“และแล้วก็ต้องมาตอกย้ำกันแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับเรื่องของคำว่าสองมาตรฐานที่ผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติ คนเก็บขยะที่ไปเก็บเอาซีดีที่เขาทิ้งแล้วมาวางขายกลับถูกจับตั้งข้อหา และศาลพิจารณาว่ามีความผิดจริง ต้องถูกปรับเงินเป็นแสนๆ ถ้าไม่มีเงินจ่าย คนเก็บขยะรายนี้จะต้องติดคุกติดตะราง จะต้องถูกจองจำ”
พระพยอม กัลยาโณ ให้ความเห็นในคอลัมน์ “สำนัก (ข่าว) พระพยอม” กรณีนายสุรัตน์ มณีนพรัตนสุดา พนักงานเก็บขยะ ถูกศาลพิพากษาปรับ 133,400 บาท ฐานเป็นผู้ประกอบการจำหน่าย ให้เช่าภาพยนตร์ฯโดยไม่ได้รับอนุญาตตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์ฯ พ.ศ. 2551 ซึ่งหลายฝ่ายตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าน่าจะใช้วิจารณญาณในการจับ เพราะเอาซีดีเก่าที่เก็บจากขยะไปวางกับพื้นขายเพื่อหารายได้พิเศษ ซึ่งขณะนี้สภาทนายความได้หารือหนทางช่วยเหลือแล้ว
นอกจากนี้พระพยอมยังเปรียบเทียบถึงคดีที่ผู้ชุมนุมม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยตั้งใจขับรถไล่ชน ร.ต.ท.เกรียงไกร กิ่งสามี ที่ทำหน้าที่ในเหตุการณ์สลายม็อบพันธมิตรฯในขณะนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่กลับไม่ติดคุก เพราะศาลรอลงอาญา ทั้งไม่ถูกปรับและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับตำรวจที่ถูกรถชน แม้แต่โทรศัพท์เพื่อถามไถ่หรือกล่าวคำขอโทษก็ไม่มี
“ก็ไม่รู้จะอยู่กันอย่างไรแล้วเมื่อกฎหมายเป็นแบบนี้ ผู้ที่มีอำนาจคิดอยากจะสั่งหนักสั่งเบากับใคร กับพวกไหนก็สามารถทำได้ อย่างนี้ถือว่าน่าอเนจอนาถใจจริงๆ เพราะทุกวันนี้เป็นอย่างนี้กันมากขึ้น อย่างนี้จะไปกันได้สักกี่น้ำ สำหรับประเทศไทย เมื่อไรถึงจะหายใจโล่ง ถึงจะพ้นเหตุแห่งความวิกฤตศรัทธาของผู้ที่มี หน้าที่บังคับใช้กฎหมาย”
ความเห็นของพระพยอมดังกล่าวกับปัญหา 2 มาตรฐานจึงไม่ต่างจากประชาชนหลายสิบล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หลายสิบคนที่ก่อนหน้านี้ถูกสั่งจำคุก 6 เดือนบ้าง 1 ปีบ้าง เพียงเพราะฝ่า ฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและประกาศเคอร์ฟิว หรือกรณีแค่คนขับรถเข้าไปในเขตราชประสงค์เพื่อส่งอาหารให้คนเสื้อแดงในการชุมนุมก็ยังถูกตัดสินให้จำคุก รวมถึงกรณีนายศักระพี พรหมชาติ พราหมณ์ นปช. ที่ทำพิธีเทเลือดและเขียนอักขระสาปแช่งคณะรัฐบาล ก็ถูกศาลอาญาจังหวัดสกลนครสั่งจำคุก 8 เดือนไม่รอลงอาญา ข้อหากีดขวางทางจราจร และชุมนุมหรือมั่วสุมหรือกระทำการอันใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยระหว่างการชุมนุมที่สกลนครเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553
โคตร 2 มาตรฐาน
ปัญหา 2 มาตรฐานจึงไม่ได้มีเฉพาะทางการเมือง แต่วันนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศที่ยิ่งเห็นชัดเจน แม้ในอดีตจะมีการใช้อำนาจรัฐข่มเหงรังแกประชาชนมาโดยตลอด โดยเฉพาะประชาชนที่ยากจนและห่างไกลความเจริญ แต่ก็ยังไม่รุนแรงและชั่วร้ายเท่ากับเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่ใช้อำนาจรัฐภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฆ่าประชาชนถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการ เกือบ 2,000 คน โดยไม่มีความผิดใดๆ
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุด ก็ไม่เคยกล่าวคำ “ขอโทษ” กับประชาชนเช่นกัน ตรงข้ามกลับใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุก เฉินกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้ก่อการร้าย เพื่อพยายามสร้างความชอบธรรมและกลบเกลื่อนคำสั่งที่ทำให้ประชาชนต้องตายและบาดเจ็บมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนมีภาพการ์ตูนล้อเลียนว่า “คนสั่งลอยหน้า...คนฆ่าลอยนวล” แต่ดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรกับมาตรฐานใหม่ของสังคมไทยยุคปัจจุบัน
คำว่า “2 มาตรฐาน” จึงกลายเป็นมาตรฐานของการ เมืองและสังคมไทยที่ไม่ใช่เรื่องของคนจนกับคนรวย แต่เป็นการใช้อำนาจจากกฎหมายเผด็จการ เช่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือกระบวนการยุติธรรมโดยองค์กรอิสระต่างๆทำลายฝ่ายตรงข้ามหรืออีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แค่ความแตกแยกในทางความคิด แต่กลายเป็นความเกลียดชังที่แบ่งขั้วแบ่งฝ่ายและพร้อมจะ “ฆ่า” อีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างเลือดเย็น
ทั้งที่การเลือกปฏิบัติหรือ 2 มาตรฐานนั้น รัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550 ระบุในมาตรา 30 วรรคสาม ไว้ว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้”
นอกจากนี้ในมาตรา 9 (1) พ.ร.บ.การจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็กำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง (อ่านเพิ่มเติมรายงาน “สองมาตรฐาน” หน้า 6)
วิกฤตองค์กรอิสระ
วันนี้แม้แต่ฝ่ายตุลาการก็ยังถูกตั้งคำถามเรื่องของความยุติธรรม อย่างกรณีตุลาการภิวัฒน์ โดยเฉพาะศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากกับการวินิจฉัยคดีต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวกพ้อง
ขณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชุดปัจจุบันก็ถูกโจมตีว่ามาโดยไม่ชอบธรรม เพราะทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. ชุดปัจจุบันมาจากการแต่งตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ไม่ใช่การสรรหาตามรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะ กกต. ชุดปัจจุบันที่แม้จะมีการสรรหาจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา แต่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเพราะเกิดรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ก่อน แต่ คปค. กลับใช้อำนาจแต่งตั้ง กกต. ชุดนี้ให้มีวาระอยู่ยาวถึง 8 ปี
ทั้ง ป.ป.ช. และ กกต. นอกจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การวินิจฉัยหลายครั้งยังถูกมองว่าเลือกปฏิบัติหรือเลือกข้างอีกด้วย เช่นเดียวกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่ คปค. ตั้งขึ้นเพื่อเป็นคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณโดยเฉพาะ และมีการกล่าวหามาก มายหลายคดี ซึ่งหลายคดีนั้นศาลตัดสินว่าไม่มีความผิด ขณะที่อีกหลายคดีแทบไม่มีความคืบหน้า
เช่นเดียวกับกรณีตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่มีปัญหาในขณะนี้ก็เพราะประกาศอัปยศของ คปค. และรัฐธรรมนูญปี 2550
องค์กรอิสระต่างๆจึงถูกตั้งคำถามว่าควรจะมีอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้ามีอยู่จะต้องแก้ไขกระบวนการสรรหาและเรื่องของอำนาจหน้าที่หรือไม่ เพราะองค์กรอิสระขณะนี้มีอำนาจเหนือทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล หรือแม้แต่การแสดงบัญชีทรัพย์สินของกรรมการเพื่อแสดงความโปร่งใส
การทำงานขององค์กรอิสระต่างๆจึงถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองวิกฤต เพราะคำว่า “2 มาตรฐาน” จนวันนี้ก็ยังมีคำถามและข้อกังขามากมายเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมที่ส่งผลถึงความยุติธรรมและความชอบธรรม รวมทั้งการครอบงำองค์กรอิสระของฝ่ายการเมืองที่ทำให้เกิดการบิดเบือนทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายการเมืองหรือกลุ่มผู้มีอำนาจ
รัฏฐาธิปัตย์
โดยเฉพาะอำนาจจากการรัฐประหารที่ถูกประณามว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่สังคมไทยกลับยอมรับนับถือ แต่อย่างน้อยก็ยังมีตุลาการของประชาชนที่กล้าประกาศอย่างชัดเจนว่าการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์คือ นายกีรติ กาญจนรินทร์ 1 ใน 9 ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่แสดงคำวินิจฉัยส่วนตัวในฐานะเสียงข้างน้อย ไม่เห็นด้วยในคดีคำพิพากษาที่ อม.9/2552 ที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ถูกกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งเสียงส่วนใหญ่พิพากษาให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท แต่เนื่องจากไม่ปรากฏว่านายยงยุทธเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษกำหนด 1 ปี โดยนายกีรติให้เหตุผลว่า
“หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ
ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์”
กวาดล้างและขังยาว
ปัญหา 2 มาตรฐานยิ่งเห็นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคดีของกลุ่ม นปช. กับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งถูกตั้งข้อหา “ผู้ก่อการร้าย” เช่นกันคือยึดสนามบิน จากคดีที่ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ 240 คดี ปรากฏว่าวันนี้แทบไม่มีความคืบหน้าเลยทั้งที่ผ่านมาเกือบ 2 ปี โดยเฉพาะคดี 79 แกนนำพันธมิตรฯซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายและข้อหาอื่นๆรวมกว่า 10 คดี จากกรณีบุกท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองเมื่อปี 2551 ยังเลื่อนการเข้าพบพนักงานสอบสวนโดยไม่มีการจับกุมใดๆ
ตรงข้ามกับแกนนำเสื้อแดง 26 คน ที่วันนี้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องแล้ว ทั้งที่พนักงานสอบสวนไม่มีการสอบสวนปากคำจำเลยแม้แต่ปากเดียว ขณะที่คดีของกลุ่มพันธมิตรฯกลับมีการสอบสวนพยานจำเลยนับพันปาก และหากนับวันที่ถูกฝากขังก็จะครบกำหนด 84 วันในวันที่ 7 กันยายนนี้ และมีแนวโน้มที่จะถูกขังยาวตลอดการพิจารณาคดี ซึ่งอาจยืดเยื้อยาวนานเป็นสิบๆปีก็ได้ เนื่องจากศาลไม่ให้ประกันเพราะเห็นว่าเป็นคดีที่มีโทษสูงและกลัวผู้ต้องหาหลบหนี
ขณะที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า คดีที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีถึง 260 คดี แบ่งออกเป็นก่อการร้าย ขู่เข็ญเจ้าหน้าที่รัฐ ทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ และการกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์
นอกจากนี้ยังมีคดีขบวนการล้มสถาบันที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อ้างการสืบสวนในทางลับ ซึ่งคดีนี้นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาในแผนผังล้มสถาบันของ ศอฉ. ได้ฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. จำเลยที่ 2 และ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาต่อศาลอาญากรณี ศอฉ. แถลงข่าวและแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน ซึ่งมีชื่อนายสุธาชัยปรากฏอยู่ด้วย
คนสั่งฆ่าดำเนินคดีคนถูกฆ่า?
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง จึงประกาศจะต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนเสื้อแดงจนถึงที่สุด และกล่าวหาว่าอธิบดีดีเอสไอและนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. มีผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมีส่วนร่วมในการสั่งฆ่าประชาชน แต่กลับมาเป็นผู้ดำเนินคดี ถ้าเป็นเช่นนี้คดีก็จะพลิกจากขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว เอาความตายที่เกิดขึ้น 91 ศพมาบอกว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง การสรุปแบบนี้นายจุลสิงห์ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่
“ที่ผ่านมาในการสอบสวน ไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148, 149 และ 150 ที่พนักงานสอบสวนจะต้องชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตทีละศพ แต่นายจุลสิงห์ไม่ได้ กระทำตามที่ประมวลกฎหมายอาญากำหนด เพราะจะต้องมีการชันสูตรทีละศพว่าผู้ตายเสียชีวิตจากสาเหตุอะไร หากการตายที่เกิดจากกระสุนต้องระบุว่าเป็นกระสุนชนิดใด วิถีกระสุนเป็นอย่างไร ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องมีการชันสูตรพลิกศพทั้ง 91 ศพ และแจ้งไปยังศาลถึงสาเหตุการตาย และศาลจะไต่สวนต่อว่าใครเป็นคนทำ ดังนั้น ที่อัยการสูงสุดละเลยเรื่องนี้เพราะเป็นส่วนหนึ่งของฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชนใช่หรือไม่ การกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเองจึงเป็นการกระทำที่ชั่วช้าที่สุด ร่วมมือกับดีเอสไอไม่ปฏิบัติตามวิธีพิจารณาคดีอาญา”
ยุติธรรมกำมะลอ
ปัญหา 2 มาตรฐานในสังคมไทยวันนี้จึงไม่ใช่แค่เห็นชัดเจนทะลุจอเหมือนหนัง 3 มิติเท่านั้น แต่โคตรชัดและจับต้องได้ยิ่งกว่าหนัง 4 มิติเสียอีก คือไม่ใช่แค่ภาพที่ชัดเสียยิ่งกว่าชัด แต่ยังโชยกลิ่นออกมาอย่างน่าสะอิดสะเอียน
เพราะกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระหรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าดีเอสไอ ฝ่ายอัยการ ก็ไม่ต่างกับ ศอฉ. ที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นยิ่งกว่าดาบกายสิทธิ์ที่ให้ฆ่าคนได้โดยไม่มีความผิด จึงไม่แปลกที่จะมีการประณามเรื่องความอยุติธรรมและเลือกปฏิบัติ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากประชาคมโลก
แม้ผู้มีอำนาจจะตะแบงว่าทุกคดีต้องไปสู่กระบวนการยุติธรรมที่ศาลยุติธรรม ซึ่งศาลก็ต้องพิจารณาและวินิจฉัยไปตามพยานและหลักฐาน
แต่ก็มีคำถามว่าหากพยาน และหลักฐานที่ได้มานั้นเกิดจากขบวนการต่างๆภายใต้อำนาจเผด็จการหรือเยี่ยงโจรที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมและไม่ชอบธรรมแล้ว
ศาลก็ต้องตัดสินไปตามพยานและหลักฐาน ผลออกมาอย่างไร ผู้ต้องหาก็ต้องยอมรับและต้องเคารพคำตัดสินของศาล
แต่เหยื่อของความอยุติธรรมคือผู้บริสุทธิ์ที่กลายเป็นคนผิดที่อาจไม่ใช่แค่คำอุทานว่า “ซวยจริงๆ” เท่านั้น แต่อาจหมายถึงการถูกประหารชีวิตอีกด้วย
การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมจึงมีแค่การฟ้องกลับหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระต่างๆ แม้จะรู้ดีว่าการฟ้องร้องไม่สามารถเอาผิดหรือคดีสิ้นสุดด้วยความเป็นธรรมได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นการฟ้องตัวเองของหน่วยงานรัฐ เจ้าหน้าที่รัฐ และองค์กรอิสระ ว่าสังคมไทยไม่ใช่มีแค่วงจรอุบาทว์ที่ฉีกรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้น แต่ยังสร้างทายาทอสุรกายอีกด้วย
รัฐและองค์กรอิสระต่างๆจึงต้องเป็นคนตอบเองว่าทำไมสังคมไทยจึงเกิด 2 มาตรฐาน ซึ่งไม่ใช่รู้ได้จากสามัญสำนึกเท่านั้น แต่เรียกว่าเห็นโคตรชัดเจนทะลุจอยิ่งกว่าหนัง 3 มิติเสียอีก
ทุกคำตัดสินจากทุกองค์กรแห่งความยุติธรรมจึงเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพของความยุติธรรมว่าเป็นยุติธรรมที่ “ยุติด้วยความเป็นธรรม” หรือ “ยุติแล้วซึ่งความเป็นธรรม”
นี่คือความจริงของสังคม 2 มาตรฐานบน “ศาลาโกหก” ที่เต็มไปด้วย “ยุติธรรมกำมะลอ”...!!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 273 วันที่ 21-27 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553
แจ้งจับ‘จรัญ’กบฏร่วมวงวางแผนยึดอำนาจล้มล้างประชาธิปไตย
หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ส.ส.เพื่อไทยควงทนายบุกกองปราบปรามแจ้งความเอาผิด “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ และข้อหาซ่องโจรกรณีมีส่วนร่วมวางแผนยึดอำนาจจากรัฐบาล “ทักษิณ” เมื่อปี 2549 ซัดขาดคุณสมบัติเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพราะรับจ๊อบสอนพิเศษโดยรับค่าตอบแทนจากสถานศึกษาหลายแห่ง “จตุพร-การุณ” ยื่นศาลขอเลื่อนสอบคำให้การคดีก่อการร้ายไปช่วงสิ้นปี อ้างติดสมัยประชุมสภา เตรียมฟื้นเวทีเสื้อแดงเดินสายปราศรัยภาคเหนือ-อีสาน “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประสานเสียงมีสิทธิทำได้แต่อย่ายุยงปลุกปั่น ล้ำเส้นเมื่อไรจับดำเนินคดีแน่
วันที่ 19 ส.ค. 2553 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ (กทม.) พรรคเพื่อไทย จำเลยคดีก่อการร้าย เข้ารายงานตัวต่อศาลตามเงื่อนไขที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก่อนฟ้องคดี
ศาลให้เลื่อนสอบปากคำ “จตุพร-การุณ”
ทั้งนี้ นายจตุพรและนายการุณได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลเลื่อนวันสอบคำให้การในส่วนของตนจากเดิมที่นัดวันที่ 27 ก.ย. ออกไปก่อน เนื่องจากอยู่ในช่วงสมัยประชุมสภาทำให้มีภารกิจในสภา โดยขอให้เลื่อนไปหลังปิดสมัยประชุมสภาในเดือน พ.ย. ซึ่งศาลอนุญาตตามขอ
ฟื้นเวทีเสื้อแดงปรายศรัยเหนือ-อีสาน
นายจตุพรให้สัมภาษณ์ว่า ในเดือน ก.ย. นี้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงจะเริ่มตั้งเวทีปราศรัยตามจังหวัดต่างๆเพื่อชี้แจงนโยบายและข้อเท็จจริงต่างๆ พร้อมทั้งบอกให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล โดยจะเริ่มจากจังหวัดในภาคเหนือทั้งเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา จากนั้นจึงไปที่ภาคอีสาน เช่น นครพนม อำนาจเจริญ อุบราชธานี ยโสธร ส่วนการยื่นขอประกันตัวแกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำ แม้จะยื่นหลายครั้งและศาลยังไม่อนุญาตก็จะไม่ละความพยายาม โดยจะยื่นขอประกันตัวไปเรื่อยๆ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า เร็วๆนี้จะนำข้อมูลเกี่ยวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาเปิดเผยอีก หลังจากที่เปิดเผยเบอร์หมอนวดประจำตัวหมายเลข 161 แต่ครั้งนี้ลึกกว่านั้น ให้นายธาริตเตรียมตัวไว้ได้เลย
แจ้งดำเนินคดี “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ
ที่กองปราบปราม นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหาเป็นกบฏล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย กรณีเข้าร่วมกับคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549
ไม่เคยปฏิเสธร่วมวางแผนยึดอำนาจ
นายเกียรติอุดมกล่าวอ้างข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่านายจรัญได้เข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนยึดอำนาจร่วม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งต่อมาได้เป็นประธาน คปค. หัวหน้าคณะใช้กำลังทหารยึดอำนาจและยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งที่ผ่านมานายจรัญไม่เคยออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ จึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่ามีส่วนร่วมในขบวนการดังกล่าวเพื่อยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210
สอนหนังสือรับเงินขาดคุณสมบัติ
นอกจากนี้นายจรัญอาจมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไปได้ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนจากการสอนหนังสือในสถาบันต่างๆจึงถือว่าเป็นลูกจ้าง โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาเอกชน การเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือโดยได้รับค่าตอบแทนการสอนนั้นเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 207 (3) ซึ่งจะมีกรณีต้องห้ามเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 267 คือรับทำงานให้บุคคลใดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่ปรึกษากฎหมายหรืออื่นใด
“ผมขอให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ หากพบว่ามีมูลความผิดขอให้ดำเนินคดีกับนายจรัญ” นายเกียรติอุดมกล่าว
รธน. ชั่วคราวนิรโทษกรรมให้แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ได้ถูกนิรโทษกรรมไปแล้ว โดยการกำหนดละเว้นโทษเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2549 ในมาตรา 37 ที่ระบุเอาไว้ว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
รธน.ปี 50 ให้การรับรองนิรโทษกรรม
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองการกระทำในรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 309 ที่ระบุว่า บรรดาการใดๆที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหน้าหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
ดังนั้น แม้นายจรัญจะไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าร่วมวางแผนยึดอำนาจ แต่การจะเอาผิดกับนายจรัญก็ต้องตีความว่านายจรัญได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่
“มาร์ค” สั่งคุมการปราศรัยคนเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะติดตามการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะใด หากเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความวุ่นวายถือว่าผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำได้
“การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการตั้งเวทีปราศรัยเป็นเรื่องปรกติที่สามารถทำได้ ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาสาระว่ามีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ ส่วนความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนเจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลไม่ให้เกิด” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า สถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงละเอียดอ่อนเพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายกันอยู่
ยังมีความเคลื่อนไหวหลายพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีจังหวัดไหนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาเป็นระยะ มีทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมทั้งปริมณฑล อย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่งยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาตลอด ซึ่งหากเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบกติกาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“การที่คนเสื้อแดงเลือกไปจัดกิจกรรมในพื้นที่ที่มีผู้ให้การสนับสนุนมากเป็นเรื่องปรกติ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเป็นการชุมนุมที่มีลักษณะจะทำให้ปัญหาบานปลายออกไปเจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้มงวด เมื่อมีสิ่งบอกเหตุว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
“สุเทพ” ขู่ล้ำเส้นจับดำเนินคดีทันที
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า จะยังไม่มีรายงานเสนอนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมในตอนนี้
“การประเมินเราไม่ได้ประเมินกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือกำหนดเวลาว่าต้องเสนอนายกฯเมื่อไร แต่จะดูตามข้อเท็จจริง หากเห็นว่ายกเลิกได้จึงเสนอเรื่องต่อนายกฯ” นายสุเทพกล่าวและว่า แกนนำเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทยสามารถลงไปทำกิจกรรมในจังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ แต่ว่าถ้าไปปลุกปั่นยุยงให้คนโกรธกัน เกลียดกัน ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องจับกุมดำเนินคดี
“นายจตุพรควรเอาสักทาง ไม่ใช่จ้องแต่ละล้มรัฐบาลให้ได้ ล้มในสภาไม่ได้ก็ล้มนอกสภา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” นายสุเทพกล่าว
**********************************************************************
ส.ส.เพื่อไทยควงทนายบุกกองปราบปรามแจ้งความเอาผิด “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ และข้อหาซ่องโจรกรณีมีส่วนร่วมวางแผนยึดอำนาจจากรัฐบาล “ทักษิณ” เมื่อปี 2549 ซัดขาดคุณสมบัติเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพราะรับจ๊อบสอนพิเศษโดยรับค่าตอบแทนจากสถานศึกษาหลายแห่ง “จตุพร-การุณ” ยื่นศาลขอเลื่อนสอบคำให้การคดีก่อการร้ายไปช่วงสิ้นปี อ้างติดสมัยประชุมสภา เตรียมฟื้นเวทีเสื้อแดงเดินสายปราศรัยภาคเหนือ-อีสาน “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประสานเสียงมีสิทธิทำได้แต่อย่ายุยงปลุกปั่น ล้ำเส้นเมื่อไรจับดำเนินคดีแน่
วันที่ 19 ส.ค. 2553 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมด้วยนายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพฯ (กทม.) พรรคเพื่อไทย จำเลยคดีก่อการร้าย เข้ารายงานตัวต่อศาลตามเงื่อนไขที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวก่อนฟ้องคดี
ศาลให้เลื่อนสอบปากคำ “จตุพร-การุณ”
ทั้งนี้ นายจตุพรและนายการุณได้ยื่นเรื่องขอให้ศาลเลื่อนวันสอบคำให้การในส่วนของตนจากเดิมที่นัดวันที่ 27 ก.ย. ออกไปก่อน เนื่องจากอยู่ในช่วงสมัยประชุมสภาทำให้มีภารกิจในสภา โดยขอให้เลื่อนไปหลังปิดสมัยประชุมสภาในเดือน พ.ย. ซึ่งศาลอนุญาตตามขอ
ฟื้นเวทีเสื้อแดงปรายศรัยเหนือ-อีสาน
นายจตุพรให้สัมภาษณ์ว่า ในเดือน ก.ย. นี้พรรคเพื่อไทยและกลุ่มเสื้อแดงจะเริ่มตั้งเวทีปราศรัยตามจังหวัดต่างๆเพื่อชี้แจงนโยบายและข้อเท็จจริงต่างๆ พร้อมทั้งบอกให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความล้มเหลวในการบริหารงานของรัฐบาล โดยจะเริ่มจากจังหวัดในภาคเหนือทั้งเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา จากนั้นจึงไปที่ภาคอีสาน เช่น นครพนม อำนาจเจริญ อุบราชธานี ยโสธร ส่วนการยื่นขอประกันตัวแกนนำเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำ แม้จะยื่นหลายครั้งและศาลยังไม่อนุญาตก็จะไม่ละความพยายาม โดยจะยื่นขอประกันตัวไปเรื่อยๆ
นายจตุพรกล่าวอีกว่า เร็วๆนี้จะนำข้อมูลเกี่ยวกับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ออกมาเปิดเผยอีก หลังจากที่เปิดเผยเบอร์หมอนวดประจำตัวหมายเลข 161 แต่ครั้งนี้ลึกกว่านั้น ให้นายธาริตเตรียมตัวไว้ได้เลย
แจ้งดำเนินคดี “จรัญ” ข้อหาเป็นกบฏ
ที่กองปราบปราม นายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหาเป็นกบฏล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย กรณีเข้าร่วมกับคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 2549
ไม่เคยปฏิเสธร่วมวางแผนยึดอำนาจ
นายเกียรติอุดมกล่าวอ้างข่าวการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่านายจรัญได้เข้าร่วมประชุมเพื่อวางแผนยึดอำนาจร่วม พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น ซึ่งต่อมาได้เป็นประธาน คปค. หัวหน้าคณะใช้กำลังทหารยึดอำนาจและยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งที่ผ่านมานายจรัญไม่เคยออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ จึงรับฟังได้อย่างปราศจากข้อสงสัยว่ามีส่วนร่วมในขบวนการดังกล่าวเพื่อยึดอำนาจ ซึ่งเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210
สอนหนังสือรับเงินขาดคุณสมบัติ
นอกจากนี้นายจรัญอาจมีคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ไม่สามารถดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อไปได้ เนื่องจากได้รับค่าตอบแทนจากการสอนหนังสือในสถาบันต่างๆจึงถือว่าเป็นลูกจ้าง โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาเอกชน การเป็นอาจารย์พิเศษสอนหนังสือโดยได้รับค่าตอบแทนการสอนนั้นเป็นการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 207 (3) ซึ่งจะมีกรณีต้องห้ามเหมือนเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 267 คือรับทำงานให้บุคคลใดไม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นในฐานะที่ปรึกษากฎหมายหรืออื่นใด
“ผมขอให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ หากพบว่ามีมูลความผิดขอให้ดำเนินคดีกับนายจรัญ” นายเกียรติอุดมกล่าว
รธน. ชั่วคราวนิรโทษกรรมให้แล้ว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การกระทำอันเกี่ยวเนื่องกับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ได้ถูกนิรโทษกรรมไปแล้ว โดยการกำหนดละเว้นโทษเอาไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2549 ในมาตรา 37 ที่ระบุเอาไว้ว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 ของหัวหน้าและคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รวมตลอดทั้งการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำดังกล่าว หรือของผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากผู้ที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้า หรือคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันได้กระทำไปเพื่อการดังกล่าวข้างต้นนั้น การกระทำดังกล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ รวมทั้งการลงโทษและการกระทำอันเป็นการบริหารราชการอย่างอื่น ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้น หรือก่อน หรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
รธน.ปี 50 ให้การรับรองนิรโทษกรรม
นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองการกระทำในรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 309 ที่ระบุว่า บรรดาการใดๆที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหน้าหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
ดังนั้น แม้นายจรัญจะไม่เคยออกมาปฏิเสธว่าร่วมวางแผนยึดอำนาจ แต่การจะเอาผิดกับนายจรัญก็ต้องตีความว่านายจรัญได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวปี 2549 และรัฐธรรมนูญปี 2550 หรือไม่
“มาร์ค” สั่งคุมการปราศรัยคนเสื้อแดง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จะติดตามการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยว่าเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะใด หากเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดความวุ่นวายถือว่าผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำได้
“การเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการตั้งเวทีปราศรัยเป็นเรื่องปรกติที่สามารถทำได้ ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาสาระว่ามีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ ส่วนความกังวลว่าอาจเกิดเหตุการณ์แทรกซ้อนเจ้าหน้าที่ก็ต้องดูแลไม่ให้เกิด” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า สถานการณ์ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงละเอียดอ่อนเพราะยังมีความเห็นที่แตกต่างหลากหลายกันอยู่
ยังมีความเคลื่อนไหวหลายพื้นที่
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีจังหวัดไหนที่ต้องจับตาเป็นพิเศษหรือไม่ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาเป็นระยะ มีทั้งในภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง รวมทั้งปริมณฑล อย่างจังหวัดเชียงใหม่ที่เพิ่งยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก็มีรายงานความเคลื่อนไหวเข้ามาตลอด ซึ่งหากเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบกติกาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
“การที่คนเสื้อแดงเลือกไปจัดกิจกรรมในพื้นที่ที่มีผู้ให้การสนับสนุนมากเป็นเรื่องปรกติ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเป็นการชุมนุมที่มีลักษณะจะทำให้ปัญหาบานปลายออกไปเจ้าหน้าที่ก็ต้องเข้มงวด เมื่อมีสิ่งบอกเหตุว่าจะนำไปสู่ความรุนแรงก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น” นายอภิสิทธิ์กล่าว
“สุเทพ” ขู่ล้ำเส้นจับดำเนินคดีทันที
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า จะยังไม่มีรายงานเสนอนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพิ่มเติมในตอนนี้
“การประเมินเราไม่ได้ประเมินกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือกำหนดเวลาว่าต้องเสนอนายกฯเมื่อไร แต่จะดูตามข้อเท็จจริง หากเห็นว่ายกเลิกได้จึงเสนอเรื่องต่อนายกฯ” นายสุเทพกล่าวและว่า แกนนำเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทยสามารถลงไปทำกิจกรรมในจังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ แต่ว่าถ้าไปปลุกปั่นยุยงให้คนโกรธกัน เกลียดกัน ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายก็ต้องจับกุมดำเนินคดี
“นายจตุพรควรเอาสักทาง ไม่ใช่จ้องแต่ละล้มรัฐบาลให้ได้ ล้มในสภาไม่ได้ก็ล้มนอกสภา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง” นายสุเทพกล่าว
**********************************************************************
เสียดายวีรกรรม...‘ชาวบ้านบางระจัน’
สยามธุรกิจ
พวกเราคงเคยได้ยินการให้สัมภาษณ์ของบรรดาผู้นำเหล่าทัพในลักษณะที่ว่า “กองทัพไทยจะไม่ยอมให้อริราชศัตรูเข้ามารุกรานแผ่นดินไทย” บ้างก็ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนไทย” หรืออย่างประโยคสุดฮิตที่ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติไทย.. จะไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด” หรือประโยคทองที่ว่า “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทย” และ “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกดินแดนของไทยออกไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”
ได้ยินได้ฟังกันมาเป็นสิบๆ ปีจนเลี่ยนหูไปหมดแล้วครับท่านผู้อ่าน.. แต่วันนี้ไฉนกลับเป็นเหมือนหนังคนละม้วน ..ทั้งชายแดนฝั่งซ้ายติดพม่า กับชายแดนฝั่งขวาติดเขมร.. ต่างถูกตีขนาบด้วยเรื่องพื้นที่ทับซ้อน.. หาจุดหลักปักปันเขตแดนที่แน่นอนไม่ได้.. นี่ยังไม่นับรวมพื้นที่ภาคอีสานตอนบนที่ติดกับ ส.ป.ป.ลาว ที่วันนี้สงบนิ่งแต่รอวันประทุขึ้นมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้..
ทั้งหลายทั้งปวง “ทาสพสุธา” ขอกล่าวโทษไปที่นโยบายที่ไม่มีความต่อเนื่องของแต่ละรัฐบาล.. ทั้งที่ประเด็นเรื่องการปักปันหลักเขตแดนเป็นวาระแห่งชาติ.. มีผลกระทบต่อคนไทยทั้งประเทศ.. ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่วางกันเอาไว้.. แต่ “ข้าราชการประจำใจเสาะ” 2 หน่วยงานกลับบ้าจี้เดินตามก้นนักการเมืองขายชาติ.. ลุยถั่วกระทำการบางอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา..จนประเทศชาติอาจจะต้องสูญเสียอธิปไตยไปแบบไม่มีวันได้คืน..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวกเราคงเคยได้ยินการให้สัมภาษณ์ของบรรดาผู้นำเหล่าทัพในลักษณะที่ว่า “กองทัพไทยจะไม่ยอมให้อริราชศัตรูเข้ามารุกรานแผ่นดินไทย” บ้างก็ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งบูรณภาพแห่งดินแดนไทย” หรืออย่างประโยคสุดฮิตที่ว่า “กองทัพจะรักษาไว้ซึ่งเอกราชของชาติไทย.. จะไม่ยอมตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด” หรือประโยคทองที่ว่า “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาล่วงล้ำอธิปไตยของชาติไทย” และ “กองทัพจะไม่ยอมให้ใครมาแบ่งแยกดินแดนของไทยออกไปแม้แต่ตารางนิ้วเดียว”
ได้ยินได้ฟังกันมาเป็นสิบๆ ปีจนเลี่ยนหูไปหมดแล้วครับท่านผู้อ่าน.. แต่วันนี้ไฉนกลับเป็นเหมือนหนังคนละม้วน ..ทั้งชายแดนฝั่งซ้ายติดพม่า กับชายแดนฝั่งขวาติดเขมร.. ต่างถูกตีขนาบด้วยเรื่องพื้นที่ทับซ้อน.. หาจุดหลักปักปันเขตแดนที่แน่นอนไม่ได้.. นี่ยังไม่นับรวมพื้นที่ภาคอีสานตอนบนที่ติดกับ ส.ป.ป.ลาว ที่วันนี้สงบนิ่งแต่รอวันประทุขึ้นมาอีกในอนาคตอันใกล้นี้..
ทั้งหลายทั้งปวง “ทาสพสุธา” ขอกล่าวโทษไปที่นโยบายที่ไม่มีความต่อเนื่องของแต่ละรัฐบาล.. ทั้งที่ประเด็นเรื่องการปักปันหลักเขตแดนเป็นวาระแห่งชาติ.. มีผลกระทบต่อคนไทยทั้งประเทศ.. ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่วางกันเอาไว้.. แต่ “ข้าราชการประจำใจเสาะ” 2 หน่วยงานกลับบ้าจี้เดินตามก้นนักการเมืองขายชาติ.. ลุยถั่วกระทำการบางอย่างโดยไม่ลืมหูลืมตา..จนประเทศชาติอาจจะต้องสูญเสียอธิปไตยไปแบบไม่มีวันได้คืน..
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" สังเคราะห์เกมการเมืองเรื่องปราสาทและเขาพระวิหาร การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่? ทางออกคืออะไร?
ประเด็น"ปราสาทพระวิหาร"มีข้อถกเถียงในหลายระดับ
นับตั้งแต่"ข้อเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดี" เพื่อที่จะเอาตัวปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทย
เหตุการณ์แนวรบเลยเถิดไปถึงต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนฝั่งแม่น้ำโขง
และประเด็นที่ถูกขยายความไปไกลกว่านั้นคือข้อสงสัยว่า การปักปันเขตแดนทางบกจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจเอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่?
การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์ และ"ทางออก" คืออะไร ?
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มีคำอธิบายทั้งเชิงการเมืองและเชิงประวัติศาสตร์ นับจากบรรทัดนี้ถัดไป...
@ ปัญหาปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องเอกสารแผนที่ หรือเรื่องอะไรกันแน่
ปัญหาอยู่ที่ "เกมส์การเมือง" ผมคิดว่ากรณีปราสาทเขาพระวิหาร น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2505 (1962) เมื่อศาลโลกมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แล้วต่อมาเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2551 (2008) ที่ที่ประชุมยูเนสโก มีมติเอกฉันท์ 21 ประเทศ (ไม่มีการลงคะแนนโหวดอย่างในกรณีของศาลโลก) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่เหตุที่เรื่องนี้ปะทุมาอีก เป็นระยะๆ เพราะมีการทำให้เป็นประเด็นทาง "เกมส์การเมือง" เพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม หรือเพื่อเก็บคะแนนเสียงไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่ใช่ประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศตรงๆ และก็ไม่ใช่ประเด็นเรื่องมรดกโลกตรงๆ
@ การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์
ในด้านหนึ่ง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เป็นเกมส์การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาลกัมพูชาอย่างมากๆ เป็น "วาระแห่งชาติ" ของเขา คือในขณะที่ประเด็นทางเกมส์การเมืองของไทย สร้างความแตกแยกในประเทศไทย แต่ในทางตรงข้าม ประเด็นเกมส์การเมืองในกัมพูชา สร้างความสมานสามัคคีให้ชนชาติเขมรอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย นับตั้งแต่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ได้เอกราชมา นับตั้งแต่มีสงครามในเขมร แตกแยกเป็น 4 ฝ่าย แต่ในปัจจุบันเรื่องปราสาทพระวิหาร สร้างความเป็นเอกภาพ สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลของสมเด็จฮุนเซนอย่างมาก ไม่เคยมีครั้งใดที่รัฐบาล จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น และไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลผสม เป็นครั้งแรก เพราะกรณีปราสาทเขาพระวิหาร
ขณะที่เกมส์การเมืองลัทธิชาตินิยมของไทย หากกล่าวโดยย่อ เป็นประเด็นทางเกมส์การเมืองภายในประเทศ ที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับทุกรัฐบาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อๆ ไป ไม่ว่าเสื้อ "สี" ไหนจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นประเด็นบั่นทอน เป็นหนามยอกอก ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวไทยไปอีกหลายปี กลายเป็น "วิกฤตแห่งชาติ" ถ้าหากไม่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่หาทางออกใหม่ๆ
@ ทางออกคืออะไร
"ทางออก" ไม่น่าจะยาก ถ้าเปลี่ยนวิธีคิดได้ แต่มันยากตอน "เปลี่ยนวิธีคิด" ซึ่งทางออกที่บอกว่าไม่ยากนั้น เพราะหลายๆ ชาติ ก็ทำกัน เช่น บราซิลกับอาเจนตินา ที่มีพรมแดนติดกัน มีน้ำตกมหึมา (บางคนว่ายิ่งใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาด้วยซ้ำไป) ที่เคยเป็นข้อพิพาทเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก Igaucu National Park ก็ตกลงใช้ประโยชน์จากเรื่องน้ำตกแห่งนี้ ทางจีนกับรัสเซียเอง ก็สามารถตกลงเขตแดนทางบกกันได้ และบริเวณชายแดน ไทยกับมาเลเซีย จากเดิมที่เคยมีปัญหาว่าเขตแดนทางทะเล แบ่งเอาตรงไหนแน่ แต่ในที่สุดรัฐบาลไทย และมาเลเซีย ก็สามารถตกลงว่า เรื่องนี้ไม่ต้องทะเลาะกันดีกว่า เรื่องนี้เก็บไว้อีก 50 ปีข้างหน้า ค่อยมาคุยกัน อาจจะเป็นรุ่นหลานหรือเหลน ซึ่งมีสติปัญญามากกว่าเรา มาตกลงกันในอนาคต แต่ตอนนี้ไทยกับมาเลเซียมาร่วมกัน ขุดเอาแก๊สธรรมชาติมาใช้เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศชาติจะดีกว่า
@ หาประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องปักปันเขตแดน
ใช่ แชร์ผลประโยชน์กันก่อน แชร์ผลประโยชน์กันดีกว่า แล้วเอาไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งคงจะไม่ "งี่เง่า" เหมือนคนรุ่นเราๆท่านๆ ลูกหลานคงต้องฉลาดกว่า ไปตกลงกันได้ เรื่องนี้ทะเลาะกันไปทำไม เหมือนคนในยุโรปรุ่นก่อนๆ ก็เคย "งี่เง่า" ฆ่ากัน ระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แต่คนรุ่นนี้บอกว่าเป็น "ยูโร" ดีกว่า เป็น "ประชาคมยุโรป" ใช้เงิน "ยูโร" ด้วยกัน ไม่ต้องมีวีซ่า เผลอๆ พาสปอร์ต ก็ไม่ต้องมีก็ได้ เราๆท่านๆ หรืออาจจะต้องรอจนรุ่นลูกหลานเรา เป็น "อาเซียน" มีเงิน "อาเซียน" เป็นประชาคมอาเซียน" Asean Community ได้หรือไม่ หรือคน "เอเชีย" ยังมี "วุฒิภาวะ" ไปไม่ถึง
@ ถ้าไม่จริงจังเรื่องเขตแดน จะสูญเสียอัตลักษณ์ และความเป็นชาติไทยหรือเปล่า
ความเป็น "ไทย" คืออะไรเล่า? ภาษาไทย ก็ยืมคำมาจาก เขมร จีน ฝรั่ง เยอะแยะ แค่คำว่า "เดิน" กับ "ดำเนิน" ที่เราใช้กันทุกวี่ทุกวัน คำว่า "เจริญ" กับ "จำเริญ" ที่เราเปล่งถวายพระพร หรือคำว่า "ชาญ" กับ "ชำนาญ" คำต่างๆแบบนี้เป็นคำเขมร เราก็ยืมมาใช้หลายร้อยปีแล้ว ถ้าเป็นไทยแท้ๆ เราก็ "เดิน" ไม่ได้ ต้อง "ย่าง" หรือ "ก้าว" ฉะนั้น ความเป็นไทยอยู่ที่การต้องยอมรับ "ความหลากหลาย-แตกต่าง" ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมของความเป็นไทย อย่าง "โจงกระเบน" ที่คิดว่าเป็นไท้ไทย เอาเข้าจริงก็เป็นของเขมร "โจง" เป็นคำเขมร แปลว่า "ผูก" "กระเบน" ก็เป็นคำเขมร แปลว่าหาง ถ้าเป็นไทยแท้ ของไทย ต้องบอกว่า "นุ่งผูกหาง" สิ จึงจะถูกต้องตามภาษาดั้งเดิมของเรา ดังนั้น เราต้องยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลากที่ "ความเป็นไทย" หยิบยืมมา บางทีความเป็น "ไทย" นั้น ไปบีบให้เหลือพื้นที่เพียงนิดเดียว ถึงมีปัญหามากมาย
ถ้าเป็น "สยาม" ก็คิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าตั้งแต่เปลี่ยนนามประเทศอย่างเป็นทางการจาก "ไทย" เป็น "สยาม" จาก Siam เป็น Thailand (2482) นั้นสร้างลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับ "ชาติ" เกี่ยวกับ "ชาตินิยม" หรือ "เชื้อชาตินิยม" เป็นปัญหามากๆๆๆ "รักชาติเกินพอเพียง" ผมถึงได้เสนอว่า เผลอๆ อาจต้องเปลี่ยนชื่อ แบบเราๆท่านๆนี่แหละ ที่คิดว่าชื่อไม่เป็น "มงคล" ก็เลยไปหาพระหาเจ้า ให้เปลี่ยนให้ใหม่ อย่าง "ประเทือง" ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอะไรน่ะ ดังนั้น ถ้าเปลี่ยน "ไทย" เป็น "สยาม" ได้ เปลี่ยน Thailand เป็น Siam เปลี่ยนธงชาติ ให้เป็นแบบธงทหารเรือ คือ มีทั้งไตรรงค์ มีน้ำเงิน ขาว แดง และแถมยังมี "ช้างเผือก" อยู่ตรงกลางด้วย อาจแก้ปัญหาได้ ปฏิรูป ปรองดอง สมานฉันท์ เกี้ยเซี้ยะ และรักสามัคคีกันได้
@ เปลี่ยนภาษา จะสามารถเปลี่ยนความคิดได้ยังไง
ภาษาก็เป็นตัวกำหนดความคิด ไวยกรณ์ก็กำหนดความคิด สถานที่ ก็กำหนดความคิด ถ้าคุณเรียนที่ท่าพระจันทร์กับเรียนที่รังสิต คุณคิดว่า คุณมีความคิดเหมือนกันไหม ผมว่ามันจะเปลี่ยนวิธีคิดหมดเลย คือเวลาคนที่เขาคิดว่า "ชื่อ" ไม่สำคัญ ชื่ออะไร แม้ไม่ใช่ "กุหลาบ" ก็หอม แล้วทำไม ไม่เปลี่ยนชื่อให้เป็น "ดอกเงิน" เล่า ทำไม คนที่คิดว่าชื่อของตนไม่ถูกโฉลก ไม่เป็นศิริมงคล ทำไมเขาและเธอถึงไปเปลี่ยนกันเล่า แน่นอน การเปลี่ยนชื่อไม่ได้หมายถึงการที่จะแก้ปัญหาได้หมด ได้ทันที แต่นี่เป็นก้าวแรกของการ "คิดใหม่" หรือ "ทำใหม่" ครับ
@ ภาษาการเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร (Phra Viharn) หรือ เปรี๊ยะวิเฮียร์ (Preah Vihear) ยังเป็นเรื่องติดค้างระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้
เรื่องนี้ซับซ้อนมาก ต้องแยกให้ดีว่า เป็นเรื่องของภาษาพูดหรือภาษาเขียน แล้วก็ต้องแยกให้ดีว่าเป็นภาษาไทย หรือ ภาษาเขมร หรือภาษาอังกฤษ ใช่ เพราะเรายืนยันว่าเป็นของเรา จึงบอกให้เขียนภาษาอังกฤษ แบบที่เราออกเสียง คือ Phra Viharn แต่ความจริงตัวเขียนเดิม ที่เขียนทั้งในภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส ก็เขียนว่า Preah Vihear มาร้อยกว่าปีแล้ว มาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสกับรัชกาลที่ 5 มาจนกระทั่งครั้งขึ้นคดีศาลโลกสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ใช้กันมาเช่นนี้ ตอนนี้ไปเถียงกับเขาให้ชาวโลกดูว่าต้องเป็น Phra Viharn ก็ดูจะตลกๆ และ "คิคุ" ไปหน่อย ส่วนภาษาพูด หรือการออกเสียง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ เราออกเสียงด้วยลิ้นไทย เราออกเสียง ร.เรือ ที่ปิดท้ายคำ เป็น น.หนู จึงเป็น "หาน" (แม้จะเขียนว่า "หาร" ก็ตาม เราไม่ได้ออกเสียว่าเป็น "เฮียร์" แบบเขมร ปัญหานี้เป็นเรื่องลิ้นใครลิ้นมัน ดังนั้น ตอนนี้จะมาบอกว่าให้สะกดตามแบบลิ้นไทย ทั้งๆ ที่ยอมรับให้เขียนกันมาอย่างนี้ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ (มท) กับสมเด็๗กรมพระยาเทววงศ์ (กต) ก็รับตัวเขียน Preah Vihear มาใช้นมนานแล้วอย่างที่กล่าวข้างต้น รับมาจนถึงตอน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไปเป็นทนายขึ้นศาลโลกให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วตอนนี้จะมาเปลี่ยน มันก็ดูยังไงๆ ชอบกล
@ ความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์ปราสาทพระวิหาร ร่วมกันระว่างไทย-กัมพูชา
ต้องทำให้ผู้นำรัฐบาล หรือนายกฯ ทั้งสองชาติ เป็นมิตรกันก่อน แต่ตอนนี้ผู้นำ อยากจะ make war มากกว่า make love และและก็เป็นการ make war เพื่อผลประโยชน์บางอย่างทางเกมส์การเมืองของ "พรรค" หรือของ "กลุ่มชน" ที่เคลื่อนไหวแล้วอ้างว่าเป็น "ภาคประชาชน" ทั้งๆที่การ make love น่าจะได้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ และต่อประชาชนโดยรวมมากกว่า แต่ผมว่า อันนี้คือประเด็นทาง "การเมือง" อย่างไรเล่า เรากำลังดู "ละครการเมือง" ฉากใหญ่มาก ต้องตั้งใจดูให้ดี (แม้จะไม่อยากดูก็ตาม เพราะเป็น "ไฟล๊ทบังคับ") แล้วคอย "จับผิด" ตัวแสดงให้ได้
@ การเมือง แปลว่าเราไม่ต้องพูดความจริงหรือ
แน่นอน คุณคิดว่า "นักการเมือง" พูดความจริงหรือ "นักการเมือง คือ คนที่พูดความไม่จริง ให้ดูเหมือนจริง ดูน่าเชื่อถือเป็นบ้าเลย" (หัวเราะ) และบางที ถึงขนาดว่านักการเมืองต้องพูดความเท็จ ให้ดูเหมือนจริง เนียน หรือให้มันกำกวม ต้องให้ตีความแล้วเป็นประโยชน์ต่อเขา
@ ทำไมประเทศไทย ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นการสร้างความเป็นเอกภาพภายในประเทศ เช่นเดียวกับกัมพูชา
เพราะกรณีปราสาทพระวิหาร ถูกทำให้เป็น "เกมส์การเมืองภายใน" ของไทยอย่างมาก ถูกใช้โดยรัฐบาลหลายรัฐบาล โดยจะนำขึ้นมาหรือไม่นำขึ้นมา เพื่อพิชิตฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลไทยหลายรัฐบาลใช้มาตลอด รัฐบาลจะปลุกกระแสความรักชาติ ชาตินิยม การเสียดินแดน รัฐบาลปลุกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพิบูลสงคราม เมื่อ 70 ปีที่แล้ว รัฐบาลสฤษดิ์ เกือบ 50 ปี มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายพันธมิตร หรือเสื้อเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองปัจจุบัน ต่างก็ใช้กรณีนี้สร้างความนิยมให้ตัวเอง สร้างแต้ม และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียแต้ม หรือถูกโค่นล้มด้วยซ้ำไป
@ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ใช้เรื่องปราสาทพระวิหารอีกแบบหนึ่ง
ในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช (2551) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (2331-34) ที่ได้ "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นตลาดการค้า" และเอาเข้าจริงรัฐบาลเกือบทุกรัฐบาลหลังจากนั้น ก็เดินตามเกมนี้ของ พล.อ.ชาติชาย ทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ยังได้ลงนาม เอ็มโอยู 2543 (MoU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร (รมช.กต.) กับ ฮอร์นัมฮง และหลังจากนั้นรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ก็เดินเกมส์นั้นต่อมา โดยยังให้การสนับสนุน (หรือย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน) กัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่การประชุมที่เมืองไครส์เชิรส ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อปี 2550 (2007) แม้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จะไม่ได้ส่ง รมว.ต่างประเทศ (คือนิตย์ พิบูลสงคราม ด้วยเหตุผลที่ไม่แจ้งชัดนัก อาจเป็นเพราะว่านามสกุล ซึ่งเคยถูกใช้เป็นชื่อว่าจังหวัดพิบูลสงคราม แทนจังหวัดเสียมราฐ ที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามไปยึดได้และปกครองเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2484-2488) ไปเจรจาที่นิวซีแลนด์ก็จริง แต่ตัวแทนของรัฐบาลในขณะนั้นคือ อดีตทูต มนัสพาสน์ ชูโต ก็ให้ความเห็นชอบ (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน จะด้วยเหตุผลของ "สี" เสื้อ หรือรัฐบาลก็ตาม)
ในตอนนั้น กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ยังไม่ถูกปลุกระดมขึ้นมา ในการประชุมที่นิวซีแลนด์ ในปี 2550 แต่จะถูกปลุกในปี 2551 เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเป็น สมัคร สุนทรเวช และ รมต. กต. คือ นพดล ปัทมะ ผมเข้าใจว่า ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนิตย์ พิบูลสงคราม เป็น รมต. กต. อยู่ในปี 2551 ประเด็นนี้ ก็อาจจะไม่ถูกปลุกก็ได้ ไม่แน่นะครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ใครเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นเกมส์การเมืองของเสื้อ "สี" อะไร
@ ความทรงจำประวัติศาสตร์ กับประเทศเพื่อนบ้าน
ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่สมัยสมบูรณายาสิทธิราช จนถึงการ "ปฏิวัติ" เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ตำราเรียนก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เพราะยังทำให้กัมพูชาเป็น "ผู้ร้าย" ในประวัติศาสตร์อยู่เรื่อยไป แต่เป็นผู้ร้ายแบบ "ตัวเล็กๆ" จะข่มขู่เคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ได้ เป็นลูกไล่ ลูกกะโร่ แต่ใน ขณะที่พม่า ถูกทำหรือวาดภาพให้เป็น "ผู้ร้ายตัวใหญ่" พม่ายกทัพมาทีไร ก็ตีหรือเผากรุงศรีอยุทธยาได้ ส่วนเขมรมาทีไร ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ต้องถอยกลับไป และไทยเราต้องไป "เอาคืน" อย่างในกรณีของ "พระยาละแวก" คือมีแต่ประวัติศาสตร์ที่มอง "ด้านเดียว" ว่าไทยเราถูก "กระทำ" อย่างหนักโดยพม่า ในเวลาเดียวกัน เขมรก็เข้ามาซ้ำเติม "กระทำ" อย่างเบา
ในประวัติศาสตร์ไทยเรา ก็ไม่มี "ความทรงจำ" ไม่ได้เขียนว่ากษัตริย์ไทยเรา สมัยพระเจ้าสามพระยาของกรุงศรีอยุธยา ก็เป็นฝ่ายกระทำ ที่ไปตีนครวัด นครธม หรือ "กรุงศรียโสธรปุระ" ของกัมพูชาจนแตก กลายเป็นเมืองร้างไปจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ กษัตริย์ ไทยเราสมัยพระนเรศวร ก็ไปตีเมืองละแวกจนแตก ทำให้เมืองละแวกกลายเป็นเมืองร้าง สมัยต่อๆมาก็ไปตีเมืองอุดงมีชัย (เมืองหลวงเขมรสมัยหลัง) ตีเมืองพนมเปญ แต่เราจะไม่มีในประวัติศาสตร์ของ "เหรียญสองด้าน" เรามีแต่ "เสีย" กรุงศรีอยุทธยา "เสียดินแดน" แต่เราไม่บอกว่า "ได้" นครวัดนครธม "ได้" กรุงละแวก หรือ "ได้" กรุงพนมเปญ หรือแม้แต่เรื่องของการ "ได้ดินแดนเสียมราฐ-พระตะบอง" มาก่อนในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะ "เสียดินแดน" นั้น ไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่คือ "ปัญหาในประวัติศาสตร์ของไทย"
@ ตั้งแต่เราเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทยหรือเปล่า
ที่จริงก็มีมาก่อนเปลี่ยนชื่อ "สยาม" เป็น "ไทย" แต่ผมคิดว่า เมื่อเปลี่ยนสยามเป็นไทย ได้สร้างวาทกรรมใหม่ ที่ฝังอยู่ในหัวสมองคนไทยปัจจุบัน คือ คิดว่าลาวเป็น "ของ" ไทย ส่วนเขมร ก็เป็น "ของ" ไทย ทั้งๆที่ในความเป็นจริง "ลาวเป็นของลาว" มาก่อน และ "เขมรเป็นของเขมร" มาก่อน ดังนั้น วาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของไทย จึงมีแต่เรื่อง "เสียดินแดน" หลายครั้งต่อหลายครั้ง รวมแล้ว 15 ครั้ง แถมทำท่าจะ "เสีย" อีกในตอนนี้ ดังนั้น ไทยเราไม่มีประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ที่จะบอกว่าไทย "ได้" มาก่อน แล้ว "เสีย" ไป
ในสมัยที่ยังเป็นสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งระบอบการปกครองสมัยนั้น "ยอมรับ" ว่าต้อง "เสีย" และยอมรับที่จะต้องร่วมขีดเส้น "เขตแดน" หรือ "พรมแดน" ในอินโดจีน (ลาวและกัมพูชา) เพราะถ้าไม่ยอมรับก็ "เสียดินแดน" ทั้งประเทศ ที่เคยนึกฝันว่าอังกฤษของพระนางวิกตอเรีย หรือรัสเซียของพระเจ้าซาร์ จะมาช่วยนั้นก็เป็นแต่เพียง "ความฝัน" และเป็น "ตำนาน" ปลอบใจ (คนสมัยนี้ด้วยกันเอง" เสียมากกว่า)
แต่ต่อมาสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แล้ว สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ฝรั่งเศสตกต่ำจนกระทั่งถูกเยอรมนียึดครอง ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ และ "ไทยใหม่" หรือเมื่อกระทำการเปลี่ยน "สยาม" ให้เป็น "ไทย" ก็สร้างกระแสลัทธิ (เชื้อ) ชาตินิยม สร้างวาทกรรมใหม่ว่า ไทย "เสียดินแดน" ไทยสมัยสยาม เป็นลูกแกะ ถูกหมาป่าฝรั่งเศส กระทำ ไทยใหม่ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไป และนี่ก็เป็นที่มาของการเรียกร้องดินแดน "สองฝั่งโขงเป็นของเรา" หรือ "มณฑลบูรพา นี่ก็เป็นของเรา" (ตามคำขวัญของหลวงพิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ)
ปัญหาทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ สิ่งที่ไทยเราอ้าง มักจะเป็นการอ้างเพียงด้านเดียว ผมเรียกว่าเป็น "ประวัติศาสตร์บกพร่อง" และก็เป็น "ประวัติศาสตร์บาดแผล" ในเวลาเดียวกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอ้างเพียงแค่ "อนุสัญญากรุงโตเกียว 9 พฤษภาคม 2448" (สมัยนั้นเขียนว่า "โตกิโอ") เราก็จะได้ดินแดน "เสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-นครจัมปาศักดิ์-ลานช้าง" คืนมา เพิ่มมาอีก 4-5 จังหวัด แต่ถ้าดู ประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ก็จะเห็นว่ามี "อนุสัญญากรุงวอชิงตัน 17 พฤศจิกายน 2489 ที่ต้องคืนดินแดนที่ได้มานั้นไป
มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ "ลืม" หรือ "ไม่จำ" เกี่ยวกับเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร กล่าวคือในอนุสัญญาโตเกียว (โตกิโอ) ฉบับนั้น ไทยได้ปราสาทเขาพระวิหารมา พร้อมๆกับได้ปราสาทวัดพู (วัดภู) ในนครจัมปาศักดิ์ (ของลาว) มาด้วย อันว่าปราสาทวัดพูนี้ เป็นปราสาทขอม/เขมรที่เก่าแก่กว่า และเป็นแม่แบบของปราสาทเขาพระวิหาร คือ เป็นต้นแบบของปราสาทที่สร้างให้อยู่บนเขา วิธีการสร้าง การวางผัง เป็นแบบเดียวกันเลย ฉะนั้น ผังของปราสาทวัดพู ก็ถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพระวิหาร แล้วผังของปราสาทเขาพระวิหาร ก็จะถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพนมรุ้ง
กล่าวโดยย่อ วัดพูเป็นเสมือน "แม่" ของพระวิหาร และก็เป็นเสมือน "ยาย" ของพนมรุ้งนั่งเอง แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้สนใจ ที่จะพูดถึงความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวเนื่องกันของ ปราสาทวัดพู แต่ที่น่าสนใจก็คือ ประเทศลาวได้ยื่นเรื่องไปยูเนสโก จนกระทั่งทำให้ปราสาทวัดพูขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ก่อนหน้าปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาถึง 6 ปีด้วยซ้ำไป ทำให้ต่อมากัมพูชาก็ดำเนินการเสนอ จนทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2551
แต่ฝ่ายไทยเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ให้ขึ้นทะเบียนได้เป็น "มรดกโลก" กับเขาบ้าง
รวมความแล้ว ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เราอ้างแต่ประวัติศาสตร์ที่ได้ประโยชน์ เพื่อการสร้าง "วาทกรรม" ทางเกมส์การเมือง ของ "การเสียดินแดน" ขยายความไปอีกว่าเป็นการ "เสียค่าโง่" บ้างล่ะ ขยายความไปว่าเป็นการ "เสียรู้" เรื่องเหล่านี้ ฝังรากลึกมากในมโนคติของสังคมไทย ไม่ว่าจะในตำราเรียน ในกลุ่มนักการเมือง นักวิชาการ และนักสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พวกกระแสหลัก" ทั้งหลาย
ผมจึงเรียกกรณีนี้ว่าเป็น "หลุมดำ" หรือ เป็น black hole
กล่าวคือ ในจักรวาลนี้ของเรา มี "หลุมดำ" ที่จะดูดทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวใหญ่โต สะเก็ด หรืออุกาบาต จะหลุดเข้าไปหมด ออกมาไม่ได้ นี่เป็นความเป็นจริงในทางวิทยาศาสตร์ หรือดาราศาสตร์ แต่ก็สามารถนำมาอุปมาอุปไมยทางสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ หรือแม้กระทั่งไสยศาสตร์ด้วยก็ได้ คือ มี "หลุมดำ" สำหรับสังคมไทยของเรา หลุมดำ นี้มีต้นกำเนิดมาจาก "ลัทธิชาตินิยม" ที่ "รักชาติเกินพอเพียง" เราอ้างแต่ประเด็นที่ได้ประโยชน์ ทั้งๆที่ข้อมูลมันเยอะมาก หลากหลาย แต่นักการเมืองจะบอก จะพูดเฉพาะข้อมูลที่เขาได้ประโยชน์มากที่สุด ตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปประชุมที่ควิเบก คานาดา หรือ เซวีญา ที่สเปน หรือแม้แต่ล่าสุดที่บาซีเลีย ก็ใช้ข้อมูลที่คิดว่ารัฐบาลของตน พรรคของตนจะได้ประโยชน์เท่านั้น
และนี่ก็เป็นทั้ง "ความผิดพลาด" และเป็น "จุดอ่อน" ของไทยเรา ดังจะเห็นในกรณีขึ้นศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 ทีมทนายของรัฐบาลไทย ที่มี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เชื่อนักเชื่อหนากับเรื่องของ "สันปันน้ำ" จากสนธิสัญญา 1904 (2447) หาได้ให้ความสนใจต่อสนธิสัญญา 1907 (2449/50) อีกหนึ่งฉบับไม่ คือ ฉบับที่รัชกาลที่ 5 ทรงลงพระนามให้สัตยาบันเมื่อครั้งเสด็จ "ไกลบ้าน" ไปกรุงปารีส ฉบับหลังนี้แหละ ที่กล่าวคลุมถึงเรื่องของ "แผนที่" อีกด้วย
ศาลโลกเขาจึงไม่ฟังทนายฝ่ายเรา คะแนนเสียงจึงออกมา 9 ต่อ 3 เมื่อปี 2505 ที่เราแพ้คดีไป ความผิดพลาดและการหลงเชื่อเหล่านี้ นักการเมืองไทยปัจจุบัน ระดับ นายกฯ และ รมต. ก็ยังเชื่อและใช้ข้อมูลเช่นนี้อยู่ แม้จะเป็นข้อมูลที่เราเคยใช้ แล้วแพ้คดีมาแล้วก็ตาม นำมาตอกย้ำ พูดซ้ำ ให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป นำไปขยายเรื่อง ขยายความจากเรื่องของตัวปราสาท กลายเป็นเรื่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นเรื่องพื้นที่ทางทะเล เรื่องมันถูกขยายไปเรื่อยๆ ตามเกมส์ของการเมือง ฉะนั้น ประเด็นนี้ ไม่จบง่ายๆ ขอให้คอยดูปีหน้า ที่กรรมการมรดกโลกของยูเนสโก จะไปประชุมที่บาห์เรน
ผมคิดว่าในทางสังคมศาสตร์และไสยศาสตร์ ก็มี "หลุมดำ" ครับ เรื่องของ "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" เป็น "หลุมดำ" ที่กำลังดูดคนไทย และชาติไทยลึกลงไปทุกทีๆ
@ ต้องอยู่ใน "หลุมดำ" ต่อไป
สิ่งที่ผมวิตกคือ จะขึ้นจาก "หลุมดำ" ไม่ได้ มันยากที่ต้องเปลี่ยนตรง "ความคิด" นี่เป็นเรื่องเกมส์การเมือง ถ้าการเมืองไม่ดี ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ จำเนื้อร้องเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งได้ไหม ที่ว่า "ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี"
@ ทำอย่างไรจะสามารถตกลงกันเรื่องเขตแดนได้
ตกลงกันได้ ถ้าหากผู้นำกับผู้นำ นายกฯ กับนายกฯ เป็นมิตรกัน อย่างจีนกับเวียดนาม รบกันมา 2 พันปี แต่พื้นที่บริเวณที่เป็นเวียดนามเหนือกับจีนประมาณพันกว่ากิโลเมตร ตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว ขีดเส้นปักหลักเขตแดนกันหมดเลย แล้วทั้ง 2 ชาติ ก็ออกมาแสดงความยินดีด้วยกัน เป็น เจบีซี (Joint Boundary Commission) ระหว่างจีนกับเวียดนาม แปลว่าตกลงกันได้ กรณีดินแดนไม่ว่าจะ 1 ตารางนิ้ว หรือ 1 ตารางเมตรอะไรก็ตาม มันตกลงกันได้
แต่ข้อสำคัญ คือ รัฐบาลกับรัฐบาล ต้องเป็นมิตรกัน เพราะคนที่ทะเลาะกัน มันเป็นคนเมืองหลวงนะ คนเมืองหลวงกับคนเมืองหลวงจะทะเลาะกัน ชนชั้นนำกรุงเทพฯ จะทะเลาะกับชนชั้นนำพนมเปญ ปักกิ่งทะเลาะกับฮานอย อะไรแบบนี้ แต่ชนชั้นล่าง คนที่อยู่ศรีสะเกษ กับจังหวัดพระวิหาร ไม่ทะเลาะกันหรอก เขาเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำไป ข้ามชายแดน-เขตแดนกันไปมา ทำมาหากินกันด้วยกัน เพราะฉะนั้น ประเด็นเรื่องเขตแดน จะแก้ได้ต้องมีรัฐบาลที่เป็นมิตรกัน จะแก้ได้ต้องคนชั้นบน คนที่ปกครองบ้านเมืองระดับนายกฯ หรือ รมต. นั่นแหละ หาใช่คนระดับล่าง หรือรากหญ้าไม่
ปัญหาอยู่ที่เมืองกรุง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชนบท ครับ
แม้แต่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเจ้าภาพประชุมมรดกโลกปีนี้ ก็เคยทะเลาะกับอาเจนตินา เรื่องน้ำตกที่อยู่ตรงเขตแดน มีปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วเคยทะเลาะกันมา แต่ด่าทอตีกันไปสักพักหนึ่งก็รู้ว่าไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่ดีกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันและเรียกทูตกลับ ก็ไม่มีทางดีกัน มันต้องตั้งทูตกลับไปคุยกัน ครับ
ตัวอย่างของการทะเลาะ แต่เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรของกรณีน้ำตกและปาร์คที่เรียกว่า "อีเกาซู" Igaucu National Park นี้ น่านำมาเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของไทยและกัมพูชาอย่างยิ่ง
@ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเอกสารหลักฐาน แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เต็มใจใช้ร่วมกัน
เอกสารหลักฐาน เอามาใช้เมื่ออยากทะเลาะหรือเป็นคดีความกัน แต่เอกสารหลักฐานจะโยนทิ้งไปก็ได้ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลเสียใหม่ก็ได้ ถ้าเผื่อ "ซี้" กัน อยาก make love not war ก็มองข้ามไปได้ คิดว่าพื้นที่ตรงนี้ ที่ว่า "ทับซ้อน" "เสียอีกหนึ่งตารางนิ้ว" ก็ ไม่ได้นั้น เอามาทำมาหากินด้วยกันก็ได้ว่ะ (หัวเราะ)
@ การใช้เวลาพูดเรื่องเอกสารหลักฐาน
ถ้าต้องการเอาชนะ มันก็อ้างนะครับ เอกสารหลักฐานแผนที่ ตอนนี้เขมรบอกว่าต้องใช้แผนที่ปี 1908 (2451) ที่เรียกว่า Dongrek หรือ "ดงรัก" แต่ไทยเรามักจะเรียกกันว่า "แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน" หรือเรียกว่า "แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำแต่ฝ่ายเดียว" และเราไม่ต้องการใช้ เราไม่รับแผนที่นี้ เราจะเอาสันปันน้ำ ส่วนทางเขมร เขายืนยันว่าแผนที่นี้ ฝรั่งเศสไม่ได้ทำฝ่ายเดียว แต่ทำกับสยาม และรัฐบาลสยามรับรู้ แถมยังเอามาใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และสมเด็จกรมเทววงศ์ ใช้มาเป็นเวลานานมาก
แม้กระทั่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ สมัยเป็นอภิรัฐมนตรีของรัชกาลที่ 7 ก็เคยขออนุญาตฝรั่งเศสก่อนขึ้นไปชมปราสาทพระวิหาร ถ่ายรูปกันเยอะแยะเป็นชุด ตั้งแต่ก่อนขึ้น และขึ้นไปค้าง 1 คืน แล้วเสด็จลงโดยนั่งคานหามลงมา ก็เป็นหลักฐานซึ่งกัมพูชา เอามาใช้และชนะคดี แต่ทนายไทยเราบอกว่าไม่รับแผนที่อันนั้น ตั้งแต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จนถึงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า ไม่รับแผนที่ เราถือสันปันน้ำ ปัญหาก็คือ สันปันน้ำนั้นเป็นสันปันน้ำตามแผนที่ฉบับไหน
ในตอนหลังไทยเรามีแผนที่อีกฉบับ ที่มักจะเรียกกันว่า L7017 (ซึ่งเริ่มทำด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2474 สมัยรัชกาลที่ 7) กับแผนที่ล่าสุด คือ L7018 ซึ่งทำด้วยเทคนิควิชาการแผนที่ของอเมริกัน แทนอันเก่าที่เป็นเทคนิคของฝรั่งเศส ถ้าถือตามนี้ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรก็ต้องอยู่ในเขตแดนของไทย ฉะนั้น สรุปได้ว่าอ้างแผนที่คนละฉบับ ถือกันคนละฉบับ เมื่อตกลงกันไม่ได้ จะทำอย่างไร จะเจรจากัน หรือจะกลับไปขึ้นศาลโลกใหม่ หรือจะบานปลายไปจนเป็นการสู้รบ กลายเป็นสงคราม นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าทั้ง "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" ได้กลายเป็น "วิกฤต" ไปแล้ว
จะตกลงกันได้ยังไง 2 ประเทศต้องเจรจากัน ถ้าเจรจาแบบทวิภาคี คือ 2 ประเทศไม่ได้ ก็ต้องเกิดพหุภาคี หรือหลายๆประเทศ ตอนนี้ สมเด็จฮุนเซน เดินหน้า "เกมส์การทูตและเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ" เลยหน้าสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องการคือ "ทวิภาคี" ไปแล้ว กัมพูชาได้ยื่นเรื่องไปยังสหประชาชาติ และไปยังเวียดนามในฐานะประธานอาเซียนปีนี้แล้ว (ร้อนถึง ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณที่เป็นทั้งเลขาธิการอาเซียน และเป็นอดีต รมต. กต. ของรัฐบาลชวน หลีกภัย สมัย MOU 2000 ต้องวิ่งไปเจรจากับผู้นำรัฐบาลพนมเปญ)
ถ้าไทยเรายกเลิก เอ็มโอยู 2543 (MOU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร กับนายฮอร์นัมฮง ซึ่งเป็นข้อตกลงแบบทวิภาคีกว้างๆ ที่จะทำการปักปัน "เขตแดน" ทางบกกัน ถ้ายกเลิกตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ และประชาชน (ภาคเหยี่ยว) เรื่องก็คงบานปลายไป อาจจะต้องไปสู่พหุภาคี มีอาเซียนเข้ามา มีประเทศที่สามเข้ามา (อาจเป็นเวียดนามหรืออินโดนีเซีย) มีสหประชาชาติเข้ามา อาจมีบราซิลเข้ามา หรือสถานการณ์อาจไปไกลถึงขนาดสู้รบเป็นสงครามกัน
สรุปแล้ว แปลว่ารัฐบาลไทยเอง นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน (หรือพรรคฝ่ายเฝ้ารอดู) ประชาชน (ฝ่ายเหยี่ยว ฝ่ายพิราบ ฝ่ายเฝ้าดู ฯลฯ) ต้องถามตัวเองว่า "เราจะทำอย่างไรกัน" what is to be done ?
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ของพรรคฯ ของกลุ่มฯ หรือของประชามหาชน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนอกเมืองกรุง) ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ชาติ" อย่างแท้จริง
***************************************************************************
เอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่? ทางออกคืออะไร?
ประเด็น"ปราสาทพระวิหาร"มีข้อถกเถียงในหลายระดับ
นับตั้งแต่"ข้อเรียกร้องให้รื้อฟื้นคดี" เพื่อที่จะเอาตัวปราสาทพระวิหารกลับมาเป็นของไทย
เหตุการณ์แนวรบเลยเถิดไปถึงต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิเหนือดินแดนฝั่งแม่น้ำโขง
และประเด็นที่ถูกขยายความไปไกลกว่านั้นคือข้อสงสัยว่า การปักปันเขตแดนทางบกจะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่อาจเอื้อต่อธุรกิจของเครือข่ายผู้ครอบครองอำนาจเก่าหรือไม่?
การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์ และ"ทางออก" คืออะไร ?
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มีคำอธิบายทั้งเชิงการเมืองและเชิงประวัติศาสตร์ นับจากบรรทัดนี้ถัดไป...
@ ปัญหาปราสาทพระวิหาร เป็นเรื่องเอกสารแผนที่ หรือเรื่องอะไรกันแน่
ปัญหาอยู่ที่ "เกมส์การเมือง" ผมคิดว่ากรณีปราสาทเขาพระวิหาร น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2505 (1962) เมื่อศาลโลกมีมติ 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา แล้วต่อมาเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็น่าจะจบไปตั้งแต่ปี 2551 (2008) ที่ที่ประชุมยูเนสโก มีมติเอกฉันท์ 21 ประเทศ (ไม่มีการลงคะแนนโหวดอย่างในกรณีของศาลโลก) ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่เหตุที่เรื่องนี้ปะทุมาอีก เป็นระยะๆ เพราะมีการทำให้เป็นประเด็นทาง "เกมส์การเมือง" เพื่อโค่นล้มฝ่ายตรงข้าม หรือเพื่อเก็บคะแนนเสียงไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่ใช่ประเด็นทางกฎหมายระหว่างประเทศตรงๆ และก็ไม่ใช่ประเด็นเรื่องมรดกโลกตรงๆ
@ การเมืองแบบนี้ใครได้ประโยชน์
ในด้านหนึ่ง จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ได้เป็นเกมส์การเมืองที่เอื้อประโยชน์ให้กับรัฐบาลกัมพูชาอย่างมากๆ เป็น "วาระแห่งชาติ" ของเขา คือในขณะที่ประเด็นทางเกมส์การเมืองของไทย สร้างความแตกแยกในประเทศไทย แต่ในทางตรงข้าม ประเด็นเกมส์การเมืองในกัมพูชา สร้างความสมานสามัคคีให้ชนชาติเขมรอย่างไม่เคยมีมาก่อนเลย นับตั้งแต่ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นับตั้งแต่ได้เอกราชมา นับตั้งแต่มีสงครามในเขมร แตกแยกเป็น 4 ฝ่าย แต่ในปัจจุบันเรื่องปราสาทพระวิหาร สร้างความเป็นเอกภาพ สร้างความมั่นคงให้รัฐบาลของสมเด็จฮุนเซนอย่างมาก ไม่เคยมีครั้งใดที่รัฐบาล จะได้คะแนนเสียงในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น และไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลผสม เป็นครั้งแรก เพราะกรณีปราสาทเขาพระวิหาร
ขณะที่เกมส์การเมืองลัทธิชาตินิยมของไทย หากกล่าวโดยย่อ เป็นประเด็นทางเกมส์การเมืองภายในประเทศ ที่รังแต่จะสร้างปัญหาให้กับทุกรัฐบาล ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อๆ ไป ไม่ว่าเสื้อ "สี" ไหนจะมาเป็นรัฐบาลก็ตาม ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นประเด็นบั่นทอน เป็นหนามยอกอก ทั้งรัฐบาลและประชาชนชาวไทยไปอีกหลายปี กลายเป็น "วิกฤตแห่งชาติ" ถ้าหากไม่เปลี่ยนวิธีคิด ไม่หาทางออกใหม่ๆ
@ ทางออกคืออะไร
"ทางออก" ไม่น่าจะยาก ถ้าเปลี่ยนวิธีคิดได้ แต่มันยากตอน "เปลี่ยนวิธีคิด" ซึ่งทางออกที่บอกว่าไม่ยากนั้น เพราะหลายๆ ชาติ ก็ทำกัน เช่น บราซิลกับอาเจนตินา ที่มีพรมแดนติดกัน มีน้ำตกมหึมา (บางคนว่ายิ่งใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาด้วยซ้ำไป) ที่เคยเป็นข้อพิพาทเรื่องการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก Igaucu National Park ก็ตกลงใช้ประโยชน์จากเรื่องน้ำตกแห่งนี้ ทางจีนกับรัสเซียเอง ก็สามารถตกลงเขตแดนทางบกกันได้ และบริเวณชายแดน ไทยกับมาเลเซีย จากเดิมที่เคยมีปัญหาว่าเขตแดนทางทะเล แบ่งเอาตรงไหนแน่ แต่ในที่สุดรัฐบาลไทย และมาเลเซีย ก็สามารถตกลงว่า เรื่องนี้ไม่ต้องทะเลาะกันดีกว่า เรื่องนี้เก็บไว้อีก 50 ปีข้างหน้า ค่อยมาคุยกัน อาจจะเป็นรุ่นหลานหรือเหลน ซึ่งมีสติปัญญามากกว่าเรา มาตกลงกันในอนาคต แต่ตอนนี้ไทยกับมาเลเซียมาร่วมกัน ขุดเอาแก๊สธรรมชาติมาใช้เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศชาติจะดีกว่า
@ หาประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องปักปันเขตแดน
ใช่ แชร์ผลประโยชน์กันก่อน แชร์ผลประโยชน์กันดีกว่า แล้วเอาไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งคงจะไม่ "งี่เง่า" เหมือนคนรุ่นเราๆท่านๆ ลูกหลานคงต้องฉลาดกว่า ไปตกลงกันได้ เรื่องนี้ทะเลาะกันไปทำไม เหมือนคนในยุโรปรุ่นก่อนๆ ก็เคย "งี่เง่า" ฆ่ากัน ระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมัน แต่คนรุ่นนี้บอกว่าเป็น "ยูโร" ดีกว่า เป็น "ประชาคมยุโรป" ใช้เงิน "ยูโร" ด้วยกัน ไม่ต้องมีวีซ่า เผลอๆ พาสปอร์ต ก็ไม่ต้องมีก็ได้ เราๆท่านๆ หรืออาจจะต้องรอจนรุ่นลูกหลานเรา เป็น "อาเซียน" มีเงิน "อาเซียน" เป็นประชาคมอาเซียน" Asean Community ได้หรือไม่ หรือคน "เอเชีย" ยังมี "วุฒิภาวะ" ไปไม่ถึง
@ ถ้าไม่จริงจังเรื่องเขตแดน จะสูญเสียอัตลักษณ์ และความเป็นชาติไทยหรือเปล่า
ความเป็น "ไทย" คืออะไรเล่า? ภาษาไทย ก็ยืมคำมาจาก เขมร จีน ฝรั่ง เยอะแยะ แค่คำว่า "เดิน" กับ "ดำเนิน" ที่เราใช้กันทุกวี่ทุกวัน คำว่า "เจริญ" กับ "จำเริญ" ที่เราเปล่งถวายพระพร หรือคำว่า "ชาญ" กับ "ชำนาญ" คำต่างๆแบบนี้เป็นคำเขมร เราก็ยืมมาใช้หลายร้อยปีแล้ว ถ้าเป็นไทยแท้ๆ เราก็ "เดิน" ไม่ได้ ต้อง "ย่าง" หรือ "ก้าว" ฉะนั้น ความเป็นไทยอยู่ที่การต้องยอมรับ "ความหลากหลาย-แตกต่าง" ซึ่งก็เป็นเสน่ห์ของวัฒนธรรมของความเป็นไทย อย่าง "โจงกระเบน" ที่คิดว่าเป็นไท้ไทย เอาเข้าจริงก็เป็นของเขมร "โจง" เป็นคำเขมร แปลว่า "ผูก" "กระเบน" ก็เป็นคำเขมร แปลว่าหาง ถ้าเป็นไทยแท้ ของไทย ต้องบอกว่า "นุ่งผูกหาง" สิ จึงจะถูกต้องตามภาษาดั้งเดิมของเรา ดังนั้น เราต้องยอมรับความแตกต่าง ความหลากหลากที่ "ความเป็นไทย" หยิบยืมมา บางทีความเป็น "ไทย" นั้น ไปบีบให้เหลือพื้นที่เพียงนิดเดียว ถึงมีปัญหามากมาย
ถ้าเป็น "สยาม" ก็คิดอีกแบบหนึ่ง ผมคิดว่าตั้งแต่เปลี่ยนนามประเทศอย่างเป็นทางการจาก "ไทย" เป็น "สยาม" จาก Siam เป็น Thailand (2482) นั้นสร้างลัทธิความเชื่อเกี่ยวกับ "ชาติ" เกี่ยวกับ "ชาตินิยม" หรือ "เชื้อชาตินิยม" เป็นปัญหามากๆๆๆ "รักชาติเกินพอเพียง" ผมถึงได้เสนอว่า เผลอๆ อาจต้องเปลี่ยนชื่อ แบบเราๆท่านๆนี่แหละ ที่คิดว่าชื่อไม่เป็น "มงคล" ก็เลยไปหาพระหาเจ้า ให้เปลี่ยนให้ใหม่ อย่าง "ประเทือง" ก็ต้องเปลี่ยนเป็นอะไรน่ะ ดังนั้น ถ้าเปลี่ยน "ไทย" เป็น "สยาม" ได้ เปลี่ยน Thailand เป็น Siam เปลี่ยนธงชาติ ให้เป็นแบบธงทหารเรือ คือ มีทั้งไตรรงค์ มีน้ำเงิน ขาว แดง และแถมยังมี "ช้างเผือก" อยู่ตรงกลางด้วย อาจแก้ปัญหาได้ ปฏิรูป ปรองดอง สมานฉันท์ เกี้ยเซี้ยะ และรักสามัคคีกันได้
@ เปลี่ยนภาษา จะสามารถเปลี่ยนความคิดได้ยังไง
ภาษาก็เป็นตัวกำหนดความคิด ไวยกรณ์ก็กำหนดความคิด สถานที่ ก็กำหนดความคิด ถ้าคุณเรียนที่ท่าพระจันทร์กับเรียนที่รังสิต คุณคิดว่า คุณมีความคิดเหมือนกันไหม ผมว่ามันจะเปลี่ยนวิธีคิดหมดเลย คือเวลาคนที่เขาคิดว่า "ชื่อ" ไม่สำคัญ ชื่ออะไร แม้ไม่ใช่ "กุหลาบ" ก็หอม แล้วทำไม ไม่เปลี่ยนชื่อให้เป็น "ดอกเงิน" เล่า ทำไม คนที่คิดว่าชื่อของตนไม่ถูกโฉลก ไม่เป็นศิริมงคล ทำไมเขาและเธอถึงไปเปลี่ยนกันเล่า แน่นอน การเปลี่ยนชื่อไม่ได้หมายถึงการที่จะแก้ปัญหาได้หมด ได้ทันที แต่นี่เป็นก้าวแรกของการ "คิดใหม่" หรือ "ทำใหม่" ครับ
@ ภาษาการเรียกชื่อปราสาทพระวิหาร (Phra Viharn) หรือ เปรี๊ยะวิเฮียร์ (Preah Vihear) ยังเป็นเรื่องติดค้างระหว่างไทยและกัมพูชาขณะนี้
เรื่องนี้ซับซ้อนมาก ต้องแยกให้ดีว่า เป็นเรื่องของภาษาพูดหรือภาษาเขียน แล้วก็ต้องแยกให้ดีว่าเป็นภาษาไทย หรือ ภาษาเขมร หรือภาษาอังกฤษ ใช่ เพราะเรายืนยันว่าเป็นของเรา จึงบอกให้เขียนภาษาอังกฤษ แบบที่เราออกเสียง คือ Phra Viharn แต่ความจริงตัวเขียนเดิม ที่เขียนทั้งในภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส ก็เขียนว่า Preah Vihear มาร้อยกว่าปีแล้ว มาตั้งแต่สมัยฝรั่งเศสกับรัชกาลที่ 5 มาจนกระทั่งครั้งขึ้นคดีศาลโลกสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็ใช้กันมาเช่นนี้ ตอนนี้ไปเถียงกับเขาให้ชาวโลกดูว่าต้องเป็น Phra Viharn ก็ดูจะตลกๆ และ "คิคุ" ไปหน่อย ส่วนภาษาพูด หรือการออกเสียง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ เราออกเสียงด้วยลิ้นไทย เราออกเสียง ร.เรือ ที่ปิดท้ายคำ เป็น น.หนู จึงเป็น "หาน" (แม้จะเขียนว่า "หาร" ก็ตาม เราไม่ได้ออกเสียว่าเป็น "เฮียร์" แบบเขมร ปัญหานี้เป็นเรื่องลิ้นใครลิ้นมัน ดังนั้น ตอนนี้จะมาบอกว่าให้สะกดตามแบบลิ้นไทย ทั้งๆ ที่ยอมรับให้เขียนกันมาอย่างนี้ มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กับสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ (มท) กับสมเด็๗กรมพระยาเทววงศ์ (กต) ก็รับตัวเขียน Preah Vihear มาใช้นมนานแล้วอย่างที่กล่าวข้างต้น รับมาจนถึงตอน ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ไปเป็นทนายขึ้นศาลโลกให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ แล้วตอนนี้จะมาเปลี่ยน มันก็ดูยังไงๆ ชอบกล
@ ความเป็นไปได้ที่จะใช้ประโยชน์ปราสาทพระวิหาร ร่วมกันระว่างไทย-กัมพูชา
ต้องทำให้ผู้นำรัฐบาล หรือนายกฯ ทั้งสองชาติ เป็นมิตรกันก่อน แต่ตอนนี้ผู้นำ อยากจะ make war มากกว่า make love และและก็เป็นการ make war เพื่อผลประโยชน์บางอย่างทางเกมส์การเมืองของ "พรรค" หรือของ "กลุ่มชน" ที่เคลื่อนไหวแล้วอ้างว่าเป็น "ภาคประชาชน" ทั้งๆที่การ make love น่าจะได้ผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ และต่อประชาชนโดยรวมมากกว่า แต่ผมว่า อันนี้คือประเด็นทาง "การเมือง" อย่างไรเล่า เรากำลังดู "ละครการเมือง" ฉากใหญ่มาก ต้องตั้งใจดูให้ดี (แม้จะไม่อยากดูก็ตาม เพราะเป็น "ไฟล๊ทบังคับ") แล้วคอย "จับผิด" ตัวแสดงให้ได้
@ การเมือง แปลว่าเราไม่ต้องพูดความจริงหรือ
แน่นอน คุณคิดว่า "นักการเมือง" พูดความจริงหรือ "นักการเมือง คือ คนที่พูดความไม่จริง ให้ดูเหมือนจริง ดูน่าเชื่อถือเป็นบ้าเลย" (หัวเราะ) และบางที ถึงขนาดว่านักการเมืองต้องพูดความเท็จ ให้ดูเหมือนจริง เนียน หรือให้มันกำกวม ต้องให้ตีความแล้วเป็นประโยชน์ต่อเขา
@ ทำไมประเทศไทย ไม่สามารถทำให้ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน กลายเป็นการสร้างความเป็นเอกภาพภายในประเทศ เช่นเดียวกับกัมพูชา
เพราะกรณีปราสาทพระวิหาร ถูกทำให้เป็น "เกมส์การเมืองภายใน" ของไทยอย่างมาก ถูกใช้โดยรัฐบาลหลายรัฐบาล โดยจะนำขึ้นมาหรือไม่นำขึ้นมา เพื่อพิชิตฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลไทยหลายรัฐบาลใช้มาตลอด รัฐบาลจะปลุกกระแสความรักชาติ ชาตินิยม การเสียดินแดน รัฐบาลปลุกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพิบูลสงคราม เมื่อ 70 ปีที่แล้ว รัฐบาลสฤษดิ์ เกือบ 50 ปี มาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองฝ่ายพันธมิตร หรือเสื้อเหลือง ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองปัจจุบัน ต่างก็ใช้กรณีนี้สร้างความนิยมให้ตัวเอง สร้างแต้ม และทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียแต้ม หรือถูกโค่นล้มด้วยซ้ำไป
@ สมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ใช้เรื่องปราสาทพระวิหารอีกแบบหนึ่ง
ในสมัยนายสมัคร สุนทรเวช (2551) เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เดินตามนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ (2331-34) ที่ได้ "เปลี่ยนสนามรบ ให้เป็นตลาดการค้า" และเอาเข้าจริงรัฐบาลเกือบทุกรัฐบาลหลังจากนั้น ก็เดินตามเกมนี้ของ พล.อ.ชาติชาย ทั้งรัฐบาลคุณชวน หลีกภัย ยังได้ลงนาม เอ็มโอยู 2543 (MoU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร (รมช.กต.) กับ ฮอร์นัมฮง และหลังจากนั้นรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ ก็เดินเกมส์นั้นต่อมา โดยยังให้การสนับสนุน (หรือย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน) กัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ที่การประชุมที่เมืองไครส์เชิรส ประเทศนิวซีแลนด์เมื่อปี 2550 (2007) แม้รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ จะไม่ได้ส่ง รมว.ต่างประเทศ (คือนิตย์ พิบูลสงคราม ด้วยเหตุผลที่ไม่แจ้งชัดนัก อาจเป็นเพราะว่านามสกุล ซึ่งเคยถูกใช้เป็นชื่อว่าจังหวัดพิบูลสงคราม แทนจังหวัดเสียมราฐ ที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามไปยึดได้และปกครองเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2484-2488) ไปเจรจาที่นิวซีแลนด์ก็จริง แต่ตัวแทนของรัฐบาลในขณะนั้นคือ อดีตทูต มนัสพาสน์ ชูโต ก็ให้ความเห็นชอบ (หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้คัดค้าน จะด้วยเหตุผลของ "สี" เสื้อ หรือรัฐบาลก็ตาม)
ในตอนนั้น กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ยังไม่ถูกปลุกระดมขึ้นมา ในการประชุมที่นิวซีแลนด์ ในปี 2550 แต่จะถูกปลุกในปี 2551 เมื่อนายกรัฐมนตรีมาเป็น สมัคร สุนทรเวช และ รมต. กต. คือ นพดล ปัทมะ ผมเข้าใจว่า ถ้า พล.อ.สุรยุทธ์ ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และมีนิตย์ พิบูลสงคราม เป็น รมต. กต. อยู่ในปี 2551 ประเด็นนี้ ก็อาจจะไม่ถูกปลุกก็ได้ ไม่แน่นะครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรี ใครเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และเป็นเกมส์การเมืองของเสื้อ "สี" อะไร
@ ความทรงจำประวัติศาสตร์ กับประเทศเพื่อนบ้าน
ตำราเรียนประวัติศาสตร์ไทย ตั้งแต่สมัยสมบูรณายาสิทธิราช จนถึงการ "ปฏิวัติ" เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ตำราเรียนก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัย เพราะยังทำให้กัมพูชาเป็น "ผู้ร้าย" ในประวัติศาสตร์อยู่เรื่อยไป แต่เป็นผู้ร้ายแบบ "ตัวเล็กๆ" จะข่มขู่เคี่ยวเข็ญอย่างไรก็ได้ เป็นลูกไล่ ลูกกะโร่ แต่ใน ขณะที่พม่า ถูกทำหรือวาดภาพให้เป็น "ผู้ร้ายตัวใหญ่" พม่ายกทัพมาทีไร ก็ตีหรือเผากรุงศรีอยุทธยาได้ ส่วนเขมรมาทีไร ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ต้องถอยกลับไป และไทยเราต้องไป "เอาคืน" อย่างในกรณีของ "พระยาละแวก" คือมีแต่ประวัติศาสตร์ที่มอง "ด้านเดียว" ว่าไทยเราถูก "กระทำ" อย่างหนักโดยพม่า ในเวลาเดียวกัน เขมรก็เข้ามาซ้ำเติม "กระทำ" อย่างเบา
ในประวัติศาสตร์ไทยเรา ก็ไม่มี "ความทรงจำ" ไม่ได้เขียนว่ากษัตริย์ไทยเรา สมัยพระเจ้าสามพระยาของกรุงศรีอยุธยา ก็เป็นฝ่ายกระทำ ที่ไปตีนครวัด นครธม หรือ "กรุงศรียโสธรปุระ" ของกัมพูชาจนแตก กลายเป็นเมืองร้างไปจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ กษัตริย์ ไทยเราสมัยพระนเรศวร ก็ไปตีเมืองละแวกจนแตก ทำให้เมืองละแวกกลายเป็นเมืองร้าง สมัยต่อๆมาก็ไปตีเมืองอุดงมีชัย (เมืองหลวงเขมรสมัยหลัง) ตีเมืองพนมเปญ แต่เราจะไม่มีในประวัติศาสตร์ของ "เหรียญสองด้าน" เรามีแต่ "เสีย" กรุงศรีอยุทธยา "เสียดินแดน" แต่เราไม่บอกว่า "ได้" นครวัดนครธม "ได้" กรุงละแวก หรือ "ได้" กรุงพนมเปญ หรือแม้แต่เรื่องของการ "ได้ดินแดนเสียมราฐ-พระตะบอง" มาก่อนในสมัยรัชกาลที่ 1 ก่อนที่จะ "เสียดินแดน" นั้น ไปในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่คือ "ปัญหาในประวัติศาสตร์ของไทย"
@ ตั้งแต่เราเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นไทยหรือเปล่า
ที่จริงก็มีมาก่อนเปลี่ยนชื่อ "สยาม" เป็น "ไทย" แต่ผมคิดว่า เมื่อเปลี่ยนสยามเป็นไทย ได้สร้างวาทกรรมใหม่ ที่ฝังอยู่ในหัวสมองคนไทยปัจจุบัน คือ คิดว่าลาวเป็น "ของ" ไทย ส่วนเขมร ก็เป็น "ของ" ไทย ทั้งๆที่ในความเป็นจริง "ลาวเป็นของลาว" มาก่อน และ "เขมรเป็นของเขมร" มาก่อน ดังนั้น วาทกรรมทางประวัติศาสตร์ของไทย จึงมีแต่เรื่อง "เสียดินแดน" หลายครั้งต่อหลายครั้ง รวมแล้ว 15 ครั้ง แถมทำท่าจะ "เสีย" อีกในตอนนี้ ดังนั้น ไทยเราไม่มีประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ที่จะบอกว่าไทย "ได้" มาก่อน แล้ว "เสีย" ไป
ในสมัยที่ยังเป็นสยาม ในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งระบอบการปกครองสมัยนั้น "ยอมรับ" ว่าต้อง "เสีย" และยอมรับที่จะต้องร่วมขีดเส้น "เขตแดน" หรือ "พรมแดน" ในอินโดจีน (ลาวและกัมพูชา) เพราะถ้าไม่ยอมรับก็ "เสียดินแดน" ทั้งประเทศ ที่เคยนึกฝันว่าอังกฤษของพระนางวิกตอเรีย หรือรัสเซียของพระเจ้าซาร์ จะมาช่วยนั้นก็เป็นแต่เพียง "ความฝัน" และเป็น "ตำนาน" ปลอบใจ (คนสมัยนี้ด้วยกันเอง" เสียมากกว่า)
แต่ต่อมาสมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 แล้ว สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป ฝรั่งเศสตกต่ำจนกระทั่งถูกเยอรมนียึดครอง ญี่ปุ่นกลายเป็นมหาอำนาจใหม่ และ "ไทยใหม่" หรือเมื่อกระทำการเปลี่ยน "สยาม" ให้เป็น "ไทย" ก็สร้างกระแสลัทธิ (เชื้อ) ชาตินิยม สร้างวาทกรรมใหม่ว่า ไทย "เสียดินแดน" ไทยสมัยสยาม เป็นลูกแกะ ถูกหมาป่าฝรั่งเศส กระทำ ไทยใหม่ไม่สามารถจะยอมรับได้อีกต่อไป และนี่ก็เป็นที่มาของการเรียกร้องดินแดน "สองฝั่งโขงเป็นของเรา" หรือ "มณฑลบูรพา นี่ก็เป็นของเรา" (ตามคำขวัญของหลวงพิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาทการ)
ปัญหาทางประวัติศาสตร์เช่นนี้ สิ่งที่ไทยเราอ้าง มักจะเป็นการอ้างเพียงด้านเดียว ผมเรียกว่าเป็น "ประวัติศาสตร์บกพร่อง" และก็เป็น "ประวัติศาสตร์บาดแผล" ในเวลาเดียวกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอ้างเพียงแค่ "อนุสัญญากรุงโตเกียว 9 พฤษภาคม 2448" (สมัยนั้นเขียนว่า "โตกิโอ") เราก็จะได้ดินแดน "เสียมราฐ-พระตะบอง-ศรีโสภณ-นครจัมปาศักดิ์-ลานช้าง" คืนมา เพิ่มมาอีก 4-5 จังหวัด แต่ถ้าดู ประวัติศาสตร์ 2 ด้าน ก็จะเห็นว่ามี "อนุสัญญากรุงวอชิงตัน 17 พฤศจิกายน 2489 ที่ต้องคืนดินแดนที่ได้มานั้นไป
มีอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผู้คนส่วนใหญ่ "ลืม" หรือ "ไม่จำ" เกี่ยวกับเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร กล่าวคือในอนุสัญญาโตเกียว (โตกิโอ) ฉบับนั้น ไทยได้ปราสาทเขาพระวิหารมา พร้อมๆกับได้ปราสาทวัดพู (วัดภู) ในนครจัมปาศักดิ์ (ของลาว) มาด้วย อันว่าปราสาทวัดพูนี้ เป็นปราสาทขอม/เขมรที่เก่าแก่กว่า และเป็นแม่แบบของปราสาทเขาพระวิหาร คือ เป็นต้นแบบของปราสาทที่สร้างให้อยู่บนเขา วิธีการสร้าง การวางผัง เป็นแบบเดียวกันเลย ฉะนั้น ผังของปราสาทวัดพู ก็ถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพระวิหาร แล้วผังของปราสาทเขาพระวิหาร ก็จะถูกส่งมาเป็นผังของปราสาทเขาพนมรุ้ง
กล่าวโดยย่อ วัดพูเป็นเสมือน "แม่" ของพระวิหาร และก็เป็นเสมือน "ยาย" ของพนมรุ้งนั่งเอง แต่ตอนนี้เราก็ไม่ได้สนใจ ที่จะพูดถึงความเกี่ยวพันหรือเกี่ยวเนื่องกันของ ปราสาทวัดพู แต่ที่น่าสนใจก็คือ ประเทศลาวได้ยื่นเรื่องไปยูเนสโก จนกระทั่งทำให้ปราสาทวัดพูขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ไปเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 ก่อนหน้าปราสาทเขาพระวิหารของกัมพูชาถึง 6 ปีด้วยซ้ำไป ทำให้ต่อมากัมพูชาก็ดำเนินการเสนอ จนทำให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในปี พ.ศ. 2551
แต่ฝ่ายไทยเอง ยังไม่ได้ทำอะไรเกี่ยวกับปราสาทเขาพนมรุ้ง ให้ขึ้นทะเบียนได้เป็น "มรดกโลก" กับเขาบ้าง
รวมความแล้ว ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ เราอ้างแต่ประวัติศาสตร์ที่ได้ประโยชน์ เพื่อการสร้าง "วาทกรรม" ทางเกมส์การเมือง ของ "การเสียดินแดน" ขยายความไปอีกว่าเป็นการ "เสียค่าโง่" บ้างล่ะ ขยายความไปว่าเป็นการ "เสียรู้" เรื่องเหล่านี้ ฝังรากลึกมากในมโนคติของสังคมไทย ไม่ว่าจะในตำราเรียน ในกลุ่มนักการเมือง นักวิชาการ และนักสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "พวกกระแสหลัก" ทั้งหลาย
ผมจึงเรียกกรณีนี้ว่าเป็น "หลุมดำ" หรือ เป็น black hole
กล่าวคือ ในจักรวาลนี้ของเรา มี "หลุมดำ" ที่จะดูดทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นดวงดาวใหญ่โต สะเก็ด หรืออุกาบาต จะหลุดเข้าไปหมด ออกมาไม่ได้ นี่เป็นความเป็นจริงในทางวิทยาศาสตร์ หรือดาราศาสตร์ แต่ก็สามารถนำมาอุปมาอุปไมยทางสังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ หรือแม้กระทั่งไสยศาสตร์ด้วยก็ได้ คือ มี "หลุมดำ" สำหรับสังคมไทยของเรา หลุมดำ นี้มีต้นกำเนิดมาจาก "ลัทธิชาตินิยม" ที่ "รักชาติเกินพอเพียง" เราอ้างแต่ประเด็นที่ได้ประโยชน์ ทั้งๆที่ข้อมูลมันเยอะมาก หลากหลาย แต่นักการเมืองจะบอก จะพูดเฉพาะข้อมูลที่เขาได้ประโยชน์มากที่สุด ตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปประชุมที่ควิเบก คานาดา หรือ เซวีญา ที่สเปน หรือแม้แต่ล่าสุดที่บาซีเลีย ก็ใช้ข้อมูลที่คิดว่ารัฐบาลของตน พรรคของตนจะได้ประโยชน์เท่านั้น
และนี่ก็เป็นทั้ง "ความผิดพลาด" และเป็น "จุดอ่อน" ของไทยเรา ดังจะเห็นในกรณีขึ้นศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 ทีมทนายของรัฐบาลไทย ที่มี ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช เชื่อนักเชื่อหนากับเรื่องของ "สันปันน้ำ" จากสนธิสัญญา 1904 (2447) หาได้ให้ความสนใจต่อสนธิสัญญา 1907 (2449/50) อีกหนึ่งฉบับไม่ คือ ฉบับที่รัชกาลที่ 5 ทรงลงพระนามให้สัตยาบันเมื่อครั้งเสด็จ "ไกลบ้าน" ไปกรุงปารีส ฉบับหลังนี้แหละ ที่กล่าวคลุมถึงเรื่องของ "แผนที่" อีกด้วย
ศาลโลกเขาจึงไม่ฟังทนายฝ่ายเรา คะแนนเสียงจึงออกมา 9 ต่อ 3 เมื่อปี 2505 ที่เราแพ้คดีไป ความผิดพลาดและการหลงเชื่อเหล่านี้ นักการเมืองไทยปัจจุบัน ระดับ นายกฯ และ รมต. ก็ยังเชื่อและใช้ข้อมูลเช่นนี้อยู่ แม้จะเป็นข้อมูลที่เราเคยใช้ แล้วแพ้คดีมาแล้วก็ตาม นำมาตอกย้ำ พูดซ้ำ ให้เกิดความเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนทั่วไป นำไปขยายเรื่อง ขยายความจากเรื่องของตัวปราสาท กลายเป็นเรื่อพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร กลายเป็นเรื่องพื้นที่ทางทะเล เรื่องมันถูกขยายไปเรื่อยๆ ตามเกมส์ของการเมือง ฉะนั้น ประเด็นนี้ ไม่จบง่ายๆ ขอให้คอยดูปีหน้า ที่กรรมการมรดกโลกของยูเนสโก จะไปประชุมที่บาห์เรน
ผมคิดว่าในทางสังคมศาสตร์และไสยศาสตร์ ก็มี "หลุมดำ" ครับ เรื่องของ "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" เป็น "หลุมดำ" ที่กำลังดูดคนไทย และชาติไทยลึกลงไปทุกทีๆ
@ ต้องอยู่ใน "หลุมดำ" ต่อไป
สิ่งที่ผมวิตกคือ จะขึ้นจาก "หลุมดำ" ไม่ได้ มันยากที่ต้องเปลี่ยนตรง "ความคิด" นี่เป็นเรื่องเกมส์การเมือง ถ้าการเมืองไม่ดี ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ จำเนื้อร้องเพลงเก่าๆ เพลงหนึ่งได้ไหม ที่ว่า "ไทยจะเฟื่อง ไทยจะรุ่งเรือง ก็เพราะการเมืองดี"
@ ทำอย่างไรจะสามารถตกลงกันเรื่องเขตแดนได้
ตกลงกันได้ ถ้าหากผู้นำกับผู้นำ นายกฯ กับนายกฯ เป็นมิตรกัน อย่างจีนกับเวียดนาม รบกันมา 2 พันปี แต่พื้นที่บริเวณที่เป็นเวียดนามเหนือกับจีนประมาณพันกว่ากิโลเมตร ตกลงกันเรียบร้อยหมดแล้ว ขีดเส้นปักหลักเขตแดนกันหมดเลย แล้วทั้ง 2 ชาติ ก็ออกมาแสดงความยินดีด้วยกัน เป็น เจบีซี (Joint Boundary Commission) ระหว่างจีนกับเวียดนาม แปลว่าตกลงกันได้ กรณีดินแดนไม่ว่าจะ 1 ตารางนิ้ว หรือ 1 ตารางเมตรอะไรก็ตาม มันตกลงกันได้
แต่ข้อสำคัญ คือ รัฐบาลกับรัฐบาล ต้องเป็นมิตรกัน เพราะคนที่ทะเลาะกัน มันเป็นคนเมืองหลวงนะ คนเมืองหลวงกับคนเมืองหลวงจะทะเลาะกัน ชนชั้นนำกรุงเทพฯ จะทะเลาะกับชนชั้นนำพนมเปญ ปักกิ่งทะเลาะกับฮานอย อะไรแบบนี้ แต่ชนชั้นล่าง คนที่อยู่ศรีสะเกษ กับจังหวัดพระวิหาร ไม่ทะเลาะกันหรอก เขาเป็นพี่น้องกันด้วยซ้ำไป ข้ามชายแดน-เขตแดนกันไปมา ทำมาหากินกันด้วยกัน เพราะฉะนั้น ประเด็นเรื่องเขตแดน จะแก้ได้ต้องมีรัฐบาลที่เป็นมิตรกัน จะแก้ได้ต้องคนชั้นบน คนที่ปกครองบ้านเมืองระดับนายกฯ หรือ รมต. นั่นแหละ หาใช่คนระดับล่าง หรือรากหญ้าไม่
ปัญหาอยู่ที่เมืองกรุง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ชนบท ครับ
แม้แต่ประเทศบราซิล ซึ่งเป็นเจ้าภาพประชุมมรดกโลกปีนี้ ก็เคยทะเลาะกับอาเจนตินา เรื่องน้ำตกที่อยู่ตรงเขตแดน มีปัญหาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้วเคยทะเลาะกันมา แต่ด่าทอตีกันไปสักพักหนึ่งก็รู้ว่าไม่มีใครได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่ดีกัน ถ้ามัวแต่ทะเลาะกันและเรียกทูตกลับ ก็ไม่มีทางดีกัน มันต้องตั้งทูตกลับไปคุยกัน ครับ
ตัวอย่างของการทะเลาะ แต่เปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตรของกรณีน้ำตกและปาร์คที่เรียกว่า "อีเกาซู" Igaucu National Park นี้ น่านำมาเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างของไทยและกัมพูชาอย่างยิ่ง
@ ปัญหาไม่ใช่เรื่องเอกสารหลักฐาน แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่เต็มใจใช้ร่วมกัน
เอกสารหลักฐาน เอามาใช้เมื่ออยากทะเลาะหรือเป็นคดีความกัน แต่เอกสารหลักฐานจะโยนทิ้งไปก็ได้ หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลเสียใหม่ก็ได้ ถ้าเผื่อ "ซี้" กัน อยาก make love not war ก็มองข้ามไปได้ คิดว่าพื้นที่ตรงนี้ ที่ว่า "ทับซ้อน" "เสียอีกหนึ่งตารางนิ้ว" ก็ ไม่ได้นั้น เอามาทำมาหากินด้วยกันก็ได้ว่ะ (หัวเราะ)
@ การใช้เวลาพูดเรื่องเอกสารหลักฐาน
ถ้าต้องการเอาชนะ มันก็อ้างนะครับ เอกสารหลักฐานแผนที่ ตอนนี้เขมรบอกว่าต้องใช้แผนที่ปี 1908 (2451) ที่เรียกว่า Dongrek หรือ "ดงรัก" แต่ไทยเรามักจะเรียกกันว่า "แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน" หรือเรียกว่า "แผนที่ที่ฝรั่งเศสทำแต่ฝ่ายเดียว" และเราไม่ต้องการใช้ เราไม่รับแผนที่นี้ เราจะเอาสันปันน้ำ ส่วนทางเขมร เขายืนยันว่าแผนที่นี้ ฝรั่งเศสไม่ได้ทำฝ่ายเดียว แต่ทำกับสยาม และรัฐบาลสยามรับรู้ แถมยังเอามาใช้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สมัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ และสมเด็จกรมเทววงศ์ ใช้มาเป็นเวลานานมาก
แม้กระทั่งสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ สมัยเป็นอภิรัฐมนตรีของรัชกาลที่ 7 ก็เคยขออนุญาตฝรั่งเศสก่อนขึ้นไปชมปราสาทพระวิหาร ถ่ายรูปกันเยอะแยะเป็นชุด ตั้งแต่ก่อนขึ้น และขึ้นไปค้าง 1 คืน แล้วเสด็จลงโดยนั่งคานหามลงมา ก็เป็นหลักฐานซึ่งกัมพูชา เอามาใช้และชนะคดี แต่ทนายไทยเราบอกว่าไม่รับแผนที่อันนั้น ตั้งแต่ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช จนถึงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่า ไม่รับแผนที่ เราถือสันปันน้ำ ปัญหาก็คือ สันปันน้ำนั้นเป็นสันปันน้ำตามแผนที่ฉบับไหน
ในตอนหลังไทยเรามีแผนที่อีกฉบับ ที่มักจะเรียกกันว่า L7017 (ซึ่งเริ่มทำด้วยเทคนิคสมัยใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2474 สมัยรัชกาลที่ 7) กับแผนที่ล่าสุด คือ L7018 ซึ่งทำด้วยเทคนิควิชาการแผนที่ของอเมริกัน แทนอันเก่าที่เป็นเทคนิคของฝรั่งเศส ถ้าถือตามนี้ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรก็ต้องอยู่ในเขตแดนของไทย ฉะนั้น สรุปได้ว่าอ้างแผนที่คนละฉบับ ถือกันคนละฉบับ เมื่อตกลงกันไม่ได้ จะทำอย่างไร จะเจรจากัน หรือจะกลับไปขึ้นศาลโลกใหม่ หรือจะบานปลายไปจนเป็นการสู้รบ กลายเป็นสงคราม นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าทั้ง "ปราสาท" และ "เขาพระวิหาร" ได้กลายเป็น "วิกฤต" ไปแล้ว
จะตกลงกันได้ยังไง 2 ประเทศต้องเจรจากัน ถ้าเจรจาแบบทวิภาคี คือ 2 ประเทศไม่ได้ ก็ต้องเกิดพหุภาคี หรือหลายๆประเทศ ตอนนี้ สมเด็จฮุนเซน เดินหน้า "เกมส์การทูตและเกมส์การเมืองระหว่างประเทศ" เลยหน้าสิ่งที่รัฐบาลไทยต้องการคือ "ทวิภาคี" ไปแล้ว กัมพูชาได้ยื่นเรื่องไปยังสหประชาชาติ และไปยังเวียดนามในฐานะประธานอาเซียนปีนี้แล้ว (ร้อนถึง ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณที่เป็นทั้งเลขาธิการอาเซียน และเป็นอดีต รมต. กต. ของรัฐบาลชวน หลีกภัย สมัย MOU 2000 ต้องวิ่งไปเจรจากับผู้นำรัฐบาลพนมเปญ)
ถ้าไทยเรายกเลิก เอ็มโอยู 2543 (MOU 2000) ฉบับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร กับนายฮอร์นัมฮง ซึ่งเป็นข้อตกลงแบบทวิภาคีกว้างๆ ที่จะทำการปักปัน "เขตแดน" ทางบกกัน ถ้ายกเลิกตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ และประชาชน (ภาคเหยี่ยว) เรื่องก็คงบานปลายไป อาจจะต้องไปสู่พหุภาคี มีอาเซียนเข้ามา มีประเทศที่สามเข้ามา (อาจเป็นเวียดนามหรืออินโดนีเซีย) มีสหประชาชาติเข้ามา อาจมีบราซิลเข้ามา หรือสถานการณ์อาจไปไกลถึงขนาดสู้รบเป็นสงครามกัน
สรุปแล้ว แปลว่ารัฐบาลไทยเอง นักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน (หรือพรรคฝ่ายเฝ้ารอดู) ประชาชน (ฝ่ายเหยี่ยว ฝ่ายพิราบ ฝ่ายเฝ้าดู ฯลฯ) ต้องถามตัวเองว่า "เราจะทำอย่างไรกัน" what is to be done ?
ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อประโยชน์ของใคร ของพรรคฯ ของกลุ่มฯ หรือของประชามหาชน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนนอกเมืองกรุง) ซึ่งเป็นตัวแทนของ "ชาติ" อย่างแท้จริง
***************************************************************************
"ประมาณ อดิเรกสาร"ถึงแก่อนิจกรรม
คมชัดลึก :
พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย วัย 97 ปี ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคไตวายเรื้อรังและระบบหายใจล้มเหลว ที่ รพ.วิชัยยุทธ ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเบญจมบพิตร
ประเทศไทยต้องสูญเสียบุคคลสำคัญทางการเมืองไปอีก 1 คน หลังจากนายเดช บุญ-หลง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อนิจกรรมไปเพียง 1 วัน โดยเมื่อเวลา 17.24 น. วันที่ 20 สิงหาคม นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู รพ.วิชัยยุทธ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคชาติไทยคนแรก ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยภาวะติดเชื้อ มีภาวะไตวาย ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว เมื่อเวลา 17.00 น. ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประมาณ ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีภาวะโรคประจำตัวเรื้อรังหลายโรคด้วยกัน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้การรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ญาติจะได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร ในวันที่ 21 สิงหาคม
พล.ต.อ.ประมาณ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2456 รวมอายุ 96 ปี 8 เดือน ที่ จ.สระบุรี เป็นบุตรของนายเน้ย และนางจี้ อดิเรกสาร จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รับราชการเป็นนายทหารปืนใหญ่ กองทัพบก ลพบุรี ยศสูงสุดเป็นพลตรี ก่อนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็น พลตำรวจเอก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2531 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น
เคยเป็นสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา เมื่อ พ.ศ.2500 เป็นผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย เมื่อ พ.ศ.2518 ร่วมกับ พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2500, รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2518 และสมัย พ.ศ.2523-2526, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2519, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2531, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2533-2534 นอกจากนี้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะที่ชีวิตครอบครัวสมรสกับท่านผู้หญิงเจริญ อดิเรกสาร (ชุณหะวัณ) พี่สาว พล.อ.ชาติชาย มีบุตรชาย 3 คน
ว่าที่ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย หลานชาย พล.ต.อ.ประมาณ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ได้ไปเยี่ยมคุณปู่ (พล.ต.อ.ประมาณ) ที่โรงพยาบาล และคิดว่าอาการดีขึ้น แต่พอตกดึกทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า ชีพจรคุณปู่เต้นอ่อน และเสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม แม้ทางครอบครัวจะเสียใจแต่ก็เห็นว่าคุณปู่เสียชีวิตตามวัย สำหรับศพ จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร และรดน้ำศพในวันที่ 21 สิงหาคม เวลา 14.00 น.
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2553 นายเดช บุญ-หลง คนสนิทของพล.ต.อ.ประมาณ อดีตเหรัญญิกพรรคชาติไทย และผู้บริหารบริษัท ทีทีแอล กิจการทอผ้าของตระกูลอดิเรกสาร ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองอุดตัน รวมอายุ 80 ปี ขณะนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย วัย 97 ปี ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคไตวายเรื้อรังและระบบหายใจล้มเหลว ที่ รพ.วิชัยยุทธ ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเบญจมบพิตร
ประเทศไทยต้องสูญเสียบุคคลสำคัญทางการเมืองไปอีก 1 คน หลังจากนายเดช บุญ-หลง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ถึงแก่อนิจกรรมไปเพียง 1 วัน โดยเมื่อเวลา 17.24 น. วันที่ 20 สิงหาคม นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู รพ.วิชัยยุทธ เปิดเผยว่า พล.ต.อ.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคชาติไทยคนแรก ถึงแก่อนิจกรรม ด้วยภาวะติดเชื้อ มีภาวะไตวาย ทำให้ระบบการหายใจล้มเหลว เมื่อเวลา 17.00 น. ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประมาณ ได้เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยมีภาวะโรคประจำตัวเรื้อรังหลายโรคด้วยกัน ซึ่งทางโรงพยาบาลได้ให้การรักษาอย่างเต็มที่แล้ว ญาติจะได้นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร ในวันที่ 21 สิงหาคม
พล.ต.อ.ประมาณ เกิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2456 รวมอายุ 96 ปี 8 เดือน ที่ จ.สระบุรี เป็นบุตรของนายเน้ย และนางจี้ อดิเรกสาร จบการศึกษาจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รับราชการเป็นนายทหารปืนใหญ่ กองทัพบก ลพบุรี ยศสูงสุดเป็นพลตรี ก่อนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานยศเป็น พลตำรวจเอก เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2531 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมกับ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะนั้น
เคยเป็นสมาชิกพรรคเสรีมนังคศิลา เมื่อ พ.ศ.2500 เป็นผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทย เมื่อ พ.ศ.2518 ร่วมกับ พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2500, รองนายกรัฐมนตรี พ.ศ.2518 และสมัย พ.ศ.2523-2526, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2519, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2531, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พ.ศ.2533-2534 นอกจากนี้เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และผู้นำฝ่ายค้านในสภา ขณะที่ชีวิตครอบครัวสมรสกับท่านผู้หญิงเจริญ อดิเรกสาร (ชุณหะวัณ) พี่สาว พล.อ.ชาติชาย มีบุตรชาย 3 คน
ว่าที่ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี พรรคเพื่อไทย หลานชาย พล.ต.อ.ประมาณ ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม ได้ไปเยี่ยมคุณปู่ (พล.ต.อ.ประมาณ) ที่โรงพยาบาล และคิดว่าอาการดีขึ้น แต่พอตกดึกทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า ชีพจรคุณปู่เต้นอ่อน และเสียชีวิตเมื่อช่วงเย็นวันที่ 20 สิงหาคม แม้ทางครอบครัวจะเสียใจแต่ก็เห็นว่าคุณปู่เสียชีวิตตามวัย สำหรับศพ จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล ที่วัดเบญจมบพิตร และรดน้ำศพในวันที่ 21 สิงหาคม เวลา 14.00 น.
ก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2553 นายเดช บุญ-หลง คนสนิทของพล.ต.อ.ประมาณ อดีตเหรัญญิกพรรคชาติไทย และผู้บริหารบริษัท ทีทีแอล กิจการทอผ้าของตระกูลอดิเรกสาร ได้ถึงแก่อนิจกรรมด้วยสาเหตุเส้นเลือดในสมองอุดตัน รวมอายุ 80 ปี ขณะนี้ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ กรุงเทพฯ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สันหลังหวะ
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
สะท้อนภาพได้เด่นชัดอย่างยิ่ง เด่นชัดถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เล่นงานนักเรียน-นักศึกษาที่จ.เชียงราย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมาดๆ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับการขัดขวางมิให้นิสิตแสดงออกด้านการเมืองด้วยการชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่เดินทางไปร่วมเสวนางานคณะรัฐศาสตร์
รวมไปถึงการออกคำสั่งจากหน่วยงานด้านการศึกษาไปถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ให้จับตากิจกรรมและการแสดงละครการเมืองของนิสิต-นักศึกษา
แม้นายอภิสิทธิ์ รวมไปถึงรัฐบาลจักสามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เกี่ยวข้อง
เพราะที่เชียงรายเป็นดุลยพินิจของตำรวจ ที่ดำเนินคดีกับเด็กเพียง 5 คนที่ออกมาถือป้ายเงียบๆ อยู่ริมถนน
ในขณะที่ตำรวจนครบาลนิ่งเฉยอย่างยิ่งกับการรวมพลอย่างเอิกเกริกของพันธมิตรฯ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ส่วนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นดุลยพินิจของอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ในการขัดขวางมิให้นิสิตของตนแสดงออกทางการเมือง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิสิต-นักศึกษาในยามนี้ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติตามระบอบประชาธิปไตย
เพราะการถือป้ายประท้วง หรือการจัดกิจกรรมทางการเมือง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานรูปแบบหนึ่งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเท่านั้นดอก ถึงจะเป็นข้อยกเว้นมิให้พลังของนิสิต-นักศึกษา หรือประชาชนได้แสดงออกทางการเมือง
เราจึงไม่เห็นภาพข่าวการชูป้ายประท้วงหรือเรียกร้องหาความเป็นธรรมในประเทศพม่า หรือประเทศเผด็จการอื่นๆ
แต่เราจะเห็นข่าวกลุ่มคนยืนชูป้ายประท้วงอยู่เนืองๆ ในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
เพราะเหล่านี้คือการแสดงออกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ปกครองประเทศ หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้สำเหนียกว่าสังคมไม่พอใจในเรื่องใด หรือต้องการอะไร
แม้จะพยายามทำความเข้าใจว่าป้ายที่ชูขึ้นมาทั้งที่เชียงราย หรือที่ม.จุฬาฯ เป็นการถามหาความรับผิดชอบต่อการตายถึง 91 ศพของผู้ชุมนุมเสื้อแดง คงแสลงใจนายอภิสิทธิ์
แต่การขัดขวางหรือกำราบมิให้แสดงออก ก็ไม่ต่างจาก"วัวสันหลังหวะ"
ก็ในเมื่อระบบยุติธรรมทั้งดีเอสไอและอัยการต่างก็โยนบาปให้แกนนำนปช. ว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ชุมนุมไปแล้ว ไยต้องหวาดกลัวอีกเล่า
หรือรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ตายด้วยน้ำมือใคร
จึงไม่ต้องการให้มาสะกิดแผลที่เหวอะอยู่เต็มหลัง!??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ เหล็กใน
สะท้อนภาพได้เด่นชัดอย่างยิ่ง เด่นชัดถึงที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เล่นงานนักเรียน-นักศึกษาที่จ.เชียงราย
ไม่ว่าจะเป็นกรณีหมาดๆ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กับการขัดขวางมิให้นิสิตแสดงออกด้านการเมืองด้วยการชูป้ายประท้วงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ที่เดินทางไปร่วมเสวนางานคณะรัฐศาสตร์
รวมไปถึงการออกคำสั่งจากหน่วยงานด้านการศึกษาไปถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่ง ให้จับตากิจกรรมและการแสดงละครการเมืองของนิสิต-นักศึกษา
แม้นายอภิสิทธิ์ รวมไปถึงรัฐบาลจักสามารถปฏิเสธได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่เกี่ยวข้อง
เพราะที่เชียงรายเป็นดุลยพินิจของตำรวจ ที่ดำเนินคดีกับเด็กเพียง 5 คนที่ออกมาถือป้ายเงียบๆ อยู่ริมถนน
ในขณะที่ตำรวจนครบาลนิ่งเฉยอย่างยิ่งกับการรวมพลอย่างเอิกเกริกของพันธมิตรฯ ถึง 2 ครั้ง 2 ครา
ส่วนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นดุลยพินิจของอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ ในการขัดขวางมิให้นิสิตของตนแสดงออกทางการเมือง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิสิต-นักศึกษาในยามนี้ อยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติตามระบอบประชาธิปไตย
เพราะการถือป้ายประท้วง หรือการจัดกิจกรรมทางการเมือง เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานรูปแบบหนึ่งของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการเท่านั้นดอก ถึงจะเป็นข้อยกเว้นมิให้พลังของนิสิต-นักศึกษา หรือประชาชนได้แสดงออกทางการเมือง
เราจึงไม่เห็นภาพข่าวการชูป้ายประท้วงหรือเรียกร้องหาความเป็นธรรมในประเทศพม่า หรือประเทศเผด็จการอื่นๆ
แต่เราจะเห็นข่าวกลุ่มคนยืนชูป้ายประท้วงอยู่เนืองๆ ในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก
เพราะเหล่านี้คือการแสดงออกรูปแบบหนึ่งเพื่อให้ผู้ปกครองประเทศ หรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้สำเหนียกว่าสังคมไม่พอใจในเรื่องใด หรือต้องการอะไร
แม้จะพยายามทำความเข้าใจว่าป้ายที่ชูขึ้นมาทั้งที่เชียงราย หรือที่ม.จุฬาฯ เป็นการถามหาความรับผิดชอบต่อการตายถึง 91 ศพของผู้ชุมนุมเสื้อแดง คงแสลงใจนายอภิสิทธิ์
แต่การขัดขวางหรือกำราบมิให้แสดงออก ก็ไม่ต่างจาก"วัวสันหลังหวะ"
ก็ในเมื่อระบบยุติธรรมทั้งดีเอสไอและอัยการต่างก็โยนบาปให้แกนนำนปช. ว่าเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ชุมนุมไปแล้ว ไยต้องหวาดกลัวอีกเล่า
หรือรู้อยู่แก่ใจตัวเองดีว่าผู้เสียชีวิตเหล่านั้น ตายด้วยน้ำมือใคร
จึงไม่ต้องการให้มาสะกิดแผลที่เหวอะอยู่เต็มหลัง!??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ตายฟรี! ต่างชาติไม่ยอม!!
บางกอกทูเดย์
ญาติสื่อญี่ปุ่น-อิตาลี ไล่จี้ DSI
การกระชับพื้นที่ สลายการชุมนุม ของ ศอฉ. จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว
กับครั้งที่ 2 เมื่อ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
ทั้ง 2 กรณีหากนับกรณีแรกก็คือผ่านมา 4 เดือนเศษแล้ว และกรณีสี่แยกราชประสงค์ถึงวันนี้ (19 สค.) ก็ เท่ากับว่า 3 เดือนพอดิบพอดี
ซึ่งการสูญเสียชีวิต และการบาดเจ็บ รวมทั้งเงื่อนงำของการตาย ของคนชุดดำ รวมไปถึงใครสั่งการ ใครรับผิดชอบกับการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น สำหรับกับสังคมไทยทุกวันนี้ ต้องถือว่า
ยังคงเงียบสนิท!!!
ซึ่งสำหรับสังคมไทย ประชาธิปไตยที่อยู่ในช่วงเว้นวรรคให้กับอำนาจพิเศษของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศอฉ. อาจจะเป็นเรื่องเงียบและซุกหายไปได้ โดยความพยายามขุดคุ้ยอาจจะทำได้ลำบาก เพราะภาษิตไทยสอนเอาไว้เนิ่นนาน
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
ก็ขนาดแค่เด็กนักเรียนที่มีจิตใจเชื่อมั่นในประชาธิปไตยที่แท้จริง เกิดกล้าแสดงออกไปยืนถือป้ายแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ยังกลายเป็นเรื่องให้เห็นกันเป็นตัวอย่าง... แล้ววันนี้จะไม่ให้ทุกอย่างตกอยู่ในอาการเงียบสงัดได้อย่างไร
เชือดไก่ให้ลิงดู ยังไม่โหดร้ายเท่าเชือดเด็กให้ผู้ใหญ่เห็น
ฉะนั้นถึงวันนี้จะโดยกลไกของอำนาจใดก็ตาม ต้องยอมรับว่าการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวนมากช่วงเดือนเมษายน และพฤษภาคม ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ และเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงผนวกกับเก้าอี้ ผอ.ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นเดียวกันกับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และเก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เรื่องแบบนี้สังคมไทยอาจจะไม่รู้สึกอะไร กับการเงียบหายของความสูญเสียที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่สังคมไทยยอมรับสภาพนั้น สังคมต่างชาติไม่สามารถที่จะยอมรับสภาพได้เช่นเดียวกับไทย โดยเฉพาะกับกรณีที่มีคนต่างชาติพลอยได้รับความสูญเสียไปด้วย
อย่างกรณีของนักข่าว 2 ราย คือ นักข่าวญี่ปุ่น และช่างภาพอิตาลี ที่ต้องพลอยเสียชีวิตไปด้วยจากการสลายการชุมนุมนั้น... ญาติๆไม่สามารถยอมรับได้เหมือนกับที่สังคมไทยยอมรับ
คนตายทั้งคน จะให้จบลงแบบเงียบหายราวคลื่นกระทบฝั่งได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงผ่านมา 3-4 เดือนแล้วเช่นนี้ บรรดาญาตินักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต จึงต้องยิ่งพยายามทวงถามสาเหตุของความสูญเสีย
ซึ่งแม้ว่าล่าสุดทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ส่งหนังสือ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ Mr. Hiroyuki Muramoto ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา
โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ฯ ได้ประสานมายัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกำชับให้ดูแลความคืบหน้าและติดตามคดีเป็นอย่างดี และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทางการญี่ปุ่นทราบเป็นระยะ ๆ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและประสานกับผู้เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ จากกล้อง CCTV และ สอบคำให้การพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และภาพถ่ายส่วนหนึ่งจากกล้องที่ Mr.Muramoto ถ่ายไว้ก่อนเสียชีวิต
รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อและ Website ของ DSI ขอให้ประชาชนผู้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ส่วนการรายงานการตรวจศพ Mr.Muramoto สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่า สาเหตุเกิดจากบาดแผลซึ่งเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูงเข้าที่บริเวณทรวงอกซ้าย 1 นัด ทะลุออกทางต้นแขนขวาด้านหลังทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง ล่างขึ้นบนเล็กน้อย ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้ทำการตรวจศพต่อไป
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้เร่งติดตามผลการตรวจ DNA ที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุเพื่อตรวจเปรียบเทียบ กับ DNA ของศพผู้เสียชีวิต เพื่อพิสูจน์ยืนยันจุดเกิดเหตุและจุดที่เสียชีวิตทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้มีหนังสือรายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณี การเสียชีวิตของ Mr.Muramoto ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อมีหนังสือแจ้งความคืบหน้าให้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นทราบไปแล้ว
โดยต่อมา คณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้เข้าพบผู้บริหารและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเจ้าหน้าที่ส่วนกิจการต่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เพื่อประชุมหารือติดตามผลความคืบหน้าของคดี
ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการญี่ปุ่นยังคงขอให้ ดีเอสไอเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่ทางการญี่ปุ่นและญาติผู้เสียชีวิตให้ความสำคัญ
และดีเอสไอมีกำหนดนัดหมายพบปะ หารือ กับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ครั้งต่อไป ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ณ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น โดยพนักงานสอบสวน ฯ จะได้จัดเตรียมรายงานความคืบหน้าไปเพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นต่อไป
ส่วนการเสียชีวิตของ Mr.Fabio Polenghi ช่างภาพชาวอิตาเลียนที่เสียชีวิตจากเหตุชุมนุมประท้วง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 นั้น ภายหลังจากที่ Ms. Elisabetta Polenghi น้องสาว นาย Fabio เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อติดตามผลการชันสูตรศพ และความคืบหน้าของการสอบสวนคดีดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา น้องสาวผู้เสียชีวิต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กงสุล สอท. อิตาลี ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ
ทางรองอธิบดีดีเอสไอ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อ Ms.Polenghi ที่สูญเสียพี่ชายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และย้ำว่า ดีเอสไอ จะดำเนินการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการได้เนื่องจากเพิ่งจะรับสำนวนคดีบางส่วนจาก สตช. และคดีมีความยุ่งยากและจำต้องติดตามพยานหลาย ๆ คนมาให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ พร้อมที่จะให้ข้อมูลต่าง ๆ
ขณะที่ Ms.Polenghi กล่าวย้ำว่า การมาติดตามเรื่องก็เพื่อต้องการทราบรายละเอียดการเสียชีวิตของพี่ชายว่าในวันเวลาดังกล่าว เกิดอะไรขึ้น เพื่อตนและญาติพี่น้องอื่น ๆ จะได้ทราบความจริง รวมทั้ง อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่อาชีพนักข่าวอื่น ๆ ที่จะได้นำไปเป็นกรณีศึกษาต่อไป
ที่ผ่านมาได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด และยังได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. ปทุมวันซึ่งรับผิดชอบสำนวนคดีชันสูตรมาแล้วด้วย จึงหวังว่า ดีเอสไอ จะให้ความกระจ่างในคดีนี้แก่ตนได้ในท้ายที่สุด
ซึ่งพ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ ผอ.ส่วนกิจการต่างประเทศ สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมต่างประเทศ และ คณะ ได้แจ้งแก่ Ms.Polenghi ว่า ดีเอสไอ เพิ่งได้รับสำนวนคดีจาก สน.ลุมพินี เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนคดีของ สน. ปทุมวันนั้นยังไม่ได้รับ จึงยังไม่สามารถดำเนินการอะไร ได้มากนัก
ทั้งนี้ Ms.Polenghi ได้ให้พนักงานสอบสวน ฯ ได้พบกับ Mr.Masaru Goto นักข่าวชาวญี่ปุ่นซึ่งรู้จักกับนาย Fabio และอยู่กับนาย Fabio ในวันเกิดเหตุด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้นัดหมายกับนาย Goto เพื่อสอบถามข้อมูลและบันทึกปากคำต่อไป
โดยภายหลังการหารือจนเป็นที่พอใจแล้ว Ms.Polenghi แจ้งว่าจะพยายามกลับมาประเทศไทยในอีก 2-3 เดือน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีและยินดีจะให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ ในการค้นหาความจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นว่าการเสียชีวิตของนักข่าวอิตาลีรายนี้เป็นที่สนใจของญาติ พี่น้อง และทางการอิตาลี และเชื่อว่าคงจะมาติดตามความคืบหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เช่น กรณีของการเสียชีวิตของนักข่าวญี่ปุ่น จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนกำหนดกรอบเวลาการทำงาน จัดเตรียมรายงานผลความคืบหน้า ไว้เพื่อแจ้งให้กับญาติผู้เสียชีวิตและ สอท. อิตาลี ฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อหน่วยงานหรืออาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปได้
2 คดีนี้จึงถือเป็นการบ้านใหญ่ของ ดีเอสไอ ของตำรวจ และของประเทศไทย ที่ต้องสร้างความกระจ่างให้กับบรรดาญาติพี่น้องของผู้ตายให้ได้
ขณะเดียวกันสังคมไทยเองก็อาจจะหวังอานิสงค์ของ 2 คดีสื่อต่างชาติ พลอยทำให้คดีอื่นๆของคนไทยพลอยกระจ่างตามไปด้วย
เพราะวันนี้มืออำมหิตเสื้อดำ ดูจะสูญหายไร้ร่องรอยอย่างไม่น่าเชื่อ... ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อนกระนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ญาติสื่อญี่ปุ่น-อิตาลี ไล่จี้ DSI
การกระชับพื้นที่ สลายการชุมนุม ของ ศอฉ. จนทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว
กับครั้งที่ 2 เมื่อ 19 พฤษภาคม ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์
ทั้ง 2 กรณีหากนับกรณีแรกก็คือผ่านมา 4 เดือนเศษแล้ว และกรณีสี่แยกราชประสงค์ถึงวันนี้ (19 สค.) ก็ เท่ากับว่า 3 เดือนพอดิบพอดี
ซึ่งการสูญเสียชีวิต และการบาดเจ็บ รวมทั้งเงื่อนงำของการตาย ของคนชุดดำ รวมไปถึงใครสั่งการ ใครรับผิดชอบกับการบาดเจ็บล้มตายที่เกิดขึ้น สำหรับกับสังคมไทยทุกวันนี้ ต้องถือว่า
ยังคงเงียบสนิท!!!
ซึ่งสำหรับสังคมไทย ประชาธิปไตยที่อยู่ในช่วงเว้นวรรคให้กับอำนาจพิเศษของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ ศอฉ. อาจจะเป็นเรื่องเงียบและซุกหายไปได้ โดยความพยายามขุดคุ้ยอาจจะทำได้ลำบาก เพราะภาษิตไทยสอนเอาไว้เนิ่นนาน
น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง
ก็ขนาดแค่เด็กนักเรียนที่มีจิตใจเชื่อมั่นในประชาธิปไตยที่แท้จริง เกิดกล้าแสดงออกไปยืนถือป้ายแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย ยังกลายเป็นเรื่องให้เห็นกันเป็นตัวอย่าง... แล้ววันนี้จะไม่ให้ทุกอย่างตกอยู่ในอาการเงียบสงัดได้อย่างไร
เชือดไก่ให้ลิงดู ยังไม่โหดร้ายเท่าเชือดเด็กให้ผู้ใหญ่เห็น
ฉะนั้นถึงวันนี้จะโดยกลไกของอำนาจใดก็ตาม ต้องยอมรับว่าการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวนมากช่วงเดือนเมษายน และพฤษภาคม ที่ผ่านมา ไม่ได้ทำให้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ และเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคงผนวกกับเก้าอี้ ผอ.ศอฉ.ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยังมั่นคงอย่างไม่น่าเชื่อ
เช่นเดียวกันกับเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และเก้าอี้ ผบ.ทบ.ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
เรื่องแบบนี้สังคมไทยอาจจะไม่รู้สึกอะไร กับการเงียบหายของความสูญเสียที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่สังคมไทยยอมรับสภาพนั้น สังคมต่างชาติไม่สามารถที่จะยอมรับสภาพได้เช่นเดียวกับไทย โดยเฉพาะกับกรณีที่มีคนต่างชาติพลอยได้รับความสูญเสียไปด้วย
อย่างกรณีของนักข่าว 2 ราย คือ นักข่าวญี่ปุ่น และช่างภาพอิตาลี ที่ต้องพลอยเสียชีวิตไปด้วยจากการสลายการชุมนุมนั้น... ญาติๆไม่สามารถยอมรับได้เหมือนกับที่สังคมไทยยอมรับ
คนตายทั้งคน จะให้จบลงแบบเงียบหายราวคลื่นกระทบฝั่งได้อย่างไร
ดังนั้นเมื่อเวลาล่วงผ่านมา 3-4 เดือนแล้วเช่นนี้ บรรดาญาตินักข่าวต่างชาติที่เสียชีวิต จึงต้องยิ่งพยายามทวงถามสาเหตุของความสูญเสีย
ซึ่งแม้ว่าล่าสุดทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ส่งหนังสือ รายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของ Mr. Hiroyuki Muramoto ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่น ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) บริเวณถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่ผ่านมา
โดยภายหลังเกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานประจำสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ฯ ได้ประสานมายัง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกำชับให้ดูแลความคืบหน้าและติดตามคดีเป็นอย่างดี และจะแจ้งความคืบหน้าให้ทางการญี่ปุ่นทราบเป็นระยะ ๆ
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนและประสานกับผู้เกี่ยวข้องในการตรวจสอบ จากกล้อง CCTV และ สอบคำให้การพยานผู้เห็นเหตุการณ์ และภาพถ่ายส่วนหนึ่งจากกล้องที่ Mr.Muramoto ถ่ายไว้ก่อนเสียชีวิต
รวมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ผ่านทางสื่อและ Website ของ DSI ขอให้ประชาชนผู้รู้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ
ส่วนการรายงานการตรวจศพ Mr.Muramoto สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ระบุว่า สาเหตุเกิดจากบาดแผลซึ่งเกิดจากกระสุนปืนความเร็วสูงเข้าที่บริเวณทรวงอกซ้าย 1 นัด ทะลุออกทางต้นแขนขวาด้านหลังทิศทางจากซ้ายไปขวา หน้าไปหลัง ล่างขึ้นบนเล็กน้อย ซึ่งพนักงานสอบสวนคดีพิเศษจะได้ประสานขอข้อมูลเพิ่มเติมจากแพทย์ผู้ทำการตรวจศพต่อไป
นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้เร่งติดตามผลการตรวจ DNA ที่เก็บได้จากที่เกิดเหตุเพื่อตรวจเปรียบเทียบ กับ DNA ของศพผู้เสียชีวิต เพื่อพิสูจน์ยืนยันจุดเกิดเหตุและจุดที่เสียชีวิตทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอได้มีหนังสือรายงานความคืบหน้าการดำเนินการและการสอบสวนกรณี การเสียชีวิตของ Mr.Muramoto ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และกระทรวงการต่างประเทศเพื่อมีหนังสือแจ้งความคืบหน้าให้สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นทราบไปแล้ว
โดยต่อมา คณะเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้เข้าพบผู้บริหารและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษเจ้าหน้าที่ส่วนกิจการต่างประเทศ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม เพื่อประชุมหารือติดตามผลความคืบหน้าของคดี
ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการญี่ปุ่นยังคงขอให้ ดีเอสไอเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากเป็นคดีที่ทางการญี่ปุ่นและญาติผู้เสียชีวิตให้ความสำคัญ
และดีเอสไอมีกำหนดนัดหมายพบปะ หารือ กับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ครั้งต่อไป ประมาณกลางเดือนสิงหาคม ณ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น โดยพนักงานสอบสวน ฯ จะได้จัดเตรียมรายงานความคืบหน้าไปเพื่อแจ้งแก่เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นต่อไป
ส่วนการเสียชีวิตของ Mr.Fabio Polenghi ช่างภาพชาวอิตาเลียนที่เสียชีวิตจากเหตุชุมนุมประท้วง เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 นั้น ภายหลังจากที่ Ms. Elisabetta Polenghi น้องสาว นาย Fabio เดินทางมายังประเทศไทย เพื่อติดตามผลการชันสูตรศพ และความคืบหน้าของการสอบสวนคดีดังกล่าว โดยเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา น้องสาวผู้เสียชีวิต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมยุโรป กระทรวงการต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่กงสุล สอท. อิตาลี ได้เข้าพบ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ
ทางรองอธิบดีดีเอสไอ ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อ Ms.Polenghi ที่สูญเสียพี่ชายจากเหตุการณ์ดังกล่าว และย้ำว่า ดีเอสไอ จะดำเนินการสอบสวนคดีดังกล่าวอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่สามารถกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการได้เนื่องจากเพิ่งจะรับสำนวนคดีบางส่วนจาก สตช. และคดีมีความยุ่งยากและจำต้องติดตามพยานหลาย ๆ คนมาให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ดีเอสไอ พร้อมที่จะให้ข้อมูลต่าง ๆ
ขณะที่ Ms.Polenghi กล่าวย้ำว่า การมาติดตามเรื่องก็เพื่อต้องการทราบรายละเอียดการเสียชีวิตของพี่ชายว่าในวันเวลาดังกล่าว เกิดอะไรขึ้น เพื่อตนและญาติพี่น้องอื่น ๆ จะได้ทราบความจริง รวมทั้ง อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติหน้าที่อาชีพนักข่าวอื่น ๆ ที่จะได้นำไปเป็นกรณีศึกษาต่อไป
ที่ผ่านมาได้ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด และยังได้ไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. ปทุมวันซึ่งรับผิดชอบสำนวนคดีชันสูตรมาแล้วด้วย จึงหวังว่า ดีเอสไอ จะให้ความกระจ่างในคดีนี้แก่ตนได้ในท้ายที่สุด
ซึ่งพ.ต.ท.ไพศิษฎ์ สังคหะพงศ์ ผอ.ส่วนกิจการต่างประเทศ สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมต่างประเทศ และ คณะ ได้แจ้งแก่ Ms.Polenghi ว่า ดีเอสไอ เพิ่งได้รับสำนวนคดีจาก สน.ลุมพินี เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่วนสำนวนคดีของ สน. ปทุมวันนั้นยังไม่ได้รับ จึงยังไม่สามารถดำเนินการอะไร ได้มากนัก
ทั้งนี้ Ms.Polenghi ได้ให้พนักงานสอบสวน ฯ ได้พบกับ Mr.Masaru Goto นักข่าวชาวญี่ปุ่นซึ่งรู้จักกับนาย Fabio และอยู่กับนาย Fabio ในวันเกิดเหตุด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนจะได้นัดหมายกับนาย Goto เพื่อสอบถามข้อมูลและบันทึกปากคำต่อไป
โดยภายหลังการหารือจนเป็นที่พอใจแล้ว Ms.Polenghi แจ้งว่าจะพยายามกลับมาประเทศไทยในอีก 2-3 เดือน เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีและยินดีจะให้ความร่วมมือกับดีเอสไอ ในการค้นหาความจริง
อย่างไรก็ตาม เมื่อ ดีเอสไอพิจารณาแล้วเห็นว่าการเสียชีวิตของนักข่าวอิตาลีรายนี้เป็นที่สนใจของญาติ พี่น้อง และทางการอิตาลี และเชื่อว่าคงจะมาติดตามความคืบหน้าต่อไปเรื่อย ๆ เช่น กรณีของการเสียชีวิตของนักข่าวญี่ปุ่น จึงได้กำชับให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบเร่งรัดการสืบสวนสอบสวนกำหนดกรอบเวลาการทำงาน จัดเตรียมรายงานผลความคืบหน้า ไว้เพื่อแจ้งให้กับญาติผู้เสียชีวิตและ สอท. อิตาลี ฯ ตามความเหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความไม่เข้าใจระหว่างกัน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อหน่วยงานหรืออาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่อไปได้
2 คดีนี้จึงถือเป็นการบ้านใหญ่ของ ดีเอสไอ ของตำรวจ และของประเทศไทย ที่ต้องสร้างความกระจ่างให้กับบรรดาญาติพี่น้องของผู้ตายให้ได้
ขณะเดียวกันสังคมไทยเองก็อาจจะหวังอานิสงค์ของ 2 คดีสื่อต่างชาติ พลอยทำให้คดีอื่นๆของคนไทยพลอยกระจ่างตามไปด้วย
เพราะวันนี้มืออำมหิตเสื้อดำ ดูจะสูญหายไร้ร่องรอยอย่างไม่น่าเชื่อ... ราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อนกระนั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กระหน่ำทิ้งท้าย กษิตอ่วม! เปิดถกต่อเช้านี้
ไทยรัฐ
ตกดึกสภาฯผ่านฉลุยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ส.ส.เพื่อไทย รุมกระหน่ำเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ตัวทำสัมพันธ์มหามิตรแย่ลง มุ่งแต่ไล่ล่าอดีตนายกฯทักษิณ ขณะที่ประธานสั่งพักประชุม!ถกต่อเช้าวันนี้....
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เวลา 23.20 น. ที่ประชุมได้พิจารณาต่อในมาตรา 8 กระทรวงการต่างประเทศ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้ปรับลดวงเงินลงมากว่า 200 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 7.669 พันล้านบาท เหลือ 7.469 พันล้านบาทโดยมี ส.ส.ฝ่ายค้าน อภิปรายเพียง 2 คนคือ นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร และนพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย โดยมุ่งเน้นโจมตีความล้มเหลวในแผนดำเนินการตามยุทธศาสตร์นโยบายการทูตเชิงรุก แต่การบริหารงานของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กลับมุ่งแต่ไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนกระทบความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจทั้ง สหรัฐอเมริกา จีน ฝรั่งเศส โดยเฉพาะแผนงานสร้างสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ล้มเหลว จนถึงวันนี้ยัง ไม่ทราบว่านายกฯ จะเดินทางไปเยือนประเทศพม่าได้ก่อนจะหมดวาระรัฐบาลนี้หรือไม่ ขนาดกับลาวยังมีปัญหา โดยเฉพาะกับกัมพูชาเพราะพฤติกรรมของ รมว.ต่างประเทศ เพียงคนเดียว ที่ทำลายความสัมพันธ์กับมหามิตร จึงขอให้ปรับลดงบฯลงกว่าที่คณะกรรมาธิการฯ ปรับลดไว้ แต่ที่ประชุมมีมติยืนตามคณะกรรมาธิการฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาต่ออย่างรวดเร็วในส่วนของ มาตร า9 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาตรา 10 กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาตรา 11 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยใช้เวลารวมเพียง 3 ชั่วโมง ก่อนที่ นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานที่ประชุมจะสั่งพักการประชุมเมื่อเวลา 02.30 น. โดยเปิดประชุมอีกครั้งเวลา 09.00 น.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตกดึกสภาฯผ่านฉลุยงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ส.ส.เพื่อไทย รุมกระหน่ำเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ตัวทำสัมพันธ์มหามิตรแย่ลง มุ่งแต่ไล่ล่าอดีตนายกฯทักษิณ ขณะที่ประธานสั่งพักประชุม!ถกต่อเช้าวันนี้....
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เวลา 23.20 น. ที่ประชุมได้พิจารณาต่อในมาตรา 8 กระทรวงการต่างประเทศ ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้ปรับลดวงเงินลงมากว่า 200 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 7.669 พันล้านบาท เหลือ 7.469 พันล้านบาทโดยมี ส.ส.ฝ่ายค้าน อภิปรายเพียง 2 คนคือ นายพีระพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร และนพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคเพื่อไทย โดยมุ่งเน้นโจมตีความล้มเหลวในแผนดำเนินการตามยุทธศาสตร์นโยบายการทูตเชิงรุก แต่การบริหารงานของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กลับมุ่งแต่ไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนกระทบความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจทั้ง สหรัฐอเมริกา จีน ฝรั่งเศส โดยเฉพาะแผนงานสร้างสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ล้มเหลว จนถึงวันนี้ยัง ไม่ทราบว่านายกฯ จะเดินทางไปเยือนประเทศพม่าได้ก่อนจะหมดวาระรัฐบาลนี้หรือไม่ ขนาดกับลาวยังมีปัญหา โดยเฉพาะกับกัมพูชาเพราะพฤติกรรมของ รมว.ต่างประเทศ เพียงคนเดียว ที่ทำลายความสัมพันธ์กับมหามิตร จึงขอให้ปรับลดงบฯลงกว่าที่คณะกรรมาธิการฯ ปรับลดไว้ แต่ที่ประชุมมีมติยืนตามคณะกรรมาธิการฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาต่ออย่างรวดเร็วในส่วนของ มาตร า9 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มาตรา 10 กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาตรา 11 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยใช้เวลารวมเพียง 3 ชั่วโมง ก่อนที่ นายสามารถ แก้วมีชัย ประธานที่ประชุมจะสั่งพักการประชุมเมื่อเวลา 02.30 น. โดยเปิดประชุมอีกครั้งเวลา 09.00 น.
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
มัดมาร์คแก้เขตเลือกตั้ง ชายเบรกชูแม้วหาเสียง
ไทยโพสต์
"เทือก" รับลูกแก้ระบบเลือกตั้ง มัด "มาร์ค" เป็นผู้แต่งตั้งกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขเอง ด้านเพื่อไทยด่าลั่น "เฮงซวย" ถามคุณเป็นใคร มาลด ส.ส.เขตลง 25 คน "สมชาย" ติง "เหลิม" อย่าใช้ชื่อทักษิณหากิน ขณะที่ "เติ้ง" ปลง บอกเบื่อแล้วเขตเล็กเขตใหญ่ "ชทพ." ได้ทั้งหมด พร้อมสะกิดนายกฯ อยู่ให้ครบเทอม หากมีปัญหาให้กริ๊งกร๊างมาทันที พิลึก! แนะย้าย "อำพน" พ้นเลขาฯ ครม.
คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชุดนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของ ส.ส.ให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวและระบบสัดส่วน โดยให้มีจำนวน ส.ส. 500 จากแบ่งเขต 375 คน และสัดส่วน 125 คน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีถึงประเด็นดังกล่าวว่า ตอนนี้ยังเป็นความเห็นในประเด็นนั้นประเด็นนี้อยู่ ตนว่าให้คณะกรรมการของนายสมบัติทำให้เสร็จก่อน แล้วเราจะได้เห็นภาพชัดเจน หากสวนกันไปทีละประเด็นก็อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผลออกมาไม่ตรงกับที่พรรคร่วมต้องการจะมีปัญหาในรัฐบาลหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะได้พูดคุยกันแล้วตั้งแต่ต้นว่าแทนที่แต่ละพรรคจะมีแต่ละความเห็น เราก็ให้มีคนที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและระดมผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันคิด ก็จะรอบคอบกว่า
ส่วนในพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมีมติว่าจะไม่แก้เรื่องเขตเลือกตั้งไปเป็นเขตเดียวเบอร์เดียวจะชี้แจงกับสมาชิกพรรคอย่างไรนั้น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า เมื่อนายกฯ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนายสมบัติ เมื่อเขาคิดอะไรมาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของคณะกรรมการฯ ทุกอย่าง
เมื่อถามว่า หากเป็นเช่นนี้จะมีปัญหากับคนในพรรคหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็มีสมาชิกต่อต้านเรื่องเขตเดียวเบอร์เดียวอยู่ จะทำความเข้าใจกับคนในพรรคอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ไม่มีปัญหา คนในพรรคประชาธิปัตย์มีเหตุผล
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในเรื่องดังกล่าวว่า ตนไม่มีความเห็นเพราะตอนนี้ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาผู้แทนฯ ต้องวางตัวเป็นกลาง อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสภาได้บรรจุวาระพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ภาคประชาชนและ ส.ส.ยื่นเสนอเข้ามาไว้แล้ว ขณะนี้คงต้องรอว่า ส.ส.จะนำขึ้นมาพิจารณากันเมื่อใด
"เหตุที่วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ถูกหยิบยกขึ้นมา เป็นเพราะมี ส.ส.บางกลุ่ม ส.ว.บางคนไม่ต้องการให้พิจารณาวาระดังกล่าว ซึ่งผมไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกวาระดังกล่าวขึ้นมาในที่ประชุมได้ ต้องขึ้นอยู่กับสมาชิก" นายชัยกล่าว
สำหรับประเด็นที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความเห็นในเบื้องต้นที่จะแก้ไขที่มาของ ส.ว. โดยให้มีสมาชิก ส.ว. 150 คน มาจากเลือกตั้ง 77 คน และสรรหา 73 คนนั้น
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ยอมรับในทุกเงื่อนไขถึงแม้จะเปลี่ยนให้ที่มาของ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ตาม แต่การกำหนดที่มารวมถึงคุณสมบัติต้องพิจารณาในประเด็นความแตกต่างของ ส.ว.ให้ต่างจาก ส.ส.ด้วย เพราะหากมีคุณสมบัติเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าจะมี ส.ว.ไว้ทำไม
วันเดียวกัน ที่บ้านพักจรัญสนิทวงศ์ 55 ของนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสวันเกิดปีที่ 78 โดยมีสมาชิกพรรคชาติไทยและสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา นักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เข้าร่วมอวยพรกันอย่างคึกคัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนักการเมืองที่เดินทางมาอวยพรวันเกิดนายบรรหารนั้น ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงานและหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา และว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน
นอกจากนี้ยังมีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เดินทางมาร่วมอวยพรด้วยในช่วงเช้า ขณะที่ในช่วงบ่ายแกนนำพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค, น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค, นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.เพื่อไทย ก็เดินทางเข้าร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน
ระหว่างนายอภิสิทธิ์อวยพรนั้น นายบรรหารกล่าวกับนายกฯ ตอนหนึ่งว่า "พรรคร่วมรัฐบาลที่เขายกให้ผมเป็นผู้ประสานงาน ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมชาติพัฒนา โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดิน เขาก็ยินดีจะช่วยรัฐบาลเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของนายพินิจ จารุสมบัติ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ คงจะไม่น่ามีปัญหา นายกรัฐมนตรีอย่าถอดใจก่อน อยู่ให้ครบเทอม ห้ามออก มีอะไรกริ๊งกร๊างหาผมได้ ผมจะให้กำลังใจ เพราะผมก็เบื่อการยุบสภา เบื่อการเลือกตั้ง เหลืออีกปีเดียว"
นายบรรหารบอกกับนายอภิสิทธิ์อีกว่า ฝากดูแลกบ (นายอำพน กิตติอำพน) ว่าที่เลขาฯ ครม.คนใหม่ด้วย เลขาฯ ครม.เป็นเรื่องสำคัญ มันไม่เหมือนนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ อดีตเลขาฯ ครม. ถ้าการเมืองเข้าแทรกก็จะยุ่ง เพราะการเสนอวาระเข้า ครม.สำคัญมาก เห็นควรไม่เห็นควรมันจะยุ่ง นายกฯ ต้องดูดีๆ นะ อย่างงั้นให้นายสุรชัยมาช่วยดูก่อนดีกว่า เพราะกบมันยาก ด้านนายกฯ บอกกลับไปว่า นายสุรชัยก็มาเป็นที่ปรึกษาตนอยู่แล้ว แต่นายบรรหารก็กล่าวว่า "เอาไว้ที่อื่นดีกว่า"
นอกจากนี้ นายบรรหารยังกล่าวกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย ระหว่างเข้าอวยพรด้วยว่า "พรรคภูมิใจไทยมีความเจริญรุ่งเรือง แม้ว่าจะตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็ไปได้ไกลด้วยความมั่นคงและมีชื่อเสียง ผมก็จะให้กำลังใจทุกคน ขอให้ก้าวไปสู่ความเจริญต่อไปในอนาคต อย่างน้อยก็อย่าทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนา ขอฝากไว้ด้วย ไปไหนก็ไปด้วยกันนะ"
นายบรรหารยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ เสนอแก้ไขเขตการเลือกตั้งว่าตนไม่ได้หวังแล้ว จะแก้ก็แก้ ไม่แก้ก็ไม่แก้ ตนไม่พูดถึงแล้ว เบื่อแล้ว ถ้าเป็นตนแก้ 6 เดือนก็จบหมด ความจริงเอา 6 ประเด็นของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ มาดูก็จบแล้ว ตอนนี้เห็นมีข่าวว่าจะสัดส่วนจากประเทศเยอรมนีมาทำอีก ยุ่งกันไปหมด เลอะเทอะ บอกได้แค่นี้ ดังนั้นตนไม่หวังกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่หากมีการเลือกตั้งก็พร้อมไม่ว่าจะเป็นเขตเล็กหรือใหญ่ เพราะได้ทั้งหมด
ด้านพรรคเพื่อไทย ได้มีการย้ายที่ทำการพรรคจากอาคารบีบีดีบิวดิ้ง ย่านพระราม 4 มาอาคารโอเอไอ ซึ่งเป็นที่ทำการเดิมของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ที่ถูกยุบพรรคไปตามลำดับ โดยการย้ายครั้งนี้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค, น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค อัญเชิญพระพุทธรูปไพรีพินาศ 3 องค์ ออกเดินทางออกจากอาคารบีบีดีฯ เวลา 09.00 น. ไปถึงอาคารโอเอไอ เวลา 09.49 น. เพื่อให้ตรงกับฤกษ์เลข 9 ห้าตัว คือวันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติแบบไทย เวลา 09.49 น.
จากนั้น นายยงยุทธได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งหมดมาประดิษฐานบริเวณชั้น 1 เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีแกนนำพรรคทยอยเดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก อาทิ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค, พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรค, นายพายัพ ชินวัตร ประธาน ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย, นายวราเทพ รัตนากร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พร้อมทั้งกลุ่มกองเชียร์คนเสื้อแดงที่เดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก
หลังอัญเชิญพระพุทธรูปเสร็จสิ้น พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า การย้ายครั้งนี้เหมือนเป็นการกลับบ้านเก่า เราจะมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้พรรคคงอยู่กับประชาชนตลอดไป โดยพรรคเพื่อไทยจะปฏิบัติภาระหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือ การสถาปนาอำนาจสูงสุดให้กับประชาชน เราต้องการสร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งเราต้องทำให้สำเร็จให้ได้
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สร้างนายกรัฐมนตรีมานานถึง 3 คนแล้ว และจะเป็นที่สร้างนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 คือ พล.อ.ชวลิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงช่วงนี้ทำให้ ส.ส.และสมาชิกพรรคต่างปรบมือหัวเราะชอบใจ ขณะที่ พล.อ.ชวลิตพูดว่า "ขอบพระคุณมากครับ" จากนั้นบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยได้ไปร่วมถ่ายรูปร่วมกันหน้าอาคาร ก่อนไปสักการะศาลพระภูมิประจำอาคารโอเอไอเพื่อเป็นสิริมงคล
พล.อ.ชวลิตให้สัมภาษณ์ถึงการถูกเสนอให้เป็นนายกฯ ว่า เป็นเรื่องอนาคต ความจริงเจตนารมณ์การทำงานไม่ได้เป็นเรื่องนี้ เราต้องการทำสิ่งที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้นให้จงได้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือดร้อน ความขัดแย้งของประชาชน และแก้ปัญหาของประเทศ
ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นตอนปลายปีนี้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องตำแหน่งหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงด้านความคิด ด้านงบประมาณ และอีกในหลายๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ และจากสัญญาณต่างๆ ที่เราได้รับมา ดังนั้นก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ แน่นอนที่สุดว่าสรรพสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี ถือเป็นเรื่องธรรมดา
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยโดยกล่าวว่า ระบบเลือกตั้งที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญเสนอนั้นลดจำนวน ส.ส.ระบบเขตลงเหลือ 375 คน และเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คนนั้น เป็นข้อเสนอที่เฮงซวย เพราะสุดท้าย ส.ส.ก็ไม่เห็นด้วยที่ไปลดจำนวน ส.ส.ระบบเขตลงถึง 25 คน ไม่มี ส.ส.คนไหนยอม
"คุณเป็นใคร ไม่ได้เป็น ส.ส.แล้วมาเสนอแบบนี้ ส.ส.รับไม่ได้แน่ และยังไปเพิ่ม ส.ส.ระบบสัดส่วนแบบบัญชีเดียวอีก ทั้งที่ ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่ต้องการลงระบบสัดส่วน แต่ต้องการ ส.ส.ระบบเขต ได้ลงพื้นที่พบปะและแก้ไขปัญหาให้ประชาชน" นายสุรพงษ์กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น เพราะไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550 และพรรคประชาธิปัตย์ซีกนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่แก้ไขแน่ เนื่องจากรู้ดีว่าพรรคภูมิใจไทยไม่กล้าเฮี้ยว แค่ต้องการอยู่ครบเทอมก็พอแล้ว
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิมจะนำชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนโยบายหาเสียงว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับการเมืองแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าไม่ควรนำชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนโยบายของพรรคในการหาเสียง.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"เทือก" รับลูกแก้ระบบเลือกตั้ง มัด "มาร์ค" เป็นผู้แต่งตั้งกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขเอง ด้านเพื่อไทยด่าลั่น "เฮงซวย" ถามคุณเป็นใคร มาลด ส.ส.เขตลง 25 คน "สมชาย" ติง "เหลิม" อย่าใช้ชื่อทักษิณหากิน ขณะที่ "เติ้ง" ปลง บอกเบื่อแล้วเขตเล็กเขตใหญ่ "ชทพ." ได้ทั้งหมด พร้อมสะกิดนายกฯ อยู่ให้ครบเทอม หากมีปัญหาให้กริ๊งกร๊างมาทันที พิลึก! แนะย้าย "อำพน" พ้นเลขาฯ ครม.
คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ชุดนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของ ส.ส.ให้ใช้ระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียวและระบบสัดส่วน โดยให้มีจำนวน ส.ส. 500 จากแบ่งเขต 375 คน และสัดส่วน 125 คน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีถึงประเด็นดังกล่าวว่า ตอนนี้ยังเป็นความเห็นในประเด็นนั้นประเด็นนี้อยู่ ตนว่าให้คณะกรรมการของนายสมบัติทำให้เสร็จก่อน แล้วเราจะได้เห็นภาพชัดเจน หากสวนกันไปทีละประเด็นก็อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผลออกมาไม่ตรงกับที่พรรคร่วมต้องการจะมีปัญหาในรัฐบาลหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่มีปัญหา เพราะได้พูดคุยกันแล้วตั้งแต่ต้นว่าแทนที่แต่ละพรรคจะมีแต่ละความเห็น เราก็ให้มีคนที่เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายและระดมผู้เชี่ยวชาญมาช่วยกันคิด ก็จะรอบคอบกว่า
ส่วนในพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยมีมติว่าจะไม่แก้เรื่องเขตเลือกตั้งไปเป็นเขตเดียวเบอร์เดียวจะชี้แจงกับสมาชิกพรรคอย่างไรนั้น เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์บอกว่า เมื่อนายกฯ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนายสมบัติ เมื่อเขาคิดอะไรมาก็ต้องยอมรับการตัดสินใจของคณะกรรมการฯ ทุกอย่าง
เมื่อถามว่า หากเป็นเช่นนี้จะมีปัญหากับคนในพรรคหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็มีสมาชิกต่อต้านเรื่องเขตเดียวเบอร์เดียวอยู่ จะทำความเข้าใจกับคนในพรรคอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ไม่มีปัญหา คนในพรรคประชาธิปัตย์มีเหตุผล
นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวในเรื่องดังกล่าวว่า ตนไม่มีความเห็นเพราะตอนนี้ถือว่าปฏิบัติหน้าที่ประธานสภาผู้แทนฯ ต้องวางตัวเป็นกลาง อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสภาได้บรรจุวาระพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ภาคประชาชนและ ส.ส.ยื่นเสนอเข้ามาไว้แล้ว ขณะนี้คงต้องรอว่า ส.ส.จะนำขึ้นมาพิจารณากันเมื่อใด
"เหตุที่วาระการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ถูกหยิบยกขึ้นมา เป็นเพราะมี ส.ส.บางกลุ่ม ส.ว.บางคนไม่ต้องการให้พิจารณาวาระดังกล่าว ซึ่งผมไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกวาระดังกล่าวขึ้นมาในที่ประชุมได้ ต้องขึ้นอยู่กับสมาชิก" นายชัยกล่าว
สำหรับประเด็นที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีความเห็นในเบื้องต้นที่จะแก้ไขที่มาของ ส.ว. โดยให้มีสมาชิก ส.ว. 150 คน มาจากเลือกตั้ง 77 คน และสรรหา 73 คนนั้น
นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า ยอมรับในทุกเงื่อนไขถึงแม้จะเปลี่ยนให้ที่มาของ ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ตาม แต่การกำหนดที่มารวมถึงคุณสมบัติต้องพิจารณาในประเด็นความแตกต่างของ ส.ว.ให้ต่างจาก ส.ส.ด้วย เพราะหากมีคุณสมบัติเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าจะมี ส.ว.ไว้ทำไม
วันเดียวกัน ที่บ้านพักจรัญสนิทวงศ์ 55 ของนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ทำบุญเลี้ยงพระเนื่องในโอกาสวันเกิดปีที่ 78 โดยมีสมาชิกพรรคชาติไทยและสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา นักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เข้าร่วมอวยพรกันอย่างคึกคัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนักการเมืองที่เดินทางมาอวยพรวันเกิดนายบรรหารนั้น ประกอบด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์, นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พร้อมด้วยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์, นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ, นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงานและหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา และว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำพรรคเพื่อแผ่นดิน
นอกจากนี้ยังมีนายสุวิทย์ คุณกิตติ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม เดินทางมาร่วมอวยพรด้วยในช่วงเช้า ขณะที่ในช่วงบ่ายแกนนำพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค, น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค, นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.เพื่อไทย ก็เดินทางเข้าร่วมอวยพรด้วยเช่นกัน
ระหว่างนายอภิสิทธิ์อวยพรนั้น นายบรรหารกล่าวกับนายกฯ ตอนหนึ่งว่า "พรรคร่วมรัฐบาลที่เขายกให้ผมเป็นผู้ประสานงาน ไม่ว่าจะเป็นภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมชาติพัฒนา โดยเฉพาะพรรคเพื่อแผ่นดิน เขาก็ยินดีจะช่วยรัฐบาลเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของนายพินิจ จารุสมบัติ ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี และนายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ คงจะไม่น่ามีปัญหา นายกรัฐมนตรีอย่าถอดใจก่อน อยู่ให้ครบเทอม ห้ามออก มีอะไรกริ๊งกร๊างหาผมได้ ผมจะให้กำลังใจ เพราะผมก็เบื่อการยุบสภา เบื่อการเลือกตั้ง เหลืออีกปีเดียว"
นายบรรหารบอกกับนายอภิสิทธิ์อีกว่า ฝากดูแลกบ (นายอำพน กิตติอำพน) ว่าที่เลขาฯ ครม.คนใหม่ด้วย เลขาฯ ครม.เป็นเรื่องสำคัญ มันไม่เหมือนนายสุรชัย ภู่ประเสริฐ อดีตเลขาฯ ครม. ถ้าการเมืองเข้าแทรกก็จะยุ่ง เพราะการเสนอวาระเข้า ครม.สำคัญมาก เห็นควรไม่เห็นควรมันจะยุ่ง นายกฯ ต้องดูดีๆ นะ อย่างงั้นให้นายสุรชัยมาช่วยดูก่อนดีกว่า เพราะกบมันยาก ด้านนายกฯ บอกกลับไปว่า นายสุรชัยก็มาเป็นที่ปรึกษาตนอยู่แล้ว แต่นายบรรหารก็กล่าวว่า "เอาไว้ที่อื่นดีกว่า"
นอกจากนี้ นายบรรหารยังกล่าวกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย ระหว่างเข้าอวยพรด้วยว่า "พรรคภูมิใจไทยมีความเจริญรุ่งเรือง แม้ว่าจะตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน แต่ก็ไปได้ไกลด้วยความมั่นคงและมีชื่อเสียง ผมก็จะให้กำลังใจทุกคน ขอให้ก้าวไปสู่ความเจริญต่อไปในอนาคต อย่างน้อยก็อย่าทิ้งพรรคชาติไทยพัฒนา ขอฝากไว้ด้วย ไปไหนก็ไปด้วยกันนะ"
นายบรรหารยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ เสนอแก้ไขเขตการเลือกตั้งว่าตนไม่ได้หวังแล้ว จะแก้ก็แก้ ไม่แก้ก็ไม่แก้ ตนไม่พูดถึงแล้ว เบื่อแล้ว ถ้าเป็นตนแก้ 6 เดือนก็จบหมด ความจริงเอา 6 ประเด็นของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ มาดูก็จบแล้ว ตอนนี้เห็นมีข่าวว่าจะสัดส่วนจากประเทศเยอรมนีมาทำอีก ยุ่งกันไปหมด เลอะเทอะ บอกได้แค่นี้ ดังนั้นตนไม่หวังกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่หากมีการเลือกตั้งก็พร้อมไม่ว่าจะเป็นเขตเล็กหรือใหญ่ เพราะได้ทั้งหมด
ด้านพรรคเพื่อไทย ได้มีการย้ายที่ทำการพรรคจากอาคารบีบีดีบิวดิ้ง ย่านพระราม 4 มาอาคารโอเอไอ ซึ่งเป็นที่ทำการเดิมของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ที่ถูกยุบพรรคไปตามลำดับ โดยการย้ายครั้งนี้ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค, น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค อัญเชิญพระพุทธรูปไพรีพินาศ 3 องค์ ออกเดินทางออกจากอาคารบีบีดีฯ เวลา 09.00 น. ไปถึงอาคารโอเอไอ เวลา 09.49 น. เพื่อให้ตรงกับฤกษ์เลข 9 ห้าตัว คือวันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคม ขึ้น 9 ค่ำเดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติแบบไทย เวลา 09.49 น.
จากนั้น นายยงยุทธได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้งหมดมาประดิษฐานบริเวณชั้น 1 เพื่อเป็นสิริมงคล โดยมีแกนนำพรรคทยอยเดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก อาทิ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรค, พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรค, นายพายัพ ชินวัตร ประธาน ส.ส.อีสาน พรรคเพื่อไทย, นายวราเทพ รัตนากร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย พร้อมทั้งกลุ่มกองเชียร์คนเสื้อแดงที่เดินทางมาร่วมงานอย่างคึกคัก
หลังอัญเชิญพระพุทธรูปเสร็จสิ้น พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า การย้ายครั้งนี้เหมือนเป็นการกลับบ้านเก่า เราจะมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้พรรคคงอยู่กับประชาชนตลอดไป โดยพรรคเพื่อไทยจะปฏิบัติภาระหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือ การสถาปนาอำนาจสูงสุดให้กับประชาชน เราต้องการสร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งเราต้องทำให้สำเร็จให้ได้
นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค กล่าวว่า สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่สร้างนายกรัฐมนตรีมานานถึง 3 คนแล้ว และจะเป็นที่สร้างนายกรัฐมนตรีคนที่ 4 คือ พล.อ.ชวลิต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงช่วงนี้ทำให้ ส.ส.และสมาชิกพรรคต่างปรบมือหัวเราะชอบใจ ขณะที่ พล.อ.ชวลิตพูดว่า "ขอบพระคุณมากครับ" จากนั้นบรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยได้ไปร่วมถ่ายรูปร่วมกันหน้าอาคาร ก่อนไปสักการะศาลพระภูมิประจำอาคารโอเอไอเพื่อเป็นสิริมงคล
พล.อ.ชวลิตให้สัมภาษณ์ถึงการถูกเสนอให้เป็นนายกฯ ว่า เป็นเรื่องอนาคต ความจริงเจตนารมณ์การทำงานไม่ได้เป็นเรื่องนี้ เราต้องการทำสิ่งที่เราตั้งใจให้เกิดขึ้นให้จงได้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความเดือดร้อน ความขัดแย้งของประชาชน และแก้ปัญหาของประเทศ
ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจะเกิดขึ้นตอนปลายปีนี้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องตำแหน่งหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงด้านความคิด ด้านงบประมาณ และอีกในหลายๆ เรื่อง เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ และจากสัญญาณต่างๆ ที่เราได้รับมา ดังนั้นก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงจริงๆ แน่นอนที่สุดว่าสรรพสิ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี ถือเป็นเรื่องธรรมดา
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ไม่เห็นด้วยโดยกล่าวว่า ระบบเลือกตั้งที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญเสนอนั้นลดจำนวน ส.ส.ระบบเขตลงเหลือ 375 คน และเพิ่ม ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เป็น 125 คนนั้น เป็นข้อเสนอที่เฮงซวย เพราะสุดท้าย ส.ส.ก็ไม่เห็นด้วยที่ไปลดจำนวน ส.ส.ระบบเขตลงถึง 25 คน ไม่มี ส.ส.คนไหนยอม
"คุณเป็นใคร ไม่ได้เป็น ส.ส.แล้วมาเสนอแบบนี้ ส.ส.รับไม่ได้แน่ และยังไปเพิ่ม ส.ส.ระบบสัดส่วนแบบบัญชีเดียวอีก ทั้งที่ ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่ต้องการลงระบบสัดส่วน แต่ต้องการ ส.ส.ระบบเขต ได้ลงพื้นที่พบปะและแก้ไขปัญหาให้ประชาชน" นายสุรพงษ์กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น เพราะไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550 และพรรคประชาธิปัตย์ซีกนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่แก้ไขแน่ เนื่องจากรู้ดีว่าพรรคภูมิใจไทยไม่กล้าเฮี้ยว แค่ต้องการอยู่ครบเทอมก็พอแล้ว
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ร.ต.อ.เฉลิมจะนำชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนโยบายหาเสียงว่า แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้รับความนิยมอย่างสูง แต่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวกับการเมืองแล้ว เพราะฉะนั้นคิดว่าไม่ควรนำชื่อของ พ.ต.ท.ทักษิณมาเป็นนโยบายของพรรคในการหาเสียง.
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สตง.เดือดพล่าน "พิศิษฐ์"ดับเครื่องชน"คุณหญิงเป็ด" ปิดห้องระดม 7 บิ๊กหนุน "จารุวรรณ" ปักหลักสู้ยิบตา
มติชนออนไลน์
"พิศิษฐ์"วัดพลัง"จารุวรรณ"
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในฐานะรักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร สตง. เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 สิงหาคม ภายหลังจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อาศัยอำนาจผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 184/2553 ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายพิศิษฐ์ให้รักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม โดยบรรยากาศการประชุมเป็นอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณที่เดินทางมายัง สตง. ได้ประกาศเรียกประชุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง. ผ่านระบบเสียงภายในให้มาประชุมเวลา 09.30 น.เช่นเดียวกัน ที่ห้องโถงอีกฟากหนึ่งของอาคาร สตง.
ทั้งนี้ นายพิศิษฐ์ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของ สตง. ต่อเนื่องจนถึง 18.00 น. จากนั้นนายพิศิษฐ์เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมข้าราชการระดับ 10 จำนวน 7 ราย ถึงความชัดเจนในการบริหารงานของ สตง. หลังจากคุณหญิงจารุวรรณได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งตนให้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเป็นการหารือต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ผู้บริหารระดับสูงของ สตง. เคยประชุมมาก่อนและมีมติเอกฉันท์ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้ว แต่ขณะนั้นยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าให้รอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ของคุณหญิงจารุวรรณตามที่ สตง.ทำเรื่องขอให้ตีความไป โดยขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยและส่งเรื่องมายัง สตง.แล้ว ที่ประชุมจึงนำเรื่องมาหารือกันอีกครั้ง
บิ๊กขรก.หนุน"พิศิษฐ์"รักษาการ
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า หลังจากที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ที่ระบุชัดเจนว่าคุณหญิงจารุวรรณ พ้นสภาพการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้ว จึงมีมติชัดเจนว่า คำสั่งต่างๆ ที่คุณหญิงจารุวรรณทำออกมา ไม่มีสภาพและอำนาจใดๆ ที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.จะต้องปฏิบัติตาม และเห็นสมควรให้ตนรักษาการผู้ว่าการ สตง.ต่อไปดังเดิม
"เพื่อไม่ให้การบริหารงานของ สตง.เกิดความสับสน ข้าราชการระดับสูงทั้ง 7 คน จึงเห็นสมควรให้มีการทำบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.ได้รับทราบโดยทั่วกัน โดยบันทึกข้อความฉบับนี้ ข้าราชการระดับสูงทั้ง 7 คน จะร่วมกันลงชื่อกำกับไว้ด้วย"
ออกหนังสือสกัด"จารุวรรณ"
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า หลังจากบันทึกข้อความฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป น่าจะทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.มีความเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณมากขึ้น ส่วนจะดำเนินการกับคุณหญิงจารุวรรณอย่างไรต่อไปนั้น ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเวลาไม่พอ จึงนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 20 สิงหาคม เพื่อป้องกันคุณหญิงจารุวรรณกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความสับสนภายใน สตง.อีก แต่คงไม่ใช่วิธีขับไล่ เพราะยังมีความเคารพคุณหญิงจารุวรรณอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชามาก่อน
"ที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยว่าอะไรที่คุณหญิงยังเข้ามาใช้ห้องทำงาน รวมถึงการใช้รถประจำตำแหน่งที่ยังไม่ได้คืนให้ แต่ท่าทีที่ออกมาคงจะมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ สตง.มีปัญหาความวุ่นวายในการบริหารงานเกิดขึ้นมาอีก เพราะขณะนี้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานภายใน สตง.มามากแล้ว"
งัดกฎหมายละเว้นหน้าที่ขู่
รายงานข่าวแจ้งว่า หนังสือเวียนข้างต้น ระบุด้วยว่า ให้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง. ถือปฏิบัติตามคำสั่งที่ 75/2552 ลงวันที่ 9 เมษายน 2552 ซึ่งให้รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินรักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินโดยเคร่งครัด และหากข้าราชการผู้ใดถือปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจมีความผิดฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
แหล่งข่าวระดับสูงจาก สตง.เปิดเผยว่า ที่ประชุมนอกจากพิจารณารายละเอียดคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ยังมีการนำคำให้สัมภาษณ์ทั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีความเห็นชัดเจนว่า คุณหญิงจารุวรรณได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้วมาใช้ประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมด้วย
"หญิงเป็ด"ปักหลักสู้ไม่ถอย
แหล่งข่าวกล่าวว่า สตง.มีข้าราชการระดับ 10 จำนวน 11 คน และเข้าร่วมประชุมกับนายพิศิษฐ์ 7 คน ส่วนอีก 4 คน มีความเห็นสองส่วน คือ 1.สนับสนุนให้คุณหญิงจารุวรรณกลับเข้ามาดำรงตำแหน่ง และ 2.ไม่ต้องการที่จะเข้ามายุ่ง แต่ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า ด้านคุณหญิงจารุวรรณยืนยันเสียงหนักแน่นกับข้าราชการบางส่วนที่มาร่วมประชุมว่า ยังมีอำนาจและจะมาปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการ สตง.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พร้อมชี้แจงถึงความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง.แห่งใหม่ ระหว่างนั้นคุณหญิงจารุวรรณได้เข้าสวมกอดข้าราชการบางคนที่เคยมีปัญหากันในอดีต พร้อมขอโทษต่อสิ่งที่เคยทำไว้ด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่คุณหญิงจารุวรรณเรียกประชุมครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า คุณหญิงจารุวรรณต้องการเช็คเสียงสนับสนุนจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง. เพื่อวัดพลังกับข้าราชการระดับ 10 ทั้ง 7 รายที่คัดค้าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"พิศิษฐ์"วัดพลัง"จารุวรรณ"
นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในฐานะรักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ห้องประชุมชั้น 3 อาคาร สตง. เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 19 สิงหาคม ภายหลังจากคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อาศัยอำนาจผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ลงนามในคำสั่ง สตง. ที่ 184/2553 ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายพิศิษฐ์ให้รักษาราชการแทนผู้ว่าการ สตง. เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม โดยบรรยากาศการประชุมเป็นอย่างเคร่งเครียด เนื่องจากคุณหญิงจารุวรรณที่เดินทางมายัง สตง. ได้ประกาศเรียกประชุมข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง. ผ่านระบบเสียงภายในให้มาประชุมเวลา 09.30 น.เช่นเดียวกัน ที่ห้องโถงอีกฟากหนึ่งของอาคาร สตง.
ทั้งนี้ นายพิศิษฐ์ได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงของ สตง. ต่อเนื่องจนถึง 18.00 น. จากนั้นนายพิศิษฐ์เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมข้าราชการระดับ 10 จำนวน 7 ราย ถึงความชัดเจนในการบริหารงานของ สตง. หลังจากคุณหญิงจารุวรรณได้ลงนามในคำสั่งยกเลิกการแต่งตั้งตนให้รักษาการตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ซึ่งเป็นการหารือต่อเนื่องจากก่อนหน้านี้ที่ผู้บริหารระดับสูงของ สตง. เคยประชุมมาก่อนและมีมติเอกฉันท์ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้ว แต่ขณะนั้นยังไม่ได้ดำเนินการอะไร เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่เห็นว่าให้รอคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง. ของคุณหญิงจารุวรรณตามที่ สตง.ทำเรื่องขอให้ตีความไป โดยขณะนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยและส่งเรื่องมายัง สตง.แล้ว ที่ประชุมจึงนำเรื่องมาหารือกันอีกครั้ง
บิ๊กขรก.หนุน"พิศิษฐ์"รักษาการ
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า หลังจากที่ประชุมได้พิจารณารายละเอียดข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ที่ระบุชัดเจนว่าคุณหญิงจารุวรรณ พ้นสภาพการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้ว จึงมีมติชัดเจนว่า คำสั่งต่างๆ ที่คุณหญิงจารุวรรณทำออกมา ไม่มีสภาพและอำนาจใดๆ ที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.จะต้องปฏิบัติตาม และเห็นสมควรให้ตนรักษาการผู้ว่าการ สตง.ต่อไปดังเดิม
"เพื่อไม่ให้การบริหารงานของ สตง.เกิดความสับสน ข้าราชการระดับสูงทั้ง 7 คน จึงเห็นสมควรให้มีการทำบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.ได้รับทราบโดยทั่วกัน โดยบันทึกข้อความฉบับนี้ ข้าราชการระดับสูงทั้ง 7 คน จะร่วมกันลงชื่อกำกับไว้ด้วย"
ออกหนังสือสกัด"จารุวรรณ"
นายพิศิษฐ์กล่าวว่า หลังจากบันทึกข้อความฉบับนี้ถูกเผยแพร่ออกไป น่าจะทำให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง.มีความเข้าใจข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณมากขึ้น ส่วนจะดำเนินการกับคุณหญิงจารุวรรณอย่างไรต่อไปนั้น ยังไม่มีข้อสรุป เนื่องจากเวลาไม่พอ จึงนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 20 สิงหาคม เพื่อป้องกันคุณหญิงจารุวรรณกระทำการใดๆ ที่ก่อให้เกิดความสับสนภายใน สตง.อีก แต่คงไม่ใช่วิธีขับไล่ เพราะยังมีความเคารพคุณหญิงจารุวรรณอยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชามาก่อน
"ที่ผ่านมา เราก็ไม่เคยว่าอะไรที่คุณหญิงยังเข้ามาใช้ห้องทำงาน รวมถึงการใช้รถประจำตำแหน่งที่ยังไม่ได้คืนให้ แต่ท่าทีที่ออกมาคงจะมีความชัดเจนในระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ สตง.มีปัญหาความวุ่นวายในการบริหารงานเกิดขึ้นมาอีก เพราะขณะนี้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อการบริหารงานภายใน สตง.มามากแล้ว"
งัดกฎหมายละเว้นหน้าที่ขู่
รายงานข่าวแจ้งว่า หนังสือเวียนข้างต้น ระบุด้วยว่า ให้ข้าราชการและลูกจ้างของ สตง. ถือปฏิบัติตามคำสั่งที่ 75/2552 ลงวันที่ 9 เมษายน 2552 ซึ่งให้รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินรักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินโดยเคร่งครัด และหากข้าราชการผู้ใดถือปฏิบัติตามคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจมีความผิดฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
แหล่งข่าวระดับสูงจาก สตง.เปิดเผยว่า ที่ประชุมนอกจากพิจารณารายละเอียดคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ยังมีการนำคำให้สัมภาษณ์ทั้งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำฝ่ายบริหาร และนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้นำฝ่ายนิติบัญญัติ ที่มีความเห็นชัดเจนว่า คุณหญิงจารุวรรณได้พ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการ สตง.ไปแล้วมาใช้ประกอบการพิจารณาเพิ่มเติมด้วย
"หญิงเป็ด"ปักหลักสู้ไม่ถอย
แหล่งข่าวกล่าวว่า สตง.มีข้าราชการระดับ 10 จำนวน 11 คน และเข้าร่วมประชุมกับนายพิศิษฐ์ 7 คน ส่วนอีก 4 คน มีความเห็นสองส่วน คือ 1.สนับสนุนให้คุณหญิงจารุวรรณกลับเข้ามาดำรงตำแหน่ง และ 2.ไม่ต้องการที่จะเข้ามายุ่ง แต่ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า ด้านคุณหญิงจารุวรรณยืนยันเสียงหนักแน่นกับข้าราชการบางส่วนที่มาร่วมประชุมว่า ยังมีอำนาจและจะมาปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการ สตง.ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พร้อมชี้แจงถึงความคืบหน้าการก่อสร้างอาคารสำนักงาน สตง.แห่งใหม่ ระหว่างนั้นคุณหญิงจารุวรรณได้เข้าสวมกอดข้าราชการบางคนที่เคยมีปัญหากันในอดีต พร้อมขอโทษต่อสิ่งที่เคยทำไว้ด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า การที่คุณหญิงจารุวรรณเรียกประชุมครั้งนี้ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า คุณหญิงจารุวรรณต้องการเช็คเสียงสนับสนุนจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ สตง. เพื่อวัดพลังกับข้าราชการระดับ 10 ทั้ง 7 รายที่คัดค้าน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดร.วรเจตน์ ชำแหละปมปัญหาสตง. ใครกันแน่ตัวจริง "คุณหญิงจารุวรรณ-พิศิษฐ์ " ตลกเศร้าแห่งองค์กร !
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
หากเอ่ยชื่อ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ทั้งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ย่อมต้องรู้จักนักกฎหมายมหาชนผู้นี้ เป็นอย่างดี เพราะครั้งหนึ่งเมื่อ สตง. ปกปิดข้อมูล โดยอ้างความเป็นองค์กรอิสระ อาจารย์หนุ่มผู้นี้ในฐานะกรรมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินดคีบิ๊ก สตง. มาแล้ว
มาวันนี้ ดร. วรเจตน์ เฝ้าดูสงครามภายในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มานาน ก่อนเปิดฉากสนทนา แบบม้วนเดียวจบ พร้อมชี้ทางออกจากวิกฤตอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ดูหน้าว่า จะเข้าทาง คุณหญิงเป็ด หรือ นายพิศิษฐ์ หรือไม่ อย่างไร ?
อ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ แล้วคุณจะพบว่า หลักกฎหมายคืออะไร หลักกูคืออะไร ?
@ กรณีผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในทางกฏหมาย จะหาทางออกได้อย่างไร
ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องดูจากเหตุรากเหง้า(ครับ) เพราะตอนนี้เราไปดูที่ตัวตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จริงๆเรื่องในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็เป็นปัญหามายาวนาน เมื่อหลายปีก่อน มีประเด็นที่เป็นปัญหาเรื่องกระบวนการสรรหาเข้าสู่ตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทั่งมีการยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งนั้น มีคนถามผมว่า คุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ผมบอกว่าเมื่อดูจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญเพียงแต่วินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้มีการเพิกถอนการแต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณ ดังนั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่ง นอกจากนี้ยังปรากฏว่ากระบวนการเสนอเรื่องเข้าสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้น ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย ผมจึงได้ให้ความเห็นไปเช่นนั้น ซึ่งตอนนั้นก็มีหลายคนว่าผมว่าไปเข้าข้างคุณหญิงจารุวรรณ แต่ผมบอกว่า ผมไม่ได้สนใจตัวคนว่าเป็นใคร แต่ผมพูดไปจากหลักวิชาที่ผมได้ศึกษามา พูดจากหลักกฎหมายที่ว่าด้วยการสิ้นผลของคำสั่งทางปกครอง ซึ่งคำตอบมันจะตรงใจคนหรือไม่ ใครจะชอบ ใครจะชัง ผมไม่สนใจอยู่แล้ว
มาถึงปัญหาวันนี้ ต้องเข้าใจว่า ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีความขัดแย้งกันตั้งแต่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ชุดเดิม กับคุณหญิงจารุวรรณ ความขัดแย้งก็ดำรงอยู่เรื่อยมา จนในที่สุดก็จบลงแบบไม่ถูกต้องตามหลักการ เมื่อมีการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย คปค.(คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ยึดอำนาจและจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลานั้นคุณหญิงจารุวรรณเข้าไปพบกับ คปค.ด้วย
ต่อมา คปค.ก็ออกประกาศฉบับหนึ่ง ให้คตง. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แล้วให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคือคุณหญิงจารุวรรณ สามารถใช้อำนาจในฐานะเป็น คตง. ได้ด้วย คือ คนๆเดียว ใช้อำนาจทั้งในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินพร้อมกัน ใครสนใจเรื่องนี้ไปดู ประกาศคปค.ฉบับที่ 12 และ 29 ได้
เบื้องต้นที่เห็นประกาศนี้ ผมก็รู้สึกว่า คนเขียนประกาศคิดอะไร เขียนอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้ใครเป็นคนเขียน คือ คุณให้คนๆเดียวใช้อำนาจเป็นคณะกรรมการ กลายเป็นว่า คนๆ เดียวมีอำนาจล้นฟ้า เพราะโดยโครงสร้างเขาแบ่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกับผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแยกกัน มีอำนาจแตกต่างกัน แล้วคณะกรรมการประกอบไปด้วยคนหลายๆ คน แต่บัดนี้ พอคุณยึดอำนาจ คุณยุบคณะกรรมการนั้น แล้วให้คนๆ เดียวคือ คุณหญิงจารุวรรณเป็นทั้งคตง.และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในงานการตรวจเงินแผ่นดินของประเทศ นี่มันผิดหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า มันผิด ทำอย่างนี้ไม่ได้ ในเชิงโครงสร้างกฎหมายก็ผิด คือต้องหาวิธีการในการที่จะให้กระบวนการมันเป็นไปลักษณะอื่น จะใช้วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ แต่นี่สะท้อนวิธีคิดอำนาจนิยม คือ แปลว่า ยึดอำนาจแล้วจะทำอะไร ทำได้หมด ออกอะไรมาให้เป็นกฎหมาย มันก็เป็นทั้งนั้น ผิดเพี้ยนในทางหลักการยังไง มันก็เป็นแบบนี้ แล้วก็สร้างปัญหาต่อเนื่องมา เพราะพอคนๆ เดียวมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็กลายเป็นว่าใช้อำนาจในทั้งฐานะที่เป็นคณะกรรมการด้วย และในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วย โดยที่ไม่มีระบบของการถ่วงดุลอำนาจ แล้วพอทำรัฐธรรมนูญใหม่ คนๆเดียวนี้ก็ยังเข้าไปใช้อำนาจเป็นกรรมการสรรหาวุฒิสมาชิกอีก นี่คือปัญหาตั้งแต่แรก
ฉะนั้น เบื้องต้น รากเหง้าของปัญหานี้ ต้องย้อนกลับไปที่รัฐประหาร 19 กันยา และตัวประกาศคปค. ที่ไปทำให้อำนาจมันรวมศูนย์อยู่ที่คนๆ เดียว นี่คือจุดที่ผิดอย่างมาก แต่ตอนนั้นกระแสคนดีหรือคนที่ออกสื่อและสังคมเห็นภาพจากสื่อและคิดว่าเป็นคนดีมาแรง ไม่รู้ว่ากระแสแบบนี้จะแรงไปเรื่อยๆหรือไม่ แต่ผมจะบอกว่าสังคมจะต้องเรียนรู้ แต่บางที่การเรียนรู้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย
กลับมาว่า แล้ววันนี้คุณหญิงจารุวรรณพ้นหรือไม่พ้นจากตำแหน่ง คือ ตัวประกาศ คปค.ฉบับที่ 29 เขาให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน มีผลบังคับต่อไป เว้นแต่บทบัญญัติในส่วนที่ 1 หมวด 1 คือ ส่วนที่ว่าด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แต่บทบัญญัติอื่นๆยังคงใช้บังคับต่อไป
ฉะนั้น บทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติของการเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ได้ถูกยกเว้นด้วยตามประกาศคปค. นั่นแปลว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งอาจจะไม่ใช่คุณหญิงจารุวรรณก็ได้ อาจจะเป็น นาย ก. นาย ข. ก็ได้ จะได้คิดแบบภาวะวิสัย ไม่ต้องดูหน้าคน ใครก็ได้เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วดำรงตำแหน่งอยู่ตามประกาศคปค. ย่อมจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเมื่อใด ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อนั้น
ลองคิดตามธรรมดาว่า ถ้าคนๆ นั้นเขาเกิดตายลง ถามว่าเขาจะพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ คือ โดยสภาพก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง จะตีความยังไงก็ตาม ก็ต้องตีความว่าพ้น เพราะคนได้ตายไปแล้ว เว้นแต่จะคิดว่าประกาศ คปค.ให้เอาวิญญาณทำงานต่อ นั่นก็คงไม่ใช่การตีความกฎหมายที่บุคคลซึ่งมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์จะเข้าใจได้ หลักการอันเดียวกันนี้ก็ใช้กับกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไม่มีสัญชาติไทยอีกต่อไป หรือไปดำรงตำแหน่งที่เห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักการห้ามขัดกันของตำแหน่งหน้าที่ เช่น ไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นวุฒิสมาชิก ไปเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ หรือไปเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถือว่าขาดคุณสมบัติและทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งสิ้น นี่รวมทั้งกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเกิดวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบด้วย
ดังนั้นกรณีที่อายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องพ้นจากตำแหน่งจึงเป็นกรณีที่ชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องตีความอะไรอีก ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก ผมว่านักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นประเด็นนี้ตรงกันหมด แม้จะมีใครอ้างประกาศ คปค.อย่างไรก็ตาม ประกาศ คปค.เองก็ยอมให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฯ ใช้บังคับต่อไป ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติเรื่องคุณสมบัติที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วถ้าใครเกิดอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 301 ที่บัญญัติว่าในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่แทนประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คนอ้างก็ต้องเข้าใจด้วยว่าผู้ที่จะใช้อำนาจดังกล่าวได้จะต้องเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ไม่ขาดคุณสมบัติ เพราะถ้าขาดคุณสมบัติเสียแล้ว ก็ไม่ใช่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในกรณีเช่นนี้ผมเห็นว่าผู้ที่รักษาราชการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินย่อมเป็นผู้ที่ทรงอำนาจตามกฎหมายที่จะใช้อำนาจในฐานะเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้
จริงๆ คำตอบของกรรมาธิการที่ปรึกษากฎหมายของประธานวุฒิสภาที่ตอบไปคราวแรกว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ก็ตอบถูกแล้ว และมีการแจ้งกลับไปยัง สตง.อย่างเป็นทางการด้วย แต่คราวหลังกลับมาเปลี่ยนโดยตอบใหม่ว่าไม่พ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมกลับไปกลับมาแบบนี้
จริงๆแล้ว เรื่องอายุเป็นคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เมื่อขาดคุณสมบัติก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะไม่อย่างนั้นมันคือการฝืนกฎหมาย อันนี้ชัดเจนจนไม่รู้จะชัดยังไง เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ไม่สามารถใช้อำนาจเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้ ไม่สามารถใช้อำนาจเป็นคตง.ได้
@เหตุผลที่สนับสนุนความชอบธรรมของคุณหญิงจารุวรรณ บอกว่า สุญญากาศก่อให้เกิดความเสียหาย มากกว่า
การอ้างว่าถ้าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งไปจะไม่มีใครใช้อำนาจเป็น คตง.ได้ เพราะคนที่รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ตีความว่าจะใช้อำนาจได้ก็แต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารทั่วไปในฐานะหัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและในเรื่องที่เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็เลยพูดกันว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อทำงานต่อไป เพราะงานดังกล่าว คนอื่นทำแทนไม่ได้ อันที่จริงการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนนี้ยังอาจมีเงื่อนแง่ในทางกฎหมายในถกเถียงกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีจำเป็นที่จะต้องมีผู้ใช้อำนาจเพื่อให้ภารกิจของรัฐบรรลุผลหรือเพื่อแก้ไขปัญหาอันมีมาเป็นฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้จะถือตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ หากคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ขาดคุณสมบัติต้องพ้นจากตำแหน่ง คนๆนั้นก็จะเอาเหตุที่อ้างว่าถ้าไม่มีตนแล้ว งานจะหยุดชะงักมาเป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ในตำแหน่งต่อไปย่อมไม่ได้
อุปมาเหมือนพระ วัดๆ หนึ่งมีพระอยู่รูปเดียว ชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องนิมนต์พระรูปนี้ไปทำพิธี หรือทำบุญตักบาตร แต่ต่อมาปรากฏประจักษ์ชัดว่าพระรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก ต้องขาดจากความเป็นพระ แต่พระบอกว่าถึงจะยังไงก็ตามถ้าไม่มีพระรับกิจนิมนต์ เดี๋ยวญาติโยมจะเสียหาย เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอรับกิจนิมนต์ต่อไปจนกว่าจะมีพระรูปใหม่มาประจำที่วัดนี้ ถามว่ามันจะได้หรือไม่ กรณีก็คล้ายกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช้เรื่องที่คุณหญิงจารุวรรณไปกระทำการอันต้องห้ามทำให้พ้นจากตำแหน่ง แต่เรื่องอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ผลในทางทางกฎหมายก็ไม่ได้ต่างกัน ก็คือต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นจะอ้างเหตุอื่นใด หรืออ้างความปรารถนาดีใดๆมาเพื่อครองตำแหน่งต่อไปไม่ได้
คือเรื่องนี้สภาพมันไม่ได้ต่างกัน ในทางกฎหมายผมไม่ได้ดูว่าเป็นคุณหญิงจารุวรรณหรือเป็นใคร ผมสนใจว่าเรื่องนี้ทางกฎหมายเป็นยังไง แต่บังเอิญเมื่อพูดเวลานี้ก็ต้องกระทบคุณหญิงจารุวรรณ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ครับ เพราะไม่อย่างงั้นก็แปลว่า วันนี้ประเทศไทยไม่มีคุณหญิงจารุวรรณ คือ ไม่ได้เลยใช่มั๊ย หมายความว่า คุณหญิงจารุวรรณจะต้องดำรงอยู่ตลอดเพื่อจะทำให้มี คตง.ใช้อำนาจ มันต้องถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่ใช่หรอกครับ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงจุดที่จะต้องพ้น ก็คือ ต้องพ้น มันไปเหนี่ยวรั้งอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นหัวโขน ต้องไปตามเวลาของมัน (ครับ)
@ ทราบว่า อาจารย์มองเห็นทางออกจากวิกฤต เสือ 2 ตัวในถ้ำเดียวกัน
ผมมีข้อสังเกตในข้อกฎหมาย เป็นประเด็นที่คนในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอาจจะต้องไปคิดดู คือ คุณหญิงจารุวรรณเป็นคนตั้งรักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเอาไว้ก็คือ คุณพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส การแต่งตั้งคุณพิศิษฐ์จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาหนึ่ง หากยังไม่มีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ในทางกฎหมายก็ต้องถือว่าคุณพิศิษฐ์ ทรงอำนาจในฐานะที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพราะเป็นรักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คือ ตำแหน่งที่เป็นองค์กรเดี่ยวแบบนี้จะมีคนใช้อำนาจ 2 คนไม่ได้ ต้องมีคนเดียว เพราะไม่อย่างนั้น ถามว่าในสตง. จะบังคับบัญชากันยังไง เจ้าหน้าที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งใคร
เมื่อถามผม ก็ต้องบอกว่า เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตามการสั่งการที่ชอบด้วยกฎหมายของคุณพิศิษฐ์ เพราะว่าคุณพิศิษฐ์ได้รับการแต่งตั้งตามการแต่งตั้งให้เป็นรักษาราชการผู้ว่าตรวจเงินแผ่นดิน แล้วคำสั่งอันนี้ยังไม่ได้ถูกยกเลิกหรือเพิกถอนไป
หากดูในหนังสือเวียนการกลับมาทำหน้าที่ของคุณหญิงจารุวรรณถามว่ากลับมายังไง เพราะว่าคำสั่งตั้งรักษาการยังอยู่ อำนาจยังอยู่ที่คุณพิศิษฐ์ แล้วยังไม่มีการเพิกถอนการตั้งรักษาการนั้น การกลับมาเป็นการกลับมาลอยๆ ไม่มีฐานอำนาจใดในทางกฎหมายรองรับ แต่ถ้าหากสมมติว่าคุณหญิงจารุวรรณเกิดออกคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีก็จะมีปัญหาอีกว่าคำสั่งดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ในทางกฎหมาย เพราะสั่งโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจ เพราะบัดนี้คุณหญิงจารุวรรณอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว และพ้นจากตำแหน่งไปแล้วนั่นเอง
หากคุณหญิงจารุวรรณเกิดสั่งการอะไรไป คนที่รับคำสั่งหรือรับผลกระทบจากการสั่งการนั้นย่อมสามารถนำคดีไปฟ้องศาลปกครองได้ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ศาลปกครองจะต้องพิจารณาก็คือตกลงคุณหญิงจารุวรรณเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอำนาจตามกฎหมายที่จะออกคำสั่งได้หรือไม่
@ แล้วคนในองค์กร จะฟังใครดี (ล่ะ)
แน่นอนอาจจะมีคนถามว่าแล้วถ้าเกิดมีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินจริง เจ้าหน้าที่ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งใครระหว่างคุณพิศิษฐ์กับคุณหญิงจารุวรรณ คำตอบอันหนึ่งที่คนในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องคิดก็คือ หน่วยงานของรัฐหน่วยงานอื่นที่มีปฏิสัมพันธ์กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถือว่าใครเป็นผู้ทรงอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
อย่าลืมว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นในเรื่องนี้มาแล้ว แม้ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจจะไม่ผูกพันสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แต่ก็มีผลสำหรับแนวทางการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในบังคับบัญชาและกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากทางปฏิบัติในเรื่องนี้แล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่ให้คำปรึกษากฎหมายกับรัฐบาลเห็นว่าผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คือ คุณพิศิษฐ์ ไม่ใช่คุณหญิงจารุวรรณ
ดังจะเห็นได้จากการที่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้พิจารณาหนังสือถอนเรื่องที่ขอหารือไป ที่ส่งไปภายหลังโดยคุณหญิงจารุวรรณ ถ้าหน่วยงานในบังคับบัญชาและกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็จะทำให้การอ้างอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณไม่มีผลใดๆ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความเห็นของนักวิชาการอีกหลายคน ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่มักจะมีการอ้างกัน ก็คือ มักจะอ้างกันว่าการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณย่อมมีผลใช้ได้ในทางกฎหมาย โดยการอ้างมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่ว่า ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ การอ้างมาตรานี้อาจจะใช้ได้ในช่วงที่คุณหญิงจารุวรรณอายุยังไม่ครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์และยังไม่ได้ตั้งผู้รักษาราชการในตำแหน่งผุ้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แต่วันนี้การอ้างมาตรานี้เพื่อรองรับการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณย่อมใช้ไม่ได้แล้ว เพราะผู้ที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้นั้นจะต้องมีคนเดียว
ผมจึงมีความเห็นว่าการกระทำใดๆของคุณหญิงจารุวรรณในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหลังจากที่ตั้งผู้รักษาราชการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแล้วเป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใดๆในสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย คือ ไม่มีผลในทางกฎหมาย และการกระทำใดๆหลังจากวันที่คุณหญิงจารุวรรณมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว และปรากฏว่ามีการตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไว้แล้ว ที่คุณหญิงจารุวรรณกระทำในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินก็ไม่มีผลในทางกฎหมายเช่นกัน
@ ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นในช่วงนี้ คุณหญิงจารุวรรณก็ต้องรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ครับ
อันนี้ก็ตอบยากครับ ขึ้นอยู่กับว่าความเสียหายในเรื่องนั้นเกิดจากใคร อันนี้ต้องดูเป็นเรื่องๆไป แล้วจริงๆวันนี้ก็มีปัญหาเพราะว่า ทางสตง.เองก็ยอมให้คุณหญิงจารุวรรณ เข้ามาทำงาน แล้วผมก็เห็นข่าวมีการช่วงชิงซีนกันในการเปิดงานต่างๆอีก ก็เลยประหลาดว่าตกลงใครเป็นผู้แทนขององค์กร
@ รัฐบาลจะเข้าไปจัดการอะไรได้บ้างหรือไม่
ก็จะยุ่งยากอยู่ คือ ผมคิดว่าในที่สุด อาจจะต้องมีการตั้งประเด็นไปแล้วก็ฟ้องศาล ประเด็นที่จะไปฟ้องศาลก็คือว่า ถ้าคุณหญิงจารุวรรณเกิดสั่งการมา กระทบกับสิทธิหน้าที่ของบุคคล แล้วเกิดมีการบังคับตามคำสั่งนั้น คนที่รับการสั่งการของคุณหญิงจารุวรรณ ต้องเอาเรื่องนั้นไปฟ้องศาลว่า คำสั่งที่สั่งการนั้น มันใช้ไม่ได้ ขอให้ศาลเพิกถอน หรือที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือขอให้ศาลประกาศความเสียเปล่า หรือการใช้บังคับไม่ได้ของคำสั่ง เพราะผู้สั่งการไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีอำนาจในตำแหน่ง คำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งที่ออกโดยองค์กรเจ้าหน้าที่ของของรัฐ ถ้าว่ากันตามทฤษฎี อาจจะต้องถึงขนาดชี้ว่าไม่เกิดมีคำสั่งนั้นขึ้นเลยด้วยซ้ำไป
เรื่องที่ไปศาลอาจเป็นไปอีกกรณีหนึ่ง คือ เจ้าหน้าที่ของสตง.ไม่รับฟังคำสั่งของคุณพิศิษฐ์ แต่ไปฟังคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ กรณีนี้คุณพิศิษฐ์ก็อาจสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย ซึ่งในที่สุดก็อาจมีเรื่องไปศาลเหมือนกัน ที่เป็นตลกเศร้าๆสำหรับคนในองค์กรนี้ก็คือจะได้คอยลุ้นกันว่าใครจะฟ้องใครยังไง และใครอยู่ในฐานะผู้ทรงอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
อีกประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลอาจจะช่วยได้ก็คือ ถ้าเดินตามแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็อาจจะเริ่มกระบวนการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่เลย เพียงแต่แนวทางนี้ก็อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะบางส่วนเห็นควรจะรอกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับใหม่ก่อน บางส่วนก็เห็นว่าสรรหาไม่ได้จะต้องสรรหาตามกฎหมายใหม่ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ก็มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็พัวพันกันมานั่นแหละ ผมเห็นว่าสามารถดำเนินการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันได้ อันนี้อาจจะเทียบเคียงกับกรณีรอยต่อระหว่างกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่กับกฎหมายที่กำลังจะได้รับการตราขึ้นในกรณีของการสรรหาคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่เพิ่งจะกระทำไปเมื่อไม่นานมานี้ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หากเอ่ยชื่อ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ทั้งคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา และนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ย่อมต้องรู้จักนักกฎหมายมหาชนผู้นี้ เป็นอย่างดี เพราะครั้งหนึ่งเมื่อ สตง. ปกปิดข้อมูล โดยอ้างความเป็นองค์กรอิสระ อาจารย์หนุ่มผู้นี้ในฐานะกรรมการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ได้ดำเนินการแจ้งความดำเนินดคีบิ๊ก สตง. มาแล้ว
มาวันนี้ ดร. วรเจตน์ เฝ้าดูสงครามภายในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มานาน ก่อนเปิดฉากสนทนา แบบม้วนเดียวจบ พร้อมชี้ทางออกจากวิกฤตอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ดูหน้าว่า จะเข้าทาง คุณหญิงเป็ด หรือ นายพิศิษฐ์ หรือไม่ อย่างไร ?
อ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ แล้วคุณจะพบว่า หลักกฎหมายคืออะไร หลักกูคืออะไร ?
@ กรณีผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในทางกฏหมาย จะหาทางออกได้อย่างไร
ผมคิดว่าเรื่องนี้ต้องดูจากเหตุรากเหง้า(ครับ) เพราะตอนนี้เราไปดูที่ตัวตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน จริงๆเรื่องในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็เป็นปัญหามายาวนาน เมื่อหลายปีก่อน มีประเด็นที่เป็นปัญหาเรื่องกระบวนการสรรหาเข้าสู่ตำแหน่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย กระทั่งมีการยื่นเรื่องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ
ครั้งนั้น มีคนถามผมว่า คุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ ผมบอกว่าเมื่อดูจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญเพียงแต่วินิจฉัยว่ากระบวนการสรรหาไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้มีการเพิกถอนการแต่งตั้งคุณหญิงจารุวรรณ ดังนั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่ง นอกจากนี้ยังปรากฏว่ากระบวนการเสนอเรื่องเข้าสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเวลานั้น ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย ผมจึงได้ให้ความเห็นไปเช่นนั้น ซึ่งตอนนั้นก็มีหลายคนว่าผมว่าไปเข้าข้างคุณหญิงจารุวรรณ แต่ผมบอกว่า ผมไม่ได้สนใจตัวคนว่าเป็นใคร แต่ผมพูดไปจากหลักวิชาที่ผมได้ศึกษามา พูดจากหลักกฎหมายที่ว่าด้วยการสิ้นผลของคำสั่งทางปกครอง ซึ่งคำตอบมันจะตรงใจคนหรือไม่ ใครจะชอบ ใครจะชัง ผมไม่สนใจอยู่แล้ว
มาถึงปัญหาวันนี้ ต้องเข้าใจว่า ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีความขัดแย้งกันตั้งแต่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) ชุดเดิม กับคุณหญิงจารุวรรณ ความขัดแย้งก็ดำรงอยู่เรื่อยมา จนในที่สุดก็จบลงแบบไม่ถูกต้องตามหลักการ เมื่อมีการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย คปค.(คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข) ยึดอำนาจและจะเห็นได้ว่าในช่วงเวลานั้นคุณหญิงจารุวรรณเข้าไปพบกับ คปค.ด้วย
ต่อมา คปค.ก็ออกประกาศฉบับหนึ่ง ให้คตง. พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แล้วให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคือคุณหญิงจารุวรรณ สามารถใช้อำนาจในฐานะเป็น คตง. ได้ด้วย คือ คนๆเดียว ใช้อำนาจทั้งในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินพร้อมกัน ใครสนใจเรื่องนี้ไปดู ประกาศคปค.ฉบับที่ 12 และ 29 ได้
เบื้องต้นที่เห็นประกาศนี้ ผมก็รู้สึกว่า คนเขียนประกาศคิดอะไร เขียนอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้ใครเป็นคนเขียน คือ คุณให้คนๆเดียวใช้อำนาจเป็นคณะกรรมการ กลายเป็นว่า คนๆ เดียวมีอำนาจล้นฟ้า เพราะโดยโครงสร้างเขาแบ่งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินกับผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแยกกัน มีอำนาจแตกต่างกัน แล้วคณะกรรมการประกอบไปด้วยคนหลายๆ คน แต่บัดนี้ พอคุณยึดอำนาจ คุณยุบคณะกรรมการนั้น แล้วให้คนๆ เดียวคือ คุณหญิงจารุวรรณเป็นทั้งคตง.และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในงานการตรวจเงินแผ่นดินของประเทศ นี่มันผิดหลักการที่ปรากฏในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปแล้วว่า มันผิด ทำอย่างนี้ไม่ได้ ในเชิงโครงสร้างกฎหมายก็ผิด คือต้องหาวิธีการในการที่จะให้กระบวนการมันเป็นไปลักษณะอื่น จะใช้วิธีคิดแบบนี้ไม่ได้ แต่นี่สะท้อนวิธีคิดอำนาจนิยม คือ แปลว่า ยึดอำนาจแล้วจะทำอะไร ทำได้หมด ออกอะไรมาให้เป็นกฎหมาย มันก็เป็นทั้งนั้น ผิดเพี้ยนในทางหลักการยังไง มันก็เป็นแบบนี้ แล้วก็สร้างปัญหาต่อเนื่องมา เพราะพอคนๆ เดียวมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็กลายเป็นว่าใช้อำนาจในทั้งฐานะที่เป็นคณะกรรมการด้วย และในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินด้วย โดยที่ไม่มีระบบของการถ่วงดุลอำนาจ แล้วพอทำรัฐธรรมนูญใหม่ คนๆเดียวนี้ก็ยังเข้าไปใช้อำนาจเป็นกรรมการสรรหาวุฒิสมาชิกอีก นี่คือปัญหาตั้งแต่แรก
ฉะนั้น เบื้องต้น รากเหง้าของปัญหานี้ ต้องย้อนกลับไปที่รัฐประหาร 19 กันยา และตัวประกาศคปค. ที่ไปทำให้อำนาจมันรวมศูนย์อยู่ที่คนๆ เดียว นี่คือจุดที่ผิดอย่างมาก แต่ตอนนั้นกระแสคนดีหรือคนที่ออกสื่อและสังคมเห็นภาพจากสื่อและคิดว่าเป็นคนดีมาแรง ไม่รู้ว่ากระแสแบบนี้จะแรงไปเรื่อยๆหรือไม่ แต่ผมจะบอกว่าสังคมจะต้องเรียนรู้ แต่บางที่การเรียนรู้มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย
กลับมาว่า แล้ววันนี้คุณหญิงจารุวรรณพ้นหรือไม่พ้นจากตำแหน่ง คือ ตัวประกาศ คปค.ฉบับที่ 29 เขาให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน มีผลบังคับต่อไป เว้นแต่บทบัญญัติในส่วนที่ 1 หมวด 1 คือ ส่วนที่ว่าด้วยการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แต่บทบัญญัติอื่นๆยังคงใช้บังคับต่อไป
ฉะนั้น บทบัญญัติว่าด้วยคุณสมบัติของการเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ไม่ได้ถูกยกเว้นด้วยตามประกาศคปค. นั่นแปลว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งอาจจะไม่ใช่คุณหญิงจารุวรรณก็ได้ อาจจะเป็น นาย ก. นาย ข. ก็ได้ จะได้คิดแบบภาวะวิสัย ไม่ต้องดูหน้าคน ใครก็ได้เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วดำรงตำแหน่งอยู่ตามประกาศคปค. ย่อมจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเมื่อใด ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งเมื่อนั้น
ลองคิดตามธรรมดาว่า ถ้าคนๆ นั้นเขาเกิดตายลง ถามว่าเขาจะพ้นจากตำแหน่งหรือไม่ คือ โดยสภาพก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง จะตีความยังไงก็ตาม ก็ต้องตีความว่าพ้น เพราะคนได้ตายไปแล้ว เว้นแต่จะคิดว่าประกาศ คปค.ให้เอาวิญญาณทำงานต่อ นั่นก็คงไม่ใช่การตีความกฎหมายที่บุคคลซึ่งมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์จะเข้าใจได้ หลักการอันเดียวกันนี้ก็ใช้กับกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไม่มีสัญชาติไทยอีกต่อไป หรือไปดำรงตำแหน่งที่เห็นได้ชัดว่าขัดกับหลักการห้ามขัดกันของตำแหน่งหน้าที่ เช่น ไปเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไปเป็นวุฒิสมาชิก ไปเป็นผู้พิพากษา ตุลาการ หรือไปเป็นภิกษุ สามเณร นักพรต นักบวช เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถือว่าขาดคุณสมบัติและทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งสิ้น นี่รวมทั้งกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเกิดวิกลจริตหรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบด้วย
ดังนั้นกรณีที่อายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ซึ่งเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องพ้นจากตำแหน่งจึงเป็นกรณีที่ชัดเจนจนแทบจะไม่ต้องตีความอะไรอีก ประเด็นนี้จึงไม่ใช่เรื่องยาก ผมว่านักกฎหมายส่วนใหญ่เห็นประเด็นนี้ตรงกันหมด แม้จะมีใครอ้างประกาศ คปค.อย่างไรก็ตาม ประกาศ คปค.เองก็ยอมให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฯ ใช้บังคับต่อไป ซึ่งรวมถึงบทบัญญัติเรื่องคุณสมบัติที่ได้กล่าวมาแล้ว แล้วถ้าใครเกิดอ้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 301 ที่บัญญัติว่าในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ให้ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจหน้าที่แทนประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คนอ้างก็ต้องเข้าใจด้วยว่าผู้ที่จะใช้อำนาจดังกล่าวได้จะต้องเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่ไม่ขาดคุณสมบัติ เพราะถ้าขาดคุณสมบัติเสียแล้ว ก็ไม่ใช่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ในกรณีเช่นนี้ผมเห็นว่าผู้ที่รักษาราชการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินย่อมเป็นผู้ที่ทรงอำนาจตามกฎหมายที่จะใช้อำนาจในฐานะเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้
จริงๆ คำตอบของกรรมาธิการที่ปรึกษากฎหมายของประธานวุฒิสภาที่ตอบไปคราวแรกว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ก็ตอบถูกแล้ว และมีการแจ้งกลับไปยัง สตง.อย่างเป็นทางการด้วย แต่คราวหลังกลับมาเปลี่ยนโดยตอบใหม่ว่าไม่พ้น ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมกลับไปกลับมาแบบนี้
จริงๆแล้ว เรื่องอายุเป็นคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่ง เมื่อขาดคุณสมบัติก็ต้องพ้นจากตำแหน่ง เพราะไม่อย่างนั้นมันคือการฝืนกฎหมาย อันนี้ชัดเจนจนไม่รู้จะชัดยังไง เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วก็ไม่สามารถใช้อำนาจเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้ ไม่สามารถใช้อำนาจเป็นคตง.ได้
@เหตุผลที่สนับสนุนความชอบธรรมของคุณหญิงจารุวรรณ บอกว่า สุญญากาศก่อให้เกิดความเสียหาย มากกว่า
การอ้างว่าถ้าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งไปจะไม่มีใครใช้อำนาจเป็น คตง.ได้ เพราะคนที่รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ตีความว่าจะใช้อำนาจได้ก็แต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารทั่วไปในฐานะหัวหน้าส่วนราชการของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินและในเรื่องที่เป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเท่านั้น จะใช้อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญหรือตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินซึ่งเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็เลยพูดกันว่าคุณหญิงจารุวรรณต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อทำงานต่อไป เพราะงานดังกล่าว คนอื่นทำแทนไม่ได้ อันที่จริงการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาในส่วนนี้ยังอาจมีเงื่อนแง่ในทางกฎหมายในถกเถียงกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีจำเป็นที่จะต้องมีผู้ใช้อำนาจเพื่อให้ภารกิจของรัฐบรรลุผลหรือเพื่อแก้ไขปัญหาอันมีมาเป็นฉุกเฉิน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม้จะถือตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ หากคนที่ดำรงตำแหน่งอยู่ขาดคุณสมบัติต้องพ้นจากตำแหน่ง คนๆนั้นก็จะเอาเหตุที่อ้างว่าถ้าไม่มีตนแล้ว งานจะหยุดชะงักมาเป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ในตำแหน่งต่อไปย่อมไม่ได้
อุปมาเหมือนพระ วัดๆ หนึ่งมีพระอยู่รูปเดียว ชาวบ้านแถวนั้นก็ต้องนิมนต์พระรูปนี้ไปทำพิธี หรือทำบุญตักบาตร แต่ต่อมาปรากฏประจักษ์ชัดว่าพระรูปนี้ต้องอาบัติปาราชิก ต้องขาดจากความเป็นพระ แต่พระบอกว่าถึงจะยังไงก็ตามถ้าไม่มีพระรับกิจนิมนต์ เดี๋ยวญาติโยมจะเสียหาย เพราะฉะนั้น อาตมาก็ขอรับกิจนิมนต์ต่อไปจนกว่าจะมีพระรูปใหม่มาประจำที่วัดนี้ ถามว่ามันจะได้หรือไม่ กรณีก็คล้ายกัน แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช้เรื่องที่คุณหญิงจารุวรรณไปกระทำการอันต้องห้ามทำให้พ้นจากตำแหน่ง แต่เรื่องอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์ผลในทางทางกฎหมายก็ไม่ได้ต่างกัน ก็คือต้องพ้นจากตำแหน่ง ดังนั้นจะอ้างเหตุอื่นใด หรืออ้างความปรารถนาดีใดๆมาเพื่อครองตำแหน่งต่อไปไม่ได้
คือเรื่องนี้สภาพมันไม่ได้ต่างกัน ในทางกฎหมายผมไม่ได้ดูว่าเป็นคุณหญิงจารุวรรณหรือเป็นใคร ผมสนใจว่าเรื่องนี้ทางกฎหมายเป็นยังไง แต่บังเอิญเมื่อพูดเวลานี้ก็ต้องกระทบคุณหญิงจารุวรรณ ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ครับ เพราะไม่อย่างงั้นก็แปลว่า วันนี้ประเทศไทยไม่มีคุณหญิงจารุวรรณ คือ ไม่ได้เลยใช่มั๊ย หมายความว่า คุณหญิงจารุวรรณจะต้องดำรงอยู่ตลอดเพื่อจะทำให้มี คตง.ใช้อำนาจ มันต้องถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ไม่ใช่หรอกครับ เพราะฉะนั้น เมื่อถึงจุดที่จะต้องพ้น ก็คือ ต้องพ้น มันไปเหนี่ยวรั้งอะไรไม่ได้ ทุกอย่างมันเป็นหัวโขน ต้องไปตามเวลาของมัน (ครับ)
@ ทราบว่า อาจารย์มองเห็นทางออกจากวิกฤต เสือ 2 ตัวในถ้ำเดียวกัน
ผมมีข้อสังเกตในข้อกฎหมาย เป็นประเด็นที่คนในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินอาจจะต้องไปคิดดู คือ คุณหญิงจารุวรรณเป็นคนตั้งรักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเอาไว้ก็คือ คุณพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส การแต่งตั้งคุณพิศิษฐ์จะมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาหนึ่ง หากยังไม่มีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ในทางกฎหมายก็ต้องถือว่าคุณพิศิษฐ์ ทรงอำนาจในฐานะที่เป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เพราะเป็นรักษาการผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน คือ ตำแหน่งที่เป็นองค์กรเดี่ยวแบบนี้จะมีคนใช้อำนาจ 2 คนไม่ได้ ต้องมีคนเดียว เพราะไม่อย่างนั้น ถามว่าในสตง. จะบังคับบัญชากันยังไง เจ้าหน้าที่ต้องเชื่อฟังคำสั่งใคร
เมื่อถามผม ก็ต้องบอกว่า เจ้าหน้าที่ก็ต้องปฏิบัติตามการสั่งการที่ชอบด้วยกฎหมายของคุณพิศิษฐ์ เพราะว่าคุณพิศิษฐ์ได้รับการแต่งตั้งตามการแต่งตั้งให้เป็นรักษาราชการผู้ว่าตรวจเงินแผ่นดิน แล้วคำสั่งอันนี้ยังไม่ได้ถูกยกเลิกหรือเพิกถอนไป
หากดูในหนังสือเวียนการกลับมาทำหน้าที่ของคุณหญิงจารุวรรณถามว่ากลับมายังไง เพราะว่าคำสั่งตั้งรักษาการยังอยู่ อำนาจยังอยู่ที่คุณพิศิษฐ์ แล้วยังไม่มีการเพิกถอนการตั้งรักษาการนั้น การกลับมาเป็นการกลับมาลอยๆ ไม่มีฐานอำนาจใดในทางกฎหมายรองรับ แต่ถ้าหากสมมติว่าคุณหญิงจารุวรรณเกิดออกคำสั่งยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน กรณีก็จะมีปัญหาอีกว่าคำสั่งดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ในทางกฎหมาย เพราะสั่งโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจ เพราะบัดนี้คุณหญิงจารุวรรณอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว และพ้นจากตำแหน่งไปแล้วนั่นเอง
หากคุณหญิงจารุวรรณเกิดสั่งการอะไรไป คนที่รับคำสั่งหรือรับผลกระทบจากการสั่งการนั้นย่อมสามารถนำคดีไปฟ้องศาลปกครองได้ ซึ่งประเด็นสำคัญที่ศาลปกครองจะต้องพิจารณาก็คือตกลงคุณหญิงจารุวรรณเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอำนาจตามกฎหมายที่จะออกคำสั่งได้หรือไม่
@ แล้วคนในองค์กร จะฟังใครดี (ล่ะ)
แน่นอนอาจจะมีคนถามว่าแล้วถ้าเกิดมีการยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งตั้งผู้รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินจริง เจ้าหน้าที่ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งใครระหว่างคุณพิศิษฐ์กับคุณหญิงจารุวรรณ คำตอบอันหนึ่งที่คนในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องคิดก็คือ หน่วยงานของรัฐหน่วยงานอื่นที่มีปฏิสัมพันธ์กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินถือว่าใครเป็นผู้ทรงอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
อย่าลืมว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นในเรื่องนี้มาแล้ว แม้ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาอาจจะไม่ผูกพันสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน แต่ก็มีผลสำหรับแนวทางการปฏิบัติราชการของหน่วยงานในบังคับบัญชาและกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาจากทางปฏิบัติในเรื่องนี้แล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่ให้คำปรึกษากฎหมายกับรัฐบาลเห็นว่าผู้ที่มีอำนาจกระทำการแทนสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน คือ คุณพิศิษฐ์ ไม่ใช่คุณหญิงจารุวรรณ
ดังจะเห็นได้จากการที่คณะกรรมการกฤษฎีกาไม่ได้พิจารณาหนังสือถอนเรื่องที่ขอหารือไป ที่ส่งไปภายหลังโดยคุณหญิงจารุวรรณ ถ้าหน่วยงานในบังคับบัญชาและกำกับดูแลของคณะรัฐมนตรีถือปฏิบัติตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็จะทำให้การอ้างอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณไม่มีผลใดๆ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความเห็นของนักวิชาการอีกหลายคน ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งแล้ว
อีกประเด็นหนึ่งที่มักจะมีการอ้างกัน ก็คือ มักจะอ้างกันว่าการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณย่อมมีผลใช้ได้ในทางกฎหมาย โดยการอ้างมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่ว่า ถ้าปรากฏภายหลังว่าเจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามหรือการแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นเหตุให้ผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งเช่นว่านี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจหน้าที่ การอ้างมาตรานี้อาจจะใช้ได้ในช่วงที่คุณหญิงจารุวรรณอายุยังไม่ครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์และยังไม่ได้ตั้งผู้รักษาราชการในตำแหน่งผุ้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน แต่วันนี้การอ้างมาตรานี้เพื่อรองรับการกระทำของคุณหญิงจารุวรรณย่อมใช้ไม่ได้แล้ว เพราะผู้ที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้นั้นจะต้องมีคนเดียว
ผมจึงมีความเห็นว่าการกระทำใดๆของคุณหญิงจารุวรรณในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหลังจากที่ตั้งผู้รักษาราชการในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแล้วเป็นการกระทำที่ไม่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวใดๆในสิทธิหน้าที่ตามกฎหมาย คือ ไม่มีผลในทางกฎหมาย และการกระทำใดๆหลังจากวันที่คุณหญิงจารุวรรณมีอายุครบหกสิบห้าปีบริบูรณ์แล้ว และปรากฏว่ามีการตั้งผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินไว้แล้ว ที่คุณหญิงจารุวรรณกระทำในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินก็ไม่มีผลในทางกฎหมายเช่นกัน
@ ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นในช่วงนี้ คุณหญิงจารุวรรณก็ต้องรับผิดชอบ ใช่หรือไม่ครับ
อันนี้ก็ตอบยากครับ ขึ้นอยู่กับว่าความเสียหายในเรื่องนั้นเกิดจากใคร อันนี้ต้องดูเป็นเรื่องๆไป แล้วจริงๆวันนี้ก็มีปัญหาเพราะว่า ทางสตง.เองก็ยอมให้คุณหญิงจารุวรรณ เข้ามาทำงาน แล้วผมก็เห็นข่าวมีการช่วงชิงซีนกันในการเปิดงานต่างๆอีก ก็เลยประหลาดว่าตกลงใครเป็นผู้แทนขององค์กร
@ รัฐบาลจะเข้าไปจัดการอะไรได้บ้างหรือไม่
ก็จะยุ่งยากอยู่ คือ ผมคิดว่าในที่สุด อาจจะต้องมีการตั้งประเด็นไปแล้วก็ฟ้องศาล ประเด็นที่จะไปฟ้องศาลก็คือว่า ถ้าคุณหญิงจารุวรรณเกิดสั่งการมา กระทบกับสิทธิหน้าที่ของบุคคล แล้วเกิดมีการบังคับตามคำสั่งนั้น คนที่รับการสั่งการของคุณหญิงจารุวรรณ ต้องเอาเรื่องนั้นไปฟ้องศาลว่า คำสั่งที่สั่งการนั้น มันใช้ไม่ได้ ขอให้ศาลเพิกถอน หรือที่ถูกต้องยิ่งกว่าคือขอให้ศาลประกาศความเสียเปล่า หรือการใช้บังคับไม่ได้ของคำสั่ง เพราะผู้สั่งการไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ ไม่มีอำนาจในตำแหน่ง คำสั่งนั้นไม่ใช่คำสั่งที่ออกโดยองค์กรเจ้าหน้าที่ของของรัฐ ถ้าว่ากันตามทฤษฎี อาจจะต้องถึงขนาดชี้ว่าไม่เกิดมีคำสั่งนั้นขึ้นเลยด้วยซ้ำไป
เรื่องที่ไปศาลอาจเป็นไปอีกกรณีหนึ่ง คือ เจ้าหน้าที่ของสตง.ไม่รับฟังคำสั่งของคุณพิศิษฐ์ แต่ไปฟังคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ กรณีนี้คุณพิศิษฐ์ก็อาจสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิดทางวินัย ซึ่งในที่สุดก็อาจมีเรื่องไปศาลเหมือนกัน ที่เป็นตลกเศร้าๆสำหรับคนในองค์กรนี้ก็คือจะได้คอยลุ้นกันว่าใครจะฟ้องใครยังไง และใครอยู่ในฐานะผู้ทรงอำนาจในตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
อีกประเด็นหนึ่งที่รัฐบาลอาจจะช่วยได้ก็คือ ถ้าเดินตามแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็อาจจะเริ่มกระบวนการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่เลย เพียงแต่แนวทางนี้ก็อาจจะมีปัญหาอยู่บ้าง เพราะบางส่วนเห็นควรจะรอกฎหมายว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดินฉบับใหม่ก่อน บางส่วนก็เห็นว่าสรรหาไม่ได้จะต้องสรรหาตามกฎหมายใหม่ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ก็มีปัญหาอยู่ในขณะนี้ ก็พัวพันกันมานั่นแหละ ผมเห็นว่าสามารถดำเนินการสรรหาผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่ตามกฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันได้ อันนี้อาจจะเทียบเคียงกับกรณีรอยต่อระหว่างกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่กับกฎหมายที่กำลังจะได้รับการตราขึ้นในกรณีของการสรรหาคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ที่เพิ่งจะกระทำไปเมื่อไม่นานมานี้ได้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปัดฝุ่นโรดแม็ป
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
จากบรรยากาศวันแรกก็พอเดาได้ว่าการอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณฯ 2554 มูลค่ากว่า 2 ล้านล้าน
คงจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเคยคุยไว้ว่าการอภิปรายครั้งนี้ความดุเดือดจะระดับน้องๆ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น
ถึงเวลาจริงก็ไม่เป็นไปตามราคาคุยเท่าไหร่ ออกจะกร่อยกว่าปีที่ผ่านๆ มาด้วยซ้ำ
ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะตั้งแต่แรกสิ่งที่หลายคนสนใจไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาการจัดทำงบประมาณ
แต่อยู่ที่ประเด็นการเมืองว่าผลจากการถูกเบรกโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน จะเป็นเหตุให้พรรคภูมิใจไทยโนโหวตร่างกฎหมายงบประมาณหรือไม่
แต่พอแกนนำพรรคภูมิใจไทยเรียงหน้าให้สัม ภาษณ์ยืนยันไม่เอาเรื่องรถเมล์มาปะปนกับเรื่องงบประมาณ นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะเบาใจ
ยังทำให้ฝ่ายค้านพลอยถอดใจไปด้วยเพราะอภิปรายไปก็ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้
บรรยากาศอะไรต่างๆ เลยออกไปในแนวจืดชืดอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กองเชียร์รัฐบาลเป็นห่วงก็คือหลังสภาผ่านงบประมาณแล้ว
อาจมีรายการเช็กบิลย้อนหลังกันเองตามมาถึงขั้นวงแตก
เรื่องรถเมล์ 4 พันคันยังจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะถึงอย่างไรพรรคภูมิใจไทยจะต้องผลักดันให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นมีหวังรัฐบาลได้พังกันทั้งยวง
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร
แต่ลึกๆ แล้วมีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นปมค้างคาใจกับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด และน่าจะออกมาเดินเครื่องอีกครั้งในระยะหลังจากนี้
ที่ต้องจับตามากที่สุดคือการย้ายพรรคของบรรดาส.ส. ที่เริ่มมีข่าวเคลื่อนไหวเข้าพรรคนั้นออกพรรคนี้กันคึกคัก พร้อมกับตัวเลขค่าตัว 30-50 ล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในจังหวะที่พรรคภูมิใจไทยเนื้อหอมกว่าใครเพื่อน
เมื่อนำประเด็นต่างๆ เหล่านี้รวมกับการวิเคราะห์ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยที่เชื่อว่าการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้
หลายคนเลยชักจะเห็นคล้อยตาม
โรดแม็ปปรองดองที่ครั้งหนึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยหยิบยกขึ้นมาล่อใจม็อบเสื้อแดง ว่าพร้อมยุบสภาเลือกตั้งใหม่วันที่ 14 พ.ย.
เริ่มมีคนเอากลับมาพูดให้ได้ยินกันอีกแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คอลัมน์ เหล็กใน
จากบรรยากาศวันแรกก็พอเดาได้ว่าการอภิปรายร่างกฎหมายงบประมาณฯ 2554 มูลค่ากว่า 2 ล้านล้าน
คงจะจบลงแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล
ส่วนที่พรรคเพื่อไทยเคยคุยไว้ว่าการอภิปรายครั้งนี้ความดุเดือดจะระดับน้องๆ อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น
ถึงเวลาจริงก็ไม่เป็นไปตามราคาคุยเท่าไหร่ ออกจะกร่อยกว่าปีที่ผ่านๆ มาด้วยซ้ำ
ที่เป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะตั้งแต่แรกสิ่งที่หลายคนสนใจไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาการจัดทำงบประมาณ
แต่อยู่ที่ประเด็นการเมืองว่าผลจากการถูกเบรกโครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน จะเป็นเหตุให้พรรคภูมิใจไทยโนโหวตร่างกฎหมายงบประมาณหรือไม่
แต่พอแกนนำพรรคภูมิใจไทยเรียงหน้าให้สัม ภาษณ์ยืนยันไม่เอาเรื่องรถเมล์มาปะปนกับเรื่องงบประมาณ นอกจากพรรคประชาธิปัตย์จะเบาใจ
ยังทำให้ฝ่ายค้านพลอยถอดใจไปด้วยเพราะอภิปรายไปก็ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้
บรรยากาศอะไรต่างๆ เลยออกไปในแนวจืดชืดอย่างที่เห็น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่กองเชียร์รัฐบาลเป็นห่วงก็คือหลังสภาผ่านงบประมาณแล้ว
อาจมีรายการเช็กบิลย้อนหลังกันเองตามมาถึงขั้นวงแตก
เรื่องรถเมล์ 4 พันคันยังจะเป็นเรื่องใหญ่เพราะถึงอย่างไรพรรคภูมิใจไทยจะต้องผลักดันให้สำเร็จ ไม่เช่นนั้นมีหวังรัฐบาลได้พังกันทั้งยวง
ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา ที่ดูผิวเผินเหมือนไม่มีอะไร
แต่ลึกๆ แล้วมีเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นปมค้างคาใจกับพรรคประชาธิปัตย์มาตลอด และน่าจะออกมาเดินเครื่องอีกครั้งในระยะหลังจากนี้
ที่ต้องจับตามากที่สุดคือการย้ายพรรคของบรรดาส.ส. ที่เริ่มมีข่าวเคลื่อนไหวเข้าพรรคนั้นออกพรรคนี้กันคึกคัก พร้อมกับตัวเลขค่าตัว 30-50 ล้าน สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในจังหวะที่พรรคภูมิใจไทยเนื้อหอมกว่าใครเพื่อน
เมื่อนำประเด็นต่างๆ เหล่านี้รวมกับการวิเคราะห์ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยที่เชื่อว่าการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็วๆ นี้
หลายคนเลยชักจะเห็นคล้อยตาม
โรดแม็ปปรองดองที่ครั้งหนึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยหยิบยกขึ้นมาล่อใจม็อบเสื้อแดง ว่าพร้อมยุบสภาเลือกตั้งใหม่วันที่ 14 พ.ย.
เริ่มมีคนเอากลับมาพูดให้ได้ยินกันอีกแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)