สยามธุรกิจ
แปลกใจกันบ้างไหมเจ้าคะ ว่าวัฒนธรรมการประชุมสภาฯ บ้านเรานี่ดูจะแปลกอยู่นะเจ้าคะ ไม่ทราบว่าอย่างไร เวลาประชุมสภากัน ผู้เข้าร่วม ประชุมจะออกอาการสมองเสื่อม ไปจน ถึงออกอาการโรคจิตประสาทอย่าง “พารานอยด์ (paranoid)” หวาดระแวง ประเภทสงสัยเกินกว่าเหตุ เลยเถิดกลายเป็นความระแวงแบบฝังแน่น อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู ไม่ว่าใครจะนำหลักฐานอะไรมาก็ไม่เชื่อ เชื่อตัวเองอย่าง เดียว ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติหรือมีอาการ ทางจิต
บางพวกก็ประสาทเสื่อมจำไม่ได้ว่าจริงๆ แล้ววันนี้ที่เข้าประชุมมันประเด็นอะไรกันแน่ กลับไปขุดเอาเรื่องสมัยพระเจ้า สามหน่อขึ้นมาคุยเสียแบบนั้นเอง ไอ้เราประชาชนตาดำๆ นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านก็งงสิเจ้าคะ...
งงตั้งแต่ว่าเรานั่งบ้านั่งดูอะไรอยู่กัน แน่ ไปจนถึงเราเลือกคนบ้าเขาไปเป็นตัวแทน หรือเปล่าเนี่ย???..สารพันปัญหาจะงง.... ประชาชนตาดำๆ ดูแล้วก็พูดได้คำเดียวว่า ปวดกะโหลก!!!
**************************************************************************
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ดร.นันทวัฒน์ วิพากษ์“2 มาตรฐาน” นี่คือเครื่องมือทำลายล้างทางการเมือง แต่ผมมีวิธีแก้ปัญหา!!!
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ศ. ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เขียนบทบรรณาธิการ เรื่อง "สองมาตรฐาน" มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้
หากจะว่ากันไปแล้ว คำว่า “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่คำที่เกิดขึ้นใหม่แต่เป็นคำที่ถูกหยิบยกเอามาใช้กันมากในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคำดังกล่าวเป็นคำที่ต้องการ “ข้อพิสูจน์” ที่เป็นรูปธรรม ผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก เพราะการพิสูจน์เรื่องแต่ละเรื่องที่มีการอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็จะมีการอ้างข้อมูลที่แตกต่างกันไปและไม่สามารถกำหนดได้ว่าอะไรคือ “มาตรฐาน” ที่ว่านี้ ผมก็เลยไม่ได้นำเรื่อง “สองมาตรฐาน” มาพูดหรือมาเขียน
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้อ่านการ์ตูนของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังคนหนึ่งในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งที่ออกมาเล่นเรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่ดูๆ แล้วขนาดการ์ตูนก็ยัง “สองมาตรฐาน” ผมจึงคิดว่าคงต้องเขียนเรื่องนี้บ้างเพื่อไม่ให้ตกขบวนครับ
ที่มาของคำว่า “สองมาตรฐาน”
คำว่า “สองมาตรฐาน” หรือ “double standard” เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เรียกบรรดาการกระทำ การดำเนินการหรือการบริหารจัดการในเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกลุ่มเป้าหมายกันและผลที่เกิดขึ้นตามมาก็แตกต่างกัน โดยผู้กระทำ ผู้ดำเนินการ หรือผู้บริหารจัดการเรื่องดังกล่าวอาจมีเจตนาหรือไม่ก็ได้ อาจทำโดยไม่รู้ก็ได้ อาจทำโดยหย่อนความสามารถก็ได้ หรืออาจทำโดยตั้งใจก็ได้ครับ
คำดังกล่าวเป็นคำยอดนิยมในปัจจุบันและถูกนำมาใช้ในเรื่อง “การเมือง” กันมาก โดยนำมาใช้ในลักษณะที่เป็นคุณเป็นโทษกับคน โดยปกติทั่วไปแล้ว ผู้ได้รับประโยชน์จากการกระทำ “สองมาตรฐาน” ก็มักจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องดังกล่าวเพราะคิดว่านี่คือ “สิทธิพิเศษ” ที่เกิดขึ้นกับตน ทำให้ตนได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานที่ดีกว่า จึงไม่เรียกร้องอะไรเพราะตนเป็นผู้ได้รับประโยชน์
แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่ได้รับการปฏิบัติที่ด้อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มักจะเรียกร้องหา “มาตรฐาน” เพราะสิ่งที่ตนได้รับนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อตนเองมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้น หากเมื่อใดก็ตามที่เกิดอาการหรือเกิดการกล่าวอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็หมายความว่า จะมีผู้หนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง “ได้ประโยชน์” ส่วนอีกผู้หนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นผู้ “เสียประโยชน์”
“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นศัพท์ด้านนิติศาสตร์ แต่ถ้าหากจะหาศัพท์ด้านนิติศาสตร์มาใช้ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “เลือกปฏิบัติ” ส่วนถ้าจะใช้ศัพท์ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็คงเรียกการกระทำสองมาตรฐานว่าเป็นการ “ลำเอียง” ก็ได้นะครับ
“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นประเด็นด้านนิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย แต่เกิดจากการที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกที่จะใช้อำนาจหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่แตกต่างกันภายใต้กฎหมายหรือกฎเกณฑ์เดียวกัน
ในชีวิตประจำวัน เรื่อง “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกเพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่มีการรวมกลุ่ม มีความเชื่อ มีสังคม มี “รุ่น” ต่างๆ ร่วมกัน ก็ย่อมมีความผูกพันเป็นธรรมดา และเมื่อเราอยากให้คนที่เราผูกพันได้รับความสะดวกสบาย หรือได้รับสิ่งที่ “ดีๆ” อาการสองมาตรฐานก็จะเกิดขึ้นตามมาครับ
จากวัฒนธรรมสู่ความชาชิน
นอกจากนี้แล้ว สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็ยังเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ เด็กกับผู้ใหญ่ทำสิ่งเดียวกัน คนรวยกับคนจนทำสิ่งเดียวกัน เจ้านายกับลูกน้องทำสิ่งเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนครับ โดยเฉพาะเด็กกับผู้ใหญ่นี่เป็น “วัฒนธรรม” ที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” จนกลายเป็น “ความชาชิน” ของสังคมในปัจจุบัน
ลองนึกตัวอย่างดูเอาเองก็ได้ครับเพราะผมเชื่อว่า แต่ละคนก็เคยประสบกับ “สองมาตรฐาน” มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะประสบในครั้งที่ยังเป็น “เด็ก” ผู้ถูกกระทำหรือเมื่อเป็นผู้กระทำที่เป็น “ผู้ใหญ่” แล้วครับ เด็กทำอะไรก็ผิดไปหมดในขณะที่ผู้ใหญ่ทำอย่างเดียวกันแต่กลับไม่ผิด !!
ความเคยชินเหล่านี้ในบางครั้งผู้ถูกกระทำก็ต้องยอมรับเพราะวัฒนธรรมและสภาพสังคมต่างก็มีส่วนทำให้ผู้ถูกกระทำ “ต้องยอมรับ” และ “ไม่มีปากไม่มีเสียง” ครับ แต่ในใจของทุกคน ผู้ถูกกระทำทุกคนรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกัน รู้สึกถึงการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันครับ !!!
ในทางกฎหมาย ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า แม้จะไม่มีคำว่า “สองมาตรฐาน” แต่เราก็สามารถนำคำว่า “เลือกปฏิบัติ” มาใช้แทนได้ การเลือกปฏิบัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้กล่าวเอาไว้ โดยในมาตรา 30 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กล่าวไว้ว่า
"การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้"
และนอกจากนี้แล้ว ในมาตรา 9 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็ยังกำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีบรรทัดฐาน ทนายพิการสอบอัยการ
ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มีกรณีของการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือกรณีของนาย ศิริมิตร บุญมูล ทนายความพิการด้วยโรคโปลิโอที่ไปสมัครสอบเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยแต่ทางหน่วยงานไม่รับสมัคร
เนื่องจากเห็นว่ามีร่างกายพิการ ต่อมา นายศิริมิตร บุญมูล ก็ได้นำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดก็ได้พิพากษาเพิกถอนมติของคณะกรรมการอัยการที่มีมติไม่รับสมัคร นายศิริมิตร บุญมูล ในการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย โดยเรื่องดังกล่าว รองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ได้เขียนบทความลงใน www.pub-law.net ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ก็ต้องลองไปอ่านดูนะครับ
ในทางการเมือง ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้คือ การแตกแยกในทางความคิดอันนำไปสู่ความขัดแย้งระดับชาติ มีการแบ่งขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันในทุกที่ ทุกกลุ่ม อย่างชัดเจน มีการแบ่งเป็นพวกใครพวกมันในทุกระดับชั้นของสังคม ฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่งมา คำว่า “สองมาตรฐาน” จึงถูกนำมาใช้สำหรับการดำเนินการที่ไม่เท่าเทียมกันที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เป็นผู้ทำครับ
ผมคงไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมากมายนักเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนพยายามออกมาบอกว่า “สองมาตรฐาน” ถ้าเรามองอย่างใจเป็นธรรม เราก็คงรู้เอง เพราะอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วข้างต้นว่า สองมาตรฐานไม่สามารถวัดได้ด้วยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการมากกว่าเกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย สังคมเราในวันนี้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและการใช้อำนาจทางการเมืองแบบที่แตกต่างกัน ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ
สองมาตรฐาน ...ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ล่าสุดที่เกิดขึ้น ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เด็กนักเรียนเขียนป้ายที่มีข้อความกระทบกับการเมืองก็ถูกจับเข้าสถานพินิจเด็กและเยาวชน ประชาชนผูกผ้าแดงที่ป้ายสี่แยกก็ถือว่าทำผิดกฎหมาย ในขณะที่คนเป็นร้อยชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ต่อมาย้ายไปชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินนอก มีการตั้งเวทีปราศรัย ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ผิดพระราชกำหนดดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง กลับไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นตัวอย่าง “เล็กๆ” ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ ส่วนตัวอย่าง “ใหญ่ๆ” อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามที่รอคำตอบอยู่ก็คือ ผู้ชุมนุมยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา ตำรวจใช้กำลังสลาย ถูกสอบสวนโดนไล่ออก ส่วนกรณีผู้ชุมนุมยึดสี่แยกราชประสงค์ ทหารใช้กำลังเข้าสลาย คนตายร่วมร้อย บาดเจ็บหลายพันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผมคงไม่ต้องหยิบยกมาพูดให้สะเทือนความรู้สึก และสร้างความ “น้อยใจ” ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก “สองมาตรฐาน” เพราะจริงๆ แล้ว คนไทยทุกคนในฐานะผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ต่างก็มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เพราะเงินภาษีเหล่านี้ก็คือ “ค่าจ้าง” ที่ประชาชน “จ้าง” พวกคุณมาบริหารประเทศ มาเป็นตำรวจ มาเป็นทหาร เพื่อดูแลทุกข์สุขให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เพื่อ “ดูแล” หรือ “รับใช้” คนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะนะครับ !!!
เราจะแก้ปัญหา “สองมาตรฐาน” ได้ไหม ? เป็นคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้กันมาก
นี่คือวิธีการแก้ปัญหาสองมาตรฐาน
ผมเคยเสนอผ่าน “ผู้มีอำนาจ” ไปแล้วหลายครั้งว่า อะไรที่ใครบอกว่าสองมาตรฐานก็ต้องให้ผู้ที่รับผิดชอบออกมาชี้แจงว่าทำไมถึงเข้าใจกันไปว่าสองมาตรฐาน ลองยกตัวอย่างดูก็ได้ว่า หากมีฝ่ายหนึ่งบอกว่า เรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งค้างอยู่ที่ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ป.ป.ช. กกต. ฯลฯ มาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนเรื่องของฝ่ายตนเองบรรดาองค์กรเหล่านั้นก็รีบดำเนินการ ไม่ยากหรอกครับ ทำแบบ ศอฉ. แถลงข่าวก็ได้ เอาผู้ที่เกี่ยวข้องและสามารถให้ข้อมูลได้ออกมานั่งกันให้เต็มจอทีวี อธิบายว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนใด ช้าเพราะเหตุใด และคาดว่าจะเสร็จเมื่อไร ชี้แจงให้เป็นระบบและชัดเจน
ผมว่าคนคงหายสงสัยไปได้มากนะครับ นี่คือวิธีการแก้ปัญหาของสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วยการให้ข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้องแก่ประชาชน และให้ประชาชนรับทราบด้วยว่า “น่าจะ” ใช้เวลาในการดำเนินการอีกนานเท่าไรสำหรับแต่ละเรื่อง ส่วนในวันข้างหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินการที่มีลักษณะสองมาตรฐานอีก หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องพยายามมีความเป็นกลางทางการเมืองให้มากขึ้น หยุดที่จะฟังและทำตามนักการเมืองโดยละเลยกับหลักนิติรัฐ
ใช้มาตรา 157 เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา
หลักของความเป็นข้าราชการที่ดี คงต้อง “สำนึก” ให้มากขึ้นว่า มีงานทำและมีเงินใช้ได้ทุกวันนี้ก็เพราะภาษีจากประชาชนทั้งประเทศ ในการทำงานควรทำด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว ชัดเจน มีคำตอบ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เสนอข้อเท็จจริง ข้อเสนอ “เชยๆ” ที่กล่าวไปแล้วนี้ไม่ล้าสมัยหรอกครับ เพราะยังเป็นสิ่งที่เราไม่ให้ความสนใจที่จะทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานจนทำให้ความแตกแยกในสังคมขยายออกไปกว้างมากขึ้นทุกวัน
ฝ่ายประชาชน ผู้ที่มั่นใจว่าตนเองได้รับการปฏิบัติที่มีลักษณะ “สองมาตรฐาน” ก็น่าจะลองใช้สิทธิทางศาลยุติธรรมด้วยการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป หรือไม่ก็ใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรา 72 (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 คือปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนดในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
หลายๆ คนอาจ “ส่ายหน้า” ว่าการใช้สิทธิทางศาลกว่าจะรู้ผลก็ต้องใช้เวลานาน แต่ผมก็ยังเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดเพราะเป็นการ “ต่อสู้” ตามกฎหมายครับ ฟ้องกันมากๆ ให้มีข่าวออกมามากๆ ผู้มีอำนาจที่จะใช้วิธี “สองมาตรฐาน” ก็จะต้องระวังตัวมากขึ้นที่จะใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าว ไม่ช้าไม่นานสถานการณ์ก็คงจะดีขึ้นไปเองครับ เพียงแต่ต้องอาศัย “ความกล้า” และ “เวลา” เท่านั้นเองครับ !!
เครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง
สำหรับฝ่ายการเมือง ผมว่าหยุดได้แล้วที่จะใช้ “สองมาตรฐาน” เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะหาทางออกให้กับประเทศได้อย่างไรครับ ควรหยุดแทรกแซงและสั่งการฝ่ายข้าราชการประจำและในขณะเดียวกันก็ควรหาทางให้มีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และต้องพยายามหาทางทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสู่มาตรฐานเดียวให้ได้ รัฐบาลสองมาตรฐานคงไม่สามารถนำความสงบสุขและความปรองดองกลับมาสู่ประเทศได้อย่างแน่นอนครับ !!!
ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐาน ?
ข้อเขียนนี้คงไม่สมบูรณ์ หากจะไม่กล่าวถึง “สื่อ” ที่ในวันนี้ก็สองมาตรฐานกันเสียเหลือเกิน ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐานเลยครับ !!! คงจะต้องหันกลับมาปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ร่ำเรียนกันมาใหม่นะครับ พยายามทำตัวให้เป็นกลาง อย่าเลือกข้าง นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุดและดีที่สุด ต้องไม่ลืมว่าสื่ออยู่เหนือการเมืองนะครับ ไม่ใช่อยู่กับการเมือง อยู่ในการเมืองหรืออยู่ใต้การเมืองครับ
หากยังปล่อยให้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาวะ “สองมาตรฐาน” ต่อไป ความแตกแยกก็ต้องมีมากขึ้น จนในที่สุดระบบต่างๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสังคมและประเทศก็จะต้อง “ล่มสลาย” เมื่อถึงวันนั้น ผู้คนจะไม่มีความเชื่อถือในรัฐบาล ไม่มีความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ ไม่มีความเชื่อถือในทหาร ไม่มีความเชื่อถือในตำรวจ และไม่มีความเชื่อถือในฝ่ายตุลาการ แล้วประเทศเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรครับ บ้านเมืองที่ไร้กฎเกณฑ์ ไร้กติกาคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากเห็นหรืออยากให้เกิดขึ้นครับ !!!
***********************************************************************************
ศ. ดร.นันทวัฒน์ บรมานันท์ เมธีวิจัยอาวุโส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เขียนบทบรรณาธิการ เรื่อง "สองมาตรฐาน" มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้
หากจะว่ากันไปแล้ว คำว่า “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่คำที่เกิดขึ้นใหม่แต่เป็นคำที่ถูกหยิบยกเอามาใช้กันมากในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคำดังกล่าวเป็นคำที่ต้องการ “ข้อพิสูจน์” ที่เป็นรูปธรรม ผมจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากเท่าไรนัก เพราะการพิสูจน์เรื่องแต่ละเรื่องที่มีการอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็จะมีการอ้างข้อมูลที่แตกต่างกันไปและไม่สามารถกำหนดได้ว่าอะไรคือ “มาตรฐาน” ที่ว่านี้ ผมก็เลยไม่ได้นำเรื่อง “สองมาตรฐาน” มาพูดหรือมาเขียน
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้อ่านการ์ตูนของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังคนหนึ่งในหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับหนึ่งที่ออกมาเล่นเรื่อง “สองมาตรฐาน” ที่ดูๆ แล้วขนาดการ์ตูนก็ยัง “สองมาตรฐาน” ผมจึงคิดว่าคงต้องเขียนเรื่องนี้บ้างเพื่อไม่ให้ตกขบวนครับ
ที่มาของคำว่า “สองมาตรฐาน”
คำว่า “สองมาตรฐาน” หรือ “double standard” เป็นคำที่ถูกนำมาใช้เรียกบรรดาการกระทำ การดำเนินการหรือการบริหารจัดการในเรื่องเดียวกัน แต่ต่างกลุ่มเป้าหมายกันและผลที่เกิดขึ้นตามมาก็แตกต่างกัน โดยผู้กระทำ ผู้ดำเนินการ หรือผู้บริหารจัดการเรื่องดังกล่าวอาจมีเจตนาหรือไม่ก็ได้ อาจทำโดยไม่รู้ก็ได้ อาจทำโดยหย่อนความสามารถก็ได้ หรืออาจทำโดยตั้งใจก็ได้ครับ
คำดังกล่าวเป็นคำยอดนิยมในปัจจุบันและถูกนำมาใช้ในเรื่อง “การเมือง” กันมาก โดยนำมาใช้ในลักษณะที่เป็นคุณเป็นโทษกับคน โดยปกติทั่วไปแล้ว ผู้ได้รับประโยชน์จากการกระทำ “สองมาตรฐาน” ก็มักจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องดังกล่าวเพราะคิดว่านี่คือ “สิทธิพิเศษ” ที่เกิดขึ้นกับตน ทำให้ตนได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานที่ดีกว่า จึงไม่เรียกร้องอะไรเพราะตนเป็นผู้ได้รับประโยชน์
แต่ในทางกลับกัน ฝ่ายที่ได้รับการปฏิบัติที่ด้อยกว่าอีกฝ่ายหนึ่งก็มักจะเรียกร้องหา “มาตรฐาน” เพราะสิ่งที่ตนได้รับนั้นก่อให้เกิดผลกระทบต่อตนเองมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะฉะนั้น หากเมื่อใดก็ตามที่เกิดอาการหรือเกิดการกล่าวอ้างว่า “สองมาตรฐาน” ก็หมายความว่า จะมีผู้หนึ่งหรือฝ่ายหนึ่ง “ได้ประโยชน์” ส่วนอีกผู้หนึ่งหรืออีกฝ่ายหนึ่งก็จะเป็นผู้ “เสียประโยชน์”
“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นศัพท์ด้านนิติศาสตร์ แต่ถ้าหากจะหาศัพท์ด้านนิติศาสตร์มาใช้ก็คงหนีไม่พ้นคำว่า “เลือกปฏิบัติ” ส่วนถ้าจะใช้ศัพท์ชาวบ้านทั่วๆ ไปก็คงเรียกการกระทำสองมาตรฐานว่าเป็นการ “ลำเอียง” ก็ได้นะครับ
“สองมาตรฐาน” ไม่ได้เป็นประเด็นด้านนิติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย แต่เกิดจากการที่ “ผู้มีอำนาจ” ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเลือกที่จะใช้อำนาจหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดกับบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่แตกต่างกันภายใต้กฎหมายหรือกฎเกณฑ์เดียวกัน
ในชีวิตประจำวัน เรื่อง “สองมาตรฐาน” ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกเพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่มีการรวมกลุ่ม มีความเชื่อ มีสังคม มี “รุ่น” ต่างๆ ร่วมกัน ก็ย่อมมีความผูกพันเป็นธรรมดา และเมื่อเราอยากให้คนที่เราผูกพันได้รับความสะดวกสบาย หรือได้รับสิ่งที่ “ดีๆ” อาการสองมาตรฐานก็จะเกิดขึ้นตามมาครับ
จากวัฒนธรรมสู่ความชาชิน
นอกจากนี้แล้ว สภาพสังคมและวัฒนธรรมก็ยังเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ เด็กกับผู้ใหญ่ทำสิ่งเดียวกัน คนรวยกับคนจนทำสิ่งเดียวกัน เจ้านายกับลูกน้องทำสิ่งเดียวกัน ผลที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกันอย่างแน่นอนครับ โดยเฉพาะเด็กกับผู้ใหญ่นี่เป็น “วัฒนธรรม” ที่ทำให้เกิด “สองมาตรฐาน” จนกลายเป็น “ความชาชิน” ของสังคมในปัจจุบัน
ลองนึกตัวอย่างดูเอาเองก็ได้ครับเพราะผมเชื่อว่า แต่ละคนก็เคยประสบกับ “สองมาตรฐาน” มาแล้วทั้งนั้น ไม่ว่าจะประสบในครั้งที่ยังเป็น “เด็ก” ผู้ถูกกระทำหรือเมื่อเป็นผู้กระทำที่เป็น “ผู้ใหญ่” แล้วครับ เด็กทำอะไรก็ผิดไปหมดในขณะที่ผู้ใหญ่ทำอย่างเดียวกันแต่กลับไม่ผิด !!
ความเคยชินเหล่านี้ในบางครั้งผู้ถูกกระทำก็ต้องยอมรับเพราะวัฒนธรรมและสภาพสังคมต่างก็มีส่วนทำให้ผู้ถูกกระทำ “ต้องยอมรับ” และ “ไม่มีปากไม่มีเสียง” ครับ แต่ในใจของทุกคน ผู้ถูกกระทำทุกคนรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกัน รู้สึกถึงการได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างกันครับ !!!
ในทางกฎหมาย ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า แม้จะไม่มีคำว่า “สองมาตรฐาน” แต่เราก็สามารถนำคำว่า “เลือกปฏิบัติ” มาใช้แทนได้ การเลือกปฏิบัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 และฉบับปี พ.ศ. 2550 ได้กล่าวเอาไว้ โดยในมาตรา 30 วรรคสาม แห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กล่าวไว้ว่า
"การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางด้านเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้"
และนอกจากนี้แล้ว ในมาตรา 9 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ก็ยังกำหนดให้การเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
คดีบรรทัดฐาน ทนายพิการสอบอัยการ
ที่ผ่านมา ในช่วงเวลาของการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2540 มีกรณีของการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมที่น่าสนใจหลายเรื่องด้วยกัน แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือกรณีของนาย ศิริมิตร บุญมูล ทนายความพิการด้วยโรคโปลิโอที่ไปสมัครสอบเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วยแต่ทางหน่วยงานไม่รับสมัคร
เนื่องจากเห็นว่ามีร่างกายพิการ ต่อมา นายศิริมิตร บุญมูล ก็ได้นำเรื่องดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดก็ได้พิพากษาเพิกถอนมติของคณะกรรมการอัยการที่มีมติไม่รับสมัคร นายศิริมิตร บุญมูล ในการสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการอัยการในตำแหน่งอัยการผู้ช่วย โดยเรื่องดังกล่าว รองศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ได้เขียนบทความลงใน www.pub-law.net ไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ก็ต้องลองไปอ่านดูนะครับ
ในทางการเมือง ปัญหาใหญ่ของประเทศไทยในวันนี้คือ การแตกแยกในทางความคิดอันนำไปสู่ความขัดแย้งระดับชาติ มีการแบ่งขั้ว แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันในทุกที่ ทุกกลุ่ม อย่างชัดเจน มีการแบ่งเป็นพวกใครพวกมันในทุกระดับชั้นของสังคม ฝ่ายหนึ่งไปอีกฝ่ายหนึ่งมา คำว่า “สองมาตรฐาน” จึงถูกนำมาใช้สำหรับการดำเนินการที่ไม่เท่าเทียมกันที่ “อีกฝ่ายหนึ่ง” เป็นผู้ทำครับ
ผมคงไม่ต้องยกตัวอย่างอะไรมากมายนักเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนพยายามออกมาบอกว่า “สองมาตรฐาน” ถ้าเรามองอย่างใจเป็นธรรม เราก็คงรู้เอง เพราะอย่างที่ผมกล่าวไปแล้วข้างต้นว่า สองมาตรฐานไม่สามารถวัดได้ด้วยกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ใดๆ ทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการมากกว่าเกิดขึ้นจากข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของตัวบทกฎหมาย สังคมเราในวันนี้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและการใช้อำนาจทางการเมืองแบบที่แตกต่างกัน ไม่ต้องดูอื่นไกลนะครับ
สองมาตรฐาน ...ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ล่าสุดที่เกิดขึ้น ภายใต้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เด็กนักเรียนเขียนป้ายที่มีข้อความกระทบกับการเมืองก็ถูกจับเข้าสถานพินิจเด็กและเยาวชน ประชาชนผูกผ้าแดงที่ป้ายสี่แยกก็ถือว่าทำผิดกฎหมาย ในขณะที่คนเป็นร้อยชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ต่อมาย้ายไปชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนินนอก มีการตั้งเวทีปราศรัย ซึ่งเป็นการชุมนุมที่ผิดพระราชกำหนดดังกล่าวอย่างชัดแจ้ง กลับไม่มีการดำเนินการทางกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น
นี่เป็นตัวอย่าง “เล็กๆ” ที่เกิดขึ้นล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้เองครับ ส่วนตัวอย่าง “ใหญ่ๆ” อีกเรื่องหนึ่งที่ยังคงเป็นคำถามที่รอคำตอบอยู่ก็คือ ผู้ชุมนุมยึดสนามบิน ยึดทำเนียบ ปิดล้อมรัฐสภา ตำรวจใช้กำลังสลาย ถูกสอบสวนโดนไล่ออก ส่วนกรณีผู้ชุมนุมยึดสี่แยกราชประสงค์ ทหารใช้กำลังเข้าสลาย คนตายร่วมร้อย บาดเจ็บหลายพันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ
ยังมีตัวอย่างอีกมากมายที่ผมคงไม่ต้องหยิบยกมาพูดให้สะเทือนความรู้สึก และสร้างความ “น้อยใจ” ให้กับผู้ได้รับผลกระทบจาก “สองมาตรฐาน” เพราะจริงๆ แล้ว คนไทยทุกคนในฐานะผู้เสียภาษี ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ต่างก็มีสิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันจากหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เพราะเงินภาษีเหล่านี้ก็คือ “ค่าจ้าง” ที่ประชาชน “จ้าง” พวกคุณมาบริหารประเทศ มาเป็นตำรวจ มาเป็นทหาร เพื่อดูแลทุกข์สุขให้กับประชาชนทุกคนอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่ใช่เพื่อ “ดูแล” หรือ “รับใช้” คนหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะนะครับ !!!
เราจะแก้ปัญหา “สองมาตรฐาน” ได้ไหม ? เป็นคำถามที่หลายๆ คนอยากรู้กันมาก
นี่คือวิธีการแก้ปัญหาสองมาตรฐาน
ผมเคยเสนอผ่าน “ผู้มีอำนาจ” ไปแล้วหลายครั้งว่า อะไรที่ใครบอกว่าสองมาตรฐานก็ต้องให้ผู้ที่รับผิดชอบออกมาชี้แจงว่าทำไมถึงเข้าใจกันไปว่าสองมาตรฐาน ลองยกตัวอย่างดูก็ได้ว่า หากมีฝ่ายหนึ่งบอกว่า เรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งค้างอยู่ที่ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม ป.ป.ช. กกต. ฯลฯ มาเป็นเวลานานแล้ว ส่วนเรื่องของฝ่ายตนเองบรรดาองค์กรเหล่านั้นก็รีบดำเนินการ ไม่ยากหรอกครับ ทำแบบ ศอฉ. แถลงข่าวก็ได้ เอาผู้ที่เกี่ยวข้องและสามารถให้ข้อมูลได้ออกมานั่งกันให้เต็มจอทีวี อธิบายว่าเรื่องดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนใด ช้าเพราะเหตุใด และคาดว่าจะเสร็จเมื่อไร ชี้แจงให้เป็นระบบและชัดเจน
ผมว่าคนคงหายสงสัยไปได้มากนะครับ นี่คือวิธีการแก้ปัญหาของสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วด้วยการให้ข้อมูลที่ชัดเจน ถูกต้องแก่ประชาชน และให้ประชาชนรับทราบด้วยว่า “น่าจะ” ใช้เวลาในการดำเนินการอีกนานเท่าไรสำหรับแต่ละเรื่อง ส่วนในวันข้างหน้า เพื่อไม่ให้เกิดการดำเนินการที่มีลักษณะสองมาตรฐานอีก หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะต้องพยายามมีความเป็นกลางทางการเมืองให้มากขึ้น หยุดที่จะฟังและทำตามนักการเมืองโดยละเลยกับหลักนิติรัฐ
ใช้มาตรา 157 เป็นเครื่องมือแก้ปัญหา
หลักของความเป็นข้าราชการที่ดี คงต้อง “สำนึก” ให้มากขึ้นว่า มีงานทำและมีเงินใช้ได้ทุกวันนี้ก็เพราะภาษีจากประชาชนทั้งประเทศ ในการทำงานควรทำด้วยความโปร่งใส รวดเร็ว ชัดเจน มีคำตอบ เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เสนอข้อเท็จจริง ข้อเสนอ “เชยๆ” ที่กล่าวไปแล้วนี้ไม่ล้าสมัยหรอกครับ เพราะยังเป็นสิ่งที่เราไม่ให้ความสนใจที่จะทำอย่างเสมอต้นเสมอปลายต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานานจนทำให้ความแตกแยกในสังคมขยายออกไปกว้างมากขึ้นทุกวัน
ฝ่ายประชาชน ผู้ที่มั่นใจว่าตนเองได้รับการปฏิบัติที่มีลักษณะ “สองมาตรฐาน” ก็น่าจะลองใช้สิทธิทางศาลยุติธรรมด้วยการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ผู้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ต่อไป หรือไม่ก็ใช้สิทธิฟ้องศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรา 72 (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 คือปฏิบัติตามหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนดในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเว้นต่อหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร
หลายๆ คนอาจ “ส่ายหน้า” ว่าการใช้สิทธิทางศาลกว่าจะรู้ผลก็ต้องใช้เวลานาน แต่ผมก็ยังเห็นว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดและถูกต้องที่สุดเพราะเป็นการ “ต่อสู้” ตามกฎหมายครับ ฟ้องกันมากๆ ให้มีข่าวออกมามากๆ ผู้มีอำนาจที่จะใช้วิธี “สองมาตรฐาน” ก็จะต้องระวังตัวมากขึ้นที่จะใช้อำนาจในลักษณะดังกล่าว ไม่ช้าไม่นานสถานการณ์ก็คงจะดีขึ้นไปเองครับ เพียงแต่ต้องอาศัย “ความกล้า” และ “เวลา” เท่านั้นเองครับ !!
เครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง
สำหรับฝ่ายการเมือง ผมว่าหยุดได้แล้วที่จะใช้ “สองมาตรฐาน” เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะหาทางออกให้กับประเทศได้อย่างไรครับ ควรหยุดแทรกแซงและสั่งการฝ่ายข้าราชการประจำและในขณะเดียวกันก็ควรหาทางให้มีการใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อก่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และต้องพยายามหาทางทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาสู่มาตรฐานเดียวให้ได้ รัฐบาลสองมาตรฐานคงไม่สามารถนำความสงบสุขและความปรองดองกลับมาสู่ประเทศได้อย่างแน่นอนครับ !!!
ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐาน ?
ข้อเขียนนี้คงไม่สมบูรณ์ หากจะไม่กล่าวถึง “สื่อ” ที่ในวันนี้ก็สองมาตรฐานกันเสียเหลือเกิน ขนาดการ์ตูนก็ยังสองมาตรฐานเลยครับ !!! คงจะต้องหันกลับมาปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ร่ำเรียนกันมาใหม่นะครับ พยายามทำตัวให้เป็นกลาง อย่าเลือกข้าง นำเสนอสิ่งที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนให้มากที่สุดและดีที่สุด ต้องไม่ลืมว่าสื่ออยู่เหนือการเมืองนะครับ ไม่ใช่อยู่กับการเมือง อยู่ในการเมืองหรืออยู่ใต้การเมืองครับ
หากยังปล่อยให้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาวะ “สองมาตรฐาน” ต่อไป ความแตกแยกก็ต้องมีมากขึ้น จนในที่สุดระบบต่างๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสังคมและประเทศก็จะต้อง “ล่มสลาย” เมื่อถึงวันนั้น ผู้คนจะไม่มีความเชื่อถือในรัฐบาล ไม่มีความเชื่อถือในเจ้าหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานของรัฐ ไม่มีความเชื่อถือในทหาร ไม่มีความเชื่อถือในตำรวจ และไม่มีความเชื่อถือในฝ่ายตุลาการ แล้วประเทศเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรครับ บ้านเมืองที่ไร้กฎเกณฑ์ ไร้กติกาคงไม่ใช่สิ่งที่พวกเราอยากเห็นหรืออยากให้เกิดขึ้นครับ !!!
***********************************************************************************
"ธาริต"สั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วง
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วงกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้บริษัทแอมเพิลริชฯ "ธาริต" ระบุคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 และมาตรา 247 กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ว่าเป็นการรายงานเท็จ หรือรายงานไม่ถูกต้องต่อ ก.ล.ต.
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน มีมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตามล่าสุดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมาตนได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในคดีการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นการกระทำการหรือละเว้นการกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการตามมาตรา 246 และ 247 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือคดีซุกหุ้นภาค 2
เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ) และผู้ต้องหาที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) ได้จำหน่ายและโอนหุ้นชินฯทั้งหมดให้กับบุคคลในครอบครัวดังกล่าวนั้นเป็นการถือครองหุ้นแทนผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งหุ้นเพิ่มทุนของหุ้นชินฯของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่มีการชำระค่าหุ้นโดยผู้ต้องหาที่ 2 และหุ้นชินฯที่ผู้ต้องหาที่ 1 โอนให้กับบริษัทแอมเพิลริชก็เป็นจำนวนหุ้นที่ถือครองแทนผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ด้วย
สำหรับการรายงานตามแบบ 246-2 ของผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ว่ามีหุ้นชินฯเหลือศูนย์หุ้นนั้น เป็นความเท็จหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่มีการจำหน่ายหุ้นชินฯให้บุคคลในครอบครัวหรือนิติบุคคลแต่อย่างใด จึงถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง จำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น
ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ต้องรายงานตามแบบ 246-2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ตามมาตรา 246 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตามตัวบทกฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการรายงานเท็จหรือรายงานไม่ถูกต้องต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เป็นความผิด
ดังนั้นการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ยังรับฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ถึงแม้จะรับฟังว่าการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 เป็นการรายงานตามแบบ 246-2 ที่เป็นเท็จต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แต่ก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องได้ กล่าวคือผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ได้มีการแก้ไขรายงานแบบที่มีการรายงานเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2543 ถึง 3 ครั้งด้วยกัน
นายธาริตกล่าวว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 จึงไม่เป็นความผิดฐานไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการลงทะเบียน การโอนหลักทรัพย์นั้นหรือไม่ และไม่ว่าการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของหลักทรัพย์นั้นจะมีจำนวนเท่าใดในแต่ละครั้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 ทางคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ตามข้อกล่าวหา และตัวบทกฎหมายดังกล่าว
"คดีนี้มีพนักงานสอบสวน 10 คน โดยมี พ.ต.อ.ณรัตน์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยเห็นชอบตามพนักงานสอบสวนทั้ง 10 คน อย่างเป็นเอกฉันท์ และอัยการที่ปรึกษามีความเห็นพ้องด้วย ผมก็เห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 แต่หลังจากนี้ต้องส่งให้อัยการต่อไปว่าจะเห็นด้วยหรือไม่" อธิบดีดีเอสไอกล่าว
สำหรับคดีซุกหุ้นภาค 2 เกิดขึ้นในช่วงปี 2542-2543 โดยนอมินีที่ถูกเชิดเปลี่ยนจากคนรับใช้มาเป็นทายาทและเครือญาติ กับบริษัทที่ตั้งขึ้นในชื่อบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ จำกัด โดยพฤติกรรมการซุกหุ้นภาค 2 พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ซุกหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
คดีซุกหุ้นภาค 2 เคยถูกกลุ่มวุฒิสมาชิกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ช่วงต้นปี 2549 แต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าฟ้องครอบคลุม กระทั่งกลายเป็นข่าวใหญ่และกลายเป็นจุดจบทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการขายหุ้นชินคอร์ปฯให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549
*************************************************************************************
ดีเอสไอสั่งไม่ฟ้องคดีซุกหุ้นภาคสอง "พ.ต.ท.ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน" หลุดบ่วงกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้บริษัทแอมเพิลริชฯ "ธาริต" ระบุคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2553 ให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 และมาตรา 247 กรณีจำหน่ายและโอนหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัท แอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ว่าเป็นการรายงานเท็จ หรือรายงานไม่ถูกต้องต่อ ก.ล.ต.
ต่อมาเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2553 ที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเป็นประธาน มีมติรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ อย่างไรก็ตามล่าสุดนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมาน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมาตนได้สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร์ ในคดีการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นการกระทำการหรือละเว้นการกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติว่าด้วยการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการตามมาตรา 246 และ 247 แห่ง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือคดีซุกหุ้นภาค 2
เนื่องจากผู้ต้องหาที่ 1 (พ.ต.ท.ทักษิณ) และผู้ต้องหาที่ 2 (คุณหญิงพจมาน) ได้จำหน่ายและโอนหุ้นชินฯทั้งหมดให้กับบุคคลในครอบครัวดังกล่าวนั้นเป็นการถือครองหุ้นแทนผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 รวมทั้งหุ้นเพิ่มทุนของหุ้นชินฯของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่มีการชำระค่าหุ้นโดยผู้ต้องหาที่ 2 และหุ้นชินฯที่ผู้ต้องหาที่ 1 โอนให้กับบริษัทแอมเพิลริชก็เป็นจำนวนหุ้นที่ถือครองแทนผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ด้วย
สำหรับการรายงานตามแบบ 246-2 ของผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ว่ามีหุ้นชินฯเหลือศูนย์หุ้นนั้น เป็นความเท็จหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่มีการจำหน่ายหุ้นชินฯให้บุคคลในครอบครัวหรือนิติบุคคลแต่อย่างใด จึงถือว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลง จำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น
ผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ต้องรายงานตามแบบ 246-2 ต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ตามมาตรา 246 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตามตัวบทกฎหมายดังกล่าวไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการรายงานเท็จหรือรายงานไม่ถูกต้องต่อสำนักงาน ก.ล.ต.เป็นความผิด
ดังนั้นการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ยังรับฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ถึงแม้จะรับฟังว่าการกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 เป็นการรายงานตามแบบ 246-2 ที่เป็นเท็จต่อสำนักงาน ก.ล.ต. แต่ก็สามารถแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้องได้ กล่าวคือผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ได้มีการแก้ไขรายงานแบบที่มีการรายงานเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2543 ถึง 3 ครั้งด้วยกัน
นายธาริตกล่าวว่า การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 จึงไม่เป็นความผิดฐานไม่รายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการใดในลักษณะที่ทำให้ตนหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการลงทะเบียน การโอนหลักทรัพย์นั้นหรือไม่ และไม่ว่าการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของหลักทรัพย์นั้นจะมีจำนวนเท่าใดในแต่ละครั้งต่อสำนักงาน ก.ล.ต.ทุกครั้งที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ภายในวันทำการถัดจากวันที่ได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการนั้น อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 246 ทางคดีมีพยานหลักฐานไม่พอฟ้อง จึงเห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และที่ 2 ตามข้อกล่าวหา และตัวบทกฎหมายดังกล่าว
"คดีนี้มีพนักงานสอบสวน 10 คน โดยมี พ.ต.อ.ณรัตน์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน โดยเห็นชอบตามพนักงานสอบสวนทั้ง 10 คน อย่างเป็นเอกฉันท์ และอัยการที่ปรึกษามีความเห็นพ้องด้วย ผมก็เห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 แต่หลังจากนี้ต้องส่งให้อัยการต่อไปว่าจะเห็นด้วยหรือไม่" อธิบดีดีเอสไอกล่าว
สำหรับคดีซุกหุ้นภาค 2 เกิดขึ้นในช่วงปี 2542-2543 โดยนอมินีที่ถูกเชิดเปลี่ยนจากคนรับใช้มาเป็นทายาทและเครือญาติ กับบริษัทที่ตั้งขึ้นในชื่อบริษัท แอมเพิลริช อินเวสเมนต์ จำกัด โดยพฤติกรรมการซุกหุ้นภาค 2 พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่า ซุกหุ้นเพื่อหลีกเลี่ยงกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 ห้ามรัฐมนตรีเป็นหุ้นส่วนหรือถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542
คดีซุกหุ้นภาค 2 เคยถูกกลุ่มวุฒิสมาชิกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ช่วงต้นปี 2549 แต่ศาลไม่รับฟ้อง เพราะเห็นว่าฟ้องครอบคลุม กระทั่งกลายเป็นข่าวใหญ่และกลายเป็นจุดจบทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังการขายหุ้นชินคอร์ปฯให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ มูลค่า 73,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549
*************************************************************************************
ปลดล็อกกรุงเทพฯ ฝันไปหรือเปล่า?
ที่มา.บางกอกทูเดย์
พล.อ.อนุพงษ์-อภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิกต่างจังหวัดพอไหว
เพราะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นอำนาจเผด็จการทางทหาร
ยิ่งลากยาวนานไปเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประเทศไทยถูกต่างประเทศมองในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเมื่อวันนี้อยากจะสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง แล้วจะมามัวพึ่งพิงอำนาจเหนือกฎหมายปกติต่อไปอีกทำไม...
นี่คือแรงกดดันสำคัญที่สุดที่ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถที่จะแก้ต่างอะไรได้เต็มปากเต็มคำ ตราบเท่าที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆเช่นนี้
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี จำเป็นต้องมีการผ่อนลมออกจากลูกโป่ง ก่อนที่ลูกโป่งจะระเบิด ด้วยการทยอยยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปทีละ 2-3 จังหวัด โดยยังคงเหลือพื้นที่ซึ่งเป้นไข่แดงเอาไว้ อย่างเช่น พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า จะกลายเป้นจุดอ่อนในแง่ภาพลักษณ์ของรัฐบาล ของนายอภิสิทธิ์ และของกองทัพ ก็ตาม
ดังนั้นท่าที ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดถึงการทยอยยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าเป็นการพิจารณามาจากหลายหน่วยงานที่เสนอให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินผล คิดว่าจะมีการเสนอเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายที่รวบรวมประเมินผลเป็นหน้าที่ สมช. ซึ่งเห็นว่าจะมียกเลิกเพิ่มเติมอีก 2-3 จังหวัด
ที่น่าสนใจก็คือ ประเด็นที่ว่าการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะสามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดมากขึ้นหรือไม่นั้น แม้แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ยังเห็นด้วยว่าต้องมีส่วนไม่มากก็น้อย
“เพราะหลายคนเห็นว่ากฎหมายนี้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เมื่อมีคนคิดเช่นนั้นแล้วเรายกเลิกก็ต้องเป็นคุณ แต่การจะเอาคำตอบจากตนคนเดียวว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยคงไม่ใช่ เพราะมีฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายเจ้าหน้าที่หลายส่วน ต้องฟังความเห็นร่วมกัน ซึ่งการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้คนที่อยากให้ยกเลิกสบายใจขึ้น”
อย่างไรก็ตามท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงกังวลลึกๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งการกระทำภายใต้กฎหมายยอมรับ และความคิดของทุกคนชาติยอมรับในความเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ใจและเป็นไปตามกฎหมาย และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนอื่นไม่เป็นไร ถือเป็นประชาธิปไตยทางตรง
ส่วนที่ว่าเห็นควรจะพิจารณายุบ ศอฉ.เมื่อใดนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ออกตัวว่า เข้าใจว่าถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหมด ศอฉ.ก็คงจบ หรือหากศอฉ.ทำงานคั่งค้างให้หมดแล้วคงจบ
“แต่ยังไม่มีการคุยกัน และ ยังไม่มีใครตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา”
สะท้อนชัดว่า จนถึงวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลเท่านั้น ที่ลึกๆแล้วยังไม่อยากสูญเสียกลไกหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการกุมอำนาจเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีความมั่นใจว่าสามารถสยบความเคลื่อนไหวต่างๆได้หมดแล้วจริงๆ จึงค่อยมาว่ากันอีกที
เพราะจนถึงวินาทีนี้ กอ.รมน.ยังคงถูกส่งออกไปปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนกับประชาชนในพื้นที่อยู่ตลอด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผยว่า เท่าที่ประเมินจากการรายงานที่ส่งมาพบว่า ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น
“เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเอาข้อเท็จจริงลงไป ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าฝ่ายใดไม่มีโอกาสทำอย่างอื่น นอกจากเสนอความจริงให้คนในชาติรับรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่มีโอกาสพูดสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะมีผลโดยตรงในความรับผิดชอบโดยตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้นมีโอกาสอย่างเดียวในการเสนอความเป็นจริงชี้แจงว่าอะไรเป็นอะไร ประชาชนมีสิทธิ์รู้ความเป็นจริงซึ่งได้ผล”
แบบนี้ก็แปลว่า กำลังทหารยังคงพยายามกระชับพื้นที่ในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
เท่ากับว่า ตามใดที่ยังไม่มีความมั่นใจ เชื่อขนมกินได้เลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจะใช้เป็นยันตร์ป้องกันตัวไปอีกระยะยาวแน่ๆ
เพราะยิ่งหากดูท่าทีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ระบุว่าหลังจากยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และอุบลราชธานี ไปแล้ว ในส่วนอีก 7 จังหวัดที่เหลือนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา
โดย ศอฉ.พยายามประเมินสถานการณ์ตามสภาพที่เป็นจริง
แต่จะสนองตอบต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีได้รวดเร็วแค่ไหนก็จะทำตามนั้น
“อย่างไรก็ตามก็ต้องระมัดระวังเรื่องผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย”นายสุเทพระบุ
ส่วนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกมาระบุว่านอกเหนือจาก 3 จังหวัดที่เพิ่งยกเลิกไปแล้วยังมีแนวโน้มว่ายังมีอีก 3 จังหวัด ที่จะสามารถประกาศยกเลิกได้อีก นายสุเทพ อ้างว่า ก็คิดอยู่ตลอดเวลา
สำหรับปัญหาของกรุงเทพฯ ที่ถือเป็นศูนย์กลาง แต่ทำไมไม่พิจารณาให้ชัดว่าจะยกเลิกพ.ร.ก.หรือไม่อย่างไร เพราะต่างชาติเองก็ยังมองด้วยความเป็นห่วง ว่าทำไมจึงใช้กฎหมายปกติดูแลไม่ได้ ซึ่งนายสุเทพ ออกตัวว่า เมื่อต่างชาติมองก็ต้องเอามาคิด
“แต่ถ้าเรามองกันเองก็ยิ่งต้องให้ละเอียดลึกซึ้งไปอีก ต้องดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการก่อความไม่สงบ ทำให้เกิดปัญหาในกรุงเทพฯ กระทบต่อบ้านเมืองโดยส่วนรวมมาก การที่จะเลิกหรือไม่เลิก พ.ร.ก.ต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ”
สำหรับกระแสที่ว่าจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในกรุงเทพฯ ไว้จนถึงสิ้นปีโน่นเลย นายสุเทพบอกเพียงว่า ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่เมื่อไหร่ที่มั่นใจว่าสามารถดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ก็จะตัดสินใจ
สอดคล้องกันเป็นอย่างดีกับท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่พูดชัดเจนว่า ในส่วนของกรุงเทพฯ คงมีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง
แม้จะยอมรับว่าการที่จะบอกให้ทุกพื้นที่หมดความเคลื่อนไหวเลย แล้วค่อยยกเลิก พ.ร.ก. คงเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างไรก็ตามบ้านเมืองต้องกลับเข้าสู่ภาวะที่สามารถใช้กลไกและกฎหมายปกติได้ หากตรงไหนเจ้าหน้าที่มีความพร้อม สถานการณ์มีความสงบมากขึ้น แม้จะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองบ้าง แต่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงก็จะยกเลิก
อย่างในจ.เชียงใหม่ และจ.เชียงราย ก็มีการร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบทางลบต่อเรื่องการท่องเที่ยวด้วย จึงต้องพิจารณายกเลิก
“พื้นที่ที่ยังยากที่สุดคือกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะทยอยยกเลิกต่อไป” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่มีมีการตั้งข้อสังเกตุว่า สาเหตุที่รัฐบาลทยอยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดต่างๆ ก็เพียงเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการใช้เป็นข้ออ้างในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกทม. และปริมณฑลไว้ข้ามปี... ใช่หรือไม่???
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ถึงกับหลุดประโยคที่ว่า
“ทำไมล่ะครับ ผมยังไม่เข้าใจตรรกะ เราดูตามความเป็นจริง”
พร้อมกับปฏิเสธถึงกรณีของ กทม. ที่ถูกมองว่ามีโอกาสจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ว่าจนถึงขณะนี้เพิ่งต่อไปครั้งเดียว และหลายจังหวัดก็ได้ทยอยยกเลิกก่อนครบกำหนด รัฐบาลไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องต่ออายุกี่รอบ
“เราต้องการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตรงไหนมีความพร้อมก็ยกเลิก ตรงไหนยังมีปัญหา และเจ้าหน้าที่ต้องการเครื่องมือ ก็ต้องคง พ.ร.ก. เอาไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ยอมรับว่าในส่วนของกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ฉะนั้นจากท่าทีทั้งหมด ประมวลออกมาได้อย่างชัดเจนว่า ในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัด ทางรัฐบาลก็คงจะผ่อนปรน ลดแรงกดดันไปเรื่อยๆ ทยอยปลดล็อกให้
แต่สำหรับกรุงเทพฯนั้น คงต้องรอกันอีกนาน เพราะทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ศอฉ. เป็นสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะขาดไปไม่ได้เลย
ตราบเท่าที่ผลโพลลับๆยังคงยืนยันตรงกันว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.เป็นอันดับ 1
งานนี้เมื่อยังไม่อยากให้ความพ่ายแพ้ปรากฏ ก็ต้องยื้อลากยาว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆก่อนนั่นแหละ
เพราะนี่คือเกมการเมืองแบบไทยๆ สไตล์ประชาธิปัตย์ นั่นเอง!!!
***************************************************************************************
พล.อ.อนุพงษ์-อภิสิทธิ์
พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกเลิกต่างจังหวัดพอไหว
เพราะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นเสมือนสัญญลักษณ์ที่สะท้อนถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นอำนาจเผด็จการทางทหาร
ยิ่งลากยาวนานไปเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ประเทศไทยถูกต่างประเทศมองในแง่ลบมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเมื่อวันนี้อยากจะสร้างความสมานฉันท์ปรองดอง แล้วจะมามัวพึ่งพิงอำนาจเหนือกฎหมายปกติต่อไปอีกทำไม...
นี่คือแรงกดดันสำคัญที่สุดที่ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่สามารถที่จะแก้ต่างอะไรได้เต็มปากเต็มคำ ตราบเท่าที่ยังมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆเช่นนี้
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรี จำเป็นต้องมีการผ่อนลมออกจากลูกโป่ง ก่อนที่ลูกโป่งจะระเบิด ด้วยการทยอยยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไปทีละ 2-3 จังหวัด โดยยังคงเหลือพื้นที่ซึ่งเป้นไข่แดงเอาไว้ อย่างเช่น พื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่า จะกลายเป้นจุดอ่อนในแง่ภาพลักษณ์ของรัฐบาล ของนายอภิสิทธิ์ และของกองทัพ ก็ตาม
ดังนั้นท่าที ของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่พูดถึงการทยอยยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินว่าเป็นการพิจารณามาจากหลายหน่วยงานที่เสนอให้กับสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ประเมินผล คิดว่าจะมีการเสนอเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งฝ่ายที่รวบรวมประเมินผลเป็นหน้าที่ สมช. ซึ่งเห็นว่าจะมียกเลิกเพิ่มเติมอีก 2-3 จังหวัด
ที่น่าสนใจก็คือ ประเด็นที่ว่าการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะสามารถสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดมากขึ้นหรือไม่นั้น แม้แต่ พล.อ.อนุพงษ์ ยังเห็นด้วยว่าต้องมีส่วนไม่มากก็น้อย
“เพราะหลายคนเห็นว่ากฎหมายนี้ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพ เมื่อมีคนคิดเช่นนั้นแล้วเรายกเลิกก็ต้องเป็นคุณ แต่การจะเอาคำตอบจากตนคนเดียวว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยคงไม่ใช่ เพราะมีฝ่ายปกครอง ฝ่ายตำรวจ ฝ่ายเจ้าหน้าที่หลายส่วน ต้องฟังความเห็นร่วมกัน ซึ่งการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จะทำให้คนที่อยากให้ยกเลิกสบายใจขึ้น”
อย่างไรก็ตามท่าทีของ พล.อ.อนุพงษ์ ยังคงกังวลลึกๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างว่าการเคลื่อนไหวทางการเมือง ทำได้ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งการกระทำภายใต้กฎหมายยอมรับ และความคิดของทุกคนชาติยอมรับในความเคลื่อนไหวที่บริสุทธิ์ใจและเป็นไปตามกฎหมาย และไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนอื่นไม่เป็นไร ถือเป็นประชาธิปไตยทางตรง
ส่วนที่ว่าเห็นควรจะพิจารณายุบ ศอฉ.เมื่อใดนั้น พล.อ.อนุพงษ์ ออกตัวว่า เข้าใจว่าถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหมด ศอฉ.ก็คงจบ หรือหากศอฉ.ทำงานคั่งค้างให้หมดแล้วคงจบ
“แต่ยังไม่มีการคุยกัน และ ยังไม่มีใครตั้งประเด็นนี้ขึ้นมา”
สะท้อนชัดว่า จนถึงวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่รัฐบาลเท่านั้น ที่ลึกๆแล้วยังไม่อยากสูญเสียกลไกหรือเครื่องไม้เครื่องมือในการกุมอำนาจเอาไว้ก่อน จนกว่าจะมีความมั่นใจว่าสามารถสยบความเคลื่อนไหวต่างๆได้หมดแล้วจริงๆ จึงค่อยมาว่ากันอีกที
เพราะจนถึงวินาทีนี้ กอ.รมน.ยังคงถูกส่งออกไปปฏิบัติการจิตวิทยามวลชนกับประชาชนในพื้นที่อยู่ตลอด ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เผยว่า เท่าที่ประเมินจากการรายงานที่ส่งมาพบว่า ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น
“เป็นหน้าที่ของเราที่ต้องเอาข้อเท็จจริงลงไป ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าฝ่ายใดไม่มีโอกาสทำอย่างอื่น นอกจากเสนอความจริงให้คนในชาติรับรู้ว่าเป็นอย่างไร ไม่มีโอกาสพูดสิ่งที่ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะมีผลโดยตรงในความรับผิดชอบโดยตรงต่อตำแหน่งหน้าที่ ดังนั้นมีโอกาสอย่างเดียวในการเสนอความเป็นจริงชี้แจงว่าอะไรเป็นอะไร ประชาชนมีสิทธิ์รู้ความเป็นจริงซึ่งได้ผล”
แบบนี้ก็แปลว่า กำลังทหารยังคงพยายามกระชับพื้นที่ในหลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
เท่ากับว่า ตามใดที่ยังไม่มีความมั่นใจ เชื่อขนมกินได้เลยว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คงจะใช้เป็นยันตร์ป้องกันตัวไปอีกระยะยาวแน่ๆ
เพราะยิ่งหากดูท่าทีของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและ ผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่ระบุว่าหลังจากยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในพื้นที่ จ.เชียงราย เชียงใหม่ และอุบลราชธานี ไปแล้ว ในส่วนอีก 7 จังหวัดที่เหลือนั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา
โดย ศอฉ.พยายามประเมินสถานการณ์ตามสภาพที่เป็นจริง
แต่จะสนองตอบต่อนโยบายของนายกรัฐมนตรีได้รวดเร็วแค่ไหนก็จะทำตามนั้น
“อย่างไรก็ตามก็ต้องระมัดระวังเรื่องผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย”นายสุเทพระบุ
ส่วนที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ออกมาระบุว่านอกเหนือจาก 3 จังหวัดที่เพิ่งยกเลิกไปแล้วยังมีแนวโน้มว่ายังมีอีก 3 จังหวัด ที่จะสามารถประกาศยกเลิกได้อีก นายสุเทพ อ้างว่า ก็คิดอยู่ตลอดเวลา
สำหรับปัญหาของกรุงเทพฯ ที่ถือเป็นศูนย์กลาง แต่ทำไมไม่พิจารณาให้ชัดว่าจะยกเลิกพ.ร.ก.หรือไม่อย่างไร เพราะต่างชาติเองก็ยังมองด้วยความเป็นห่วง ว่าทำไมจึงใช้กฎหมายปกติดูแลไม่ได้ ซึ่งนายสุเทพ ออกตัวว่า เมื่อต่างชาติมองก็ต้องเอามาคิด
“แต่ถ้าเรามองกันเองก็ยิ่งต้องให้ละเอียดลึกซึ้งไปอีก ต้องดูว่าเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของการก่อความไม่สงบ ทำให้เกิดปัญหาในกรุงเทพฯ กระทบต่อบ้านเมืองโดยส่วนรวมมาก การที่จะเลิกหรือไม่เลิก พ.ร.ก.ต้องคิดให้รอบคอบเป็นพิเศษ”
สำหรับกระแสที่ว่าจะคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในกรุงเทพฯ ไว้จนถึงสิ้นปีโน่นเลย นายสุเทพบอกเพียงว่า ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นเมื่อนั้นเมื่อนี้ แต่เมื่อไหร่ที่มั่นใจว่าสามารถดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อยได้ ก็จะตัดสินใจ
สอดคล้องกันเป็นอย่างดีกับท่าทีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่พูดชัดเจนว่า ในส่วนของกรุงเทพฯ คงมีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของหลายๆอย่าง
แม้จะยอมรับว่าการที่จะบอกให้ทุกพื้นที่หมดความเคลื่อนไหวเลย แล้วค่อยยกเลิก พ.ร.ก. คงเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างไรก็ตามบ้านเมืองต้องกลับเข้าสู่ภาวะที่สามารถใช้กลไกและกฎหมายปกติได้ หากตรงไหนเจ้าหน้าที่มีความพร้อม สถานการณ์มีความสงบมากขึ้น แม้จะมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองบ้าง แต่ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงก็จะยกเลิก
อย่างในจ.เชียงใหม่ และจ.เชียงราย ก็มีการร้องเรียนว่าได้รับผลกระทบทางลบต่อเรื่องการท่องเที่ยวด้วย จึงต้องพิจารณายกเลิก
“พื้นที่ที่ยังยากที่สุดคือกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเมืองใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะทยอยยกเลิกต่อไป” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนที่มีมีการตั้งข้อสังเกตุว่า สาเหตุที่รัฐบาลทยอยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินในจังหวัดต่างๆ ก็เพียงเพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการใช้เป็นข้ออ้างในการคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกทม. และปริมณฑลไว้ข้ามปี... ใช่หรือไม่???
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ถึงกับหลุดประโยคที่ว่า
“ทำไมล่ะครับ ผมยังไม่เข้าใจตรรกะ เราดูตามความเป็นจริง”
พร้อมกับปฏิเสธถึงกรณีของ กทม. ที่ถูกมองว่ามีโอกาสจะต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปเรื่อยๆ ใช่หรือไม่ ว่าจนถึงขณะนี้เพิ่งต่อไปครั้งเดียว และหลายจังหวัดก็ได้ทยอยยกเลิกก่อนครบกำหนด รัฐบาลไม่ได้ตั้งเป้าว่าต้องต่ออายุกี่รอบ
“เราต้องการกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ตรงไหนมีความพร้อมก็ยกเลิก ตรงไหนยังมีปัญหา และเจ้าหน้าที่ต้องการเครื่องมือ ก็ต้องคง พ.ร.ก. เอาไว้เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ยอมรับว่าในส่วนของกรุงเทพฯ มีความเป็นไปได้ยากที่จะยกเลิก”นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ฉะนั้นจากท่าทีทั้งหมด ประมวลออกมาได้อย่างชัดเจนว่า ในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัด ทางรัฐบาลก็คงจะผ่อนปรน ลดแรงกดดันไปเรื่อยๆ ทยอยปลดล็อกให้
แต่สำหรับกรุงเทพฯนั้น คงต้องรอกันอีกนาน เพราะทั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ ศอฉ. เป็นสิ่งที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะขาดไปไม่ได้เลย
ตราบเท่าที่ผลโพลลับๆยังคงยืนยันตรงกันว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.เป็นอันดับ 1
งานนี้เมื่อยังไม่อยากให้ความพ่ายแพ้ปรากฏ ก็ต้องยื้อลากยาว พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปเรื่อยๆก่อนนั่นแหละ
เพราะนี่คือเกมการเมืองแบบไทยๆ สไตล์ประชาธิปัตย์ นั่นเอง!!!
***************************************************************************************
สงคราม (2)
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ว่ากันต่อ..เรื่องสงคราม..หรือการใช้กิจการทหารแก้ปัญหา เขาพระวิหาร ระหว่าง ไทยกับกัมพูชา..อนุสนธิจากการที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หลุดปากออกไป..และดูเหมือนว่า..สมเด็จฯ ฮุนเซน..แห่ง กัมพูชา..ได้ขานรับออกมาแล้ว
ว่า...นองเลือด
ทันทีที่กระสุนนัดแรกระเบิดขึ้น เปิดฉากสงคราม ไทย กัมพูชา ยุคใหม่..ความแตกแยกในประเทศไทยในปัจจุบันจะส่งผลทันทีต่อความมั่นคงของแผ่นดิน..ประเทศกัมพูชาในสภาพที่ไร้ไมตรีต่อกันและเป็นคู่สงคราม..จะเป็นแผ่นดินทองของคนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน..
สงครามจะไม่เล่นกันอยู่บนแผ่นดินกัมพูชา แต่จะเข้ามาเล่นกันอยู่ในราชอาณาจักรไทย..และเล่นกันตลอดตั้งแต่เหนือจรดใต้..ในทุกๆ ชายแดนที่ขึงพรืดติดกัน..
กองทัพไทยจะต้องระดมกำลังพลนับล้าน..เพื่อสงครามนี้..แต่อาวุธที่มีอยู่ในคลังพระแสงเวลานี้..เรามีเพียงพออยู่หรือ..แต่เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศในกลุ่มอินโดจีน..ที่มีประเทศจีนและรัสเซียหนุนหลัง..
อเมริกาซึ่งกระสันอยากจะเข้ามาขุดเจาะน้ำมันในประเทศกัมพูชา อยากจะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในเวียดนาม..ญี่ปุ่นที่กำลังบุกเบิกการลงทุนในเวียดนาม เกาหลีที่ตามหลังญี่ปุ่นเข้ามา สิงคโปร์กับมาเลเซีย ที่กำลังจะวางรถไฟเชื่อมตัดข้ามอ่าวไทย..เข้าสู่กัมพูชา..
ไทยในฐานะเป็นผู้กล่าวถึง การแก้ปัญหาโดยทางทหาร..คือผู้เสียหาย คือผู้เล่นเกมสงคราม คือชาติใหญ่ที่ใช้กำลังเข้ารังแกชาติเล็ก..จะเอาอะไรไปชี้แจงกับชาวโลก..
ไทยที่ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก ไทยที่จะลาออกจากยูเนสโก้ ไทยที่ล้มเลิก เอ็ม โอ ยู..ที่เคยให้ไว้..ใครกันแน่ที่จะเป็นผู้เสียหาย..
น้ำลายหยดเดียวของ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..จะทำให้ไทยกลายเป็น “ชาติโดดเดี่ยว” ในสังคมโลก..
แน่นอนว่าในฐานะประชาชนคนไทย..เราจะไม่ยอมให้ใครประเทศไหนไม่ว่าเก่งแค่ไหนใหญ่คับฟ้า..มาใช้เรือปืนปิดอ่าวแล้วเข้ามาปล้นแผ่นดิน และประชาชนติดแผ่นดินออกไป..คนไทยเจ็บปวดมามากแล้วในประวัติศาสตร์..ของการศิโรราบโดยไม่ต่อสู้..
แต่..ผู้นำในการต่อสู้..ต้องเป็น “นักรบ” ไม่ใช่ “ตัวตลก” ที่บัญชาการไม่ได้ แม้กระทั่งน้ำลายในปากของตัวเอง
************************************************************************************
ว่ากันต่อ..เรื่องสงคราม..หรือการใช้กิจการทหารแก้ปัญหา เขาพระวิหาร ระหว่าง ไทยกับกัมพูชา..อนุสนธิจากการที่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้หลุดปากออกไป..และดูเหมือนว่า..สมเด็จฯ ฮุนเซน..แห่ง กัมพูชา..ได้ขานรับออกมาแล้ว
ว่า...นองเลือด
ทันทีที่กระสุนนัดแรกระเบิดขึ้น เปิดฉากสงคราม ไทย กัมพูชา ยุคใหม่..ความแตกแยกในประเทศไทยในปัจจุบันจะส่งผลทันทีต่อความมั่นคงของแผ่นดิน..ประเทศกัมพูชาในสภาพที่ไร้ไมตรีต่อกันและเป็นคู่สงคราม..จะเป็นแผ่นดินทองของคนไทยจำนวนหนึ่งซึ่งปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลไทยในปัจจุบัน..
สงครามจะไม่เล่นกันอยู่บนแผ่นดินกัมพูชา แต่จะเข้ามาเล่นกันอยู่ในราชอาณาจักรไทย..และเล่นกันตลอดตั้งแต่เหนือจรดใต้..ในทุกๆ ชายแดนที่ขึงพรืดติดกัน..
กองทัพไทยจะต้องระดมกำลังพลนับล้าน..เพื่อสงครามนี้..แต่อาวุธที่มีอยู่ในคลังพระแสงเวลานี้..เรามีเพียงพออยู่หรือ..แต่เรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่ปัญหาของประเทศในกลุ่มอินโดจีน..ที่มีประเทศจีนและรัสเซียหนุนหลัง..
อเมริกาซึ่งกระสันอยากจะเข้ามาขุดเจาะน้ำมันในประเทศกัมพูชา อยากจะสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ในเวียดนาม..ญี่ปุ่นที่กำลังบุกเบิกการลงทุนในเวียดนาม เกาหลีที่ตามหลังญี่ปุ่นเข้ามา สิงคโปร์กับมาเลเซีย ที่กำลังจะวางรถไฟเชื่อมตัดข้ามอ่าวไทย..เข้าสู่กัมพูชา..
ไทยในฐานะเป็นผู้กล่าวถึง การแก้ปัญหาโดยทางทหาร..คือผู้เสียหาย คือผู้เล่นเกมสงคราม คือชาติใหญ่ที่ใช้กำลังเข้ารังแกชาติเล็ก..จะเอาอะไรไปชี้แจงกับชาวโลก..
ไทยที่ปฏิเสธคำพิพากษาของศาลโลก ไทยที่จะลาออกจากยูเนสโก้ ไทยที่ล้มเลิก เอ็ม โอ ยู..ที่เคยให้ไว้..ใครกันแน่ที่จะเป็นผู้เสียหาย..
น้ำลายหยดเดียวของ นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..จะทำให้ไทยกลายเป็น “ชาติโดดเดี่ยว” ในสังคมโลก..
แน่นอนว่าในฐานะประชาชนคนไทย..เราจะไม่ยอมให้ใครประเทศไหนไม่ว่าเก่งแค่ไหนใหญ่คับฟ้า..มาใช้เรือปืนปิดอ่าวแล้วเข้ามาปล้นแผ่นดิน และประชาชนติดแผ่นดินออกไป..คนไทยเจ็บปวดมามากแล้วในประวัติศาสตร์..ของการศิโรราบโดยไม่ต่อสู้..
แต่..ผู้นำในการต่อสู้..ต้องเป็น “นักรบ” ไม่ใช่ “ตัวตลก” ที่บัญชาการไม่ได้ แม้กระทั่งน้ำลายในปากของตัวเอง
************************************************************************************
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ดาบ
เมื่อใดที่ผู้มีอำนาจ ใช้ดาบปกครองประชาชน..เมื่อนั้นที่นั่นก็ไม่ใช่แผ่นดินแห่งความผาสุก
เพราะ..ดาบ..คือเครื่องมือของการกดขี่..ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีแรงต้าน..
ว่ากันว่า....โลกไม่ต้องใช้อำนาจของศาสตรา..ว่ากันอีกว่า ดาบนั้นย่อม ต้องคืนสนองอยู่เสมอ...หนามชัฏย่อมงอกงามตามมา ในที่ที่กองทัพเคยตั้ง อยู่ ในทุกหน้าประวัติศาสตร์..อ่านกันมาได้เช่นนี้
ผู้ยินดีในการฆ่า..จะไม่รุ่งเรือง
เพราะ..ฉากสังหารที่ยังฝังใจ.. อาจจะเป็นเพราะหวาดหวั่น..กับฉาก สังหารที่ไม่สามารถควบคุมรายละเอียด ได้..ทำให้..รัฐบาลที่ยังเป็นรัฐบาล ไม่กล้าวางดาบแห่งอำนาจ..
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ..ในที่ สุดท่านก็ต้องวางดาบทุกเล่มลงกับพื้น.. ไม่ว่าช้าหรือเร็วยิ่งวางช้า..ท่านก็จะยิ่งถูกท้าทาย มากขึ้น..ยิ่งวางช้า...ท่านก็จะยิ่งอับอาย เพิ่มขึ้น
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------------------------------------
เพราะ..ดาบ..คือเครื่องมือของการกดขี่..ที่ใดมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีแรงต้าน..
ว่ากันว่า....โลกไม่ต้องใช้อำนาจของศาสตรา..ว่ากันอีกว่า ดาบนั้นย่อม ต้องคืนสนองอยู่เสมอ...หนามชัฏย่อมงอกงามตามมา ในที่ที่กองทัพเคยตั้ง อยู่ ในทุกหน้าประวัติศาสตร์..อ่านกันมาได้เช่นนี้
ผู้ยินดีในการฆ่า..จะไม่รุ่งเรือง
เพราะ..ฉากสังหารที่ยังฝังใจ.. อาจจะเป็นเพราะหวาดหวั่น..กับฉาก สังหารที่ไม่สามารถควบคุมรายละเอียด ได้..ทำให้..รัฐบาลที่ยังเป็นรัฐบาล ไม่กล้าวางดาบแห่งอำนาจ..
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ..ในที่ สุดท่านก็ต้องวางดาบทุกเล่มลงกับพื้น.. ไม่ว่าช้าหรือเร็วยิ่งวางช้า..ท่านก็จะยิ่งถูกท้าทาย มากขึ้น..ยิ่งวางช้า...ท่านก็จะยิ่งอับอาย เพิ่มขึ้น
ที่มา.สยามธุรกิจ
---------------------------------------------------------------------------
นิธิ เอียวศรีวงศ์: ปฏิรูปสื่อ (1)
กระแสทรรศน์
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
น่าแปลกใจที่ในความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปทั้งหลาย รัฐบาลนี้รวมเอาการปฏิรูปสื่อไว้ด้วย
รัฐมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้สื่อไร้คุณภาพ ไม่เฉพาะแต่ในสังคมไทย แต่ในอีกหลายสังคมทั่วโลก ในเมืองไทยเวลานี้ เสรีภาพของสื่อถูกลิดรอนอย่างร้ายกาจ ด้วย พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลคงมองไม่เห็นเป็นธรรมดา แต่สื่อเองเล่า มองเห็นหรือไม่ และถ้ามองเห็น จะร่วมมือกับรัฐบาลชุดที่ลิดรอนเสรีภาพของตนอย่างร้ายกาจนี้ได้ลงคอหรือ
เราน่าจะเริ่มต้นคิดจากปัญหาของสื่อเวลานี้ว่าคืออะไร ใครจะเป็นผู้นำการปฏิรูป และจะปฏิรูปอย่างไร แน่นอนว่าคำตอบของสื่อซึ่งกลายเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว คงมีหลายอย่างหลายประการ แต่หากจะมองคำถามนี้จากสังคม และให้สังคมเป็นผู้ตอบ ก็คงได้คำตอบที่ต่างกันมาก
ผมจะพยายามมองปัญหาของสื่อปัจจุบันจากสังคม
ในสังคมที่ใหญ่ซับซ้อนอย่างสังคมปัจจุบัน การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลไม่ได้เปิดกว้างให้แก่ทุกคน อย่างในชุมชนหมู่บ้านโบราณ ในทุกสังคมปัจจุบัน การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลล้วนมีช่วงชั้น (hierachy) หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง อะไรจะเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าว ถูกกำหนดขึ้นโดยพีระมิดของการไหลเวียนอันหนึ่ง อำนาจในการกำกับไหลเวียนกระจุกตัวอยู่กับคนจำนวนน้อยข้างบน แล้วก็ค่อยๆ ทอนลงมาข้างล่างตามลำดับ จนถึงคนส่วนใหญ่ข้างล่าง แทบไม่มีอำนาจอะไรในการกำหนดการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลเลย
ในเมืองไทย คนจำนวนน้อยที่อยู่สุดยอดพีระมิดนั้นประกอบด้วยใครและอะไรบ้าง
รัฐ ซึ่งใช้ในที่นี้ให้รวมถึงตัวละครทางการเมืองทั้งหมด นักการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งแน่นอน แต่นอกจากนักการเมืองยังมีระบบราชการซึ่งเป็นผู้สร้าง "ข่าว" (หรือญัตติสาธารณะ) ที่ใหญ่มากในเมืองไทย เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในโลก นอกจากนี้ก็มี "นักวิชาการ" ทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นสถาบัน ก็ได้เปิดพื้นที่ให้ตนเองในการกำหนดการไหลเวียนของข่าวมากขึ้นตามลำดับ และยังรวมถึงสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ กลุ่มบุคคลและสถาบันที่รวมกันเป็น "ชนชั้นนำ" ของประเทศนั่นเอง
ทุน ได้เข้ามามีส่วนในการกำกับการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล ทั้งโดยเปิดเผยผ่านองค์กรของตนเอง และโดยลับๆ ผ่านการกดดันสื่อในฐานะผู้ลงโฆษณา หรือผ่านการ "ซื้อตัว" ผู้ทำสื่อ
เมื่อพูดถึงทุนก็ต้องพูดถึงเจ้าของสื่อด้วย เพราะสื่อกระแสหลักในทุกวันนี้เป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แม้ว่าสื่อจำนวนมากได้จดทะเบียนธุรกิจของตนในตลาดหลักทรัพย์ แต่หุ้นก็ยังกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ราย ฉะนั้น เจ้าของสื่อจึงมีอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารในสื่อของตนอย่างมาก นี่คือเหตุผลที่นักการเมืองมักพยายามใกล้ชิดกับเจ้าของสื่อ
นอกจากบุคคลแล้ว กึ๋นของคนทำสื่อก็มีส่วนอย่างมากในการกำกับการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เช่นนักข่าวไม่มีกึ๋นพอที่จะรายงานความเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิด "ปรากฏการณ์" ที่เป็นข่าว ได้แต่รายงานข่าว "ปรากฏการณ์" ไปวันๆ คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่สามารถสร้าง "ปรากฏการณ์" ที่เป็นข่าวได้ จึงถูกตัดออกไปจาก "ข่าว" ที่ผู้รับสื่อจะได้รับเป็นธรรมดา
ข่าวสารข้อมูลภายใต้โครงสร้างการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลเช่นนี้ จึงมีลักษณะไหลจากบนลงล่างเสมอ และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
แม้ไม่มีกฎหมายสักฉบับ (รวมทั้ง พ.ร.ก.การบริหารราชการฯด้วย) ที่ลิดรอนเสรีภาพของสื่อ โดยโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลดังกล่าว ก็เกิดการเซ็นเซอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเซ็นเซอร์ตามบัญชาของโครงสร้าง และเซ็นเซอร์ตนเอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งของสื่อและคนทำสื่อ
ขอยกตัวอย่างรูปธรรม เช่น เวลาผ่านไปหลังการสังหารหมู่กลางเมืองไปเกือบสามเดือนแล้ว ในขณะที่การทำข่าวเจาะลึกเหตุการณ์ในหลายมิติได้มีการรายงานในสื่อต่างชาติมากขึ้น สื่อกระแสหลักไทยยังไม่ได้ขยับที่จะเจาะลึกเรื่องนี้สักชิ้นเดียว พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างเดียวอธิบายการละเลยหน้าที่อย่างน่าละอายนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลที่อ่อนแอด้านความชอบธรรมเช่นรัฐบาลนี้ ย่อมไม่กล้าพอจะปิดสื่อใดด้วยข้อหาก่อการร้ายอย่างแน่นอน อย่างมากก็ได้แต่ส่งหนังสือเตือนซึ่งจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ แต่เพราะสื่อเป็นธุรกิจ การเจาะข่าวเรื่องนี้ไม่ทำให้เพิ่มส่วนแบ่งในตลาดได้มากนัก หรือได้ไม่คุ้มกับความเสี่ยงด้านอื่น นับตั้งแต่การถูกรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณา ไม่เป็นที่พอใจของพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่มีและไม่คิดสร้างกึ๋นของนักข่าวให้มากพอจะเจาะลึกได้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลมาจากโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลที่ได้กล่าวแล้วนั่นเอง
โครงสร้างเช่นนี้ ทิ้งใครไว้นอกการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลบ้าง คำตอบคือคนส่วนใหญ่ เช่นประชาชนระดับล่างซึ่งไม่ใช่ลูกค้าทั้งของสื่อและของโฆษณาในสื่อ พวกเขาไม่สามารถสร้าง "ญัตติสาธารณะ" ได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นการเดินขบวนยึดท้องถนนในกรุงเทพฯ ในขณะที่ข่าวสารข้อมูลที่ไหลเวียนในสังคมนั้น ไม่ได้รวมเอามุมมองของเขาไว้ด้วยเลย ผู้ปลูกกระเทียมก็อยากต่อรองเหมือนผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในการทำเอฟทีเอเช่นกัน แต่เพราะเขาอยู่นอกการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เขาจึงไม่มีพื้นที่
ความไม่สนใจของสื่อกระแสหลักที่จะทำข่าวเจาะหรือข่าวสืบสวน ทำให้สังคมไม่มีทางเข้าใจความเชื่อมโยงของคนกลุ่มนี้กับนโยบายสาธารณะ หรือ "ปรากฏการณ์" ระดับต่างๆ ที่เป็นข่าวได้
ดังนั้น การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลในสังคมไทย จึงไม่เคยมีการไหลขึ้นจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบนเลย
ผมคิดว่า นี่คือปัญหาใหญ่ของสื่อกระแสหลักในประเทศไทย หากจะมีการปฏิรูปสื่อโดยไม่เข้าไปจัดการกับปัญหานี้ ก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย และรัฐเพียงอย่างเดียว ไม่พอที่จะทำอะไรได้มากนัก
ข้อบกพร่องที่เกิดจากโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลดังที่กล่าวข้างต้นนั้น หลายอย่างด้วยกันเป็นเรื่องที่เกิดในสังคมอื่นๆ เช่นเดียวกัน และมีความพยายามหลากหลายรูปแบบในโลก ที่พยายามจะแก้ปัญหานี้ (อันเราอาจเรียนรู้ได้)
ทางออกโดยสรุปก็คือ การสร้างทางไหลขึ้นของวงจรไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล
สิ่งหนึ่งที่ทำกันมาก ทั้งในต่างประเทศและในไทย ก็คือการใช้สื่อทางเลือกที่มีขนาดเล็ก ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการได้ง่าย (จึงเกิดอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลมากขึ้น)
สื่อทางเลือกที่ใช้กันมากคือสื่อ "ออนไลน์" ทั้งหลาย ศักยภาพของสื่อประเภทนี้มีสูงมาก สำนักข่าวอัลจาห์ซีราเป็นตัวอย่างที่ดีว่า ประสบความสำเร็จในการสร้างสมดุลของข่าว จากที่เคยถูกครอบงำโดยสำนักข่าวตะวันตกเพียงฝ่ายเดียว และความสำเร็จที่สำคัญไม่แพ้กัน คือสามารถเชื่อมโยงกับสื่อกระแสหลักได้ เพราะกลายเป็นแหล่งข่าวที่สื่อกระแสหลักในหลายสังคมต้องรวมไว้ในการรายงานข่าวของตนด้วย
ในเมืองไทย เว็บไซต์ เช่น ประชาไท, ไทยอีนิวส์ ฯลฯ สร้างความสมดุลของข่าวได้มากขึ้น และค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้น ยิ่งในช่วงที่ข่าวสารข้อมูลถูกปิดกั้น เว็บไซต์เหล่านี้ก็ยิ่งมีผู้นิยมอ่านหรือดูมาก เช่นเดียวกับ ASTV และทีวีของฝ่ายเสื้อแดง
แต่น่าเสียดายที่การเติบโตของสื่อทางเลือกเช่นนี้ในเมืองไทย กลับถูกขวางกั้นด้วย พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (บวกกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในปัจจุบัน) โอกาสที่จะค้นหาศักยภาพของสื่อทางเลือก เพื่อทำให้วงจรการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลได้มีส่วนไหลจากข้างล่างขึ้นบน จึงเหลือแคบลง (โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าหน้าด้านเกินไปที่จะพูดถึงการปฏิรูปสื่อ ท่ามกลาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)
ในทางตรงกันข้าม จนถึงนาทีนี้ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อกระแสหลักมีความสำคัญ เพราะมีผู้รับข่าวสารข้อมูลผ่านสื่อประเภทนี้อยู่มากในเมืองไทย (รวมวิทยุและทีวีด้วย) ฉะนั้น การปฏิรูปสื่อจึงต้องหมายรวมถึงการเชื่อมโยงสื่อทางเลือกกับสื่อกระแสหลักเข้าหากันได้ด้วย (ดังเช่นความสำเร็จของอัลจาห์ซีรา)
ในเมืองไทย มีความพยายามไปในทิศทางนี้อยู่บ้าง ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจคือการเพาะ "นักข่าวพลเมือง" ของทีวีไทย ซึ่งได้เปิดอบรมการทำข่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้ข่าวซึ่งประชาชนทำได้ออกอากาศ
แต่นี่เป็นความพยายามที่ไม่นำไปสู่อะไรได้มากนัก อยู่ที่ว่าจะให้เวลาได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น ที่น่าจะทำมากกว่าก็คือการทำให้นักข่าวพลเมืองมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำข่าวของสถานี (ไม่ใช่ได้เวลาปิดท้ายข่าว 3 นาที) ทางสำนักข่าวของสถานีต้องมีโจทย์อยู่ในใจ สามารถติดต่อนักข่าวพลเมืองได้ทันที เมื่อต้องการได้ภาพและรายงานข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั่วประเทศไทย สถานีมีหน้าที่เลือกสรรคลิปที่ส่งเข้ามา และรวบรวมจนเป็นประเด็น "ข่าว" ขึ้นมาเอง ยกตัวอย่างเช่นการจัดการน้ำโดยชุมชน สถานีอาจรับคลิปวิดีโอจากนักข่าวพลเมืองทั่วประเทศ แล้วสร้าง "ข่าว" ขึ้นจากคลิปเหล่านี้ แน่นอนต้องรวมถึงจากการบ้านที่สถานีต้องทำ ทั้งผ่านเอกสารและการสัมภาษณ์บุคคล จนเกิดความกระจ่างแจ้งและเป็นความรู้แก่สาธารณชน
หากโจทย์ของการปฏิรูปสื่อคือโครงสร้างการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เส้นทางปฏิรูปควรเป็นอย่างไร?
ผมขอพักเรื่องนี้ไปต่อในสัปดาห์หน้า
........................................................................
หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน
น่าแปลกใจที่ในความคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปทั้งหลาย รัฐบาลนี้รวมเอาการปฏิรูปสื่อไว้ด้วย
รัฐมีส่วนอย่างสำคัญในการทำให้สื่อไร้คุณภาพ ไม่เฉพาะแต่ในสังคมไทย แต่ในอีกหลายสังคมทั่วโลก ในเมืองไทยเวลานี้ เสรีภาพของสื่อถูกลิดรอนอย่างร้ายกาจ ด้วย พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลคงมองไม่เห็นเป็นธรรมดา แต่สื่อเองเล่า มองเห็นหรือไม่ และถ้ามองเห็น จะร่วมมือกับรัฐบาลชุดที่ลิดรอนเสรีภาพของตนอย่างร้ายกาจนี้ได้ลงคอหรือ
เราน่าจะเริ่มต้นคิดจากปัญหาของสื่อเวลานี้ว่าคืออะไร ใครจะเป็นผู้นำการปฏิรูป และจะปฏิรูปอย่างไร แน่นอนว่าคำตอบของสื่อซึ่งกลายเป็นธุรกิจเต็มตัวแล้ว คงมีหลายอย่างหลายประการ แต่หากจะมองคำถามนี้จากสังคม และให้สังคมเป็นผู้ตอบ ก็คงได้คำตอบที่ต่างกันมาก
ผมจะพยายามมองปัญหาของสื่อปัจจุบันจากสังคม
ในสังคมที่ใหญ่ซับซ้อนอย่างสังคมปัจจุบัน การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลไม่ได้เปิดกว้างให้แก่ทุกคน อย่างในชุมชนหมู่บ้านโบราณ ในทุกสังคมปัจจุบัน การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลล้วนมีช่วงชั้น (hierachy) หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง อะไรจะเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าว ถูกกำหนดขึ้นโดยพีระมิดของการไหลเวียนอันหนึ่ง อำนาจในการกำกับไหลเวียนกระจุกตัวอยู่กับคนจำนวนน้อยข้างบน แล้วก็ค่อยๆ ทอนลงมาข้างล่างตามลำดับ จนถึงคนส่วนใหญ่ข้างล่าง แทบไม่มีอำนาจอะไรในการกำหนดการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลเลย
ในเมืองไทย คนจำนวนน้อยที่อยู่สุดยอดพีระมิดนั้นประกอบด้วยใครและอะไรบ้าง
รัฐ ซึ่งใช้ในที่นี้ให้รวมถึงตัวละครทางการเมืองทั้งหมด นักการเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งแน่นอน แต่นอกจากนักการเมืองยังมีระบบราชการซึ่งเป็นผู้สร้าง "ข่าว" (หรือญัตติสาธารณะ) ที่ใหญ่มากในเมืองไทย เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศในโลก นอกจากนี้ก็มี "นักวิชาการ" ทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นสถาบัน ก็ได้เปิดพื้นที่ให้ตนเองในการกำหนดการไหลเวียนของข่าวมากขึ้นตามลำดับ และยังรวมถึงสถาบันทางวัฒนธรรมต่างๆ กล่าวโดยสรุปก็คือ กลุ่มบุคคลและสถาบันที่รวมกันเป็น "ชนชั้นนำ" ของประเทศนั่นเอง
ทุน ได้เข้ามามีส่วนในการกำกับการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล ทั้งโดยเปิดเผยผ่านองค์กรของตนเอง และโดยลับๆ ผ่านการกดดันสื่อในฐานะผู้ลงโฆษณา หรือผ่านการ "ซื้อตัว" ผู้ทำสื่อ
เมื่อพูดถึงทุนก็ต้องพูดถึงเจ้าของสื่อด้วย เพราะสื่อกระแสหลักในทุกวันนี้เป็นธุรกิจไปหมดแล้ว แม้ว่าสื่อจำนวนมากได้จดทะเบียนธุรกิจของตนในตลาดหลักทรัพย์ แต่หุ้นก็ยังกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ราย ฉะนั้น เจ้าของสื่อจึงมีอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารในสื่อของตนอย่างมาก นี่คือเหตุผลที่นักการเมืองมักพยายามใกล้ชิดกับเจ้าของสื่อ
นอกจากบุคคลแล้ว กึ๋นของคนทำสื่อก็มีส่วนอย่างมากในการกำกับการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เช่นนักข่าวไม่มีกึ๋นพอที่จะรายงานความเชื่อมโยงของปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เกิด "ปรากฏการณ์" ที่เป็นข่าว ได้แต่รายงานข่าว "ปรากฏการณ์" ไปวันๆ คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่สามารถสร้าง "ปรากฏการณ์" ที่เป็นข่าวได้ จึงถูกตัดออกไปจาก "ข่าว" ที่ผู้รับสื่อจะได้รับเป็นธรรมดา
ข่าวสารข้อมูลภายใต้โครงสร้างการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลเช่นนี้ จึงมีลักษณะไหลจากบนลงล่างเสมอ และอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย
แม้ไม่มีกฎหมายสักฉบับ (รวมทั้ง พ.ร.ก.การบริหารราชการฯด้วย) ที่ลิดรอนเสรีภาพของสื่อ โดยโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลดังกล่าว ก็เกิดการเซ็นเซอร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งเซ็นเซอร์ตามบัญชาของโครงสร้าง และเซ็นเซอร์ตนเอง เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งของสื่อและคนทำสื่อ
ขอยกตัวอย่างรูปธรรม เช่น เวลาผ่านไปหลังการสังหารหมู่กลางเมืองไปเกือบสามเดือนแล้ว ในขณะที่การทำข่าวเจาะลึกเหตุการณ์ในหลายมิติได้มีการรายงานในสื่อต่างชาติมากขึ้น สื่อกระแสหลักไทยยังไม่ได้ขยับที่จะเจาะลึกเรื่องนี้สักชิ้นเดียว พ.ร.ก.ฉุกเฉินอย่างเดียวอธิบายการละเลยหน้าที่อย่างน่าละอายนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลที่อ่อนแอด้านความชอบธรรมเช่นรัฐบาลนี้ ย่อมไม่กล้าพอจะปิดสื่อใดด้วยข้อหาก่อการร้ายอย่างแน่นอน อย่างมากก็ได้แต่ส่งหนังสือเตือนซึ่งจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ แต่เพราะสื่อเป็นธุรกิจ การเจาะข่าวเรื่องนี้ไม่ทำให้เพิ่มส่วนแบ่งในตลาดได้มากนัก หรือได้ไม่คุ้มกับความเสี่ยงด้านอื่น นับตั้งแต่การถูกรัฐวิสาหกิจถอนโฆษณา ไม่เป็นที่พอใจของพันธมิตรทางธุรกิจ ไม่มีและไม่คิดสร้างกึ๋นของนักข่าวให้มากพอจะเจาะลึกได้ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นผลมาจากโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลที่ได้กล่าวแล้วนั่นเอง
โครงสร้างเช่นนี้ ทิ้งใครไว้นอกการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลบ้าง คำตอบคือคนส่วนใหญ่ เช่นประชาชนระดับล่างซึ่งไม่ใช่ลูกค้าทั้งของสื่อและของโฆษณาในสื่อ พวกเขาไม่สามารถสร้าง "ญัตติสาธารณะ" ได้ด้วยตัวเอง ยกเว้นการเดินขบวนยึดท้องถนนในกรุงเทพฯ ในขณะที่ข่าวสารข้อมูลที่ไหลเวียนในสังคมนั้น ไม่ได้รวมเอามุมมองของเขาไว้ด้วยเลย ผู้ปลูกกระเทียมก็อยากต่อรองเหมือนผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในการทำเอฟทีเอเช่นกัน แต่เพราะเขาอยู่นอกการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เขาจึงไม่มีพื้นที่
ความไม่สนใจของสื่อกระแสหลักที่จะทำข่าวเจาะหรือข่าวสืบสวน ทำให้สังคมไม่มีทางเข้าใจความเชื่อมโยงของคนกลุ่มนี้กับนโยบายสาธารณะ หรือ "ปรากฏการณ์" ระดับต่างๆ ที่เป็นข่าวได้
ดังนั้น การไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลในสังคมไทย จึงไม่เคยมีการไหลขึ้นจากข้างล่างขึ้นสู่ข้างบนเลย
ผมคิดว่า นี่คือปัญหาใหญ่ของสื่อกระแสหลักในประเทศไทย หากจะมีการปฏิรูปสื่อโดยไม่เข้าไปจัดการกับปัญหานี้ ก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย และรัฐเพียงอย่างเดียว ไม่พอที่จะทำอะไรได้มากนัก
ข้อบกพร่องที่เกิดจากโครงสร้างของการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลดังที่กล่าวข้างต้นนั้น หลายอย่างด้วยกันเป็นเรื่องที่เกิดในสังคมอื่นๆ เช่นเดียวกัน และมีความพยายามหลากหลายรูปแบบในโลก ที่พยายามจะแก้ปัญหานี้ (อันเราอาจเรียนรู้ได้)
ทางออกโดยสรุปก็คือ การสร้างทางไหลขึ้นของวงจรไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล
สิ่งหนึ่งที่ทำกันมาก ทั้งในต่างประเทศและในไทย ก็คือการใช้สื่อทางเลือกที่มีขนาดเล็ก ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงผู้ให้บริการได้ง่าย (จึงเกิดอำนาจในการควบคุมการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลมากขึ้น)
สื่อทางเลือกที่ใช้กันมากคือสื่อ "ออนไลน์" ทั้งหลาย ศักยภาพของสื่อประเภทนี้มีสูงมาก สำนักข่าวอัลจาห์ซีราเป็นตัวอย่างที่ดีว่า ประสบความสำเร็จในการสร้างสมดุลของข่าว จากที่เคยถูกครอบงำโดยสำนักข่าวตะวันตกเพียงฝ่ายเดียว และความสำเร็จที่สำคัญไม่แพ้กัน คือสามารถเชื่อมโยงกับสื่อกระแสหลักได้ เพราะกลายเป็นแหล่งข่าวที่สื่อกระแสหลักในหลายสังคมต้องรวมไว้ในการรายงานข่าวของตนด้วย
ในเมืองไทย เว็บไซต์ เช่น ประชาไท, ไทยอีนิวส์ ฯลฯ สร้างความสมดุลของข่าวได้มากขึ้น และค่อยๆ แพร่หลายมากขึ้น ยิ่งในช่วงที่ข่าวสารข้อมูลถูกปิดกั้น เว็บไซต์เหล่านี้ก็ยิ่งมีผู้นิยมอ่านหรือดูมาก เช่นเดียวกับ ASTV และทีวีของฝ่ายเสื้อแดง
แต่น่าเสียดายที่การเติบโตของสื่อทางเลือกเช่นนี้ในเมืองไทย กลับถูกขวางกั้นด้วย พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ (บวกกับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในปัจจุบัน) โอกาสที่จะค้นหาศักยภาพของสื่อทางเลือก เพื่อทำให้วงจรการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูลได้มีส่วนไหลจากข้างล่างขึ้นบน จึงเหลือแคบลง (โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่าหน้าด้านเกินไปที่จะพูดถึงการปฏิรูปสื่อ ท่ามกลาง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน)
ในทางตรงกันข้าม จนถึงนาทีนี้ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อกระแสหลักมีความสำคัญ เพราะมีผู้รับข่าวสารข้อมูลผ่านสื่อประเภทนี้อยู่มากในเมืองไทย (รวมวิทยุและทีวีด้วย) ฉะนั้น การปฏิรูปสื่อจึงต้องหมายรวมถึงการเชื่อมโยงสื่อทางเลือกกับสื่อกระแสหลักเข้าหากันได้ด้วย (ดังเช่นความสำเร็จของอัลจาห์ซีรา)
ในเมืองไทย มีความพยายามไปในทิศทางนี้อยู่บ้าง ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจคือการเพาะ "นักข่าวพลเมือง" ของทีวีไทย ซึ่งได้เปิดอบรมการทำข่าวให้แก่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งเปิดพื้นที่ให้ข่าวซึ่งประชาชนทำได้ออกอากาศ
แต่นี่เป็นความพยายามที่ไม่นำไปสู่อะไรได้มากนัก อยู่ที่ว่าจะให้เวลาได้มากน้อยเพียงไรเท่านั้น ที่น่าจะทำมากกว่าก็คือการทำให้นักข่าวพลเมืองมาเป็นส่วนหนึ่งของการทำข่าวของสถานี (ไม่ใช่ได้เวลาปิดท้ายข่าว 3 นาที) ทางสำนักข่าวของสถานีต้องมีโจทย์อยู่ในใจ สามารถติดต่อนักข่าวพลเมืองได้ทันที เมื่อต้องการได้ภาพและรายงานข่าวเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั่วประเทศไทย สถานีมีหน้าที่เลือกสรรคลิปที่ส่งเข้ามา และรวบรวมจนเป็นประเด็น "ข่าว" ขึ้นมาเอง ยกตัวอย่างเช่นการจัดการน้ำโดยชุมชน สถานีอาจรับคลิปวิดีโอจากนักข่าวพลเมืองทั่วประเทศ แล้วสร้าง "ข่าว" ขึ้นจากคลิปเหล่านี้ แน่นอนต้องรวมถึงจากการบ้านที่สถานีต้องทำ ทั้งผ่านเอกสารและการสัมภาษณ์บุคคล จนเกิดความกระจ่างแจ้งและเป็นความรู้แก่สาธารณชน
หากโจทย์ของการปฏิรูปสื่อคือโครงสร้างการไหลเวียนของข่าวสารข้อมูล เส้นทางปฏิรูปควรเป็นอย่างไร?
ผมขอพักเรื่องนี้ไปต่อในสัปดาห์หน้า
........................................................................
เปิดขุมทรัพย์ล่าสุด 7อรหันต์ กทช. ฮือฮาหลังบ้าน กก.ป้ายแดงตุนอื้อ"หุ้น 51บริษัท-พันธบัตร" 130 ล้าน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
เปิดขุมทรัพย์ล่าสุด 7 อรหันต์ กทช. ฮือฮาหลังบ้าน พนา ทองมีอาคม กก.ป้ายแดงรวยอื้อ ตุนเงินลงทุน 51 บริษัท-แถมพันธบัตร" 130 ล้าน
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ที่รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 จำนวน 4 คน (แทนกรรมการ กทช.ที่จับฉลากออก) ประกอบด้วย นายพนา ทองมีอาคม พ.อ.ทนี ศุกลรัตน์ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยากำจร และนายบัณฑูร สุภัควณิช แต่ละคนมีทรัพย์สินดังนี้
นายพนา ทองมีอาคม แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 103,497,512 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 12,216,511 บาท เงินลงทุน 2,186,072 บาท ที่ดิน 3 แปลง 27,750,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 หลัง 58,349,428 บาท ไม่มีหนี้สิน
นางอรทัย คู่สมรส มีทรัพย์สิน 23,8791,298 บาท แบ่งเป็น เงินสด 6,817,205 บาท เงินลงทุน 130,595,694 บาท (เงินลงทุนพันธบัตร 52.5 ล้านบาท -พันธบัตรออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2552 จำนวน 50 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ปี 2548 5 แสนบาท พันธบัตรไทยเข้มแข็ง 2 ล้านบาท-เงินลงทุนอื่นประมาณ 51 บริษัท ) ที่ดิน 38 แปลง 98,198,899 บาท รถยนต์ 360,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,819,500 บาท ไม่มีหนี้สิน บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 998,429 บาท
รวม 343,287,240 บาท
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ มีทรัพย์สิน 14,297,731 บาท แบ่งเป็นเงินสด 200,000 บาท เงินฝาก 2,338,232 บาท เงินลงทุน 2,244,407 บาท ที่ดิน 2 แปลง 4,515,000 บาท บ้าน 5,000,000 บาท
ร.ต.ท.หญิง สิริเพ็ญ คู่สมรส (กรรมการผู้จัดการบริษัท นีน่าไทย อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต จำกัด) มีทรัพย์สิน 16,090,787 บาท แบ่งเป็นเงินสด 250,000 บาท เงินฝาก 543,183 บาท เงินลงทุน 140,000 บาท ที่ดิน 7 แปลง 4,407,500 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 6,185,000 บาท รถยนต์ 800,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 3,765,000 บาท หนี้สิน 3,100,000 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 273,232 บาท
รวม 30,661,751 บาท
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร มีทรัพย์สิน 16474869 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 3,630,839 บาท เงินลงทุน 4,471,750 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,092,000 บาท รถยนต์ 5,480,280 บาท สิทธิสัมปทาน 800,000 บาท หนี้สิน 3,772,330 บาท
นางรัชนี กัลยาณคุณาวุฒิ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 5,622,622 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 152,250 บาท เงินลงทุน 1,163,830 บาท ที่ดิน 4 แปลง 3,000,000 บาท รถยนต์ 1,306,542 บาท หนี้สิน 430,000 บาท
รวม 22,097,491 บาท
นายบัณฑูร สุภัควณิช (หย่า) มีทรัพย์สิน 14,750,222 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 3,650,222 บาท เงินลงทุน 900,000 บาท ที่ดิน 11 แปลง 16-2-53 ไร่ มูลค่า 610,0000 บาท บ้าน 3,300,000 บาท สิทธิสัมปทาน(ประกันชีวิต) 800,000 บาท หนี้สิน 2,350,878 บาท
ส่วน กทช.จำนวน 3 คนที่ยังอยู่ในตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2547
นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ มีทรัพย์สิน 5,237,955 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 405,302 บาท เงินลงทุน 132,652 บาท (บริษัทเงินทุนอุตสาหกรรม 104152 บาท หุ้น บมจ.ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 12,500 หุ้น บมจ.ศุภาลัย 16,000 หุ้น ) ที่ดิน 1 แปลง 0-0-62 ไร่ 3,000,000 บาท รถยนต์ 2 คัน 1,500,000 บาท หนี้สิน 9,465 บาท
นางญาดา ประพิณมงคลการ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 26,545,303 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 1,854,892 บาท เงินลงทุน 26 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม เอ็มเอฟซี 10,000 หุ้น , บมจ. กรุงเทพผลิตเหล็ก 3,000 หุ้น ,บมจ.เชงกรี-ลา โฮเต็ล 100 หุ้น ,บมจ.ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 25,000 หุ้น , บมจ.ไทยเทเลโฟน แอนด์ เทเลคอม มิวนิเคชั่น 4,875 หุ้น ,บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม 3,110 หุ้น , บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ 2,500 หุ้น ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 322 หุ้น ,บมจ.ไทยฟิลาเท็กซ์ 18,000 หุ้น , ธนาคารกสิกรไทย 6920 หุ้น ,บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ 740 หุ้น ธนาคารทหารไทย 52,210 หุ้น ,บมจ.ปากพนังห้องเย็น 150 หุ้น ,บริษัท บางกอกดาต้าคอม 32,300 หุ้น ,บมจ.ยูไนเต็ดคอมมูเนเคชั่น 200 หุ้น ,บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก 250 หุ้น ,บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ 400 หุ้น ,บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี 400 หุ้น ,บมจ.ล็อกซ์เลย์ 1,500 หุ้น ,บมจ. อาร์ ซี เอ 26 หุ้น ,บมจ.อิตาเลี่ยนไทย 300 หุ้น ,กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เฟล็กซิเบิลฟันด์ 5,000 หุ้น ,กองทุนเปิด ทรัพย์อนันต์ 6,000 หุ้น กองทุนเปิด ยูไนเต็ดฟันด์ 1,000 หุ้น ,กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี
4,989,701 หุ้น ,กองทุนรวม เอ็มเอฟซีสปอทสี่ 20,000 หุ้น ที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 6-0-1 ไร่ มูลค่า 5,802,250 บาท บ้าน 2 หลัง 14,300,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
รวม 2 คนมีทรัพย์สิน 31,783,258 บาท
นายสุธรรม อยู่ในธรรม (ไม่มีคู่สมรส) มีทรัพย์สิน 13,635,878 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 10,099,223 บาท เงินลงทุน 2,806,654 บาท ได้แก่ สลากออมสิน ธนโชค 2,320,000 บาท บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ 286,654 บาท บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง 200,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 730,000 บาท หนี้สิน 443,338 บาท
นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ มีทรัพย์สิน 3,577,694 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 580825 บาท ที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 0-0-95 ไร่ มูลค่า 1,350,000 บาท บ้าน 1 หลัง 1,095,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 551,869 บาท หนี้สิน 2,045,208 บาท
นางวันเพ็ญ สุชาติเวชภูมิ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 3,648,234 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 511,365 บาท ที่ดิน 3 แปลง เนื้อที่ 2-1-53 ไร่ มูลค่า 1,490,000 บาท บ้านอาศัย 1 หลัง 1,095,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 551,869 บาท หนี้สิน 1,889,208 บาท
รวม 2 คน 7,225,928 บาท
เบ็ดเสร็จทั้ง 7 คน มีทรัพย์สินประมาณ 463.1 ล้านบาท
***************************************************************************************
เปิดขุมทรัพย์ล่าสุด 7 อรหันต์ กทช. ฮือฮาหลังบ้าน พนา ทองมีอาคม กก.ป้ายแดงรวยอื้อ ตุนเงินลงทุน 51 บริษัท-แถมพันธบัตร" 130 ล้าน
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กทช.) ที่รับตำแหน่งเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 จำนวน 4 คน (แทนกรรมการ กทช.ที่จับฉลากออก) ประกอบด้วย นายพนา ทองมีอาคม พ.อ.ทนี ศุกลรัตน์ นายสุรนันท์ วงศ์วิทยากำจร และนายบัณฑูร สุภัควณิช แต่ละคนมีทรัพย์สินดังนี้
นายพนา ทองมีอาคม แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. ตอนรับตำแหน่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ระบุว่ามีทรัพย์สิน 103,497,512 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 12,216,511 บาท เงินลงทุน 2,186,072 บาท ที่ดิน 3 แปลง 27,750,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 10 หลัง 58,349,428 บาท ไม่มีหนี้สิน
นางอรทัย คู่สมรส มีทรัพย์สิน 23,8791,298 บาท แบ่งเป็น เงินสด 6,817,205 บาท เงินลงทุน 130,595,694 บาท (เงินลงทุนพันธบัตร 52.5 ล้านบาท -พันธบัตรออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ.2552 จำนวน 50 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ปี 2548 5 แสนบาท พันธบัตรไทยเข้มแข็ง 2 ล้านบาท-เงินลงทุนอื่นประมาณ 51 บริษัท ) ที่ดิน 38 แปลง 98,198,899 บาท รถยนต์ 360,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,819,500 บาท ไม่มีหนี้สิน บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 998,429 บาท
รวม 343,287,240 บาท
พ.อ.นที ศุกลรัตน์ มีทรัพย์สิน 14,297,731 บาท แบ่งเป็นเงินสด 200,000 บาท เงินฝาก 2,338,232 บาท เงินลงทุน 2,244,407 บาท ที่ดิน 2 แปลง 4,515,000 บาท บ้าน 5,000,000 บาท
ร.ต.ท.หญิง สิริเพ็ญ คู่สมรส (กรรมการผู้จัดการบริษัท นีน่าไทย อิมพอร์ต เอ็กซ์พอร์ต จำกัด) มีทรัพย์สิน 16,090,787 บาท แบ่งเป็นเงินสด 250,000 บาท เงินฝาก 543,183 บาท เงินลงทุน 140,000 บาท ที่ดิน 7 แปลง 4,407,500 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 6,185,000 บาท รถยนต์ 800,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 3,765,000 บาท หนี้สิน 3,100,000 บาท บุตรไม่บรรลุนิติภาวะ 273,232 บาท
รวม 30,661,751 บาท
นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร มีทรัพย์สิน 16474869 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 3,630,839 บาท เงินลงทุน 4,471,750 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,092,000 บาท รถยนต์ 5,480,280 บาท สิทธิสัมปทาน 800,000 บาท หนี้สิน 3,772,330 บาท
นางรัชนี กัลยาณคุณาวุฒิ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 5,622,622 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 152,250 บาท เงินลงทุน 1,163,830 บาท ที่ดิน 4 แปลง 3,000,000 บาท รถยนต์ 1,306,542 บาท หนี้สิน 430,000 บาท
รวม 22,097,491 บาท
นายบัณฑูร สุภัควณิช (หย่า) มีทรัพย์สิน 14,750,222 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 3,650,222 บาท เงินลงทุน 900,000 บาท ที่ดิน 11 แปลง 16-2-53 ไร่ มูลค่า 610,0000 บาท บ้าน 3,300,000 บาท สิทธิสัมปทาน(ประกันชีวิต) 800,000 บาท หนี้สิน 2,350,878 บาท
ส่วน กทช.จำนวน 3 คนที่ยังอยู่ในตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2547
นายประสิทธิ์ ประพิณมงคลการ มีทรัพย์สิน 5,237,955 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 405,302 บาท เงินลงทุน 132,652 บาท (บริษัทเงินทุนอุตสาหกรรม 104152 บาท หุ้น บมจ.ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 12,500 หุ้น บมจ.ศุภาลัย 16,000 หุ้น ) ที่ดิน 1 แปลง 0-0-62 ไร่ 3,000,000 บาท รถยนต์ 2 คัน 1,500,000 บาท หนี้สิน 9,465 บาท
นางญาดา ประพิณมงคลการ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 26,545,303 บาท แบ่งเป็นเงินฝาก 1,854,892 บาท เงินลงทุน 26 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์กองทุนรวม เอ็มเอฟซี 10,000 หุ้น , บมจ. กรุงเทพผลิตเหล็ก 3,000 หุ้น ,บมจ.เชงกรี-ลา โฮเต็ล 100 หุ้น ,บมจ.ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม 25,000 หุ้น , บมจ.ไทยเทเลโฟน แอนด์ เทเลคอม มิวนิเคชั่น 4,875 หุ้น ,บมจ.ไทยพัฒนาโรงงานอุตสาหกรรม 3,110 หุ้น , บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ 2,500 หุ้น ,ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 322 หุ้น ,บมจ.ไทยฟิลาเท็กซ์ 18,000 หุ้น , ธนาคารกสิกรไทย 6920 หุ้น ,บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ 740 หุ้น ธนาคารทหารไทย 52,210 หุ้น ,บมจ.ปากพนังห้องเย็น 150 หุ้น ,บริษัท บางกอกดาต้าคอม 32,300 หุ้น ,บมจ.ยูไนเต็ดคอมมูเนเคชั่น 200 หุ้น ,บมจ.โรงพิมพ์ตะวันออก 250 หุ้น ,บมจ.แผ่นดินทองพร็อพเพอร์ตี้ ดิเวลลอปเม้นท์ 400 หุ้น ,บมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี 400 หุ้น ,บมจ.ล็อกซ์เลย์ 1,500 หุ้น ,บมจ. อาร์ ซี เอ 26 หุ้น ,บมจ.อิตาเลี่ยนไทย 300 หุ้น ,กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี เฟล็กซิเบิลฟันด์ 5,000 หุ้น ,กองทุนเปิด ทรัพย์อนันต์ 6,000 หุ้น กองทุนเปิด ยูไนเต็ดฟันด์ 1,000 หุ้น ,กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี
4,989,701 หุ้น ,กองทุนรวม เอ็มเอฟซีสปอทสี่ 20,000 หุ้น ที่ดิน 4 แปลง เนื้อที่ 6-0-1 ไร่ มูลค่า 5,802,250 บาท บ้าน 2 หลัง 14,300,000 บาท ไม่มีหนี้สิน
รวม 2 คนมีทรัพย์สิน 31,783,258 บาท
นายสุธรรม อยู่ในธรรม (ไม่มีคู่สมรส) มีทรัพย์สิน 13,635,878 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 10,099,223 บาท เงินลงทุน 2,806,654 บาท ได้แก่ สลากออมสิน ธนโชค 2,320,000 บาท บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมไทยพาณิชย์ 286,654 บาท บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง 200,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 730,000 บาท หนี้สิน 443,338 บาท
นายสุชาติ สุชาติเวชภูมิ มีทรัพย์สิน 3,577,694 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 580825 บาท ที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ 0-0-95 ไร่ มูลค่า 1,350,000 บาท บ้าน 1 หลัง 1,095,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 551,869 บาท หนี้สิน 2,045,208 บาท
นางวันเพ็ญ สุชาติเวชภูมิ คู่สมรส มีทรัพย์สิน 3,648,234 บาท แบ่งเป็น เงินฝาก 511,365 บาท ที่ดิน 3 แปลง เนื้อที่ 2-1-53 ไร่ มูลค่า 1,490,000 บาท บ้านอาศัย 1 หลัง 1,095,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 551,869 บาท หนี้สิน 1,889,208 บาท
รวม 2 คน 7,225,928 บาท
เบ็ดเสร็จทั้ง 7 คน มีทรัพย์สินประมาณ 463.1 ล้านบาท
***************************************************************************************
‘จิ้น’ฮึด ‘มาร์ค’สวน!
ชวรัตน์-อภิสิทธิ์ -โสภณ
บาดแผลรถเมล์เช่า4พันคัน
แน่นอนว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงปัญหาโครงการรถเมล์ 4,000 คัน ว่าเป็นโครงการที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันหนัก ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า เป็นโครงการที่ต้องการแก้ไขปัญหาองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังมีข้อสงสัย ความไม่มั่นใจในเรื่องของความโปร่งใส
ทำให้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด ยังคงตีกลับ ก็เพราะ 3 ประเด็นหลัก ๆ ประเด็นแรกคือ การเอาระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เพื่อการประหยัด และนำไปสู่การลดการขาดทุนของ ขสมก. ได้ ก็ต้องมีการลดพนักงาน แต่ปัญหาคือ ขณะนี้โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดยังไม่เป็นไปตามเป้า ฉะนั้นต้องกลับไปทำตัวเลขมาให้ชัดเจนใหม่ ว่าสมควรเดินหน้าในลักษณะไหนอย่างไร
ประเด็นที่ 2 ปัจจุบันมีรถเมล์ฟรีวิ่งอยู่ 800 คัน และมีการต่ออายุไปถึงสิ้นเดือนธันวาคม จึงจำเป็นต้องมาพิจารณาว่า จะดำเนินการโครงการนี้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
ประเด็นที่ 3 การปรับระบบในเรื่องของการวิ่งรถทั้งหมด ย่อมไปกระทบกับรถซึ่งเป็นรถของภาคเอกชนหรือรถร่วมบริการ ซึ่งตรงนี้มีข้อเสนอเข้ามา แต่ยังไม่ได้มีการวิเคราะห์กันอย่างชัดแจ้งว่า ในที่สุดแล้วกติกาการทำงานกับภาคเอกชนที่เข้ามารับสัมปทานหรือวิ่งรถร่วม จะเป็นอย่างไร
“ก่อนที่รัฐบาลจะอนุมัติโครงการนี้ จะให้ความมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นโครงการที่มีความเป็นไปได้ในทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นแน่นอนที่สุดคือ ความโปร่งใสที่เกิดขึ้นในโครงการ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า เป็นการเปิดหน้าชนกันแบบไม่ต้องรักษาหน้าหรือใส่หน้ากากกันอีกแล้ว
เพราะนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถึงกับตั้งคำถามในที่ประชุม ครม. ว่า วันนี้เรื่องเดินมาถึงจุดที่ว่า 1. คุณมีความตั้งใจจะทำโครงการนี้แค่ไหน 2. โครงการนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสามารถจะทำได้จริงหรือไม่ และ 3. ถ้าไม่มีความตั้งใจจริง หรือไม่มีความสามารถที่จะทำ มันมีโครงการอื่นที่จะทดแทนได้หรือไม่
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่ได้ขัดข้องการเดินหน้าโครงการ เพราะครม. ก็อนุมัติหลักการไปแล้ว ส่วนข้อสังเกตต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นข้อสังเกตเดิมๆ ไม่ใช่การแตกประเด็นใหม่ แต่กระทรวงคมนาคมเองที่ตอบไม่เคลียร์ จึงอยากให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูสิ่งเหล่านี้อีกครั้ง
ทำให้นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
“ครั้งก่อน ครม. ให้ไปศึกษา กว่าจะกลับมาอีกทีก็ปีกว่า เวลาผ่านไป 1 วัน ขสมก. ขาดทุน 7 ล้าน เราเป็น ครม. มาปีเศษ ขสมก. มีหนี้เพิ่ม 1-2 พันล้าน เพราะมัวแต่รีๆ รอๆ กันอยู่ ไม่กล้าตัดสินใจ”
ได้ผล... นายอภิสิทธิ์สวนกลับทันทีว่า
“ตัดสินใจ ไม่ใช่ไม่ตัดสินใจ แต่ก่อนจะตัดสินใจต้องรอบคอบ เพราะเวลาเกิดอะไรขึ้น ครม. ต้องร่วมกันรับผิดชอบ”
นายโสภณ จึงออกอาการงอนว่า “ถ้าวันนี้ไม่จบ ก็ไม่ทำแล้ว เอาไปทำกันเองเลยแล้วกัน”
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ สวนกลับแรงกว่าเดิมว่า “ถ้าคุณไม่มาขอเงิน ก็ไม่มีเรื่องต้องพิจารณา นี่คุณต้องใช้เงิน และเวลารับผิดชอบมันรับผิดชอบด้วยกัน ดังนั้น ควรเคลียร์ข้อมูลให้ชัดเจน ให้ทุกคนออกไปอธิบายได้เหมือนกันหมด”
แน่นอนว่าการที่ถูกตีกลับซ้ำซากก็หงุดหงิดเจ็บช้ำพออยู่แล้ว ยังมาโดนตอกย้ำในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความโปร่งใสของโครงการตลอดเวลา... จะไม่ให้พรรคภูมิใจไทยหงุดหงิดได้อย่างไร
สภาล่ม... โหวตงบประมาณปี 2554 ... หรือแม้แต่กระทั่งการพลิกไปจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย กลายเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นลูกระนาดตามมาในทันที และทำให้คอการเมืองทุกขั้วต่างจับตามองเขม็ง
ยิ่ง นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ออกมาระบุว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์วิกฤติ พรรคที่มาร่วมจับมือตั้งรัฐบาลขึ้นมา เป้าหมายเพื่อจะแก้วิกฤติที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่ากลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งต่อมาเป็นพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากที่สุด
ดังนั้นแม้ว่าโครงการนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจมาก่อนสมัยเป็นฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้ได้ผ่านการศึกษา ปรับเปลี่ยนโครงการเดิมไปมากมาย โดยเฉพาะ เรื่องความโปร่งใส และถือว่าเป็นโครงการของรัฐบาลโดยรวมที่ได้ดูแลกันมาอย่างดีแล้ว แต่ยิ่งพูดไปเหมือนกับรัฐบาลพยายามแยกให้เห็นว่านี่คือรถเมล์พรรคภูมิใจไทย
ส่วนกระแสข่าวพรรคแกนนำอย่างประชาธิปัตย์ จะมีการปรับ ครม. หลังงบประมาณปี 54 ผ่าน และอาจจะดึงเอากระทรวงสำคัญๆ จากภูมิใจไทย ไปดูแลเอง นายศุภชัย กล่าวว่า จริงๆ รัฐบาลก็เพิ่งปรับ ครม. มาไม่กี่วัน รัฐมนตรีใหม่บางคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ถ้าจะมาปรับคงไม่น่าจะเป็นไปได้ ส่วนที่ว่าจะเอากระทรวงที่ภูมิใจไทยดูแล กลับไปดูแลเอง ถ้าเป็นกรณีตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นโดยพรรคแกนนำเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลก็คงใช่ที่พรรคแกนนำควรจะดูแลกระทรวงใหญ่
แต่สำหรับกรณีนี้เป็นเรื่องที่แต่ละคนไม่ได้ยึดถือเรื่องหลักว่าใครเป็นพรรคใหญ่พรรคเล็กแต่เป็นกรณีการเข้ามากอบกู้แก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง กระทรวงที่รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ดูแลอยู่ก็สามารถทำงานได้ดีดูแล ทำงานเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ แล้วจะเอาเหตุอะไรมาอ้างตรงนี้
“ถ้าใครอยากจะดูกระทรวงใหญ่ควรจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า”
ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ทางแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เคยมาหารือเรื่องนี้ แต่การปรับ ครม. เป็นเรื่องปกติของรัฐบาล หากใครเป็นแล้วไม่เห็นผลงานก็ต้องปรับ แต่ถ้าเขาทำงานดีแล้วจะปรับทำไม ในส่วนของรัฐมนตรีของพรรคที่มีอยู่ปัจจุบันก็ทำงานมั่นคงแข็งแรงดีอยู่ แล้ว
“ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาเอาไปดู เราก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน จะไปอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ยินเรื่องนี้ มันเล่นแบบนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเล่นอย่างนี้เขาคงจะเอาพรรคภูมิใจไทยออกไปนานแล้ว ภูมิใจไทยเราเล่นการเมืองแบบมืออาชีพไม่ใช่มือสมัครเล่นเมื่อไหร่”
นายชวรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง มานั่งทะเลาะกัน มันไม่มีประโยชน์ โครงการใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องมีคำถามเยอะ ยืนยันว่าพรรคไม่มีการเอาเรื่องรถเมล์ไปต่อรองกับการโหวตผ่านงบประมาณปี 54
“โครงการรถเมล์ถ้านายกฯอยากจะรู้ 3 ข้อ เราก็ตอบไปให้กระจ่างก็หมดเรื่องไป หากตอบให้กระจ่างแล้ว ถ้านายกฯ เขายังหาเรื่องอย่างอื่นมาอ้างอีกก็ค่อยว่ากันตอนนั้น”
ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย บางคนออกมาขู่ทำนองจะพลิกขั้วไปจับมือกับพรรค เพื่อไทยตั้งรัฐบาลครั้งหน้า ก็เป็นเรื่องของนักการเมืองเขาว่ากันเอง ตนไม่ใช่นักการเมือง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องในอนาคต ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นักการเมืองก็อาจจะเล่นไปตามกติกานั้นก็ได้ เพราะตามหลักการ การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรอยู่แล้ว เมื่อถึงวันนั้นหากการเมืองจะเปลี่ยนหรือจะเดินไปอย่างไร ก็แล้วแต่ทางพรรคจะว่ากันไป จะจับมือกับใครก็เป็นเรื่องอนาคต ไม่มีใครสามารถจะทราบได้
เปิดหน้าซดกันแบบนี้ อาการ “ร้าว” มีสิทธิ์ที่จะ “แตก”ได้ทุกเมื่อเสียแล้วกระมัง?!?
ที่มา.บางกอกทูเดย์****************************************************************************
บาดแผลรถเมล์เช่า4พันคัน
แน่นอนว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำถึงปัญหาโครงการรถเมล์ 4,000 คัน ว่าเป็นโครงการที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันหนัก ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า เป็นโครงการที่ต้องการแก้ไขปัญหาองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ยังมีข้อสงสัย ความไม่มั่นใจในเรื่องของความโปร่งใส
ทำให้ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุด ยังคงตีกลับ ก็เพราะ 3 ประเด็นหลัก ๆ ประเด็นแรกคือ การเอาระบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์มาใช้เพื่อการประหยัด และนำไปสู่การลดการขาดทุนของ ขสมก. ได้ ก็ต้องมีการลดพนักงาน แต่ปัญหาคือ ขณะนี้โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดยังไม่เป็นไปตามเป้า ฉะนั้นต้องกลับไปทำตัวเลขมาให้ชัดเจนใหม่ ว่าสมควรเดินหน้าในลักษณะไหนอย่างไร
ประเด็นที่ 2 ปัจจุบันมีรถเมล์ฟรีวิ่งอยู่ 800 คัน และมีการต่ออายุไปถึงสิ้นเดือนธันวาคม จึงจำเป็นต้องมาพิจารณาว่า จะดำเนินการโครงการนี้อย่างต่อเนื่องหรือไม่
ประเด็นที่ 3 การปรับระบบในเรื่องของการวิ่งรถทั้งหมด ย่อมไปกระทบกับรถซึ่งเป็นรถของภาคเอกชนหรือรถร่วมบริการ ซึ่งตรงนี้มีข้อเสนอเข้ามา แต่ยังไม่ได้มีการวิเคราะห์กันอย่างชัดแจ้งว่า ในที่สุดแล้วกติกาการทำงานกับภาคเอกชนที่เข้ามารับสัมปทานหรือวิ่งรถร่วม จะเป็นอย่างไร
“ก่อนที่รัฐบาลจะอนุมัติโครงการนี้ จะให้ความมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นโครงการที่มีความเป็นไปได้ในทางเศรษฐกิจ นอกจากนั้นแน่นอนที่สุดคือ ความโปร่งใสที่เกิดขึ้นในโครงการ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
อะไรไม่สำคัญเท่ากับว่า เป็นการเปิดหน้าชนกันแบบไม่ต้องรักษาหน้าหรือใส่หน้ากากกันอีกแล้ว
เพราะนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ถึงกับตั้งคำถามในที่ประชุม ครม. ว่า วันนี้เรื่องเดินมาถึงจุดที่ว่า 1. คุณมีความตั้งใจจะทำโครงการนี้แค่ไหน 2. โครงการนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความสามารถจะทำได้จริงหรือไม่ และ 3. ถ้าไม่มีความตั้งใจจริง หรือไม่มีความสามารถที่จะทำ มันมีโครงการอื่นที่จะทดแทนได้หรือไม่
ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องชี้แจงว่า ส่วนตัวไม่ได้ขัดข้องการเดินหน้าโครงการ เพราะครม. ก็อนุมัติหลักการไปแล้ว ส่วนข้อสังเกตต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็เป็นข้อสังเกตเดิมๆ ไม่ใช่การแตกประเด็นใหม่ แต่กระทรวงคมนาคมเองที่ตอบไม่เคลียร์ จึงอยากให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูสิ่งเหล่านี้อีกครั้ง
ทำให้นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า
“ครั้งก่อน ครม. ให้ไปศึกษา กว่าจะกลับมาอีกทีก็ปีกว่า เวลาผ่านไป 1 วัน ขสมก. ขาดทุน 7 ล้าน เราเป็น ครม. มาปีเศษ ขสมก. มีหนี้เพิ่ม 1-2 พันล้าน เพราะมัวแต่รีๆ รอๆ กันอยู่ ไม่กล้าตัดสินใจ”
ได้ผล... นายอภิสิทธิ์สวนกลับทันทีว่า
“ตัดสินใจ ไม่ใช่ไม่ตัดสินใจ แต่ก่อนจะตัดสินใจต้องรอบคอบ เพราะเวลาเกิดอะไรขึ้น ครม. ต้องร่วมกันรับผิดชอบ”
นายโสภณ จึงออกอาการงอนว่า “ถ้าวันนี้ไม่จบ ก็ไม่ทำแล้ว เอาไปทำกันเองเลยแล้วกัน”
เล่นเอานายอภิสิทธิ์ สวนกลับแรงกว่าเดิมว่า “ถ้าคุณไม่มาขอเงิน ก็ไม่มีเรื่องต้องพิจารณา นี่คุณต้องใช้เงิน และเวลารับผิดชอบมันรับผิดชอบด้วยกัน ดังนั้น ควรเคลียร์ข้อมูลให้ชัดเจน ให้ทุกคนออกไปอธิบายได้เหมือนกันหมด”
แน่นอนว่าการที่ถูกตีกลับซ้ำซากก็หงุดหงิดเจ็บช้ำพออยู่แล้ว ยังมาโดนตอกย้ำในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความโปร่งใสของโครงการตลอดเวลา... จะไม่ให้พรรคภูมิใจไทยหงุดหงิดได้อย่างไร
สภาล่ม... โหวตงบประมาณปี 2554 ... หรือแม้แต่กระทั่งการพลิกไปจับขั้วกับพรรคเพื่อไทย กลายเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นเป็นลูกระนาดตามมาในทันที และทำให้คอการเมืองทุกขั้วต่างจับตามองเขม็ง
ยิ่ง นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ออกมาระบุว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์วิกฤติ พรรคที่มาร่วมจับมือตั้งรัฐบาลขึ้นมา เป้าหมายเพื่อจะแก้วิกฤติที่เกิดขึ้น โดยยอมรับว่ากลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งต่อมาเป็นพรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคที่อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากที่สุด
ดังนั้นแม้ว่าโครงการนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะเคยอภิปรายไม่ไว้วางใจมาก่อนสมัยเป็นฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้ได้ผ่านการศึกษา ปรับเปลี่ยนโครงการเดิมไปมากมาย โดยเฉพาะ เรื่องความโปร่งใส และถือว่าเป็นโครงการของรัฐบาลโดยรวมที่ได้ดูแลกันมาอย่างดีแล้ว แต่ยิ่งพูดไปเหมือนกับรัฐบาลพยายามแยกให้เห็นว่านี่คือรถเมล์พรรคภูมิใจไทย
ส่วนกระแสข่าวพรรคแกนนำอย่างประชาธิปัตย์ จะมีการปรับ ครม. หลังงบประมาณปี 54 ผ่าน และอาจจะดึงเอากระทรวงสำคัญๆ จากภูมิใจไทย ไปดูแลเอง นายศุภชัย กล่าวว่า จริงๆ รัฐบาลก็เพิ่งปรับ ครม. มาไม่กี่วัน รัฐมนตรีใหม่บางคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ถ้าจะมาปรับคงไม่น่าจะเป็นไปได้ ส่วนที่ว่าจะเอากระทรวงที่ภูมิใจไทยดูแล กลับไปดูแลเอง ถ้าเป็นกรณีตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นโดยพรรคแกนนำเป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลก็คงใช่ที่พรรคแกนนำควรจะดูแลกระทรวงใหญ่
แต่สำหรับกรณีนี้เป็นเรื่องที่แต่ละคนไม่ได้ยึดถือเรื่องหลักว่าใครเป็นพรรคใหญ่พรรคเล็กแต่เป็นกรณีการเข้ามากอบกู้แก้ไขสถานการณ์บ้านเมือง กระทรวงที่รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ดูแลอยู่ก็สามารถทำงานได้ดีดูแล ทำงานเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองได้ แล้วจะเอาเหตุอะไรมาอ้างตรงนี้
“ถ้าใครอยากจะดูกระทรวงใหญ่ควรจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า”
ในขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ทางแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่เคยมาหารือเรื่องนี้ แต่การปรับ ครม. เป็นเรื่องปกติของรัฐบาล หากใครเป็นแล้วไม่เห็นผลงานก็ต้องปรับ แต่ถ้าเขาทำงานดีแล้วจะปรับทำไม ในส่วนของรัฐมนตรีของพรรคที่มีอยู่ปัจจุบันก็ทำงานมั่นคงแข็งแรงดีอยู่ แล้ว
“ก็ไม่เป็นไร ถ้าเขาเอาไปดู เราก็ต้องเป็นฝ่ายค้าน จะไปอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้ยินเรื่องนี้ มันเล่นแบบนี้ไม่ได้หรอก ถ้าเล่นอย่างนี้เขาคงจะเอาพรรคภูมิใจไทยออกไปนานแล้ว ภูมิใจไทยเราเล่นการเมืองแบบมืออาชีพไม่ใช่มือสมัครเล่นเมื่อไหร่”
นายชวรัตน์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง มานั่งทะเลาะกัน มันไม่มีประโยชน์ โครงการใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องมีคำถามเยอะ ยืนยันว่าพรรคไม่มีการเอาเรื่องรถเมล์ไปต่อรองกับการโหวตผ่านงบประมาณปี 54
“โครงการรถเมล์ถ้านายกฯอยากจะรู้ 3 ข้อ เราก็ตอบไปให้กระจ่างก็หมดเรื่องไป หากตอบให้กระจ่างแล้ว ถ้านายกฯ เขายังหาเรื่องอย่างอื่นมาอ้างอีกก็ค่อยว่ากันตอนนั้น”
ส่วนกรณีที่แกนนำพรรคภูมิใจไทย บางคนออกมาขู่ทำนองจะพลิกขั้วไปจับมือกับพรรค เพื่อไทยตั้งรัฐบาลครั้งหน้า ก็เป็นเรื่องของนักการเมืองเขาว่ากันเอง ตนไม่ใช่นักการเมือง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องในอนาคต ยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นักการเมืองก็อาจจะเล่นไปตามกติกานั้นก็ได้ เพราะตามหลักการ การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวรอยู่แล้ว เมื่อถึงวันนั้นหากการเมืองจะเปลี่ยนหรือจะเดินไปอย่างไร ก็แล้วแต่ทางพรรคจะว่ากันไป จะจับมือกับใครก็เป็นเรื่องอนาคต ไม่มีใครสามารถจะทราบได้
เปิดหน้าซดกันแบบนี้ อาการ “ร้าว” มีสิทธิ์ที่จะ “แตก”ได้ทุกเมื่อเสียแล้วกระมัง?!?
ที่มา.บางกอกทูเดย์****************************************************************************
ขัตติยา สวัสดิผล "พรรคของพ่อก็อยากให้เป็นพรรคของพ่อเสมอ... เดียร์จะเป็นหัวหน้าพรรคเอง"
ข่าวสดรายวัน
สัมภาษณ์พิเศษ
ประกาศเป็นเสื้อแดงเต็มตัวแล้ว สำหรับ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือ น้องเดียร์
และยังสานต่อเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้พ่อ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล โดยเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคขัตติยะธรรม ที่เสธ.แดง ก่อตั้งมากับมือ
เดินหน้าจัดตั้งศูนย์ประสานงานของพรรคไปแล้ว 4 จังหวัด ใน 4 ภาค ประกอบด้วย เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ชลบุรี และพังงา
หากพรรคมีส.ส. จากการเลือกตั้ง ก็ขอเป็นแนวร่วมพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
แต่ภารกิจในฐานะทายาทเสธ.แดง ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
ยังต้องเดินหน้าหาสมาชิกให้พรรค เตรียมความพร้อมสำหรับศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง
รวมถึงเตรียมตัวลงสมัครส.ส.
หลายคนมองว่าที่ผ่านมาพรรคขัตติยะธรรมไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่
การจัดตั้งพรรคของพ่อ มีความลำบากตั้งแต่ต้น ช่วงแรกจะใช้ชื่อว่า "พรรคเสธ.แดง" แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่อนุญาต ถึงเปลี่ยนมาใช้ "พรรคขัตติยะธรรม"
จริงๆ ตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พรรคขัตติยะธรรม ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว คือได้รับการจดทะเบียนจากกกต. มีสมาชิกพรรคครบ 5,000 คน มีกรรมการบริหารพรรค ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด
แต่ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพ่อที่เข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เน้นการดูแลผู้ชุมนุม พ่อไม่ค่อยได้พูดถึงพรรคขัตติยะธรรม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรค ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ระบบยุติธรรมที่ยังไม่ยุติธรรมในสายตาของหลายๆ คน หรือปัญหาเศรษฐกิจการเมือง สังคม การศึกษา
การที่พ่อไม่ค่อยได้พูดถึงมากนัก ทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักเท่าที่ควร และมองว่าพรรคขัตติยะธรรม ไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่าง คนที่รู้จึงเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ และเมื่อไม่มีพ่ออยู่แล้ว ตอนนี้จึงเป็นโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้ยังอยู่กับพรรคต่อไป และยังมีสมาชิกใหม่ ที่เห็นด้วยกับแนวพรรคมาสมัครเป็นสมาชิกของพรรค และเลือกพรรคขัตติยะธรรมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นี่คือหน้าที่ที่ต้องทำต่อไป
แนวทางการทำงานของพรรค
พรรคขัตติยะธรรมไม่ใช่พรรคที่ร่ำรวย ตั้งแต่พ่อก่อตั้งพรรคมาก็ไม่เคยรับเงินบริจาค เพราะแนวทางของพ่อตั้งแต่ตั้งพรรค ใครต้องการลงสมัครส.ส.ในนามพรรค จะต้องหาทุนด้วยตัวเอง ต้องไม่เดือดร้อนหัวหน้าพรรค
กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกคนอื่นๆ ทุกคนต้องมีทุนของตัวเองถ้าจะมาร่วมพรรค ถ้ายอมรับในจุดนี้ได้ พรรคขัตติยะธรรมยินดีรับเป็นสมาชิก และส่งลงสมัครส.ส.ในนามพรรค
ฉะนั้น การใช้เงินเรียกคนมาเป็นสมาชิกพรรคจึงไม่มี วิธีการได้มาซึ่งคะแนนเสียง เดียร์จะต้องลงไปด้วยตัวเอง เช่น ลงไปที่สงขลา หาดใหญ่ และพังงา เพื่อพบประชาชน ไปหาคะแนนเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่พ่อทำมาตลอด
ที่ผ่านมาพ่อเดินสายพบประชาชนทั่วประเทศทั้งที่ไม่มีเงิน แต่ให้ความใกล้ชิด ให้ความเป็นกันเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนรักพ่อ รักเสธ.แดงมากขนาดนี้ จากการลงพื้นที่ของเดียร์ที่จ.สงขลา จึงได้รับเสียงตอบรับที่ดี แม้จะมีการบอกล่วงหน้าไม่นานก็ตาม
จุดเด่นและความพร้อมของพรรคขัตติยะธรรม
เราอยากสร้างฐานเสียงของตัวเอง จะไม่มีการดึงส.ส.จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ มาลงสมัครในนามพรรค ถามว่าหากพื้นที่นั้นมีการทับซ้อนกันของคะแนนเสียงจะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่าให้ประชาชนตัดสินตามแนวทางของประชาธิปไตย
ตอนนี้หากมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ พรรคขัตติยะธรรมก็พร้อมในสนามการเลือกตั้ง ถึงแม้เวลานั้นจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พร้อมจะแก้และเข้าสู่การเลือกตั้งได้
มีแนวคิดจะลงสู้ศึกในสนามท้องถิ่นหรือไม่
ยังไม่มี และแนวทางของพ่อก็ไม่เคยมี เพราะพรรคขัตติยะธรรม อยากทำงานในมุมกว้างทั่วประเทศ ไม่ได้เจาะจงเป็นพื้นที่เหมือนการเมืองท้องถิ่น
เน้นพื้นที่ไหนในประเทศเป็นพิเศษ
เน้นทั่วประเทศ เนื่องจากแนวทางการทำงานของพ่อที่เดินสายทั่วประเทศ รวมถึงคนที่เข้ามาคุยกับเดียร์ ก็มาจากหลายจังหวัดมาก ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวใน 2-3 จังหวัด แต่มีเกือบทั่วประเทศ จึงไม่ลงว่าตรงไหนเป็นฐานเสียง
นโยบายของพรรคขัตติยะธรรม
ประการแรก คือต้องการเข้ามาดูระบบกฎหมายของประเทศไทย ที่เป็นปัญหา อยากให้ประชาชนทั่วไป มีส่วนร่วมในระบบศาล หรือกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เช่น ให้มีคณะลูกขุน ช่วยผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ให้รู้ถึงความคิดเห็นของประชาชนในการตัดสินคดีต่างๆ บ้าง
หรืออัยการที่อาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เหมือนการเลือกส.ส. หากมีที่มาอย่างนี้ อัยการหรือคณะลูกขุนจะทำเพื่อประชาชน คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่าที่เป็นอยู่
ในด้านเศรษฐกิจ จะช่วยแก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางที่กดราคาผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ จะได้มีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เงินจะตกอยู่กับเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วนการศึกษา คำถามที่มีมานานแล้วคือ ทำไมตอนนี้มีเพียงโรงเรียนประจำจังหวัด และจบแล้วต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ต้องเลือกจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์
นโยบายทางการศึกษาของพรรคคือทำอย่างไรให้นักเรียนที่เรียนจบ ม.6 เลือกมหาวิทยาลัยในจังหวัดของตัวเอง โดยมหาวิทยาลัยนั้นต้องได้รับมาตรฐาน เทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯ เช่นกัน เรื่องนี้มองดูอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำและไปศึกษาปัญหาอย่างจริงจัง คิดว่าสามารถทำได้
จะเป็นหัวหน้าพรรคเองหรือไม่
ที่ผ่านมา เดียร์บอกเสมอว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคเอง เพราะเกรงว่าหัวหน้าพรรคจะต้องเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย และหากมีการกลั่นแกล้งทางการเมือง พรรคถูกยุบ เดียร์ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย พรรคขัตติยะธรรมก็จะหายไป เดียร์ไม่อยู่พรรคก็จะหายไปเลย
แต่มาคิดดูแล้ว พรรคของพ่อก็อยากให้เป็นพรรคของพ่อเสมอ ก่อตั้งโดยพ่อ คนที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดก็คือทายาท ก็คือเดียร์เอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ต้องยอมรับ เดียร์จะเป็นหัวหน้าพรรคเอง
ลงสมัครเขตไหน
พ่อตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่า อยากให้เดียร์ลงสมัครแบบบัญชีรายชื่อในเขตกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล ส่วนอีก 7 เขตทั่วประเทศก็ให้เป็นหน้าที่ของสาขาพรรคแต่ละภาคว่าจะพิจารณาส่งใครลงสมัครเอง
คาดหวังมากแค่ไหน
ไม่กล้าตอบว่าคาดหวังมากขนาดไหน เพราะไม่อยากให้คำพูดมาผูกมัดตัวเอง อยากให้เป็นเรื่องของอนาคตมากกว่า แต่ถ้าถามว่าหวังหรือไม่ ต้องตอบว่าหวังแน่นอน
กลัวหรือกังวลในเกมการเมืองหรือไม่ หลังจากประกาศว่าเป็นเสื้อแดงเต็มตัว
ไม่กลัวหรือกังวล เพราะการดำเนินการของพรรคตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องกลัวถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ ไม่ใช่คนเสื้อแดงทุกคนทำผิดกฎหมาย
ในเมื่อประกาศว่าเดียร์ยืนข้างพ่อ พ่อคิดอย่างไรเดียร์คิดอย่างนั้น เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ที่พบเจอคนเสื้อแดงรวมถึงกำลังใจที่ได้รับจากพี่น้องคนเสื้อแดง ทำให้รู้ว่า เดียร์ควรเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับพ่อ
ฉะนั้นการที่เลือกยืนอยู่ข้างนี้แล้วไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย
จะมีการฟ้องร้องผู้ที่กล่าวหาว่า เสธ.แดง อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายต่างๆ หรือไม่
ตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานในการแถลงข่าวทุกวัน จะสามารถเอาผิดในฐานะหมิ่นประมาทได้หรือไม่ ต้องดูหลักฐานว่ามีมากแค่ไหน เพราะถ้าไม่มีหลักฐานพอ ฟ้องไปก็เปล่าประโยชน์
สิ่งแรกที่ทำหากได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.
อยากให้ความยุติธรรมกับคนเสื้อแดง นี่คือสิ่งที่ต้องการ อยากให้ความยุติธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุการณ์ 10 เม.ย. และเดือนพ.ค. ทุกคน
**********************************************************************************************
สัมภาษณ์พิเศษ
ประกาศเป็นเสื้อแดงเต็มตัวแล้ว สำหรับ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล หรือ น้องเดียร์
และยังสานต่อเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้พ่อ พล.ต. ขัตติยะ สวัสดิผล โดยเข้าร่วมงานการเมืองกับพรรคขัตติยะธรรม ที่เสธ.แดง ก่อตั้งมากับมือ
เดินหน้าจัดตั้งศูนย์ประสานงานของพรรคไปแล้ว 4 จังหวัด ใน 4 ภาค ประกอบด้วย เชียงใหม่ อำนาจเจริญ ชลบุรี และพังงา
หากพรรคมีส.ส. จากการเลือกตั้ง ก็ขอเป็นแนวร่วมพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน
แต่ภารกิจในฐานะทายาทเสธ.แดง ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น
ยังต้องเดินหน้าหาสมาชิกให้พรรค เตรียมความพร้อมสำหรับศึกเลือกตั้งที่จะมาถึง
รวมถึงเตรียมตัวลงสมัครส.ส.
หลายคนมองว่าที่ผ่านมาพรรคขัตติยะธรรมไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าไหร่
การจัดตั้งพรรคของพ่อ มีความลำบากตั้งแต่ต้น ช่วงแรกจะใช้ชื่อว่า "พรรคเสธ.แดง" แต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่อนุญาต ถึงเปลี่ยนมาใช้ "พรรคขัตติยะธรรม"
จริงๆ ตั้งแต่พ่อยังมีชีวิตอยู่ พรรคขัตติยะธรรม ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว คือได้รับการจดทะเบียนจากกกต. มีสมาชิกพรรคครบ 5,000 คน มีกรรมการบริหารพรรค ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด
แต่ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพ่อที่เข้าร่วมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เน้นการดูแลผู้ชุมนุม พ่อไม่ค่อยได้พูดถึงพรรคขัตติยะธรรม ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรค ที่ต้องการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ระบบยุติธรรมที่ยังไม่ยุติธรรมในสายตาของหลายๆ คน หรือปัญหาเศรษฐกิจการเมือง สังคม การศึกษา
การที่พ่อไม่ค่อยได้พูดถึงมากนัก ทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยรู้จักเท่าที่ควร และมองว่าพรรคขัตติยะธรรม ไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่าง คนที่รู้จึงเป็นเพียงคนกลุ่มเล็กๆ และเมื่อไม่มีพ่ออยู่แล้ว ตอนนี้จึงเป็นโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้ยังอยู่กับพรรคต่อไป และยังมีสมาชิกใหม่ ที่เห็นด้วยกับแนวพรรคมาสมัครเป็นสมาชิกของพรรค และเลือกพรรคขัตติยะธรรมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นี่คือหน้าที่ที่ต้องทำต่อไป
แนวทางการทำงานของพรรค
พรรคขัตติยะธรรมไม่ใช่พรรคที่ร่ำรวย ตั้งแต่พ่อก่อตั้งพรรคมาก็ไม่เคยรับเงินบริจาค เพราะแนวทางของพ่อตั้งแต่ตั้งพรรค ใครต้องการลงสมัครส.ส.ในนามพรรค จะต้องหาทุนด้วยตัวเอง ต้องไม่เดือดร้อนหัวหน้าพรรค
กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกคนอื่นๆ ทุกคนต้องมีทุนของตัวเองถ้าจะมาร่วมพรรค ถ้ายอมรับในจุดนี้ได้ พรรคขัตติยะธรรมยินดีรับเป็นสมาชิก และส่งลงสมัครส.ส.ในนามพรรค
ฉะนั้น การใช้เงินเรียกคนมาเป็นสมาชิกพรรคจึงไม่มี วิธีการได้มาซึ่งคะแนนเสียง เดียร์จะต้องลงไปด้วยตัวเอง เช่น ลงไปที่สงขลา หาดใหญ่ และพังงา เพื่อพบประชาชน ไปหาคะแนนเสียงด้วยตัวเอง อย่างที่พ่อทำมาตลอด
ที่ผ่านมาพ่อเดินสายพบประชาชนทั่วประเทศทั้งที่ไม่มีเงิน แต่ให้ความใกล้ชิด ให้ความเป็นกันเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนรักพ่อ รักเสธ.แดงมากขนาดนี้ จากการลงพื้นที่ของเดียร์ที่จ.สงขลา จึงได้รับเสียงตอบรับที่ดี แม้จะมีการบอกล่วงหน้าไม่นานก็ตาม
จุดเด่นและความพร้อมของพรรคขัตติยะธรรม
เราอยากสร้างฐานเสียงของตัวเอง จะไม่มีการดึงส.ส.จากพรรคเพื่อไทย หรือพรรคประชาธิปัตย์ มาลงสมัครในนามพรรค ถามว่าหากพื้นที่นั้นมีการทับซ้อนกันของคะแนนเสียงจะทำอย่างไร ก็ต้องบอกว่าให้ประชาชนตัดสินตามแนวทางของประชาธิปไตย
ตอนนี้หากมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ พรรคขัตติยะธรรมก็พร้อมในสนามการเลือกตั้ง ถึงแม้เวลานั้นจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นก็พร้อมจะแก้และเข้าสู่การเลือกตั้งได้
มีแนวคิดจะลงสู้ศึกในสนามท้องถิ่นหรือไม่
ยังไม่มี และแนวทางของพ่อก็ไม่เคยมี เพราะพรรคขัตติยะธรรม อยากทำงานในมุมกว้างทั่วประเทศ ไม่ได้เจาะจงเป็นพื้นที่เหมือนการเมืองท้องถิ่น
เน้นพื้นที่ไหนในประเทศเป็นพิเศษ
เน้นทั่วประเทศ เนื่องจากแนวทางการทำงานของพ่อที่เดินสายทั่วประเทศ รวมถึงคนที่เข้ามาคุยกับเดียร์ ก็มาจากหลายจังหวัดมาก ไม่ใช่คนกลุ่มเดียวใน 2-3 จังหวัด แต่มีเกือบทั่วประเทศ จึงไม่ลงว่าตรงไหนเป็นฐานเสียง
นโยบายของพรรคขัตติยะธรรม
ประการแรก คือต้องการเข้ามาดูระบบกฎหมายของประเทศไทย ที่เป็นปัญหา อยากให้ประชาชนทั่วไป มีส่วนร่วมในระบบศาล หรือกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น เช่น ให้มีคณะลูกขุน ช่วยผู้พิพากษาในการพิจารณาคดี ให้รู้ถึงความคิดเห็นของประชาชนในการตัดสินคดีต่างๆ บ้าง
หรืออัยการที่อาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน เหมือนการเลือกส.ส. หากมีที่มาอย่างนี้ อัยการหรือคณะลูกขุนจะทำเพื่อประชาชน คือให้ประชาชนมีส่วนร่วมมากกว่าที่เป็นอยู่
ในด้านเศรษฐกิจ จะช่วยแก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางที่กดราคาผลผลิตทางการเกษตรของชาวบ้าน ด้วยการจัดตั้งสหกรณ์ จะได้มีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เงินจะตกอยู่กับเกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ส่วนการศึกษา คำถามที่มีมานานแล้วคือ ทำไมตอนนี้มีเพียงโรงเรียนประจำจังหวัด และจบแล้วต้องไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ต้องเลือกจุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์
นโยบายทางการศึกษาของพรรคคือทำอย่างไรให้นักเรียนที่เรียนจบ ม.6 เลือกมหาวิทยาลัยในจังหวัดของตัวเอง โดยมหาวิทยาลัยนั้นต้องได้รับมาตรฐาน เทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯ เช่นกัน เรื่องนี้มองดูอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำและไปศึกษาปัญหาอย่างจริงจัง คิดว่าสามารถทำได้
จะเป็นหัวหน้าพรรคเองหรือไม่
ที่ผ่านมา เดียร์บอกเสมอว่าจะไม่เป็นหัวหน้าพรรคเอง เพราะเกรงว่าหัวหน้าพรรคจะต้องเป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย และหากมีการกลั่นแกล้งทางการเมือง พรรคถูกยุบ เดียร์ซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคอยู่ก็จะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย พรรคขัตติยะธรรมก็จะหายไป เดียร์ไม่อยู่พรรคก็จะหายไปเลย
แต่มาคิดดูแล้ว พรรคของพ่อก็อยากให้เป็นพรรคของพ่อเสมอ ก่อตั้งโดยพ่อ คนที่ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดก็คือทายาท ก็คือเดียร์เอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ต้องยอมรับ เดียร์จะเป็นหัวหน้าพรรคเอง
ลงสมัครเขตไหน
พ่อตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่า อยากให้เดียร์ลงสมัครแบบบัญชีรายชื่อในเขตกรุงเทพฯ หรือปริมณฑล ส่วนอีก 7 เขตทั่วประเทศก็ให้เป็นหน้าที่ของสาขาพรรคแต่ละภาคว่าจะพิจารณาส่งใครลงสมัครเอง
คาดหวังมากแค่ไหน
ไม่กล้าตอบว่าคาดหวังมากขนาดไหน เพราะไม่อยากให้คำพูดมาผูกมัดตัวเอง อยากให้เป็นเรื่องของอนาคตมากกว่า แต่ถ้าถามว่าหวังหรือไม่ ต้องตอบว่าหวังแน่นอน
กลัวหรือกังวลในเกมการเมืองหรือไม่ หลังจากประกาศว่าเป็นเสื้อแดงเต็มตัว
ไม่กลัวหรือกังวล เพราะการดำเนินการของพรรคตอนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ไม่จำเป็นต้องกลัวถ้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เป็นสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างได้ ไม่ใช่คนเสื้อแดงทุกคนทำผิดกฎหมาย
ในเมื่อประกาศว่าเดียร์ยืนข้างพ่อ พ่อคิดอย่างไรเดียร์คิดอย่างนั้น เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ที่พบเจอคนเสื้อแดงรวมถึงกำลังใจที่ได้รับจากพี่น้องคนเสื้อแดง ทำให้รู้ว่า เดียร์ควรเลือกยืนอยู่ข้างเดียวกับพ่อ
ฉะนั้นการที่เลือกยืนอยู่ข้างนี้แล้วไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย
จะมีการฟ้องร้องผู้ที่กล่าวหาว่า เสธ.แดง อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายต่างๆ หรือไม่
ตอนนี้กำลังรวบรวมหลักฐานในการแถลงข่าวทุกวัน จะสามารถเอาผิดในฐานะหมิ่นประมาทได้หรือไม่ ต้องดูหลักฐานว่ามีมากแค่ไหน เพราะถ้าไม่มีหลักฐานพอ ฟ้องไปก็เปล่าประโยชน์
สิ่งแรกที่ทำหากได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.
อยากให้ความยุติธรรมกับคนเสื้อแดง นี่คือสิ่งที่ต้องการ อยากให้ความยุติธรรมกับครอบครัวผู้สูญเสียในเหตุการณ์ 10 เม.ย. และเดือนพ.ค. ทุกคน
**********************************************************************************************
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
“เอียงกะเท่เร่” ขอต้อนรับเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของรัฐบาลอภิสิทธิ์
ที่มา.robertamsterdam.com
เมื่อกล้องจับภาพเหตุการณ์ที่บุคคลคนหนึ่งพยายามสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการขับรถพุ่งเข้าชนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายในขณะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากจะขับรถพุ่งชนแล้วบุคคลดังกล่าวยังถอยรถทับเจ้าหน้าที่อี
กด้วย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าหึ่งรายขาหลักและที่เหลือได้รับบาดเจ็บ โดยปกติบุคคลนั้นสมควรที่จะได้รับโทษจำคุกอย่างเหมาะแก่การกระทำ
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากคนร้ายคนนั้นคือสมาชิกของกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงที่มีคณะอำมาตย์หนุนหลังอย่างกลุ่มพันธมิตร เราขอต้อนรับคุณเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของนายอภิสิทธิ์
วันนี้ศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานครได้ติดสินคนขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าตำรวจในวิดีโอ นายนายปรีชา ตรีจรูญ ผู้ชุมนุมกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงอย่างกลุ่มพันธมิตร ผู้ซึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในระหว่างการชุมนุมในกรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคมปี 2551 โดยศาลได้ตัดสินให้นายปรีชาจำคุกเป็น เวลา 3 ปี ลดโทษจำคุกให้เหลือเป็นรอลงอาญา 2 ปี และให้ทำงานสาธารณะประโยชน์บริการสังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ในคำตัดสินอย่างเป็นทางการของศาลระบุว่านายปรีชามีเจตนาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง แต่เนื่องจากนายปรีชาไม่เคยต้องโทษทางอาญามาก่อนศาลจึงลดโทษให้ มาถึงตรงนี้เราคงต้องนั่งเดาว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่
เราควรจะเปรียบเทียบการกระทำและโทษที่นายปรีชาได้รับกับพราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมณ์ชาติ พราหมณ์ผู้ทำพิธีเทเลือดหน้าทำเนียบรับบาลเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้
การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีที่เทเลือดคนหน้าทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพิธีชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง จริงอยู่ที่การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีอาจเป็จสิ่งที่ไม่่น่าพึงประสงค์ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความรุนแรงหรืออันตรายแก่ผู้ใด
ในวันที่ 2 สิงหาคม พราหมณ์ศักดิ์ระพีได้ถูกตัดสินให้จำคุกในข้อหามั่วสุมและกีดขวางการจลาจร
เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่ารัฐสองมาตรฐานแบบโอเวลเลี่ยน (กล่าวถึงนิยายเรื่อง1984 ของGeorge Orwell) ในประเทศไทย ได้ก้าวไปสู่ระดับที่งงงวยและน่าขันยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะการพยายามฆ่าคนตายนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ในขณะที่การกีดขวางทางจราจรหมายถึงการถูกจองจำที่ยาวนาน
___________________________________________________________________
เมื่อกล้องจับภาพเหตุการณ์ที่บุคคลคนหนึ่งพยายามสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยการขับรถพุ่งเข้าชนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 5 นายในขณะปฏิบัติหน้าที่ นอกจากจะขับรถพุ่งชนแล้วบุคคลดังกล่าวยังถอยรถทับเจ้าหน้าที่อี
กด้วย และจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าหึ่งรายขาหลักและที่เหลือได้รับบาดเจ็บ โดยปกติบุคคลนั้นสมควรที่จะได้รับโทษจำคุกอย่างเหมาะแก่การกระทำ
แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากคนร้ายคนนั้นคือสมาชิกของกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงที่มีคณะอำมาตย์หนุนหลังอย่างกลุ่มพันธมิตร เราขอต้อนรับคุณเข้าสู่ระบบนิติรัฐในรูปแบบของนายอภิสิทธิ์
วันนี้ศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานครได้ติดสินคนขับรถพุ่งชนเจ้าหน้าตำรวจในวิดีโอ นายนายปรีชา ตรีจรูญ ผู้ชุมนุมกลุ่มฝ่ายขวาหัวรุนแรงอย่างกลุ่มพันธมิตร ผู้ซึ่งมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในระหว่างการชุมนุมในกรุงเทพมหานครในเดือนตุลาคมปี 2551 โดยศาลได้ตัดสินให้นายปรีชาจำคุกเป็น เวลา 3 ปี ลดโทษจำคุกให้เหลือเป็นรอลงอาญา 2 ปี และให้ทำงานสาธารณะประโยชน์บริการสังคมเป็นเวลา 48 ชั่วโมง ในคำตัดสินอย่างเป็นทางการของศาลระบุว่านายปรีชามีเจตนาทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง แต่เนื่องจากนายปรีชาไม่เคยต้องโทษทางอาญามาก่อนศาลจึงลดโทษให้ มาถึงตรงนี้เราคงต้องนั่งเดาว่าผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้พูดเล่นหรือพูดจริงกันแน่
เราควรจะเปรียบเทียบการกระทำและโทษที่นายปรีชาได้รับกับพราหมณ์ศักดิ์ระพี พรหมณ์ชาติ พราหมณ์ผู้ทำพิธีเทเลือดหน้าทำเนียบรับบาลเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้
การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีที่เทเลือดคนหน้าทำเนียบรัฐบาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพิธีชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดง จริงอยู่ที่การกระทำของพราหมณ์ศักดิ์ระพีอาจเป็จสิ่งที่ไม่่น่าพึงประสงค์ แต่ก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความรุนแรงหรืออันตรายแก่ผู้ใด
ในวันที่ 2 สิงหาคม พราหมณ์ศักดิ์ระพีได้ถูกตัดสินให้จำคุกในข้อหามั่วสุมและกีดขวางการจลาจร
เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่ารัฐสองมาตรฐานแบบโอเวลเลี่ยน (กล่าวถึงนิยายเรื่อง1984 ของGeorge Orwell) ในประเทศไทย ได้ก้าวไปสู่ระดับที่งงงวยและน่าขันยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะการพยายามฆ่าคนตายนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ในขณะที่การกีดขวางทางจราจรหมายถึงการถูกจองจำที่ยาวนาน
___________________________________________________________________
ปลื้ม-สุรบถ ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์ 2 หัวโขน 2 เชื้อสายการเมือง
ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
2 เด็กหนุ่มทายาทคนการเมือง ถูกสปอตไลต์ฉายแสงอีกรอบ 2 เด็กหนุ่ม 2 คน 1 ชื่อเดียวกัน คือ "ปลื้ม"
1 ปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย ทายาท "ชวน หลีกภัย" อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 20
1 ปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ทายาท "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี
1 ปลื้ม-สุรบถ กำลังเข้าสู่วงการการเมืองมีตำแหน่งเต็มตัวเป็นครั้งแรก
1 ปลื้ม-กำลังเข้าสู่พิธีวิวาห์ ระดับปรากฏการณ์ในสังคมชนชั้น "ไฮโซไซตี้"
ปลื้ม-สุรบถ หลานชาย-ย่าถ้วน ชื่อแปลว่า "ท้องฟ้า" ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เป็นลูกของแม่-ภักดิพร บุตรสาวคนโตของนายกัลย์ทัศน์ อดีตมหาดเล็กในรัชกาลปัจจุบัน และนางดรรชี สุจริตกุล โดยมีย่าคือ นางสุมิตรา เป็นข้าหลวงในรัชกาลที่ 6
ม.ล.ปลื้ม- ณัฏฐกรณ์ ทายาทแห่งตระกูล "ท่านปู่-เทวกุล" ของ "ม.ล.ปลื้ม" ที่สืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 4 "ท่านปู่" ของ "ม.ล.ปลื้ม" คือ หม่อมเจ้า ปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ทรงเป็นโอรสในสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ออกพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเทวัญ อุไทยวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
ญาติในดงการเมืองของ "ม.ล.ปลื้ม" มีทั้ง "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เป็นคนในเครือเถาเหล่ากอ-สืบเชื้อสายมาจากต้นทางเดียวกันกับ "ม.ล.อภิมงคล โสณกุล" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทายาท "ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล" อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
และสืบจากญาติสายตรงเป็น "พี่-น้อง" กับตระกูล "สวัสดิวัตน์" กับ "ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
เพราะ "ปิยสวัสดิ์" คือ "ลูกชาย" ของ ม.ร.ว.ปิ่มสาย สวัสดิวัตน์ ผู้สืบเชื้อสายจากท่านตา คือ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ และ "ตาทวด" คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระนามเดิมพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จ พระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
"ม.ล.ปลื้ม" ปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะในฐานะ "นักสื่อสารมวลชน" และ "นักการเมือง" ในฐานะผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แข่งกับ "ญาติ" สาย "บริพัตร" แม้ไม่ชนะแต่ได้คะแนนไม่น้อย
ปรากฏตัวในนามการเมือง "เฉดสีแดง" สายปัญญาชน หลายเวที
กลับมาฮือฮาบนพื้นที่สื่อ เมื่อเหล่า "เซเลบริตี้" ได้รับ "การ์ดแต่งงาน" ระบุว่า
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" และ "นางธนาวดี อภิธนานนท์" ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส ระหว่าง "ณัฐรดา อภิธนานนท์" หรือแจ๊คกี้ กับ "ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล" ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 ที่ห้องสกุณตลา บอลรูม โรงแรมเพนนินซูล่า (งานเลี้ยงค็อกเทล)
........................
ปลื้ม-สุรบถ เคยปรากฏตัวที่ตึกไทย คู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่ "นายชวน หลีกภัย" เป็นนายกรัฐมนตรี
และมักปรากฏตัวพร้อมหน้าครอบครัว "แม่-นางภักดิพร สุจริตกุล" และ"พ่อ-ชวน" ในการทัศนศึกษาที่สวนสัตว์ และหน้าเวที "แสดงโขน" ที่โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร ที่ "ด.ช.ปลื้ม" ร่วมแสดงเป็นตัวเอก
สมัยเป็น "ด.ช.ปลื้ม" สนใจการเมืองตัวกลั่น มักเปิดปากสนทนา และเป็นที่สนใจของนักข่าวสายการเมือง แต่เป็นเด็กอยู่ใน "กรอบ" ของพ่อ-ชวน อย่างเคร่งครัด
คราวหนึ่งพี่นักข่าวถาม "ด.ช.ปลื้ม" ว่า "โตขึ้นอยากเป็นนักการเมืองมั้ย" น้องปลื้มตอบทันที "อยากเป็นเพราะ...." แต่นักข่าวยังไม่ได้ฟังเหตุผล เพราะ พ่อ-ชวน พูดสวนเสริมมาว่า "เป็นเด็กอย่าเพิ่งพูด เรื่องการเมือง"
ในวาระประชุมคณะรัฐมนตรี 10 สิงหาคม 2553 "นายปลื้ม" กลับมาปรากฏตัวที่ตึกแดงทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งในฐานะ "ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม" มีภารกิจหลักคือ "โปรโมตโขนร่วมสมัย" ของกระทรวง
คราวนี้นายปลื้ม-ในฐานะผู้ช่วยโฆษกพูดโดยไม่ต้องติดกรอบของ "พ่อ-ชวน" ว่า...
"แนวคิดในการทำงานของผมคือ การสานต่อวัฒนธรรมไทยให้กับคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยได้สัมผัสกับวัฒนธรรมไทย ดังนั้นผมตั้งใจจะทำการปรับหรือผสานวัฒนธรรมไทย อาทิ โขน ให้มีความเป็นร่วมสมัย ให้เกิดความแปลกใหม่ น่าสนใจ และดูง่าย เพื่อสร้างกระแสความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ"
"ผมตั้งใจจะเข้ามาทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้สังคมได้เห็นคนดี เมื่อประชาชนได้รู้ว่าการทำความดีทำให้คนอื่นเห็นได้และเป็นเรื่องน่ายกย่อง สังคมก็น่าจะดีขึ้น และทำเรื่องส่งเสริมสิทธิสตรีด้วย"
หากนายชวนคือแสง "ปลื้ม" ก็ไม่พ้นเงาของฉายา "ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง"
"คุณพ่ออยากให้ปลื้มลองอะไรหลาย ๆ อย่าง เผื่อจะได้เจอสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ที่เข้ามาทำตรงนี้ โดยหลัก ๆ แล้วก็อยากทำเพื่อสังคม อยากเดินตามรอยคุณพ่อในรูปแบบของตัวเอง การได้ทำให้สังคมดีกว่าเดิม"
หัวโขนของ "ปลื้ม หลีกภัย" แม้ในฐานะ "ผู้ช่วยโฆษก" แต่ความฝันของนักการเมืองทุกคนคือ "นายกรัฐมนตรี"
"เจ้านาย" ของ "ปลื้ม" ที่กระทรวงวัฒนธรรม "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ผู้ซึ่งนับถือนายชวนเป็น "เทพเจ้าทางการเมือง" จึงปฏิบัติบูชา-ทอดสะพานให้ "ปลื้ม" อย่างเต็มกำลัง
"หลังจากนี้อาจจะอีก 30 ปีข้างหน้า อยากเห็นนายสุรบถเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะคนเดินบนถนนสายนี้ก็หวังทุกคน ซึ่งถ้ามีโอกาส เชื่อว่าพื้นฐานของนายสุรบถไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านักการเมืองคนอื่น หากได้รับการฝึกฝนที่ดีก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้"
หัวโขนของ "ปลื้ม-สุรบถ" กำลังถูก สปอตไลต์ฉายจับเจิดจ้าในเวทีการเมือง
หัวโขนของ "ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์" กำลัง ถูกจับตาใกล้ชิด ทั้งบนเวทีสื่อ-หน้าจอทีวี และเวทีการเมือง
*********************************************************************************************
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
2 เด็กหนุ่มทายาทคนการเมือง ถูกสปอตไลต์ฉายแสงอีกรอบ 2 เด็กหนุ่ม 2 คน 1 ชื่อเดียวกัน คือ "ปลื้ม"
1 ปลื้ม-สุรบถ หลีกภัย ทายาท "ชวน หลีกภัย" อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 20
1 ปลื้ม-ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ทายาท "ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี
1 ปลื้ม-สุรบถ กำลังเข้าสู่วงการการเมืองมีตำแหน่งเต็มตัวเป็นครั้งแรก
1 ปลื้ม-กำลังเข้าสู่พิธีวิวาห์ ระดับปรากฏการณ์ในสังคมชนชั้น "ไฮโซไซตี้"
ปลื้ม-สุรบถ หลานชาย-ย่าถ้วน ชื่อแปลว่า "ท้องฟ้า" ได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
เป็นลูกของแม่-ภักดิพร บุตรสาวคนโตของนายกัลย์ทัศน์ อดีตมหาดเล็กในรัชกาลปัจจุบัน และนางดรรชี สุจริตกุล โดยมีย่าคือ นางสุมิตรา เป็นข้าหลวงในรัชกาลที่ 6
ม.ล.ปลื้ม- ณัฏฐกรณ์ ทายาทแห่งตระกูล "ท่านปู่-เทวกุล" ของ "ม.ล.ปลื้ม" ที่สืบเชื้อสายมาจากรัชกาลที่ 4 "ท่านปู่" ของ "ม.ล.ปลื้ม" คือ หม่อมเจ้า ปรีดิเทพย์พงษ์ เทวกุล ทรงเป็นโอรสในสมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ออกพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าเทวัญ อุไทยวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
ญาติในดงการเมืองของ "ม.ล.ปลื้ม" มีทั้ง "ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เป็นคนในเครือเถาเหล่ากอ-สืบเชื้อสายมาจากต้นทางเดียวกันกับ "ม.ล.อภิมงคล โสณกุล" ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทายาท "ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล" อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย
และสืบจากญาติสายตรงเป็น "พี่-น้อง" กับตระกูล "สวัสดิวัตน์" กับ "ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
เพราะ "ปิยสวัสดิ์" คือ "ลูกชาย" ของ ม.ร.ว.ปิ่มสาย สวัสดิวัตน์ ผู้สืบเชื้อสายจากท่านตา คือ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ และ "ตาทวด" คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า สวัสดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ พระนามเดิมพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จ พระปิยมาวดี ศรีพัชรินทรมาตา
"ม.ล.ปลื้ม" ปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะในฐานะ "นักสื่อสารมวลชน" และ "นักการเมือง" ในฐานะผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แข่งกับ "ญาติ" สาย "บริพัตร" แม้ไม่ชนะแต่ได้คะแนนไม่น้อย
ปรากฏตัวในนามการเมือง "เฉดสีแดง" สายปัญญาชน หลายเวที
กลับมาฮือฮาบนพื้นที่สื่อ เมื่อเหล่า "เซเลบริตี้" ได้รับ "การ์ดแต่งงาน" ระบุว่า
"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล" และ "นางธนาวดี อภิธนานนท์" ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติในงานมงคลสมรส ระหว่าง "ณัฐรดา อภิธนานนท์" หรือแจ๊คกี้ กับ "ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล" ในวันที่ 7 ตุลาคม 2553 ที่ห้องสกุณตลา บอลรูม โรงแรมเพนนินซูล่า (งานเลี้ยงค็อกเทล)
........................
ปลื้ม-สุรบถ เคยปรากฏตัวที่ตึกไทย คู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 10 กว่าปีก่อน สมัยที่ "นายชวน หลีกภัย" เป็นนายกรัฐมนตรี
และมักปรากฏตัวพร้อมหน้าครอบครัว "แม่-นางภักดิพร สุจริตกุล" และ"พ่อ-ชวน" ในการทัศนศึกษาที่สวนสัตว์ และหน้าเวที "แสดงโขน" ที่โรงเรียนสาธิต มศว.ประสานมิตร ที่ "ด.ช.ปลื้ม" ร่วมแสดงเป็นตัวเอก
สมัยเป็น "ด.ช.ปลื้ม" สนใจการเมืองตัวกลั่น มักเปิดปากสนทนา และเป็นที่สนใจของนักข่าวสายการเมือง แต่เป็นเด็กอยู่ใน "กรอบ" ของพ่อ-ชวน อย่างเคร่งครัด
คราวหนึ่งพี่นักข่าวถาม "ด.ช.ปลื้ม" ว่า "โตขึ้นอยากเป็นนักการเมืองมั้ย" น้องปลื้มตอบทันที "อยากเป็นเพราะ...." แต่นักข่าวยังไม่ได้ฟังเหตุผล เพราะ พ่อ-ชวน พูดสวนเสริมมาว่า "เป็นเด็กอย่าเพิ่งพูด เรื่องการเมือง"
ในวาระประชุมคณะรัฐมนตรี 10 สิงหาคม 2553 "นายปลื้ม" กลับมาปรากฏตัวที่ตึกแดงทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งในฐานะ "ผู้ช่วยโฆษกกระทรวงวัฒนธรรม" มีภารกิจหลักคือ "โปรโมตโขนร่วมสมัย" ของกระทรวง
คราวนี้นายปลื้ม-ในฐานะผู้ช่วยโฆษกพูดโดยไม่ต้องติดกรอบของ "พ่อ-ชวน" ว่า...
"แนวคิดในการทำงานของผมคือ การสานต่อวัฒนธรรมไทยให้กับคนรุ่นใหม่ได้ตระหนักถึงความสำคัญ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยได้สัมผัสกับวัฒนธรรมไทย ดังนั้นผมตั้งใจจะทำการปรับหรือผสานวัฒนธรรมไทย อาทิ โขน ให้มีความเป็นร่วมสมัย ให้เกิดความแปลกใหม่ น่าสนใจ และดูง่าย เพื่อสร้างกระแสความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของชาติ"
"ผมตั้งใจจะเข้ามาทำอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้สังคมได้เห็นคนดี เมื่อประชาชนได้รู้ว่าการทำความดีทำให้คนอื่นเห็นได้และเป็นเรื่องน่ายกย่อง สังคมก็น่าจะดีขึ้น และทำเรื่องส่งเสริมสิทธิสตรีด้วย"
หากนายชวนคือแสง "ปลื้ม" ก็ไม่พ้นเงาของฉายา "ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง"
"คุณพ่ออยากให้ปลื้มลองอะไรหลาย ๆ อย่าง เผื่อจะได้เจอสิ่งที่ตัวเองชอบ สิ่งที่ตัวเองถนัด แต่ที่เข้ามาทำตรงนี้ โดยหลัก ๆ แล้วก็อยากทำเพื่อสังคม อยากเดินตามรอยคุณพ่อในรูปแบบของตัวเอง การได้ทำให้สังคมดีกว่าเดิม"
หัวโขนของ "ปลื้ม หลีกภัย" แม้ในฐานะ "ผู้ช่วยโฆษก" แต่ความฝันของนักการเมืองทุกคนคือ "นายกรัฐมนตรี"
"เจ้านาย" ของ "ปลื้ม" ที่กระทรวงวัฒนธรรม "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" ผู้ซึ่งนับถือนายชวนเป็น "เทพเจ้าทางการเมือง" จึงปฏิบัติบูชา-ทอดสะพานให้ "ปลื้ม" อย่างเต็มกำลัง
"หลังจากนี้อาจจะอีก 30 ปีข้างหน้า อยากเห็นนายสุรบถเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศ เพราะคนเดินบนถนนสายนี้ก็หวังทุกคน ซึ่งถ้ามีโอกาส เชื่อว่าพื้นฐานของนายสุรบถไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่านักการเมืองคนอื่น หากได้รับการฝึกฝนที่ดีก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้"
หัวโขนของ "ปลื้ม-สุรบถ" กำลังถูก สปอตไลต์ฉายจับเจิดจ้าในเวทีการเมือง
หัวโขนของ "ปลื้ม-ณัฏฐกรณ์" กำลัง ถูกจับตาใกล้ชิด ทั้งบนเวทีสื่อ-หน้าจอทีวี และเวทีการเมือง
*********************************************************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)
