--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

ศอฉ.ปิด “เรดนิวส์” ยุคมืดแห่ง “สื่อ” ตอกย้ำ“รัฐเผด็จการสุดขั้ว”

บทความโดยวรางคณา โกศลวิทยานันต์
กับการรุก คุกคามสื่อ ด้วยวาทกรรมซ้ำๆ แต่ทรงพลัง ในยุคเสื่อมที่สุดของคนทำสื่อ

“บก.เรดนิวส์โวย ศอฉ. ยึดแท่นพิมพ์เสียหายกว่า 10 ล้าน ลั่นทำต่อที่เชียงใหม่”

เป็นข้อความที่ได้รับผ่านโทรศัพท์มือถือจากสำนักข่าว Voice News ระหว่างกินสุกี้กับลูกๆ ในวันหยุดที่ผ่านมา
(12 กันยายน 2553 เวลา 15.58น.)

ล่าสุดนายกฯ พร้อมประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เชียงใหม่ตามคำร้องของพื้นที่

แหม...อะไรมันจะเหมาะเจาะพอดิบพอดีทันการณ์ทันเกมกันซะขนาดนั้นท่านนายกฯ ดิฉันละทึ่งจริงๆ

นับเป็นความคืบหน้าล่าสุดภายหลังเหตุการณ์วันศุกร์ที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำโดย พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รองผู้กำกับการสืบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเมืองนนทบุรี ร่วมกับ พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสืบสวน สภ.นนทบุรีนำหมายศาลเจ้าตรวจค้นบริษัท โกลเด้น เพาเวอร์ พรินติ้ง ซึ่งรับจ้างพิมพ์นิตยสาร “เรดพาวเวอร์” ซึ่งมีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยเป็นบรรณาธิการ

ทั้งนี้ก่อนหน้านั้น 10 วันคือวันที่ 31 สิงหาคม 2553 พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.ได้แถลงว่ามีสื่อสิ่งพิมพ์บางฉบับเสนอข้อมูลบิดเบือนจากข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนเกิดความวิตกกังวล มีความแบ่งแยก หรือเสนอข่าวในลักษณะหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งทาง ศอฉ.ได้ติดตามพฤติกรรมมาโดยตลอด และจะมีการแจ้งคดีความดังกล่าวกับสื่อสิ่งพิมพ์นั้น

ผลคือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้ายึดแท่นพิมพ์ทั้ง 11 แท่นที่พิมพ์นิตยสารดังกล่าว และสั่งปิดนิตยสารในทันที แต่ยังอนุญาตให้บริษัทพิมพ์หนังสืออื่นๆ ได้

ดิฉันมองว่าการปิดนิตยสารเรดนิวส์นั้นมีการวางแผน และติดตามความเคลื่อนไหวมานานแล้ว เพราะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ของ “คนเสื้อแดง” ที่รัฐบาลเห็นว่า เป็น “ฝ่ายตรงข้าม” อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

เริ่มตั้งแต่การรวมตัวกันครั้งแรกในชื่อ นปช.หลังเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 (ซึ่งจะครบ 4 ปี เร็วๆ นี้ ) อันเป็นจุดเริ่มต้นให้สังคมได้รู้จัก “คนเสื้อแดง” ชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ ครั้งที่มีการรวมตัวกันจนสามารถชิงพื้นที่ข่าวในสื่อได้มากอย่างเห็นได้ชัดในเวลาต่อมา

ตลอดจนคนเสื้อแดงเองก็ได้ผลิตสื่อของตัวเองออกมาเป็นรูปเป็นร่างภายใต้ชื่อ “พีเพิลชาแนล” ซึ่งได้ดำเนินกิจการออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมมุ่งนำเสนอข่าวสารของคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นเสนอสาระภายใต้อุดมการณ์ของกลุ่มซึ่งมีคนเป็นจำนวนมากเข้าร่วม

สังเกตได้จากยอดสั่งซื้อจานดาวเทียมจากตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งจานดาวเทียมชั้นนำทั้งหลาย โดยเฉพาะที่ร้านของดิฉัน

“ติดไว้ดูข่าวเสื้อแดง” นี่เป็นคำตอบส่วนมากของลูกค้าที่เลือกมาใช้บริการที่ร้าน โทรทัศน์ดาวเทียมนับว่าเป็นเป็นสื่อที่มีอิทธิพลมาก ชาวบ้านละแวกที่ดิฉันอาศัยอยู่เข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงด้วยการรับรู้ข่าวสารผ่านช่องทางนี้

และในทุกๆ ครั้งที่รัฐบาลเห็นท่าจะไม่ดีในเชิงรุกจึงสั่งปิดสื่อของคนเสื้อแดงโดยอ้างว่าเพื่อรักษาความสงบของประเทศ วาทกรรมซ้ำๆ แต่ทรงพลังเหลือเกินในการลุแห่งอำนาจเบ็ดเสร็จเช่นนั้น

เริ่มตั้งแต่เผด็จการทางความคิด ใครเห็นแตกต่างต้องถูกกำจัดทิ้งให้สิ้นซาก ยกระดับขึ้นเป็นเผด็จการทางการเมือง ประชาชนกลุ่มใดเห็นแย้งหรือไม่เอารัฐบาลนี้แม้แต่เสรีภาพในการชุมนุมทางการเมืองยังถูกปราบปราม นี่เรากำลังอยู่ในยุคไหนกันนี่

...หรือว่าเรากำลังย้อนกลับไปสู่ยุคที่มีสโลแกนสวยหรูว่า “เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย” นี่ดิฉันต้องใส่หมวกออกจากบ้านหรือเปล่านี่ เรากำลังกลับไปสู่ยุคที่มีนิยายประโลมโลกเกิดขึ้นมากมายเหมือนในยุคที่ผู้นำห้ามนักคิดนักเขียนเสนอข้อเขียนและวิจารณ์ทางการเมือง ใครเขียนเป็นโดนติดคุกลืมแน่

ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ดิฉันออกจะรู้สึกสลดหดหู่อย่างมากหรับวิชาชีพสื่อในขณะนี้ ที่หากไม่ถูกเซ็นเซอร์โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการสะกิดเตือนนายทุนสื่อให้ละเว้นการเสนอข่าวบางข่าวที่กระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาล แลกกับการลงประชาสัมพันธ์หน่วยงานรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ซึ่งกลายเป็นรายได้สำคัญของสื่อในภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้

ตัวอย่างที่ดิฉันมองเห็นและขอถือโอกาสนำมาวิพากย์คือสื่อกระแสหลักที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่องหนึ่ง ซึ่งเดิมทีก็นำเสนอข่าวหลายมิติและรอบด้านจริงๆ เริ่มด้วยผู้บริหารช่องที่ดูดนักข่าวจากช่องอื่นๆ มามากมาย ระดับหัวกะทิกันทั้งนั้น แต่สาระข่าวที่ถ่ายทอดออกมากลับเป็นแค่หางๆ สะท้อนปรากฏการณ์ธรรมดา ข่าวบางข่าวน่าตามประเด็นต่อ น่าสืบสาวเจาะหาเซ็นเซอร์ตัวเองไปซะงั้น

ดิฉันเฝ้าสังเกตดูรายการข่าวดังหลังละครช่องนั้นมาตลอด 4 เดือนให้หลังเหตุการณ์ “พฤษภาอำมหิต” เพราะอยากรับรู้ความเป็นไปของคนเสื้อแดงบ้างในฐานะเป็นมวลชนส่วนหนึ่งของคนไทย โดยเฉพาะการติดตามความคืบหน้าของคนไทย 91 ศพซึ่งเป็นเรื่องใหญ่โต ส่งกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างเลี่ยงไม่ได้ เรื่องราวของคนเสื้อคล้ายหายเข้ากลีบเมฆ เรื่องราวเหล่านั้นถูกลบจากรายการข่าวเจาะช่องนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ดิฉันเชื่อว่ามีอำนาจพิเศษบางอย่างสำแดงพลังและสั่งตรงมายังเจ้าของทุนสื่อและเจ้าของรายการให้ละเว้นการเสนอข่าวคนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่เคยเป็นข่าวเจาะเพียงช่องเดียวที่กล้าเสนอความจริงที่ในเชิงข่าวที่รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนเสื้อเหลือง เสื้อหลากสี หรือเสื้อแดง ฯลฯ ส่วนใครจะคิดเห็นประการใดก็ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองตามข้อมูลที่เสพเข้ามามากน้อยต่างกันไปแต่ละคน

น่าเสียดายจริงๆ สื่อกระแสหลักเพียงรายการเดียวที่ดิฉันเคยมองว่าเป็นกลางในการนำเสนอ และติดตามมาตลอด ดิฉันเกิดความเบื่อหน่ายและออกจะผิดหวังอยู่มาก ดังนั้นพอละครจบตอนนี้ไม่เสียดายที่จะปิดโทรทัศน์นอนทันที ตอนเช้าค่อยติดตามข่าวทางวิทยุ โทรทัศน์ดาวเทียม ไม่ก็สื่อออนไลน์ที่ “กล้า” มากกว่าที่จะวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองในมุมที่แตกต่าง

ทั้งนี้การเกิดสื่อของกลุ่มการเมืองที่มีอุดมการณ์เฉพาะตนมิใช่มีเฉพาะของคนเสื้อแดง ก่อนหน้านี้ในช่วงม็อบเสื้อเหลือง ก็มีเอเอสทีวีผู้จัดการเป็นสื่อในมือที่คนเสื้อเหลืองโดยมีคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นแกนนำคนสำคัญตลอดจนเป็นเจ้าของสื่อเสียด้วยซ้ำ

ดิฉันในฐานะของคนที่เคยทำสื่อ (สิ่งพิมพ์) มองว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ ของประเทศที่เป็นประชาธิปไตยแล้ว (เท่านั้น) ที่จะเกิดสื่อมากมายหลายหลากเพื่อรับใช้อุดมการณ์ทางการเมืองชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นที่สอดคล้องหรือเห็นไปในทางเดียวกับรัฐบาลเสียทุกเรื่อง เป็นการแสดงถึงเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการเขียนและตีพิมพ์ ซึ่งทุกรัฐธรรมนูญของไทยก็ให้การรับรองเสรีภาพดังกล่าว เว้นแต่จะไปละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น ซึ่งจะกระทำไม่ได้

ย้อนกลับมากรณี ศอฉ.ปิดนิตยสารเรดนิวส์ โดยทางนายกฯอภิสิทธิ์ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในว่าไม่ได้สั่งปิด แต่ทำตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ ยันรัฐไม่ปิดกั้นสื่อ (ข้อความที่ส่งเข้ามือถือของสำนักข่าว Voice New เวลา 18.48 น.วันที่ 10 กันยายน 2553)

ฟังดูทะแม่งๆ นะคะแต่มีเหตุผลรองรับเสมอตามสไตล์ท่านนายกฯ มาร์ค

คำถามคือพระราชบัญญัติดังกล่าวเขียนโดยใคร และเขียนโดยมีวัตถุประสงค์เช่นไร ดิฉันมีความเชื่อโดยส่วนตัวว่าคนเขียนกฎหมายคือผู้ที่ได้ประโยชน์จากกฎหมายนั้นๆ ตราบใดที่รัฐไทยไม่เคยฟังเสียงประชาชนเลยก่อนลงมือเขียน กฎหมายดังกล่าวย่อมอิงประโยชน์ของคนส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ใช่ให้ประโยชน์กับปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง

เพราะ....จะว่าไปตั้งแต่รัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่โดยใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่รัฐใช้ความรุนแรงจนสื่อต่างประเทศวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างหนาหู

ความรุนแรงครั้งนั้นยากจะลืมเลือนสำหรับผู้สูญเสียชีวิตไม่ว่าจะเป็นฝ่ายคนเสื้อแดงหรือฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจซึ่งต้องปฏิบัติภารกิจนี้ตามคำสั่งของรัฐบาล และแม้ว่าจะมีแกนนำเสื้อแดงบางส่วนมอบตัว และถูกตีตรวนเป็นภาพอื้อฉาวไปทั่วสำหรับการกระทำกับ “ผู้ต้องหา” ทั้งๆ ที่ยังไม่มีกระบวนการสืบสวนที่แน่ชัดว่ากระทำผิดจริงๆ ซึ่งต้องสืบพยานอีกหลายปาก พวกเขาเหล่านั้นถูกพิพากษาจากสังคมให้เป็นนักโทษการเมืองไปโดยปริยาย เช่นนี้แล้วความยุติธรรมมีนัยยะเช่นไรกันแน่

นอกจากนี้รัฐบาลก็ยังตามไล่ล่าแกนนำคนเสื้อแดงคนอื่นๆ อีกมากมาย หนึ่งในนั้นดิฉันรู้จักในฐานะเพื่อนนักเขียน (แต่ไม่ขอลงรายละเอียด) ปฏิบัติการปราบปรามประชาชนที่มีความคิดแตกแถวดำเนินมาตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลต้องการกำจัดคนเสื้อแดงให้พ้นหูพ้นตา จึงมีการขึ้นแบล็คลิสต์บุคคลต่างๆ และอนุมัติหมายจับมากมาย

การกระทำของรัฐบาลออกจะเป็นยุทธวิธีที่ “ล้าหลัง” มากๆ คะ ถ้าเทียบกับยุคเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลาคม 16 และ 6 ตุลาคม 19 ซึ่งทำให้ทำให้นักศึกษาต่างหนีเข้าป่าเป็นจำนวนมาก เพราะกลัวข้อหากระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์

หลังจากนั้นไม่นานสมัยที่ประเทศไทยมีประชาธิปไตยครึ่งใบในยุคที่มี พล.เอกเปรมเป็นนายกฯ โดยมี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุติ เป็นกุนซือสำคัญนำนโยบาย 66/23 มาใช้ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากออกจากป่าสู่เมือง คือใช้การเมืองนำการทหาร แม้จะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างก็สามารถมีพื้นที่ยืนได้ในแผ่นดินไทยอย่างเสมอภาค

หลักของนโยบาย 66/23 ก็คือการยุติสงครามกลางเมืองด้วยการขยายเสรีภาพของบุคคล แก้ปัญหาความไม่มั่นคงของรัฐบาลด้วยการขยายอำนาจอธิปไตยของปวงชน เพราะอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อย หรือระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นต้นเหตุของความไม่มั่นคงของรัฐ ซึ่งมีเงื่อนไขให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ทำสงครามกลางเมืองเพื่อทำลายอำนาจรัฐ (ทำลายกองทัพแห่งชาติ)

นโยบาย 66/23 เป็นการส่งเสริมการต่อสู้อย่างสันติเพื่อประชาธิปไตยของปวงชนชาวไทย มิได้ขัดขวางประชาชน ดังเช่นเรียกผู้เคยต่อสู้แนวรุนแรงด้วยอาวุธมาต่อสู้สันติว่า “ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย”

การร่วมพัฒนาชาติไทยคือการพัฒนาทางการเมืองที่สามารถทำได้ เพราะยุติสงครามกลางเมืองแล้ว รูปธรรมคือการร่วมสร้างสรรค์ประชาธิปไตยด้วยการให้เสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ และทำให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอันเป็นภารกิจสูงสุดของกองทัพ

ในกรณีของการปิดนิตยสารเรดนิวส์ เป็นการกระทำของรัฐบาลที่มิแยแสต่อประวัติศาสตร์เลยสักนิดเมื่อเทียบเคียงกันแล้ว เพราะเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางความของบุคคลอันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการคุกคามสื่ออย่างเห็นได้ชัดซึ่งผลที่จะเกิดขึ้นตามมารังแต่จะสร้างความเก็บกด ความคับข้องใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนและนำไปสู่ปัญหาความรุนแรงอีหรอบเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนทำสื่อที่ถูกปิดกั้นถึงขั้นสั่งปิด

ทำไมท่านไม่ปล่อยให้พวกเขาได้แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อสิ่งพิมพ์นั้นเล่า อย่างน้อยรัฐก็ได้รู้ ได้ทราบความเคลื่อนไหวว่าฝ่ายตรงข้ามว่าคิดเห็นประการใด เพื่อจะกำหนดยุทธวิธีที่ตรงจุด ซึ่งก็ดีกว่าตามล่าบุคคลที่รัฐบาลตราหน้าว่าเป็นพวก “ใต้ดิน” ซึ่งยิ่งปราบก็ยิ่งโต ไม่ต่างอะไรกับ “ตายสิบเกิดแสน” ของลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เบ่งบานสุดๆ ในยุคหนึ่ง

การกระทำเช่นนี้ยิ่งสร้างความเจ็บปวดเจ็บแค้นให้กับกองบรรณาธิการนิตยสารดังกล่าว ปิดได้ ก็เปิดใหม่ได้ เอาซิ...ดูท่าจะเป็นเช่นนี้

แม้รัฐบาลจะอ้างหลักกฎหมาย(ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นกฎหมายที่คนส่วนมากหรือคนส่วนน้อยบัญญัติ) ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลักเช่นนี้ ดิฉันมองว่าการปิดสื่อครั้งนี้เป็นเรื่องที่ “สิ้นคิด” อย่างรุนแรงของรัฐบาลเสมือนเป็นการ “ฆ่าตัวตายทางการเมือง” คำถามคือนี่หรือ “ประชาธิปไตย” ในแบบของท่าน

สำหรับดิฉันแล้วนี่มัน “เผด็จการสุดขั้ว” ต่างหาก

ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์คงมิอาจลืมวาทกรรมของตนที่เคยพูดไว้ว่า “แม้เพียงเสียงเดียวก็ต้องฟัง”

แต่....นี่มิใช่เสียงเดียวนะคะ การจัดตั้งเป็นกองบรรณาธิการหนังสือเล่มหนึ่งๆ ต้องประกอบด้วยคนไม่ต่ำกว่าสิบคนเป็นแน่

ดิฉันยังเชื่อในหลักเสรีภาพคะ (แม้ใครจะพยายามใส่สีให้ดิฉันก็ตามเถอะ ดิฉันไม่สนเพราะสิ่งที่พูดและเขียนในตั้งอยู่บนจุดยืนของคนที่เคยทำสื่อ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อมวลชน

การละเมิดสิทธิและเสรีภาพของสื่อไม่ว่าจะเป็นการเซ็นเซอร์สื่อถึงขั้นสั่งปิด และยึดแท่นพิมพ์ทั้งหมดของนิตยสารเรดนิวส์ ตลอดจนข้อกล่าวหาว่าด้วยเรื่องการเสนอข้อมูลที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง หรือเป็นไปในลักษณะหมิ่นเหม่จาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นข้อหาที่รุนแรงมาก รัฐบาลเอาอะไรมาพิสูจน์ความจริงเหล่านั้น หลักฐานก็ไม่ได้หนาแน่นหนักหน่วงพอที่จะฟันธงเช่นนั้น เป็นเพียงข้อกล่าวหาลอยๆ แต่ทรงอำนาจยิ่งนัก

ความคิดเห็นที่แตกต่างของ “เรดนิวส์” ไม่ใช่ข้อสรุปตามข้อกล่าวหาทั้งหมดที่จะพบบทสรุปเช่นนั้น

แต่.....มันคือเสรีภาพในการนำเสนอสื่อตามอุดมการณ์ทางการเมืองของประชาชนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากความคิดเห็นของรัฐบาลก็เท่านั้น จะว่าเป็น “สื่อแตกแถว” ก็คงใช่

ดิฉันคิดว่ามันคือการ “คุกคามสื่อ” และเป็นยุคเสื่อมที่สุดของคนทำสื่อเลยก็ว่าได้ การยอมรับในความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลายต่างหากเป็นสิ่งที่รัฐบาลควรทำเวลานี้ ไม่ต้องไปจ้างดารามารับโทรศัพท์เหมือนที่ผ่านมาเพื่อประมวลปัญหาของประชาชนหรอกคะ แค่อ่านและดูสื่อทั้งกระแสหลักและสื่อทางเลือกเช่นสื่อออนไลน์ ซึ่งตอนนี้มีอิทธิพลมาก แล้วนำมาประมวลเป็นนโยบายเพื่อประชาชนจะดีเสียกว่า

การปิดเว็บไซต์ การปิดสื่อมิได้เป็นผลดีต่อรัฐบาลเลยแม้แต่น้อย เพราะการโจมตีในที่แจ้งย่อมดีกว่าการเคลื่อนไหวใต้ดินแบบกองโจรเป็นไหนๆ

ที่มา.ประชาไท
**************************************************************************

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

วัดปทุมวนาราม

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ คนเดินตรอก
โดย วีรพงษ์ รามางกูร

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ศิษย์เก่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยรุ่นรถโบก ร่วมกับครูในสมัย 50 ปีก่อน ได้ไปร่วมทำบุญประจำปีที่วัดปทุมวนาราม เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน รุ่นพี่และรุ่นน้อง รวมถึงอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครูทิม ผลภาค ครูใหญ่ และคุณครูอื่น ๆ ที่ได้ ล่วงลับไปแล้ว

ที่เรียกว่า "รุ่นรถโบก" ก็เพราะมีการแยกนักเรียนชายจากโรงเรียนศรีอยุธยาที่ถนนศรีอยุธยา อำเภอพญาไท ไปตั้งโรงเรียนใหม่ เรียกว่าโรงเรียนสามเสนวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2497 รุ่นแรกที่ไปก็คือย้ายนักเรียนตั้งแต่มัธยมปีที่ 2 ถึงปีที่ 6 และรับนักเรียนใหม่คือมัธยมปีที่ 1 เมื่อย้ายไปอยู่ที่ใหม่จึงมีนักเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมปีที่ 1 ถึงมัธยมปีที่ 6 ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คือนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 5 ถึงมัธยมปีที่ 4 ขณะนั้นโรงเรียนสามเสนวิทยาลัยยังไม่มีการเรียนการสอนขั้นเตรียมอุดมหรือมัธยมปีที่ 5 และ 6 แบบสมัยนี้ ที่เลือกไปทำบุญที่วัดปทุมวนารามนั้นเพราะมีเพื่อนร่วมสมัยไปบวชมากว่า 40 ปีแล้ว เดี๋ยวนี้เป็นพระครูสมุห์ธีระ ชื่อเดิมคือพระธีระ แก้วศรีปราชญ์ อยู่ที่วัดนี้

โรงเรียนสามเสนวิทยาลัยซึ่งตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 6 ริมคลองประปาสามเสน เลยโรงกรองน้ำประปาสามเสน ตั้งอยู่ติดกับสามแยกที่ถนนนครไชยศรีมาบรรจบกับถนนพระรามที่ 6 เป็นที่ที่คลองประปาซึ่งเป็นคลองที่ชักน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาที่จังหวัดปทุมธานี มาบรรจบกับคลองสามเสนพอดี

ตำบลสามเสนนี้ ท่านสุนทรภู่จินตกวีของเราได้เล่าไว้ในนิราศพระบาท ว่าดังนี้

"ถึงสามเสนแจ้งนามตามสำเหนียก เมื่อแรกเรียกสามแสนทั้งกรุงศรี

ประชุมฉุดพุทธรูปในวารี ไม่เคลื่อนที่ชลธารบาดาลดิน

จึงสาปนามสามแสนเป็นชื่อคุ้ง เออชาวกรุงกลับเรียกสามเสนสิ้น

นี่หรือรักจะมิน่าเป็นราคิน แต่ชื่อดินเจียวยังกลายเป็นหลายคำ

ขอใจนุชที่ฉันสุจริตรัก ให้แน่นหนักเหมือนพุทธรูปเลขาขำ

ถึงแสนคนจะมาวอนชะอ้อนนำ สักแสนคำอย่าให้เคลื่อนจงเหมือนใจฯ"

ชื่อโรงเรียนก็ตั้งตามชื่อตำบล เมื่อพวกเราย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนสามเสน ซึ่งสมัยนั้นพื้นที่ยังเป็นตัวท้องร่องสวนผัก ถนนหนทางเป็นโคลนตม ไม่มีรถเมล์วิ่งผ่านเลยแม้แต่สายเดียว มีรถเมล์ศรีนคร สีเขียว สายเดียว เลี้ยวมาจากสี่แยกตึกชัยแล้วก็เลี้ยวไปตามถนนนครไชยศรี ไม่ผ่านหน้าโรงเรียน

พวกเราจะเดินก็ไกล ยิ่งตอนฝนตกถนนพระรามที่ 6 แม้จะลาดยางแล้ว ไหล่ถนน ก็เป็นโคลนตมเฉอะแฉะ ถ้าจะเดิน ก็ต้อง ถอดรองเท้าถุงเท้าห้อยคอ แล้ว ค่อยมา ล้างเท้าที่โรงเรียน ใส่ถุงเท้ารองเท้าใหม่

ขณะนั้น บริษัท เดอ เกรมองต์ ของฝรั่งเศส เป็นผู้รับสัมปทานวางท่อน้ำประปาขนาดใหญ่ บริษัทได้เอาท่อเหล็กขนาดใหญ่มาวางไว้ข้างถนน พอฝนตก พวกเราก็ได้พลอยอาศัยมุดเข้าไปหลบฝนอยู่ในท่อที่วางไว้ยังไม่ได้ฝัง หลบฝน พวกเราก็กลายเป็นมนุษย์ท่อไปชั่วขณะ เพื่อนฝูงที่พ่อแม่จะมารับมาส่งอย่างสมัยนี้ไม่มี ครูบาอาจารย์ก็ไม่มีรถเก๋งนั่ง ต้องเดินทางมาโรงเรียนแบบเดียวกับนักเรียน แต่ครูใหญ่ท่านมีบ้านพักในโรงเรียน ครูน้อย บางท่านก็มีบ้านพักในโรงเรียน

รถยนต์ที่ผ่านมาผ่านไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ คนขับคงจะนึกสงสารเด็กนักเรียน จึงหยุดรับไปส่งที่หน้าโรงเรียน ตอนเย็นก็หยุดรับไปส่งที่สามแยกนครไชยศรีบ้าง สี่แยกตึกชัยบ้าง

นักเรียนพอเห็นคนใจดีก็เลยโบกรถที่ผ่านไปมาอาศัยขึ้นไปลงหน้าโรงเรียน และรับจากหน้าโรงเรียนไปลงที่สี่แยกตึกชัย จนถึงปี 2500 จึงมีรถเมล์ศรีนครสายสนามหลวง-ปฏิพัทธ ผ่าน พวกเราจึงค่อยสบาย ไม่ต้องคอยยืนโบกรถไปมาเหมือนอย่างเคย

นักเรียนรุ่นที่ไปอยู่โรงเรียนสามเสน ตั้งแต่ปี 2497 ถึงปี 2500 จึงขนานนามตัวเองว่าเป็นรุ่น "รถโบก"

เมื่อเข้าไปวัดปทุมวนารามทีไร ก็ทำให้นึกถึงความหลังครั้งยังเป็นเด็กที่ต้องย้ายโรงเรียนเมื่อจบชั้นประถมปีที่ 4 ที่โรงเรียนเทศบาลบำรุงวิทยา จังหวัดนครพนม เดี๋ยวนี้มีชื่อใหม่ว่า โรงเรียนสุนทรวิจิตร มาพักอยู่ที่บ้านพักตำรวจสันติบาลในบริเวณกรมตำรวจ ตรงกันข้ามกับวัดปทุมวนาราม ชีวิตจึงผูกพันกับเพื่อน ๆ ในบริเวณกรมตำรวจ กับเพื่อน ๆ ที่เป็นเด็กวัดปทุมวนาราม อย่างแนบแน่นจนทุกวันนี้

ตอนนั้นเด็ก ๆ ยังเข้าวัด วันสำคัญก็ยังไปเวียนเทียน สวดมนต์ฟังเทศน์ พวกเราจึงจำพุทธประวัติได้เป็นอย่างดี เพราะพระจะเทศน์ถึงประวัติของวันสำคัญทางพุทธศาสนาทุกปี เช่น วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันมาฆบูชา ให้เข้าใจความหมายและความเป็นมาตามพุทธประวัติ

สมัยนั้นจะไปไหนมาไหน ถ้าไปไม่ไกลก็ไปรถรางสายประตูน้ำ-ยศเส หรือไม่ก็สายประตูน้ำ-บางรัก ซึ่งผ่านสี่แยกราชประสงค์ บางทีก็เดินจากกรมตำรวจ ถนนพระรามที่ 1 ผ่านวัดปทุมวนาราม ผ่าน "ชุมชนแออัดหลังวัด" เพราะเป็นที่ของวังสระปทุมกับวังเพชรบูรณ์

พวกเราไม่เคยเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดปทุมวนาราม เรียกแต่ชื่อเดิมคือ วัดสระปทุม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อปี 2409 คู่กับวัดสระบัว ที่เชิงสะพานยศเส หรือสะพานกษัตริย์ศึก ข้ามทางรถไฟ วัดนี้จึงเป็นวัดของฝ่ายธรรมยุต นัยว่าสมัยนั้นยังเป็นป่าและมีสระบัวใหญ่ วัดนี้เมื่อแรกสร้างจึงเป็น "วัดป่า" มุ่งไปทางปฏิบัติมากกว่าปริยัติ

วัดนี้จึงเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่ เมื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้าง ต่อมาจึงได้ย้ายพระพุทธรูปจากเวียงจันทน์ชื่อ พระเสิม จากวัดส้มเกลี้ยง หรือ วัดราชผาติการาม มาประดิษฐานที่พระวิหาร ความสำคัญของพระเสิมได้เคยเล่าไว้แล้วในฉบับก่อน

ส่วนพระประธานในโบสถ์ชื่อว่าพระสาย ยังไม่ได้สืบถามดูว่ามีประวัติ ความเป็นมาอย่างไร บางคนก็ว่าเป็นคำที่กร่อนมาจากพระใส หนึ่งในสามพระพุทธรูป ที่ทรงสร้างโดย พระราชธิดาของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรล้านนาที่เชียงใหม่ และอาณาจักรล้านช้างที่หลวงพระบางทรงย้ายจากเชียงใหม่มาหลวงพระบาง ต่อมาก็ทรงย้ายมาสร้างเมืองเวียงจันทน์ ประทับอยู่ที่นั้นโดยนำพระแก้วมรกตมาด้วย เหตุเพราะทรงหนีพม่าพระเจ้าบุเรงนอง

ที่เล่ากันว่ากร่อนมาจากคำว่าใส เพราะพระใสเมื่อข้ามแม่น้ำโขงมาถึงเมืองหนองคาย หลวงพ่อพระใสท่านไม่ยอมมากรุงเทพฯ หามกันขึ้นเกวียน เกวียนก็หัก เปลี่ยนเกวียนใหม่ก็หักอีกถึง 3 ครั้ง จึงโปรดให้ประดิษฐานอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย หนองคาย แล้วจึงมาสร้างจำลองพระใสขึ้นที่กรุงเทพฯ เลยเรียกว่าพระสาย ทำนองเดียวกับพระพุทธชินราชจำลองที่วัดเบญจมบพิตร เท็จจริงเป็นอย่างไรยังไม่ได้ตรวจสอบ ฟังเพื่อนลูกศิษย์วัดเล่าให้ฟังนานแล้วอาจจะไม่ใช่ก็ได้ เพราะฟังดูแล้วไม่น่าจะจริง เชิญตรวจสอบเอาเองเถิด เพราะวัดสร้างมาแค่ 150 ปีนี้เอง

แต่ก่อนพอทำบุญฟังพระสวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทพาหุงแล้วทอดผ้าบังสุกุลให้กับครูและเพื่อนรุ่น "รถโบก" เสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกันกลับบ้าน

แต่คราวนี้ได้เดินเล่นชมไปทั่ววัด เห็นแล้วก็อนิจจังเพราะวัดเจริญขึ้นมาก ทั้งอาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมเปลี่ยน ไปหมด

วัดปทุมวนารามเมื่อก่อนอยู่กลางชุมชนแออัด บัดนี้ชุมชนแออัดไม่มีแล้ว รถรางนั้นจอมพลสฤษดิ์ท่านสั่งเลิกไปตั้งแต่ปี 2502 หลังจากที่ท่านทำรัฐประหารครั้งที่ 2

บัดนี้ วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม อยู่ท่ามกลางความเจริญสูงสุดของประเทศไทย คืออยู่ระหว่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์กับศูนย์การค้าสยามพารากอน

โรงเรียนวัดปทุมวนาราม เมื่อก่อนมีแค่ชั้นประถมปีที่ 1 ถึงปีที่ 4 เป็นอาคาร เรือนไม้อยู่ติดกับรั้วด้านหน้าวัด เดี๋ยวนี้ เป็นอาคารใหญ่ 4-5 ชั้น ย้ายไปอยู่ทางหลังวัดติดกับศูนย์การค้า คลองอรชรไหลผ่านจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไปออกคลองแสนแสบกั้นระหว่างวัดกับวังสระปทุม เมื่อก่อนมีเรือขายถ่านขายฟืนถ่อผ่าน คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ไปออกคลองสาทร ก็มองไม่เห็นเสียแล้ว แต่ที่ยังเหมือนเดิมก็คือ โบสถ์ วิหาร พระเจดีย์ และพระภิกษุ เกือบทั้งหมดมีพื้นเพเป็นชาวอีสานมาบวชเรียนที่กรุงเทพฯ

วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม บัดนี้จึงเป็นวัดที่พระและเด็กวัดเกือบทั้งหมดเป็นชาวอีสาน แต่อยู่ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าไปโดยรอบ เหมือนกับเห็นโบสถ์ วิหาร และพระเจดีย์ อยู่ท่ามกลางแท่งคอนกรีต เหมือนกับมีวัดที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบไทย ไปตั้งอยู่บนใจกลางของ เกาะแมนฮัตตัน หรือกรุงโตเกียว หรือนครเซี่ยงไฮ้ มีรถไฟและทางคนเดินรวมกันเป็น 3 ชั้นผ่านหน้าวัด

แม้กระนั้นเมื่อเข้าไปในวัดจริง ๆ กลิ่นอายบรรยากาศภายในวัดก็ยังคงเป็นแบบเดิม เหมือนกับที่เคยสัมผัสมาเป็นเวลาเกือบ 10 ปี ที่เคยอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กับวัดแห่งนี้ คือสงบเงียบ

วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม กลับมาเป็นข่าวไปทั่วโลกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีการชุมนุมของกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มเสื้อแดง

เมื่อดูข่าวในโทรทัศน์จึงมีความรู้สึกคุ้นเคยกับภาพโบสถ์ วิหาร เจดีย์ แต่เมื่อ ความรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณวัดก็เกิด ความสลดใจ เพราะหลวงพ่อเจ้าอาวาส ท่านก็ประกาศเป็นเขตอภัยทาน จะเป็นใครก็ตามแม้แต่หมู ไก่ สุนัข ปลา หรือสัตว์น้ำ เมื่อเข้าไปอยู่ในเขตวัด หรือถูกปล่อยให้อยู่ในเขตวัดก็เป็นอันปลอดภัย ไม่ถูกจับ ไม่ถูกฆ่า เป็นอันมีชีวิตรอด

ในสมัยก่อนเมื่อมีความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นใคร เช่น ทำรัฐประหารไม่สำเร็จ หรือมีการแย่งชิงอำนาจกัน ฝ่ายแพ้เมื่อโกนหัวเข้าวัดไปบวชเป็นพระแล้วก็เป็นอันเลิกกัน จนมีคำที่เอามาล้อกันเล่นว่า "แพ้เป็นพระ ชนะเป็นรัฐบาล" เมื่อมีเหตุการณ์รุนแรงมาเกิดขึ้นในวัด โดยเฉพาะวัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นวัดที่เคยคุ้นเคยมาแต่เล็กแต่น้อย จึงมีความรู้สึกเศร้าสลดใจเป็นของธรรมดา

ได้แต่หวังว่าต่อไปนี้ ความสงบร่มเย็นคงจะกลับมาสู่วัดสระปทุม หรือวัดปทุมวนาราม ตามเดิมอีก

เมื่อไปทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับคุณครู และเพื่อนนักเรียนสามเสนวิทยาลัย "รุ่นรถโบก" ด้วยกัน ก็เลยถือโอกาสอธิษฐานเงียบ ๆ อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้วายชนม์ที่มาเสียชีวิตในบริเวณวัดนี้ด้วยและได้อธิษฐานต่อไปอีกว่า ขออย่าได้มีเหตุการณ์เช่นว่านี้เกิดขึ้นอีกเลย เพราะ บ้านเมือง ครอบครัว หรือแม้แต่บุคคล แต่ละคนจะมีความสุขก็ต่อเมื่อมีความสงบทั้งกายและใจ และไม่มีความสุขใดจะเสมอได้กับความสุขอันเกิดจากความสงบทั้งกายและใจ สมกับพระพุทธภาษิตที่ว่า "นัตถิ สันติ ปรมัง สุขัง"

เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ขี่หลังเสือ ลงหลังเสือ กลัวเสือจะกัด!!

การออก ตีล่อโก๊ะ สั่นกระดิ่ง ลั่นบ้าน ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ตั้งโปรแกรม กดรีโมทคอนโทรล ให้มีเลือกตั้งใน “๒ เดือน” เพราะเกรงปฏิวัติ??
วางระเบิดกลางเมือง ยิงเอ็ม ๗๙ ตูม..ตูม ส่อว่า “รัฐบาลอภิสิทธิ์” คุมสถานการณ์ไม่อยู่
เพื่อตัดวงจร “ปฏิวัติ” .. “อภิสิทธิ์” จึงงัดเลือกตั้ง ขึ้นมาชู
“ประชาธิปัตย์” และ “ภูมิใจไทย” ต่างขมีขมัน เปิดประตูให้ “ทหาร” เข้ามากระชับพื้นที่ คุมอำนาจการเมืองในสภาฯ ..มาบัดนี้ ตัวเองไม่สามารถ สร้างความปรองดอง อีกทั้งยังสร้างวิกฤติ
ที่ “จุดประเด็น” เลือกตั้งขึ้นมา...เพราะรัฐบาลเกรงว่า?...ทหารจะตบเท้ามาล้มอภิสิทธิ์”?

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทหารแก่ไม่มีวันตาย!!
อย่ามองข้าม “บิ๊กมนูญ” พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาฯ และ อดีต ส.ส.สัดส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ปุเลงม้าเหล็ก ถอดสายพานหนี พรรคประชาธิปัตย์ จะบอกให้??
มีสายข่าวตะแล็ปแก๊ป “บิ๊กมนูญ” ไม่ได้นอนทอดหุ่ย เปิดพุงพุ้ย เย็นฉ่ำอยู่ที่บ้าน
แต่รับจ๊อบ เป็น “ที่ปรึกษาใหญ่” ของผู้คุมอำนาจประเทศไทย ขอรับท่าน
บทบาท ของ “ท่านมนูญ” ไม่โฉ่งฉ่าง ทำอะไรเงียบกริบ..แต่ทว่า “เม็ดงานนั้น” เฉียบขาด สุดจะหยั่งถึง!!!
ใครที่ประมาท “บิ๊กมนูญ”....ขอเตือนเอาไว้นะคุณ?...จะล่องจุ้นหงายตึง???

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คุยโขมงโฉงเฉงฝ่ายเดียว!!
ผลสำเร็จ แห่งการไปทัวร์ราชการ ที่ประเทศจีน ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..ปรากฏว่างานนี้ ทางการจีน เขาไม่เกี่ยว???
การไปเซี่ยงไฮ้ ชมงานเวิร์ล เอ็กซ์โป.. แล้ว “อภิสิทธิ์” ฟุ้งน้ำลายแตกคอ ว่าหอบความสำเร็จ กลับมาบ้าน
“ของจริง” เท่าที่รู้ “จีน” ไม่ให้ความสำคัญ
แต่ที่แน่ๆ ขณะสวมวิญญาณเป็น “พญาน้อยชมงาน” ปรากฎว่า “มิสเตอร์เหยินปิน” หรือที่ชื่อไทย ว่า “ชาญชัย รวยรุ่งเรือง” นักธุรกิจตัวเอ้ ผู้สนิทสนมกับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” มาจ๊ะเอ๋กันเข้า..เล่นเอากลุ่มผู้นำไทย ถึงกับแตกฮือ!!!
แค่เจอะคนสนิท “ทักษิณ”.....ยังแจวหนีกันหมดสิ้น?..วิ่งลิ้นห้อย กันเชียวหรือ??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การไม่มีโรค เป็นลาภ อันประเสริฐ!!
แต่การเจ็บป่วยไข้ ห้ามกันได้ที่ไหน..เมื่ออะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด??
นับเป็น “ทุกขลาภ” แก่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกป้ายแดง เป็นอย่างยิ่ง
ร่างกายสุขภาพภายนอก ดูแล้ว บึกบึน แข็งเป็นหินจริง
แต่ก็เหมือนกับ “หยิน” กับ “หยาง” ที่ร่างกายภายนอกแข็งมากไป...ร่างกายภายในอ่อน ก็อาจจะ กระเสาะกระแสะ!!!
ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้....เจ็บป่วยไข้กันได้ทั้งนั้นแหละพี่?...มันก็เป็นเช่นนี้แหละ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทิ้งทวนกันมิดด้าม!!
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” จ่าฝูงคนใหม่ ถึงอึดอัดหัวใจ แต่ก็ไม่พูดสักคำ
เพราะการที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ที่จะสลัดก้นเกษียณออกไป และ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เซ็นแต่งตั้งโยกย้าย “ผบ.พัน” ๗. ๘ ตำแหน่ง
ในอดีตคนที่เกษียณ เขาจะไม่ออกคำสั่งเป็นการแทรกแซง
แต่เมื่อ “บิ๊กป๊อก” และ “บิ๊กป้อม”..ที่หลายคนคาดกันว่า อีกหนึ่งคน จะเป็น “นายกรัฐมนตรี” และอีกคน จะเป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” ..ทำเช่นนี้ “บิ๊กตู่” ได้แต่เงียบฉี่!!
ทั้ง ๒ เป็น “รุ่นพี่บูรพาพยัคฆ์”..... “บิ๊กตู่” จึงไม่กล้าทัก?...ได้แต่พยักหน้า ว่าท่านทำดี??

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************************

‘ผู้ใหญ่’หักหลังเพื่อไทยแจ้งเลิกข้อตกลงเปลี่ยนหัวหน้าแลกปรองดอง

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

พรรคเพื่อไทยโดนแหกตาหลังหลงเชื่อคารมผู้มีอำนาจที่ตอบรับแผนปรองดองของชาติมหาอำนาจด้วยการเสนอให้เปลี่ยนหัวหน้าพรรคเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง “โกวิท” ชะงักไม่ยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อไทยหลังได้รับสัญญาณพิเศษ ระบุปัญหาการเมืองให้ฝ่ายการเมืองไปแก้กันเอาเอง ประชุมเลือกหัวหน้าใหม่วันนี้อาจดัน “มิ่งขวัญ” ขึ้นมารับตำแหน่ง นักวิชาการชี้เสียค่าโง่ทิ้งระยะเวลานานเกินไปทำให้มีคลื่นแทรกจนสถานการณ์พลิกผัน เตือนหากอุ้ม “ยงยุทธ” กลับมาคุมบังเหียนพรรคอีกรอบจะไม่เหลือความน่าเชื่อถือในสายตาประชาชน

การเปลี่ยนแปลงภายในพรรคเพื่อไทยเกิดการพลิกผันขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร) และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่เป็นเต็งหนึ่งที่จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่แทนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ที่ลาออกจากตำแหน่งจะไม่เข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคแล้ว โดย พล.ต.อ.โกวิทไม่ได้เดินทางเข้ายื่นใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคตามนัดหมายในวันที่ 13 ก.ย.

ผู้ใหญ่เปลี่ยนใจไม่รับแผนปรองดอง

ทั้งนี้ มีรายงานที่น่าเชื่อได้ระบุว่า สาเหตุที่ พล.ต.อ.โกวิทไม่สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเนื่องจากได้รับสัญญาณพิเศษที่ไม่ตอบรับการเข้าเป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่กระแสข่าวการเข้าเป็นหัวหน้าพรรคในครั้งนี้เกิดจากการได้รับไฟเขียวจากบุคคลที่มีอำนาจบางคนที่ตอบรับแผนปรองดองที่ถูกผลักดันจากชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งที่ยื่นเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความขัดแย้งในประเทศ และได้มีการเจรจาตกลงกันไว้แล้ว

เพื่อไทยเซ็งถูกหลอกซ้ำซาก

รายงานระบุว่า การที่ผู้มีอำนาจเปลี่ยนใจกะทันหันยกเลิกข้อตกลงตามแผนปรองดองทำให้พรรคเพื่อไทยเสียความรู้สึกอย่างมาก เพราะเชื่อว่าสิ่งที่พูดคุยกันไว้จะเป็นไปตามนั้นจึงให้นายยงยุทธเสียสละลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้งจึงต้องหาทางออกใหม่สำหรับเรื่องนี้

“มิ่งขวัญ” อาจได้เป็นหัวหน้าพรรค

การประชุมใหญ่เพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคและหัวหน้าพรรคคนใหม่ที่จะมีขึ้นในวันนี้ (14 ก.ย.) จึงมีความพยายามที่จะขอให้นายยงยุทธกลับมารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอีกครั้ง และขณะนี้นายยงยุทธยังไม่ตอบรับ เพราะเกรงว่าจะไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายกับประชาชน เนื่องจากเพิ่งลาออกเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน อาจต้องเข้ารับตำแหน่งแทนเพราะมีความเหมาะสมมากที่สุดในเวลานี้ เนื่องจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รักษาการประธานพรรค ยืนยันชัดเจนว่าจะไม่รับตำแหน่ง ขณะที่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้จะมีความเหมาะสมเรื่องความรู้ความสามารถและบารมี แต่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เนื่องจากติดภาพของคนเสื้อแดงมากเกินไป

แกนนำตบเท้าเข้าพรรคคึกคัก

ด้านบรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 13 ก.ย. ปรากฏว่ามีบรรดาแกนนำเดินทางเข้าที่ทำการพรคอย่างพร้อมเพรียงเพื่อปรึกษาหารือถึงเรื่องที่เกิด เช่น พล.อ.ชวลิต นายยงยุทธ พ.อ.อภิวันท์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นายยงยุทธให้สัมภาษณ์แบ่งรับแบ่งสู้กรณีจะกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งว่า ให้รอดูผลการประชุมพรรค ยังไม่รู้ว่าจะมี ส.ส. เสนอชื่อในที่ประชุมหรือไม่

“โกวิท” ยังมีเวลาเปลี่ยนใจ

นายกมล บันไดเพชร นายทะเบียนพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.ต.อ.โกวิทยังมีเวลาถึงก่อนการประชุมพรรคในวันที่ 14 ก.ย. เพราะตามข้อบังคับพรรคเพียงยื่นใบสมัครและได้รับการรับรองจากนายทะเบียนพรรคก็มีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นหัวหน้าพรรคได้ทันที หากได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกพรรค

เผยแจ้งให้การเมืองแก้ปัญหากันเอง

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้รับการแจ้งจาก พล.ต.อ.โกวิทว่า เมื่อเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องทางการเมืองก็ขอให้ฝ่ายการเมืองไปแก้กันเอาเอง

“ผมก็ยังงอยู่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น” นายปลอดประสพกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป นายปลอดประสพกล่าวว่า คงต้องไปถามหมอดู

ให้รอความชัดเจนหลังประชุมพรรค

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า ทุกอย่างจะชัดเจนหลังการประชุมพรรคในวันที่ 14 ก.ย.

“พรรคเพื่อไทยมีความเป็นอิสระในการเลือกหัวหน้าพรรคและผู้บริหารพรรค โดยเราจะเลือกคนที่ดีที่สุดที่จะนำพรรคต่อสู้กับอุปสรรคปัญหาได้ และต้องเป็นที่ยอมรับของประชาชนและคนเสื้อแดง” นายจตุพรกล่าว

“อภิวันท์” ให้ทำตามระบบพรรค

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การคัดเลือกหัวหน้าพรรคจะต้องทำให้เป็นระบบมากขึ้น เพื่อผลักดันให้พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง โดยจะต้องมีการหารือกันในคณะกรรมการยุทธศาสตร์และการเมือง เมื่อได้ข้อสรุปแล้วจึงต้องส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการประสานกิจการพรรคเพื่อไทยก่อนเข้าสู่ที่ประชุมพรรค

เลือก “ยงยุทธ” กลับมาเละแน่

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ ให้ความเห็นว่า ไม่ว่า พล.ต.อ.โกวิทจะถอนตัวด้วยสาเหตุอะไร แต่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเละแน่ ยิ่งหากเลือกนายยงยุทธกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งความน่าเชื่อถือของพรรคจะไม่เหลือเลย

ปล่อยเวลานานเลยเจอคลื่นแทรก

“ความจริงข่าว พล.ต.อ.โกวิทจะมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมคิดว่าทิ้งช่วงนานเกินไปเลยอาจทำให้มีคลื่นและรหัสต่างๆแทรก โดยเฉพาะกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ออกมาเตือน พล.ต.อ.โกวิทว่า ถ้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะมีจุดจบเหมือนนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ พล.ต.อ.โกวิทคิดหนักจนต้องถอนตัวไปในที่สุด” รศ.สุขุมกล่าว

**********************************************************************

คดีฆ่าเสื้อแดงขึ้นศาลโลกต.ค.นี้

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

“จตุพร” เย้ย “อภิสิทธิ์” ไม่มีโอกาสได้เป็นนายกรัฐมนตรีรอบ 2 แม้จะเส้นใหญ่ในประเทศแต่คดีการสังหารคนเสื้อแดงจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลกอย่างช้าเดือน ต.ค. นี้ สงสัยได้สัญญาณพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบจึงออกมาแสดงความมั่นใจ โฆษกพรรคภูมิใจไทยไม่สนนายกฯค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ชี้ประชาธิปัตย์มีแค่ 170 เสียงในสภา หากพรรคอื่นเห็นชอบร่วมกันออกกฎหมายได้แน่ เชิญชวนทุกพรรคที่สนับสนุนให้นัดหมายคุยนอกรอบ เผยร่างของพรรคเพื่อไทยพ่วงนิรโทษกรรมแกนนำเสื้อแดงที่ราชประสงค์เข้ามาด้วย

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คัดค้านข้อเสนอของนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อ “รีเฟรช” การเมืองให้กลับไปเริ่มต้นกันใหม่ว่า พรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส. ในสภาแค่ 170 กว่าคน ที่เหลือเป็นของพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งมากกว่าครึ่งหนึ่ง ดังนั้น ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่พรรคเสนอน่าจะผ่านความเห็นชอบจากสภาได้

เพื่อไทยให้นิรโทษแกนนำเสื้อแดง

“กฎหมายนี้เสนอเข้ามาหลายร่าง ล่าสุดร่างใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีการแก้ไขให้นิรโทษกรรมแกนนำการชุมนุมที่ราชประสงค์พ่วงมาด้วย เพราะฉะนั้นใครที่เห็นด้วยกับข้อเสนอของนายเนวินที่เห็นว่าขณะนี้ปัญหาหลังการชุมนุมยังไม่ยุติก็ควรจะเข้ามาร่วมกันใช้กฎหมายนี้เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ โดยยกเรื่องผู้ถูกกล่าวหาที่มีคดีอาญาติดตัวอยู่มาเป็นตัวตั้ง บรรดาแกนนำก็จะได้พ้นโทษไป” โฆษกพรรคภูมิใจไทยกล่าว

ส่วนกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ไม่เห็นด้วยนั้น นายศุภชัยกล่าวว่า อย่านำคำพูดของนายจตุพรมาเป็นตัวตั้ง เพราะเชื่อว่าวันนี้สิ่งที่นายจตุพรพูดไม่ใช่ความเห็นของคนเสื้อแดงทั้งหมด

ให้ทุกฝ่ายช่วยกันผลักดัน

“หากคิดจะแก้ปัญหาทุกฝ่ายต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ช่วยๆกันขยับ ในส่วนของรัฐบาลจะต้องมีการแสดงออกมากกว่านี้ สำหรับพรรคเพื่อไทยต้องมีความชัดเจนว่าต้องการปรองดองจริง โดยทั้ง 2 ฝ่ายต้องมีแผนที่เป็นรูปธรรมว่าการปรองดองนั้นจะต้องทำอะไรบ้าง ไม่ใช่แค่บอกว่าให้อภัย แต่วิธีการให้อภัยคืออะไรก็ไม่ชัดเจน ซึ่งพรรคเห็นว่าวิธีการให้อภัยโดยนิติรัฐคือการนิรโทษกรรมให้เลิกแล้วต่อกันไป” นายศุภชัยกล่าวและว่า พรรคการเมืองที่เห็นด้วยกับแนวทางนี้สามารถพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการก่อนได้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่าเป็นอุปสรรคของการปรองดองว่า คนที่เป็นอุปสรรคคือนักการเมืองที่ยอมเป็นทาสของผู้มีอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติ จนทำให้ประเทศถอยหลังแล้วไปตั้งรัฐบาลใหม่กันในค่ายทหาร

นักการเมืองไม่ควรค้านต้านรัฐประหาร

“นักการเมืองประเภทนี้จะแสดงความวิตกกังวลอย่างมากเมื่อรู้ว่าประชาชนจะจัดกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหาร ทั้งที่การต่อต้านรัฐประหารเป็นเรื่องที่ดี และคนเป็นนักการเมืองควรมาร่วมกับประชาชนต่อต้าน” นายจตุพรกล่าวและว่า นายอภิสิทธิ์มีทัศนคติของคนที่คิดแต่จะเอาเปรียบทางการเมือง ไม่ว่าทำอะไรจะต้องเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดี

นายจตุพรกล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรีคัดค้านการนิรโทษกรรมเพราะถือว่าตัวเองอยู่ในจุดที่ได้เปรียบ กฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ แต่นายอภิสิทธิ์ก็ต้องส่องกระจกดูตัวเองว่าการตาย 91 ศพ และบาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คนนั้นเกิดจากอะไร และควรรับผิดชอบอย่างไร นี่คือหัวใจหลักของการปรองดอง

“ผมจะไม่เอาการตายและการบาดเจ็บของประชาชนมาเป็นหัวข้อแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างความปรองดองและการเลือกตั้ง ทุกชีวิตต้องมีคนรับผิดชอบ” นายจตุพรกล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ควรฝันหวานว่าจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหลังการเลือกตั้ง ในอดีตที่ผ่านมาพวกมือเปื้อนเลือดไม่มีใครได้กลับมาเป็นนายกฯอีกแม้แต่คนเดียว

ปูดคดีฆ่าเสื้อแดงขึ้นศาลโลก ต.ค. นี้

“นายอภิสิทธิ์พูดเหมือนกับรู้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะรอดพ้นจากการถูกยุบ และตัวเองจะไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ถึงจะรอดเรื่องนี้ไปได้ผมก็จะขอบอกให้เอาบุญว่า อย่างช้าที่สุดภายในเดือน ต.ค. นี้คดีเข่นฆ่าคนเสื้อแดงจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโลก แม้กระบวนการยุติธรรมไทยจะไม่เอาผิดนายอภิสิทธิ์เพราะเป็นผู้มีบุญญาธิการมากแต่ศาลโลกเขาไม่สนใจเรื่องนี้ ผมยืนยันว่าในช่วง 4 เดือนจะมีความชัดเจนในกระบวนการยุติธรรมของศาลโลก จึงทำให้ผมเชื่อว่าชาตินี้นายอภิสิทธิ์ไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2” นายจตุพรกล่าวพร้อมย้ำว่า คนอย่างนายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยเดียวก็เกินพอแล้วสำหรับประเทศไทย

“จตุพร” พร้อมแจง กมธ.ตำรวจ

นายจตุพรกล่าวอีกว่า จะเดินทางไปชี้แจงข้อมูลการระเบิดตามที่นายสาธิต ปิตุเตชะ ประธานกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร เชิญแน่นอน แต่อยากให้เชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไปด้วย เพราะนายสุเทพเป็นคนระบุเองว่าคนที่ยิงลานจอดรถสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 เป็นกลุ่มเดียวกับที่ยิงทำเนียบรัฐบาล ก่อนหน้านี้ก็บอกว่าเป็นพวกของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล แต่เดี๋ยวนี้ พล.ต.ขัตติยะได้เสียชีวิตแล้ว และพรรคพวกก็อยู่ในคุกหมดแล้ว จึงมีคำถามว่าแล้วใครจะเป็นคนยิง

จี้เรียกทหารแจงเอ็ม 79

“ผมอยากให้เชิญทหารมาด้วย เพราะเอ็ม 79 เถื่อนที่จับได้ที่โรงงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและสมุทรปราการก่อนหน้านี้การข่าวยืนยันชัดเจนว่าทหารมีส่วนเกี่ยวข้อง จึงอยากรู้ว่าทำมากี่กระบอก เอาไปใช้ที่ไหน ปัจจุบันยังลักลอบทำกันอยู่หรือไม่” นายจตุพรกล่าวและว่า สังคมต้องมีสติและคิดว่าใครได้ประโยชน์จากระเบิดที่ดังตูมตามอยู่ในตอนนี้ เพราะมีจุดน่าสังเกตคือ ทุกครั้งที่เกิดเหตุระเบิดจะลงที่ลานจอดรถหรือไม่ก็กำแพงบ้าน ส่วนตัวพร้อมให้ข้อมูลกับตำรวจว่าใครได้ประโยชน์ แต่ตำรวจต้องไปเอาตัวคนนั้นมาสอบสวนด้วย

นายจตุพรกล่าวอีกว่า วันที่ 17 ก.ย. นี้จะร่วมกับคนเสื้อแดงไปวางดอกไม้ที่หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เวลา 10.00 น. เพื่อให้กำลังใจกับพรรคพวกที่อยู่ในเรือนจำ วางเสร็จก็จะกลับ ไม่ต้องห่วงว่าจะมีการปราศรัยละเมิดอำนาจศาล ส่วนการปราศรัยจะไปพูดที่เชียงใหม่ในวันที่ 19 ก.ย.

**********************************************************************

มทภ.1 เผยกองทัพเตรียมแผน 3ขั้นรับมือแดง 19ก.ย.

ที่มา.เนชั่น

พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนนี้ว่า เบื้องต้นเป็นความรับผิดชอบของตำรวจ ทหารจะเตรียมความพร้อมสนับสนุนกำลังทหารในกรณีที่ตำรวจร้องขอ ซึ่งประเมินว่าถ้าเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ได้ก่อให้เกิดความวุ่นวายและเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน ก็ทำได้ เชื่อว่าสถานการณ์จะไม่บานปลาย เพราะที่ผ่านมามีบทเรียนมากมายที่ชาวไทยทุกคนเจ็บปวด

เกรงหรือไม่ว่ามีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ พล.ท.คณิต กล่าวว่า เป็นประเด็นที่ต้องระวัง ผู้มาชุมนุมทั้งผู้เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง รวมถึงประชาชนโดยรอบต้องช่วยดูแลสอดส่อง สำหรับเหตุระเบิดที่เชียงใหม่จะเชื่อมโยงกับการชุมนุมในวันดังกล่าวหรือไม่นั้น คงเป็นเรื่องประเมินทางการมือง ทางความมั่นคง และการทหาร คงจับตาดูและเตรียมกำลังให้พร้อม โดยมีตำรวจทั้งกองบัญชาการตำรวจนครบาล สันติบาล สอบสวนกลาง เป็นหลัก ทหารเป็นเพียงผู้สนับสนุน ซึ่งในพื้นที่ที่เราดูแลช่วงนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร สถานการณ์ยังไม่รุนแรง เป็นการแสดงออกของความคิดของแต่ละกลุ่ม แต่ละบุคคล ขณะนี้เฝ้าระวังเต็มที่

ทั้งนี้กองทัพภาคที่ 1 เตรียมกองร้อยรักษาความสงบไว้เท่าใด พล.ท.คณิต กล่าวว่า คงไม่สามารถระบุได้ แต่จัดกำลังเป็นขั้นตอนตั้งแต่ 1-3 ขณะนี้ขั้นที่ 1 มีกำลังสารวัตรทหารและกำลังบางส่วนออกไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว ขั้นที่ 2 มีกำลังส่วนหนึ่งเตรียมพร้อมเคลื่อนที่ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง ขั้นที่ 3 เป็นการเสริมกำลังกองหนุนต่างๆ ซึ่งทั้งหมดกองทัพบกสั่งการไว้หมดแล้ว สำหรับวันที่ 17-19 กันยายนนี้ คงไม่อันตราย หากพวกเราช่วยเหลือดูแลกัน

*********************************************************************

"สุเทพ"ปัดคุยพิเชษฐหลังปูดซาอุ ขู่คว่ำบาตรไทย

ที่มา.เนชั่น
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าประชุมครม.กรณีที่นายพิเชษฐ สถิรชวาล เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยระบุว่า ซาอุดิอาระเบียอาจตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยเพราะไม่พอใจกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ผชภ.5ขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.ว่า ตนไม่ทราบ เพราะยังไม่ได้รับรายงานว่าจะมีกรณีนี้เกิดขึ้น ส่วนหนังสือชี้แจงกับซาอุฯนั้นตนส่งไปแล้วโดยกระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการและคิดว่าซาอุฯคงเข้าใจ เมื่อถามว่านายพิเชษฐยืนยันว่าได้รับข้อมูลนี้ผ่านมาจากกลุ่มประเทศมุสลิม นายสุเทพกล่าวว่าตนไม่ค่อยให้น้ำหนักกับข่าวนี้มากนักและต้องตรวจสอบให้ดี อย่าให้คนไปตกใจกับเรื่องนี้ เมื่อถามว่าจะสอบถามนายพิเชษฐหรือไม่ เพราะมีตัวตน นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการโดยตรงกับซาอุฯดีกว่า

เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวอีกว่าอาจปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯประจำประเทศไทยและอาจขยายผลไปให้โอไอซีคว่ำบาตรประเทศไทย นายสุเทพกล่าวว่าตนยังไม่ได้ตรวจสอบแต่คิดว่าคงไม่ถึงขนาดนั้น

ส่วนที่ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศไม่มีบทบาทในเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้อาจส่งผลให้ซาอุฯไม่ออกวีซ่าให้คนไทยที่ต้องการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และเรื่องนี้อาจลุกลาม นายสุเทพกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงข้อเท็จจริง หากเรื่องนี้จะลุกลามก็เป็นเฉพาะคำพูดของคน เพราะสถานการณ์จริงมันไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น เมื่อถามว่า หากชั่งผลได้และผลเสียในเรื่องนี้กับการแต่งตั้งพล.ต.ท.สมคิดนั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่สมมุติ

**************************************************************

2 ผู้เฒ่า‘เพื่อไทย’ วันสถานการณ์ฉุกเฉิน

ที่มา.สยามธุรกิจ

หลังพ่ายเลือกตั้งซ้ำซากสนามกทม.

ถึงวันนี้นาทีนี้คงพูดได้คำเดียวว่าชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 ครั้ง 3 ครา ไล่มาตั้งแต่เลือกตั้งสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) 14 เขต ที่เลือกตั้งเมื่อช่วงต้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา กระทั่งถึงการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม.เขต 6 ที่ส่งผลให้ นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ได้เป็นส.ส.

ตัวจริงสมใจนึก และล่าสุดที่เพิ่งจบไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อ 29 ส.ค. ที่ผ่านมาเห็นจะเป็นกรณีการเลือกตั้งสมาชิกสภากทม. ทั้ง 50 เขต และสมาชิกสภาเขต (ส.ข.) อีก 36 เขต ถือเป็นชัยชนะที่แฝงด้วยนัยทาง

การเมืองที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะบนเส้นทางแห่งความแตกแยกของผู้คนในสังคมเมืองกรุง บนการขับเคี่ยวระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่อย่างพรรคปชป.และพรรคเพื่อไทย

เช่นเดียวกับความพ่ายแพ้ที่ซ้ำซากสำหรับพรรคเพื่อไทย ในที่สุดพรรคก็เหลือมวลหมู่สมาชิกสภากทม. (ส.ก.) ในสังกัดแค่ 15 ที่นั่ง ถูกพรรคปชป.นำโด่งทิ้งห่างไปถึง 3 เท่าตัว (45 ที่นั่ง) กลายเป็นพรรคที่มีเสียงข้างมาก ในสภากทม. เรียกว่าการบริหารจัดการกทม.นับจากนี้ไปในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ถือว่ากุมอำนาจได้เบ็ดเสร็จ ทั้งฝ่ายบริหาร และฝ่ายนิติบัญญัติถูกกินรวบ

เมื่อเป็นเช่นนี้โจทย์การบ้านข้อใหญ่จึงไปลงเอยที่พรรคเพื่อไทยว่า บทบาท หรือทิศทางการเมืองจากนี้ไปจะทำอย่างไรบนข้อจำกัดที่ถูกกำหนดไว้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งเรื่องของความชัดเจนภายในพรรค ไม่ว่าจะเป็นกรณีโครงสร้างหัวหน้าพรรค หรือแม้แต่นโยบายที่ได้พิสูจน์มาอย่างต่อเนื่อง

แล้วว่าที่ผ่านมาขาดความชัดเจน มีเพียง “นายใหญ่” ที่อยู่ในต่างแดนเท่านั้นที่คอยสั่งการขับเคลื่อนผู้บังคับบัญชาที่กำกับดูแลภาคกทม.ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าชื่อชั้นของ วิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม.ในฐานะประธานภาค หรือแม้แต่น.อ.

อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. ก็ไม่มีผลต่อการสร้างกระแสชิงพื้นที่ข่าว ขณะที่ตัวจริงเสียงจริงอย่าง “คุณหญิงหน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ได้แต่คอยแอบๆ กำกับอยู่เบื้องหลัง เพราะยังอยู่ในช่วงของการรักษาโรค 111 ที่ติดมาจากพรรค ไทยรักไทยกว่าจะรักษาหายขาดก็คงต้องอีกพักใหญ่ ช่วงเวลานี้สำหรับพรรคเพื่อไทยในสนามกทม.จึงดูเสมือนถูกลอยแพให้ลอยตามน้ำไหลไปเรื่อยๆ

ยิ่งเมื่อภาพลักษณ์จากกลุ่มคนเสื้อแดงถูกนำมาประกบแนบแน่นเคียงคู่ขนานไปกับพรรคเพื่อไทยด้วยแล้ว อัตลักษณ์ในความเป็นกลุ่มการเมืองที่เน้นความรุนแรงจึงแยกกันไม่ขาด ส่งผลทำให้ภาคกทม.ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ แม้อยากจะสลัดคราบของความรุนแรงทิ้งไปจากพรรค แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะสายเกินแก้เสียแล้ว ประเภทเดินหน้าก็ไม่ได้ถอยหลังหลังก็ติดหนึบ อย่าได้แปลกใจในช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมาจะเห็นภาพ รวมถึงข้อความบนป้ายหาเสียงของผู้สมัครหรือแม้แต่โลโก้พรรค ต้องหลีกเลี่ยงทุกอย่างที่สื่อความไปถึงคนเสื้อแดง เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเชื่อเหลือเกินว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะสูญพันธุ์ในการเลือกตั้งย่อมเป็นไปได้สูง

เมื่อเป็นเช่นนี้บทบาทการทำหน้า ที่ในสภากทม.จึงตกเป็นภาระที่หนักอยู่กับ 2 ผู้เฒ่าแห่งพรรคเพื่อไทย อย่างเช่น วิสูตร สำเร็จวาณิชย์ ส.ก. ลาดกระบัง และประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ก. ห้วย ขวาง ที่คงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เหมือนเช่นที่เคยรับผิดชอบเมื่อ 4 ปี

ที่แล้วจากการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของคณะผู้บริหารกทม.ในหลายๆ โครงการจนเป็นเหตุทำให้ต้องมีการพิจารณาทบทวนโครงการกันใหม่

การกลับมาเที่ยวนี้จึงเชื่อเหลือเกินว่าบทบาทการทำหน้าที่ในสภากทม. สำหรับพรรคเพื่อไทย ยังไงก็ต้องใช้ผู้เฒ่า 2 คนนี้ในการขับเคี่ยวสร้างผลงานออกสู่สายตาประชาชนเช่นเดิม เพราะลำพังจะไปคาดหวังสมาชิกสภากทม.รายอื่นๆ ให้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของคณะผู้บริหารดูจะเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกเพราะที่ผ่านมาการจะเปิดให้มีการ

อภิปรายเรื่องใดเรื่องหนึ่งสักเรื่อง จะต้องมีการสืบค้นหาข้อมูลมาประกอบการอภิปราย ซึ่งในประเด็นสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย เหล่านี้ที่ผ่านมายังไม่เคยได้เห็นสมาชิกสภากทม.จากพรรคเพื่อไทยได้ทำหน้าที่ในการอภิปรายได้อย่างเต็มที่สมความภาคภูมิในฐานะผู้แทนอันทรงเกียรติ ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนอย่างแท้จริง

หนำซ้ำในบางครั้งมักจะได้ยินเสียงบ่นไล่หลังจากปากของนักการเมืองบางคน ที่ระบุว่าไม่อยากจะเปลืองตัวในการจะต้องไปเผชิญหน้ากับฝ่ายบริหาร เพราะมีแต่จะถูกเพื่อนพ้องต่างพรรคแต่พวกเดียวกันกล่าวตำหนิติเตียน การทำหน้า

ที่ในฐานะผู้ตรวจสอบการทำงานของพรรคเพื่อไทยที่ผ่านมาจึงถือว่าน้อยครั้งที่จะสามารถทำปฏิกิริยาให้ระคายผิวต่อ คณะผู้บริหารกทม. และภารกิจในครั้งนี้สำหรับ 2 ผู้เฒ่าแห่งพรรคเพื่อไทยจะเป็นครั้งสำคัญและดูจะเป็นอีกหนึ่งความหวังในสถานการณ์ฉุกเฉินสำหรับภาคกทม.ที่คงไม่อาจปฏิเสธ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

มะ ยันทักษิณแนะทหารเลขาพท.เดินปรองดอง

ที่มา.ไอเอ็นเอ็น

มะ ยันทักษิณแนะทหารเลขาพท.เดินปรองดอง.

พล.ท.มะ โพธิ์งาม ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น. ถึงการเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศรัสเซีย ว่าเป็นการเดินทางไปพบเพื่อเยี่ยมเยียนกันเท่านั้น และตนเองก็ไม่เคยไปเที่ยวประเทศรัสเซีย จึงถือโอกาสร่วมเดินทางไปด้วยเท่านั้น โดยยืนยันว่า ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตัวหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่อย่างใด ขณะที่การเข้าพบครั้งนี้ ไม่มีเรื่องใดเป็นความลับ ซึ่งเรื่องที่คุยกันก็มีเรื่องคำแนะนำ หรือแนวทางการหาเสียงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ และเรื่องความปรองดอง โดยมีการพูดคุยกันในวงว่า หากต้องการให้แนวทางปรองดองเดินไปได้ด้วยดี เลขาธิการพรรคน่าจะเป็นทหาร ซึ่งก็มีการกล่าวถึงกัน 6 ชื่อ โดยยอมรับว่า ตนเองก็เป็นหนึ่งใน 6 นั้น ซึ่งในวันนี้ ก็จะลงสมัครในตำแหน่งเลขาธิการพรรคด้วยเช่นกัน โดยระบุว่า ตนเอง พร้อมที่จะเป็นเลขาธิการพรรค แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการโหวตของสมาชิกพรรคในวันนี้ด้วย

ส่วน นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา เป็นแคนดิเดตด้วยนั้น ตนไม่ทราบว่าจะลงสมัครด้วยหรือไม่

ขณะที่ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตหัวหน้าพรรค จะหวนกลับมานั่งหัวหน้าพรรคอีกครั้งหรือไม่นั้น ต้องรอให้เจ้า ตัวสมัครชิงตำแหน่งก่อน ถ้าไม่มีคนสมัครแข่ง ก็ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง ทั้งนี้มองว่าไม่ใช่ เป็นการกลืนน้ำลายตัวเอง หลังได้ประกาศลาออกไปแล้ว แต่เป็นการปรับโครงสร้างพรรค

พร้อมยืนยัน ไม่ได้มีสัญญาณจากต่างประเทศ หลัง พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ตัดสินใจ
ไม่สมัครเป็นสมาชิกพรรคแล้ว ส่วนการประชุมพรรควันนี้ เพื่อคัดเลือกกรรมการบริหารพรรค ชุดใหม่ จะมีการเลื่อนออกไป เพื่อให้ทุกตำแหน่งสะเด็ดน้ำก่อนหรือไม่นั้น คงต้องมีการหารือกันก่อน

***********************************************

นี่หรือประชาธิปไตย

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน

พรรคประชาธิปัตย์ โดย นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรค ออกมารับลูกศอฉ. และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯทันที

กรณีการจัดกิจกรรมรำลึก 4 เดือนการตาย 91 ศพ และครบ 4 ปี การปฏิวัติวันที่ 19 ก.ย.

ซึ่งมาตรงกันพอดี

นายสาธิต กล่าวเตือนผู้ชุมนุมว่าไม่ควรใส่เสื้อสีแดง โดยอ้างว่าจะเป็นชนวนนำไปสู่ความรุนแรงได้

พร้อมกันนี้ ก็เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ ควบคุมการชุมนุมอย่างเข้มงวด

ถ้าหากทำผิดกฎหมาย ก็ให้จับกุม ดำเนินคดีทันที

ถ้าหากปล่อยปละละเลย หย่อนยาน นายสาธิต ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจคนใหม่ ก็จะเรียกผู้บังคับบัญชามาชี้เแจง

สำหรับนายสุเทพนั้น ถึงขนาดยกประกาศของศอฉ. รวม 4 ข้อใหญ่มาปราม

อาทิ ห้ามชุมนุมกีดขวางการจราจร และการใช้ชีวิตของคนกรุงเทพฯ ห้ามชุมนุมกีดขวางทางเข้าออกอาคาร จนบุคคลทั่วไปใช้ชีวิตปกติไม่ได้ มีพฤติกรรมคุกคามความปลอดภัยหรือทำให้บุคคลทั่วไปไม่ปลอดภัย หรือมีเหตุการณ์รุนแรงต่อเจ้าหน้าที่และบุคคลอื่น

แต่พอถามถึงกรณีที่กลุ่มพันธมิตรฯที่ออกมาชุมนุม เย้ยพ.ร.ก.ก่อนหน้านี้

นายสุเทพก็อ้างว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สร้างความเดือดร้อน

ก่อนหน้านี้ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. ในฐานะอดีตโฆษกคมช. ก็ออกมาประกาศกร้าวว่าไม่ควรมีการชุมนุมใดๆ เพราะบ้านเมืองกำลังไปด้วยดี

พร้อมทั้งอ้างว่าการนำดอกกุหลาบไปวางหน้าเรือนจำ ทั่วประเทศ ในวันที่ 17 ก.ย. เพื่อรำลึกถึงแกนนำที่ถูกจับกุมจากการสลายม็อบวันที่ 19 พ.ค.

ก็อาจเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลจะอ้างเรื่องความปรองดอง แต่ในทางปฏิบัติกลุ่มคนเสื้อแดงกลับยังรู้สึกว่าถูกไล่ล่า กดดัน ข่มขู่ จนชีวิตไม่ปกติสุข

การตายอย่างมีเงื่อนงำของการ์ดเสื้อแดงใน จ.นครราช สีมา และ จ.เชียงใหม่ ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการตามเก็บ หรือไล่ล่าหรือไม่

เพราะจนถึงขณะนี้ คดียังไม่มีความคืบหน้า

แถมผู้บังคับการตำรวจบางนายยังออกมาพูดในทำนองข่มขู่อีกว่าถ้ามีหน่วยตามเก็บไล่ล่าจริง ก็คงมีตายมากกว่านี้

ล่าสุด กรณีผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี รับสนองจาก นายสุเทพและศอฉ. ด้วยการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจบุก ตรวจค้น ยึดอุปกรณ์การพิมพ์ที่รับพิมพ์สื่อกลุ่มเสื้อแดง ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

แถม นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บ.ก.เรด เพาเวอร์ ระบุว่าถูกชายชุดซาฟารี สะกดรอยติดตามตัวและตามไปคุกคามถึงบ้าน

นี่หรือปรองดอง นี่หรือสมานฉันท์ นี่หรือประชา ธิปไตย

*****************************************************************

ฝ่ายประชาธิปไตย พรรคการเมือง และชนชั้นนำ: ข้อคิดเห็นบางประการ

ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น
นิสิตปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ ภาควิชาปกครอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ่านความเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงนี้แล้วรู้สึกว่าผมต้องออกความคิดอะไรบางอย่าง ความคิดที่ว่านั่นก็คือฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับพรรคการเมืองและชนชั้นนำเสียใหม่..

คำว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ของผมในที่นี้หมายถึงคนที่ลุกขึ้นมาเพื่อต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมในทางการเมือง สิทธิ เสรีภาพ รวมไปถึงการเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในประเทศทั้งระบบ ขจัดความไร้มาตรฐานในทางการเมือง บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งในขณะนี้เป็นใครไม่ได้เลยนอกจากขบวน “แดง” ที่เรียกร้องสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง (ซึ่งผมจะไม่กล่าวถึงข้อบกพร่องในขบวนให้เสียเวลาเพราะก็มองเห็นกันอยู่มากมาย) ..

หลังราชประสงค์แตกเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เป็นต้นมา คนเสื้อแดงเคียดแค้นชิงชังรัฐบาลไปทั่ว รัฐบาลเองก็รู้ว่าตนเองทำอะไรลงไปเมื่อตอนสลายประชาชน ใครยิงใครผมคิดว่าพวกเราต่างรู้กันดีในระดับปรากฏการณ์และตามแต่ละทัศนคติของตนเอง ..

2-3 วันที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์อันถือว่าเป็นแกนนำพรรครัฐบาลได้ออกแผนปรองดองระหว่างพรรคการเมืองด้วยกัน ซึ่งมุ่งเป้าไปที่พรรคเพื่อไทย แผนปรองดองดังกล่าวมีหัวใจหลักสำคัญก็คือความต้องการจับมือกันระหว่างพรรคการเมืองเพื่อไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์แห่งชาติ โดยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2553 ปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ว่ามีแนวทางปรองดองที่สอดรับกับรัฐบาลท่ามกลางเสียงคัดค้านระงมจาก สส. ภายในพรรคและสมาชิกพรรคเพื่อไทยว่าการออกแถลงการณ์ดังกล่าวจะทำให้เสียแนวร่วมจากมวลชนเสื้อแดงอันถือว่าเป็นฐานเสียงที่สำคัญที่สุดของพรรคแต่รองหัวหน้าพรรคกลับยืนยันว่าได้พูดคุยกับ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แล้ว แต่ในที่สุด พรรคเพื่อไทยก็มีท่าทีว่าขอปรองดองกับรัฐบาลโดยได้ออกแถลงการณ์ 5 ข้อสนับสนุนแผนการดังกล่าว .."

ใครที่ไม่ค่อยติดตามการเมืองก็ยังรู้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับตระกูลชินวัตรที่มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ที่มีบทบาทอย่างสูงต่อขบวนเสื้อแดงนั้นแนบแน่นเพียงใด ..

การเคลื่อนไหวของรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความคิดและท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ ผมเดาของผมเองว่าคุณทักษิณคงประเมินอะไรออกหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมของชนชั้นนำของฝ่ายการเมืองที่ต้องการ “ปรองดอง” กันเองเพราะสถานการณ์เฉพาะหน้าเรื่องเลือกตั้งและการ “ต่อรอง” ..

หลายอย่างที่ผมพอรู้มาคร่าวๆ ก็คือ การต่อสู้โดยแนวทางมวลชนของเสื้อแดงประสบความพ่ายแพ้หลายต่อหลายครา ในระหว่างทางที่พ่ายแพ้ก็ย่อมต้องมีสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อเป็นข้อเสนอและข้อต่อรองระหว่างชนชั้นนำด้วยกัน มิพักต้องพูดถึงสถาบันที่อยู่สูงกว่านั้นมีความสลับซับซ้อนที่พวกเราไม่เคยรู้ เกมการเมืองครานี้จึงเปรียบเสมือนการเล่นซ่อนหาท่ามกลางแดนประหารของแต่ละฝ่ายที่ต้องการจัดการกับผู้ที่พ่ายแพ้ออกไปจากเกม ..

ชนชั้นนำของแต่ละฝ่ายจึงต้องการจับมือกันชั่วคราวเพื่อผลประโยชน์ข้างหน้า ในที่นี้ก็คือการเลือกตั้งใหญ่ทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกปีกว่าๆ นี้ ..

ผมกลัวว่าสิ่งที่เขากำลังจะเฉดหัวทิ้งก็คือพี่น้องที่ออกมาต่อสู้ในทางการเมืองครับ ..

การบาดเจ็บล้มตายถูกคำนวณออกมาเป็นสมการการต่อรองทางการเมืองอันไร้น้ำหนักยิ่ง “แกนนำ” บางคนเชื่อว่าคนเสื้อแดงตายเพื่อประชาธิปไตยแล้วจะได้ “ราคา” ต่อรองกับ “เจ้ามือ” และ “ขาประจำวง” ..

แต่อนิจจา..เขาถูกเจ้ากินเรียบรอบวงในครั้งนี้ ส่วนขาประจำวงก็ได้บ้างเสียบ้างคละกันไป..

พี่น้องที่รักประชาธิปไตยออกมาต่อสู้เรียกร้องบนท้องถนนต้องถูกยกย่องเชิดชูจิตใจว่าพวกเขามีอุดมการณ์ที่เข้มแข็ง ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เขาต้องการมากไปกว่าความยุติธรรมและประชาธิปไตย แต่แกนนำ ชนชั้นนำ และฝ่ายการเมืองทั้งหลายที่เป็นแนวร่วมของขบวนก็ย่อมต้องการผลประโยชน์จากการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนทุกครั้ง (และทุกสี) ..

เมื่อใดที่ฝ่ายประชาธิปไตยต่อสู้ได้รับชัยชนะ คนที่เข้าไปเสวยสุขก็คือนักการเมืองและชนชั้นนำในทางการเมือง นี่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดก็จริง แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าการต่อสู้ของพี่น้องประชาชนจะต้องไม่ถูกหักหลังจากบุคคลที่เขาอุ้มชู พวกเขาเชื่อมั่นในตัวตนของผู้คนเหล่านั้น พวกเขาสู้เพื่อประชาธิปไตยที่พวกเขาต้องการกำหนดชีวิตของตนเอง กำหนดตัวแทนของตนเองในสภาฯ กำหนดนโยบายของตนเองภายใต้พรรคการเมืองที่เขาเลือก รวมไปถึง “กำหนดอุดมการณ์ประชาธิปไตย” ที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศหรืออันเป็น “ระบอบประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ” ..

การกระทำของพรรคเพื่อไทยอันมีมวลชนแดงสนับสนุนเป็นจำนวนมากต้องคำนึงถึงจิตใจของผู้ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย มิใช่พอเห็นว่าฝ่ายประชาธิปไตยทำท่าจะพ่ายแพ้ในแนวทางมวลชนแล้วตนเองจะปฏิเสธขบวนไปจับมือกับศักดินาเพื่อมุ่งผลประโยชน์เฉพาะหน้า ..

แบบนี้เป็นการกระทำที่ไร้ซึ่งความสำนึกต่อการต่อสู้ของประชาชนนะครับ ..

วันนี้ ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องทบทวนความสัมพันธ์ของตนเองกับพรรคการเมืองและชนชั้นนำทางการเมืองเสียใหม่ สิ่งที่เสื้อแดงทำได้ก็คือต้อง “สถาปนาสถาบันแดง” ขึ้นมาให้ได้ อันจะเป็นตัวจุดประกายให้แก่การต่อสู้และการบีบบังคับพรรคการเมืองที่มีฐานของคนเสื้อแดงทำตามที่ขบวนเรียกร้อง ชนชั้นนำจะไม่สามารถปฏิเสธความยินยอมพร้อมใจของมวลชนฐานรากที่พวกเขายืนอยู่ได้หากฐานรากในทางการเมืองเข้มแข็งด้วยตนเอง คิดอะไรได้ด้วยตนเอง กำหนดอุดการณ์ประชาธิปไตยของตนเองได้..

ที่ผมกล้าพูดเช่นนี้ก็เพราะว่ามวลชนแดงที่เราเห็นๆ กันนั้นมีความคิดความอ่านที่ไปไกลมากมายกว่าที่เราสัมผัสจากภายนอก คำว่าไปไกลไม่ใช่เรื่องของการล้มเจ้าล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แต่เป็นเรื่องของการสถาปนารัฐไทยที่มีประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ คนเสื้อแดงต้องการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนและรัฐขึ้นมาใหม่ภายใต้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ..

ประชาธิปไตยที่ทุกคนต้อง “เท่าเทียมกัน”

พรรคเพื่อไทยและคุณ ทักษิณ ชินวัตร ต้องเลิกคิดว่าประชาชนเป็นเครื่องมือได้แล้วครับ ..

ที่มา.ประชาไท
************************************************************************

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

"ผู้การเชียงใหม่"เผย"กรมรบพิเศษ" เคยโดนบึ้ม2หน ลั่นจะใช้วิธี"ใต้ดิน"โต้กลับบ้าง รับมี"แกนนำชุดดำ"เคลื่อน

มติชนออนไลน์

ตร.เร่งแกะรอยข้อมูลรถถล่มเอ็ม79 บ้านพ่อตาเนวิน "ผู้การเชียงใหม่"ชี้ยังไม่ถึงขั้นใช้"ฉุกเฉิน" เผย"กรมรบพิเศษ"เจอถล่มจริง2ครั้ง หวังเป็นข่าว หนแรกปิดเงียบ ครั้งสองยิงเพิ่มเป็นข่าวสมใจ ยันมีข่าวแผนฆ่า"นายกฯ-รมต."ต้องคุมเข้ม

ตร.ได้เค้ารถยิงบ้านพ่อตาเนวิน

ตำรวจเชียงใหม่เร่งสืบสวนหาคนร้ายยิงลูกระบิดเอ็ม 79 ใส่บริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัด เลขที่ 30 ถนนมหิดล ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เมื่อกลางดึกวันที่ 12 กันยายนทีผ่านมา ทั้งนี้พ.ต.อ.สุวัฒน์ แก้วดวงโต ผกก.สภ.ภูพิงคราชนิเวศน์ อ.เมืองเชียงใหม่ ผู้รับผิดชอบพื้นที่เกิดเหตุให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 13 กันยายนว่า เจ้าหน้าที่กำลังเร่งตรวจสอบภาพวงจรปิดบริเวณโดยรอบ ทั้งของเทศบาลนครเชียงใหม่และจุดต่างๆ เบื้องต้นได้ข้อมูลเกี่ยวกับรถของคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุ แต่ภาพยังไม่ชัดกำลังพยายามแกะรอย แต่เท่าที่ดูลูกระเบิดถูกต้นไม้ น่าเชื่อว่าคนร้ายจะยิงมาจากด้านหน้าตรงๆ ตัวอาคาร เพียงแต่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนหน้าเต้นท์รถ ส่วนภาพวงจรปิดของบริษัทเชียงใหม่คอนสตรัคชั่นฯเร่งตรวจสอบอยู่ แต่ไม่ค่อยได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก เพราะเห็นแต่ภายในตัวบ้านไม่ใช่ภาพภายนอก

ขณะที่นายคะแนน สุภา พ่อตานายเนวิน กล่าวภายหลังมีกระแสข่าวลือว่าจะมีการยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่บริษัทฯซ้ำอีก 1 ลูกว่า ไม่มี แค่เพียงลูกเดียวก็พอแล้ว อย่าทำอีกเลย เพราะข่าวที่ออกไป จ.เชียงใหม่เสียหายหมด ส่วนการซ่อมแซมหลังคาที่เสียหายเป็นรูพรุนกำลังรอช่างดำเนินการส่วนคดีคงต้องรอตำรวจ

ผู้การเชียงใหม่ยังไม่ใช่ฉุกเฉิน

ด้าน พล.ต.ต.สมหมาย กองวิสัยสุข ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ กล่าวว่าคดียิงเอ็ม79ใส่บ้านพ่อตานายเนวินยังไม่ทราบจะโยงกับการเมืองหรือเป็นประเด็นอะไร เพราะความจริงนายคะแนนไม่เคยยุ่งเรื่องนี้เลย ที่ผ่านมาใครขออะไรก็ให้ ไม่เคยไปกดดันใคร มีแต่นายคะแนนถูกกดดัน หากใครเป็นนายคะแนนก็คงไม่สบายใจ โชคดีที่ตำรวจสามารถจับกุมสองสามีภรรยาซึ่งเคยขว้างระเบิดเพลิงและเผายางรถยนต์หน้าบริษัทนี้ในวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาได้แล้ว

"ในทางคดีคงต้องขอความชัดเจนก่อน เพราะนี่ไม่ใช่การขว้าง แต่เป็นการยิงจากระยะ 400 เมตรวิถีไกลได้ ซึ่งคนยิงไม่จำเป็นต้องมืออาชีพก็ได้ แค่มาฝึกก็ทำได้แล้ว แต่เท่าที่ดูสถานการณ์ในขณะนี้ยังไม่มีอะไร ไม่จำเป็นต้องขอใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ยกเว้นจะมีอะไรรุนแรงไปมากกว่านี้ เพราะพฤติกรรมยังเหมือนเดิมแต่กล้ามากขึ้น เช่นเปลี่ยนจากกองบัญชาการตำรวจภาค 5 ไปเป็นกรมรบพิเศษที่ 5 แต่ก็ไปคิดแทนคนทำไม่ได้ว่าทำเพื่อหวังอะไร"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ

เผยกรมรบพิเศษเจอถล่ม2ครั้ง

พล.ต.ต.สมหมาย กล่าวว่ากรณีกรมรบพิเศษที่ 5 ยังตรวจสอบลำบาก เพราะรถก่อเหตุวิ่งออกนอกเมือง คนทำเลือกเวลาลงมือ ที่ผ่านมามีฝนตกทำให้มองไม่เห็นอะไรมากนักจากภาพวงจรปิด ที่สำคัญเป้าหมายเป็นสถานที่ไม่ใช่ตัวบุคคล ในทางคดีบางอย่างพูดไม่ได้ เพราะเป็นความมั่นคงของประเทศ แต่ไม่ใช่ตำรวจไม่ทำงาน เมื่อมาใต้ดินก็ต้องดำเนินการใต้ดินเช่นกัน เพราะเหตุที่กรมรบพิเศษมีมาแล้วรวม 2 ครั้ง แต่ครั้งแรกไม่เป็นข่าว พอครั้งที่สองเขาก็พยายามยิงเพิ่มให้มาก จุดประสงค์คือเพื่อบีบให้เป็นข่าวและก็เป็นข่าวสมใจ

"ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าเรารบกับใคร มาตรการที่เราทำมีอยู่ตลอดไม่เคยปล่อย โดยเฉพาะการกวาดล้างอาวุธสงครามทำมาตลอด 2 ปีนี้ ตรวจยึดจับกุมได้มาก การนำออกมาใช้แสดงว่ามีการขยายให้รุนแรง เพราะเป็นอาวุธหนักไม่ธรรมดา ในแง่การข่าวเป็นไปได้ที่จะมีการลงมือปฏิบัติการอีก แต่ไม่รู้ว่าจุดตรงไหน ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ยกระดับความเข้มงวดมากจนประชาชนไม่รู้สึก เพียงแค่ไม่มีทหารออกมาตั้งด่านรวมหรือมีอุปกรณ์กีดขวางมวลชนมาวางป้องกันไว้ เพราะไม่อยากให้นักท่องเที่ยวรู้สึกว่าอยู่ในภาวะสงครามเท่านั้น ทำให้การยกระดับทำได้เพียงระดับกลาง และต้องเพิ่มประสิทธิภาพคนหาข่าวให้มากขึ้น"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ

ยอมรับมีกองกำลังชายชุดดำ

พล.ต.ต.สมหมาย กล่าวว่า ยอมรับว่าเชียงใหม่มีกองกำลังชายชุดดำอยู่ แต่ก็เป็นกลุ่มเดิมซึ่งไม่ใช่นักเลงหัวไม้ แต่เป็นคนมีความรู้จัดตั้งมาแล้ว แต่รับรองว่าเชียงใหม่จะไม่มีทางเหมือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แน่ เพราะทุกวันนี้สภาพเศรษฐกิจก็แย่พอแล้วคงไม่มีใครยอม เพียงไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก โดยเฉพาะการรวมพลังของคนเสื้อแดงในวันที่ 19 กันยายนนี้ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดูแลประชาชน ตำรวจพร้อมรับสถานการณ์ มั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเหมือนตอนถูกกระชับพื้นที่ เพียงแต่ขอร้องให้ประชาชนช่วยเป็นตาให้ หากพบอะไรน่าสงสัยให้รีบแจ้งเราไปตรวจสอบ

ยันมีข่าวแผนฆ่า"นายกฯ-รมต."

"มีมานานแล้วเรื่องข่าวแผนสังหารนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในการร่วมประชุมใหญ่ๆ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่มีการคุมเข้มกันอย่างหนักแบบนี้ เวลานายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเดินทางไปที่ไหนก็ตาม แต่ทั้งนี้ต้องไม่ตื่นหากแต่วางแผนป้องกันและรับมือให้เต็มที่"ผบก.ภ.เชียงใหม่ระบุ

ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า นายอมรพันธุ์ นิมานันท์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างลาราชการไปต่างประเทศ มีคำสั่งด่วนให้ กอ.รมน.(กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน)จ.เชียงใหม่ นัดประชุมหน่วยหลักและหน่วยข่าวทุกหน่วย เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง(กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ กลุ่มนปช.)ที่จะใช้พื้นที่ จ.เชียงใหม่ จัดกิจกรรมช่วงวันที่ 18-19 กันยายนนี้ และอาจมีเหตุไม่น่าไว้วางใจเกิดขึ้น จึงมีความห่วงใยอย่างมาก และให้นำข้อมูลเข้ารายงานในการประชุมหน่วยงานความมั่นคงในบ่ายวันที่ 14 กันยายนนี้ โดยเน้นให้หัวหน้าหน่วยที่สามารถตัดสินใจได้เข้าที่ประชุมพร้อมกัน

พบระเบิดลูกเกลี้ยงซุกหวังป่วน

ต่อมา เวลา 11.30 น.ศูนย์วิทยุลำพูน รับแจ้งจากชาวบ้านพบวัตถุต้องสงสัยถูกทิ้งไว้ข้างเสาไฟฟ้า บริเวณศาลาที่พักริมทาง หมู่ 3 บ้านสันกับตอง ต.อุโมงค์ อ.เมือง จ.ลำพูน จึงประสานชุดเก็บกู้ระเบิด สภ.เมืองลำพูน นำโดย ด.ต.ถนอม สุวรรณภา รุดไปตรวจสอบพบถุงพลาสติกสีขาว ข้างในมีถ้วยมาม่าคัพที่กินแล้ว ด้านในมีวัตถุต้องสงสัยพันด้วยผ้าขาวไว้ จึงแกะตรวจดู พบเป็นลูกระเบิด เอ็ม-69 ผิวเกลี้ยง อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา คาดเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ที่ต้องการสร้างความปั่นป่วนในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หรือวัยรุ่นกวนเมือง แต่เนื่องจากว่ายังไม่ต้องการใช้ จึงนำมาทิ้งไว้บริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างจ.เชียงใหม่และลำพูน อยู่ห่างจาก จ.เชียงใหม่ ไม่ถึง 1 กิโลเมตร จึงเก็บระเบิดไว้ตรวจสอบอีกครั้ง

"มาร์ค"พร้อมดูจว.ขอใช้"ฉุกเฉิน"

วันเดียวกัน ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค เวลา 10.30 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเป็นไปได้ประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดที่ยกเลิกไปแล้วอีกครั้งหลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดอย่างต่อเนื่อง ว่า ถ้าผู้ปฏิบัติมีความจำเป็น หรือมีความต้องการอะไร สามารถเสนอมาได้ผ่านทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และตนจะลองพิจารณาดู แต่ความพยายามของรัฐบาลคือพยายามให้บริหารจัดการให้ได้ภายใต้กฎหมายปกติ

ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้มีรายงานหรือไม่ว่าจังหวัดที่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วเสนอให้กลับมาใช้กฎหมายดังกล่าวอีกครั้ง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่ายังไม่มีจังหวัดไหนที่ชัดเจนขนาดนั้น อย่างเมื่อวันที่ 12 กันยายนที่ผ่านมาเดินทางไปจ.นครปฐม พูดคุยกับม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ผู้ว่าฯนครปฐม ชี้แจงว่าเมื่อยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร

ชี้ยิงบ้านพ่อตาเนวินมุ่งสัญลักษณ์

เมื่อถามว่าเหตุการณ์ดูจะพุ่งเป้าไปที่ตัวนักการเมือง ล่าสุดยิงระเบิดใส่บ้านพักพ่อตาของนายเนวิน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็มีปัญหามุ่งทำในเชิงสัญลักษณ์บ้าง ทำจริงบ้าง เรื่องเหล่านี้ทุกคนคงทราบดี รัฐบาลก็ต้องระมัดระวังและแก้ไขกันไป ส่วนกรณีวิทยุชุมชนจ.เชียงใหม่ที่เคยถูกปิดไปแล้วปัจจุบันกลับมาเปิดขึ้นมาใหม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าถ้าเปิดใหม่แล้วมีปัญหาก็ดำเนินการตามกฎหมายได้อยู่แล้ว เพราะตอนนี้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และตำรวจมีระบบดูแล ขอให้มีการแจ้งเบาะแสเข้าไป

เมื่อถามว่าหนังสือพิมพ์เรดนิวส์ที่ถูกศอฉ.สั่งปิดก็เตรียมไปเปิดตัวที่จ.เชียงใหม่ด้วย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อะไรที่ผิดกฎหมายก็ทำไม่ได้ อะไรที่ถูกกฎหมายก็สามารถทำได้ แต่ละกรณีไม่เหมือนกัน บางเรื่องต้องยอมรับว่าถ้าต้นทุนต่ำ และระบบต่างๆ ค่อนข้างเสรี ก็เป็นปัญหา

"ป๊อก"ย้ำไม่ใช้ฉุกเฉินเชียงใหม่

ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก(ขส.ทบ.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้กรณียิงระเบิดเอ็ม 79 ที่ จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นการสร้างสถานการณ์การยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ไปในสถานที่ต่างๆ การป้องกันของหน่วยทหารถือว่าเป็นเชิงรับ ตรวจดูแลได้เพียงสังเกตการณ์ เพราะจุดที่คนร้ายลอบยิงเอ็ม 79 มาจากรัศมีทำการ 400 กว่าหลา ถ้าจะให้ป้องกันได้ผล ต้องนำกำลังทหารไปวางไว้ในรัศมีที่สามารถยิงได้ ขณะนี้ยังไม่เหมาะสมในการไปวางกำลัง เพราะติดเรื่องกฎหมายรองรับ และพ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ถูกยกเลิกไปแล้ว

"ตอนนี้ทำได้คืออยู่ในที่ตั้ง และเฝ้าตรวจตราระมัดระวัง และถึงแม้ว่าจะนำกำลังออกไปวางไว้ข้างนอก แต่การใช้อาวุธก็ยังมีขอบเขต เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งเมื่อใช้กฎหมายปกติไม่ว่าจุดใดในประเทศไทย เว้นแต่ในหน่วยทหาร คงต้องให้ตำรวจดูแล แต่การประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ใน จ.เชียงใหม่อีกครั้งคงไม่เหมาะสม เหมือนที่นายอภิสิทธิ์ ระบุ เพราะจะส่งผลกระทบต่อคนโดยร่วมใน จ.เชียงใหม่ เมื่อไม่มีการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ทางตำรวจสามารถร้องขอให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานได้ ซึ่งตามจุดต่างๆที่ตำรวจปฏิบัติงาน ทหารจะเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในจุดนั้น”ผบ.ทบ.ระบุ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++