ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
ศุกร์ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง นำตัว นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กับ นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาฯ
พร้อมสำนวนสอบสวนสั่งฟ้องฐานฝ่าฝืนพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ชุมนุมมั่วสุมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กรณีร่วมกันแถลงข่าวหน้ามูลนิธิบ้านเลขที่ 111 เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ส่งให้อัยการพิจารณาสั่งคดี
วันเดียวกัน นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความของทั้ง 2 คน ก็ได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการว่า
วันเกิดเหตุเป็นเพียงการแถลงข่าวแค่ 2-3 คน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบการสลายม็อบเสื้อแดงที่มีคนตายและบาดเจ็บจำนวนมาก
ไม่ได้เป็นการชุมนุมเกิน 5 คน
เพียงแต่ขณะนั้นมีประชาชนสนใจมาฟังและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจำนวนหนึ่ง
นอกจากนี้ทนายยังร้องให้สอบ พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐผล ผกก.สน.นางเลิ้ง และ พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.ด้วยว่า
ภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับเดียวกัน ทำไมถึงปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ จัดชุมนุมหลายครั้งโดยไม่ดำเนินคดี
จะว่าไปแล้วคำถามทำนองนี้เกิดขึ้นทุกครั้งที่มีการดำเนินคดีกับเสื้อแดง ว่าแล้วทำไมไม่ดำเนินคดีกับกลุ่ม พันธมิตรฯ หรือเสื้อเหลืองบ้าง
ทำไมคดีเสื้อแดงถึงรวดเร็ว ทำไมคดีเสื้อเหลืองถึงอืดอาด
โดยเฉพาะคดีพันธมิตรฯ บุกยึดสนามบิน มักถูกยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างคำถามวนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้
สุดท้ายคำตอบคงหนีไม่พ้นเรื่องสองมาตรฐาน
อย่างล่าสุด พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร. หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดียึดสนามบิน ได้ออกหมายเรียกพันธมิตรฯ 79 คนให้มารับข้อกล่าวหา
แต่ก็ยังโดนขัดขวางจากส.ว.บางกลุ่มที่เตรียมทำหนังสือถึงนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้พิจารณาโอนคดีดังกล่าวไปให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ดำเนินการแทน
เพื่อคดีจะได้กลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
แบไต๋กันซึ่งๆ หน้าโดยไม่แคร์ว่าสังคมจะมองอย่างไร
อย่างไรก็ตามมี 2 คนที่จะชี้ขาดเรื่องนี้คือนายกฯ อภิสิทธิ์ ผู้ถืออำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรม การคดีพิเศษ (กคพ.)
สำหรับนายสุเทพนั้นไม่เท่าไหร่ เพราะถึงจะร้ายกับเสื้อแดง แต่ก็ไม่เคยหงอให้เสื้อเหลืองเช่นกัน
พูดตรงๆ จะห่วงก็ตรงนายกฯ อภิสิทธิ์นี่แหละ
************************************************************************
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ไทยเชื่อ"หมีขาว"รุกหนัก หวั่น"บูท"เปิดข้อมูลลับในศาลนิวยอร์ค "มาร์ค"ยอมรับเจอ2ชาติมหาอำนาจกดดันหนัก
มติชนออนไลน์
"อธิบดีคุก"สั่งจนท.ดูแลเข้มความปลอดภัย"วิคเตอร์ บูท" เชื่อไร้เหตุหลบหนีและชิงตัวระหว่างรอส่งไปสหรัฐ "บัวแก้ว"เผยรัสเซียเรียกทูตไทยพบแจ้งผิดหวังคำตัดสิน เชื่อไม่กระทบสัมพันธ์ ยันเป็นไปตามกม. ผู้ช่วยปธน.สหรัฐขอบคุณศาลอุทธรณ์ พอใจอย่างยิ่งร่วมมือ รอส่งตัวโดยเร็ว จนท.ฝ่ายต่อต้านก่อการร้ายเชื่อไทยเจอหมีขาวรุกหนัก หวั่น"บูท"เปิดข้อมูลในศาลนิวยอร์ค "มาร์ค"ยอมรับสถานการณ์2ชาติมหาอำนาจกดดัน พร้อมทำความเข้าใจ
"มาร์ค"ยันรบ.ไม่ได้จุ้นคดีวิคเตอร์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ยันต้องทำความเข้าใจกับทางการสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ว่ารัฐบาลไทยไม่ได้เกี่ยวข้องและแทรกแซงต่อกรณีศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ส่งตัว นายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท อายุ 43 ปี พ่อค้าอาวุธสงครามรายใหญ่สัญชาติรัสเซียและอดีตทหารหน่วยเคจีบีรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปดำเนินคดีอาญาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมทีผ่านมา หลังตกเป็นผู้ต้องหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าผู้อื่น ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการจัดหาและใช้อาวุธสงครามต่อต้านอากาศยาน และร่วมสมรู้ร่วมคิดในการสนับสนุนอย่างมีสาระสำคัญให้กับองค์การก่อการร้ายต่างประเทศ ซึ่งละเมิดกฎหมายสหรัฐอเมริกา รวม4ข้อหา และศาลอุทธรณ์ยังมีคำสั่งให้คุมขังนายวิคเตอร์ บูท เพื่อรอดำเนินการส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนภายในเวลา 3 เดือน หากถึงกำหนดยังไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ให้ปล่อยตัวนั้น
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 สิงหาคม ระหว่างมาร่วมทำบุญวันคล้าวยวันเกิดครอบรอบ 86 ปีของนายมารุต บุนนาค อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่วัดเญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กทม. กรณีทางการรัสเชียไม่พอใจที่ไทยจะมอบตัวนายวิคเตอร์ บูทไปให้สหรัฐอเมริกาดำเนินคดี ว่า ทั้งหมดต้องยืนยันว่าเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมและศาลเป็นผู้วินิจฉัย โดยที่รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องและแทรกแซง
ปัดถูกสหรัฐบีบย้ำเรื่องของศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าทางรัสเชียไม่พอใจที่ไทยถูกบีบจากทางการสหรัฐอเมริกา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีการมาบีบ เพราะไทยได้ชี้แจงกับทุกฝ่ายมาโดยตลอด และทราบดีว่าทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเชียต่างให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก ฉะนั้นทุกครั้งที่มีการพบปะกัน ตนและรัฐบาลก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องของศาลที่จะพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่มีเรื่องที่จะไปแทรกแซงได้ เมื่อถามว่าต้องทำความเข้าใจกับรัสเชียด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าก็คงต้องทำความเข้าใจ โดยน่าจะมีการสอบถามกันมา ส่วนการดำเนินการต่อไปก็ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายอีก เนื่องจากทางสหรัฐอเมริกาได้ยื่นมาอีกคดีหนึ่ง เป็นคดีที่ 2 ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีเก่าแล้วก็เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป
เมื่อถามว่าทางรัสเชียระบุว่าจะต้องเอาตัวกลับให้ได้ แล้วจะเป็นปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัสเชียก็ติดตามคดีมาตลอด ตั้งแต่อยู่ในศาลชั้นต้นแล้ว และได้ยืนยันกับทั้ง 2 ฝ่ายมาตลอดว่ารัฐบาลไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงได้
รับเจอแรงกดดัน2มหาอำนาจ
เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ไทยอยู่ระหว่างปัญหาของ 2 ประเทศมหาอำนาจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีแรงกดดัน แต่ทุกอย่างนั้นจะดีที่สุดหากเราดำเนินการตรงไปตรงมาเพราะจะมีคำตอบ เมื่อถามว่าคดีที่ทางสหรัฐอเมริกายื่นมาใหม่นั้นจะต้องตัดสินในไทยหรือส่งตัวให้สหรัฐอเมริกาไปดำเนินการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สหรัฐฯยื่นเรื่องผ่านอัยการมาให้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นการขอตัว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเข้ามาก่อคดีในไทย และเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม อัยการก็ได้ส่งฟ้องแล้วพร้อมๆกับการที่มีการตัดสินของศาลอุทธรณ์
อธิบดีคุกสั่งดูแลปลอดภัยเข้ม
นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการให้ส่งตัวนายวิกเตอร์ บูท ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศสหรัฐฯว่า จะต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเข้ามาว่าจะนำตัวนายวิกเตอร์ บูท ออกไปเมื่อไหร่ แต่ระหว่างนี้เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งชี้ขาดแล้ว จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ความดูแลความปลอดภัยของผู้ต้องหาที่ศาลมีคำสั่งชี้ขาดให้เข้มงวดมากขึ้น ส่วนเรื่องที่กังวลว่าจะมีการชิงตัวผู้ต้องหาหรือผู้ต้องหาจะเกิดอาการเครียดระหว่างที่รอการส่งตัวให้สหรัฐอเมริกาหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะต้องดูแลไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนีและคงไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน
รัสเซียเรียกทูตไทยพบแจ้งผิดหวัง
ขณะที่ นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ(กต.)รัสเซียเชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซียเพื่อแจ้งความห่วงกังวลเรื่องการส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ให้สหรัฐว่า ช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมาตามเวลาในรัสเซีย นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซีย ได้รับเชิญไปยังกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งฝ่ายรัสเซียได้แสดงความผิดหวังในเรื่องดังกล่าว ขณะที่เอกอัครราชทูตไทยชี้แจงว่ากระบวนการพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามตัวบทกฎหมายไทย
"อย่างไรก็ดีเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในความสัมพันธ์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของสองประเทศ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในภาพรวมที่จะเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ดียอมรับไม่ว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไรคดีนี้ก็มีผลกับไทยทั้งนั้นแต่กระบวนการยุติธรรมต้องยึดตามข้อเท็จจริง"รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศระบุ
อัยการรอ"มะกัน"ประสานส่งตัว
นายธานีกล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท หลังจากนี้อัยการจะต้องส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มายังกรมสนธิสัญญาและกฏหมาย กระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นก็จะส่งเรื่องให้ฝ่ายสหรัฐ ส่วนขั้นตอนการรับตัวทางสหรัฐจะประสานกับอัยการได้โดยตรง
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่า คำตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายไม่ใช่สิ่งสูงสุด แต่เป็นเพราะถูกแรงกดดันทางการเมืองจากนอกประเทศโดยทางการสหรัฐได้ยื่นคำร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
สหรัฐขอบคุณศาลอุทธรณ์ไทย
ด้านนายจอห์น เบรนแนน ผู้ช่วยประธานาธิบดีสหรัฐฝ่ายกิจการต่อต้านการการก่อการร้ายและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวแสดงความขอบคุณที่ศาลอุทธรณ์ไทยได้พิพากษาตัดสินให้ส่งตัวนายบูทตามคำร้องขอของสหรัฐ ระบุพอใจเป็นอย่างยิ่งกับความร่วมมือที่ได้รับจากฝ่ายไทย และรอคอยให้มีการส่งตัววิคเตอร์ บูท มาพิจารณาคดีในนิวยอร์กได้โดยเร็ว โดยย้ำว่าบูทมีส่วนรับผิดชอบต่อการค้าอาวุธและการให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายในหลายพื้นที่ทั้งเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ การนำตัววิคเตอร์ บูทมาดำเนินคดียังจะมีส่วนช่วยยับยั้งขบวนการลักลอบค้าอาวุธ และบ่อนทำลายศักยภาพขององค์กรก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆที่จ้องจะก่อเหตุทั่วโลกด้วย
ประหลาดใจกลับคำพิพากษา
สำนักข่าวเอพีระบุว่าช่วงปีแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐให้ความสำคัญกับการยื่นคำร้องขอให้ทางการไทยส่งตัวบูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างมาก โดยเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมารัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐเดินทางไปยังกรุงเทพระหว่างไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่สิงคโปร์เพียงเพื่อจะหารือกับหน่วยราชการไทยในประเด็นการยื่นคำร้องขอให้มีการส่งตัววิคเตอร์ บูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนเพียงประเด็นเดียว อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐเองก็ยังประหลาดใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำตัดสินให้ส่งตัววิคเตอร์ บูทให้สหรัฐ
ชี้รัสเซียกดดันหนักหวั่นข้อมูล"บูท"
นายฟิลลิป เจ. โครว์ลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐทำงานภายใต้กรอบกฎหมายไทยซึ่งกระบวนการยุติธรรมของไทยก็มีความเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี สหรัฐรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีการนำเอาหลักฐานที่ฝ่ายสหรัฐนำเสนอไปใช้ประกอบการพิจารณา ทำให้ได้ข้อยุติซึ่งสหรัฐเห็นว่าบทสรุปที่เหมาะสม
นายฮวน ซาเรท เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านต่อต้านการก่อการร้าย ในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ทางการรัสเซียจะต้องกดดันอย่างหนักหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ไทยตัดสินให้ส่งตัวบูทตามคำร้องขอของสหรัฐ เพราะฝ่ายรัสเซียไม่ชอบความจริงที่ว่าพลเมืองรัสเซียที่มีชื่อเสียงในด้านไม่ค่อยดีกำลังจะถูกนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในสหรัฐ เนื่องจากวิคเตอร์ บูทเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับองค์กรบางแห่ง ของทางการรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้หลายคนหวั่นวิตกเกี่ยวกับข้อมูลที่วิคเตอร์ บูทรู้และสิ่งที่วิคเตอร์ บูทอาจจะพูดระหว่างถูกนำตัวมาพิจารณาคดีในศาลนิวยอร์ก
“ตู่”ชี้ซ้ำรอยจับอาวุธดอนเมือง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีศาลอุทธรณ์ให้ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูทไปดำเนินคดีสหรัฐ จนทางการรัสเชียไม่พอใจว่า ตนและคนเสื้อแดงเคยนำเสนอเรื่องนี้ในช่วงที่ทางการสหรัฐแสดงความเสียใจต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ตั้งแต่ยังอยู่ในศาลชั้นต้น และพอมาถึงศาลอุทธรณ์ ทางการรัสเชียก็แสดงความเสียใจต่อศาลอุทธรณ์ไทย ทำให้หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องวางบทบาทตัวเองให้ดี เพราะเรื่องนี้ยังมีอะไรอีกมาก
"ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็พยายามบิดบังไม่ให้คนไทยรับรู้เรื่องนี้มาตลอด ซึ่งสุดท้ายคดีนี้อาจจะต้องจบลงเหมือนกรณีการจับอาวุธสงครามล็อตใหญ่ ที่ขนขึ้นเครื่องบินมาผ่านสนามบินดอนเมืองแต่จนแล้วจนรอดรัฐบาลก็ต้องดำเนินการคืนอาวุธสงครามให้กับเจ้าของเขาอย่างเงียบๆ จนทำให้รัฐบาลไทย ที่เริ่มต้นอย่างกับเสือ ต้องจบลงแบบแมวเหมียวตัวหนึ่ง"
***************************************************************************************
"อธิบดีคุก"สั่งจนท.ดูแลเข้มความปลอดภัย"วิคเตอร์ บูท" เชื่อไร้เหตุหลบหนีและชิงตัวระหว่างรอส่งไปสหรัฐ "บัวแก้ว"เผยรัสเซียเรียกทูตไทยพบแจ้งผิดหวังคำตัดสิน เชื่อไม่กระทบสัมพันธ์ ยันเป็นไปตามกม. ผู้ช่วยปธน.สหรัฐขอบคุณศาลอุทธรณ์ พอใจอย่างยิ่งร่วมมือ รอส่งตัวโดยเร็ว จนท.ฝ่ายต่อต้านก่อการร้ายเชื่อไทยเจอหมีขาวรุกหนัก หวั่น"บูท"เปิดข้อมูลในศาลนิวยอร์ค "มาร์ค"ยอมรับสถานการณ์2ชาติมหาอำนาจกดดัน พร้อมทำความเข้าใจ
"มาร์ค"ยันรบ.ไม่ได้จุ้นคดีวิคเตอร์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ยันต้องทำความเข้าใจกับทางการสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย ว่ารัฐบาลไทยไม่ได้เกี่ยวข้องและแทรกแซงต่อกรณีศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ส่งตัว นายวิคเตอร์ อนาโตลเจวิช บูท อายุ 43 ปี พ่อค้าอาวุธสงครามรายใหญ่สัญชาติรัสเซียและอดีตทหารหน่วยเคจีบีรัสเซีย เป็นผู้ร้ายข้ามแดนกลับไปดำเนินคดีอาญาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมทีผ่านมา หลังตกเป็นผู้ต้องหาร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าผู้อื่น ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการฆ่าเจ้าพนักงานและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ร่วมสมรู้ร่วมคิดในการจัดหาและใช้อาวุธสงครามต่อต้านอากาศยาน และร่วมสมรู้ร่วมคิดในการสนับสนุนอย่างมีสาระสำคัญให้กับองค์การก่อการร้ายต่างประเทศ ซึ่งละเมิดกฎหมายสหรัฐอเมริกา รวม4ข้อหา และศาลอุทธรณ์ยังมีคำสั่งให้คุมขังนายวิคเตอร์ บูท เพื่อรอดำเนินการส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนภายในเวลา 3 เดือน หากถึงกำหนดยังไม่ดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็ให้ปล่อยตัวนั้น
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 21 สิงหาคม ระหว่างมาร่วมทำบุญวันคล้าวยวันเกิดครอบรอบ 86 ปีของนายมารุต บุนนาค อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่วัดเญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กทม. กรณีทางการรัสเชียไม่พอใจที่ไทยจะมอบตัวนายวิคเตอร์ บูทไปให้สหรัฐอเมริกาดำเนินคดี ว่า ทั้งหมดต้องยืนยันว่าเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมและศาลเป็นผู้วินิจฉัย โดยที่รัฐบาลไม่ได้เกี่ยวข้องและแทรกแซง
ปัดถูกสหรัฐบีบย้ำเรื่องของศาล
ผู้สื่อข่าวถามว่าทางรัสเชียไม่พอใจที่ไทยถูกบีบจากทางการสหรัฐอเมริกา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีการมาบีบ เพราะไทยได้ชี้แจงกับทุกฝ่ายมาโดยตลอด และทราบดีว่าทั้งสหรัฐอเมริกาและรัสเชียต่างให้ความสำคัญกับคดีนี้มาก ฉะนั้นทุกครั้งที่มีการพบปะกัน ตนและรัฐบาลก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องของศาลที่จะพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่มีเรื่องที่จะไปแทรกแซงได้ เมื่อถามว่าต้องทำความเข้าใจกับรัสเชียด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าก็คงต้องทำความเข้าใจ โดยน่าจะมีการสอบถามกันมา ส่วนการดำเนินการต่อไปก็ยังมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายอีก เนื่องจากทางสหรัฐอเมริกาได้ยื่นมาอีกคดีหนึ่ง เป็นคดีที่ 2 ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีเก่าแล้วก็เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณาต่อไป
เมื่อถามว่าทางรัสเชียระบุว่าจะต้องเอาตัวกลับให้ได้ แล้วจะเป็นปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัสเชียก็ติดตามคดีมาตลอด ตั้งแต่อยู่ในศาลชั้นต้นแล้ว และได้ยืนยันกับทั้ง 2 ฝ่ายมาตลอดว่ารัฐบาลไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงได้
รับเจอแรงกดดัน2มหาอำนาจ
เมื่อถามว่าลำบากใจหรือไม่ที่ไทยอยู่ระหว่างปัญหาของ 2 ประเทศมหาอำนาจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สถานการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นก็เป็นธรรมดาที่จะมีแรงกดดัน แต่ทุกอย่างนั้นจะดีที่สุดหากเราดำเนินการตรงไปตรงมาเพราะจะมีคำตอบ เมื่อถามว่าคดีที่ทางสหรัฐอเมริกายื่นมาใหม่นั้นจะต้องตัดสินในไทยหรือส่งตัวให้สหรัฐอเมริกาไปดำเนินการ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สหรัฐฯยื่นเรื่องผ่านอัยการมาให้ยื่นคำร้องต่อศาลเป็นการขอตัว ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่การเข้ามาก่อคดีในไทย และเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม อัยการก็ได้ส่งฟ้องแล้วพร้อมๆกับการที่มีการตัดสินของศาลอุทธรณ์
อธิบดีคุกสั่งดูแลปลอดภัยเข้ม
นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการให้ส่งตัวนายวิกเตอร์ บูท ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศสหรัฐฯว่า จะต้องรอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานเข้ามาว่าจะนำตัวนายวิกเตอร์ บูท ออกไปเมื่อไหร่ แต่ระหว่างนี้เนื่องจากศาลอุทธรณ์มีคำสั่งชี้ขาดแล้ว จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้ความดูแลความปลอดภัยของผู้ต้องหาที่ศาลมีคำสั่งชี้ขาดให้เข้มงวดมากขึ้น ส่วนเรื่องที่กังวลว่าจะมีการชิงตัวผู้ต้องหาหรือผู้ต้องหาจะเกิดอาการเครียดระหว่างที่รอการส่งตัวให้สหรัฐอเมริกาหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งจะต้องดูแลไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนีและคงไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแน่นอน
รัสเซียเรียกทูตไทยพบแจ้งผิดหวัง
ขณะที่ นายธานี ทองภักดี รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ(กต.)รัสเซียเชิญเอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซียเพื่อแจ้งความห่วงกังวลเรื่องการส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท ให้สหรัฐว่า ช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผ่านมาตามเวลาในรัสเซีย นายเฉลิมพล ทันจิตต์ เอกอัครราชทูตไทยประจำรัสเซีย ได้รับเชิญไปยังกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ซึ่งฝ่ายรัสเซียได้แสดงความผิดหวังในเรื่องดังกล่าว ขณะที่เอกอัครราชทูตไทยชี้แจงว่ากระบวนการพิจารณาดังกล่าวเป็นไปตามตัวบทกฎหมายไทย
"อย่างไรก็ดีเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องหนึ่งในความสัมพันธ์ที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติของสองประเทศ ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์ในภาพรวมที่จะเดินหน้าต่อไป อย่างไรก็ดียอมรับไม่ว่าจะมีคำพิพากษาอย่างไรคดีนี้ก็มีผลกับไทยทั้งนั้นแต่กระบวนการยุติธรรมต้องยึดตามข้อเท็จจริง"รองโฆษกกระทรวงต่างประเทศระบุ
อัยการรอ"มะกัน"ประสานส่งตัว
นายธานีกล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการส่งตัวนายวิคเตอร์ บูท หลังจากนี้อัยการจะต้องส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มายังกรมสนธิสัญญาและกฏหมาย กระทรวงการต่างประเทศ จากนั้นก็จะส่งเรื่องให้ฝ่ายสหรัฐ ส่วนขั้นตอนการรับตัวทางสหรัฐจะประสานกับอัยการได้โดยตรง
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ระบุว่า คำตัดสินของศาลในกรณีดังกล่าวกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายไม่ใช่สิ่งสูงสุด แต่เป็นเพราะถูกแรงกดดันทางการเมืองจากนอกประเทศโดยทางการสหรัฐได้ยื่นคำร้องขอให้มีการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
สหรัฐขอบคุณศาลอุทธรณ์ไทย
ด้านนายจอห์น เบรนแนน ผู้ช่วยประธานาธิบดีสหรัฐฝ่ายกิจการต่อต้านการการก่อการร้ายและความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ กล่าวแสดงความขอบคุณที่ศาลอุทธรณ์ไทยได้พิพากษาตัดสินให้ส่งตัวนายบูทตามคำร้องขอของสหรัฐ ระบุพอใจเป็นอย่างยิ่งกับความร่วมมือที่ได้รับจากฝ่ายไทย และรอคอยให้มีการส่งตัววิคเตอร์ บูท มาพิจารณาคดีในนิวยอร์กได้โดยเร็ว โดยย้ำว่าบูทมีส่วนรับผิดชอบต่อการค้าอาวุธและการให้การสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายในหลายพื้นที่ทั้งเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ การนำตัววิคเตอร์ บูทมาดำเนินคดียังจะมีส่วนช่วยยับยั้งขบวนการลักลอบค้าอาวุธ และบ่อนทำลายศักยภาพขององค์กรก่อการร้ายและกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆที่จ้องจะก่อเหตุทั่วโลกด้วย
ประหลาดใจกลับคำพิพากษา
สำนักข่าวเอพีระบุว่าช่วงปีแรกของรัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา กระทรวงยุติธรรมสหรัฐให้ความสำคัญกับการยื่นคำร้องขอให้ทางการไทยส่งตัวบูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนอย่างมาก โดยเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมารัฐมนตรียุติธรรมสหรัฐเดินทางไปยังกรุงเทพระหว่างไปร่วมประชุมเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายที่สิงคโปร์เพียงเพื่อจะหารือกับหน่วยราชการไทยในประเด็นการยื่นคำร้องขอให้มีการส่งตัววิคเตอร์ บูทในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนเพียงประเด็นเดียว อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสหรัฐเองก็ยังประหลาดใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำตัดสินให้ส่งตัววิคเตอร์ บูทให้สหรัฐ
ชี้รัสเซียกดดันหนักหวั่นข้อมูล"บูท"
นายฟิลลิป เจ. โครว์ลีย์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า สหรัฐทำงานภายใต้กรอบกฎหมายไทยซึ่งกระบวนการยุติธรรมของไทยก็มีความเป็นอิสระ อย่างไรก็ดี สหรัฐรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีการนำเอาหลักฐานที่ฝ่ายสหรัฐนำเสนอไปใช้ประกอบการพิจารณา ทำให้ได้ข้อยุติซึ่งสหรัฐเห็นว่าบทสรุปที่เหมาะสม
นายฮวน ซาเรท เจ้าหน้าที่อาวุโสด้านต่อต้านการก่อการร้าย ในรัฐบาลอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช กล่าวว่า เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ทางการรัสเซียจะต้องกดดันอย่างหนักหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ไทยตัดสินให้ส่งตัวบูทตามคำร้องขอของสหรัฐ เพราะฝ่ายรัสเซียไม่ชอบความจริงที่ว่าพลเมืองรัสเซียที่มีชื่อเสียงในด้านไม่ค่อยดีกำลังจะถูกนำตัวไปเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีในสหรัฐ เนื่องจากวิคเตอร์ บูทเป็นผู้ที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับองค์กรบางแห่ง ของทางการรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้หลายคนหวั่นวิตกเกี่ยวกับข้อมูลที่วิคเตอร์ บูทรู้และสิ่งที่วิคเตอร์ บูทอาจจะพูดระหว่างถูกนำตัวมาพิจารณาคดีในศาลนิวยอร์ก
“ตู่”ชี้ซ้ำรอยจับอาวุธดอนเมือง
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวถึงกรณีศาลอุทธรณ์ให้ส่งตัวนายวิคเตอร์ บูทไปดำเนินคดีสหรัฐ จนทางการรัสเชียไม่พอใจว่า ตนและคนเสื้อแดงเคยนำเสนอเรื่องนี้ในช่วงที่ทางการสหรัฐแสดงความเสียใจต่อกระบวนการยุติธรรมไทย ตั้งแต่ยังอยู่ในศาลชั้นต้น และพอมาถึงศาลอุทธรณ์ ทางการรัสเชียก็แสดงความเสียใจต่อศาลอุทธรณ์ไทย ทำให้หลังจากนี้รัฐบาลจะต้องวางบทบาทตัวเองให้ดี เพราะเรื่องนี้ยังมีอะไรอีกมาก
"ก่อนหน้านี้รัฐบาลก็พยายามบิดบังไม่ให้คนไทยรับรู้เรื่องนี้มาตลอด ซึ่งสุดท้ายคดีนี้อาจจะต้องจบลงเหมือนกรณีการจับอาวุธสงครามล็อตใหญ่ ที่ขนขึ้นเครื่องบินมาผ่านสนามบินดอนเมืองแต่จนแล้วจนรอดรัฐบาลก็ต้องดำเนินการคืนอาวุธสงครามให้กับเจ้าของเขาอย่างเงียบๆ จนทำให้รัฐบาลไทย ที่เริ่มต้นอย่างกับเสือ ต้องจบลงแบบแมวเหมียวตัวหนึ่ง"
***************************************************************************************
ข่มคนที่ข่มได้
พม่ายังตั้งธงเพื่อ “เลือกตั้ง” ในอีกสามเดือนข้างหน้า..
ใครที่อ่านเกมว่า “เมืองไทย” จะหนีการเลือกตั้งด้วยการให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” มาขัดตาทัพบริหารประเทศไปพลางๆ.. เลิกคิดได้เลย
เพราะผู้คนทั้งประเทศไม่รู้จะเอาหน้าซุกหนีชาวโลกไปหลบที่หีบใบไหน!!
ทุกคนอ่านเกมทลุพอๆ กัน!
“การเมืองใหม่” ภายใต้การขับเคลื่อนของ สนธิ ลิ้มทองกุล จึงเริ่ม “ตัดริบบิ้น” ด้วยการส่งผู้สมัคร สก.และ สข. เป็นการปูพื้นนำร่อง
ใช้แผน “เปิดกรงนก” เพื่อปล่อยให้นกบินสะดวก...ด้วยการ “แอ็คชั่น” โขก นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จังๆ เรื่องที่ทำ เอ็ม.โอ.ยู.ไว้กับเขมรสมัย ชวน หลีกภัย โน่น!
เป็นการสร้างรันเวย์ให้นกกระพือปีก..เพราะเช็คกระแสแล้วไม่ฮือเท่าที่ควร
เอาเป็นว่าทั้ง “พ่อยก-แม่ยก” ระหว่าง “การเมืองใหม่” กับ “ประชาธิปัตย์” ใช้หม้อหุงข้าวหม้อเดียวกัน
ยุทธการ “แย่งหม้อข้าว” จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น!!
ในขณะที่ “ประชาธิปัตย์” รู้ทันเหลี่ยม..ทาง “วอร์รูม” จึงนำแผน “แหอำมหิต” ยัดใส่มือ “อภิสิทธิ์” เพื่อใช้เหวี่ยงออกมาครอบนกทั้งกรง
และก็ได้ผล..เมื่อ “อภิสิทธิ์” โดดขึ้นเวทีพันธมิตร เข้าคลุกวงในกอดปล้ำรัดเอวตีเข่าโดยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถ “ออกอาวุธ”ได้ถนัด..
วันรุ่งขึ้นยังลากศพ เอ๊ยลากคู่ต่อสู้มาที่เวทีของตนอัดไปอีกดอกทีนี้ “อยู่หมัด”
“การเมืองใหม่” รู้ทั้งรู้.. แต่ดันไปหลงเหลี่ยมโดดขึ้นเวทีศัตรู เลยโดนรังสีจาก “แหอำมหิต” เข้าเต็มเปา ได้แต่ดิ้นขลุกๆ อยู่ภายใต้บ่วงแห
ภาษิตจอมยุทธว่า ซือ อี้ เชี่ยน, จั่ง อี้ จื้อ
แปลเป็นไทยว่า “ตกหลุมครั้งหนึ่ง ฉลาดขึ้นครั้งหนึ่ง”
แม้จะฉลาดขึ้นมาบ้าง..แต่ในทาง “การเมือง” จะตกหลุมพรางใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น
อันนี้นับเป็นบทเรียนมีค่ายิ่งของ “การเมืองใหม่” ที่ได้รู้ได้เห็นฤทธิ์เดชของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ว่าจะประมาทไม่ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต
คิดเอา ประชาธิปัตย์ ให้ราคา พันธมิตร และ การเมืองใหม่ แค่ไหน!!
ดูได้จาก “ศิริโชค โสภา” ในวันนั้นได้ออกมายืนแถวหน้าทันที..มีหน้าที่คอยชูป้ายให้คนอ่าน..สู้กับ “พันธมิตร” เอาแค่ “วอลเปเปอร์” ออกศึกก็เหลือเฟือแล้ว!!
บางกอกทูเดย์
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
*****************************************************************************
ใครที่อ่านเกมว่า “เมืองไทย” จะหนีการเลือกตั้งด้วยการให้มี “รัฐบาลแห่งชาติ” มาขัดตาทัพบริหารประเทศไปพลางๆ.. เลิกคิดได้เลย
เพราะผู้คนทั้งประเทศไม่รู้จะเอาหน้าซุกหนีชาวโลกไปหลบที่หีบใบไหน!!
ทุกคนอ่านเกมทลุพอๆ กัน!
“การเมืองใหม่” ภายใต้การขับเคลื่อนของ สนธิ ลิ้มทองกุล จึงเริ่ม “ตัดริบบิ้น” ด้วยการส่งผู้สมัคร สก.และ สข. เป็นการปูพื้นนำร่อง
ใช้แผน “เปิดกรงนก” เพื่อปล่อยให้นกบินสะดวก...ด้วยการ “แอ็คชั่น” โขก นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จังๆ เรื่องที่ทำ เอ็ม.โอ.ยู.ไว้กับเขมรสมัย ชวน หลีกภัย โน่น!
เป็นการสร้างรันเวย์ให้นกกระพือปีก..เพราะเช็คกระแสแล้วไม่ฮือเท่าที่ควร
เอาเป็นว่าทั้ง “พ่อยก-แม่ยก” ระหว่าง “การเมืองใหม่” กับ “ประชาธิปัตย์” ใช้หม้อหุงข้าวหม้อเดียวกัน
ยุทธการ “แย่งหม้อข้าว” จึงจำเป็นต้องเกิดขึ้น!!
ในขณะที่ “ประชาธิปัตย์” รู้ทันเหลี่ยม..ทาง “วอร์รูม” จึงนำแผน “แหอำมหิต” ยัดใส่มือ “อภิสิทธิ์” เพื่อใช้เหวี่ยงออกมาครอบนกทั้งกรง
และก็ได้ผล..เมื่อ “อภิสิทธิ์” โดดขึ้นเวทีพันธมิตร เข้าคลุกวงในกอดปล้ำรัดเอวตีเข่าโดยที่คู่ต่อสู้ไม่สามารถ “ออกอาวุธ”ได้ถนัด..
วันรุ่งขึ้นยังลากศพ เอ๊ยลากคู่ต่อสู้มาที่เวทีของตนอัดไปอีกดอกทีนี้ “อยู่หมัด”
“การเมืองใหม่” รู้ทั้งรู้.. แต่ดันไปหลงเหลี่ยมโดดขึ้นเวทีศัตรู เลยโดนรังสีจาก “แหอำมหิต” เข้าเต็มเปา ได้แต่ดิ้นขลุกๆ อยู่ภายใต้บ่วงแห
ภาษิตจอมยุทธว่า ซือ อี้ เชี่ยน, จั่ง อี้ จื้อ
แปลเป็นไทยว่า “ตกหลุมครั้งหนึ่ง ฉลาดขึ้นครั้งหนึ่ง”
แม้จะฉลาดขึ้นมาบ้าง..แต่ในทาง “การเมือง” จะตกหลุมพรางใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น
อันนี้นับเป็นบทเรียนมีค่ายิ่งของ “การเมืองใหม่” ที่ได้รู้ได้เห็นฤทธิ์เดชของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ว่าจะประมาทไม่ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต
คิดเอา ประชาธิปัตย์ ให้ราคา พันธมิตร และ การเมืองใหม่ แค่ไหน!!
ดูได้จาก “ศิริโชค โสภา” ในวันนั้นได้ออกมายืนแถวหน้าทันที..มีหน้าที่คอยชูป้ายให้คนอ่าน..สู้กับ “พันธมิตร” เอาแค่ “วอลเปเปอร์” ออกศึกก็เหลือเฟือแล้ว!!
บางกอกทูเดย์
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
*****************************************************************************
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
‘สุขุมพันธุ์’ดึง‘ทักษิณ’เจรจา
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ลอนดอน : บีบีซีอ้างความเห็นนักการเมืองและนักวิชาการไทยหลังวิกฤตพฤษภาฯผ่านไป 3 เดือน “ไกรศักดิ์” ระบุมาตรการทางกฎหมายช่วยระงับความรุนแรงที่กลุ่มคนเสื้อแดงก่อขึ้น “ฐิตินันท์” ชี้แม้สถานการณ์สงบลงแต่ที่จริงยังคุกรุ่นอยู่ ด้าน ”สุขุมพันธุ์” ยืนยันรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องให้ “ทักษิณ” เข้ามาร่วมเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง
สำนักข่าวบีบีซีโดยวอดีน อิงแลนด์ เขียนบทความชื่อ Divided Thailand seeks elusive “normalcy“ (ประเทศไทยที่แตกแยกพยายามหวนคืนสู่สภาวะปรกติ ซึ่งเป็นไปได้ยาก) วิเคราะห์สถานการณ์ในประเทศไทยหลังจากเหตุการณ์รุนแรงจากการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า มองแวบแรกดูเหมือน “สภาวะปรกติ” ได้กลับคืนสู่กรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่งแล้ว การจราจรติดขัดเหมือนเดิม ศูนย์การค้าคึกคัก และข้อความที่แสดงถึงความเป็นสยามเมืองยิ้มยังปรากฏอยู่
รัฐบาลไทยกำลังดำเนินภารกิจ สภากำลังอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เป็นการให้รางวัลแก่พันธมิตรในรัฐบาลผสมและกองทัพ และยังมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนยากจน
แต่ 3 เดือนหลังจากที่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลยุติลงด้วยการที่ฝ่ายทหารเข้าปราบปรามผู้ประท้วงจนมีผู้เสียชีวิต 91 คน มีบางคนวิจารณ์ว่า “การหลอกหลวงครั้งใหญ่” กำลังดำเนินอยู่
มองอย่างผิวเผินความเป็นปรกติที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามจะให้เกิดขึ้นดูเหมือนมาถึงแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายคณะที่นำโดยบุคคลชั้นนำในสังคมไทยเพื่อค้นหาความจริงและสร้างความปรองดอง ขณะที่แกนนำผู้ประท้วง 17 คนที่ถูกเรียกว่า ”กลุ่มคนเสื้อแดง” ถูกตั้งข้อหาว่าก่อการร้าย
“ผมคิดว่าการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายทำให้เราสามารถระงับความรุนแรงที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ก่อขึ้น และการใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินก็ช่วยสกัดกั้นแรงกระตุ้นที่จะนำไปสู่ความรุนแรง” นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวและว่า “การสร้างความสมานฉันท์ดำเนินไปค่อนข้างช้า ไม่ว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือผู้ที่จงรักภักดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลุ่มสุดขั้ว กลุ่มสังคมนิยมแบบเฟเบียน กลุ่มสาธารณรัฐ และนักวิชาการฝ่ายซ้ายซึ่งยากที่จะเอื้อมถึง”
นายไกรศักดิ์กล่าวว่า อยากเห็นกระบวนการทางกฎหมายขับเคลื่อนให้เร็วกว่านี้เพื่อสร้างความยุติธรรม และว่ารัฐบาลยังไม่มีแผนจัดการเลือกตั้งจนกว่าจะถึงเวลา ซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือนธันวาคมปีหน้า
แต่การที่รัฐบาลอ้างว่าพยายามทำให้สถานการณ์คืนสู่สภาวะปรกติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่า “การหลอกลวงครั้งใหญ่” โดยกล่าวว่า “แม้สถานการณ์ดูสงบลงแต่ที่จริงยังคุกรุ่นอยู่” และว่าคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์เป็นเพียง “เครื่องมือซื้อเวลา” ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการประนีประนอมอย่างแท้จริง
ยิ่งกว่านั้น รศ.ดร.ฐิตินันท์เชื่อว่ารัฐบาลกำลังปราบปรามไม่ใช่สร้างความสมานฉันท์ โดยกล่าวว่า การที่รัฐบาลนำงบประมาณไปใช้สร้างความนิยมในด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งก็ใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อกำราบฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล แต่ที่จริงรัฐบาลน่าจะใช้ทางเลือกอื่นๆด้วยเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของประเทศ
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยแตกแยกอย่างหนัก โดยวิกฤตการณ์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมมีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนกับวิกฤตการณ์เมื่อ 1992 ปี 1976 หรือปี 1973 ความแตกแยกครั้งนี้หยั่งลึกมาก วิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆเป็นเรื่องการเมืองแท้ๆ แต่ครั้งนี้ส่งผลกระทบไปทุกระดับของสังคม
“สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมทางการเมืองกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและฟื้นฟู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวพร้อมทั้งยืนยันว่า รัฐบาลต้องเข้าใจว่าจำเป็นที่จะต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาร่วมในการเจรจาใดๆก็ตามเพื่อยุติความขัดแย้ง และสิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างความเข้าใจว่า นี่คือรัฐบาลของชาติ ไม่ใช่รัฐบาลของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ทิ้งท้ายว่า มีหลายประเด็นที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้หยิบยกขึ้นมาพูด โดยเรื่องเหล่านี้จะต้องได้รับการพิจารณาไม่ใช้ปล่อยทิ้งไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลอนดอน : บีบีซีอ้างความเห็นนักการเมืองและนักวิชาการไทยหลังวิกฤตพฤษภาฯผ่านไป 3 เดือน “ไกรศักดิ์” ระบุมาตรการทางกฎหมายช่วยระงับความรุนแรงที่กลุ่มคนเสื้อแดงก่อขึ้น “ฐิตินันท์” ชี้แม้สถานการณ์สงบลงแต่ที่จริงยังคุกรุ่นอยู่ ด้าน ”สุขุมพันธุ์” ยืนยันรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องให้ “ทักษิณ” เข้ามาร่วมเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง
สำนักข่าวบีบีซีโดยวอดีน อิงแลนด์ เขียนบทความชื่อ Divided Thailand seeks elusive “normalcy“ (ประเทศไทยที่แตกแยกพยายามหวนคืนสู่สภาวะปรกติ ซึ่งเป็นไปได้ยาก) วิเคราะห์สถานการณ์ในประเทศไทยหลังจากเหตุการณ์รุนแรงจากการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า มองแวบแรกดูเหมือน “สภาวะปรกติ” ได้กลับคืนสู่กรุงเทพฯอีกครั้งหนึ่งแล้ว การจราจรติดขัดเหมือนเดิม ศูนย์การค้าคึกคัก และข้อความที่แสดงถึงความเป็นสยามเมืองยิ้มยังปรากฏอยู่
รัฐบาลไทยกำลังดำเนินภารกิจ สภากำลังอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เป็นการให้รางวัลแก่พันธมิตรในรัฐบาลผสมและกองทัพ และยังมีเป้าหมายเพื่อช่วยเหลือคนยากจน
แต่ 3 เดือนหลังจากที่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลยุติลงด้วยการที่ฝ่ายทหารเข้าปราบปรามผู้ประท้วงจนมีผู้เสียชีวิต 91 คน มีบางคนวิจารณ์ว่า “การหลอกหลวงครั้งใหญ่” กำลังดำเนินอยู่
มองอย่างผิวเผินความเป็นปรกติที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามจะให้เกิดขึ้นดูเหมือนมาถึงแล้ว มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นหลายคณะที่นำโดยบุคคลชั้นนำในสังคมไทยเพื่อค้นหาความจริงและสร้างความปรองดอง ขณะที่แกนนำผู้ประท้วง 17 คนที่ถูกเรียกว่า ”กลุ่มคนเสื้อแดง” ถูกตั้งข้อหาว่าก่อการร้าย
“ผมคิดว่าการดำเนินการตามกระบวนการของกฎหมายทำให้เราสามารถระงับความรุนแรงที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้ก่อขึ้น และการใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินก็ช่วยสกัดกั้นแรงกระตุ้นที่จะนำไปสู่ความรุนแรง” นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวและว่า “การสร้างความสมานฉันท์ดำเนินไปค่อนข้างช้า ไม่ว่าในกลุ่มคนเสื้อแดงหรือผู้ที่จงรักภักดีต่ออดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร กลุ่มสุดขั้ว กลุ่มสังคมนิยมแบบเฟเบียน กลุ่มสาธารณรัฐ และนักวิชาการฝ่ายซ้ายซึ่งยากที่จะเอื้อมถึง”
นายไกรศักดิ์กล่าวว่า อยากเห็นกระบวนการทางกฎหมายขับเคลื่อนให้เร็วกว่านี้เพื่อสร้างความยุติธรรม และว่ารัฐบาลยังไม่มีแผนจัดการเลือกตั้งจนกว่าจะถึงเวลา ซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือนธันวาคมปีหน้า
แต่การที่รัฐบาลอ้างว่าพยายามทำให้สถานการณ์คืนสู่สภาวะปรกติเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสิ่งที่ รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงศ์สุทธิรักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรียกว่า “การหลอกลวงครั้งใหญ่” โดยกล่าวว่า “แม้สถานการณ์ดูสงบลงแต่ที่จริงยังคุกรุ่นอยู่” และว่าคณะกรรมการเสริมสร้างความสมานฉันท์เป็นเพียง “เครื่องมือซื้อเวลา” ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการประนีประนอมอย่างแท้จริง
ยิ่งกว่านั้น รศ.ดร.ฐิตินันท์เชื่อว่ารัฐบาลกำลังปราบปรามไม่ใช่สร้างความสมานฉันท์ โดยกล่าวว่า การที่รัฐบาลนำงบประมาณไปใช้สร้างความนิยมในด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งก็ใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อกำราบฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล แต่ที่จริงรัฐบาลน่าจะใช้ทางเลือกอื่นๆด้วยเพื่อช่วยบรรเทาปัญหาของประเทศ
ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยแตกแยกอย่างหนัก โดยวิกฤตการณ์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงเดือนพฤษภาคมมีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนกับวิกฤตการณ์เมื่อ 1992 ปี 1976 หรือปี 1973 ความแตกแยกครั้งนี้หยั่งลึกมาก วิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆเป็นเรื่องการเมืองแท้ๆ แต่ครั้งนี้ส่งผลกระทบไปทุกระดับของสังคม
“สำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมทางการเมืองกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก ทุกสิ่งทุกอย่างจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและฟื้นฟู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์กล่าวพร้อมทั้งยืนยันว่า รัฐบาลต้องเข้าใจว่าจำเป็นที่จะต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาร่วมในการเจรจาใดๆก็ตามเพื่อยุติความขัดแย้ง และสิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างความเข้าใจว่า นี่คือรัฐบาลของชาติ ไม่ใช่รัฐบาลของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ทิ้งท้ายว่า มีหลายประเด็นที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้หยิบยกขึ้นมาพูด โดยเรื่องเหล่านี้จะต้องได้รับการพิจารณาไม่ใช้ปล่อยทิ้งไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อำนาจมืด
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
เมื่อไม่นานมานี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ ขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา รวมทั้งพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางการเมือง ทำให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการถูกวิจารณ์อย่างมากว่ามีความคิดไม่ต่างกับยุคเผด็จการสมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519
แม้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการจะออกมาอ้างเหตุผลเรื่องบรรยากาศของบ้านเมืองที่ต้องการให้เกิดความปรองดอง ซึ่งไม่เพียงขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย ยังเป็นการทำลายทักษะ ความรู้ การแสดงออก และประสบการณ์ทางด้านวิชาการของนิสิตนักศึกษาอย่างยิ่ง รวมทั้งสะท้อนถึงความคิดเผด็จการทางการเมืองอีกด้วย
ที่สำคัญการจัดกิจกรรมทางการเมืองหรือละครเวทีเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนั้นต้องการส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาใส่ใจเรื่องการเมือง และเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย
แม้คำสั่งดังกล่าวจะเป็นการขอความร่วมมือก็ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และยังถือเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาที่เป็นวัยที่ต้องการเรียนรู้และแสดงออก ยิ่งมีการห้ามก็เหมือนยิ่งยุ หรือเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีนิสิตประมาณ 7-8 คน ถือป้ายข้อความเกี่ยวกับเสรีภาพและประชาธิปไตย และต้องการยื่นจดหมายร้องเรียนถึงปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพและความหวาดกลัวของประชาชนภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ไปกล่าวปาฐกถาเรื่องการกระจายอำนาจในงานครบรอบสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ แต่กลับถูกยึดป้ายและใช้กำลังขัดขวาง ทั้งที่รัฐบาลก็ประกาศให้ทุกฝ่ายร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความปรองดองและสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค
แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกลับยิ่งตอกย้ำปัญหาประชาธิปไตยไทยที่อยู่ท่ามกลางความคิดเผด็จการมากกว่า เพราะทั้งภาครัฐและภาควิชาการต่างกลัวความจริงว่าบ้านเมืองวันนี้ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการซ่อนรูปหรือรัฐประหารเงียบ
ขณะที่นิสิตนักศึกษาเพียงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชนและจัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ไม่ใช่เล่นลิ้นการเมืองเพื่อซื้อเวลาของรัฐบาลด้วยการอุปโลกน์คณะกรรมการต่างๆขึ้นมาปฏิรูปการเมืองบนซากศพและกองเลือด เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากประชาชน เป็นของประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ใช่จากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
**********************************************************************
เมื่อไม่นานมานี้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ได้ส่งหนังสือเวียนไปถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยต่างๆ ขอความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมทางด้านการเมืองของแกนนำนักศึกษา รวมทั้งพิจารณาควบคุมการจัดแสดงละครเวทีทางการเมือง ทำให้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการถูกวิจารณ์อย่างมากว่ามีความคิดไม่ต่างกับยุคเผด็จการสมัย 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519
แม้รัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการจะออกมาอ้างเหตุผลเรื่องบรรยากาศของบ้านเมืองที่ต้องการให้เกิดความปรองดอง ซึ่งไม่เพียงขัดแย้งกับสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตย ยังเป็นการทำลายทักษะ ความรู้ การแสดงออก และประสบการณ์ทางด้านวิชาการของนิสิตนักศึกษาอย่างยิ่ง รวมทั้งสะท้อนถึงความคิดเผด็จการทางการเมืองอีกด้วย
ที่สำคัญการจัดกิจกรรมทางการเมืองหรือละครเวทีเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนั้นต้องการส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษาใส่ใจเรื่องการเมือง และเป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย
แม้คำสั่งดังกล่าวจะเป็นการขอความร่วมมือก็ถือว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และยังถือเป็นการทำลายระบอบประชาธิปไตยอีกด้วย โดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาที่เป็นวัยที่ต้องการเรียนรู้และแสดงออก ยิ่งมีการห้ามก็เหมือนยิ่งยุ หรือเอาน้ำมันไปราดกองไฟ
เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีนิสิตประมาณ 7-8 คน ถือป้ายข้อความเกี่ยวกับเสรีภาพและประชาธิปไตย และต้องการยื่นจดหมายร้องเรียนถึงปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพและความหวาดกลัวของประชาชนภายใต้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ไปกล่าวปาฐกถาเรื่องการกระจายอำนาจในงานครบรอบสถาปนาคณะรัฐศาสตร์ แต่กลับถูกยึดป้ายและใช้กำลังขัดขวาง ทั้งที่รัฐบาลก็ประกาศให้ทุกฝ่ายร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อสร้างความปรองดองและสร้างระบอบประชาธิปไตยที่มีสิทธิเสรีภาพและเสมอภาค
แต่เหตุการณ์ดังกล่าวกลับยิ่งตอกย้ำปัญหาประชาธิปไตยไทยที่อยู่ท่ามกลางความคิดเผด็จการมากกว่า เพราะทั้งภาครัฐและภาควิชาการต่างกลัวความจริงว่าบ้านเมืองวันนี้ไม่ต่างอะไรกับเผด็จการซ่อนรูปหรือรัฐประหารเงียบ
ขณะที่นิสิตนักศึกษาเพียงต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลฟังเสียงประชาชนและจัดการเลือกตั้งใหม่โดยเร็วที่สุด ไม่ใช่เล่นลิ้นการเมืองเพื่อซื้อเวลาของรัฐบาลด้วยการอุปโลกน์คณะกรรมการต่างๆขึ้นมาปฏิรูปการเมืองบนซากศพและกองเลือด เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากประชาชน เป็นของประชาชน และเพื่อประชาชน ไม่ใช่จากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
**********************************************************************
ยุติธรรมกำมะลอ
“และแล้วก็ต้องมาตอกย้ำกันแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเรื่องของคำว่าสองมาตรฐานที่ผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ คนเก็บขยะที่ไปเก็บเอาซีดีที่เขาทิ้งแล้วมาวางขายกลับถูกจับตั้งข้อหา และศาลพิจารณาว่ามีความผิดจริง ต้องถูกปรับเงินเป็นแสนๆ ถ้าไม่มีเงินจ่าย คนเก็บขยะรายนี้จะต้องติดคุกติดตะราง จะต้องถูกจองจำ”
พระพยอม กัลยาโณ ให้ความเห็นในคอลัมน์ “สำนัก (ข่าว) พระพยอม” กรณีนายสุรัตน์ มณีนพรัตนสุดา พนักงานเก็บขยะ ถูกศาลพิพากษาปรับ 133,400 บาท ฐานเป็นผู้ประกอบการจำหน่าย ให้เช่าภาพยนตร์ฯโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ พ.ศ. 2551 ซึ่งหลายฝ่ายตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าน่าจะใช้วิจารณญาณในการจับ เพราะเอาซีดีเก่าที่เก็บจากขยะไปวางกับพื้นขายเพื่อหารายได้พิเศษ ซึ่งขณะนี้สภาทนายความได้หารือหนทางช่วยเหลือแล้ว
นอกจากนี้พระพยอมยังเปรียบเทียบถึงคดีที่ผู้ชุมนุมม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งใจขับรถไล่ชน ร.ต.ท.เกรียงไกร กิ่งสามี ที่ทำหน้าที่ในเหตุการณ์สลายม็อบพันธมิตรฯในขณะนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ติดคุก เพราะศาลรอลงอาญา ทั้งไม่ถูกปรับและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับตำรวจที่ถูกรถชน แม้แต่โทรศัพท์เพื่อถามไถ่หรือกล่าวคำขอโทษก็ไม่มี
“ก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไรแล้วเมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ ผู้ที่มีอำนาจคิดอยากจะสั่งหนักสั่งเบากับใคร กับพวกไหนก็สามารถทำได้ อย่างนี้ถือว่าน่าอเนจอนาถใจจริงๆ เพราะทุกวันนี้เป็นอย่างนี้กันมากขึ้น อย่างนี้จะไปกันได้สักกี่น้ำ สำหรับประเทศไทย เมื่อไรถึงจะหายใจโล่ง ถึงจะพ้นเหตุแห่งความวิกฤตศรัทธาของผู้ที่มี หน้าที่บังคับใช้กฎหมาย”
ความเห็นของพระพยอมดังกล่าวกับปัญหา 2 มาตรฐานจึงไม่ต่างจากประชาชนหลายสิบล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หลายสิบคนที่ก่อนหน้านี้ถูกสั่งจำคุก 6 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง เพียงเพราะฝ่า ฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศเคอร์ฟิว หรือกรณีแค่คนขับรถเข้าไปในเขตราชประสงค์เพื่อส่งอาหารให้คนเสื้อแดงในการชุมนุมก็ยังถูกตัดสินให้จำคุก รวมถึงกรณีนายศักระพี พรหมชาติ พราหมณ์ นปช. ที่ทำพิธีเทเลือดและเขียนอักขระสาปแช่งคณะรัฐบาล ก็ถูกศาลอาญาจังหวัดสกลนครสั่งจำคุก 8 เดือนไม่รอลงอาญา ข้อหากีดขวางทางจราจร และชุมนุมหรือมั่วสุมหรือกระทำการอันใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยระหว่างการชุมนุมที่สกลนครเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553
โคตร 2 มาตรฐาน
ปัญหา 2 มาตรฐานจึงไม่ได้มีเฉพาะทางการเมือง แต่วันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ยิ่งเห็นชัดเจน แม้ในอดีตจะมีการใช้อำนาจรัฐข่มเหงรังแกประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะประชาชนที่ยากจนและห่างไกลความเจริญ แต่ก็ยังไม่รุนแรงและชั่วร้ายเท่ากับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ใช้อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฆ่าประชาชนถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการ เกือบ 2,000 คน โดยไม่มีความผิดใดๆ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด ก็ไม่เคยกล่าวคำ “ขอโทษ” กับประชาชนเช่นกัน ตรงข้ามกลับใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุก เฉินกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมและกลบเกลื่อนคำสั่งที่ทำให้ประชาชนต้องตายและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนมีภาพการ์ตูนล้อเลียนว่า “คนสั่งลอยหน้า...คนฆ่าลอยนวล” แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยยุคปัจจุบัน
คำว่า “2 มาตรฐาน” จึงกลายเป็นมาตรฐานของการ เมืองและสังคมไทยที่ไม่ใช่เรื่องของคนจนกับคนรวย แต่เป็นการใช้อำนาจจากกฎหมายเผด็จการ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือกระบวนการยุติธรรมโดยองค์กรอิสระต่างๆทำลายฝ่ายตรงข้ามหรืออีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ความแตกแยกในทางความคิด แต่กลายเป็นความเกลียดชังที่แบ่งขั้วแบ่งฝ่ายและพร้อมจะ “ฆ่า” อีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น
ทั้งที่การเลือกปฏิบัติหรือ 2 มาตรฐานนั้น รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ระบุในมาตรา 30 วรรคสาม ไว้ว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้”
นอกจากนี้ในมาตรา 9 (1) พ.ร.บ.การจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็กำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง (อ่านเพิ่มเติมรายงาน “สองมาตรฐาน” หน้า 6)
วิกฤตองค์กรอิสระ
วันนี้แม้แต่ฝ่ายตุลาการก็ยังถูกตั้งคำถามเรื่องของความยุติธรรม อย่างกรณีตุลาการภิวัฒน์ โดยเฉพาะศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากกับการวินิจฉัยคดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกพ้อง
ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดปัจจุบันก็ถูกโจมตีว่ามาโดยไม่ชอบธรรม เพราะทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. ชุดปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ไม่ใช่การสรรหาตามรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะ กกต. ชุดปัจจุบันที่แม้จะมีการสรรหาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา แต่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเพราะเกิดรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ก่อน แต่ คปค. กลับใช้อำนาจแต่งตั้ง กกต. ชุดนี้ให้มีวาระอยู่ยาวถึง 8 ปี
ทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. นอกจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การวินิจฉัยหลายครั้งยังถูกมองว่าเลือกปฏิบัติหรือเลือกข้างอีกด้วย เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ คปค. ตั้งขึ้นเพื่อเป็นคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณโดยเฉพาะ และมีการกล่าวหามาก มายหลายคดี ซึ่งหลายคดีนั้นศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด ขณะที่อีกหลายคดีแทบไม่มีความคืบหน้า
เช่นเดียวกับกรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่มีปัญหาในขณะนี้ก็เพราะประกาศอัปยศของ คปค. และรัฐธรรมนูญปี 2550
องค์กรอิสระต่างๆจึงถูกตั้งคำถามว่าควรจะมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้ามีอยู่จะต้องแก้ไขกระบวนการสรรหาและเรื่องของอำนาจหน้าที่หรือไม่ เพราะองค์กรอิสระขณะนี้มีอำนาจเหนือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล หรือแม้แต่การแสดงบัญชีทรัพย์สินของกรรมการเพื่อแสดงความโปร่งใส
การทำงานขององค์กรอิสระต่างๆจึงถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองวิกฤต เพราะคำว่า “2 มาตรฐาน” จนวันนี้ก็ยังมีคำถามและข้อกังขามากมายเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมที่ส่งผลถึงความยุติธรรมและความชอบธรรม รวมทั้งการครอบงำองค์กรอิสระของฝ่ายการเมืองที่ทำให้เกิดการบิดเบือนทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายการเมืองหรือกลุ่มผู้มีอำนาจ
รัฏฐาธิปัตย์
โดยเฉพาะอำนาจจากการรัฐประหารที่ถูกประณามว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่สังคมไทยกลับยอมรับนับถือ แต่อย่างน้อยก็ยังมีตุลาการของประชาชนที่กล้าประกาศอย่างชัดเจนว่าการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่แสดงคำวินิจฉัยส่วนตัวในฐานะเสียงข้างน้อย ไม่เห็นด้วยในคดีคำพิพากษาที่ อม.9/2552 ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ถูกกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่พิพากษาให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่านายยงยุทธเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษกำหนด 1 ปี โดยนายกีรติให้เหตุผลว่า
“หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์”
กวาดล้างและขังยาว
ปัญหา 2 มาตรฐานยิ่งเห็นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคดีของกลุ่ม นปช. กับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งถูกตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” เช่นกันคือยึดสนามบิน จากคดีที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ 240 คดี ปรากฏว่าวันนี้แทบไม่มีความคืบหน้าเลยทั้งที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี โดยเฉพาะคดี 79 แกนนำพันธมิตรฯซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและข้อหาอื่นๆรวมกว่า 10 คดี จากกรณีบุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองเมื่อปี 2551 ยังเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนโดยไม่มีการจับกุมใดๆ
ตรงข้ามกับแกนนำเสื้อแดง 26 คน ที่วันนี้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องแล้ว ทั้งที่พนักงานสอบสวนไม่มีการสอบสวนปากคำจำเลยแม้แต่ปากเดียว ขณะที่คดีของกลุ่มพันธมิตรฯกลับมีการสอบสวนพยานจำเลยนับพันปาก และหากนับวันที่ถูกฝากขังก็จะครบกำหนด 84 วันในวันที่ 7 กันยายนนี้ และมีแนวโน้มที่จะถูกขังยาวตลอดการพิจารณาคดี ซึ่งอาจยืดเยื้อยาวนานเป็นสิบๆปีก็ได้ เนื่องจากศาลไม่ให้ประกันเพราะเห็นว่าเป็นคดีที่มีโทษสูงและกลัวผู้ต้องหาหลบหนี
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีถึง 260 คดี แบ่งออกเป็นก่อการร้าย ขู่เข็ญเจ้าหน้าที่รัฐ ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีคดีขบวนการล้มสถาบันที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อ้างการสืบสวนในทางลับ ซึ่งคดีนี้นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในแผนผังล้มสถาบันของ ศอฉ. ได้ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. จำเลยที่ 2 และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อศาลอาญากรณี ศอฉ. แถลงข่าวและแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน ซึ่งมีชื่อนายสุธาชัยปรากฏอยู่ด้วย
คนสั่งฆ่าดำเนินคดีคนถูกฆ่า?
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง จึงประกาศจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนเสื้อแดงจนถึงที่สุด และกล่าวหาว่าอธิบดีดีเอสไอและนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมีส่วนร่วมในการสั่งฆ่าประชาชน แต่กลับมาเป็นผู้ดำเนินคดี ถ้าเป็นเช่นนี้คดีก็จะพลิกจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว เอาความตายที่เกิดขึ้น 91 ศพมาบอกว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง การสรุปแบบนี้นายจุลสิงห์ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่
“ที่ผ่านมาในการสอบสวน ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 150 ที่พนักงานสอบสวนจะต้องชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตทีละศพ แต่นายจุลสิงห์ไม่ได้ กระทำตามที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนด เพราะจะต้องมีการชันสูตรทีละศพว่าผู้ตายเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร หากการตายที่เกิดจากกระสุนต้องระบุว่าเป็นกระสุนชนิดใด วิถีกระสุนเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพทั้ง 91 ศพ และแจ้งไปยังศาลถึงสาเหตุการตาย และศาลจะไต่สวนต่อว่าใครเป็นคนทำ ดังนั้น ที่อัยการสูงสุดละเลยเรื่องนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนใช่หรือไม่ การกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองจึงเป็นการกระทำที่ชั่วช้าที่สุด ร่วมมือกับดีเอสไอไม่ปฏิบัติตามวิธีพิจารณาคดีอาญา”
ยุติธรรมกำมะลอ
ปัญหา 2 มาตรฐานในสังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่เห็นชัดเจนทะลุจอเหมือนหนัง 3 มิติเท่านั้น แต่โคตรชัดและจับต้องได้ยิ่งกว่าหนัง 4 มิติเสียอีก คือไม่ใช่แค่ภาพที่ชัดเสียยิ่งกว่าชัด แต่ยังโชยกลิ่นออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน
เพราะกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าดีเอสไอ ฝ่ายอัยการ ก็ไม่ต่างกับ ศอฉ. ที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นยิ่งกว่าดาบกายสิทธิ์ที่ให้ฆ่าคนได้โดยไม่มีความผิด จึงไม่แปลกที่จะมีการประณามเรื่องความอยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากประชาคมโลก
แม้ผู้มีอำนาจจะตะแบงว่าทุกคดีต้องไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ศาลยุติธรรม ซึ่งศาลก็ต้องพิจารณาและวินิจฉัยไปตามพยานและหลักฐาน
แต่ก็มีคำถามว่าหากพยาน และหลักฐานที่ได้มานั้นเกิดจากขบวนการต่างๆภายใต้อำนาจเผด็จการหรือเยี่ยงโจรที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรมแล้ว
ศาลก็ต้องตัดสินไปตามพยานและหลักฐาน ผลออกมาอย่างไร ผู้ต้องหาก็ต้องยอมรับและต้องเคารพคำตัดสินของศาล
แต่เหยื่อของความอยุติธรรมคือผู้บริสุทธิ์ที่กลายเป็นคนผิดที่อาจไม่ใช่แค่คำอุทานว่า “ซวยจริงๆ” เท่านั้น แต่อาจหมายถึงการถูกประหารชีวิตอีกด้วย
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมจึงมีแค่การฟ้องกลับหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระต่างๆ แม้จะรู้ดีว่าการฟ้องร้องไม่สามารถเอาผิดหรือคดีสิ้นสุดด้วยความเป็นธรรมได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นการฟ้องตัวเองของหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระ ว่าสังคมไทยไม่ใช่มีแค่วงจรอุบาทว์ที่ฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น แต่ยังสร้างทายาทอสุรกายอีกด้วย
รัฐและองค์กรอิสระต่างๆจึงต้องเป็นคนตอบเองว่าทำไมสังคมไทยจึงเกิด 2 มาตรฐาน ซึ่งไม่ใช่รู้ได้จากสามัญสำนึกเท่านั้น แต่เรียกว่าเห็นโคตรชัดเจนทะลุจอยิ่งกว่าหนัง 3 มิติเสียอีก
ทุกคำตัดสินจากทุกองค์กรแห่งความยุติธรรมจึงเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพของความยุติธรรมว่าเป็นยุติธรรมที่ “ยุติด้วยความเป็นธรรม” หรือ “ยุติแล้วซึ่งความเป็นธรรม”
นี่คือความจริงของสังคม 2 มาตรฐานบน “ศาลาโกหก” ที่เต็มไปด้วย “ยุติธรรมกำมะลอ”...!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 273 วันที่ 21-27 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พระพยอม กัลยาโณ ให้ความเห็นในคอลัมน์ “สำนัก (ข่าว) พระพยอม” กรณีนายสุรัตน์ มณีนพรัตนสุดา พนักงานเก็บขยะ ถูกศาลพิพากษาปรับ 133,400 บาท ฐานเป็นผู้ประกอบการจำหน่าย ให้เช่าภาพยนตร์ฯโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ พ.ศ. 2551 ซึ่งหลายฝ่ายตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าน่าจะใช้วิจารณญาณในการจับ เพราะเอาซีดีเก่าที่เก็บจากขยะไปวางกับพื้นขายเพื่อหารายได้พิเศษ ซึ่งขณะนี้สภาทนายความได้หารือหนทางช่วยเหลือแล้ว
นอกจากนี้พระพยอมยังเปรียบเทียบถึงคดีที่ผู้ชุมนุมม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งใจขับรถไล่ชน ร.ต.ท.เกรียงไกร กิ่งสามี ที่ทำหน้าที่ในเหตุการณ์สลายม็อบพันธมิตรฯในขณะนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ติดคุก เพราะศาลรอลงอาญา ทั้งไม่ถูกปรับและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับตำรวจที่ถูกรถชน แม้แต่โทรศัพท์เพื่อถามไถ่หรือกล่าวคำขอโทษก็ไม่มี
“ก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไรแล้วเมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ ผู้ที่มีอำนาจคิดอยากจะสั่งหนักสั่งเบากับใคร กับพวกไหนก็สามารถทำได้ อย่างนี้ถือว่าน่าอเนจอนาถใจจริงๆ เพราะทุกวันนี้เป็นอย่างนี้กันมากขึ้น อย่างนี้จะไปกันได้สักกี่น้ำ สำหรับประเทศไทย เมื่อไรถึงจะหายใจโล่ง ถึงจะพ้นเหตุแห่งความวิกฤตศรัทธาของผู้ที่มี หน้าที่บังคับใช้กฎหมาย”
ความเห็นของพระพยอมดังกล่าวกับปัญหา 2 มาตรฐานจึงไม่ต่างจากประชาชนหลายสิบล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หลายสิบคนที่ก่อนหน้านี้ถูกสั่งจำคุก 6 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง เพียงเพราะฝ่า ฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศเคอร์ฟิว หรือกรณีแค่คนขับรถเข้าไปในเขตราชประสงค์เพื่อส่งอาหารให้คนเสื้อแดงในการชุมนุมก็ยังถูกตัดสินให้จำคุก รวมถึงกรณีนายศักระพี พรหมชาติ พราหมณ์ นปช. ที่ทำพิธีเทเลือดและเขียนอักขระสาปแช่งคณะรัฐบาล ก็ถูกศาลอาญาจังหวัดสกลนครสั่งจำคุก 8 เดือนไม่รอลงอาญา ข้อหากีดขวางทางจราจร และชุมนุมหรือมั่วสุมหรือกระทำการอันใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยระหว่างการชุมนุมที่สกลนครเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553
โคตร 2 มาตรฐาน
ปัญหา 2 มาตรฐานจึงไม่ได้มีเฉพาะทางการเมือง แต่วันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ยิ่งเห็นชัดเจน แม้ในอดีตจะมีการใช้อำนาจรัฐข่มเหงรังแกประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะประชาชนที่ยากจนและห่างไกลความเจริญ แต่ก็ยังไม่รุนแรงและชั่วร้ายเท่ากับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ใช้อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฆ่าประชาชนถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการ เกือบ 2,000 คน โดยไม่มีความผิดใดๆ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด ก็ไม่เคยกล่าวคำ “ขอโทษ” กับประชาชนเช่นกัน ตรงข้ามกลับใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุก เฉินกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมและกลบเกลื่อนคำสั่งที่ทำให้ประชาชนต้องตายและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนมีภาพการ์ตูนล้อเลียนว่า “คนสั่งลอยหน้า...คนฆ่าลอยนวล” แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยยุคปัจจุบัน
คำว่า “2 มาตรฐาน” จึงกลายเป็นมาตรฐานของการ เมืองและสังคมไทยที่ไม่ใช่เรื่องของคนจนกับคนรวย แต่เป็นการใช้อำนาจจากกฎหมายเผด็จการ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือกระบวนการยุติธรรมโดยองค์กรอิสระต่างๆทำลายฝ่ายตรงข้ามหรืออีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ความแตกแยกในทางความคิด แต่กลายเป็นความเกลียดชังที่แบ่งขั้วแบ่งฝ่ายและพร้อมจะ “ฆ่า” อีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น
ทั้งที่การเลือกปฏิบัติหรือ 2 มาตรฐานนั้น รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ระบุในมาตรา 30 วรรคสาม ไว้ว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้”
นอกจากนี้ในมาตรา 9 (1) พ.ร.บ.การจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็กำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง (อ่านเพิ่มเติมรายงาน “สองมาตรฐาน” หน้า 6)
วิกฤตองค์กรอิสระ
วันนี้แม้แต่ฝ่ายตุลาการก็ยังถูกตั้งคำถามเรื่องของความยุติธรรม อย่างกรณีตุลาการภิวัฒน์ โดยเฉพาะศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากกับการวินิจฉัยคดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกพ้อง
ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดปัจจุบันก็ถูกโจมตีว่ามาโดยไม่ชอบธรรม เพราะทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. ชุดปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ไม่ใช่การสรรหาตามรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะ กกต. ชุดปัจจุบันที่แม้จะมีการสรรหาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา แต่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเพราะเกิดรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ก่อน แต่ คปค. กลับใช้อำนาจแต่งตั้ง กกต. ชุดนี้ให้มีวาระอยู่ยาวถึง 8 ปี
ทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. นอกจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การวินิจฉัยหลายครั้งยังถูกมองว่าเลือกปฏิบัติหรือเลือกข้างอีกด้วย เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ คปค. ตั้งขึ้นเพื่อเป็นคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณโดยเฉพาะ และมีการกล่าวหามาก มายหลายคดี ซึ่งหลายคดีนั้นศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด ขณะที่อีกหลายคดีแทบไม่มีความคืบหน้า
เช่นเดียวกับกรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่มีปัญหาในขณะนี้ก็เพราะประกาศอัปยศของ คปค. และรัฐธรรมนูญปี 2550
องค์กรอิสระต่างๆจึงถูกตั้งคำถามว่าควรจะมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้ามีอยู่จะต้องแก้ไขกระบวนการสรรหาและเรื่องของอำนาจหน้าที่หรือไม่ เพราะองค์กรอิสระขณะนี้มีอำนาจเหนือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล หรือแม้แต่การแสดงบัญชีทรัพย์สินของกรรมการเพื่อแสดงความโปร่งใส
การทำงานขององค์กรอิสระต่างๆจึงถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองวิกฤต เพราะคำว่า “2 มาตรฐาน” จนวันนี้ก็ยังมีคำถามและข้อกังขามากมายเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมที่ส่งผลถึงความยุติธรรมและความชอบธรรม รวมทั้งการครอบงำองค์กรอิสระของฝ่ายการเมืองที่ทำให้เกิดการบิดเบือนทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายการเมืองหรือกลุ่มผู้มีอำนาจ
รัฏฐาธิปัตย์
โดยเฉพาะอำนาจจากการรัฐประหารที่ถูกประณามว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่สังคมไทยกลับยอมรับนับถือ แต่อย่างน้อยก็ยังมีตุลาการของประชาชนที่กล้าประกาศอย่างชัดเจนว่าการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่แสดงคำวินิจฉัยส่วนตัวในฐานะเสียงข้างน้อย ไม่เห็นด้วยในคดีคำพิพากษาที่ อม.9/2552 ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ถูกกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่พิพากษาให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่านายยงยุทธเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษกำหนด 1 ปี โดยนายกีรติให้เหตุผลว่า
“หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์”
กวาดล้างและขังยาว
ปัญหา 2 มาตรฐานยิ่งเห็นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคดีของกลุ่ม นปช. กับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งถูกตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” เช่นกันคือยึดสนามบิน จากคดีที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ 240 คดี ปรากฏว่าวันนี้แทบไม่มีความคืบหน้าเลยทั้งที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี โดยเฉพาะคดี 79 แกนนำพันธมิตรฯซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและข้อหาอื่นๆรวมกว่า 10 คดี จากกรณีบุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองเมื่อปี 2551 ยังเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนโดยไม่มีการจับกุมใดๆ
ตรงข้ามกับแกนนำเสื้อแดง 26 คน ที่วันนี้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องแล้ว ทั้งที่พนักงานสอบสวนไม่มีการสอบสวนปากคำจำเลยแม้แต่ปากเดียว ขณะที่คดีของกลุ่มพันธมิตรฯกลับมีการสอบสวนพยานจำเลยนับพันปาก และหากนับวันที่ถูกฝากขังก็จะครบกำหนด 84 วันในวันที่ 7 กันยายนนี้ และมีแนวโน้มที่จะถูกขังยาวตลอดการพิจารณาคดี ซึ่งอาจยืดเยื้อยาวนานเป็นสิบๆปีก็ได้ เนื่องจากศาลไม่ให้ประกันเพราะเห็นว่าเป็นคดีที่มีโทษสูงและกลัวผู้ต้องหาหลบหนี
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีถึง 260 คดี แบ่งออกเป็นก่อการร้าย ขู่เข็ญเจ้าหน้าที่รัฐ ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีคดีขบวนการล้มสถาบันที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อ้างการสืบสวนในทางลับ ซึ่งคดีนี้นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในแผนผังล้มสถาบันของ ศอฉ. ได้ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. จำเลยที่ 2 และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อศาลอาญากรณี ศอฉ. แถลงข่าวและแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน ซึ่งมีชื่อนายสุธาชัยปรากฏอยู่ด้วย
คนสั่งฆ่าดำเนินคดีคนถูกฆ่า?
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง จึงประกาศจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนเสื้อแดงจนถึงที่สุด และกล่าวหาว่าอธิบดีดีเอสไอและนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมีส่วนร่วมในการสั่งฆ่าประชาชน แต่กลับมาเป็นผู้ดำเนินคดี ถ้าเป็นเช่นนี้คดีก็จะพลิกจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว เอาความตายที่เกิดขึ้น 91 ศพมาบอกว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง การสรุปแบบนี้นายจุลสิงห์ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่
“ที่ผ่านมาในการสอบสวน ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 150 ที่พนักงานสอบสวนจะต้องชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตทีละศพ แต่นายจุลสิงห์ไม่ได้ กระทำตามที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนด เพราะจะต้องมีการชันสูตรทีละศพว่าผู้ตายเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร หากการตายที่เกิดจากกระสุนต้องระบุว่าเป็นกระสุนชนิดใด วิถีกระสุนเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพทั้ง 91 ศพ และแจ้งไปยังศาลถึงสาเหตุการตาย และศาลจะไต่สวนต่อว่าใครเป็นคนทำ ดังนั้น ที่อัยการสูงสุดละเลยเรื่องนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนใช่หรือไม่ การกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองจึงเป็นการกระทำที่ชั่วช้าที่สุด ร่วมมือกับดีเอสไอไม่ปฏิบัติตามวิธีพิจารณาคดีอาญา”
ยุติธรรมกำมะลอ
ปัญหา 2 มาตรฐานในสังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่เห็นชัดเจนทะลุจอเหมือนหนัง 3 มิติเท่านั้น แต่โคตรชัดและจับต้องได้ยิ่งกว่าหนัง 4 มิติเสียอีก คือไม่ใช่แค่ภาพที่ชัดเสียยิ่งกว่าชัด แต่ยังโชยกลิ่นออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน
เพราะกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าดีเอสไอ ฝ่ายอัยการ ก็ไม่ต่างกับ ศอฉ. ที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นยิ่งกว่าดาบกายสิทธิ์ที่ให้ฆ่าคนได้โดยไม่มีความผิด จึงไม่แปลกที่จะมีการประณามเรื่องความอยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากประชาคมโลก
แม้ผู้มีอำนาจจะตะแบงว่าทุกคดีต้องไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ศาลยุติธรรม ซึ่งศาลก็ต้องพิจารณาและวินิจฉัยไปตามพยานและหลักฐาน
แต่ก็มีคำถามว่าหากพยาน และหลักฐานที่ได้มานั้นเกิดจากขบวนการต่างๆภายใต้อำนาจเผด็จการหรือเยี่ยงโจรที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรมแล้ว
ศาลก็ต้องตัดสินไปตามพยานและหลักฐาน ผลออกมาอย่างไร ผู้ต้องหาก็ต้องยอมรับและต้องเคารพคำตัดสินของศาล
แต่เหยื่อของความอยุติธรรมคือผู้บริสุทธิ์ที่กลายเป็นคนผิดที่อาจไม่ใช่แค่คำอุทานว่า “ซวยจริงๆ” เท่านั้น แต่อาจหมายถึงการถูกประหารชีวิตอีกด้วย
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมจึงมีแค่การฟ้องกลับหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระต่างๆ แม้จะรู้ดีว่าการฟ้องร้องไม่สามารถเอาผิดหรือคดีสิ้นสุดด้วยความเป็นธรรมได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นการฟ้องตัวเองของหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระ ว่าสังคมไทยไม่ใช่มีแค่วงจรอุบาทว์ที่ฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น แต่ยังสร้างทายาทอสุรกายอีกด้วย
รัฐและองค์กรอิสระต่างๆจึงต้องเป็นคนตอบเองว่าทำไมสังคมไทยจึงเกิด 2 มาตรฐาน ซึ่งไม่ใช่รู้ได้จากสามัญสำนึกเท่านั้น แต่เรียกว่าเห็นโคตรชัดเจนทะลุจอยิ่งกว่าหนัง 3 มิติเสียอีก
ทุกคำตัดสินจากทุกองค์กรแห่งความยุติธรรมจึงเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพของความยุติธรรมว่าเป็นยุติธรรมที่ “ยุติด้วยความเป็นธรรม” หรือ “ยุติแล้วซึ่งความเป็นธรรม”
นี่คือความจริงของสังคม 2 มาตรฐานบน “ศาลาโกหก” ที่เต็มไปด้วย “ยุติธรรมกำมะลอ”...!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 273 วันที่ 21-27 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แจ้งจับ‘จรัญ’กบฏร่วมวงวางแผนยึดอำนาจล้มล้างประชาธิปไตย
หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ส.ส.เพื่อไทยควงทนายบุกกองปราบปรามแจ้งความเอาผิด “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ และข้อหาซ่องโจรกรณีมีส่วนร่วมวางแผนยึดอำนาจจากรัฐบาล “ทักษิณ” เมื่อปี 2549 ซัดขาดคุณสมบัติเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพราะรับจ๊อบสอนพิเศษโดยรับค่าตอบแทนจากสถานศึกษาหลายแห่ง “จตุพร-การุณ” ยื่นศาลขอเลื่อนสอบคำให้การคดีก่อการร้ายไปช่วงสิ้นปี อ้างติดสมัยประชุมสภา เตรียมฟื้นเวทีเสื้อแดงเดินสายปราศรัยภาคเหนือ-อีสาน “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประสานเสียงมีสิทธิทำได้แต่อย่ายุยงปลุกปั่น ล้ำเส้นเมื่อไรจับดำเนินคดีแน่
วันที่ 19 ส.ค. 2553 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ (กทม.) พรรคเพื่อไทย จำเลยคดีก่อการร้าย เข้ารายงานตัวต่อศาลตามเงื่อนไขที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก่อนฟ้องคดี
ศาลให้เลื่อนสอบปากคำ “จตุพร-การุณ”
ทั้งนี้ นายจตุพรและนายการุณได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลเลื่อนวันสอบคำให้การในส่วนของตนจากเดิมที่นัดวันที่ 27 ก.ย. ออกไปก่อน เนื่องจากอยู่ในช่วงสมัยประชุมสภาทำให้มีภารกิจในสภา โดยขอให้เลื่อนไปหลังปิดสมัยประชุมสภาในเดือน พ.ย. ซึ่งศาลอนุญาตตามขอ
ฟื้นเวทีเสื้อแดงปรายศรัยเหนือ-อีสาน
นายจตุพรให้สัมภาษณ์ว่า ในเดือน ก.ย. นี้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงจะเริ่มตั้งเวทีปราศรัยตามจังหวัดต่างๆเพื่อชี้แจงนโยบายและข้อเท็จจริงต่างๆ พร้อมทั้งบอกให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล โดยจะเริ่มจากจังหวัดในภาคเหนือทั้งเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา จากนั้นจึงไปที่ภาคอีสาน เช่น นครพนม อำนาจเจริญ อุบราชธานี ยโสธร ส่วนการยื่นขอประกันตัวแกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำ แม้จะยื่นหลายครั้งและศาลยังไม่อนุญาตก็จะไม่ละความพยายาม โดยจะยื่นขอประกันตัวไปเรื่อยๆ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า เร็วๆนี้จะนำข้อมูลเกี่ยวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาเปิดเผยอีก หลังจากที่เปิดเผยเบอร์หมอนวดประจำตัวหมายเลข 161 แต่ครั้งนี้ลึกกว่านั้น ให้นายธาริตเตรียมตัวไว้ได้เลย
แจ้งดำเนินคดี “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ
ที่กองปราบปราม นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหาเป็นกบฏล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย กรณีเข้าร่วมกับคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549
ไม่เคยปฏิเสธร่วมวางแผนยึดอำนาจ
นายเกียรติอุดมกล่าวอ้างข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่านายจรัญได้เข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนยึดอำนาจร่วม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งต่อมาได้เป็นประธาน คปค. หัวหน้าคณะใช้กำลังทหารยึดอำนาจและยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งที่ผ่านมานายจรัญไม่เคยออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ จึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่ามีส่วนร่วมในขบวนการดังกล่าวเพื่อยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210
สอนหนังสือรับเงินขาดคุณสมบัติ
นอกจากนี้นายจรัญอาจมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไปได้ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนจากการสอนหนังสือในสถาบันต่างๆจึงถือว่าเป็นลูกจ้าง โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาเอกชน การเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือโดยได้รับค่าตอบแทนการสอนนั้นเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 207 (3) ซึ่งจะมีกรณีต้องห้ามเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 267 คือรับทำงานให้บุคคลใดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่ปรึกษากฎหมายหรืออื่นใด
“ผมขอให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ หากพบว่ามีมูลความผิดขอให้ดำเนินคดีกับนายจรัญ” นายเกียรติอุดมกล่าว
รธน. ชั่วคราวนิรโทษกรรมให้แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ได้ถูกนิรโทษกรรมไปแล้ว โดยการกำหนดละเว้นโทษเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2549 ในมาตรา 37 ที่ระบุเอาไว้ว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
รธน.ปี 50 ให้การรับรองนิรโทษกรรม
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองการกระทำในรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 309 ที่ระบุว่า บรรดาการใดๆที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหน้าหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
ดังนั้น แม้นายจรัญจะไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าร่วมวางแผนยึดอำนาจ แต่การจะเอาผิดกับนายจรัญก็ต้องตีความว่านายจรัญได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่
“มาร์ค” สั่งคุมการปราศรัยคนเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะติดตามการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะใด หากเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความวุ่นวายถือว่าผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำได้
“การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการตั้งเวทีปราศรัยเป็นเรื่องปรกติที่สามารถทำได้ ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาสาระว่ามีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ ส่วนความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนเจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลไม่ให้เกิด” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า สถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงละเอียดอ่อนเพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายกันอยู่
ยังมีความเคลื่อนไหวหลายพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีจังหวัดไหนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาเป็นระยะ มีทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมทั้งปริมณฑล อย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่งยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาตลอด ซึ่งหากเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบกติกาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“การที่คนเสื้อแดงเลือกไปจัดกิจกรรมในพื้นที่ที่มีผู้ให้การสนับสนุนมากเป็นเรื่องปรกติ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเป็นการชุมนุมที่มีลักษณะจะทำให้ปัญหาบานปลายออกไปเจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้มงวด เมื่อมีสิ่งบอกเหตุว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
“สุเทพ” ขู่ล้ำเส้นจับดำเนินคดีทันที
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า จะยังไม่มีรายงานเสนอนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมในตอนนี้
“การประเมินเราไม่ได้ประเมินกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือกำหนดเวลาว่าต้องเสนอนายกฯเมื่อไร แต่จะดูตามข้อเท็จจริง หากเห็นว่ายกเลิกได้จึงเสนอเรื่องต่อนายกฯ” นายสุเทพกล่าวและว่า แกนนำเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทยสามารถลงไปทำกิจกรรมในจังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ แต่ว่าถ้าไปปลุกปั่นยุยงให้คนโกรธกัน เกลียดกัน ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องจับกุมดำเนินคดี
“นายจตุพรควรเอาสักทาง ไม่ใช่จ้องแต่ละล้มรัฐบาลให้ได้ ล้มในสภาไม่ได้ก็ล้มนอกสภา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” นายสุเทพกล่าว
**********************************************************************
ส.ส.เพื่อไทยควงทนายบุกกองปราบปรามแจ้งความเอาผิด “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ และข้อหาซ่องโจรกรณีมีส่วนร่วมวางแผนยึดอำนาจจากรัฐบาล “ทักษิณ” เมื่อปี 2549 ซัดขาดคุณสมบัติเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพราะรับจ๊อบสอนพิเศษโดยรับค่าตอบแทนจากสถานศึกษาหลายแห่ง “จตุพร-การุณ” ยื่นศาลขอเลื่อนสอบคำให้การคดีก่อการร้ายไปช่วงสิ้นปี อ้างติดสมัยประชุมสภา เตรียมฟื้นเวทีเสื้อแดงเดินสายปราศรัยภาคเหนือ-อีสาน “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประสานเสียงมีสิทธิทำได้แต่อย่ายุยงปลุกปั่น ล้ำเส้นเมื่อไรจับดำเนินคดีแน่
วันที่ 19 ส.ค. 2553 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ (กทม.) พรรคเพื่อไทย จำเลยคดีก่อการร้าย เข้ารายงานตัวต่อศาลตามเงื่อนไขที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก่อนฟ้องคดี
ศาลให้เลื่อนสอบปากคำ “จตุพร-การุณ”
ทั้งนี้ นายจตุพรและนายการุณได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลเลื่อนวันสอบคำให้การในส่วนของตนจากเดิมที่นัดวันที่ 27 ก.ย. ออกไปก่อน เนื่องจากอยู่ในช่วงสมัยประชุมสภาทำให้มีภารกิจในสภา โดยขอให้เลื่อนไปหลังปิดสมัยประชุมสภาในเดือน พ.ย. ซึ่งศาลอนุญาตตามขอ
ฟื้นเวทีเสื้อแดงปรายศรัยเหนือ-อีสาน
นายจตุพรให้สัมภาษณ์ว่า ในเดือน ก.ย. นี้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงจะเริ่มตั้งเวทีปราศรัยตามจังหวัดต่างๆเพื่อชี้แจงนโยบายและข้อเท็จจริงต่างๆ พร้อมทั้งบอกให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล โดยจะเริ่มจากจังหวัดในภาคเหนือทั้งเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา จากนั้นจึงไปที่ภาคอีสาน เช่น นครพนม อำนาจเจริญ อุบราชธานี ยโสธร ส่วนการยื่นขอประกันตัวแกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำ แม้จะยื่นหลายครั้งและศาลยังไม่อนุญาตก็จะไม่ละความพยายาม โดยจะยื่นขอประกันตัวไปเรื่อยๆ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า เร็วๆนี้จะนำข้อมูลเกี่ยวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาเปิดเผยอีก หลังจากที่เปิดเผยเบอร์หมอนวดประจำตัวหมายเลข 161 แต่ครั้งนี้ลึกกว่านั้น ให้นายธาริตเตรียมตัวไว้ได้เลย
แจ้งดำเนินคดี “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ
ที่กองปราบปราม นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหาเป็นกบฏล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย กรณีเข้าร่วมกับคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549
ไม่เคยปฏิเสธร่วมวางแผนยึดอำนาจ
นายเกียรติอุดมกล่าวอ้างข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่านายจรัญได้เข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนยึดอำนาจร่วม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งต่อมาได้เป็นประธาน คปค. หัวหน้าคณะใช้กำลังทหารยึดอำนาจและยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งที่ผ่านมานายจรัญไม่เคยออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ จึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่ามีส่วนร่วมในขบวนการดังกล่าวเพื่อยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210
สอนหนังสือรับเงินขาดคุณสมบัติ
นอกจากนี้นายจรัญอาจมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไปได้ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนจากการสอนหนังสือในสถาบันต่างๆจึงถือว่าเป็นลูกจ้าง โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาเอกชน การเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือโดยได้รับค่าตอบแทนการสอนนั้นเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 207 (3) ซึ่งจะมีกรณีต้องห้ามเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 267 คือรับทำงานให้บุคคลใดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่ปรึกษากฎหมายหรืออื่นใด
“ผมขอให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ หากพบว่ามีมูลความผิดขอให้ดำเนินคดีกับนายจรัญ” นายเกียรติอุดมกล่าว
รธน. ชั่วคราวนิรโทษกรรมให้แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ได้ถูกนิรโทษกรรมไปแล้ว โดยการกำหนดละเว้นโทษเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2549 ในมาตรา 37 ที่ระบุเอาไว้ว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
รธน.ปี 50 ให้การรับรองนิรโทษกรรม
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองการกระทำในรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 309 ที่ระบุว่า บรรดาการใดๆที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหน้าหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
ดังนั้น แม้นายจรัญจะไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าร่วมวางแผนยึดอำนาจ แต่การจะเอาผิดกับนายจรัญก็ต้องตีความว่านายจรัญได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่
“มาร์ค” สั่งคุมการปราศรัยคนเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะติดตามการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะใด หากเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความวุ่นวายถือว่าผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำได้
“การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการตั้งเวทีปราศรัยเป็นเรื่องปรกติที่สามารถทำได้ ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาสาระว่ามีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ ส่วนความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนเจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลไม่ให้เกิด” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า สถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงละเอียดอ่อนเพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายกันอยู่
ยังมีความเคลื่อนไหวหลายพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีจังหวัดไหนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาเป็นระยะ มีทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมทั้งปริมณฑล อย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่งยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาตลอด ซึ่งหากเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบกติกาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“การที่คนเสื้อแดงเลือกไปจัดกิจกรรมในพื้นที่ที่มีผู้ให้การสนับสนุนมากเป็นเรื่องปรกติ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเป็นการชุมนุมที่มีลักษณะจะทำให้ปัญหาบานปลายออกไปเจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้มงวด เมื่อมีสิ่งบอกเหตุว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
“สุเทพ” ขู่ล้ำเส้นจับดำเนินคดีทันที
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า จะยังไม่มีรายงานเสนอนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมในตอนนี้
“การประเมินเราไม่ได้ประเมินกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือกำหนดเวลาว่าต้องเสนอนายกฯเมื่อไร แต่จะดูตามข้อเท็จจริง หากเห็นว่ายกเลิกได้จึงเสนอเรื่องต่อนายกฯ” นายสุเทพกล่าวและว่า แกนนำเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทยสามารถลงไปทำกิจกรรมในจังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ แต่ว่าถ้าไปปลุกปั่นยุยงให้คนโกรธกัน เกลียดกัน ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องจับกุมดำเนินคดี
“นายจตุพรควรเอาสักทาง ไม่ใช่จ้องแต่ละล้มรัฐบาลให้ได้ ล้มในสภาไม่ได้ก็ล้มนอกสภา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” นายสุเทพกล่าว
**********************************************************************
เสียดายวีรกรรม...‘ชาวบ้านบางระจัน’
สยามธุรกิจ
พวกเราคงเคยได้ยินการให้สัมภาษณ์ของบรรดาผู้นำเหล่าทัพในลักษณะที่ว่า “กองทัพไทยจะไม่ยอมให้อริราชศัตรูเข้ามารุกรานแผ่นดินไทย” บ้างก็ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนไทย” หรืออย่างประโยคสุดฮิตที่ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติไทย.. จะไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด” หรือประโยคทองที่ว่า “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทย” และ “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกดินแดนของไทยออกไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”
ได้ยินได้ฟังกันมาเป็นสิบๆ ปีจนเลี่ยนหูไปหมดแล้วครับท่านผู้อ่าน.. แต่วันนี้ไฉนกลับเป็นเหมือนหนังคนละม้วน ..ทั้งชายแดนฝั่งซ้ายติดพม่า กับชายแดนฝั่งขวาติดเขมร.. ต่างถูกตีขนาบด้วยเรื่องพื้นที่ทับซ้อน.. หาจุดหลักปักปันเขตแดนที่แน่นอนไม่ได้.. นี่ยังไม่นับรวมพื้นที่ภาคอีสานตอนบนที่ติดกับ ส.ป.ป.ลาว ที่วันนี้สงบนิ่งแต่รอวันประทุขึ้นมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้..
ทั้งหลายทั้งปวง “ทาสพสุธา” ขอกล่าวโทษไปที่นโยบายที่ไม่มีความต่อเนื่องของแต่ละรัฐบาล.. ทั้งที่ประเด็นเรื่องการปักปันหลักเขตแดนเป็นวาระแห่งชาติ.. มีผลกระทบต่อคนไทยทั้งประเทศ.. ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่วางกันเอาไว้.. แต่ “ข้าราชการประจำใจเสาะ” 2 หน่วยงานกลับบ้าจี้เดินตามก้นนักการเมืองขายชาติ.. ลุยถั่วกระทำการบางอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา..จนประเทศชาติอาจจะต้องสูญเสียอธิปไตยไปแบบไม่มีวันได้คืน..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวกเราคงเคยได้ยินการให้สัมภาษณ์ของบรรดาผู้นำเหล่าทัพในลักษณะที่ว่า “กองทัพไทยจะไม่ยอมให้อริราชศัตรูเข้ามารุกรานแผ่นดินไทย” บ้างก็ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนไทย” หรืออย่างประโยคสุดฮิตที่ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติไทย.. จะไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด” หรือประโยคทองที่ว่า “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทย” และ “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกดินแดนของไทยออกไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”
ได้ยินได้ฟังกันมาเป็นสิบๆ ปีจนเลี่ยนหูไปหมดแล้วครับท่านผู้อ่าน.. แต่วันนี้ไฉนกลับเป็นเหมือนหนังคนละม้วน ..ทั้งชายแดนฝั่งซ้ายติดพม่า กับชายแดนฝั่งขวาติดเขมร.. ต่างถูกตีขนาบด้วยเรื่องพื้นที่ทับซ้อน.. หาจุดหลักปักปันเขตแดนที่แน่นอนไม่ได้.. นี่ยังไม่นับรวมพื้นที่ภาคอีสานตอนบนที่ติดกับ ส.ป.ป.ลาว ที่วันนี้สงบนิ่งแต่รอวันประทุขึ้นมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้..
ทั้งหลายทั้งปวง “ทาสพสุธา” ขอกล่าวโทษไปที่นโยบายที่ไม่มีความต่อเนื่องของแต่ละรัฐบาล.. ทั้งที่ประเด็นเรื่องการปักปันหลักเขตแดนเป็นวาระแห่งชาติ.. มีผลกระทบต่อคนไทยทั้งประเทศ.. ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่วางกันเอาไว้.. แต่ “ข้าราชการประจำใจเสาะ” 2 หน่วยงานกลับบ้าจี้เดินตามก้นนักการเมืองขายชาติ.. ลุยถั่วกระทำการบางอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา..จนประเทศชาติอาจจะต้องสูญเสียอธิปไตยไปแบบไม่มีวันได้คืน..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" สังเคราะห์เกมการเมืองเรื่องปราสาทและเขาพระวิหาร การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่? ทางออกคืออะไร?
ประเด็น"ปราสาทพระวิหาร"มีข้อถกเถียงในหลายระดับ
นับตั้งแต่"ข้อเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดี" เพื่อที่จะเอาตัวปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทย
เหตุการณ์แนวรบเลยเถิดไปถึงต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนฝั่งแม่น้ำโขง
และประเด็นที่ถูกขยายความไปไกลกว่านั้นคือข้อสงสัยว่า การปักปันเขตแดนทางบกจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจเอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่?
การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์ และ"ทางออก" คืออะไร ?
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มีคำอธิบายทั้งเชิงการเมืองและเชิงประวัติศาสตร์ นับจากบรรทัดนี้ถัดไป...
@ ปัญหาปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องเอกสารแผนที่ หรือเรื่องอะไรกันแน่
ปัญหาอยู่ที่ "เกมส์การเมือง" ผมคิดว่ากรณีปราสาทเขาพระวิหาร น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2505 (1962) เมื่อศาลโลกมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แล้วต่อมาเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2551 (2008) ที่ที่ประชุมยูเนสโก มีมติเอกฉันท์ 21 ประเทศ (ไม่มีการลงคะแนนโหวดอย่างในกรณีของศาลโลก) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่เหตุที่เรื่องนี้ปะทุมาอีก เป็นระยะๆ เพราะมีการทำให้เป็นประเด็นทาง "เกมส์การเมือง" เพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม หรือเพื่อเก็บคะแนนเสียงไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่ใช่ประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศตรงๆ และก็ไม่ใช่ประเด็นเรื่องมรดกโลกตรงๆ
@ การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์
ในด้านหนึ่ง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เป็นเกมส์การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาลกัมพูชาอย่างมากๆ เป็น "วาระแห่งชาติ" ของเขา คือในขณะที่ประเด็นทางเกมส์การเมืองของไทย สร้างความแตกแยกในประเทศไทย แต่ในทางตรงข้าม ประเด็นเกมส์การเมืองในกัมพูชา สร้างความสมานสามัคคีให้ชนชาติเขมรอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย นับตั้งแต่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ได้เอกราชมา นับตั้งแต่มีสงครามในเขมร แตกแยกเป็น 4 ฝ่าย แต่ในปัจจุบันเรื่องปราสาทพระวิหาร สร้างความเป็นเอกภาพ สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลของสมเด็จฮุนเซนอย่างมาก ไม่เคยมีครั้งใดที่รัฐบาล จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น และไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลผสม เป็นครั้งแรก เพราะกรณีปราสาทเขาพระวิหาร
ขณะที่เกมส์การเมืองลัทธิชาตินิยมของไทย หากกล่าวโดยย่อ เป็นประเด็นทางเกมส์การเมืองภายในประเทศ ที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับทุกรัฐบาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อๆ ไป ไม่ว่าเสื้อ "สี" ไหนจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นประเด็นบั่นทอน เป็นหนามยอกอก ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวไทยไปอีกหลายปี กลายเป็น "วิกฤตแห่งชาติ" ถ้าหากไม่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่หาทางออกใหม่ๆ
@ ทางออกคืออะไร
"ทางออก" ไม่น่าจะยาก ถ้าเปลี่ยนวิธีคิดได้ แต่มันยากตอน "เปลี่ยนวิธีคิด" ซึ่งทางออกที่บอกว่าไม่ยากนั้น เพราะหลายๆ ชาติ ก็ทำกัน เช่น บราซิลกับอาเจนตินา ที่มีพรมแดนติดกัน มีน้ำตกมหึมา (บางคนว่ายิ่งใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาด้วยซ้ำไป) ที่เคยเป็นข้อพิพาทเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก Igaucu National Park ก็ตกลงใช้ประโยชน์จากเรื่องน้ำตกแห่งนี้ ทางจีนกับรัสเซียเอง ก็สามารถตกลงเขตแดนทางบกกันได้ และบริเวณชายแดน ไทยกับมาเลเซีย จากเดิมที่เคยมีปัญหาว่าเขตแดนทางทะเล แบ่งเอาตรงไหนแน่ แต่ในที่สุดรัฐบาลไทย และมาเลเซีย ก็สามารถตกลงว่า เรื่องนี้ไม่ต้องทะเลาะกันดีกว่า เรื่องนี้เก็บไว้อีก 50 ปีข้างหน้า ค่อยมาคุยกัน อาจจะเป็นรุ่นหลานหรือเหลน ซึ่งมีสติปัญญามากกว่าเรา มาตกลงกันในอนาคต แต่ตอนนี้ไทยกับมาเลเซียมาร่วมกัน ขุดเอาแก๊สธรรมชาติมาใช้เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศชาติจะดีกว่า
@ หาประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องปักปันเขตแดน
ใช่ แชร์ผลประโยชน์กันก่อน แชร์ผลประโยชน์กันดีกว่า แล้วเอาไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งคงจะไม่ "งี่เง่า" เหมือนคนรุ่นเราๆท่านๆ ลูกหลานคงต้องฉลาดกว่า ไปตกลงกันได้ เรื่องนี้ทะเลาะกันไปทำไม เหมือนคนในยุโรปรุ่นก่อนๆ ก็เคย "งี่เง่า" ฆ่ากัน ระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แต่คนรุ่นนี้บอกว่าเป็น "ยูโร" ดีกว่า เป็น "ประชาคมยุโรป" ใช้เงิน "ยูโร" ด้วยกัน ไม่ต้องมีวีซ่า เผลอๆ พาสปอร์ต ก็ไม่ต้องมีก็ได้ เราๆท่านๆ หรืออาจจะต้องรอจนรุ่นลูกหลานเรา เป็น "อาเซียน" มีเงิน "อาเซียน" เป็นประชาคมอาเซียน" Asean Community ได้หรือไม่ หรือคน "เอเชีย" ยังมี "วุฒิภาวะ" ไปไม่ถึง
@ ถ้าไม่จริงจังเรื่องเขตแดน จะสูญเสียอัตลักษณ์ และความเป็นชาติไทยหรือเปล่า
ความเป็น "ไทย" คืออะไรเล่า? ภาษาไทย ก็ยืมคำมาจาก เขมร จีน ฝรั่ง เยอะแยะ แค่คำว่า "เดิน" กับ "ดำเนิน" ที่เราใช้กันทุกวี่ทุกวัน คำว่า "เจริญ" กับ "จำเริญ" ที่เราเปล่งถวายพระพร หรือคำว่า "ชาญ" กับ "ชำนาญ" คำต่างๆแบบนี้เป็นคำเขมร เราก็ยืมมาใช้หลายร้อยปีแล้ว ถ้าเป็นไทยแท้ๆ เราก็ "เดิน" ไม่ได้ ต้อง "ย่าง" หรือ "ก้าว" ฉะนั้น ความเป็นไทยอยู่ที่การต้องยอมรับ "ความหลากหลาย-แตกต่าง" ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมของความเป็นไทย อย่าง "โจงกระเบน" ที่คิดว่าเป็นไท้ไทย เอาเข้าจริงก็เป็นของเขมร "โจง" เป็นคำเขมร แปลว่า "ผูก" "กระเบน" ก็เป็นคำเขมร แปลว่าหาง ถ้าเป็นไทยแท้ ของไทย ต้องบอกว่า "นุ่งผูกหาง" สิ จึงจะถูกต้องตามภาษาดั้งเดิมของเรา ดังนั้น เราต้องยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลากที่ "ความเป็นไทย" หยิบยืมมา บางทีความเป็น "ไทย" นั้น ไปบีบให้เหลือพื้นที่เพียงนิดเดียว ถึงมีปัญหามากมาย
ถ้าเป็น "สยาม" ก็คิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าตั้งแต่เปลี่ยนนามประเทศอย่างเป็นทางการจาก "ไทย" เป็น "สยาม" จาก Siam เป็น Thailand (2482) นั้นสร้างลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับ "ชาติ" เกี่ยวกับ "ชาตินิยม" หรือ "เชื้อชาตินิยม" เป็นปัญหามากๆๆๆ "รักชาติเกินพอเพียง" ผมถึงได้เสนอว่า เผลอๆ อาจต้องเปลี่ยนชื่อ แบบเราๆท่านๆนี่แหละ ที่คิดว่าชื่อไม่เป็น "มงคล" ก็เลยไปหาพระหาเจ้า ให้เปลี่ยนให้ใหม่ อย่าง "ประเทือง" ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอะไรน่ะ ดังนั้น ถ้าเปลี่ยน "ไทย" เป็น "สยาม" ได้ เปลี่ยน Thailand เป็น Siam เปลี่ยนธงชาติ ให้เป็นแบบธงทหารเรือ คือ มีทั้งไตรรงค์ มีน้ำเงิน ขาว แดง และแถมยังมี "ช้างเผือก" อยู่ตรงกลางด้วย อาจแก้ปัญหาได้ ปฏิรูป ปรองดอง สมานฉันท์ เกี้ยเซี้ยะ และรักสามัคคีกันได้
@ เปลี่ยนภาษา จะสามารถเปลี่ยนความคิดได้ยังไง
ภาษาก็เป็นตัวกำหนดความคิด ไวยกรณ์ก็กำหนดความคิด สถานที่ ก็กำหนดความคิด ถ้าคุณเรียนที่ท่าพระจันทร์กับเรียนที่รังสิต คุณคิดว่า คุณมีความคิดเหมือนกันไหม ผมว่ามันจะเปลี่ยนวิธีคิดหมดเลย คือเวลาคนที่เขาคิดว่า "ชื่อ" ไม่สำคัญ ชื่ออะไร แม้ไม่ใช่ "กุหลาบ" ก็หอม แล้วทำไม ไม่เปลี่ยนชื่อให้เป็น "ดอกเงิน" เล่า ทำไม คนที่คิดว่าชื่อของตนไม่ถูกโฉลก ไม่เป็นศิริมงคล ทำไมเขาและเธอถึงไปเปลี่ยนกันเล่า แน่นอน การเปลี่ยนชื่อไม่ได้หมายถึงการที่จะแก้ปัญหาได้หมด ได้ทันที แต่นี่เป็นก้าวแรกของการ "คิดใหม่" หรือ "ทำใหม่" ครับ
@ ภาษาการเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร (Phra Viharn) หรือ เปรี๊ยะวิเฮียร์ (Preah Vihear) ยังเป็นเรื่องติดค้างระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้
เรื่องนี้ซับซ้อนมาก ต้องแยกให้ดีว่า เป็นเรื่องของภาษาพูดหรือภาษาเขียน แล้วก็ต้องแยกให้ดีว่าเป็นภาษาไทย หรือ ภาษาเขมร หรือภาษาอังกฤษ ใช่ เพราะเรายืนยันว่าเป็นของเรา จึงบอกให้เขียนภาษาอังกฤษ แบบที่เราออกเสียง คือ Phra Viharn แต่ความจริงตัวเขียนเดิม ที่เขียนทั้งในภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส ก็เขียนว่า Preah Vihear มาร้อยกว่าปีแล้ว มาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสกับรัชกาลที่ 5 มาจนกระทั่งครั้งขึ้นคดีศาลโลกสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ใช้กันมาเช่นนี้ ตอนนี้ไปเถียงกับเขาให้ชาวโลกดูว่าต้องเป็น Phra Viharn ก็ดูจะตลกๆ และ "คิคุ" ไปหน่อย ส่วนภาษาพูด หรือการออกเสียง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ เราออกเสียงด้วยลิ้นไทย เราออกเสียง ร.เรือ ที่ปิดท้ายคำ เป็น น.หนู จึงเป็น "หาน" (แม้จะเขียนว่า "หาร" ก็ตาม เราไม่ได้ออกเสียว่าเป็น "เฮียร์" แบบเขมร ปัญหานี้เป็นเรื่องลิ้นใครลิ้นมัน ดังนั้น ตอนนี้จะมาบอกว่าให้สะกดตามแบบลิ้นไทย ทั้งๆ ที่ยอมรับให้เขียนกันมาอย่างนี้ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ (มท) กับสมเด็๗กรมพระยาเทววงศ์ (กต) ก็รับตัวเขียน Preah Vihear มาใช้นมนานแล้วอย่างที่กล่าวข้างต้น รับมาจนถึงตอน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไปเป็นทนายขึ้นศาลโลกให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วตอนนี้จะมาเปลี่ยน มันก็ดูยังไงๆ ชอบกล
@ ความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์ปราสาทพระวิหาร ร่วมกันระว่างไทย-กัมพูชา
ต้องทำให้ผู้นำรัฐบาล หรือนายกฯ ทั้งสองชาติ เป็นมิตรกันก่อน แต่ตอนนี้ผู้นำ อยากจะ make war มากกว่า make love และและก็เป็นการ make war เพื่อผลประโยชน์บางอย่างทางเกมส์การเมืองของ "พรรค" หรือของ "กลุ่มชน" ที่เคลื่อนไหวแล้วอ้างว่าเป็น "ภาคประชาชน" ทั้งๆที่การ make love น่าจะได้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ และต่อประชาชนโดยรวมมากกว่า แต่ผมว่า อันนี้คือประเด็นทาง "การเมือง" อย่างไรเล่า เรากำลังดู "ละครการเมือง" ฉากใหญ่มาก ต้องตั้งใจดูให้ดี (แม้จะไม่อยากดูก็ตาม เพราะเป็น "ไฟล๊ทบังคับ") แล้วคอย "จับผิด" ตัวแสดงให้ได้
@ การเมือง แปลว่าเราไม่ต้องพูดความจริงหรือ
แน่นอน คุณคิดว่า "นักการเมือง" พูดความจริงหรือ "นักการเมือง คือ คนที่พูดความไม่จริง ให้ดูเหมือนจริง ดูน่าเชื่อถือเป็นบ้าเลย" (หัวเราะ) และบางที ถึงขนาดว่านักการเมืองต้องพูดความเท็จ ให้ดูเหมือนจริง เนียน หรือให้มันกำกวม ต้องให้ตีความแล้วเป็นประโยชน์ต่อเขา
@ ทำไมประเทศไทย ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นการสร้างความเป็นเอกภาพภายในประเทศ เช่นเดียวกับกัมพูชา
เพราะกรณีปราสาทพระวิหาร ถูกทำให้เป็น "เกมส์การเมืองภายใน" ของไทยอย่างมาก ถูกใช้โดยรัฐบาลหลายรัฐบาล โดยจะนำขึ้นมาหรือไม่นำขึ้นมา เพื่อพิชิตฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลไทยหลายรัฐบาลใช้มาตลอด รัฐบาลจะปลุกกระแสความรักชาติ ชาตินิยม การเสียดินแดน รัฐบาลปลุกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพิบูลสงคราม เมื่อ 70 ปีที่แล้ว รัฐบาลสฤษดิ์ เกือบ 50 ปี มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายพันธมิตร หรือเสื้อเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองปัจจุบัน ต่างก็ใช้กรณีนี้สร้างความนิยมให้ตัวเอง สร้างแต้ม และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียแต้ม หรือถูกโค่นล้มด้วยซ้ำไป
@ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ใช้เรื่องปราสาทพระวิหารอีกแบบหนึ่ง
ในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช (2551) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (2331-34) ที่ได้ "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นตลาดการค้า" และเอาเข้าจริงรัฐบาลเกือบทุกรัฐบาลหลังจากนั้น ก็เดินตามเกมนี้ของ พล.อ.ชาติชาย ทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ยังได้ลงนาม เอ็มโอยู 2543 (MoU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร (รมช.กต.) กับ ฮอร์นัมฮง และหลังจากนั้นรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ก็เดินเกมส์นั้นต่อมา โดยยังให้การสนับสนุน (หรือย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน) กัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่การประชุมที่เมืองไครส์เชิรส ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อปี 2550 (2007) แม้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จะไม่ได้ส่ง รมว.ต่างประเทศ (คือนิตย์ พิบูลสงคราม ด้วยเหตุผลที่ไม่แจ้งชัดนัก อาจเป็นเพราะว่านามสกุล ซึ่งเคยถูกใช้เป็นชื่อว่าจังหวัดพิบูลสงคราม แทนจังหวัดเสียมราฐ ที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามไปยึดได้และปกครองเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2484-2488) ไปเจรจาที่นิวซีแลนด์ก็จริง แต่ตัวแทนของรัฐบาลในขณะนั้นคือ อดีตทูต มนัสพาสน์ ชูโต ก็ให้ความเห็นชอบ (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน จะด้วยเหตุผลของ "สี" เสื้อ หรือรัฐบาลก็ตาม)
ในตอนนั้น กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ยังไม่ถูกปลุกระดมขึ้นมา ในการประชุมที่นิวซีแลนด์ ในปี 2550 แต่จะถูกปลุกในปี 2551 เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเป็น สมัคร สุนทรเวช และ รมต. กต. คือ นพดล ปัทมะ ผมเข้าใจว่า ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนิตย์ พิบูลสงคราม เป็น รมต. กต. อยู่ในปี 2551 ประเด็นนี้ ก็อาจจะไม่ถูกปลุกก็ได้ ไม่แน่นะครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ใครเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นเกมส์การเมืองของเสื้อ "สี" อะไร
@ ความทรงจำประวัติศาสตร์ กับประเทศเพื่อนบ้าน
ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่สมัยสมบูรณายาสิทธิราช จนถึงการ "ปฏิวัติ" เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ตำราเรียนก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เพราะยังทำให้กัมพูชาเป็น "ผู้ร้าย" ในประวัติศาสตร์อยู่เรื่อยไป แต่เป็นผู้ร้ายแบบ "ตัวเล็กๆ" จะข่มขู่เคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ได้ เป็นลูกไล่ ลูกกะโร่ แต่ใน ขณะที่พม่า ถูกทำหรือวาดภาพให้เป็น "ผู้ร้ายตัวใหญ่" พม่ายกทัพมาทีไร ก็ตีหรือเผากรุงศรีอยุทธยาได้ ส่วนเขมรมาทีไร ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ต้องถอยกลับไป และไทยเราต้องไป "เอาคืน" อย่างในกรณีของ "พระยาละแวก" คือมีแต่ประวัติศาสตร์ที่มอง "ด้านเดียว" ว่าไทยเราถูก "กระทำ" อย่างหนักโดยพม่า ในเวลาเดียวกัน เขมรก็เข้ามาซ้ำเติม "กระทำ" อย่างเบา
ในประวัติศาสตร์ไทยเรา ก็ไม่มี "ความทรงจำ" ไม่ได้เขียนว่ากษัตริย์ไทยเรา สมัยพระเจ้าสามพระยาของกรุงศรีอยุธยา ก็เป็นฝ่ายกระทำ ที่ไปตีนครวัด นครธม หรือ "กรุงศรียโสธรปุระ" ของกัมพูชาจนแตก กลายเป็นเมืองร้างไปจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ กษัตริย์ ไทยเราสมัยพระนเรศวร ก็ไปตีเมืองละแวกจนแตก ทำให้เมืองละแวกกลายเป็นเมืองร้าง สมัยต่อๆมาก็ไปตีเมืองอุดงมีชัย (เมืองหลวงเขมรสมัยหลัง) ตีเมืองพนมเปญ แต่เราจะไม่มีในประวัติศาสตร์ของ "เหรียญสองด้าน" เรามีแต่ "เสีย" กรุงศรีอยุทธยา "เสียดินแดน" แต่เราไม่บอกว่า "ได้" นครวัดนครธม "ได้" กรุงละแวก หรือ "ได้" กรุงพนมเปญ หรือแม้แต่เรื่องของการ "ได้ดินแดนเสียมราฐ-พระตะบอง" มาก่อนในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะ "เสียดินแดน" นั้น ไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่คือ "ปัญหาในประวัติศาสตร์ของไทย"
@ ตั้งแต่เราเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทยหรือเปล่า
ที่จริงก็มีมาก่อนเปลี่ยนชื่อ "สยาม" เป็น "ไทย" แต่ผมคิดว่า เมื่อเปลี่ยนสยามเป็นไทย ได้สร้างวาทกรรมใหม่ ที่ฝังอยู่ในหัวสมองคนไทยปัจจุบัน คือ คิดว่าลาวเป็น "ของ" ไทย ส่วนเขมร ก็เป็น "ของ" ไทย ทั้งๆที่ในความเป็นจริง "ลาวเป็นของลาว" มาก่อน และ "เขมรเป็นของเขมร" มาก่อน ดังนั้น วาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของไทย จึงมีแต่เรื่อง "เสียดินแดน" หลายครั้งต่อหลายครั้ง รวมแล้ว 15 ครั้ง แถมทำท่าจะ "เสีย" อีกในตอนนี้ ดังนั้น ไทยเราไม่มีประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ที่จะบอกว่าไทย "ได้" มาก่อน แล้ว "เสีย" ไป
ในสมัยที่ยังเป็นสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งระบอบการปกครองสมัยนั้น "ยอมรับ" ว่าต้อง "เสีย" และยอมรับที่จะต้องร่วมขีดเส้น "เขตแดน" หรือ "พรมแดน" ในอินโดจีน (ลาวและกัมพูชา) เพราะถ้าไม่ยอมรับก็ "เสียดินแดน" ทั้งประเทศ ที่เคยนึกฝันว่าอังกฤษของพระนางวิกตอเรีย หรือรัสเซียของพระเจ้าซาร์ จะมาช่วยนั้นก็เป็นแต่เพียง "ความฝัน" และเป็น "ตำนาน" ปลอบใจ (คนสมัยนี้ด้วยกันเอง" เสียมากกว่า)
แต่ต่อมาสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แล้ว สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ฝรั่งเศสตกต่ำจนกระทั่งถูกเยอรมนียึดครอง ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ และ "ไทยใหม่" หรือเมื่อกระทำการเปลี่ยน "สยาม" ให้เป็น "ไทย" ก็สร้างกระแสลัทธิ (เชื้อ) ชาตินิยม สร้างวาทกรรมใหม่ว่า ไทย "เสียดินแดน" ไทยสมัยสยาม เป็นลูกแกะ ถูกหมาป่าฝรั่งเศส กระทำ ไทยใหม่ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไป และนี่ก็เป็นที่มาของการเรียกร้องดินแดน "สองฝั่งโขงเป็นของเรา" หรือ "มณฑลบูรพา นี่ก็เป็นของเรา" (ตามคำขวัญของหลวงพิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ)
ปัญหาทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ สิ่งที่ไทยเราอ้าง มักจะเป็นการอ้างเพียงด้านเดียว ผมเรียกว่าเป็น "ประวัติศาสตร์บกพร่อง" และก็เป็น "ประวัติศาสตร์บาดแผล" ในเวลาเดียวกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอ้างเพียงแค่ "อนุสัญญากรุงโตเกียว 9 พฤษภาคม 2448" (สมัยนั้นเขียนว่า "โตกิโอ") เราก็จะได้ดินแดน "เสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-นครจัมปาศักดิ์-ลานช้าง" คืนมา เพิ่มมาอีก 4-5 จังหวัด แต่ถ้าดู ประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ก็จะเห็นว่ามี "อนุสัญญากรุงวอชิงตัน 17 พฤศจิกายน 2489 ที่ต้องคืนดินแดนที่ได้มานั้นไป
มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ "ลืม" หรือ "ไม่จำ" เกี่ยวกับเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร กล่าวคือในอนุสัญญาโตเกียว (โตกิโอ) ฉบับนั้น ไทยได้ปราสาทเขาพระวิหารมา พร้อมๆกับได้ปราสาทวัดพู (วัดภู) ในนครจัมปาศักดิ์ (ของลาว) มาด้วย อันว่าปราสาทวัดพูนี้ เป็นปราสาทขอม/เขมรที่เก่าแก่กว่า และเป็นแม่แบบของปราสาทเขาพระวิหาร คือ เป็นต้นแบบของปราสาทที่สร้างให้อยู่บนเขา วิธีการสร้าง การวางผัง เป็นแบบเดียวกันเลย ฉะนั้น ผังของปราสาทวัดพู ก็ถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพระวิหาร แล้วผังของปราสาทเขาพระวิหาร ก็จะถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพนมรุ้ง
กล่าวโดยย่อ วัดพูเป็นเสมือน "แม่" ของพระวิหาร และก็เป็นเสมือน "ยาย" ของพนมรุ้งนั่งเอง แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้สนใจ ที่จะพูดถึงความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวเนื่องกันของ ปราสาทวัดพู แต่ที่น่าสนใจก็คือ ประเทศลาวได้ยื่นเรื่องไปยูเนสโก จนกระทั่งทำให้ปราสาทวัดพูขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ก่อนหน้าปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาถึง 6 ปีด้วยซ้ำไป ทำให้ต่อมากัมพูชาก็ดำเนินการเสนอ จนทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2551
แต่ฝ่ายไทยเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ให้ขึ้นทะเบียนได้เป็น "มรดกโลก" กับเขาบ้าง
รวมความแล้ว ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เราอ้างแต่ประวัติศาสตร์ที่ได้ประโยชน์ เพื่อการสร้าง "วาทกรรม" ทางเกมส์การเมือง ของ "การเสียดินแดน" ขยายความไปอีกว่าเป็นการ "เสียค่าโง่" บ้างล่ะ ขยายความไปว่าเป็นการ "เสียรู้" เรื่องเหล่านี้ ฝังรากลึกมากในมโนคติของสังคมไทย ไม่ว่าจะในตำราเรียน ในกลุ่มนักการเมือง นักวิชาการ และนักสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พวกกระแสหลัก" ทั้งหลาย
ผมจึงเรียกกรณีนี้ว่าเป็น "หลุมดำ" หรือ เป็น black hole
กล่าวคือ ในจักรวาลนี้ของเรา มี "หลุมดำ" ที่จะดูดทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวใหญ่โต สะเก็ด หรืออุกาบาต จะหลุดเข้าไปหมด ออกมาไม่ได้ นี่เป็นความเป็นจริงในทางวิทยาศาสตร์ หรือดาราศาสตร์ แต่ก็สามารถนำมาอุปมาอุปไมยทางสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ หรือแม้กระทั่งไสยศาสตร์ด้วยก็ได้ คือ มี "หลุมดำ" สำหรับสังคมไทยของเรา หลุมดำ นี้มีต้นกำเนิดมาจาก "ลัทธิชาตินิยม" ที่ "รักชาติเกินพอเพียง" เราอ้างแต่ประเด็นที่ได้ประโยชน์ ทั้งๆที่ข้อมูลมันเยอะมาก หลากหลาย แต่นักการเมืองจะบอก จะพูดเฉพาะข้อมูลที่เขาได้ประโยชน์มากที่สุด ตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปประชุมที่ควิเบก คานาดา หรือ เซวีญา ที่สเปน หรือแม้แต่ล่าสุดที่บาซีเลีย ก็ใช้ข้อมูลที่คิดว่ารัฐบาลของตน พรรคของตนจะได้ประโยชน์เท่านั้น
และนี่ก็เป็นทั้ง "ความผิดพลาด" และเป็น "จุดอ่อน" ของไทยเรา ดังจะเห็นในกรณีขึ้นศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 ทีมทนายของรัฐบาลไทย ที่มี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เชื่อนักเชื่อหนากับเรื่องของ "สันปันน้ำ" จากสนธิสัญญา 1904 (2447) หาได้ให้ความสนใจต่อสนธิสัญญา 1907 (2449/50) อีกหนึ่งฉบับไม่ คือ ฉบับที่รัชกาลที่ 5 ทรงลงพระนามให้สัตยาบันเมื่อครั้งเสด็จ "ไกลบ้าน" ไปกรุงปารีส ฉบับหลังนี้แหละ ที่กล่าวคลุมถึงเรื่องของ "แผนที่" อีกด้วย
ศาลโลกเขาจึงไม่ฟังทนายฝ่ายเรา คะแนนเสียงจึงออกมา 9 ต่อ 3 เมื่อปี 2505 ที่เราแพ้คดีไป ความผิดพลาดและการหลงเชื่อเหล่านี้ นักการเมืองไทยปัจจุบัน ระดับ นายกฯ และ รมต. ก็ยังเชื่อและใช้ข้อมูลเช่นนี้อยู่ แม้จะเป็นข้อมูลที่เราเคยใช้ แล้วแพ้คดีมาแล้วก็ตาม นำมาตอกย้ำ พูดซ้ำ ให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป นำไปขยายเรื่อง ขยายความจากเรื่องของตัวปราสาท กลายเป็นเรื่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นเรื่องพื้นที่ทางทะเล เรื่องมันถูกขยายไปเรื่อยๆ ตามเกมส์ของการเมือง ฉะนั้น ประเด็นนี้ ไม่จบง่ายๆ ขอให้คอยดูปีหน้า ที่กรรมการมรดกโลกของยูเนสโก จะไปประชุมที่บาห์เรน
ผมคิดว่าในทางสังคมศาสตร์และไสยศาสตร์ ก็มี "หลุมดำ" ครับ เรื่องของ "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" เป็น "หลุมดำ" ที่กำลังดูดคนไทย และชาติไทยลึกลงไปทุกทีๆ
@ ต้องอยู่ใน "หลุมดำ" ต่อไป
สิ่งที่ผมวิตกคือ จะขึ้นจาก "หลุมดำ" ไม่ได้ มันยากที่ต้องเปลี่ยนตรง "ความคิด" นี่เป็นเรื่องเกมส์การเมือง ถ้าการเมืองไม่ดี ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ จำเนื้อร้องเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งได้ไหม ที่ว่า "ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี"
@ ทำอย่างไรจะสามารถตกลงกันเรื่องเขตแดนได้
ตกลงกันได้ ถ้าหากผู้นำกับผู้นำ นายกฯ กับนายกฯ เป็นมิตรกัน อย่างจีนกับเวียดนาม รบกันมา 2 พันปี แต่พื้นที่บริเวณที่เป็นเวียดนามเหนือกับจีนประมาณพันกว่ากิโลเมตร ตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว ขีดเส้นปักหลักเขตแดนกันหมดเลย แล้วทั้ง 2 ชาติ ก็ออกมาแสดงความยินดีด้วยกัน เป็น เจบีซี (Joint Boundary Commission) ระหว่างจีนกับเวียดนาม แปลว่าตกลงกันได้ กรณีดินแดนไม่ว่าจะ 1 ตารางนิ้ว หรือ 1 ตารางเมตรอะไรก็ตาม มันตกลงกันได้
แต่ข้อสำคัญ คือ รัฐบาลกับรัฐบาล ต้องเป็นมิตรกัน เพราะคนที่ทะเลาะกัน มันเป็นคนเมืองหลวงนะ คนเมืองหลวงกับคนเมืองหลวงจะทะเลาะกัน ชนชั้นนำกรุงเทพฯ จะทะเลาะกับชนชั้นนำพนมเปญ ปักกิ่งทะเลาะกับฮานอย อะไรแบบนี้ แต่ชนชั้นล่าง คนที่อยู่ศรีสะเกษ กับจังหวัดพระวิหาร ไม่ทะเลาะกันหรอก เขาเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำไป ข้ามชายแดน-เขตแดนกันไปมา ทำมาหากินกันด้วยกัน เพราะฉะนั้น ประเด็นเรื่องเขตแดน จะแก้ได้ต้องมีรัฐบาลที่เป็นมิตรกัน จะแก้ได้ต้องคนชั้นบน คนที่ปกครองบ้านเมืองระดับนายกฯ หรือ รมต. นั่นแหละ หาใช่คนระดับล่าง หรือรากหญ้าไม่
ปัญหาอยู่ที่เมืองกรุง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชนบท ครับ
แม้แต่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเจ้าภาพประชุมมรดกโลกปีนี้ ก็เคยทะเลาะกับอาเจนตินา เรื่องน้ำตกที่อยู่ตรงเขตแดน มีปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วเคยทะเลาะกันมา แต่ด่าทอตีกันไปสักพักหนึ่งก็รู้ว่าไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่ดีกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันและเรียกทูตกลับ ก็ไม่มีทางดีกัน มันต้องตั้งทูตกลับไปคุยกัน ครับ
ตัวอย่างของการทะเลาะ แต่เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรของกรณีน้ำตกและปาร์คที่เรียกว่า "อีเกาซู" Igaucu National Park นี้ น่านำมาเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของไทยและกัมพูชาอย่างยิ่ง
@ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเอกสารหลักฐาน แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เต็มใจใช้ร่วมกัน
เอกสารหลักฐาน เอามาใช้เมื่ออยากทะเลาะหรือเป็นคดีความกัน แต่เอกสารหลักฐานจะโยนทิ้งไปก็ได้ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลเสียใหม่ก็ได้ ถ้าเผื่อ "ซี้" กัน อยาก make love not war ก็มองข้ามไปได้ คิดว่าพื้นที่ตรงนี้ ที่ว่า "ทับซ้อน" "เสียอีกหนึ่งตารางนิ้ว" ก็ ไม่ได้นั้น เอามาทำมาหากินด้วยกันก็ได้ว่ะ (หัวเราะ)
@ การใช้เวลาพูดเรื่องเอกสารหลักฐาน
ถ้าต้องการเอาชนะ มันก็อ้างนะครับ เอกสารหลักฐานแผนที่ ตอนนี้เขมรบอกว่าต้องใช้แผนที่ปี 1908 (2451) ที่เรียกว่า Dongrek หรือ "ดงรัก" แต่ไทยเรามักจะเรียกกันว่า "แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน" หรือเรียกว่า "แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำแต่ฝ่ายเดียว" และเราไม่ต้องการใช้ เราไม่รับแผนที่นี้ เราจะเอาสันปันน้ำ ส่วนทางเขมร เขายืนยันว่าแผนที่นี้ ฝรั่งเศสไม่ได้ทำฝ่ายเดียว แต่ทำกับสยาม และรัฐบาลสยามรับรู้ แถมยังเอามาใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และสมเด็จกรมเทววงศ์ ใช้มาเป็นเวลานานมาก
แม้กระทั่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ สมัยเป็นอภิรัฐมนตรีของรัชกาลที่ 7 ก็เคยขออนุญาตฝรั่งเศสก่อนขึ้นไปชมปราสาทพระวิหาร ถ่ายรูปกันเยอะแยะเป็นชุด ตั้งแต่ก่อนขึ้น และขึ้นไปค้าง 1 คืน แล้วเสด็จลงโดยนั่งคานหามลงมา ก็เป็นหลักฐานซึ่งกัมพูชา เอามาใช้และชนะคดี แต่ทนายไทยเราบอกว่าไม่รับแผนที่อันนั้น ตั้งแต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จนถึงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า ไม่รับแผนที่ เราถือสันปันน้ำ ปัญหาก็คือ สันปันน้ำนั้นเป็นสันปันน้ำตามแผนที่ฉบับไหน
ในตอนหลังไทยเรามีแผนที่อีกฉบับ ที่มักจะเรียกกันว่า L7017 (ซึ่งเริ่มทำด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2474 สมัยรัชกาลที่ 7) กับแผนที่ล่าสุด คือ L7018 ซึ่งทำด้วยเทคนิควิชาการแผนที่ของอเมริกัน แทนอันเก่าที่เป็นเทคนิคของฝรั่งเศส ถ้าถือตามนี้ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรก็ต้องอยู่ในเขตแดนของไทย ฉะนั้น สรุปได้ว่าอ้างแผนที่คนละฉบับ ถือกันคนละฉบับ เมื่อตกลงกันไม่ได้ จะทำอย่างไร จะเจรจากัน หรือจะกลับไปขึ้นศาลโลกใหม่ หรือจะบานปลายไปจนเป็นการสู้รบ กลายเป็นสงคราม นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าทั้ง "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" ได้กลายเป็น "วิกฤต" ไปแล้ว
จะตกลงกันได้ยังไง 2 ประเทศต้องเจรจากัน ถ้าเจรจาแบบทวิภาคี คือ 2 ประเทศไม่ได้ ก็ต้องเกิดพหุภาคี หรือหลายๆประเทศ ตอนนี้ สมเด็จฮุนเซน เดินหน้า "เกมส์การทูตและเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ" เลยหน้าสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องการคือ "ทวิภาคี" ไปแล้ว กัมพูชาได้ยื่นเรื่องไปยังสหประชาชาติ และไปยังเวียดนามในฐานะประธานอาเซียนปีนี้แล้ว (ร้อนถึง ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณที่เป็นทั้งเลขาธิการอาเซียน และเป็นอดีต รมต. กต. ของรัฐบาลชวน หลีกภัย สมัย MOU 2000 ต้องวิ่งไปเจรจากับผู้นำรัฐบาลพนมเปญ)
ถ้าไทยเรายกเลิก เอ็มโอยู 2543 (MOU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร กับนายฮอร์นัมฮง ซึ่งเป็นข้อตกลงแบบทวิภาคีกว้างๆ ที่จะทำการปักปัน "เขตแดน" ทางบกกัน ถ้ายกเลิกตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ และประชาชน (ภาคเหยี่ยว) เรื่องก็คงบานปลายไป อาจจะต้องไปสู่พหุภาคี มีอาเซียนเข้ามา มีประเทศที่สามเข้ามา (อาจเป็นเวียดนามหรืออินโดนีเซีย) มีสหประชาชาติเข้ามา อาจมีบราซิลเข้ามา หรือสถานการณ์อาจไปไกลถึงขนาดสู้รบเป็นสงครามกัน
สรุปแล้ว แปลว่ารัฐบาลไทยเอง นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน (หรือพรรคฝ่ายเฝ้ารอดู) ประชาชน (ฝ่ายเหยี่ยว ฝ่ายพิราบ ฝ่ายเฝ้าดู ฯลฯ) ต้องถามตัวเองว่า "เราจะทำอย่างไรกัน" what is to be done ?
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ของพรรคฯ ของกลุ่มฯ หรือของประชามหาชน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนอกเมืองกรุง) ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ชาติ" อย่างแท้จริง
***************************************************************************
เอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่? ทางออกคืออะไร?
ประเด็น"ปราสาทพระวิหาร"มีข้อถกเถียงในหลายระดับ
นับตั้งแต่"ข้อเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดี" เพื่อที่จะเอาตัวปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทย
เหตุการณ์แนวรบเลยเถิดไปถึงต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนฝั่งแม่น้ำโขง
และประเด็นที่ถูกขยายความไปไกลกว่านั้นคือข้อสงสัยว่า การปักปันเขตแดนทางบกจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจเอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่?
การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์ และ"ทางออก" คืออะไร ?
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มีคำอธิบายทั้งเชิงการเมืองและเชิงประวัติศาสตร์ นับจากบรรทัดนี้ถัดไป...
@ ปัญหาปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องเอกสารแผนที่ หรือเรื่องอะไรกันแน่
ปัญหาอยู่ที่ "เกมส์การเมือง" ผมคิดว่ากรณีปราสาทเขาพระวิหาร น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2505 (1962) เมื่อศาลโลกมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แล้วต่อมาเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2551 (2008) ที่ที่ประชุมยูเนสโก มีมติเอกฉันท์ 21 ประเทศ (ไม่มีการลงคะแนนโหวดอย่างในกรณีของศาลโลก) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่เหตุที่เรื่องนี้ปะทุมาอีก เป็นระยะๆ เพราะมีการทำให้เป็นประเด็นทาง "เกมส์การเมือง" เพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม หรือเพื่อเก็บคะแนนเสียงไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่ใช่ประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศตรงๆ และก็ไม่ใช่ประเด็นเรื่องมรดกโลกตรงๆ
@ การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์
ในด้านหนึ่ง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เป็นเกมส์การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาลกัมพูชาอย่างมากๆ เป็น "วาระแห่งชาติ" ของเขา คือในขณะที่ประเด็นทางเกมส์การเมืองของไทย สร้างความแตกแยกในประเทศไทย แต่ในทางตรงข้าม ประเด็นเกมส์การเมืองในกัมพูชา สร้างความสมานสามัคคีให้ชนชาติเขมรอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย นับตั้งแต่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ได้เอกราชมา นับตั้งแต่มีสงครามในเขมร แตกแยกเป็น 4 ฝ่าย แต่ในปัจจุบันเรื่องปราสาทพระวิหาร สร้างความเป็นเอกภาพ สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลของสมเด็จฮุนเซนอย่างมาก ไม่เคยมีครั้งใดที่รัฐบาล จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น และไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลผสม เป็นครั้งแรก เพราะกรณีปราสาทเขาพระวิหาร
ขณะที่เกมส์การเมืองลัทธิชาตินิยมของไทย หากกล่าวโดยย่อ เป็นประเด็นทางเกมส์การเมืองภายในประเทศ ที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับทุกรัฐบาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อๆ ไป ไม่ว่าเสื้อ "สี" ไหนจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นประเด็นบั่นทอน เป็นหนามยอกอก ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวไทยไปอีกหลายปี กลายเป็น "วิกฤตแห่งชาติ" ถ้าหากไม่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่หาทางออกใหม่ๆ
@ ทางออกคืออะไร
"ทางออก" ไม่น่าจะยาก ถ้าเปลี่ยนวิธีคิดได้ แต่มันยากตอน "เปลี่ยนวิธีคิด" ซึ่งทางออกที่บอกว่าไม่ยากนั้น เพราะหลายๆ ชาติ ก็ทำกัน เช่น บราซิลกับอาเจนตินา ที่มีพรมแดนติดกัน มีน้ำตกมหึมา (บางคนว่ายิ่งใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาด้วยซ้ำไป) ที่เคยเป็นข้อพิพาทเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก Igaucu National Park ก็ตกลงใช้ประโยชน์จากเรื่องน้ำตกแห่งนี้ ทางจีนกับรัสเซียเอง ก็สามารถตกลงเขตแดนทางบกกันได้ และบริเวณชายแดน ไทยกับมาเลเซีย จากเดิมที่เคยมีปัญหาว่าเขตแดนทางทะเล แบ่งเอาตรงไหนแน่ แต่ในที่สุดรัฐบาลไทย และมาเลเซีย ก็สามารถตกลงว่า เรื่องนี้ไม่ต้องทะเลาะกันดีกว่า เรื่องนี้เก็บไว้อีก 50 ปีข้างหน้า ค่อยมาคุยกัน อาจจะเป็นรุ่นหลานหรือเหลน ซึ่งมีสติปัญญามากกว่าเรา มาตกลงกันในอนาคต แต่ตอนนี้ไทยกับมาเลเซียมาร่วมกัน ขุดเอาแก๊สธรรมชาติมาใช้เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศชาติจะดีกว่า
@ หาประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องปักปันเขตแดน
ใช่ แชร์ผลประโยชน์กันก่อน แชร์ผลประโยชน์กันดีกว่า แล้วเอาไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งคงจะไม่ "งี่เง่า" เหมือนคนรุ่นเราๆท่านๆ ลูกหลานคงต้องฉลาดกว่า ไปตกลงกันได้ เรื่องนี้ทะเลาะกันไปทำไม เหมือนคนในยุโรปรุ่นก่อนๆ ก็เคย "งี่เง่า" ฆ่ากัน ระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แต่คนรุ่นนี้บอกว่าเป็น "ยูโร" ดีกว่า เป็น "ประชาคมยุโรป" ใช้เงิน "ยูโร" ด้วยกัน ไม่ต้องมีวีซ่า เผลอๆ พาสปอร์ต ก็ไม่ต้องมีก็ได้ เราๆท่านๆ หรืออาจจะต้องรอจนรุ่นลูกหลานเรา เป็น "อาเซียน" มีเงิน "อาเซียน" เป็นประชาคมอาเซียน" Asean Community ได้หรือไม่ หรือคน "เอเชีย" ยังมี "วุฒิภาวะ" ไปไม่ถึง
@ ถ้าไม่จริงจังเรื่องเขตแดน จะสูญเสียอัตลักษณ์ และความเป็นชาติไทยหรือเปล่า
ความเป็น "ไทย" คืออะไรเล่า? ภาษาไทย ก็ยืมคำมาจาก เขมร จีน ฝรั่ง เยอะแยะ แค่คำว่า "เดิน" กับ "ดำเนิน" ที่เราใช้กันทุกวี่ทุกวัน คำว่า "เจริญ" กับ "จำเริญ" ที่เราเปล่งถวายพระพร หรือคำว่า "ชาญ" กับ "ชำนาญ" คำต่างๆแบบนี้เป็นคำเขมร เราก็ยืมมาใช้หลายร้อยปีแล้ว ถ้าเป็นไทยแท้ๆ เราก็ "เดิน" ไม่ได้ ต้อง "ย่าง" หรือ "ก้าว" ฉะนั้น ความเป็นไทยอยู่ที่การต้องยอมรับ "ความหลากหลาย-แตกต่าง" ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมของความเป็นไทย อย่าง "โจงกระเบน" ที่คิดว่าเป็นไท้ไทย เอาเข้าจริงก็เป็นของเขมร "โจง" เป็นคำเขมร แปลว่า "ผูก" "กระเบน" ก็เป็นคำเขมร แปลว่าหาง ถ้าเป็นไทยแท้ ของไทย ต้องบอกว่า "นุ่งผูกหาง" สิ จึงจะถูกต้องตามภาษาดั้งเดิมของเรา ดังนั้น เราต้องยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลากที่ "ความเป็นไทย" หยิบยืมมา บางทีความเป็น "ไทย" นั้น ไปบีบให้เหลือพื้นที่เพียงนิดเดียว ถึงมีปัญหามากมาย
ถ้าเป็น "สยาม" ก็คิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าตั้งแต่เปลี่ยนนามประเทศอย่างเป็นทางการจาก "ไทย" เป็น "สยาม" จาก Siam เป็น Thailand (2482) นั้นสร้างลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับ "ชาติ" เกี่ยวกับ "ชาตินิยม" หรือ "เชื้อชาตินิยม" เป็นปัญหามากๆๆๆ "รักชาติเกินพอเพียง" ผมถึงได้เสนอว่า เผลอๆ อาจต้องเปลี่ยนชื่อ แบบเราๆท่านๆนี่แหละ ที่คิดว่าชื่อไม่เป็น "มงคล" ก็เลยไปหาพระหาเจ้า ให้เปลี่ยนให้ใหม่ อย่าง "ประเทือง" ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอะไรน่ะ ดังนั้น ถ้าเปลี่ยน "ไทย" เป็น "สยาม" ได้ เปลี่ยน Thailand เป็น Siam เปลี่ยนธงชาติ ให้เป็นแบบธงทหารเรือ คือ มีทั้งไตรรงค์ มีน้ำเงิน ขาว แดง และแถมยังมี "ช้างเผือก" อยู่ตรงกลางด้วย อาจแก้ปัญหาได้ ปฏิรูป ปรองดอง สมานฉันท์ เกี้ยเซี้ยะ และรักสามัคคีกันได้
@ เปลี่ยนภาษา จะสามารถเปลี่ยนความคิดได้ยังไง
ภาษาก็เป็นตัวกำหนดความคิด ไวยกรณ์ก็กำหนดความคิด สถานที่ ก็กำหนดความคิด ถ้าคุณเรียนที่ท่าพระจันทร์กับเรียนที่รังสิต คุณคิดว่า คุณมีความคิดเหมือนกันไหม ผมว่ามันจะเปลี่ยนวิธีคิดหมดเลย คือเวลาคนที่เขาคิดว่า "ชื่อ" ไม่สำคัญ ชื่ออะไร แม้ไม่ใช่ "กุหลาบ" ก็หอม แล้วทำไม ไม่เปลี่ยนชื่อให้เป็น "ดอกเงิน" เล่า ทำไม คนที่คิดว่าชื่อของตนไม่ถูกโฉลก ไม่เป็นศิริมงคล ทำไมเขาและเธอถึงไปเปลี่ยนกันเล่า แน่นอน การเปลี่ยนชื่อไม่ได้หมายถึงการที่จะแก้ปัญหาได้หมด ได้ทันที แต่นี่เป็นก้าวแรกของการ "คิดใหม่" หรือ "ทำใหม่" ครับ
@ ภาษาการเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร (Phra Viharn) หรือ เปรี๊ยะวิเฮียร์ (Preah Vihear) ยังเป็นเรื่องติดค้างระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้
เรื่องนี้ซับซ้อนมาก ต้องแยกให้ดีว่า เป็นเรื่องของภาษาพูดหรือภาษาเขียน แล้วก็ต้องแยกให้ดีว่าเป็นภาษาไทย หรือ ภาษาเขมร หรือภาษาอังกฤษ ใช่ เพราะเรายืนยันว่าเป็นของเรา จึงบอกให้เขียนภาษาอังกฤษ แบบที่เราออกเสียง คือ Phra Viharn แต่ความจริงตัวเขียนเดิม ที่เขียนทั้งในภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส ก็เขียนว่า Preah Vihear มาร้อยกว่าปีแล้ว มาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสกับรัชกาลที่ 5 มาจนกระทั่งครั้งขึ้นคดีศาลโลกสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ใช้กันมาเช่นนี้ ตอนนี้ไปเถียงกับเขาให้ชาวโลกดูว่าต้องเป็น Phra Viharn ก็ดูจะตลกๆ และ "คิคุ" ไปหน่อย ส่วนภาษาพูด หรือการออกเสียง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ เราออกเสียงด้วยลิ้นไทย เราออกเสียง ร.เรือ ที่ปิดท้ายคำ เป็น น.หนู จึงเป็น "หาน" (แม้จะเขียนว่า "หาร" ก็ตาม เราไม่ได้ออกเสียว่าเป็น "เฮียร์" แบบเขมร ปัญหานี้เป็นเรื่องลิ้นใครลิ้นมัน ดังนั้น ตอนนี้จะมาบอกว่าให้สะกดตามแบบลิ้นไทย ทั้งๆ ที่ยอมรับให้เขียนกันมาอย่างนี้ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ (มท) กับสมเด็๗กรมพระยาเทววงศ์ (กต) ก็รับตัวเขียน Preah Vihear มาใช้นมนานแล้วอย่างที่กล่าวข้างต้น รับมาจนถึงตอน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไปเป็นทนายขึ้นศาลโลกให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วตอนนี้จะมาเปลี่ยน มันก็ดูยังไงๆ ชอบกล
@ ความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์ปราสาทพระวิหาร ร่วมกันระว่างไทย-กัมพูชา
ต้องทำให้ผู้นำรัฐบาล หรือนายกฯ ทั้งสองชาติ เป็นมิตรกันก่อน แต่ตอนนี้ผู้นำ อยากจะ make war มากกว่า make love และและก็เป็นการ make war เพื่อผลประโยชน์บางอย่างทางเกมส์การเมืองของ "พรรค" หรือของ "กลุ่มชน" ที่เคลื่อนไหวแล้วอ้างว่าเป็น "ภาคประชาชน" ทั้งๆที่การ make love น่าจะได้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ และต่อประชาชนโดยรวมมากกว่า แต่ผมว่า อันนี้คือประเด็นทาง "การเมือง" อย่างไรเล่า เรากำลังดู "ละครการเมือง" ฉากใหญ่มาก ต้องตั้งใจดูให้ดี (แม้จะไม่อยากดูก็ตาม เพราะเป็น "ไฟล๊ทบังคับ") แล้วคอย "จับผิด" ตัวแสดงให้ได้
@ การเมือง แปลว่าเราไม่ต้องพูดความจริงหรือ
แน่นอน คุณคิดว่า "นักการเมือง" พูดความจริงหรือ "นักการเมือง คือ คนที่พูดความไม่จริง ให้ดูเหมือนจริง ดูน่าเชื่อถือเป็นบ้าเลย" (หัวเราะ) และบางที ถึงขนาดว่านักการเมืองต้องพูดความเท็จ ให้ดูเหมือนจริง เนียน หรือให้มันกำกวม ต้องให้ตีความแล้วเป็นประโยชน์ต่อเขา
@ ทำไมประเทศไทย ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นการสร้างความเป็นเอกภาพภายในประเทศ เช่นเดียวกับกัมพูชา
เพราะกรณีปราสาทพระวิหาร ถูกทำให้เป็น "เกมส์การเมืองภายใน" ของไทยอย่างมาก ถูกใช้โดยรัฐบาลหลายรัฐบาล โดยจะนำขึ้นมาหรือไม่นำขึ้นมา เพื่อพิชิตฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลไทยหลายรัฐบาลใช้มาตลอด รัฐบาลจะปลุกกระแสความรักชาติ ชาตินิยม การเสียดินแดน รัฐบาลปลุกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพิบูลสงคราม เมื่อ 70 ปีที่แล้ว รัฐบาลสฤษดิ์ เกือบ 50 ปี มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายพันธมิตร หรือเสื้อเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองปัจจุบัน ต่างก็ใช้กรณีนี้สร้างความนิยมให้ตัวเอง สร้างแต้ม และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียแต้ม หรือถูกโค่นล้มด้วยซ้ำไป
@ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ใช้เรื่องปราสาทพระวิหารอีกแบบหนึ่ง
ในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช (2551) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (2331-34) ที่ได้ "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นตลาดการค้า" และเอาเข้าจริงรัฐบาลเกือบทุกรัฐบาลหลังจากนั้น ก็เดินตามเกมนี้ของ พล.อ.ชาติชาย ทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ยังได้ลงนาม เอ็มโอยู 2543 (MoU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร (รมช.กต.) กับ ฮอร์นัมฮง และหลังจากนั้นรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ก็เดินเกมส์นั้นต่อมา โดยยังให้การสนับสนุน (หรือย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน) กัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่การประชุมที่เมืองไครส์เชิรส ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อปี 2550 (2007) แม้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จะไม่ได้ส่ง รมว.ต่างประเทศ (คือนิตย์ พิบูลสงคราม ด้วยเหตุผลที่ไม่แจ้งชัดนัก อาจเป็นเพราะว่านามสกุล ซึ่งเคยถูกใช้เป็นชื่อว่าจังหวัดพิบูลสงคราม แทนจังหวัดเสียมราฐ ที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามไปยึดได้และปกครองเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2484-2488) ไปเจรจาที่นิวซีแลนด์ก็จริง แต่ตัวแทนของรัฐบาลในขณะนั้นคือ อดีตทูต มนัสพาสน์ ชูโต ก็ให้ความเห็นชอบ (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน จะด้วยเหตุผลของ "สี" เสื้อ หรือรัฐบาลก็ตาม)
ในตอนนั้น กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ยังไม่ถูกปลุกระดมขึ้นมา ในการประชุมที่นิวซีแลนด์ ในปี 2550 แต่จะถูกปลุกในปี 2551 เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเป็น สมัคร สุนทรเวช และ รมต. กต. คือ นพดล ปัทมะ ผมเข้าใจว่า ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนิตย์ พิบูลสงคราม เป็น รมต. กต. อยู่ในปี 2551 ประเด็นนี้ ก็อาจจะไม่ถูกปลุกก็ได้ ไม่แน่นะครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ใครเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นเกมส์การเมืองของเสื้อ "สี" อะไร
@ ความทรงจำประวัติศาสตร์ กับประเทศเพื่อนบ้าน
ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่สมัยสมบูรณายาสิทธิราช จนถึงการ "ปฏิวัติ" เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ตำราเรียนก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เพราะยังทำให้กัมพูชาเป็น "ผู้ร้าย" ในประวัติศาสตร์อยู่เรื่อยไป แต่เป็นผู้ร้ายแบบ "ตัวเล็กๆ" จะข่มขู่เคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ได้ เป็นลูกไล่ ลูกกะโร่ แต่ใน ขณะที่พม่า ถูกทำหรือวาดภาพให้เป็น "ผู้ร้ายตัวใหญ่" พม่ายกทัพมาทีไร ก็ตีหรือเผากรุงศรีอยุทธยาได้ ส่วนเขมรมาทีไร ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ต้องถอยกลับไป และไทยเราต้องไป "เอาคืน" อย่างในกรณีของ "พระยาละแวก" คือมีแต่ประวัติศาสตร์ที่มอง "ด้านเดียว" ว่าไทยเราถูก "กระทำ" อย่างหนักโดยพม่า ในเวลาเดียวกัน เขมรก็เข้ามาซ้ำเติม "กระทำ" อย่างเบา
ในประวัติศาสตร์ไทยเรา ก็ไม่มี "ความทรงจำ" ไม่ได้เขียนว่ากษัตริย์ไทยเรา สมัยพระเจ้าสามพระยาของกรุงศรีอยุธยา ก็เป็นฝ่ายกระทำ ที่ไปตีนครวัด นครธม หรือ "กรุงศรียโสธรปุระ" ของกัมพูชาจนแตก กลายเป็นเมืองร้างไปจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ กษัตริย์ ไทยเราสมัยพระนเรศวร ก็ไปตีเมืองละแวกจนแตก ทำให้เมืองละแวกกลายเป็นเมืองร้าง สมัยต่อๆมาก็ไปตีเมืองอุดงมีชัย (เมืองหลวงเขมรสมัยหลัง) ตีเมืองพนมเปญ แต่เราจะไม่มีในประวัติศาสตร์ของ "เหรียญสองด้าน" เรามีแต่ "เสีย" กรุงศรีอยุทธยา "เสียดินแดน" แต่เราไม่บอกว่า "ได้" นครวัดนครธม "ได้" กรุงละแวก หรือ "ได้" กรุงพนมเปญ หรือแม้แต่เรื่องของการ "ได้ดินแดนเสียมราฐ-พระตะบอง" มาก่อนในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะ "เสียดินแดน" นั้น ไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่คือ "ปัญหาในประวัติศาสตร์ของไทย"
@ ตั้งแต่เราเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทยหรือเปล่า
ที่จริงก็มีมาก่อนเปลี่ยนชื่อ "สยาม" เป็น "ไทย" แต่ผมคิดว่า เมื่อเปลี่ยนสยามเป็นไทย ได้สร้างวาทกรรมใหม่ ที่ฝังอยู่ในหัวสมองคนไทยปัจจุบัน คือ คิดว่าลาวเป็น "ของ" ไทย ส่วนเขมร ก็เป็น "ของ" ไทย ทั้งๆที่ในความเป็นจริง "ลาวเป็นของลาว" มาก่อน และ "เขมรเป็นของเขมร" มาก่อน ดังนั้น วาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของไทย จึงมีแต่เรื่อง "เสียดินแดน" หลายครั้งต่อหลายครั้ง รวมแล้ว 15 ครั้ง แถมทำท่าจะ "เสีย" อีกในตอนนี้ ดังนั้น ไทยเราไม่มีประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ที่จะบอกว่าไทย "ได้" มาก่อน แล้ว "เสีย" ไป
ในสมัยที่ยังเป็นสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งระบอบการปกครองสมัยนั้น "ยอมรับ" ว่าต้อง "เสีย" และยอมรับที่จะต้องร่วมขีดเส้น "เขตแดน" หรือ "พรมแดน" ในอินโดจีน (ลาวและกัมพูชา) เพราะถ้าไม่ยอมรับก็ "เสียดินแดน" ทั้งประเทศ ที่เคยนึกฝันว่าอังกฤษของพระนางวิกตอเรีย หรือรัสเซียของพระเจ้าซาร์ จะมาช่วยนั้นก็เป็นแต่เพียง "ความฝัน" และเป็น "ตำนาน" ปลอบใจ (คนสมัยนี้ด้วยกันเอง" เสียมากกว่า)
แต่ต่อมาสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แล้ว สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ฝรั่งเศสตกต่ำจนกระทั่งถูกเยอรมนียึดครอง ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ และ "ไทยใหม่" หรือเมื่อกระทำการเปลี่ยน "สยาม" ให้เป็น "ไทย" ก็สร้างกระแสลัทธิ (เชื้อ) ชาตินิยม สร้างวาทกรรมใหม่ว่า ไทย "เสียดินแดน" ไทยสมัยสยาม เป็นลูกแกะ ถูกหมาป่าฝรั่งเศส กระทำ ไทยใหม่ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไป และนี่ก็เป็นที่มาของการเรียกร้องดินแดน "สองฝั่งโขงเป็นของเรา" หรือ "มณฑลบูรพา นี่ก็เป็นของเรา" (ตามคำขวัญของหลวงพิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ)
ปัญหาทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ สิ่งที่ไทยเราอ้าง มักจะเป็นการอ้างเพียงด้านเดียว ผมเรียกว่าเป็น "ประวัติศาสตร์บกพร่อง" และก็เป็น "ประวัติศาสตร์บาดแผล" ในเวลาเดียวกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอ้างเพียงแค่ "อนุสัญญากรุงโตเกียว 9 พฤษภาคม 2448" (สมัยนั้นเขียนว่า "โตกิโอ") เราก็จะได้ดินแดน "เสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-นครจัมปาศักดิ์-ลานช้าง" คืนมา เพิ่มมาอีก 4-5 จังหวัด แต่ถ้าดู ประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ก็จะเห็นว่ามี "อนุสัญญากรุงวอชิงตัน 17 พฤศจิกายน 2489 ที่ต้องคืนดินแดนที่ได้มานั้นไป
มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ "ลืม" หรือ "ไม่จำ" เกี่ยวกับเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร กล่าวคือในอนุสัญญาโตเกียว (โตกิโอ) ฉบับนั้น ไทยได้ปราสาทเขาพระวิหารมา พร้อมๆกับได้ปราสาทวัดพู (วัดภู) ในนครจัมปาศักดิ์ (ของลาว) มาด้วย อันว่าปราสาทวัดพูนี้ เป็นปราสาทขอม/เขมรที่เก่าแก่กว่า และเป็นแม่แบบของปราสาทเขาพระวิหาร คือ เป็นต้นแบบของปราสาทที่สร้างให้อยู่บนเขา วิธีการสร้าง การวางผัง เป็นแบบเดียวกันเลย ฉะนั้น ผังของปราสาทวัดพู ก็ถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพระวิหาร แล้วผังของปราสาทเขาพระวิหาร ก็จะถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพนมรุ้ง
กล่าวโดยย่อ วัดพูเป็นเสมือน "แม่" ของพระวิหาร และก็เป็นเสมือน "ยาย" ของพนมรุ้งนั่งเอง แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้สนใจ ที่จะพูดถึงความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวเนื่องกันของ ปราสาทวัดพู แต่ที่น่าสนใจก็คือ ประเทศลาวได้ยื่นเรื่องไปยูเนสโก จนกระทั่งทำให้ปราสาทวัดพูขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ก่อนหน้าปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาถึง 6 ปีด้วยซ้ำไป ทำให้ต่อมากัมพูชาก็ดำเนินการเสนอ จนทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2551
แต่ฝ่ายไทยเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ให้ขึ้นทะเบียนได้เป็น "มรดกโลก" กับเขาบ้าง
รวมความแล้ว ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เราอ้างแต่ประวัติศาสตร์ที่ได้ประโยชน์ เพื่อการสร้าง "วาทกรรม" ทางเกมส์การเมือง ของ "การเสียดินแดน" ขยายความไปอีกว่าเป็นการ "เสียค่าโง่" บ้างล่ะ ขยายความไปว่าเป็นการ "เสียรู้" เรื่องเหล่านี้ ฝังรากลึกมากในมโนคติของสังคมไทย ไม่ว่าจะในตำราเรียน ในกลุ่มนักการเมือง นักวิชาการ และนักสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พวกกระแสหลัก" ทั้งหลาย
ผมจึงเรียกกรณีนี้ว่าเป็น "หลุมดำ" หรือ เป็น black hole
กล่าวคือ ในจักรวาลนี้ของเรา มี "หลุมดำ" ที่จะดูดทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวใหญ่โต สะเก็ด หรืออุกาบาต จะหลุดเข้าไปหมด ออกมาไม่ได้ นี่เป็นความเป็นจริงในทางวิทยาศาสตร์ หรือดาราศาสตร์ แต่ก็สามารถนำมาอุปมาอุปไมยทางสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ หรือแม้กระทั่งไสยศาสตร์ด้วยก็ได้ คือ มี "หลุมดำ" สำหรับสังคมไทยของเรา หลุมดำ นี้มีต้นกำเนิดมาจาก "ลัทธิชาตินิยม" ที่ "รักชาติเกินพอเพียง" เราอ้างแต่ประเด็นที่ได้ประโยชน์ ทั้งๆที่ข้อมูลมันเยอะมาก หลากหลาย แต่นักการเมืองจะบอก จะพูดเฉพาะข้อมูลที่เขาได้ประโยชน์มากที่สุด ตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปประชุมที่ควิเบก คานาดา หรือ เซวีญา ที่สเปน หรือแม้แต่ล่าสุดที่บาซีเลีย ก็ใช้ข้อมูลที่คิดว่ารัฐบาลของตน พรรคของตนจะได้ประโยชน์เท่านั้น
และนี่ก็เป็นทั้ง "ความผิดพลาด" และเป็น "จุดอ่อน" ของไทยเรา ดังจะเห็นในกรณีขึ้นศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 ทีมทนายของรัฐบาลไทย ที่มี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เชื่อนักเชื่อหนากับเรื่องของ "สันปันน้ำ" จากสนธิสัญญา 1904 (2447) หาได้ให้ความสนใจต่อสนธิสัญญา 1907 (2449/50) อีกหนึ่งฉบับไม่ คือ ฉบับที่รัชกาลที่ 5 ทรงลงพระนามให้สัตยาบันเมื่อครั้งเสด็จ "ไกลบ้าน" ไปกรุงปารีส ฉบับหลังนี้แหละ ที่กล่าวคลุมถึงเรื่องของ "แผนที่" อีกด้วย
ศาลโลกเขาจึงไม่ฟังทนายฝ่ายเรา คะแนนเสียงจึงออกมา 9 ต่อ 3 เมื่อปี 2505 ที่เราแพ้คดีไป ความผิดพลาดและการหลงเชื่อเหล่านี้ นักการเมืองไทยปัจจุบัน ระดับ นายกฯ และ รมต. ก็ยังเชื่อและใช้ข้อมูลเช่นนี้อยู่ แม้จะเป็นข้อมูลที่เราเคยใช้ แล้วแพ้คดีมาแล้วก็ตาม นำมาตอกย้ำ พูดซ้ำ ให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป นำไปขยายเรื่อง ขยายความจากเรื่องของตัวปราสาท กลายเป็นเรื่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นเรื่องพื้นที่ทางทะเล เรื่องมันถูกขยายไปเรื่อยๆ ตามเกมส์ของการเมือง ฉะนั้น ประเด็นนี้ ไม่จบง่ายๆ ขอให้คอยดูปีหน้า ที่กรรมการมรดกโลกของยูเนสโก จะไปประชุมที่บาห์เรน
ผมคิดว่าในทางสังคมศาสตร์และไสยศาสตร์ ก็มี "หลุมดำ" ครับ เรื่องของ "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" เป็น "หลุมดำ" ที่กำลังดูดคนไทย และชาติไทยลึกลงไปทุกทีๆ
@ ต้องอยู่ใน "หลุมดำ" ต่อไป
สิ่งที่ผมวิตกคือ จะขึ้นจาก "หลุมดำ" ไม่ได้ มันยากที่ต้องเปลี่ยนตรง "ความคิด" นี่เป็นเรื่องเกมส์การเมือง ถ้าการเมืองไม่ดี ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ จำเนื้อร้องเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งได้ไหม ที่ว่า "ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี"
@ ทำอย่างไรจะสามารถตกลงกันเรื่องเขตแดนได้
ตกลงกันได้ ถ้าหากผู้นำกับผู้นำ นายกฯ กับนายกฯ เป็นมิตรกัน อย่างจีนกับเวียดนาม รบกันมา 2 พันปี แต่พื้นที่บริเวณที่เป็นเวียดนามเหนือกับจีนประมาณพันกว่ากิโลเมตร ตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว ขีดเส้นปักหลักเขตแดนกันหมดเลย แล้วทั้ง 2 ชาติ ก็ออกมาแสดงความยินดีด้วยกัน เป็น เจบีซี (Joint Boundary Commission) ระหว่างจีนกับเวียดนาม แปลว่าตกลงกันได้ กรณีดินแดนไม่ว่าจะ 1 ตารางนิ้ว หรือ 1 ตารางเมตรอะไรก็ตาม มันตกลงกันได้
แต่ข้อสำคัญ คือ รัฐบาลกับรัฐบาล ต้องเป็นมิตรกัน เพราะคนที่ทะเลาะกัน มันเป็นคนเมืองหลวงนะ คนเมืองหลวงกับคนเมืองหลวงจะทะเลาะกัน ชนชั้นนำกรุงเทพฯ จะทะเลาะกับชนชั้นนำพนมเปญ ปักกิ่งทะเลาะกับฮานอย อะไรแบบนี้ แต่ชนชั้นล่าง คนที่อยู่ศรีสะเกษ กับจังหวัดพระวิหาร ไม่ทะเลาะกันหรอก เขาเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำไป ข้ามชายแดน-เขตแดนกันไปมา ทำมาหากินกันด้วยกัน เพราะฉะนั้น ประเด็นเรื่องเขตแดน จะแก้ได้ต้องมีรัฐบาลที่เป็นมิตรกัน จะแก้ได้ต้องคนชั้นบน คนที่ปกครองบ้านเมืองระดับนายกฯ หรือ รมต. นั่นแหละ หาใช่คนระดับล่าง หรือรากหญ้าไม่
ปัญหาอยู่ที่เมืองกรุง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชนบท ครับ
แม้แต่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเจ้าภาพประชุมมรดกโลกปีนี้ ก็เคยทะเลาะกับอาเจนตินา เรื่องน้ำตกที่อยู่ตรงเขตแดน มีปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วเคยทะเลาะกันมา แต่ด่าทอตีกันไปสักพักหนึ่งก็รู้ว่าไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่ดีกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันและเรียกทูตกลับ ก็ไม่มีทางดีกัน มันต้องตั้งทูตกลับไปคุยกัน ครับ
ตัวอย่างของการทะเลาะ แต่เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรของกรณีน้ำตกและปาร์คที่เรียกว่า "อีเกาซู" Igaucu National Park นี้ น่านำมาเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของไทยและกัมพูชาอย่างยิ่ง
@ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเอกสารหลักฐาน แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เต็มใจใช้ร่วมกัน
เอกสารหลักฐาน เอามาใช้เมื่ออยากทะเลาะหรือเป็นคดีความกัน แต่เอกสารหลักฐานจะโยนทิ้งไปก็ได้ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลเสียใหม่ก็ได้ ถ้าเผื่อ "ซี้" กัน อยาก make love not war ก็มองข้ามไปได้ คิดว่าพื้นที่ตรงนี้ ที่ว่า "ทับซ้อน" "เสียอีกหนึ่งตารางนิ้ว" ก็ ไม่ได้นั้น เอามาทำมาหากินด้วยกันก็ได้ว่ะ (หัวเราะ)
@ การใช้เวลาพูดเรื่องเอกสารหลักฐาน
ถ้าต้องการเอาชนะ มันก็อ้างนะครับ เอกสารหลักฐานแผนที่ ตอนนี้เขมรบอกว่าต้องใช้แผนที่ปี 1908 (2451) ที่เรียกว่า Dongrek หรือ "ดงรัก" แต่ไทยเรามักจะเรียกกันว่า "แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน" หรือเรียกว่า "แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำแต่ฝ่ายเดียว" และเราไม่ต้องการใช้ เราไม่รับแผนที่นี้ เราจะเอาสันปันน้ำ ส่วนทางเขมร เขายืนยันว่าแผนที่นี้ ฝรั่งเศสไม่ได้ทำฝ่ายเดียว แต่ทำกับสยาม และรัฐบาลสยามรับรู้ แถมยังเอามาใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และสมเด็จกรมเทววงศ์ ใช้มาเป็นเวลานานมาก
แม้กระทั่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ สมัยเป็นอภิรัฐมนตรีของรัชกาลที่ 7 ก็เคยขออนุญาตฝรั่งเศสก่อนขึ้นไปชมปราสาทพระวิหาร ถ่ายรูปกันเยอะแยะเป็นชุด ตั้งแต่ก่อนขึ้น และขึ้นไปค้าง 1 คืน แล้วเสด็จลงโดยนั่งคานหามลงมา ก็เป็นหลักฐานซึ่งกัมพูชา เอามาใช้และชนะคดี แต่ทนายไทยเราบอกว่าไม่รับแผนที่อันนั้น ตั้งแต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จนถึงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า ไม่รับแผนที่ เราถือสันปันน้ำ ปัญหาก็คือ สันปันน้ำนั้นเป็นสันปันน้ำตามแผนที่ฉบับไหน
ในตอนหลังไทยเรามีแผนที่อีกฉบับ ที่มักจะเรียกกันว่า L7017 (ซึ่งเริ่มทำด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2474 สมัยรัชกาลที่ 7) กับแผนที่ล่าสุด คือ L7018 ซึ่งทำด้วยเทคนิควิชาการแผนที่ของอเมริกัน แทนอันเก่าที่เป็นเทคนิคของฝรั่งเศส ถ้าถือตามนี้ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรก็ต้องอยู่ในเขตแดนของไทย ฉะนั้น สรุปได้ว่าอ้างแผนที่คนละฉบับ ถือกันคนละฉบับ เมื่อตกลงกันไม่ได้ จะทำอย่างไร จะเจรจากัน หรือจะกลับไปขึ้นศาลโลกใหม่ หรือจะบานปลายไปจนเป็นการสู้รบ กลายเป็นสงคราม นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าทั้ง "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" ได้กลายเป็น "วิกฤต" ไปแล้ว
จะตกลงกันได้ยังไง 2 ประเทศต้องเจรจากัน ถ้าเจรจาแบบทวิภาคี คือ 2 ประเทศไม่ได้ ก็ต้องเกิดพหุภาคี หรือหลายๆประเทศ ตอนนี้ สมเด็จฮุนเซน เดินหน้า "เกมส์การทูตและเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ" เลยหน้าสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องการคือ "ทวิภาคี" ไปแล้ว กัมพูชาได้ยื่นเรื่องไปยังสหประชาชาติ และไปยังเวียดนามในฐานะประธานอาเซียนปีนี้แล้ว (ร้อนถึง ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณที่เป็นทั้งเลขาธิการอาเซียน และเป็นอดีต รมต. กต. ของรัฐบาลชวน หลีกภัย สมัย MOU 2000 ต้องวิ่งไปเจรจากับผู้นำรัฐบาลพนมเปญ)
ถ้าไทยเรายกเลิก เอ็มโอยู 2543 (MOU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร กับนายฮอร์นัมฮง ซึ่งเป็นข้อตกลงแบบทวิภาคีกว้างๆ ที่จะทำการปักปัน "เขตแดน" ทางบกกัน ถ้ายกเลิกตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ และประชาชน (ภาคเหยี่ยว) เรื่องก็คงบานปลายไป อาจจะต้องไปสู่พหุภาคี มีอาเซียนเข้ามา มีประเทศที่สามเข้ามา (อาจเป็นเวียดนามหรืออินโดนีเซีย) มีสหประชาชาติเข้ามา อาจมีบราซิลเข้ามา หรือสถานการณ์อาจไปไกลถึงขนาดสู้รบเป็นสงครามกัน
สรุปแล้ว แปลว่ารัฐบาลไทยเอง นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน (หรือพรรคฝ่ายเฝ้ารอดู) ประชาชน (ฝ่ายเหยี่ยว ฝ่ายพิราบ ฝ่ายเฝ้าดู ฯลฯ) ต้องถามตัวเองว่า "เราจะทำอย่างไรกัน" what is to be done ?
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ของพรรคฯ ของกลุ่มฯ หรือของประชามหาชน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนอกเมืองกรุง) ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ชาติ" อย่างแท้จริง
***************************************************************************
"ประมาณ อดิเรกสาร"ถึงแก่อนิจกรรม
คมชัดลึก :
พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย วัย 97 ปี ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคไตวายเรื้อรังและระบบหายใจล้มเหลว ที่ รพ.วิชัยยุทธ ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเบญจมบพิตร
ประเทศไทยต้องสูญเสียบุคคลสำคัญทางการเมืองไปอีก 1 คน หลังจากนายเดช บุญ-หลง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อนิจกรรมไปเพียง 1 วัน โดยเมื่อเวลา 17.24 น. วันที่ 20 สิงหาคม นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู รพ.วิชัยยุทธ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคชาติไทยคนแรก ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยภาวะติดเชื้อ มีภาวะไตวาย ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว เมื่อเวลา 17.00 น. ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประมาณ ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีภาวะโรคประจำตัวเรื้อรังหลายโรคด้วยกัน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้การรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ญาติจะได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร ในวันที่ 21 สิงหาคม
พล.ต.อ.ประมาณ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2456 รวมอายุ 96 ปี 8 เดือน ที่ จ.สระบุรี เป็นบุตรของนายเน้ย และนางจี้ อดิเรกสาร จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รับราชการเป็นนายทหารปืนใหญ่ กองทัพบก ลพบุรี ยศสูงสุดเป็นพลตรี ก่อนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็น พลตำรวจเอก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2531 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น
เคยเป็นสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา เมื่อ พ.ศ.2500 เป็นผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย เมื่อ พ.ศ.2518 ร่วมกับ พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2500, รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2518 และสมัย พ.ศ.2523-2526, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2519, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2531, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2533-2534 นอกจากนี้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะที่ชีวิตครอบครัวสมรสกับท่านผู้หญิงเจริญ อดิเรกสาร (ชุณหะวัณ) พี่สาว พล.อ.ชาติชาย มีบุตรชาย 3 คน
ว่าที่ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย หลานชาย พล.ต.อ.ประมาณ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ได้ไปเยี่ยมคุณปู่ (พล.ต.อ.ประมาณ) ที่โรงพยาบาล และคิดว่าอาการดีขึ้น แต่พอตกดึกทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า ชีพจรคุณปู่เต้นอ่อน และเสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม แม้ทางครอบครัวจะเสียใจแต่ก็เห็นว่าคุณปู่เสียชีวิตตามวัย สำหรับศพ จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร และรดน้ำศพในวันที่ 21 สิงหาคม เวลา 14.00 น.
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2553 นายเดช บุญ-หลง คนสนิทของพล.ต.อ.ประมาณ อดีตเหรัญญิกพรรคชาติไทย และผู้บริหารบริษัท ทีทีแอล กิจการทอผ้าของตระกูลอดิเรกสาร ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองอุดตัน รวมอายุ 80 ปี ขณะนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย วัย 97 ปี ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคไตวายเรื้อรังและระบบหายใจล้มเหลว ที่ รพ.วิชัยยุทธ ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเบญจมบพิตร
ประเทศไทยต้องสูญเสียบุคคลสำคัญทางการเมืองไปอีก 1 คน หลังจากนายเดช บุญ-หลง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อนิจกรรมไปเพียง 1 วัน โดยเมื่อเวลา 17.24 น. วันที่ 20 สิงหาคม นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู รพ.วิชัยยุทธ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคชาติไทยคนแรก ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยภาวะติดเชื้อ มีภาวะไตวาย ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว เมื่อเวลา 17.00 น. ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประมาณ ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีภาวะโรคประจำตัวเรื้อรังหลายโรคด้วยกัน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้การรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ญาติจะได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร ในวันที่ 21 สิงหาคม
พล.ต.อ.ประมาณ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2456 รวมอายุ 96 ปี 8 เดือน ที่ จ.สระบุรี เป็นบุตรของนายเน้ย และนางจี้ อดิเรกสาร จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รับราชการเป็นนายทหารปืนใหญ่ กองทัพบก ลพบุรี ยศสูงสุดเป็นพลตรี ก่อนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็น พลตำรวจเอก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2531 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น
เคยเป็นสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา เมื่อ พ.ศ.2500 เป็นผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย เมื่อ พ.ศ.2518 ร่วมกับ พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2500, รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2518 และสมัย พ.ศ.2523-2526, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2519, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2531, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2533-2534 นอกจากนี้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะที่ชีวิตครอบครัวสมรสกับท่านผู้หญิงเจริญ อดิเรกสาร (ชุณหะวัณ) พี่สาว พล.อ.ชาติชาย มีบุตรชาย 3 คน
ว่าที่ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย หลานชาย พล.ต.อ.ประมาณ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ได้ไปเยี่ยมคุณปู่ (พล.ต.อ.ประมาณ) ที่โรงพยาบาล และคิดว่าอาการดีขึ้น แต่พอตกดึกทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า ชีพจรคุณปู่เต้นอ่อน และเสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม แม้ทางครอบครัวจะเสียใจแต่ก็เห็นว่าคุณปู่เสียชีวิตตามวัย สำหรับศพ จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร และรดน้ำศพในวันที่ 21 สิงหาคม เวลา 14.00 น.
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2553 นายเดช บุญ-หลง คนสนิทของพล.ต.อ.ประมาณ อดีตเหรัญญิกพรรคชาติไทย และผู้บริหารบริษัท ทีทีแอล กิจการทอผ้าของตระกูลอดิเรกสาร ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองอุดตัน รวมอายุ 80 ปี ขณะนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สันหลังหวะ
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
สะท้อนภาพได้เด่นชัดอย่างยิ่ง เด่นชัดถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เล่นงานนักเรียน-นักศึกษาที่จ.เชียงราย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมาดๆ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับการขัดขวางมิให้นิสิตแสดงออกด้านการเมืองด้วยการชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่เดินทางไปร่วมเสวนางานคณะรัฐศาสตร์
รวมไปถึงการออกคำสั่งจากหน่วยงานด้านการศึกษาไปถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ให้จับตากิจกรรมและการแสดงละครการเมืองของนิสิต-นักศึกษา
แม้นายอภิสิทธิ์ รวมไปถึงรัฐบาลจักสามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เกี่ยวข้อง
เพราะที่เชียงรายเป็นดุลยพินิจของตำรวจ ที่ดำเนินคดีกับเด็กเพียง 5 คนที่ออกมาถือป้ายเงียบๆ อยู่ริมถนน
ในขณะที่ตำรวจนครบาลนิ่งเฉยอย่างยิ่งกับการรวมพลอย่างเอิกเกริกของพันธมิตรฯ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ส่วนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นดุลยพินิจของอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ในการขัดขวางมิให้นิสิตของตนแสดงออกทางการเมือง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิสิต-นักศึกษาในยามนี้ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติตามระบอบประชาธิปไตย
เพราะการถือป้ายประท้วง หรือการจัดกิจกรรมทางการเมือง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานรูปแบบหนึ่งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเท่านั้นดอก ถึงจะเป็นข้อยกเว้นมิให้พลังของนิสิต-นักศึกษา หรือประชาชนได้แสดงออกทางการเมือง
เราจึงไม่เห็นภาพข่าวการชูป้ายประท้วงหรือเรียกร้องหาความเป็นธรรมในประเทศพม่า หรือประเทศเผด็จการอื่นๆ
แต่เราจะเห็นข่าวกลุ่มคนยืนชูป้ายประท้วงอยู่เนืองๆ ในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
เพราะเหล่านี้คือการแสดงออกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ปกครองประเทศ หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้สำเหนียกว่าสังคมไม่พอใจในเรื่องใด หรือต้องการอะไร
แม้จะพยายามทำความเข้าใจว่าป้ายที่ชูขึ้นมาทั้งที่เชียงราย หรือที่ม.จุฬาฯ เป็นการถามหาความรับผิดชอบต่อการตายถึง 91 ศพของผู้ชุมนุมเสื้อแดง คงแสลงใจนายอภิสิทธิ์
แต่การขัดขวางหรือกำราบมิให้แสดงออก ก็ไม่ต่างจาก"วัวสันหลังหวะ"
ก็ในเมื่อระบบยุติธรรมทั้งดีเอสไอและอัยการต่างก็โยนบาปให้แกนนำนปช. ว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ชุมนุมไปแล้ว ไยต้องหวาดกลัวอีกเล่า
หรือรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ตายด้วยน้ำมือใคร
จึงไม่ต้องการให้มาสะกิดแผลที่เหวอะอยู่เต็มหลัง!??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ เหล็กใน
สะท้อนภาพได้เด่นชัดอย่างยิ่ง เด่นชัดถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เล่นงานนักเรียน-นักศึกษาที่จ.เชียงราย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมาดๆ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับการขัดขวางมิให้นิสิตแสดงออกด้านการเมืองด้วยการชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่เดินทางไปร่วมเสวนางานคณะรัฐศาสตร์
รวมไปถึงการออกคำสั่งจากหน่วยงานด้านการศึกษาไปถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ให้จับตากิจกรรมและการแสดงละครการเมืองของนิสิต-นักศึกษา
แม้นายอภิสิทธิ์ รวมไปถึงรัฐบาลจักสามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เกี่ยวข้อง
เพราะที่เชียงรายเป็นดุลยพินิจของตำรวจ ที่ดำเนินคดีกับเด็กเพียง 5 คนที่ออกมาถือป้ายเงียบๆ อยู่ริมถนน
ในขณะที่ตำรวจนครบาลนิ่งเฉยอย่างยิ่งกับการรวมพลอย่างเอิกเกริกของพันธมิตรฯ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ส่วนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นดุลยพินิจของอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ในการขัดขวางมิให้นิสิตของตนแสดงออกทางการเมือง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิสิต-นักศึกษาในยามนี้ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติตามระบอบประชาธิปไตย
เพราะการถือป้ายประท้วง หรือการจัดกิจกรรมทางการเมือง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานรูปแบบหนึ่งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเท่านั้นดอก ถึงจะเป็นข้อยกเว้นมิให้พลังของนิสิต-นักศึกษา หรือประชาชนได้แสดงออกทางการเมือง
เราจึงไม่เห็นภาพข่าวการชูป้ายประท้วงหรือเรียกร้องหาความเป็นธรรมในประเทศพม่า หรือประเทศเผด็จการอื่นๆ
แต่เราจะเห็นข่าวกลุ่มคนยืนชูป้ายประท้วงอยู่เนืองๆ ในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
เพราะเหล่านี้คือการแสดงออกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ปกครองประเทศ หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้สำเหนียกว่าสังคมไม่พอใจในเรื่องใด หรือต้องการอะไร
แม้จะพยายามทำความเข้าใจว่าป้ายที่ชูขึ้นมาทั้งที่เชียงราย หรือที่ม.จุฬาฯ เป็นการถามหาความรับผิดชอบต่อการตายถึง 91 ศพของผู้ชุมนุมเสื้อแดง คงแสลงใจนายอภิสิทธิ์
แต่การขัดขวางหรือกำราบมิให้แสดงออก ก็ไม่ต่างจาก"วัวสันหลังหวะ"
ก็ในเมื่อระบบยุติธรรมทั้งดีเอสไอและอัยการต่างก็โยนบาปให้แกนนำนปช. ว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ชุมนุมไปแล้ว ไยต้องหวาดกลัวอีกเล่า
หรือรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ตายด้วยน้ำมือใคร
จึงไม่ต้องการให้มาสะกิดแผลที่เหวอะอยู่เต็มหลัง!??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ตายฟรี! ต่างชาติไม่ยอม!!
บางกอกทูเดย์
ญาติสื่อญี่ปุ่น-อิตาลี ไล่จี้ DSI
การกระชับพื้นที่ สลายการชุมนุม ของ ศอฉ. จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว
กับครั้งที่ 2 เมื่อ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
ทั้ง 2 กรณีหากนับกรณีแรกก็คือผ่านมา 4 เดือนเศษแล้ว และกรณีสี่แยกราชประสงค์ถึงวันนี้ (19 สค.) ก็ เท่ากับว่า 3 เดือนพอดิบพอดี
ซึ่งการสูญเสียชีวิต และการบาดเจ็บ รวมทั้งเงื่อนงำของการตาย ของคนชุดดำ รวมไปถึงใครสั่งการ ใครรับผิดชอบกับการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น สำหรับกับสังคมไทยทุกวันนี้ ต้องถือว่า
ยังคงเงียบสนิท!!!
ซึ่งสำหรับสังคมไทย ประชาธิปไตยที่อยู่ในช่วงเว้นวรรคให้กับอำนาจพิเศษของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศอฉ. อาจจะเป็นเรื่องเงียบและซุกหายไปได้ โดยความพยายามขุดคุ้ยอาจจะทำได้ลำบาก เพราะภาษิตไทยสอนเอาไว้เนิ่นนาน
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
ก็ขนาดแค่เด็กนักเรียนที่มีจิตใจเชื่อมั่นในประชาธิปไตยที่แท้จริง เกิดกล้าแสดงออกไปยืนถือป้ายแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ยังกลายเป็นเรื่องให้เห็นกันเป็นตัวอย่าง... แล้ววันนี้จะไม่ให้ทุกอย่างตกอยู่ในอาการเงียบสงัดได้อย่างไร
เชือดไก่ให้ลิงดู ยังไม่โหดร้ายเท่าเชือดเด็กให้ผู้ใหญ่เห็น
ฉะนั้นถึงวันนี้จะโดยกลไกของอำนาจใดก็ตาม ต้องยอมรับว่าการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวนมากช่วงเดือนเมษายน และพฤษภาคม ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ และเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงผนวกกับเก้าอี้ ผอ.ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นเดียวกันกับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และเก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เรื่องแบบนี้สังคมไทยอาจจะไม่รู้สึกอะไร กับการเงียบหายของความสูญเสียที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่สังคมไทยยอมรับสภาพนั้น สังคมต่างชาติไม่สามารถที่จะยอมรับสภาพได้เช่นเดียวกับไทย โดยเฉพาะกับกรณีที่มีคนต่างชาติพลอยได้รับความสูญเสียไปด้วย
อย่างกรณีของนักข่าว 2 ราย คือ นักข่าวญี่ปุ่น และช่างภาพอิตาลี ที่ต้องพลอยเสียชีวิตไปด้วยจากการสลายการชุมนุมนั้น... ญาติๆไม่สามารถยอมรับได้เหมือนกับที่สังคมไทยยอมรับ
คนตายทั้งคน จะให้จบลงแบบเงียบหายราวคลื่นกระทบฝั่งได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงผ่านมา 3-4 เดือนแล้วเช่นนี้ บรรดาญาตินักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต จึงต้องยิ่งพยายามทวงถามสาเหตุของความสูญเสีย
ซึ่งแม้ว่าล่าสุดทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ส่งหนังสือ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ Mr. Hiroyuki Muramoto ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา
โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ฯ ได้ประสานมายัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกำชับให้ดูแลความคืบหน้าและติดตามคดีเป็นอย่างดี และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทางการญี่ปุ่นทราบเป็นระยะ ๆ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและประสานกับผู้เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ จากกล้อง CCTV และ สอบคำให้การพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และภาพถ่ายส่วนหนึ่งจากกล้องที่ Mr.Muramoto ถ่ายไว้ก่อนเสียชีวิต
รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อและ Website ของ DSI ขอให้ประชาชนผู้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ส่วนการรายงานการตรวจศพ Mr.Muramoto สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่า สาเหตุเกิดจากบาดแผลซึ่งเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูงเข้าที่บริเวณทรวงอกซ้าย 1 นัด ทะลุออกทางต้นแขนขวาด้านหลังทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง ล่างขึ้นบนเล็กน้อย ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้ทำการตรวจศพต่อไป
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้เร่งติดตามผลการตรวจ DNA ที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุเพื่อตรวจเปรียบเทียบ กับ DNA ของศพผู้เสียชีวิต เพื่อพิสูจน์ยืนยันจุดเกิดเหตุและจุดที่เสียชีวิตทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้มีหนังสือรายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณี การเสียชีวิตของ Mr.Muramoto ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อมีหนังสือแจ้งความคืบหน้าให้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นทราบไปแล้ว
โดยต่อมา คณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้เข้าพบผู้บริหารและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเจ้าหน้าที่ส่วนกิจการต่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เพื่อประชุมหารือติดตามผลความคืบหน้าของคดี
ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการญี่ปุ่นยังคงขอให้ ดีเอสไอเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่ทางการญี่ปุ่นและญาติผู้เสียชีวิตให้ความสำคัญ
และดีเอสไอมีกำหนดนัดหมายพบปะ หารือ กับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ครั้งต่อไป ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ณ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น โดยพนักงานสอบสวน ฯ จะได้จัดเตรียมรายงานความคืบหน้าไปเพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นต่อไป
ส่วนการเสียชีวิตของ Mr.Fabio Polenghi ช่างภาพชาวอิตาเลียนที่เสียชีวิตจากเหตุชุมนุมประท้วง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 นั้น ภายหลังจากที่ Ms. Elisabetta Polenghi น้องสาว นาย Fabio เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อติดตามผลการชันสูตรศพ และความคืบหน้าของการสอบสวนคดีดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา น้องสาวผู้เสียชีวิต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กงสุล สอท. อิตาลี ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ
ทางรองอธิบดีดีเอสไอ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อ Ms.Polenghi ที่สูญเสียพี่ชายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และย้ำว่า ดีเอสไอ จะดำเนินการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการได้เนื่องจากเพิ่งจะรับสำนวนคดีบางส่วนจาก สตช. และคดีมีความยุ่งยากและจำต้องติดตามพยานหลาย ๆ คนมาให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ พร้อมที่จะให้ข้อมูลต่าง ๆ
ขณะที่ Ms.Polenghi กล่าวย้ำว่า การมาติดตามเรื่องก็เพื่อต้องการทราบรายละเอียดการเสียชีวิตของพี่ชายว่าในวันเวลาดังกล่าว เกิดอะไรขึ้น เพื่อตนและญาติพี่น้องอื่น ๆ จะได้ทราบความจริง รวมทั้ง อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่อาชีพนักข่าวอื่น ๆ ที่จะได้นำไปเป็นกรณีศึกษาต่อไป
ที่ผ่านมาได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด และยังได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. ปทุมวันซึ่งรับผิดชอบสำนวนคดีชันสูตรมาแล้วด้วย จึงหวังว่า ดีเอสไอ จะให้ความกระจ่างในคดีนี้แก่ตนได้ในท้ายที่สุด
ซึ่งพ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ ผอ.ส่วนกิจการต่างประเทศ สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมต่างประเทศ และ คณะ ได้แจ้งแก่ Ms.Polenghi ว่า ดีเอสไอ เพิ่งได้รับสำนวนคดีจาก สน.ลุมพินี เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนคดีของ สน. ปทุมวันนั้นยังไม่ได้รับ จึงยังไม่สามารถดำเนินการอะไร ได้มากนัก
ทั้งนี้ Ms.Polenghi ได้ให้พนักงานสอบสวน ฯ ได้พบกับ Mr.Masaru Goto นักข่าวชาวญี่ปุ่นซึ่งรู้จักกับนาย Fabio และอยู่กับนาย Fabio ในวันเกิดเหตุด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้นัดหมายกับนาย Goto เพื่อสอบถามข้อมูลและบันทึกปากคำต่อไป
โดยภายหลังการหารือจนเป็นที่พอใจแล้ว Ms.Polenghi แจ้งว่าจะพยายามกลับมาประเทศไทยในอีก 2-3 เดือน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีและยินดีจะให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ ในการค้นหาความจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นว่าการเสียชีวิตของนักข่าวอิตาลีรายนี้เป็นที่สนใจของญาติ พี่น้อง และทางการอิตาลี และเชื่อว่าคงจะมาติดตามความคืบหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เช่น กรณีของการเสียชีวิตของนักข่าวญี่ปุ่น จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนกำหนดกรอบเวลาการทำงาน จัดเตรียมรายงานผลความคืบหน้า ไว้เพื่อแจ้งให้กับญาติผู้เสียชีวิตและ สอท. อิตาลี ฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อหน่วยงานหรืออาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปได้
2 คดีนี้จึงถือเป็นการบ้านใหญ่ของ ดีเอสไอ ของตำรวจ และของประเทศไทย ที่ต้องสร้างความกระจ่างให้กับบรรดาญาติพี่น้องของผู้ตายให้ได้
ขณะเดียวกันสังคมไทยเองก็อาจจะหวังอานิสงค์ของ 2 คดีสื่อต่างชาติ พลอยทำให้คดีอื่นๆของคนไทยพลอยกระจ่างตามไปด้วย
เพราะวันนี้มืออำมหิตเสื้อดำ ดูจะสูญหายไร้ร่องรอยอย่างไม่น่าเชื่อ... ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อนกระนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ญาติสื่อญี่ปุ่น-อิตาลี ไล่จี้ DSI
การกระชับพื้นที่ สลายการชุมนุม ของ ศอฉ. จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว
กับครั้งที่ 2 เมื่อ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
ทั้ง 2 กรณีหากนับกรณีแรกก็คือผ่านมา 4 เดือนเศษแล้ว และกรณีสี่แยกราชประสงค์ถึงวันนี้ (19 สค.) ก็ เท่ากับว่า 3 เดือนพอดิบพอดี
ซึ่งการสูญเสียชีวิต และการบาดเจ็บ รวมทั้งเงื่อนงำของการตาย ของคนชุดดำ รวมไปถึงใครสั่งการ ใครรับผิดชอบกับการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น สำหรับกับสังคมไทยทุกวันนี้ ต้องถือว่า
ยังคงเงียบสนิท!!!
ซึ่งสำหรับสังคมไทย ประชาธิปไตยที่อยู่ในช่วงเว้นวรรคให้กับอำนาจพิเศษของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศอฉ. อาจจะเป็นเรื่องเงียบและซุกหายไปได้ โดยความพยายามขุดคุ้ยอาจจะทำได้ลำบาก เพราะภาษิตไทยสอนเอาไว้เนิ่นนาน
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
ก็ขนาดแค่เด็กนักเรียนที่มีจิตใจเชื่อมั่นในประชาธิปไตยที่แท้จริง เกิดกล้าแสดงออกไปยืนถือป้ายแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ยังกลายเป็นเรื่องให้เห็นกันเป็นตัวอย่าง... แล้ววันนี้จะไม่ให้ทุกอย่างตกอยู่ในอาการเงียบสงัดได้อย่างไร
เชือดไก่ให้ลิงดู ยังไม่โหดร้ายเท่าเชือดเด็กให้ผู้ใหญ่เห็น
ฉะนั้นถึงวันนี้จะโดยกลไกของอำนาจใดก็ตาม ต้องยอมรับว่าการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวนมากช่วงเดือนเมษายน และพฤษภาคม ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ และเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงผนวกกับเก้าอี้ ผอ.ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นเดียวกันกับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และเก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เรื่องแบบนี้สังคมไทยอาจจะไม่รู้สึกอะไร กับการเงียบหายของความสูญเสียที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่สังคมไทยยอมรับสภาพนั้น สังคมต่างชาติไม่สามารถที่จะยอมรับสภาพได้เช่นเดียวกับไทย โดยเฉพาะกับกรณีที่มีคนต่างชาติพลอยได้รับความสูญเสียไปด้วย
อย่างกรณีของนักข่าว 2 ราย คือ นักข่าวญี่ปุ่น และช่างภาพอิตาลี ที่ต้องพลอยเสียชีวิตไปด้วยจากการสลายการชุมนุมนั้น... ญาติๆไม่สามารถยอมรับได้เหมือนกับที่สังคมไทยยอมรับ
คนตายทั้งคน จะให้จบลงแบบเงียบหายราวคลื่นกระทบฝั่งได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงผ่านมา 3-4 เดือนแล้วเช่นนี้ บรรดาญาตินักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต จึงต้องยิ่งพยายามทวงถามสาเหตุของความสูญเสีย
ซึ่งแม้ว่าล่าสุดทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ส่งหนังสือ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ Mr. Hiroyuki Muramoto ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา
โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ฯ ได้ประสานมายัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกำชับให้ดูแลความคืบหน้าและติดตามคดีเป็นอย่างดี และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทางการญี่ปุ่นทราบเป็นระยะ ๆ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและประสานกับผู้เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ จากกล้อง CCTV และ สอบคำให้การพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และภาพถ่ายส่วนหนึ่งจากกล้องที่ Mr.Muramoto ถ่ายไว้ก่อนเสียชีวิต
รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อและ Website ของ DSI ขอให้ประชาชนผู้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ส่วนการรายงานการตรวจศพ Mr.Muramoto สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่า สาเหตุเกิดจากบาดแผลซึ่งเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูงเข้าที่บริเวณทรวงอกซ้าย 1 นัด ทะลุออกทางต้นแขนขวาด้านหลังทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง ล่างขึ้นบนเล็กน้อย ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้ทำการตรวจศพต่อไป
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้เร่งติดตามผลการตรวจ DNA ที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุเพื่อตรวจเปรียบเทียบ กับ DNA ของศพผู้เสียชีวิต เพื่อพิสูจน์ยืนยันจุดเกิดเหตุและจุดที่เสียชีวิตทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้มีหนังสือรายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณี การเสียชีวิตของ Mr.Muramoto ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อมีหนังสือแจ้งความคืบหน้าให้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นทราบไปแล้ว
โดยต่อมา คณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้เข้าพบผู้บริหารและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเจ้าหน้าที่ส่วนกิจการต่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เพื่อประชุมหารือติดตามผลความคืบหน้าของคดี
ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการญี่ปุ่นยังคงขอให้ ดีเอสไอเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่ทางการญี่ปุ่นและญาติผู้เสียชีวิตให้ความสำคัญ
และดีเอสไอมีกำหนดนัดหมายพบปะ หารือ กับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ครั้งต่อไป ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ณ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น โดยพนักงานสอบสวน ฯ จะได้จัดเตรียมรายงานความคืบหน้าไปเพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นต่อไป
ส่วนการเสียชีวิตของ Mr.Fabio Polenghi ช่างภาพชาวอิตาเลียนที่เสียชีวิตจากเหตุชุมนุมประท้วง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 นั้น ภายหลังจากที่ Ms. Elisabetta Polenghi น้องสาว นาย Fabio เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อติดตามผลการชันสูตรศพ และความคืบหน้าของการสอบสวนคดีดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา น้องสาวผู้เสียชีวิต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กงสุล สอท. อิตาลี ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ
ทางรองอธิบดีดีเอสไอ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อ Ms.Polenghi ที่สูญเสียพี่ชายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และย้ำว่า ดีเอสไอ จะดำเนินการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการได้เนื่องจากเพิ่งจะรับสำนวนคดีบางส่วนจาก สตช. และคดีมีความยุ่งยากและจำต้องติดตามพยานหลาย ๆ คนมาให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ พร้อมที่จะให้ข้อมูลต่าง ๆ
ขณะที่ Ms.Polenghi กล่าวย้ำว่า การมาติดตามเรื่องก็เพื่อต้องการทราบรายละเอียดการเสียชีวิตของพี่ชายว่าในวันเวลาดังกล่าว เกิดอะไรขึ้น เพื่อตนและญาติพี่น้องอื่น ๆ จะได้ทราบความจริง รวมทั้ง อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่อาชีพนักข่าวอื่น ๆ ที่จะได้นำไปเป็นกรณีศึกษาต่อไป
ที่ผ่านมาได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด และยังได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. ปทุมวันซึ่งรับผิดชอบสำนวนคดีชันสูตรมาแล้วด้วย จึงหวังว่า ดีเอสไอ จะให้ความกระจ่างในคดีนี้แก่ตนได้ในท้ายที่สุด
ซึ่งพ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ ผอ.ส่วนกิจการต่างประเทศ สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมต่างประเทศ และ คณะ ได้แจ้งแก่ Ms.Polenghi ว่า ดีเอสไอ เพิ่งได้รับสำนวนคดีจาก สน.ลุมพินี เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนคดีของ สน. ปทุมวันนั้นยังไม่ได้รับ จึงยังไม่สามารถดำเนินการอะไร ได้มากนัก
ทั้งนี้ Ms.Polenghi ได้ให้พนักงานสอบสวน ฯ ได้พบกับ Mr.Masaru Goto นักข่าวชาวญี่ปุ่นซึ่งรู้จักกับนาย Fabio และอยู่กับนาย Fabio ในวันเกิดเหตุด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้นัดหมายกับนาย Goto เพื่อสอบถามข้อมูลและบันทึกปากคำต่อไป
โดยภายหลังการหารือจนเป็นที่พอใจแล้ว Ms.Polenghi แจ้งว่าจะพยายามกลับมาประเทศไทยในอีก 2-3 เดือน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีและยินดีจะให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ ในการค้นหาความจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นว่าการเสียชีวิตของนักข่าวอิตาลีรายนี้เป็นที่สนใจของญาติ พี่น้อง และทางการอิตาลี และเชื่อว่าคงจะมาติดตามความคืบหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เช่น กรณีของการเสียชีวิตของนักข่าวญี่ปุ่น จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนกำหนดกรอบเวลาการทำงาน จัดเตรียมรายงานผลความคืบหน้า ไว้เพื่อแจ้งให้กับญาติผู้เสียชีวิตและ สอท. อิตาลี ฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อหน่วยงานหรืออาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปได้
2 คดีนี้จึงถือเป็นการบ้านใหญ่ของ ดีเอสไอ ของตำรวจ และของประเทศไทย ที่ต้องสร้างความกระจ่างให้กับบรรดาญาติพี่น้องของผู้ตายให้ได้
ขณะเดียวกันสังคมไทยเองก็อาจจะหวังอานิสงค์ของ 2 คดีสื่อต่างชาติ พลอยทำให้คดีอื่นๆของคนไทยพลอยกระจ่างตามไปด้วย
เพราะวันนี้มืออำมหิตเสื้อดำ ดูจะสูญหายไร้ร่องรอยอย่างไม่น่าเชื่อ... ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อนกระนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

