คงมีภาพคล้ายกัน การกดขี่ปราบปราม คือ การบังคับข่มขู่เพื่อให้ประชาชนอ่อนแอและอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจตลอดเวลา อาจจะหมายถึงการทำร้ายทางกายภาพ การ ทรมาน การจับกุม การคุมขัง การติดตาม การสอดแนม การดักฟังโทรศัพท์ การเตือน การข่มขู่
กรณีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ถูกจับขังจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เล่าให้ฟังว่าตอนที่ถูกเชิญไป ศอฉ. 3 สัปดาห์ถูกใครไม่รู้ติดตามไปตลอด
การกดขี่ปราบปรามไม่ได้หมายถึง การกระทำโดยใช้กำลังทำร้ายอย่างเดียว การสร้างสภาพที่ทำร้ายจิตใจประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้นความกลัวเป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง การส่งจดหมายเตือนให้หยุดพูดอย่างนั้นอย่างนี้เป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง เช่น เว็บไซต์ประชาไทดอทคอมเป็นเว็บไซต์ที่ถูกปิดอย่างถาวรโดยไม่มีผู้รับผิดชอบทางกฎหมายในการปิด พอเกิดเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม ศอฉ.ก็สั่งปิดโดยไม่ทราบสาเหตุอ้างว่าข้อมูลในเว็บไซต์ประชาไทกระทบต่อความสงบเรียบร้อย แต่จนถึงขณะนี้เว็บไซต์ประชาไทก็ยังถูกปิดอยู่ไม่ทราบสาเหตุเพราะอะไร
"นี่คือตัวอย่างการกดขี่ปราบปรามที่คนปกติไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ต้องทำงานภายใต้ความหวาดกลัว เว็บไซต์ที่ถูกกฎหมายกลายเป็นเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย นี่คือการข่มขู่ทางอ้อม"
การปราบปรามโดยรัฐ ในที่สุดแล้วเป็นเรื่องใหญ่เพราะแสดงออกถึงพฤติกรรมทางการเมืองให้คนคิดมากขึ้นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆมีความรับผิดชอบระวัง การข่มขู่มีความรุนแรงมากขึ้นอาจจะใช้กฎหมายบังคับหรือไม่ใช้ ซึ่งการข่มขู่อาจทำให้คนในสังคมตัดสินใจปิดปากเงียบ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐไม่คิด คือการข่มขู่และปราบปรามในสังคมที่มีความขัดแย้งสูงๆ จะส่งผลให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐและประท้วงรัฐด้วยวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไป
"สังคมไทยเป็นประเทศที่รัฐยังใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทั้งความรุนแรงทางกฎหมาย ทางการทหาร ทางการเมือง มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ"
โจทย์ที่รัฐควรคิดคืออะไร
เมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ควบคุมความเคลื่อนไหวพฤติกรรมของประชาชนได้ทั้งหมด ถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ของกลุ่มการเมืองต่างๆเราจะเห็นว่า การควบคุมโดยรัฐและการปราบปรามโดยรัฐเป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ที่เป็นเผด็จการสูงต้องคิดวิธีที่จะตอบโต้รัฐออกมาด้วย รัฐไทยไม่ค่อยมีความเข้าใจและคิดว่าการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จมากขึ้นสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น
"แน่นอนว่าสังคมทุกแห่งที่ผ่านการปราบปรามครั้งใหญ่มาอย่างสังคมไทยผ่านเหตุการณ์พฤษภา 53 , พฤษภา 35 , 6 ตุลาคม 19 , 14 ตุลา 16 ในช่วงต้นๆจะมีภาวะความเงียบในเมื่อประชาชนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในสังคมฝ่ายที่อยู่รอดจากการปราบปรามและถูกมองข้ามโดยรัฐจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาเพื่อรักษาในอุดมการณ์การต่อต้านเผด็จการและในที่สุดกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลในการประท้วงเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น "
จากสังคมไทยในช่วงตุลาคม 2519 ที่มีการฆ่านักศึกษาโดยเชื่อว่านักศึกษาจะหยุดและมีการเปลี่ยนแปลงสังคมไปอีกแบบหนึ่งได้ แต่ปรากฎว่าเมื่อฆ่าแล้วพรรคคอมมิวนิสต์ขยายอิทธิพลขึ้น การต่อต้านรัฐขยายกว้างขวางมากขึ้น คนที่ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในสังคมเมืองมีมากขึ้น จะเห็นการฟื้นตัวของขบวนการนักศึกษา มีการจัดทำนิตยสารใต้ดินจำนวนมากส่งผลทางการเมืองอย่างรุนแรง
เหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายที่ปราบปรามมีความเชื่อว่า หากทำการปราบปรามประชาชนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ได้แล้วการชุมนุมและการต่อต้านอำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามแน่นอนว่าพฤษภาคม 2553 เรามีระยะเวลาหนึ่งที่คนไม่กล้าออกมาพูดอะไร ในที่สุดแล้วประชาชนฝ่ายที่ถูกปราบปรามค่อยๆพัฒนาหลักในการต่อต้านขึ้นมา กรณีของ บก.ลายจุด (สมบัติ บุญงามอนงค์) เป็นปรากฎการณ์ที่สำคัญต่อให้ถูกปราบไปแล้วแต่ยังลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ละคนจะมีความถนัดและความชำนาญต่างกัน
"กรณีแม่ค้าใส่รองเท้าที่มีรูปหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แล้วถูกจับ จริงๆแล้วว่าการที่ใส่รองเท้าซึ่งเป็นหน้าของคนที่เกลียดมีนานมาแล้ว สมัยที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าพ.ต.ท.ทักษิณและภรรยาปรากฏบนร้องเท้าที่วางขายในที่ชุมนุมเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการดำเนินคดีกับคนที่ใส่รองเท้าหน้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยเกิด ปัจจุบันในสมัยของนายกฯอภิสิทธิ์การใส่รองเท้ารูปหน้านายกฯมีความผิด ไม่รู้ว่าแสดงถึงอะไรบ้าง อาจจะมีความอดทนและความใจกว้างทางการเมืองที่ไม่เท่ากัน แต่ประเด็นคือแม่ค้าใส่รองเท้าแบบนี้และถูกฟ้องดำเนินคดีว่ารองเท้าคืออาวุธ ถ้าคำตอบในทางกฎหมายคือไม่ผิดเชื่อว่าในอนาคตคงมีร้องเท้าหลากหลายหน้ามากขึ้น"
นายศิโรตม์ อธิบายว่า รัฐไทยไม่เข้าใจเรื่องนี้ และเห็นว่าการปราบจะหยุดการต่อต้านได้ รูปแบบการปราบปรามต่อคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐเป็นเรื่องที่น่าสนใจ การปราบปรามจะพุ่งไปที่คนบางกลุ่มและมีลักษณะการผ่อนผันประนีประนอมกับคนอีกกลุ่ม เช่น ในสังคมไทยถ้ามีการประท้วงรัฐบาลโดยอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยการประท้วงจะได้รับการมองจากรัฐและได้รับการปฏิบัติในลักษณะประนีประนอมผ่อนผันเห็นอกเห็นใจหรือไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเป็นการประท้วงโดยประชาชนกลุ่มอื่นๆ นอกมหาวิทยาลัยทำโดยประชาชนที่ต่างจังหวัดการประท้วงอาจจะถูกทำร้ายและถูกจับกุมได้
"รูปแบบการประท้วงแบบเดียวกันแต่คนต่างกลุ่มอาจจะทำได้หรือทำไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่ทำการต่อต้านทำการประท้วงเป็นคนกลุ่มไหน ในสังคมที่เผชิญปัญหาแบบนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่แตกต่างจากอำนาจรัฐ ควรพยายามประเมินให้ออกหรือประเมินให้ได้ว่ารัฐในแต่ละช่วงมีพฤติกรรมหรือวิธีการในควบคุมประชาชนอย่างไรบ้าง เพื่อกำหนดกิจกรรมในการต่อสู้ให้อยู่กึ่งกลางระหว่างการต่อต้านกับการต่อสู้ที่จะไม่นำผู้ชุมนุมไปเผชิญปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม"
6. ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง
ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง เกี่ยวข้องกับ 6 ตุลาคม 2519 กับ พฤษภาคม 2553 ด้วย ในแต่ละสังคมที่มีการฆ่ากันทางการเมืองไม่ใช่สังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างเดียว ความเห็นที่แตกต่างกันเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ปัจจัยที่ทำให้สังคมหนึ่งมีการฆ่า คือ สังคมนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจฝ่ายฆ่ากับฝ่ายที่ถูกฆ่าเท่ากันหรือไม่ ในสังคมที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างรุนแรง แต่บังเอิญฝ่ายถูกฆ่าและฝ่ายฆ่ามีอำนาจเท่ากันการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น
การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นในสังคมที่เห็นแตกต่างกันและฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่ามีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้นการฆ่าทางการเมืองเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางอำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันถ้าเป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมกันทางอำนาจการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ความสำคัญของอำนาจที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดการฆ่ากันได้อย่างไร ผู้ที่จะลงมือฆ่าคนอื่นต้องคิดแล้วว่าจะต้องได้ชัยชนะจากการฆ่าหรือกรณีกลับกันการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากเห็นว่าการต่อสู้อย่างสันติไม่มีทางทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอีกต่อไปได้แล้ว
ดังนั้นการฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากทางฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่ากระทำหรือฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่ากระทำก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าสั่งก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายมีอำนาจน้อยกว่าเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี
รัฐควรมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้น มี 2 เรื่อง
1.ไม่ทำให้สังคมอยู่ในจุดที่ว่ามีช่องว่างทางอำนาจระหว่างฝ่ายที่มีอำนาจมากกับฝ่ายที่ไม่มีอำนาจมากจนคุยกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว สังคมไหนก็ตามที่เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมาแสดงว่าสังคมนั้นเข้าใกล้สภาพสังคมที่จะเกิดการฆ่าทางการเมือง เพราะช่องว่างทางอำนาจมันมากมายมหาศาลการต่อสู้อย่างสันติไม่มีประโยชน์ ฝ่ายที่มีอำนาจมองว่าฝ่ายที่ไม่มีอำนาจด้อยกว่ามากมันเป็นฝุ่นละอองเป็นชีวิตที่ไม่มีราคามาก ดังนั้นรัฐต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมา
2.ป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าถูกกดขี่ในสังคมรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ จากกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ สิ่งที่รัฐควรป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมือง คือ การทำให้คนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าเห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองแบบปกติมันมีเงื่อนไขสามารถทำได้ หรือกรณีฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทางการเมืองรู้สึกว่าสู้แล้วจะมีคนอื่นมาช่วย สู้ไปแล้วต่อให้วันนี้แพ้วันหน้าก็ชนะ เป็นประเด็นหนึ่งในช่วงพฤษภาคม 2553 ที่มีคนจำนวนหนึ่งคิดแบบนี้ว่าสู้ไปเรื่อยๆจะมีคนอื่นมาช่วยหรือมีปัจจัยบางอย่างให้เราชนะในภายหลัง พอเวลาผ่านไปพบว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ฉะนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามันไม่มีทางออกจากสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขเป็นเรื่องที่จำเป็น การทำให้คู่กรณีเห็นว่ามีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความรุนแรงครั้งนี้โดยไม่ต้องใช้พลกำลังเพื่อออกจากปัญหา
ส่วนใหญ่จะมองว่าการฆ่าทางการเมืองจะเกิดขึ้นจากรัฐฝ่ายเดียวแต่ในบางสังคมความรุนแรงและการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นจากชนชั้นนำหรือฝ่ายที่นิยมความรุนแรงต่างๆก็ได้ ซึ่งเป็นได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้ชุมนุม ความรุนแรงในหลายสังคม บางครั้งเกิดโดยรัฐบางครั้งเกิดโดยผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรง โดยมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา การใช้กลไกระดมมวลชนจำนวนมากจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงทางการเมืองได้
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีการฆ่าทางการเมือง คือ ทำอย่างไรที่จะป้องกันการฆ่าทางการเมืองในสังคม ทำอย่างไรไม่ให้เกิดฝ่ายที่นิยมความรุนแรง ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการต่อสู้โดยมีกองกำลังติดอาวุธ ทำอย่างไรไม่ให้กลไกระดมมวลชนนำไปสู่การฆ่าทางการเมืองอย่างที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมืองด้วยวิธีรุนแรง
การทำความเข้าใจวิธีการที่สังคมจดจำความรุนแรงเป็นอย่างไร ปกติเรามักจะคิดกันว่าสังคมไม่ค่อยจดจำความรุนแรงที่ถูกรัฐกระทำ แต่นอกจากประเด็นสังคมจะจดจำหรือไม่จดจำแล้ว วิธีการที่สังคมเลือกจดจำก็ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย
คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มจดจำความรุนแรงที่สอดคล้องกับอคติผลประโยชน์ทางการเมืองในปัจจุบัน หรือว่าสอดคล้องกับความต้องการทางการเมือง ไม่ค่อยเกิดขึ้นเพราะเห็นว่าความรุนแรงเป็นปัญหาของมันเองแต่เราจะจดจำเฉพาะความรุนแรงที่เป็นประโยชน์ทางการเมือง
คนที่ตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จำนวนมากถูกจดจำว่าเขาเป็นคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลา มากกว่าเขาเป็นใคร เขาทำอะไร มีความสำคัญอย่างไรกับครอบครัว ความทรงจำต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่เราใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อวิจารณ์อะไรบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วยในปัจุบัน แต่ความทรงจำในตัวของคนเหล่านี้หายไป
ฉะนั้นในแง่มุมความรุนแรงทางการเมืองต้องยอมรับว่าเราเป็นสังคมที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่ความรุนแรงในรูปแบบที่เราจดจำตัวบุคคล เราจดจำแค่ความรุนแรงเท่านั้น หรืออย่างผู้ที่พูดถึงกรณีราชประสงค์ปี 53 จะมีความกล้าพูดถึงความรุนแรงกรณีตากใบที่มีผู้เสียชีวิต 85 ศพ ได้อย่างไร เพื่อจะได้ให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องความรุนแรงจริงๆ ที่หลุดออกจากกรอบ เหตุผล หรืออคติในทางการเมืองของตัวผู้พูด
นายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์รุ่นใหม่และผู้บรรยายหลักสูตรสำนักงานสิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนา มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้เขียนตำราวิชาการหนังสือวิชาการ "ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเรา" และหนังสือ "รัฐศาสตร์ไม่ฆ่า"ปาฐกถา หัวข้อ "ความรุนแรงและอำนาจรัฐ" ในโอกาสครบรอบ 34 ปีเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ห้องจิตติ ติงศภัทิย์ คณะนิติศาสตร์
นายศิโรตม์ กล่าวถึงความรุนแรงว่า มีความหมายกว้างการทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น แต่หมายถึง ความรุนแรงชนิดอื่นๆ เช่น ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ หรือ ความรุนแรงทางการเมือง
1. ความรุนแรงทางเศรษฐกิจ
ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีช่องว่างในการทำงานนับตั้งแต่มีการพัฒนาเศรษฐกิจในช่วงทศวรรษที่ 19 ตัวเลขที่น่าสนใจ คือ คนจำนวนมากในประเทศมีช่องว่างทางรายได้มาก ในช่วง ค.ศ. 1960 ช่องว่างทางรายได้ของสังคมไทยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 0.3 หลังจากที่มีพัฒนาไปเรื่อยๆ ช่องว่างทางรายได้เพิ่มตามไปด้วย
ตัวเลขที่ 2 คือ รายได้ของคนภาคเกษตรกร ในรอบ 30-40 ปี ที่ผ่านมาแทบไม่เคยขึ้นเลย ทำให้คนในภาคเกษตรออกมาเป็นคนงาน แรงงานในเขตเมืองและโรงงานอุตสาหกรรม และตัวเลขเศรษฐกิจยังบอกอีกว่ารายได้ของแรงงานภาคอุตสาหกรรมรายได้ของคนจนเมืองในรอบ 30-40 ปี รายได้รวมเพิ่มขึ้นแต่รายได้ที่แท้จริงไม่เพิ่มขึ้น หมายความว่า ในรอบ 30-40 ปีที่ผ่านมา แรงงานขั้นต่ำมีรายได้ที่สูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อและค่าครองชีพที่สูงขึ้นรายได้แรงงานไทยไม่เพิ่มขึ้นเลย นี่คือตัวอย่างความรุนแรงทางเศรษฐกิจ ซึ่งทำให้เกิดปัญหาอย่างอื่นตามมาอีก เช่น ปัญหาคนไม่มีที่อยู่อาศัยในเมือง
2. ความรุนแรงของภาษา
ภาษาเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง เมื่อ 2-3 วันก่อน ส.ส.มีการประชุมเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เรื่องความขัดแย้งกับกลุ่มกระเทย คือ ผู้ชายที่อยากแปลงเพศ ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ทหารกระทรวงกลาโหมจะบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนโรคจิต เป็นประเด็นที่คนเหล่านี้ถกเถียงตลอดว่าเขาไม่ใช่คนโรคจิต ถ้าระบุว่าพวกเขาเป็นคนโรคจิต สิทธิตามกฎหมายที่จะทำนิติกรรมบางอย่างจึงทำไม่ได้ จึงเกิดความพยายามของกระเทยในสังคมไทยที่อยากจะให้กระทรวงกลาโหมยกเลิกการเรียกเขาว่าพวกโรคจิต มีความพยายามในการรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.มีการประชุมกันในเรื่องนี้ระหว่างแพทย์ ทหารจากกระทรวงกลาโหม กรรมาธิการ ส.ส. ตัวแทนสื่อ เพื่อคุยกันว่า "กระเทย" เป็นโรคจิตหรือไม่
วิธีการของทหารจากกระทรวงกลาโหมที่ให้คำนิยามว่ากระเทยเป็นโรคจิตมีความน่าสนใจโดยยกเอานิยามขององค์การอนามัยโลกที่บอกว่าเป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งความจริงมันเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพการเมือง ในประเทศตะวันตก เช่น ถ้ากลุ่มรักร่วมเพศมีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองสูงก็สามารถในการกดดันว่าองค์กรอนามัยโลกหรือรัฐบาลไม่มีอำนาจที่นิยาม ว่า กระเทยโรคจิต แต่ในสังคมไทยอ้างอิงองค์กรอนามัยโลกจึงมีการถกเถียงกันว่ากระเทยเป็นโรคจิตหรือไม่เป็นในที่สุดทางกระทรวงกลาโหมก็ยอมที่จะกลับไปแก้ไขว่ากระเทยไม่ใช่โรคจิต เพราะการระบุ ว่า กระเทยเป็นโรคจิตไม่มีข้อมูลทางการแพทย์มายืนยัน
ประเด็นที่จะชี้ให้เห็นความรุนแรงจากภาษา การบอก ว่า กระเทยเป็นโรคจิตเป็นนิยามที่จะทำให้กระเทยต้องเผชิญปัญหาชีวิตไปอีกยาวนาน
3.ความรุนแรงของกฎหมาย
กฎหมายเป็นความรุนแรงชนิดหนึ่ง อาจจะเป็นเรื่องที่อยากต่อการทำความเข้าใจเพราะประเทศไทยอยู่ภายใต้การบังคับใช้พระราชกำหนดมายาวนานประมาณ 6 เดือน หลายคนมองว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายปกติที่รัฐบาลออกมาเพราะว่ามีความจำเป็นต้องออกเนื่องจากมีเหตุบางอย่าง แต่พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่มีลักษณะพิเศษหลายข้อ
ข้อแรก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทำให้การกระทำในหลายๆเรื่องในสภาวะปกติไม่ผิดกลายเป็นการกระทำที่ผิดแล้วถูกลงโทษได้ เช่น คนที่ถูกจับและถูกดำเนินคดีในช่วง พฤษภาคม 2553 มีแม่ค้าคนหนึ่งขนข้าวออกจากตลาดไทยมาให้ผู้ชุมนุมจนถึงตอนนี้แม่ค้าคนนี้ยังติดคุกอยู่ การกระทำเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิด แต่พอการกระทำนี้เกิดในช่วงที่มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินกลายเป็นความผิดขึ้นมา
คนจำนวนมากที่ถูกยิง บาดเจ็บเสียชีวิตในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พฤษภาคม 53 ทุกคนใช้สิทธิในการชุมนุมตามปกติบางคนไม่ได้เกี่ยวกับการชุมนุมโดยตรงด้วยซ้ำ ในหลายพื้นที่คนจำนวนมากถูกจับโดยที่ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย แต่กฎหมายระบุว่าผิดเพราะเขาไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถาการณ์ที่กฎหมายระบุว่าการกระทำแบบนั้นผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นตัวอย่างความรุนแรงของกฎหมายเพราะโดยการกระทำในตัวมันเองไม่ผิดเลย ผลจากการกระทำดังนี้ทำให้คนจำนวนมากติดคุก เสียชีวิต บาดเจ็บโดยไม่มีใครรับผิดชอบจนปัจจุบัน
4.ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์
ความรุนแรงผ่านวาทกรรมและอุดมการณ์ เป็นความรุนแรงชนิดหนึ่งที่คนไม่คิดว่าเป็นปัญหา ในช่วงที่สังคมไทยเกิดความขัดแย้งทางการเมืองหลังปี พ.ศ. 2505 เป็นต้นมา มีประเด็นที่เห็นว่าเป็นข้อขัดแย้งในกลุ่มต่างๆ ตัวอย่าง กรณีการจับคนด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งประเด็นส่วนใหญ่เกี่ยวพันกับความเชื่อและความคิดว่า การเมืองไทยหรือการปกครองไทยคือการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเรื่องน่าสนใจว่าในประเทศไทยขณะนี้การนิยามคำว่า ประชาธิปไตยไทย คืออะไร การเอาประมุขของรัฐเป็นศูนย์กลาง กระทั่งนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีกับคนจำนวนมาก ซึ่งหลายกรณีอาจจะไม่มีความผิด หลายกรณีถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง หลายกรณีอาจจะเป็นการถูกลงโทษเกินกว่าเหตุก็เป็นได้
กรณีแบบนี้น่าสนใจว่าประเทศไทยทำไมไม่เป็นประเทศที่ถูกนิยามว่าคำว่าประชาธิปไตยแยกออกจากประมุขของรัฐเช่น ประชาธิปไตยที่มีมวลชนเป็นแกนกลาง ที่มีความเชื่อว่าต้องยึดเอาสิทธิเสรีภาพของประชาชนขั้นพื้นฐานเป็นการเมืองการปกครองที่เคารพในสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ความยุติธรรม
"ความรุนแรงทางวาทกรรม ถ้าดูนิยามประชาธิปไตยทั่วโลกจะเห็นว่านิยามประชาธิปไตยมีเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ประชาธิปไตยของไทยถูกนิยามผ่านมุมมอง กรอบบางเรื่อง ในที่สุดแล้วสร้างปัญหาสร้างสถานการณ์บางอย่าง ประชาชนบางกลุ่มได้รับความเดือดร้อนโดยไม่มีเหตุอันควร"
ยกตัวอย่าง "ดา ตอร์ปิโด" ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบความเห็นในสิ่งที่ดา ตอร์ปิโด พูดก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ดา ตอปิโด ถูกลงโทษ คือ ติดคุก 18 ปี มันมากเกินไป ถ้าใช้นโนธรรมสำนึกพิจารณาดูว่านักโทษข่มขืน ค้ายาเสพติด ติดคุกไม่ถึง 18 ปี แต่ในกรณีนี้มีคนติดคุก 18 ปีได้ นี่คือ ตัวอย่างความรุนแรงทางวาทกรรมโดยตรง
งานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ นักวิชาการจากประเทศออสเตรเลีย พูดถึงความรุนแรงในสังคมไทย 2 ช่วง คือ
1. สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อดีตนายกรัฐมนตรี
2. เหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519
1.1 กรณีของจอมพลสฤษดิ์ คนจำนวนมากถูกจับกุมโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะคนที่ถูกกล่าวหาเป็นภัยสังคมตามที่จอมพลสฤษดิ์เห็นว่า เป็น "ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์" คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีบางฉบับยอมให้เจ้าหน้าที่สามารถกักขังผู้ต้องสงสัยได้ 30 วัน และการต่ออายุสามารถทำได้โดยไม่ต้องขออนุญาตโดยไม่มีกำหนดเวลา คล้ายกับกรณีที่คนเสื้อแดงถูกจับในสถานการณ์พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คือว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมกักขังคนเหล่านี้ได้ เพียงแต่ว่าในประเทศไทยปัจจุบันมีวิธีการที่ซับซ้อนว่าเป็นการจับกุมและกักขังโดยผ่านการพิจารณาของศาล อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นวิวัฒนาการที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
คำสั่งที่ให้กักขังของจอมพลสฤษดิ์ถูกยกเลิกไปเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 กลายเป็นว่าประเทศเรามีคนถูกจับกุมกักขังจำนวนมากโดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและไม่ต้องผ่านการพิจารณาของศาลเป็นเวลา 16 ปี
ในคำสั่งยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ระบุว่า เพราะกฎหมายนี้ขัดต่อหลักประชาธิปไตย คนที่ถูกจับไปนับร้อยคนจนถึงขณะนี้มีคนชดเชยให้พวกเขาแล้วหรือยัง หมายความว่าในเวลาต่อมาเรารู้ว่ากฎหมายแบบนี้ผิด แล้วถามว่าคนที่ถูกจับไปฟรีๆ ได้มีการชดเชยความยุติธรรมให้พวกเขาแล้วหรือยัง ซึ่งไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
1.2 เหตุการณ์ 6 ตุลาคม มีคำสั่งคณะปฏิรูปให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการจับกุมและต่ออายุการจับกุมไปเรื่อยๆ เพื่อให้บุคคลเป็นพลเมืองดี ผู้มีอำนาจในการจับกุม ผู้บัญชาการ หทาร ตำรวจ ผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถจับได้ ตัวเลขผู้ที่ถูกจับกุม 6 ตุลาคม ค่อยข้างหลากหลายบางตัวเลขบอกว่า 2 พันบางตัวเลขบอก 1 หมื่นคน แต่นี่คือสภาพของสังคมที่เกิดขึ้น
ในงานวิจัยของอาจารย์ไครสเลอร์ พูดถึงตัวเลขการอบรมคนเป็นพลเมืองดี สัมภาษณ์คนที่ถูกจับกุมในช่วง 6 ตุลาคม ว่าถูกทำอะไรบ้างเพื่อให้เป็นพลเมืองดี คนที่ถูกจับกุมบอกว่าไม่ได้ถูกซ้อมหรือถูกทรมาน โดยไม่ได้มองว่าการซ้อมหรือการทรมานเป็นปัญหาคุกคามมากเท่ากับการถูกอบรมเป็นเรื่องซ้ำๆซากๆ ในเรื่องเอกลักษณ์ของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติคืออะไร คนจำนวนมากที่ถูกจับกุมในช่วงเดือน 6 ตุลาคม แม้ผู้ถูกจับกุมทั้งหมดไม่รู้สึกว่าเขาเผชิญปัญหาถูกซ้อมหรือทรมานแต่ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวว่าจะถูกซ้อมและถูกทรมานได้ทุกเมื่อ
นี่สะท้อนให้เห็นว่าความรุนแรงทำงานอย่างไร ในอีกด้านหนึ่ง คือ แสดงให้เห็นว่าคนหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายซึ่งเป็นเรื่องคุกคามตลอดเวลา เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบันคล้ายกับกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการจับคนในลักษณะแบบเดียวกัน คือ จับคนเข้าอบรมการเป็นพลเมืองดี ชาติไทย ศาสนาอิสลาม ที่ถูกต้องคืออะไร ส่วนใหญ่ได้รับการอบรม 30-45 วัน จนกระทั่งทหารจะมองว่าถึงเวลาแล้วที่คนเหล่านี้จะออกไปเป็นพลเมืองดี นี่คือวิธีการที่คล้ายกับเหตุการณ์ 6 ตุลา
5. ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง
ความรุนแรงที่เกิดจากอำนาจรัฐโดยตรง หรือ ความรุนแรงเรื่องการกดขี่ปราบปราม คือ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ 6 ตุลาคม เดือนพฤษภา 2553 กรือเซะ ตากใบ คงมีภาพคล้ายกัน การกดขี่ปราบปราม คือ การบังคับข่มขู่เพื่อให้ประชาชนอ่อนแอและอยู่ภายใต้ผู้มีอำนาจตลอดเวลา อาจจะหมายถึงการทำร้ายทางกายภาพ การ ทรมาน การจับกุม การคุมขัง การติดตาม การสอดแนม การดักฟังโทรศัพท์ การเตือน การข่มขู่
กรณีของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ผู้ถูกจับขังจาก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เล่าให้ฟังว่าตอนที่ถูกเชิญไป ศอฉ. 3 สัปดาห์ถูกใครไม่รู้ติดตามไปตลอด
การกดขี่ปราบปรามไม่ได้หมายถึง การกระทำโดยใช้กำลังทำร้ายอย่างเดียว การสร้างสภาพที่ทำร้ายจิตใจประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ฉะนั้นความกลัวเป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง การส่งจดหมายเตือนให้หยุดพูดอย่างนั้นอย่างนี้เป็นการกดขี่อย่างหนึ่ง เช่น เว็บไซต์ประชาไทดอทคอมเป็นเว็บไซต์ที่ถูกปิดอย่างถาวรโดยไม่มีผู้รับผิดชอบทางกฎหมายในการปิด พอเกิดเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม ศอฉ.ก็สั่งปิดโดยไม่ทราบสาเหตุอ้างว่าข้อมูลในเว็บไซต์ประชาไทกระทบต่อความสงบเรียบร้อย แต่จนถึงขณะนี้เว็บไซต์ประชาไทก็ยังถูกปิดอยู่ไม่ทราบสาเหตุเพราะอะไร
"นี่คือตัวอย่างการกดขี่ปราบปรามที่คนปกติไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ต้องทำงานภายใต้ความหวาดกลัว เว็บไซต์ที่ถูกกฎหมายกลายเป็นเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมาย นี่คือการข่มขู่ทางอ้อม"
การปราบปรามโดยรัฐ ในที่สุดแล้วเป็นเรื่องใหญ่เพราะแสดงออกถึงพฤติกรรมทางการเมืองให้คนคิดมากขึ้นเรื่องการใช้สิทธิเสรีภาพ คนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆมีความรับผิดชอบระวัง การข่มขู่มีความรุนแรงมากขึ้นอาจจะใช้กฎหมายบังคับหรือไม่ใช้ ซึ่งการข่มขู่อาจทำให้คนในสังคมตัดสินใจปิดปากเงียบ แต่สิ่งหนึ่งที่รัฐไม่คิด คือการข่มขู่และปราบปรามในสังคมที่มีความขัดแย้งสูงๆ จะส่งผลให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐและประท้วงรัฐด้วยวิธีการที่เปลี่ยนแปลงไป
"สังคมไทยเป็นประเทศที่รัฐยังใช้ความรุนแรงกับประชาชนโดยเฉพาะหลังปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทั้งความรุนแรงทางกฎหมาย ทางการทหาร ทางการเมือง มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ"
โจทย์ที่รัฐควรคิดคืออะไร
เมื่อรัฐใช้ความรุนแรง รัฐจะสามารถควบคุมสถานการณ์ควบคุมความเคลื่อนไหวพฤติกรรมของประชาชนได้ทั้งหมด ถ้าไปดูแบบแผนการต่อสู้ของกลุ่มการเมืองต่างๆเราจะเห็นว่า การควบคุมโดยรัฐและการปราบปรามโดยรัฐเป็นตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชนจริง ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ประชาชนที่อยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ที่เป็นเผด็จการสูงต้องคิดวิธีที่จะตอบโต้รัฐออกมาด้วย รัฐไทยไม่ค่อยมีความเข้าใจและคิดว่าการใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จมากขึ้นสังคมจะไม่กล้าพูดอะไรมากขึ้น
"แน่นอนว่าสังคมทุกแห่งที่ผ่านการปราบปรามครั้งใหญ่มาอย่างสังคมไทยผ่านเหตุการณ์พฤษภา 53 , พฤษภา 35 , 6 ตุลาคม 19 , 14 ตุลา 16 ในช่วงต้นๆจะมีภาวะความเงียบในเมื่อประชาชนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อเวลาผ่านไป ในสังคมฝ่ายที่อยู่รอดจากการปราบปรามและถูกมองข้ามโดยรัฐจะค่อยๆฟื้นขึ้นมาเพื่อรักษาในอุดมการณ์การต่อต้านเผด็จการและในที่สุดกลุ่มคนเหล่านี้จะมีอิทธิพลในการประท้วงเพื่อนำไปสู่สังคมที่มีประชาธิปไตยมากขึ้น "
จากสังคมไทยในช่วงตุลาคม 2519 ที่มีการฆ่านักศึกษาโดยเชื่อว่านักศึกษาจะหยุดและมีการเปลี่ยนแปลงสังคมไปอีกแบบหนึ่งได้ แต่ปรากฎว่าเมื่อฆ่าแล้วพรรคคอมมิวนิสต์ขยายอิทธิพลขึ้น การต่อต้านรัฐขยายกว้างขวางมากขึ้น คนที่ทำงานให้พรรคคอมมิวนิสต์ในสังคมเมืองมีมากขึ้น จะเห็นการฟื้นตัวของขบวนการนักศึกษา มีการจัดทำนิตยสารใต้ดินจำนวนมากส่งผลทางการเมืองอย่างรุนแรง
เหตุการณ์พฤษภาคม 2553 ก็เช่นเดียวกัน ฝ่ายที่ปราบปรามมีความเชื่อว่า หากทำการปราบปรามประชาชนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ได้แล้วการชุมนุมและการต่อต้านอำนาจรัฐจะยุติลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามแน่นอนว่าพฤษภาคม 2553 เรามีระยะเวลาหนึ่งที่คนไม่กล้าออกมาพูดอะไร ในที่สุดแล้วประชาชนฝ่ายที่ถูกปราบปรามค่อยๆพัฒนาหลักในการต่อต้านขึ้นมา กรณีของ บก.ลายจุด (สมบัติ บุญงามอนงค์) เป็นปรากฎการณ์ที่สำคัญต่อให้ถูกปราบไปแล้วแต่ยังลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยวิธีการต่างๆ แต่ละคนจะมีความถนัดและความชำนาญต่างกัน
"กรณีแม่ค้าใส่รองเท้าที่มีรูปหน้านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แล้วถูกจับ จริงๆแล้วว่าการที่ใส่รองเท้าซึ่งเป็นหน้าของคนที่เกลียดมีนานมาแล้ว สมัยที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าพ.ต.ท.ทักษิณและภรรยาปรากฏบนร้องเท้าที่วางขายในที่ชุมนุมเช่นกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการดำเนินคดีกับคนที่ใส่รองเท้าหน้าพ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยเกิด ปัจจุบันในสมัยของนายกฯอภิสิทธิ์การใส่รองเท้ารูปหน้านายกฯมีความผิด ไม่รู้ว่าแสดงถึงอะไรบ้าง อาจจะมีความอดทนและความใจกว้างทางการเมืองที่ไม่เท่ากัน แต่ประเด็นคือแม่ค้าใส่รองเท้าแบบนี้และถูกฟ้องดำเนินคดีว่ารองเท้าคืออาวุธ ถ้าคำตอบในทางกฎหมายคือไม่ผิดเชื่อว่าในอนาคตคงมีร้องเท้าหลากหลายหน้ามากขึ้น"
นายศิโรตม์ อธิบายว่า รัฐไทยไม่เข้าใจเรื่องนี้ และเห็นว่าการปราบจะหยุดการต่อต้านได้ รูปแบบการปราบปรามต่อคนที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐเป็นเรื่องที่น่าสนใจ การปราบปรามจะพุ่งไปที่คนบางกลุ่มและมีลักษณะการผ่อนผันประนีประนอมกับคนอีกกลุ่ม เช่น ในสังคมไทยถ้ามีการประท้วงรัฐบาลโดยอาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยการประท้วงจะได้รับการมองจากรัฐและได้รับการปฏิบัติในลักษณะประนีประนอมผ่อนผันเห็นอกเห็นใจหรือไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเป็นการประท้วงโดยประชาชนกลุ่มอื่นๆ นอกมหาวิทยาลัยทำโดยประชาชนที่ต่างจังหวัดการประท้วงอาจจะถูกทำร้ายและถูกจับกุมได้
"รูปแบบการประท้วงแบบเดียวกันแต่คนต่างกลุ่มอาจจะทำได้หรือทำไม่ได้ขึ้นอยู่กับกลุ่มคนที่ทำการต่อต้านทำการประท้วงเป็นคนกลุ่มไหน ในสังคมที่เผชิญปัญหาแบบนี้ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่แตกต่างจากอำนาจรัฐ ควรพยายามประเมินให้ออกหรือประเมินให้ได้ว่ารัฐในแต่ละช่วงมีพฤติกรรมหรือวิธีการในควบคุมประชาชนอย่างไรบ้าง เพื่อกำหนดกิจกรรมในการต่อสู้ให้อยู่กึ่งกลางระหว่างการต่อต้านกับการต่อสู้ที่จะไม่นำผู้ชุมนุมไปเผชิญปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม"
6. ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง
ความรุนแรงจากการฆ่าทางการเมือง เกี่ยวข้องกับ 6 ตุลาคม 2519 กับ พฤษภาคม 2553 ด้วย ในแต่ละสังคมที่มีการฆ่ากันทางการเมืองไม่ใช่สังคมที่มีความแตกต่างกันอย่างเดียว ความเห็นที่แตกต่างกันเป็นประเด็นหนึ่ง แต่ปัจจัยที่ทำให้สังคมหนึ่งมีการฆ่า คือ สังคมนั้นมีความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจฝ่ายฆ่ากับฝ่ายที่ถูกฆ่าเท่ากันหรือไม่ ในสังคมที่มีความเห็นแตกต่างกันอย่างรุนแรง แต่บังเอิญฝ่ายถูกฆ่าและฝ่ายฆ่ามีอำนาจเท่ากันการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น
การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นในสังคมที่เห็นแตกต่างกันและฝ่ายฆ่ากับฝ่ายถูกฆ่ามีอำนาจแตกต่างกันมาก ฉะนั้นการฆ่าทางการเมืองเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางอำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันถ้าเป็นสังคมที่มีความเท่าเทียมกันทางอำนาจการฆ่าจะไม่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
ความสำคัญของอำนาจที่ไม่เท่ากันทำให้เกิดการฆ่ากันได้อย่างไร ผู้ที่จะลงมือฆ่าคนอื่นต้องคิดแล้วว่าจะต้องได้ชัยชนะจากการฆ่าหรือกรณีกลับกันการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายตัวเองถูกกดขี่หรือรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่ามากเห็นว่าการต่อสู้อย่างสันติไม่มีทางทำให้ชีวิตของเขาดีขึ้นอีกต่อไปได้แล้ว
ดังนั้นการฆ่าทางการเมืองเกิดได้จากทางฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่ากระทำหรือฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่ากระทำก็ได้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝ่ายที่มีอำนาจมากกว่าสั่งก่อน มีไม่กี่สังคมที่ฝ่ายมีอำนาจน้อยกว่าเป็นคนทำ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันมี
รัฐควรมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้การฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้น มี 2 เรื่อง
1.ไม่ทำให้สังคมอยู่ในจุดที่ว่ามีช่องว่างทางอำนาจระหว่างฝ่ายที่มีอำนาจมากกับฝ่ายที่ไม่มีอำนาจมากจนคุยกันต่อไปไม่ได้อีกแล้ว สังคมไหนก็ตามที่เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมาแสดงว่าสังคมนั้นเข้าใกล้สภาพสังคมที่จะเกิดการฆ่าทางการเมือง เพราะช่องว่างทางอำนาจมันมากมายมหาศาลการต่อสู้อย่างสันติไม่มีประโยชน์ ฝ่ายที่มีอำนาจมองว่าฝ่ายที่ไม่มีอำนาจด้อยกว่ามากมันเป็นฝุ่นละอองเป็นชีวิตที่ไม่มีราคามาก ดังนั้นรัฐต้องป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแบบนี้ขึ้นมา
2.ป้องกันไม่ให้คนที่อยู่ในสถานะที่ด้อยกว่าถูกกดขี่ในสังคมรู้สึกว่าเขาไม่สามารถต่อสู้ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้ จากกระบวนการทางการเมืองแบบปกติ สิ่งที่รัฐควรป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมือง คือ การทำให้คนที่รู้สึกว่าด้อยกว่าเห็นว่าการต่อสู้ทางการเมืองแบบปกติมันมีเงื่อนไขสามารถทำได้ หรือกรณีฝ่ายที่มีอำนาจน้อยกว่าตัดสินใจใช้ความรุนแรงในการต่อสู้ทางการเมืองรู้สึกว่าสู้แล้วจะมีคนอื่นมาช่วย สู้ไปแล้วต่อให้วันนี้แพ้วันหน้าก็ชนะ เป็นประเด็นหนึ่งในช่วงพฤษภาคม 2553 ที่มีคนจำนวนหนึ่งคิดแบบนี้ว่าสู้ไปเรื่อยๆจะมีคนอื่นมาช่วยหรือมีปัจจัยบางอย่างให้เราชนะในภายหลัง พอเวลาผ่านไปพบว่าเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นจริง
ฉะนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดการฆ่าที่ดีที่สุดคือการขจัดเงื่อนไขที่ทำให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายเห็นว่ามันไม่มีทางออกจากสถานการณ์ที่พวกเขาเผชิญอยู่เลย การขจัดเงื่อนไขเป็นเรื่องที่จำเป็น การทำให้คู่กรณีเห็นว่ามีทางอื่นที่จะออกจากโจทย์ความรุนแรงครั้งนี้โดยไม่ต้องใช้พลกำลังเพื่อออกจากปัญหา
ส่วนใหญ่จะมองว่าการฆ่าทางการเมืองจะเกิดขึ้นจากรัฐฝ่ายเดียวแต่ในบางสังคมความรุนแรงและการฆ่าทางการเมืองเกิดขึ้นจากชนชั้นนำหรือฝ่ายที่นิยมความรุนแรงต่างๆก็ได้ ซึ่งเป็นได้ทั้งฝ่ายรัฐบาลและผู้ชุมนุม ความรุนแรงในหลายสังคม บางครั้งเกิดโดยรัฐบางครั้งเกิดโดยผู้ชุมนุมที่นิยมความรุนแรง โดยมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา การใช้กลไกระดมมวลชนจำนวนมากจนนำไปสู่การใช้ความรุนแรงทางการเมืองได้
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีการฆ่าทางการเมือง คือ ทำอย่างไรที่จะป้องกันการฆ่าทางการเมืองในสังคม ทำอย่างไรไม่ให้เกิดฝ่ายที่นิยมความรุนแรง ทำอย่างไรไม่ให้เกิดการต่อสู้โดยมีกองกำลังติดอาวุธ ทำอย่างไรไม่ให้กลไกระดมมวลชนนำไปสู่การฆ่าทางการเมืองอย่างที่ไม่จำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดการฆ่ากันทางการเมืองด้วยวิธีรุนแรง
การทำความเข้าใจวิธีการที่สังคมจดจำความรุนแรงเป็นอย่างไร ปกติเรามักจะคิดกันว่าสังคมไม่ค่อยจดจำความรุนแรงที่ถูกรัฐกระทำ แต่นอกจากประเด็นสังคมจะจดจำหรือไม่จดจำแล้ว วิธีการที่สังคมเลือกจดจำก็ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย
คนส่วนใหญ่มีแนวโน้มจดจำความรุนแรงที่สอดคล้องกับอคติผลประโยชน์ทางการเมืองในปัจจุบัน หรือว่าสอดคล้องกับความต้องการทางการเมือง ไม่ค่อยเกิดขึ้นเพราะเห็นว่าความรุนแรงเป็นปัญหาของมันเองแต่เราจะจดจำเฉพาะความรุนแรงที่เป็นประโยชน์ทางการเมือง
คนที่ตายในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จำนวนมากถูกจดจำว่าเขาเป็นคนตายในเหตุการณ์ 6 ตุลา มากกว่าเขาเป็นใคร เขาทำอะไร มีความสำคัญอย่างไรกับครอบครัว ความทรงจำต่อเหตุการณ์ 6 ตุลา เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่เราใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อวิจารณ์อะไรบางอย่างที่เราไม่เห็นด้วยในปัจุบัน แต่ความทรงจำในตัวของคนเหล่านี้หายไป
ฉะนั้นในแง่มุมความรุนแรงทางการเมืองต้องยอมรับว่าเราเป็นสังคมที่มีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ใช่ความรุนแรงในรูปแบบที่เราจดจำตัวบุคคล เราจดจำแค่ความรุนแรงเท่านั้น หรืออย่างผู้ที่พูดถึงกรณีราชประสงค์ปี 53 จะมีความกล้าพูดถึงความรุนแรงกรณีตากใบที่มีผู้เสียชีวิต 85 ศพ ได้อย่างไร เพื่อจะได้ให้เห็นว่าเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องความรุนแรงจริงๆ ที่หลุดออกจากกรอบ เหตุผล หรืออคติในทางการเมืองของตัวผู้พูด
ธรรมาภิบาล
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ในอดีตที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ถูกประณามว่าเหมือนปลิงดูดเลือด และถือเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากกับเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีกำไรมากที่สุด นายแบงก์เหมือนพระเจ้าที่ลูกค้าต้องอ้อนวอนเพื่อให้ช่วยปล่อยสินเชื่อหรือเงินกู้ แม้ดอกเบี้ยจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต่างกับหลายธุรกิจที่เต็มไปด้วยของเน่า ทั้งยังมีการกระทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง แต่หลังการปฏิรูปสถาบันการเงิน 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง แม้การทำธุรกรรมทางการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และมีการแข่งขันกันสูง แต่กำไรของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง
ไม่ว่าจะเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินยังเป็นตัวกลางสำคัญของเศรษฐกิจ วันนี้ระบบการเงินก้าวสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทั่วทุกมุมโลก
ปัญหาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอร้องแกมบังคับธนาคารพาณิชย์คือการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมต่างๆให้เป็นธรรมและเหมาะสม หลังพบว่าธนาคารพาณิชย์มีรายได้จากค่าธรรมเนียมปีละหลายหมื่นล้านบาท
ผู้อำนวยการด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ศึกษาข้อเท็จจริงของปัญหาโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแนวทางการดำเนินนโยบายของ ธปท. ที่ว่าจ้างทีดีอาร์ไอศึกษาเรื่อง “การแข่งขันในการให้บริการโอนเงินเข้าบัญชีระหว่างธนาคารและบริการฝาก ถอน โอนเงินผ่านเอทีเอ็ม” ระบุว่า ธปท. คิดผิดและไม่ควรชดเชยรายได้ให้ใคร เพราะค่าธรรมเนียมเช็คไม่ควรจะมีเพดาน ไม่ใช่เรื่องที่ ธปท. จะตัดสินใจ ยิ่งให้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมใบเช็คจากปัจจุบันที่เรียกเก็บฉบับละ 15 บาท แม้ต้นทุนจะสูงกว่านั้น แต่ควรให้เกิดการแข่งขันทางการค้า โดยการยกเลิกเพดานค่าธรรมเนียมใบเช็ค ไม่เช่นนั้นธนาคารพาณิชย์จะยังฮั้วกันอีก
มาตรา 27 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ระบุว่า การกำหนดราคาร่วมกันเป็นความผิด โดยห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจใดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นกระทำการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในตลาด ทั้งการกำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือแม้กระทั่งทำความตกลงร่วมกันเพื่อเข้าครอบครองตลาดหรือควบคุมตลาดถือเป็นความผิด ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าธนาคารพาณิชย์มีพฤติกรรมตกลงค่าธรรมเนียมร่วมกันก่อนเสนอให้ ธปท. อาจเข้าข่ายการกำหนดราคาร่วมกันถือเป็นความผิด ประชาชนที่เห็นว่าได้รับความเสียหายควรจะยื่นฟ้อง
แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าโครงสร้างค่าธรรมเนียมคือการสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันปัญหาธรรมาภิบาลในระบบเศรษฐกิจไทยยังเป็นปัญหาใหญ่ หน่วยงานของรัฐไม่เพียงเพิกเฉย แต่ยังไม่เข้าใจอย่างแท้อีกด้วย
**********************************************************************
ในอดีตที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ถูกประณามว่าเหมือนปลิงดูดเลือด และถือเป็นธุรกิจที่มีอิทธิพลอย่างมากกับเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีกำไรมากที่สุด นายแบงก์เหมือนพระเจ้าที่ลูกค้าต้องอ้อนวอนเพื่อให้ช่วยปล่อยสินเชื่อหรือเงินกู้ แม้ดอกเบี้ยจะแพงแค่ไหนก็ตาม แต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ต่างกับหลายธุรกิจที่เต็มไปด้วยของเน่า ทั้งยังมีการกระทำผิดกฎหมายหลายเรื่อง แต่หลังการปฏิรูปสถาบันการเงิน 10 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง แม้การทำธุรกรรมทางการเงินจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก และมีการแข่งขันกันสูง แต่กำไรของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับสูง
ไม่ว่าจะเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินยังเป็นตัวกลางสำคัญของเศรษฐกิจ วันนี้ระบบการเงินก้าวสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทั่วทุกมุมโลก
ปัญหาที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอร้องแกมบังคับธนาคารพาณิชย์คือการปรับโครงสร้างค่าธรรมเนียมต่างๆให้เป็นธรรมและเหมาะสม หลังพบว่าธนาคารพาณิชย์มีรายได้จากค่าธรรมเนียมปีละหลายหมื่นล้านบาท
ผู้อำนวยการด้านการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ที่ศึกษาข้อเท็จจริงของปัญหาโครงสร้างค่าธรรมเนียมและแนวทางการดำเนินนโยบายของ ธปท. ที่ว่าจ้างทีดีอาร์ไอศึกษาเรื่อง “การแข่งขันในการให้บริการโอนเงินเข้าบัญชีระหว่างธนาคารและบริการฝาก ถอน โอนเงินผ่านเอทีเอ็ม” ระบุว่า ธปท. คิดผิดและไม่ควรชดเชยรายได้ให้ใคร เพราะค่าธรรมเนียมเช็คไม่ควรจะมีเพดาน ไม่ใช่เรื่องที่ ธปท. จะตัดสินใจ ยิ่งให้ปรับขึ้นค่าธรรมเนียมใบเช็คจากปัจจุบันที่เรียกเก็บฉบับละ 15 บาท แม้ต้นทุนจะสูงกว่านั้น แต่ควรให้เกิดการแข่งขันทางการค้า โดยการยกเลิกเพดานค่าธรรมเนียมใบเช็ค ไม่เช่นนั้นธนาคารพาณิชย์จะยังฮั้วกันอีก
มาตรา 27 พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า พ.ศ. 2542 ระบุว่า การกำหนดราคาร่วมกันเป็นความผิด โดยห้ามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจใดร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอื่นกระทำการผูกขาด หรือลดการแข่งขัน หรือจำกัดการแข่งขันในตลาด ทั้งการกำหนดราคาขายสินค้าหรือบริการเป็นราคาเดียวกัน หรือตามที่ตกลงกัน หรือแม้กระทั่งทำความตกลงร่วมกันเพื่อเข้าครอบครองตลาดหรือควบคุมตลาดถือเป็นความผิด ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าธนาคารพาณิชย์มีพฤติกรรมตกลงค่าธรรมเนียมร่วมกันก่อนเสนอให้ ธปท. อาจเข้าข่ายการกำหนดราคาร่วมกันถือเป็นความผิด ประชาชนที่เห็นว่าได้รับความเสียหายควรจะยื่นฟ้อง
แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าโครงสร้างค่าธรรมเนียมคือการสะท้อนให้เห็นว่าปัจจุบันปัญหาธรรมาภิบาลในระบบเศรษฐกิจไทยยังเป็นปัญหาใหญ่ หน่วยงานของรัฐไม่เพียงเพิกเฉย แต่ยังไม่เข้าใจอย่างแท้อีกด้วย
**********************************************************************
11 นักฆ่า
ข่าวสดรายวันคอลัมน์ เหล็กใน
นอกจากเหตุระเบิดที่บางบัวทอง ซึ่งเชื่อมโยงกับระเบิด หลายจุดก่อนหน้านี้ และยังเกี่ยวพันไปถึงกลุ่ม 'แดงฮาร์ดคอร์' แล้ว
คดีจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตในจ.เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งคดีที่ถูกจับตาอย่างมาก
เพราะฝ่ายรัฐบาลพยายามตีปี๊บว่าทั้ง 11 คน คือ 'กลุ่มนักฆ่า' ที่ฝึกปรือฝีมือเพื่อลอบสังหารบุคคลสำคัญในเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นาย สุเทพ เทือบสุบรรณ รองนายกฯ รวมไปถึง นายเนวิน ชิดชอบ ผู้มากบารมีตัวจริงของพรรคภูมิใจไทย!!
ดีเอสไอขอรับช่วงทำคดีนี้ต่อเลยยิ่งสนุกใหญ่ กับข่าวที่ออกมาเป็นระลอกๆ
แต่ที่น่าสนใจก็คือทั้ง 11 คนยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ มีแต่การออกข่าวจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอาวุธที่กัมพูชา และมาปักหลักที่เชียงใหม่เพื่อรอลงมือ หรือจริงๆ แล้วกลุ่มนักฆ่ามีถึง 39 คน
จนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. ฟันธงว่าต่อไปจะมีปั้นเรื่องออกมาให้ข่าวเชื่อมโยงเป็นทอดๆ
สุดท้ายก็จะไปถึงศัตรูทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
แถมแนวโน้มก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รรท.ผบช.ภาค 5 ออกมาเปรยๆ ว่าจะกันตัวทั้ง 11 คนเป็นพยาน!?
และนายเนวิน หนึ่งในบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นเป้าสังหาร ออกมาแถลงทั้งน้ำตาคลอเบ้าอ้างว่ารู้ข่าวลึกๆ เช่นกัน
โดยพาดพิงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!?
ขณะที่เจ้าของรีสอร์ตซึ่งถูกระบุว่าเป็นแหล่งฝึกนักฆ่า ออกมาโต้ทันทีว่าพวกนี้เป็นเพียงคนงานก่อสร้างที่นายจ้างมาเปิดห้องให้พักเท่านั้น
พร้อมเผยเบื้องหลังว่ามาจากตั้งวงก๊งเหล้าจนเมาแล้วมีเรื่องกัน แล้วมีคนหนึ่งไม่พอใจออกไปแจ้งความและพูดเป็นตุเป็นตะ
ซึ่งก็ตรงกับฝ่ายตำรวจเพราะการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมี 1 ใน 11 ชายฉกรรจ์มาพบตำรวจอ้างว่าทนฝึกหนักไม่ไหว จึงมาขอความช่วยเหลือ!?
และเมื่อตำรวจไปจับกุมก็ไม่พบหลักฐาน โดยเฉพาะอาวุธที่น่าจะมีจำนวนมาก
กรณีเช่นนี้เป็นเหมือนดาบ 2 คม หากเป็นจริงก็ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง ที่การเล่นเกมใต้ดินพัฒนาไปอีกขั้น แต่ไม่มีสืบสาวไปถึงต้นตอจริงๆ
มีแนวโน้มจะเป็นการจับเรื่องโน้นมาปะติดปะต่อกับเรื่องนี้ แล้วสรุปเอาเองเป็นคุ้งเป็นแคว เพื่อหวังเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
แล้วถ้าความจริงเปิดเผยออกมาในอนาคต ภาครัฐจะรับผิดชอบอย่างไร
จะตะแบงไปเรื่อยๆ เหมือนกรณีไม่มีสไนเปอร์ของทหารในการปราบผู้ชุมนุม หรือคดีฆ่า 6 ศพวัดปทุมวนาราม
ยังน่าสงสัยอยู่!?
คดีจับกุม 11 ชายฉกรรจ์ที่รีสอร์ตในจ.เชียงใหม่ เป็นอีกหนึ่งคดีที่ถูกจับตาอย่างมาก
เพราะฝ่ายรัฐบาลพยายามตีปี๊บว่าทั้ง 11 คน คือ 'กลุ่มนักฆ่า' ที่ฝึกปรือฝีมือเพื่อลอบสังหารบุคคลสำคัญในเมืองไทย
ไม่ว่าจะเป็น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ นาย สุเทพ เทือบสุบรรณ รองนายกฯ รวมไปถึง นายเนวิน ชิดชอบ ผู้มากบารมีตัวจริงของพรรคภูมิใจไทย!!
ดีเอสไอขอรับช่วงทำคดีนี้ต่อเลยยิ่งสนุกใหญ่ กับข่าวที่ออกมาเป็นระลอกๆ
แต่ที่น่าสนใจก็คือทั้ง 11 คนยังไม่ถูกแจ้งข้อหาใดๆ มีแต่การออกข่าวจากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว
ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอาวุธที่กัมพูชา และมาปักหลักที่เชียงใหม่เพื่อรอลงมือ หรือจริงๆ แล้วกลุ่มนักฆ่ามีถึง 39 คน
จนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช. ฟันธงว่าต่อไปจะมีปั้นเรื่องออกมาให้ข่าวเชื่อมโยงเป็นทอดๆ
สุดท้ายก็จะไปถึงศัตรูทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์
แถมแนวโน้มก็อาจจะเป็นไปได้ เพราะ พล.ต.ต.ชัยยะ ศิริอัมพันธ์กุล รรท.ผบช.ภาค 5 ออกมาเปรยๆ ว่าจะกันตัวทั้ง 11 คนเป็นพยาน!?
และนายเนวิน หนึ่งในบุคคลที่ถูกระบุว่าเป็นเป้าสังหาร ออกมาแถลงทั้งน้ำตาคลอเบ้าอ้างว่ารู้ข่าวลึกๆ เช่นกัน
โดยพาดพิงไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วย!?
ขณะที่เจ้าของรีสอร์ตซึ่งถูกระบุว่าเป็นแหล่งฝึกนักฆ่า ออกมาโต้ทันทีว่าพวกนี้เป็นเพียงคนงานก่อสร้างที่นายจ้างมาเปิดห้องให้พักเท่านั้น
พร้อมเผยเบื้องหลังว่ามาจากตั้งวงก๊งเหล้าจนเมาแล้วมีเรื่องกัน แล้วมีคนหนึ่งไม่พอใจออกไปแจ้งความและพูดเป็นตุเป็นตะ
ซึ่งก็ตรงกับฝ่ายตำรวจเพราะการจับกุมครั้งนี้ เนื่องจากมี 1 ใน 11 ชายฉกรรจ์มาพบตำรวจอ้างว่าทนฝึกหนักไม่ไหว จึงมาขอความช่วยเหลือ!?
และเมื่อตำรวจไปจับกุมก็ไม่พบหลักฐาน โดยเฉพาะอาวุธที่น่าจะมีจำนวนมาก
กรณีเช่นนี้เป็นเหมือนดาบ 2 คม หากเป็นจริงก็ถือว่าอันตรายอย่างยิ่ง ที่การเล่นเกมใต้ดินพัฒนาไปอีกขั้น แต่ไม่มีสืบสาวไปถึงต้นตอจริงๆ
มีแนวโน้มจะเป็นการจับเรื่องโน้นมาปะติดปะต่อกับเรื่องนี้ แล้วสรุปเอาเองเป็นคุ้งเป็นแคว เพื่อหวังเล่นงานฝ่ายตรงข้าม
แล้วถ้าความจริงเปิดเผยออกมาในอนาคต ภาครัฐจะรับผิดชอบอย่างไร
จะตะแบงไปเรื่อยๆ เหมือนกรณีไม่มีสไนเปอร์ของทหารในการปราบผู้ชุมนุม หรือคดีฆ่า 6 ศพวัดปทุมวนาราม
ยังน่าสงสัยอยู่!?
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ผู้บริสุทธิ์!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
นี่จะเป็นคดีความทางประวัติศาสตร์...โดยที่โจทย์ไม่กล้าดำเนินการยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลอุทธรณ์ เพราะ “กลัวแพ้คดี” โดยเฉพาะบัณฑิตผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายมองว่า “มีแต่เสีย...ไม่มีได้” เพราะผู้แพ้ต้องจ่ายเงินก้อนโตซึ่งเรียกว่า “ดอกเบี้ย” มากกว่าตามหลักกฎหมายที่มีไว้ใช้คำนวณ
ทำไมเรื่องที่เป็น “ข่าวใหญ่” จึงมีพื้นที่อยู่ในมุมเล็กๆ ตามสื่อต่างๆ กรณี “บอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ” มีมติไม่ยื่นอุทธรณ์ และศาลมีคำสั่งตัดสินให้คืนเงินขายที่ดินรัชดาแก่ “คุณหญิงพจมาน” อดีตภรรยานายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นจำนวนเงินกว่า 800 ล้านบาท...รวมทั้งต้น ทั้งดอก
หากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้...กระทั่งทหารเอารถถังและถือปืนออกมาทำ “การปฏิวัติ” ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินรัชดานี้มิใช่หรือ? ซึ่งคนบางกลุ่มถึงกับกระวนกระวายเพราะ “ยอมไม่ได้” กับข้อกล้าวหาที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มั่งมีกระทำการโกงชาติโกงแผ่นดิน...และวันนี้เมื่อความจริงปรากฎ...ทำไมคนเหล่านั้นจึง “ปิดปากเงียบ” ไม่มีใครออกมาพูดอะไรเลยสักคำ
ดอกเบี้ย 7.5% ที่คุณหญิงพจมานได้รับคืนจากเงินต้น 772 ล้านบาท...หากนั่งดีดลูดคิดเป็นตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 51 ล้านบาท...รวมเป็นเงิน 823 ล้านบาทเศษ นั่นหมายความว่า “คุณหญิงพจมาน” พ้นความผิด และเป็นผู้ชนะคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกระบวนการยุติกรรมในการจ่ายดอกเบี้ยเพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทน
แต่ต้องถามว่าเงิน 51 ล้านบาทกับการที่ประเทศชาติต้องถอยหลังลงคลองนับ 10 ปี...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาตายร่วม 100 บาดเจ็บร่วม 1000...และงบประมาณแผ่นดินซึ่งถูกผลาญกันเป็นว่าเล่น...มันคุ้มค่าแล้วหรือ? กับการขับไล่ไสส่งคนเพียงคนเดียว...แต่ทำให้ประเทศชาติต้องย่อยยับและฉิบหายกลายเป็นผู้พิการ
คำตัดสินเรื่องนี้แปลว่า “ไม่มีใครผิด” โดยเฉพาะ “คุณหญิงพจมาน” ซึ่งเป็นผู้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับทางกองทุน...และสำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะคู่สมรส (ขณะนั้น) ที่ยินยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย...คำถามมีว่าเขาทำความผิดอะไร?...มันเป็นความผิดถึงขั้นเป็นผู้ร้ายฆ่าคน หรือเป็นความผิดเพราะอคติส่วนตน
ว่ากันว่า...มนุษย์ไม่สามารถ “ย้อนเวลา” กลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต...เว้นแต่ในหนังในละครที่มี “ไทม์แมชชีน” ใช้เป็นยานพาหนะข้ามเวลาคอยช่วยเหลือ...แต่หากย้อนเวลากลับไปได้...ผู้มีอำนาจจะยังคงไล่เบี้ยและยัดเยียดความผิดให้กับคนๆ หนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” อยู่หรือไม่?
วันนี้คงไม่มีใครอยากย้อนเวลาไปหาอดีตอันขมขื่น...มีแต่ความต้องการก้าวล่วงเวลาไปสู่อนาคต เพื่อให้ตนได้ลืมตาอ้าปาก และประเทศชาติดำรงอยู่ในจุดที่ศิวิไลซ์...ในอดีต “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้ต้องออกจากประเทศ...แต่ในอนาคตเขาอาจจะกลับมาอยู่ในที่ๆ เคยอยู่...คดีที่ดินรัชดากำลังบอกอะไรกับพวกเรา...ถึงเวลาแล้วหรือที่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะได้กลับประเทศไม่ด้วยวิธีใดก็ทางหนึ่ง?
ทำไมเรื่องที่เป็น “ข่าวใหญ่” จึงมีพื้นที่อยู่ในมุมเล็กๆ ตามสื่อต่างๆ กรณี “บอร์ดกองทุนฟื้นฟูฯ” มีมติไม่ยื่นอุทธรณ์ และศาลมีคำสั่งตัดสินให้คืนเงินขายที่ดินรัชดาแก่ “คุณหญิงพจมาน” อดีตภรรยานายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นจำนวนเงินกว่า 800 ล้านบาท...รวมทั้งต้น ทั้งดอก
หากย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อนหน้านี้...กระทั่งทหารเอารถถังและถือปืนออกมาทำ “การปฏิวัติ” ปัญหาเกี่ยวกับที่ดินรัชดานี้มิใช่หรือ? ซึ่งคนบางกลุ่มถึงกับกระวนกระวายเพราะ “ยอมไม่ได้” กับข้อกล้าวหาที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้มั่งมีกระทำการโกงชาติโกงแผ่นดิน...และวันนี้เมื่อความจริงปรากฎ...ทำไมคนเหล่านั้นจึง “ปิดปากเงียบ” ไม่มีใครออกมาพูดอะไรเลยสักคำ
ดอกเบี้ย 7.5% ที่คุณหญิงพจมานได้รับคืนจากเงินต้น 772 ล้านบาท...หากนั่งดีดลูดคิดเป็นตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 51 ล้านบาท...รวมเป็นเงิน 823 ล้านบาทเศษ นั่นหมายความว่า “คุณหญิงพจมาน” พ้นความผิด และเป็นผู้ชนะคดี ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามกระบวนการยุติกรรมในการจ่ายดอกเบี้ยเพื่อเป็นค่าสินไหมทดแทน
แต่ต้องถามว่าเงิน 51 ล้านบาทกับการที่ประเทศชาติต้องถอยหลังลงคลองนับ 10 ปี...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องมาตายร่วม 100 บาดเจ็บร่วม 1000...และงบประมาณแผ่นดินซึ่งถูกผลาญกันเป็นว่าเล่น...มันคุ้มค่าแล้วหรือ? กับการขับไล่ไสส่งคนเพียงคนเดียว...แต่ทำให้ประเทศชาติต้องย่อยยับและฉิบหายกลายเป็นผู้พิการ
คำตัดสินเรื่องนี้แปลว่า “ไม่มีใครผิด” โดยเฉพาะ “คุณหญิงพจมาน” ซึ่งเป็นผู้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายกับทางกองทุน...และสำหรับคนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ในฐานะคู่สมรส (ขณะนั้น) ที่ยินยอมให้ทำสัญญาซื้อขาย...คำถามมีว่าเขาทำความผิดอะไร?...มันเป็นความผิดถึงขั้นเป็นผู้ร้ายฆ่าคน หรือเป็นความผิดเพราะอคติส่วนตน
ว่ากันว่า...มนุษย์ไม่สามารถ “ย้อนเวลา” กลับไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต...เว้นแต่ในหนังในละครที่มี “ไทม์แมชชีน” ใช้เป็นยานพาหนะข้ามเวลาคอยช่วยเหลือ...แต่หากย้อนเวลากลับไปได้...ผู้มีอำนาจจะยังคงไล่เบี้ยและยัดเยียดความผิดให้กับคนๆ หนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้บริสุทธิ์” อยู่หรือไม่?
วันนี้คงไม่มีใครอยากย้อนเวลาไปหาอดีตอันขมขื่น...มีแต่ความต้องการก้าวล่วงเวลาไปสู่อนาคต เพื่อให้ตนได้ลืมตาอ้าปาก และประเทศชาติดำรงอยู่ในจุดที่ศิวิไลซ์...ในอดีต “ทักษิณ ชินวัตร” ถูกทำให้ต้องออกจากประเทศ...แต่ในอนาคตเขาอาจจะกลับมาอยู่ในที่ๆ เคยอยู่...คดีที่ดินรัชดากำลังบอกอะไรกับพวกเรา...ถึงเวลาแล้วหรือที่ “ทักษิณ ชินวัตร” จะได้กลับประเทศไม่ด้วยวิธีใดก็ทางหนึ่ง?
เกมล่าสังหาร-นิรโทษ และฟุตบอล 'เนวิน' ส่งก้อนอิฐถึง 'ทักษิณ'
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
สัมภาษณ์
บารมี อำนาจ วาสนา คนการเมืองมักวัดด้วยดัชนี "ดอกไม้-ของขวัญ" ในวันคล้ายวันเกิด
เมื่อคราว บรรหาร ศิลปอาชา อายุ 78 ปี มีดอกไม้ท่วมพรรค
เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย มักได้รับดอกไม้พระราชทานวันคล้ายวันเกิด
วันคล้ายวันเกิด "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถูกจัดอย่างเรียบง่ายในบ้านสุขุมวิท ด้วยการตักบาตรพระสงฆ์ 1 รูป
วันคล้ายวันเกิดวัย 52 ของ "เนวิน ชิดชอบ" เขาปลื้มของกำนัลที่นักเตะทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ เตะชิง 2 ประตู จากทีม ทีทีเอ็ม พิจิตร มาสะสมคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก
ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมืองท้องถิ่น และ ส.ส.ในเขตภาคอีสาน ต่างมีตารางนัดหมายที่บ้านของ "เนวิน" ใน จ.บุรีรัมย์
หลังรับแขก "เนวิน" เปิดใจ ทั้งเรื่องค่าหัว-ค่าชีวิต และคนเคยรักชื่อ "ทักษิณ" อนาคตของ "ภูมิใจไทย" และลมหายใจ ของเขาในวันพรุ่งนี้
"ผมอยากวิงวอนไปอีกครั้งนะครับ ชีวิตผมไม่เป็นไร แต่อยากขอให้เห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทยจริง หยุดเถอะครับ...หาวิธีอื่นในการทำให้ประเทศนี้ได้อยู่กันอย่างสงบ"
เจ้านายเก่า-คนเคยรัก-ทักษิณ ในใจของ "เนวิน" มีมโนภาพแจ่มชัดเหมือน ตาเห็น
"ผมต้องเรียนตรง ๆ ว่า ชีวิตท่านไม่ลำบากหรอกครับ แม้ท่านจะไม่ได้อยู่ประเทศไทย ท่านก็ไม่ลำบาก แต่ตอนนี้ พี่น้องประชาชนในประเทศไทยกำลังลำบากจากพฤติกรรมที่ท่านได้ทำ...ขอเถอะครับ ถ้ารักคนไทยจริง รักประเทศไทยจริง... หยุดสิ่งที่ท่านทำเถอะครับ"
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคน ชื่อ "ทักษิณ" คนชื่อ "เนวิน" ไม่เคยละสายตา
"วันนี้ผมคิดว่า คนทั้งประเทศคงเข้าใจว่าผมคงไม่สามารถสร้างความเกลียดชัง โกรธแค้นจนกระทั่งต้องหาคนมาทำร้ายผม คนที่จะโกรธผมเกลียดผมขนาดนี้ในประเทศไทยมีไม่กี่คนหรอกครับ แต่คนที่จะมีเงินจ้างคนมาทำร้ายผมมาขนาดนี้ ผมคิดว่ามีคนเดียวครับ"
เนวินและพวกอีก 4-5 ชีวิต กลายเป็นคนข้างเดียวกัน มีศัตรูคนเดียวกัน
"ผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านรัฐมนตรีกลาโหม ท่าน ผบ.ทบ. ...ผมว่าพวกเรา 4-5 คนมีชีวิตไม่ต่างกันหรอกครับ แต่สิ่งที่บ้านเมืองกำลังเสียหายอยู่ บ้านเมืองกำลังบอบช้ำอยู่ เป็นการทำร้าย คนไทย และฆ่าคนไทยทั้งประเทศครับ"
"คนที่โกรธผมจนคิดจะทำอย่างนี้ได้ มีไม่กี่คน แล้วคนที่มีกำลังเงินที่จะจ้างด้วยวงเงินขนาดนี้ ก็คงไม่มีเกิน 1 คนหรอกครับ...ขอเถอะครับ เห็นแก่บ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทย รักคนไทยจริง ก็หยุดเถอะครับ ผมว่าสิ่งที่ท่านมี สิ่งที่ท่านเป็น และสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ขณะนี้ ตายแล้วเกิดใหม่อีก 3 ชาติ ท่านก็ใช้ไม่หมดหรอกครับ"
"ท่านมีความสุขมากกว่าคนไทย ทั้งประเทศครับ ขอความกรุณาอย่าทำร้าย คนไทยมากไปกว่านี้อีกเลยครับ"
เขาบรรยายภาพ "เจ้านายเก่า" ที่เสวยสุขอยู่ต่างแดน เทียบกับภาพชีวิตของเขาที่ต้องคอยระวัง "คำขู่" และ หลบเร้นให้พ้นพื้นที่ "ลอบสังหาร"
"ถ้าจะทำอะไรก็ทำที่ตัวผม ซึ่งผมคิดว่าสิ่งที่ผมประกาศไปได้ปรากฏชัดแล้ว ว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่การพูดเพื่อเปิดประเด็นทางการเมือง แต่มีคนที่มีความตั้งใจ ที่จะลอบสังหาร และสิ่งที่ผมได้รับทราบมา ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่เป็นเป้าหมาย ยังมีคนอื่นที่ยังเป็นเป้าหมายของกลุ่ม คนเหล่านี้อยู่ ผมคิดว่าบ้านเมืองเจริญ แล้วนะครับ"
"เราสู้กันเอาแพ้เอาชนะด้วยเหตุผล ถ้าบอกว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอให้ยึดมั่นในการที่จะรับฟังเสียงประชาชน การใช้กำลัง การใช้วิธีอย่าง ที่พยายามจะกระทำกับตัวผม หรือใครก็ตามแต่ที่มีจุดยืนทางการเมืองเหมือน กับผม มันรังแต่จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย"
เรื่องเป็น-เรื่องตาย กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "เนวิน" เผชิญหน้าทุกนาที
"ถ้าผมตาย...ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่เหตุที่จะเกิดขึ้นกับตัวผมหรือครอบครัวผม มันจะยิ่งสะท้อนให้บ้านเมืองเสียหาย บอบช้ำมากไปกว่านี้ และยังมีอีกหลายคน ที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดว่าบ้านเมืองจะเสียหายมาก"
"เพราะฉะนั้นก็สุดแท้แต่นะครับ ผมคิดว่าสังคมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครเป็น ฝ่ายถูก ใครเป็นฝ่ายผิด พฤติกรรมของ แต่ละคนที่ได้แสดงออก ในการชนะ คะคานก็จะเป็นตัวชี้ และประชาชนจะได้เห็นว่าใครกันแน่ที่ทำลายบ้านเมือง ใครกันแน่ที่ไม่ได้รักบ้านเมือง ใครที่ ปากบอกว่ารักบ้านเมือง แต่การกระทำ การสั่งการ การบงการทำร้ายบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองเราเกือบจะไม่มีใครอยาก มาเที่ยวอยากมาลงทุนอีกแล้ว"
เนวิน-ส่งสัญญาณ ถึงฝ่ายตรงข้าม- คู่แค้น
"ผมคิดว่าข้อเท็จจริงมันประจักษ์ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ใครถูกตำรวจจับแล้วจะมารับสารภาพว่ารับจ้างมาทำร้ายใคร ลอบสังหารใคร เพราะนั่นหมายถึงโทษประหารชีวิต เพราะฉะนั้นผมต้องบอก ตรง ๆ นะครับว่า สิ่งที่ท่านประกาศต่อสังคม แล้วบอกว่าต้องการเห็นการ ปรองดอง บอกว่าต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่สิ่งที่ท่านและพรรคพวก ปฏิบัติอยู่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านประพฤติ ประกาศต่อสาธารณชน
อาจเป็นไปได้ว่า "คู่แค้น-คนเคยรัก" อาจระแวงถึงตำแหน่งใหญ่ที่คนในวงการเมืองใฝ่ฝัน "เนวิน" จึงยืนยันคำย้ำอีกครั้ง คำเคยพูด "ไม่เล่นการเมือง"
"อนาคตของผมก็คือเป็นนายเนวินที่เป็นคนไทย และถ้าจะทำอะไรได้เพื่อให้บ้านเมืองนี้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมยินดีครับ ผมบอกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะครับว่าชีวิตนี้จะไม่เห็นผมกลับไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้วครับ นี่ก็เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง"
อนาคตตัวเองเขาพูดได้ชัดเจน แต่อนาคตของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และอนาคตของ "แนวร่วม-แนวรบ" ของเขายังถูกงำประกาย
ดังนั้น ข่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ที่จะปรากฏตัวเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูก "เนวิน" ประเมินว่า "เกินไปครับ"
"พรุ่งนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมตื่นมาผมจะหายใจอยู่หรือเปล่า แต่ยืนยันว่าตราบใด ที่ท่านชวรัตน์ยังมีความพร้อม มีความแข็งแรง เช่นในปัจจุบัน ท่านก็จะเป็น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าสู่สนาม เลือกตั้งครับ"
ชีวิต-ลมหายใจของพรรคภูมิใจไทย หลังเลือกตั้ง แม้ไกลเกินวิเคราะห์ แต่ "เนวิน" มีเวิร์ดดิ้ง-วาระ ที่นำเสนอแล้วสอดคล้องกับทุกบริบทการเมือง
"จุดยืนพรรคคือทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่สังคมและบ้านเมืองต้องการ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต เท่านั้นแหละครับ การเมือง"
เรื่องขั้ว-เรื่องค่าย และแบ่งฝ่ายในนาม ฝ่ายค้าน-รัฐบาล และความสัมพันธ์ฉันท์การเมืองกับ "พรรคประชาธิปัตย์" และพรรคเพื่อไทยนั้น "เนวิน" ไม่คิดผูกมัด จากการผ่านพบ
"ผมบอกแล้วว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องแล้ว แต่สังคม คนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นคนกำหนด ผมคิดว่าสังคมส่วนใหญ่เห็นจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค การเมือง วันนี้สังคมได้เห็นแล้วว่าพรรคการเมืองไหนมีแนวทางทางการ เมืองอย่างไร และมีจุดยืนอย่างไร"
ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น พรรคของ "เนวิน" เปิดเวทีหาเสียงล่วงหน้าด้วย การเสนอ "กฎหมายนิรโทษกรรม" และการปรองดอง ด้วยสารตั้งต้น 1 แสนชื่อ
"ผมอยากเรียกร้องให้สังคมฟังเสียงญาติของแพะ หรือแพะทางการเมือง ที่ต้องมารับกรรมจากการชุมนุม ทาง การเมืองโดยบริสุทธิ์ มากกว่า ฟังเสียงแกนนำ มากกว่าฟังเสียงของนักการเมือง ที่ทำให้บ้านเมืองมีสภาพ เป็นอย่างนี้"
"การช่วยชีวิตคนที่ตกเป็นแพะให้พ้น จากความทุกข์ต้องรอหรือ ผมถามว่าวันนี้บ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขต้องรอนักการเมืองเจรจาตกลงปรองดองกันได้เสียก่อน หรือจึงจะมาช่วยเหลือประชาชน หรือถ้าคิดว่าคุณจะเป็นผู้นำการเมือง ต้องเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง อย่างที่ชอบประกาศบนเวที"
สัมภาษณ์
บารมี อำนาจ วาสนา คนการเมืองมักวัดด้วยดัชนี "ดอกไม้-ของขวัญ" ในวันคล้ายวันเกิด
เมื่อคราว บรรหาร ศิลปอาชา อายุ 78 ปี มีดอกไม้ท่วมพรรค
เช่นเดียวกับอดีตนายกรัฐมนตรี ชวน หลีกภัย มักได้รับดอกไม้พระราชทานวันคล้ายวันเกิด
วันคล้ายวันเกิด "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถูกจัดอย่างเรียบง่ายในบ้านสุขุมวิท ด้วยการตักบาตรพระสงฆ์ 1 รูป
วันคล้ายวันเกิดวัย 52 ของ "เนวิน ชิดชอบ" เขาปลื้มของกำนัลที่นักเตะทีมบุรีรัมย์ พีอีเอ เตะชิง 2 ประตู จากทีม ทีทีเอ็ม พิจิตร มาสะสมคะแนนในตารางพรีเมียร์ลีก
ทั้งข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน นักการเมืองท้องถิ่น และ ส.ส.ในเขตภาคอีสาน ต่างมีตารางนัดหมายที่บ้านของ "เนวิน" ใน จ.บุรีรัมย์
หลังรับแขก "เนวิน" เปิดใจ ทั้งเรื่องค่าหัว-ค่าชีวิต และคนเคยรักชื่อ "ทักษิณ" อนาคตของ "ภูมิใจไทย" และลมหายใจ ของเขาในวันพรุ่งนี้
"ผมอยากวิงวอนไปอีกครั้งนะครับ ชีวิตผมไม่เป็นไร แต่อยากขอให้เห็นแก่ความสงบสุขของบ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทยจริง หยุดเถอะครับ...หาวิธีอื่นในการทำให้ประเทศนี้ได้อยู่กันอย่างสงบ"
เจ้านายเก่า-คนเคยรัก-ทักษิณ ในใจของ "เนวิน" มีมโนภาพแจ่มชัดเหมือน ตาเห็น
"ผมต้องเรียนตรง ๆ ว่า ชีวิตท่านไม่ลำบากหรอกครับ แม้ท่านจะไม่ได้อยู่ประเทศไทย ท่านก็ไม่ลำบาก แต่ตอนนี้ พี่น้องประชาชนในประเทศไทยกำลังลำบากจากพฤติกรรมที่ท่านได้ทำ...ขอเถอะครับ ถ้ารักคนไทยจริง รักประเทศไทยจริง... หยุดสิ่งที่ท่านทำเถอะครับ"
ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของคน ชื่อ "ทักษิณ" คนชื่อ "เนวิน" ไม่เคยละสายตา
"วันนี้ผมคิดว่า คนทั้งประเทศคงเข้าใจว่าผมคงไม่สามารถสร้างความเกลียดชัง โกรธแค้นจนกระทั่งต้องหาคนมาทำร้ายผม คนที่จะโกรธผมเกลียดผมขนาดนี้ในประเทศไทยมีไม่กี่คนหรอกครับ แต่คนที่จะมีเงินจ้างคนมาทำร้ายผมมาขนาดนี้ ผมคิดว่ามีคนเดียวครับ"
เนวินและพวกอีก 4-5 ชีวิต กลายเป็นคนข้างเดียวกัน มีศัตรูคนเดียวกัน
"ผมคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีไปกว่าผม ท่านรัฐมนตรีกลาโหม ท่าน ผบ.ทบ. ...ผมว่าพวกเรา 4-5 คนมีชีวิตไม่ต่างกันหรอกครับ แต่สิ่งที่บ้านเมืองกำลังเสียหายอยู่ บ้านเมืองกำลังบอบช้ำอยู่ เป็นการทำร้าย คนไทย และฆ่าคนไทยทั้งประเทศครับ"
"คนที่โกรธผมจนคิดจะทำอย่างนี้ได้ มีไม่กี่คน แล้วคนที่มีกำลังเงินที่จะจ้างด้วยวงเงินขนาดนี้ ก็คงไม่มีเกิน 1 คนหรอกครับ...ขอเถอะครับ เห็นแก่บ้านเมือง ถ้ารักประเทศไทย รักคนไทยจริง ก็หยุดเถอะครับ ผมว่าสิ่งที่ท่านมี สิ่งที่ท่านเป็น และสิ่งที่ท่านได้รับอยู่ขณะนี้ ตายแล้วเกิดใหม่อีก 3 ชาติ ท่านก็ใช้ไม่หมดหรอกครับ"
"ท่านมีความสุขมากกว่าคนไทย ทั้งประเทศครับ ขอความกรุณาอย่าทำร้าย คนไทยมากไปกว่านี้อีกเลยครับ"
เขาบรรยายภาพ "เจ้านายเก่า" ที่เสวยสุขอยู่ต่างแดน เทียบกับภาพชีวิตของเขาที่ต้องคอยระวัง "คำขู่" และ หลบเร้นให้พ้นพื้นที่ "ลอบสังหาร"
"ถ้าจะทำอะไรก็ทำที่ตัวผม ซึ่งผมคิดว่าสิ่งที่ผมประกาศไปได้ปรากฏชัดแล้ว ว่าสิ่งที่ผมพูดไม่ใช่การพูดเพื่อเปิดประเด็นทางการเมือง แต่มีคนที่มีความตั้งใจ ที่จะลอบสังหาร และสิ่งที่ผมได้รับทราบมา ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่เป็นเป้าหมาย ยังมีคนอื่นที่ยังเป็นเป้าหมายของกลุ่ม คนเหล่านี้อยู่ ผมคิดว่าบ้านเมืองเจริญ แล้วนะครับ"
"เราสู้กันเอาแพ้เอาชนะด้วยเหตุผล ถ้าบอกว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ก็ขอให้ยึดมั่นในการที่จะรับฟังเสียงประชาชน การใช้กำลัง การใช้วิธีอย่าง ที่พยายามจะกระทำกับตัวผม หรือใครก็ตามแต่ที่มีจุดยืนทางการเมืองเหมือน กับผม มันรังแต่จะทำให้บ้านเมืองเสียหาย"
เรื่องเป็น-เรื่องตาย กลายเป็นเรื่องธรรมดา ที่ "เนวิน" เผชิญหน้าทุกนาที
"ถ้าผมตาย...ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่เหตุที่จะเกิดขึ้นกับตัวผมหรือครอบครัวผม มันจะยิ่งสะท้อนให้บ้านเมืองเสียหาย บอบช้ำมากไปกว่านี้ และยังมีอีกหลายคน ที่เป็นเป้าหมายของกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมา ผมคิดว่าบ้านเมืองจะเสียหายมาก"
"เพราะฉะนั้นก็สุดแท้แต่นะครับ ผมคิดว่าสังคมจะเป็นผู้ตัดสินว่าใครเป็น ฝ่ายถูก ใครเป็นฝ่ายผิด พฤติกรรมของ แต่ละคนที่ได้แสดงออก ในการชนะ คะคานก็จะเป็นตัวชี้ และประชาชนจะได้เห็นว่าใครกันแน่ที่ทำลายบ้านเมือง ใครกันแน่ที่ไม่ได้รักบ้านเมือง ใครที่ ปากบอกว่ารักบ้านเมือง แต่การกระทำ การสั่งการ การบงการทำร้ายบ้านเมือง ทำให้บ้านเมืองเราเกือบจะไม่มีใครอยาก มาเที่ยวอยากมาลงทุนอีกแล้ว"
เนวิน-ส่งสัญญาณ ถึงฝ่ายตรงข้าม- คู่แค้น
"ผมคิดว่าข้อเท็จจริงมันประจักษ์ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่ใครถูกตำรวจจับแล้วจะมารับสารภาพว่ารับจ้างมาทำร้ายใคร ลอบสังหารใคร เพราะนั่นหมายถึงโทษประหารชีวิต เพราะฉะนั้นผมต้องบอก ตรง ๆ นะครับว่า สิ่งที่ท่านประกาศต่อสังคม แล้วบอกว่าต้องการเห็นการ ปรองดอง บอกว่าต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข แต่สิ่งที่ท่านและพรรคพวก ปฏิบัติอยู่มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านประพฤติ ประกาศต่อสาธารณชน
อาจเป็นไปได้ว่า "คู่แค้น-คนเคยรัก" อาจระแวงถึงตำแหน่งใหญ่ที่คนในวงการเมืองใฝ่ฝัน "เนวิน" จึงยืนยันคำย้ำอีกครั้ง คำเคยพูด "ไม่เล่นการเมือง"
"อนาคตของผมก็คือเป็นนายเนวินที่เป็นคนไทย และถ้าจะทำอะไรได้เพื่อให้บ้านเมืองนี้กลับไปเป็นเหมือนเดิม ผมยินดีครับ ผมบอกเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะครับว่าชีวิตนี้จะไม่เห็นผมกลับไปดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกแล้วครับ นี่ก็เป็นการยืนยันอีกครั้งหนึ่ง"
อนาคตตัวเองเขาพูดได้ชัดเจน แต่อนาคตของหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และอนาคตของ "แนวร่วม-แนวรบ" ของเขายังถูกงำประกาย
ดังนั้น ข่าวของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ที่จะปรากฏตัวเป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถูก "เนวิน" ประเมินว่า "เกินไปครับ"
"พรุ่งนี้ก็ไม่มีใครรู้หรอกครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมตื่นมาผมจะหายใจอยู่หรือเปล่า แต่ยืนยันว่าตราบใด ที่ท่านชวรัตน์ยังมีความพร้อม มีความแข็งแรง เช่นในปัจจุบัน ท่านก็จะเป็น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เข้าสู่สนาม เลือกตั้งครับ"
ชีวิต-ลมหายใจของพรรคภูมิใจไทย หลังเลือกตั้ง แม้ไกลเกินวิเคราะห์ แต่ "เนวิน" มีเวิร์ดดิ้ง-วาระ ที่นำเสนอแล้วสอดคล้องกับทุกบริบทการเมือง
"จุดยืนพรรคคือทำสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่สังคมและบ้านเมืองต้องการ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยชีวิต เท่านั้นแหละครับ การเมือง"
เรื่องขั้ว-เรื่องค่าย และแบ่งฝ่ายในนาม ฝ่ายค้าน-รัฐบาล และความสัมพันธ์ฉันท์การเมืองกับ "พรรคประชาธิปัตย์" และพรรคเพื่อไทยนั้น "เนวิน" ไม่คิดผูกมัด จากการผ่านพบ
"ผมบอกแล้วว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องแล้ว แต่สังคม คนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นคนกำหนด ผมคิดว่าสังคมส่วนใหญ่เห็นจุดยืนทางการเมืองของแต่ละพรรค การเมือง วันนี้สังคมได้เห็นแล้วว่าพรรคการเมืองไหนมีแนวทางทางการ เมืองอย่างไร และมีจุดยืนอย่างไร"
ก่อนการเลือกตั้งจะเกิดขึ้น พรรคของ "เนวิน" เปิดเวทีหาเสียงล่วงหน้าด้วย การเสนอ "กฎหมายนิรโทษกรรม" และการปรองดอง ด้วยสารตั้งต้น 1 แสนชื่อ
"ผมอยากเรียกร้องให้สังคมฟังเสียงญาติของแพะ หรือแพะทางการเมือง ที่ต้องมารับกรรมจากการชุมนุม ทาง การเมืองโดยบริสุทธิ์ มากกว่า ฟังเสียงแกนนำ มากกว่าฟังเสียงของนักการเมือง ที่ทำให้บ้านเมืองมีสภาพ เป็นอย่างนี้"
"การช่วยชีวิตคนที่ตกเป็นแพะให้พ้น จากความทุกข์ต้องรอหรือ ผมถามว่าวันนี้บ้านเมืองจะกลับมาสงบสุขต้องรอนักการเมืองเจรจาตกลงปรองดองกันได้เสียก่อน หรือจึงจะมาช่วยเหลือประชาชน หรือถ้าคิดว่าคุณจะเป็นผู้นำการเมือง ต้องเอาประชาชนมาเป็นที่ตั้ง อย่างที่ชอบประกาศบนเวที"
ศาล…บนทางแพร่ง
เจริญ คัมภีรภาพ
คนที่คิดและมองว่า “กฎหมาย” “ศาล” และ“ความยุติธรรม” (Justice) เป็นสิ่งเดียวกันหนึ่งหรือ เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้อีกหนึ่งนั้น มักจะมีกรอบและกระบวนคิดเชิงวิเคราะห์ที่รู้จักกันในแวดวงวิชาการว่าเป็นวิธีคิดแบบเชิงโครงสร้าง (structural analysis) ซึ่งมีหนทางการพิจารณาปัญหาอย่างเป็นเหตุปัจจัยต่อกันในมุมมองที่กว้างขวาง ยืดหยุ่นและ อย่างมีพลวัตเมื่อถึงเวลาที่ต้องให้เหตุผลทางกฎหมายต่อการปรับใช้
“กฎหมาย” และ “ข้อเท็จจริง” ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองจึงมุ่งและให้ความสำคัญไปที่ความเป็นธรรมและยุติธรรมในปลายทาง มากกว่าความต้องการเชิงสัญลักษณ์ตามรูปแบบพิธีเพียงเพื่อให้ได้รู้ว่า มีการบังคับใช้อำนาจจากศาล ให้ปรากฎแก่สังคมถึงการมีอยู่ของกฎเกณฑ์หรือกฎหมายที่ว่านั้น บ้างก็ว่าเพื่อต้องการให้เกิดความศักดิ์สิทธิของกฎหมาย และ การมีอยู่ของกฎเกณฑ์ที่ได้ประกาศใช้ในขณะที่อีกกลุ่มความคิดซึ่งไม่ให้ความสนใจหรือเคร่งครัดพิจารณาใคร่ครวญกับความเป็นกฎหมายที่จะต้องนำมาบังคับใช้ว่าเป็นกฎหมายหรือ กฎเกณฑ์ ที่มีที่มาที่ไปจากสถาบันทางการเมืองที่มี
อำนาจหน้าที่โดยถูกต้อง เป็นไปตามมาตรฐานสากลหรือไม่ วัฒนธรรมทางกฎหมายแบบหลังนี้จึงติดหล่มมัวเมาอยู่แต่ในกับดักทางความคิดทางกฎหมาย เป็นไปตามวาทะกรรมที่บันดากลุ่มนิติบริกรมักอ้างความชอบด้วยกฎหมายในแนวทางของตนเองอยู่เสมอว่า เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย หรือ Justice by Laws ที่จะโอนอ่อนผ่อนตามแบบต้นอ้อลู่ไปตามลมซึ่งขึ้นกับว่าใครมีอำนาจในเวลานั้น ๆ เป็นผู้สร้างกฎหมายนั้นมา เช่นถ้าผู้มีอำนาจเป็นคณะรัฐประหารยึดอำนาจรัฐมาโดยวิธีนอกรัฐธรรมนูญฯ ประกาศ คำสั่งใด ๆ ออกมาก็จะถือว่า ประกาศหรือคำสั่งนั้น ๆ เป็น “กฎหมาย” เทียบเคียงกับกฎหมายที่ตราขึ้นจาก“รัฐสภา” ซึ่งเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีอำนาจหน้าที่ที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทำนองเดียวกันกับการประกาศ คำสั่ง ฉุกเฉินใด ๆ ที่ประกาศใช้จากสถานการณ์พิเศษใด ๆ ก็คงยึดถือเป็น
“กฎหมาย” อยู่อย่างนั้น ผลผลิตของวัฒนธรรมทางความคิดในการใช้กฎหมาย (Legal Culture) เช่นนี้ส่งผลอย่างมีนัยะสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวิทยาการเมือง จากการไม่ยอมรับรู้และยินดียินร้ายต่อกกฎหมายหรือคำสั่งที่ไม่เป็นธรรม หรือ เป็นกฎหมายที่มีที่มาที่ไม่ถูกต้องที่คงเป็นเรื่องยากที่จะหาความยุติธรรม ๆ ได้ ในประการสำคัญการใช้กฎหมายตามวัฒนธรรมตามความคิดดังกล่าวนี้ ยิ่งกลับมีส่วนช่วยบ่มเพาะและสร้างเผด็จการอำนาจนิยมพลเรือนขึ้นมาในสังคม
ซึ่งมักใช้วาทะกรรมเพื่อแอบอ้างซ่อนเร้นอำพรางตัวเองแบบข้าง ๆ คู ๆ รองรับการครองอำนาจของตนเองและคณะ ซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับหรือถูกต้องตามทำนองคลองธรรมว่าเพื่อปกป้องหลักนิติรัฐ (Legal State) หรือ ปกป้องหลักนิติธรรม Rule of law ซึ่งแท้ที่จริงคือการปกป้อง การกระทำและบรรดากฎหมายและคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมที่พวกตนได้ประกาศใช้ ซึ่งมีลักษณะตรงกันข้ามกับหลักการที่กล่าวอ้างมาทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ชนิดที่เจ้าของทฤษฎีที่วางรากฐานความคิดได้ยินได้ฟังแล้ว ต้องเป็นลมล้มพับที่ได้รู้ได้เห็นการบิดเบือนหลักการของตนเองแบบหน้าตาเฉย ยิ่งถูกนำไปใช้อย่างผิด ๆ จากอำนาจศาล (Judicial power) ด้วยแล้วยิ่งก่อผลกระทบที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
การปรับและประยุกต์ใช้ กฎหมายภายใต้วัฒนธรรมทางกฎหมายข้างต้นนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความคาดหวังของประชาชนและสังคม ที่มักมีความเชื่อที่คล้าย ๆ กันว่า“ศาล” เป็น “สถานที่” ที่ความขัดแย้งมายุติ อย่าง “ยุติธรรม” หรือ“เป็นธรรม”ไม่ใช่ สถานที่ ที่ทำหน้าที่ “ยุติความเป็นธรรม” หรือที่ ๆ ทำให้ความยุติธรรมเป็นธรรมนั้นหมดไป แม้แต่การยกย่องและให้ความสำคัญต่อศาลอยู่ในฐานะที่สูงกว่าสถาบันทางสังคมอื่น ว่าเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนก็ล้วนสะท้อนบทบาทและความสำคัญของศาลว่ามีความสำคัญอย่างไรด้วยเหตุนี้คุณค่าและเยื่อใยของสังคมและประชาชนที่มีต่อศาลจึงอยู่ที่ ความยุติธรรม เป็นธรรม มากกว่า กฎหมายเพราะ กฎหมายอาจจะไม่เป็นธรรมก็ได้ จึงไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับความยุติธรรม ความในข้อนี้ผู้เขียนเคยสนทนาแลกเปลี่ยนและได้ฟังเสียงสะท้อนทำนองเดียวกันนี้จาก อดีตท่านประธานศาลฏีกาของอินเดียที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง โดยท่านกล่าวเชิงตำหนิสถานศึกษาด้านนิติศาสตร์ทั่วโลกที่มัวแต่อบรมสั่งสอนกฎหมาย แต่ไม่ได้สอนเกี่ยวกับความยุติธรรม (They study laws but not for justice) เลยทำให้การใช้กฎหมายของรัฐเป็นไปแบบเทคนิคกลไกหลีกหนีออกจากความยุติธรรมและเป็นธรรม (ผู้เขียนเพิ่มเติมเอง)
เมื่อพิจารณาแนวคิดที่มองความยุติธรรมแตกต่างกันในสังคมระหว่างคนที่ใช้กฎหมาย กับสังคมที่ถูกกฎหมายมาบังคับ กลับพบสิ่งที่เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ ประชาชนและสังคมพิจารณากฎหมาย ความยุติธรรมและศาลเป็นแบบองค์รวมเกี่ยวข้องสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ในขณะที่มีนักกฎหมายจำนวนไม่น้อย ซึ่งเป็นผลผลิตของระบบการศึกษากฎหมายแบบอดีตประธานศาลฎีกาอินเดียท่านว่า กลับมองความยุติธรรมและศาลอยู่ที่ “กฎหมาย” ยิ่งเป็นและมาจากความคิดเห็นที่มาจากศาลด้วยแล้วที่ว่า เมื่อมีกฎหมายกำหนดไว้อย่างไรก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย ประหนึ่งว่าศาลมีบทบาทหน้าที่ทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย กฎหมายจะดีเป็นธรรมหรือไม่ก็เป็นคนละเรื่องกับการรักษาบังคับใช้กฎหมาย
ปัญหาวิกฤติบ้านเมืองของเราเวลานี้หลาย ๆ เรื่อง กำลังถูกผลักดันเข้าสู่ข้อพิจารณาทาง“กฎหมาย” ในท้ายที่สุด เพราะสถานการณ์ทางสังคมวิทยาการเมืองกำลังผลักดันปัญหาที่หมักหมมซับซ้อนให้ไปจบหรืออาศัยการวินิจฉัยชี้ขาดโดย“ศาล” ในทุกข้อขัดแย้งโดยไม่สนใจว่าจะเป็นความขัดแย้งในเรื่องอะไร เพื่อหวังอย่างเดียวว่า ให้ทุกอย่างจบลงเอยเสียทีภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งสภาพการณ์เช่นนี้เองจึงเป็นการชักนำ “ศาล” เข้าสู่ขบวนการขัดแย้งที่สลับซับซ้อนหลายเงื่อนปมที่หลายฝ่ายเป็นผู้ก่อขึ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงปัญหาเรื่อง“เขตอำนาจศาล” และ “ความสามารถของศาล (Competent court)” ก็เป็นปัญหาใหญ่ต่างหากอีกเรื่องที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วย ทำให้สถานะศาลในเวลานี้อยู่บนทางแพร่งที่ศาลต้องต้องเลือกเดินอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง ถึงกับเป็นบทชี้อนาคตของคำว่า “มีมาตรฐาน” และ “ไม่มีมาตรฐาน” ของอำนาจศาลในประเทศไทยว่า จะเดินไปในทิศทางใด
ถึงกระนั้นก็ตามความขัดแย้งที่พัฒนาคลี่คลายมาถึงเวลานี้ แม้การจำต้องพิพากษาตัดสินชี้ขาดข้อขัดแย้งซึ่งศาลยังไม่สามารถสลัดตัวเองออกจากวัฒนธรรมการใช้กฎหมายแบบเก่า ๆ อย่างที่กล่าวมา ที่มุ่งตอบสนองและให้ความสำคัญ
กับ“กฎหมาย” อันเป็นรากฐานของการระงับข้อขัดแย้งหรือการบังคับใช้กฎหมายก็ตาม ปัญหาที่จะทำให้ศาลไทยหนักอกและเป็นภาระที่ต้องทำมากยิ่งขึ้น เมื่อคู่กรณียกระดับความขัดแย้งโดยใช้สิทธิโต้แย้งหรือขยายขอบเขตประเด็นการต่อสู้คดีถึง ปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือกฎหมายที่ว่าจะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จริงไม่มีความถูกต้อง ขาดความสมบูรณ์ ไม่เป็นกฎหมาย หรือ เป็นกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม สอดคล้องกับมาตรฐานสากล (International Standard)หรือ เป็นไปตามพันธะกรณีระหว่างประเทศ (International obligations) ที่ผูกพันธ์ประเทศไทยหรือแม้แต่กฎหมายที่จะนำมาปรับใช้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฯแล้วแต่กรณี ย่อมทำให้กระบวนการใช้ดุลพินิจหรือการพิจารณาพิพากษาของศาลต้องมีความรอบคอบรัดกุมชนิดแบบมั่วไม่ได้เลย ทั้งกระบวนการก่อนมาสู่ศาล (before the court) และอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล เพราะแม้ศาลยังอยู่ในวัฒนธรรมการใช้กฎหมายแบบเดิม ๆ แต่คำว่า
“กฎหมาย” ที่ศาลต้องนำมาปรับใช้ (must be used) นั้นมีบริบทกว้างขวางมากกว่าไกลกว่า มีมาตรฐานและหลักประกันมากกว่า ในประการสำคัญหากศาลจะต้องเดินตามแนวทางอย่างที่นิติบริกรว่า เป็นความยุติธรรมตามกฎหมาย ศาลต้องเลือกเส้นทางเดินอยู่ดีว่า จะพิพากษาตามกฎหมายที่บังคับใช้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างเดียว หรือต้องพิจารณาควบคู่กับกฎหมายที่ถูกต้องตรงตามหลักมาตรฐานสากล หรือ พันธะกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยต้องยึดถือและปฏิบัติตามด้วย ฟันธงคือ ศาลต้องดูทั้งสองส่วนประกอบกัน โดยมิพักต้องตรวจสอบความสามารถของศาลที่จะพิจารณาพิพากษาข้อขัดแย้งในแต่ละเรื่องอีกด้วย
ด้วยเหตุที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ผมจึงเห็นว่า “ศาล” (Court) และ “อำนาจศาล” (Judicial power) ของประเทศไทยเวลานี้กำลังยืนอยู่ท่ามกลางทางแพร่งที่จะต้องเลือกเดิน บนทางแพร่งที่จะเลือกทางหนึ่งทางใดนั้น ขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย (legal culture) อย่างที่กล่าวมาแล้วแต่ต้น สังคมไม่อาจล่วงรู้เดาใจศาลได้ว่าในท้ายที่สุดศาลจะเลือกเส้นทางใด ระหว่าง ความยุติธรรม และกฎหมายที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเลือกทางหนึ่งทางใดในแง่เหยื่อผู้ได้รับเคราะห์กรรมจากผลผลิตทางวัฒนธรรมการใช้กฎหมายที่ว่านี้นั้น ยังมีภาระที่ต้องค้นหาความยุติธรรมที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้นต่อไป
ผมดีใจที่ยังมีตุลาการจำนวนหนึ่งที่พยายามตั้งคำถาม ๆ ทำนองเดียวกันนี้ และได้แสดงความสนใจชักชวนให้ช่วยมองอนาคต“ความยุติธรรม” ไปข้างหน้า ซึ่งผมก็ไม่มั่นใจว่า ตุลาการตัวเล็ก ๆ อย่างเขาจะไปทำอะไรที่ส่งผลกระเทือนในทางสร้างสรรค์ต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาได้ในสถาบันศาลเพราะทั้งสิ้นทั้งปวงเป็นเรื่องที่ฝังรากลึกเข้าถึงวัฒนธรรมการใช้กฎหมาย ที่ไม่รู้จะมีเครื่องมืออะไรมาเปลี่ยนรากทางวัฒนธรรมนี้ได้
ที่มา.Unrest in Bangkok
ปฐมพงษ์ ท้าจับข้อหามั่วสุม ปิดสนามบิน
พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ระบุว่า ไม่รู้สึกหวั่นไหว หลังศาลออกหมายจับ พร้อมกับ จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ดารานักแสดง ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป กรณีปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม - 3 ธันวาคม 2551 พร้อมท้าให้มาจับตนที่บ้านพักได้เลยเพราะตนไม่กลัว เนื่องจากในชีวิตทหารเคยผ่านสนามรบมาแล้ว ซึ่งถือว่าหนักกว่านี้ หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า หากพบตัวที่ใดจะทำการจับกุมทันที
ขณะเดียวกัน ก็ตั้งขอสังเกตด้วยว่า ทำไมจึงมีการออกหมายจับในช่วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา และแปลกใจว่า ทำไมจึงออกหมายจับแค่ตนกับ จอย-ศิริลักษณ์ เท่านั้น เพราะคนที่ไปร่วมชุมนุมมีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้หารือเรื่องนี้กับ จอย-ศิริลักษณ์
อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา ที่จัดขึ้น ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และที่สถานีโทรทัศน์ ASTV นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะเดินทางไปร่วมงานหรือไม่ โดยจะขอประเมินสถานการณ์ก่อน
ด้าน จอย-ศิริลักษณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนกิจกรรมในวันนี้คงไม่ไปร่วมงาน โดยจะขอปรึกษาทนายความก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ที่มา.เนชั่น
ขณะเดียวกัน ก็ตั้งขอสังเกตด้วยว่า ทำไมจึงมีการออกหมายจับในช่วงที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการจัดกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา และแปลกใจว่า ทำไมจึงออกหมายจับแค่ตนกับ จอย-ศิริลักษณ์ เท่านั้น เพราะคนที่ไปร่วมชุมนุมมีเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้หารือเรื่องนี้กับ จอย-ศิริลักษณ์
อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์ 7 ตุลา ที่จัดขึ้น ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และที่สถานีโทรทัศน์ ASTV นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ว่า จะเดินทางไปร่วมงานหรือไม่ โดยจะขอประเมินสถานการณ์ก่อน
ด้าน จอย-ศิริลักษณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ กำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนกิจกรรมในวันนี้คงไม่ไปร่วมงาน โดยจะขอปรึกษาทนายความก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ที่มา.เนชั่น
วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553
ข่าวลวง...
โดย.นักวิชาการ ลูกพ่อขุน
หลังการให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศของนายกสุดหล่อขวัญใจแม่ยก ที่กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ทำเอานักข่าวต่างประเทศบางรายแอบอมยิ้มไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้นายกของเราหน้าเจื่อนไปพอสมควรแต่ยังกัดฟันฟันธงต่อว่าทุกอย่างเป็นเพราะนายกทักษิณ
จากคำบอกเล่าของนักข่าวต่างประเทศก็ออกมาในทำนองที่ว่าไม่มีใครให้น้ำหนักกับคำกล่าวอ้างครั้งนี้ และที่ร้ายไปกว่านั้นส่วนใหญ่กลับคิดว่าเป็นเพียงการแก้ตัวเพื่อให้พ้นข้อหาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
หลังจากเหตุการร์ครั้งนั้นนำมาสู่การจับชายชุดดำ 11 คนที่รีสอร์ทภาคเหนือ และยังไม่ทันจะได้สืบสวนสอบสวนแต่ประการใดทางฝ่ายความมั่นคงออกมาตีตราว่าเป็นคนเสื้อแดง ใส่บทบาทกลุ่มคนชุดดำที่สังคมโลกเคยสงสัยให้หมดไปว่าเป็นคนเสื้อแดง พร้อมตั้งชื่อเสร็จศัพท์ว่าเป็น "กลุ่มนักรบแดง"
แต่ทว่าการจับกุมก็ไม่ได้สร้างผลต่อกระแสความเชื่อมั่นของสังคมโลกมากมายอย่างที่ฝ่ายความมั่นคงคาดหวังไว้ ด้วยการที่พื้นที่ที่ถุกจัดฉากว่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังของนักรบแดงตามคำกล่าวนั้น เป็นที่ในโครงการพระราชดำรัสของสมเด็จฯท่าน แถมรีสอร์ทนั้นก็เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่มีองค์มนตรีเป็นผูดูแลอยู่ด้วย คำถามจึงเกิดขึ้นว่ามันสมควรจะเป็นพื้นที่ซ้อมรบหรือฝึกยุทธวิธีการลอบฆ่าตรงไหน
มาวันนี้มีการระเบิดที่บางบัวทอง มีผู้จากภูมิใจไทยออกมาโยงใยว่านี่คือสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แล้วโดยคนเสื้อแดง สุดท้ายถึงกับอ้างว่ามีชาวตะวันออกกลางเข้าออกห้องที่เกิดเหตุระเบิดหลายครั้ง
เหมือนจะเป็นการจงใจให้เกิดเหตุการ์ทั้งสองเพื่อสร้างน้ำหนักและหลักฐานในเวทีโลก แต่ความเดือดร้อนกลับลงเต็มๆกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรีสอร์ทหรือลุกจ้างที่ต้องนั่งตบยุงเพราะไม่มีใครกล้าไปเที่ยว
หรือแม้แต่ผู้อาศัยในแมนชั่นที่ต้องจบชีวิตลงไปทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รวมถึงชาวบ้านที่ต้องอกสั่นขวัยหายกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้นในแผนดินนี้
หลายคนอาจกล่าวหาฝั่งตรงข้ามกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนทำคือการร่วมกันหยุดกล่าวหาใส่ร้าย แล้วลองนไข้อมูลที่มีมาแบกันบนโต๊ะ ถกเถียงด้วยสติปัญญาและหลักฐาน
วันนี้เรากำลังโดนต้มอยู่หรือไม่มันขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่าเลือกจะคิดเช่นไร เพราะหากมองกันตามความเป็นจริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถล้มรัฐบาลนี้ได้ ที่สำคัญยังเป็นการยืดเวลาให้รัฐบาลอยู่ได้อย่างราบรื่นสบายใจอีกต่างหาก
ผิดกับคนเสื้อแดงที่กลายเป็นจำเลยสังคม ผมแค่อยากสื่อว่าหากวันนี้แค่คนเสื้อแดงรวมพลังกันบอกเล่าความจริงที่ถุกบิดเบือน เลิกคิดว่าคนอื่นไม่ใช่พวกและไม่ยอมพยายามอธิบายความจริงให้คนที่ไม่เชื่อเรา พวกคนเสื้อแดงก็จะเป็นจำเลยสังคมด้อยปัญญาอย่างนี้ต่อไป
หลังการให้สัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศของนายกสุดหล่อขวัญใจแม่ยก ที่กล่าวหาคนเสื้อแดงว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ที่ทำเอานักข่าวต่างประเทศบางรายแอบอมยิ้มไม่ได้ ซึ่งก็ทำให้นายกของเราหน้าเจื่อนไปพอสมควรแต่ยังกัดฟันฟันธงต่อว่าทุกอย่างเป็นเพราะนายกทักษิณ
จากคำบอกเล่าของนักข่าวต่างประเทศก็ออกมาในทำนองที่ว่าไม่มีใครให้น้ำหนักกับคำกล่าวอ้างครั้งนี้ และที่ร้ายไปกว่านั้นส่วนใหญ่กลับคิดว่าเป็นเพียงการแก้ตัวเพื่อให้พ้นข้อหาฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์
หลังจากเหตุการร์ครั้งนั้นนำมาสู่การจับชายชุดดำ 11 คนที่รีสอร์ทภาคเหนือ และยังไม่ทันจะได้สืบสวนสอบสวนแต่ประการใดทางฝ่ายความมั่นคงออกมาตีตราว่าเป็นคนเสื้อแดง ใส่บทบาทกลุ่มคนชุดดำที่สังคมโลกเคยสงสัยให้หมดไปว่าเป็นคนเสื้อแดง พร้อมตั้งชื่อเสร็จศัพท์ว่าเป็น "กลุ่มนักรบแดง"
แต่ทว่าการจับกุมก็ไม่ได้สร้างผลต่อกระแสความเชื่อมั่นของสังคมโลกมากมายอย่างที่ฝ่ายความมั่นคงคาดหวังไว้ ด้วยการที่พื้นที่ที่ถุกจัดฉากว่าเป็นที่ซ่องสุมกำลังของนักรบแดงตามคำกล่าวนั้น เป็นที่ในโครงการพระราชดำรัสของสมเด็จฯท่าน แถมรีสอร์ทนั้นก็เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่มีองค์มนตรีเป็นผูดูแลอยู่ด้วย คำถามจึงเกิดขึ้นว่ามันสมควรจะเป็นพื้นที่ซ้อมรบหรือฝึกยุทธวิธีการลอบฆ่าตรงไหน
มาวันนี้มีการระเบิดที่บางบัวทอง มีผู้จากภูมิใจไทยออกมาโยงใยว่านี่คือสิ่งที่ถูกวางแผนไว้แล้วโดยคนเสื้อแดง สุดท้ายถึงกับอ้างว่ามีชาวตะวันออกกลางเข้าออกห้องที่เกิดเหตุระเบิดหลายครั้ง
เหมือนจะเป็นการจงใจให้เกิดเหตุการ์ทั้งสองเพื่อสร้างน้ำหนักและหลักฐานในเวทีโลก แต่ความเดือดร้อนกลับลงเต็มๆกับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรีสอร์ทหรือลุกจ้างที่ต้องนั่งตบยุงเพราะไม่มีใครกล้าไปเที่ยว
หรือแม้แต่ผู้อาศัยในแมนชั่นที่ต้องจบชีวิตลงไปทั้งๆที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร รวมถึงชาวบ้านที่ต้องอกสั่นขวัยหายกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่ควรเกิดขึ้นในแผนดินนี้
หลายคนอาจกล่าวหาฝั่งตรงข้ามกันไปต่างๆนานา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้ทุกคนทำคือการร่วมกันหยุดกล่าวหาใส่ร้าย แล้วลองนไข้อมูลที่มีมาแบกันบนโต๊ะ ถกเถียงด้วยสติปัญญาและหลักฐาน
วันนี้เรากำลังโดนต้มอยู่หรือไม่มันขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่าเลือกจะคิดเช่นไร เพราะหากมองกันตามความเป็นจริงแล้วการกระทำเช่นนี้ไม่สามารถล้มรัฐบาลนี้ได้ ที่สำคัญยังเป็นการยืดเวลาให้รัฐบาลอยู่ได้อย่างราบรื่นสบายใจอีกต่างหาก
ผิดกับคนเสื้อแดงที่กลายเป็นจำเลยสังคม ผมแค่อยากสื่อว่าหากวันนี้แค่คนเสื้อแดงรวมพลังกันบอกเล่าความจริงที่ถุกบิดเบือน เลิกคิดว่าคนอื่นไม่ใช่พวกและไม่ยอมพยายามอธิบายความจริงให้คนที่ไม่เชื่อเรา พวกคนเสื้อแดงก็จะเป็นจำเลยสังคมด้อยปัญญาอย่างนี้ต่อไป
ปราปต์ บุนปาน สุดท้ายแล้วคนรุ่นเราก็ต้องเลือกชนหรือเดินไปบนทางแยกสักทางในสักวันหนึ่งอยู่แล้ว
ขายฝัน
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาจากการจุดพลุของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
นายอภิสิทธิ์เปรยเรื่องนี้เมื่อครั้งประกาศขึ้นเงินเดือนราชการ และเงินเดือนครู
แนวคิดเหมือน (จะ) ดี แต่กลายเป็นสร้างความปั่นป่วนให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง รวมไปถึงคนกลางอย่างคณะกรรมการเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
กกร.ต้องรีบแถลงว่าไม่ได้เห็นชอบกับการประกาศของนายกฯ เพราะมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
และแนะว่ารัฐไม่ควรแทรกแซง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาค่าแรง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาค่าแรงของแรงงานไร้ฝีมือจะไม่เท่ากันทั่วประเทศ โดยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จะได้สูงสุด คือ 206 บาท/วัน และลดหลั่นกันไปตามพื้นที่ต่างๆ
ต่ำสุดที่พิจิตร, พะเยา, แพร่ และแม่ฮ่องสอน อยู่ที่วันละ 151 บาท
นึกภาพง่ายๆ ว่าจังหวัดที่มีรายได้ขั้นต่ำ 151 บาท/ วัน/คน แต่ต้องปรับขึ้นถึงเกือบๆ 100 บาท/วัน/คน มันจะเป็นอย่างไร!?
ไม่ใช่เพียงการปรับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น หากแต่ต้องปรับค่าแรงแรงงานมีฝีมือหนีขึ้นไปอีกเป็นทอดๆ
นี่ยังไม่นับสินค้าและบริการต่างๆ ต้องปรับราคาขึ้น เพราะต้นทุนที่เพิ่มอย่างมหาศาลนั่นเอง
เห็นภาพชัดเจนที่สุดต้องนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขา ธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ฟันธงว่าหากปรับขึ้นค่าแรงเท่าที่นายอภิสิทธิ์ ต้องการ
สิ่งที่จะตามมาคือการล่มสลายของภาคอุตสาหกรรม และปัญหาคนตกงาน!!
แน่นอนว่าการให้แรงงานมีรายได้มากขึ้นย่อมเป็น การดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอื่นๆ
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบในทางลบด้วย
กูรูด้านการเมืองเชื่อว่าที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศไปเช่นนั้นเพื่อซื้อใจชนชั้นแรงงาน หรือรากหญ้าในภาคอีสาน เพราะเป็นกลุ่มคนที่ขายแรงงานมากที่สุด
บุคคลเหล่านี้เป็นฐานเสียงใหญ่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังเจาะไม่เข้า!?
แต่ดูแนวโน้มแล้วยากที่จะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านๆ มาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเลขแค่หลักเดียว เท่านั้น
แม้แต่ตัวแทนลูกจ้าง ซึ่งต้องการค่าจ้างสูงสุดยังไม่กล้าเสนอขอปรับเยอะขนาดนี้เลย
เพราะรู้ดีถึงสิ่งที่จะตามมาหากมีการปรับค่าแรงมากเกินไป
สุดท้ายแล้วเชื่อว่าค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาท เท่ากันทั่วประเทศ เป็นเพียงการ 'ขายฝัน' ของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น!?
คอลัมน์ เหล็กใน
เป็นประเด็นร้อนขึ้นมาจากการจุดพลุของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่ประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาทเท่ากันทั่วประเทศ
นายอภิสิทธิ์เปรยเรื่องนี้เมื่อครั้งประกาศขึ้นเงินเดือนราชการ และเงินเดือนครู
แนวคิดเหมือน (จะ) ดี แต่กลายเป็นสร้างความปั่นป่วนให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง รวมไปถึงคนกลางอย่างคณะกรรมการเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
กกร.ต้องรีบแถลงว่าไม่ได้เห็นชอบกับการประกาศของนายกฯ เพราะมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
และแนะว่ารัฐไม่ควรแทรกแซง ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะค่าจ้างกลาง (ไตรภาคี) ซึ่งประกอบด้วย ผู้แทนจากภาครัฐ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ตามกฎหมายในการพิจารณาค่าแรง
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาค่าแรงของแรงงานไร้ฝีมือจะไม่เท่ากันทั่วประเทศ โดยในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จะได้สูงสุด คือ 206 บาท/วัน และลดหลั่นกันไปตามพื้นที่ต่างๆ
ต่ำสุดที่พิจิตร, พะเยา, แพร่ และแม่ฮ่องสอน อยู่ที่วันละ 151 บาท
นึกภาพง่ายๆ ว่าจังหวัดที่มีรายได้ขั้นต่ำ 151 บาท/ วัน/คน แต่ต้องปรับขึ้นถึงเกือบๆ 100 บาท/วัน/คน มันจะเป็นอย่างไร!?
ไม่ใช่เพียงการปรับค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น หากแต่ต้องปรับค่าแรงแรงงานมีฝีมือหนีขึ้นไปอีกเป็นทอดๆ
นี่ยังไม่นับสินค้าและบริการต่างๆ ต้องปรับราคาขึ้น เพราะต้นทุนที่เพิ่มอย่างมหาศาลนั่นเอง
เห็นภาพชัดเจนที่สุดต้องนายสมมาต ขุนเศษฐ เลขา ธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ฟันธงว่าหากปรับขึ้นค่าแรงเท่าที่นายอภิสิทธิ์ ต้องการ
สิ่งที่จะตามมาคือการล่มสลายของภาคอุตสาหกรรม และปัญหาคนตกงาน!!
แน่นอนว่าการให้แรงงานมีรายได้มากขึ้นย่อมเป็น การดี เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและอื่นๆ
แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสม และไม่ส่งผลกระทบในทางลบด้วย
กูรูด้านการเมืองเชื่อว่าที่นายอภิสิทธิ์ ประกาศไปเช่นนั้นเพื่อซื้อใจชนชั้นแรงงาน หรือรากหญ้าในภาคอีสาน เพราะเป็นกลุ่มคนที่ขายแรงงานมากที่สุด
บุคคลเหล่านี้เป็นฐานเสียงใหญ่สุดที่พรรคประชาธิปัตย์ ยังเจาะไม่เข้า!?
แต่ดูแนวโน้มแล้วยากที่จะเป็นไปได้ เพราะที่ผ่านๆ มาการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะเป็นเลขแค่หลักเดียว เท่านั้น
แม้แต่ตัวแทนลูกจ้าง ซึ่งต้องการค่าจ้างสูงสุดยังไม่กล้าเสนอขอปรับเยอะขนาดนี้เลย
เพราะรู้ดีถึงสิ่งที่จะตามมาหากมีการปรับค่าแรงมากเกินไป
สุดท้ายแล้วเชื่อว่าค่าแรงขั้นต่ำ 250 บาท เท่ากันทั่วประเทศ เป็นเพียงการ 'ขายฝัน' ของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น!?
ระวัง “ยิ้มสยาม” ของรัฐบาลไทย
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
ในสัปดาห์นี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้เดินทางเยือนกรุงบรัสเซลล์เพื่อร่วมการประชุมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 โดยจะมีการอภิปรายเรื่องความเท่าเทียมและการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกับผู้นำร่วมภูมิภาค นายอภิสิทธิ์จะมีโอกาสเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีเยอรมันนาง Angela Merkel นาย Herman Van Rompuy และนาย José Manuel Durao Barroso รวมถึงผู้นำประเทศอื่นในยุโรป
สำหรับบุคคลภายนอก การเยือนครั้งนี้อาจดูเหมือนการสานสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป แต่สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ การเยือนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยจะหาความชอบธรรมให้กับตนเองจากกลุ่มประเทศยุโรป
แน่นอนว่าไม่มีใครที่ทำหน้าในการหว่านเสน่ห์ใช้คำพูดหว่านล้อมโน้มน้าวผู้นำเหล่านี้โดยใช้ภาษาแห่งสันติภาพและความสมานฉันท์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำเหล่านั้นอยากจะได้ยินได้ดีเท่านายอภิสิทธิ์ นายกผู้เฉลียวฉลาดและได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม ผมขอแนะนำผู้แทนประเทศยุโรปที่ได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับนายกอภิสิทธิ์ไม่ควรที่จะเชื่อสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์นำเสนอพร้อมกับรอยยิ้มมากนัก เพราะเราควรจะกังขาในจริยธรรมของผู้นำประเทศที่มีส่วนรู้เห็นกับการฆ่าหมู่กลุ่มผู้ชุมนุมเกือบ 90 ราย และคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกนับร้อย การสานความสัมพันธ์กับประชาชนชาวไทยจะสำเร็จได้นั้น ตัวแทนประเทศยุโรปมีหน้าที่ที่จะถามคำถาม 2-3คำถามต่อนายอภิสิทธิ์
คำถามแรกคือ เหตุใดประเทศจึงยังคงกฎหมายทีเคร่งครัดอย่าง “พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินฉุกเฉิน” หลายเดือนหลังจากการชุมนุม เพราะคำนิยามทางกฎหมายดังกล่าวคือกฎหมายที่ประกาศใช้ชั่วคราว และจะต้องมีภัยร้ายแรงคุกคามประเทศเท่านั้น สัปดาห์ที่แล้วองค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงการใช้พรก.ฉุกเฉิน ในแถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลจะต้องยกเลิกการบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉินที่ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชน”
คำถามต่อมาคือ แทนที่จะลงโทษทหารที่เกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน เหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลื่อนตำแหน่งให้บุคคลเหล่านั้น? พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารหัวเก่าและเป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ร่างแผนการการสลายการชุมนุมซึ่งนำไปสู่การนองเลือด ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารบก นอกจากนี้พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณผู้ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้สั่งการให้มือปืนซุ่มยิงทหารขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารต่างๆเพื่อที่จะซุ่มยิงประชาชน (ซึ่งรวมถึงผู้ชุมนุม นักข่าว และอาสาพยาบาลผู้ซึ่งหลบภัยอยู่ในวัด) ในระหว่างการสลายการชุมนุม ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงภริยาของพล.ท.ดาว์พงษ์ด้วย
ผู้แทนกลุ่มประเทศยุโรปควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงทำลายเสรีภาพในการแลดงออกและคุกคามชีวิตนักข่าว แม้ข้อความที่ตีพิมพ์เหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด นอกจากนี้นายกอภิสิทธิ์อาจจะบรรยายด้วยคำพูดที่สวยงามเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยและการค้นหาความจริงหลังปัญหาความขัดแย้งในการประชุมอาเซ็ม แต่ผู้นำเหล่านั้นควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่าเหตุในรัฐบาลของเขาถึงปิดเวปไซต์กว่า 100,000เวปไซต์ และจับกุมบรรณาธิการเวปไซต์ข่าวอย่างประชาไท ซึ่งกลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนเอ็นจีโอในกรุงปารีสกล่าวว่าการจับกุมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และ “ไม่ต่างจากประเทศพม่า”
อย่างไรก็ตามความรับผิดชอบหลักของผู้นำประเทศยุโรปคือการตั้งคำถามในที่ประชุมถึงความคืบหน้าของการสอบสวนของการเสียชีวิตของช่างภาพอิสระชาวอิตาลีนายฟาบิโอ โปเลงกี ซึ่งถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ในขณะที่ทำข่าวการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้ว่าอลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวผู้ปวดร้าวจากสูญเสียน้องชายอย่างนายฟาบิโอจะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันในเจ้าหน้าที่รัฐไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่ความคืบหน้าของการสอบสวนถึงการเสียชีวิตของพลเมืองสัญชาติยุโรปนายฟาปิโอนั้นเป็นที่น่าผิดหวัง อลิซาเบธ โปเลงกีสมควรที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำประเทศยุโรปในการทวงถามความคืบหน้าของการสอบสวน
ตัวแทนของกรรมาธิการยุโรปอาจจะทราบว่าการสอบสวนดังกล่าวนั้นได้เดินทางมาถึงทางตันและมีการปกปิดหลักฐานเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายนและพฤษภาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้อ้างคำกล่าวของเอกอรรคราชทูตนายเดวิด ลิปแมน ที่กล่าวว่า “สหภาพยุโรบต้องการที่เห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงที่มีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอนันต์ ปันยารชุนเป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มีนายประเวศ วสีเป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและจริงจัง”
อย่างไรก็ตาม นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการดังกล่าวได้กล่าวอย่างชัดเจนต่อสื่อมวลชนว่าการสอบสวนดังกล่าวจะไม่มีการกล่าวโทษฟ้องร้องใคร ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวในหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่มีพันธกรณีในการสอบสวนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองขององค์การสหประชาชาติ (ICCPR) แต่กระนั้นรัฐบาลไทยยังคงดำเนินคดีที่น่าเคลือบแคลงต่อฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการดำเนินคดีต่อผู้นำนปช.ทั้ง 19คน ในข้อหาที่ไร้สาระอย่างข้อหาก่อการร้าย โดยโทษว่าบุคคลดังกล่าวทำให้เพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต ในการดำเนินคดีดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงและตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างเป็นอิสระ โดยศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอให้มีการชันสูตรศพที่เป็นอิสระ หากรัฐบาลไทยสนใจที่จะแสวงหาความจริง รัฐบาลไทยควรเปิดให้มีการเข้าถึงพยานหลักฐานอย่างกว้างขวาง
นายอภิสิทธิ์และพรรคพวกขึ้นสู่อำนาจโดยการทำรัฐประหารของทหารหนุนหลังเดินทางเยือนประเทศยุโรปเพื่อที่จะเดินเกมที่พวกเขาได้วางไว้ พวกเขาทราบดีว่าผู้นำประเทศยุโรปมักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสิ่งที่ผู้นำเหล่านี้ต้องการได้ยินคือคำมั่นสัญญาในการดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ และการจัดให้มีการเลือกตั้งในที่สุด เราจึงได้เพียงแต่หวังว่าผู้นำประเทศยุโรปที่เข้าร่วมการประชุมจะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันน่าหลงใหลของรัฐบาลไทย
***********************************************
ในสัปดาห์นี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ได้เดินทางเยือนกรุงบรัสเซลล์เพื่อร่วมการประชุมเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ 8 โดยจะมีการอภิปรายเรื่องความเท่าเทียมและการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกับผู้นำร่วมภูมิภาค นายอภิสิทธิ์จะมีโอกาสเข้าพบกับนายกรัฐมนตรีเยอรมันนาง Angela Merkel นาย Herman Van Rompuy และนาย José Manuel Durao Barroso รวมถึงผู้นำประเทศอื่นในยุโรป
สำหรับบุคคลภายนอก การเยือนครั้งนี้อาจดูเหมือนการสานสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป แต่สำหรับรัฐบาลอภิสิทธิ์ การเยือนครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญอย่างยิ่งที่รัฐบาลไทยจะหาความชอบธรรมให้กับตนเองจากกลุ่มประเทศยุโรป
แน่นอนว่าไม่มีใครที่ทำหน้าในการหว่านเสน่ห์ใช้คำพูดหว่านล้อมโน้มน้าวผู้นำเหล่านี้โดยใช้ภาษาแห่งสันติภาพและความสมานฉันท์ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำเหล่านั้นอยากจะได้ยินได้ดีเท่านายอภิสิทธิ์ นายกผู้เฉลียวฉลาดและได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม ผมขอแนะนำผู้แทนประเทศยุโรปที่ได้มีโอกาสพูดคุยทำความรู้จักกับนายกอภิสิทธิ์ไม่ควรที่จะเชื่อสิ่งที่นายกอภิสิทธิ์นำเสนอพร้อมกับรอยยิ้มมากนัก เพราะเราควรจะกังขาในจริยธรรมของผู้นำประเทศที่มีส่วนรู้เห็นกับการฆ่าหมู่กลุ่มผู้ชุมนุมเกือบ 90 ราย และคุมขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกนับร้อย การสานความสัมพันธ์กับประชาชนชาวไทยจะสำเร็จได้นั้น ตัวแทนประเทศยุโรปมีหน้าที่ที่จะถามคำถาม 2-3คำถามต่อนายอภิสิทธิ์
คำถามแรกคือ เหตุใดประเทศจึงยังคงกฎหมายทีเคร่งครัดอย่าง “พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินฉุกเฉิน” หลายเดือนหลังจากการชุมนุม เพราะคำนิยามทางกฎหมายดังกล่าวคือกฎหมายที่ประกาศใช้ชั่วคราว และจะต้องมีภัยร้ายแรงคุกคามประเทศเท่านั้น สัปดาห์ที่แล้วองค์การนิรโทษกรรมระหว่างประเทศได้ออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างรุนแรงถึงการใช้พรก.ฉุกเฉิน ในแถลงการณ์ระบุว่า “รัฐบาลจะต้องยกเลิกการบิดเบือนการใช้กฎหมายฉุกเฉินที่ละเมิดกฎหมายสิทธิมนุษยชน”
คำถามต่อมาคือ แทนที่จะลงโทษทหารที่เกี่ยวข้องกับการสังหารประชาชน เหตุใดรัฐบาลไทยจึงเลื่อนตำแหน่งให้บุคคลเหล่านั้น? พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายทหารหัวเก่าและเป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ร่างแผนการการสลายการชุมนุมซึ่งนำไปสู่การนองเลือด ได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชาการทหารบก นอกจากนี้พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณผู้ซึ่งหลายคนเชื่อว่าเป็นผู้สั่งการให้มือปืนซุ่มยิงทหารขึ้นไปยังดาดฟ้าของอาคารต่างๆเพื่อที่จะซุ่มยิงประชาชน (ซึ่งรวมถึงผู้ชุมนุม นักข่าว และอาสาพยาบาลผู้ซึ่งหลบภัยอยู่ในวัด) ในระหว่างการสลายการชุมนุม ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง รวมถึงภริยาของพล.ท.ดาว์พงษ์ด้วย
ผู้แทนกลุ่มประเทศยุโรปควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่า เหตุใดรัฐบาลไทยยังคงทำลายเสรีภาพในการแลดงออกและคุกคามชีวิตนักข่าว แม้ข้อความที่ตีพิมพ์เหล่านั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด นอกจากนี้นายกอภิสิทธิ์อาจจะบรรยายด้วยคำพูดที่สวยงามเกี่ยวกับวิธีการพูดคุยและการค้นหาความจริงหลังปัญหาความขัดแย้งในการประชุมอาเซ็ม แต่ผู้นำเหล่านั้นควรจะถามนายอภิสิทธิ์ว่าเหตุในรัฐบาลของเขาถึงปิดเวปไซต์กว่า 100,000เวปไซต์ และจับกุมบรรณาธิการเวปไซต์ข่าวอย่างประชาไท ซึ่งกลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนเอ็นจีโอในกรุงปารีสกล่าวว่าการจับกุมดังกล่าวเป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และ “ไม่ต่างจากประเทศพม่า”
อย่างไรก็ตามความรับผิดชอบหลักของผู้นำประเทศยุโรปคือการตั้งคำถามในที่ประชุมถึงความคืบหน้าของการสอบสวนของการเสียชีวิตของช่างภาพอิสระชาวอิตาลีนายฟาบิโอ โปเลงกี ซึ่งถูกยิงที่ช่องท้องจนเสียชีวิตในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ในขณะที่ทำข่าวการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้ว่าอลิซาเบธ โปเลงกี พี่สาวผู้ปวดร้าวจากสูญเสียน้องชายอย่างนายฟาบิโอจะพยายามประสานงานกับสถานทูตอิตาลีในประเทศเพื่อกดดันในเจ้าหน้าที่รัฐไทยเปิดเผยข้อมูลและการสอบสวน แต่ความคืบหน้าของการสอบสวนถึงการเสียชีวิตของพลเมืองสัญชาติยุโรปนายฟาปิโอนั้นเป็นที่น่าผิดหวัง อลิซาเบธ โปเลงกีสมควรที่จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้นำประเทศยุโรปในการทวงถามความคืบหน้าของการสอบสวน
ตัวแทนของกรรมาธิการยุโรปอาจจะทราบว่าการสอบสวนดังกล่าวนั้นได้เดินทางมาถึงทางตันและมีการปกปิดหลักฐานเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายนและพฤษภาคม หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้อ้างคำกล่าวของเอกอรรคราชทูตนายเดวิด ลิปแมน ที่กล่าวว่า “สหภาพยุโรบต้องการที่เห็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงที่มีนายคณิต ณ นครเป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มีนายอนันต์ ปันยารชุนเป็นประธาน รวมถึงคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปที่มีนายประเวศ วสีเป็นประธาน ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นอิสระและจริงจัง”
อย่างไรก็ตาม นายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการดังกล่าวได้กล่าวอย่างชัดเจนต่อสื่อมวลชนว่าการสอบสวนดังกล่าวจะไม่มีการกล่าวโทษฟ้องร้องใคร ซึ่งถือว่าเป็นความล้มเหลวในหน้าที่ของรัฐบาลไทยที่มีพันธกรณีในการสอบสวนถึงเหตุการณ์ดังกล่าวตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเรือนและสิทธิทางการเมืองขององค์การสหประชาชาติ (ICCPR) แต่กระนั้นรัฐบาลไทยยังคงดำเนินคดีที่น่าเคลือบแคลงต่อฝ่ายตรงข้าม รวมถึงการดำเนินคดีต่อผู้นำนปช.ทั้ง 19คน ในข้อหาที่ไร้สาระอย่างข้อหาก่อการร้าย โดยโทษว่าบุคคลดังกล่าวทำให้เพื่อนร่วมชาติเสียชีวิต ในการดำเนินคดีดังกล่าว ผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดถูกปฏิเสธสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงและตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างเป็นอิสระ โดยศาลได้ปฏิเสธคำร้องขอให้มีการชันสูตรศพที่เป็นอิสระ หากรัฐบาลไทยสนใจที่จะแสวงหาความจริง รัฐบาลไทยควรเปิดให้มีการเข้าถึงพยานหลักฐานอย่างกว้างขวาง
นายอภิสิทธิ์และพรรคพวกขึ้นสู่อำนาจโดยการทำรัฐประหารของทหารหนุนหลังเดินทางเยือนประเทศยุโรปเพื่อที่จะเดินเกมที่พวกเขาได้วางไว้ พวกเขาทราบดีว่าผู้นำประเทศยุโรปมักเลือกที่จะหลีกเลี่ยงการสร้างปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และสิ่งที่ผู้นำเหล่านี้ต้องการได้ยินคือคำมั่นสัญญาในการดำเนินกระบวนการปรองดองสมานฉันท์ และการจัดให้มีการเลือกตั้งในที่สุด เราจึงได้เพียงแต่หวังว่าผู้นำประเทศยุโรปที่เข้าร่วมการประชุมจะมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มอันน่าหลงใหลของรัฐบาลไทย
***********************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)