กรุงเทพฯ 24 ก.ค.- พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่กองทัพจะขออนุมัติงบประมาณ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า ไม่เห็นด้วยกับเรื่องดังกล่าว เพราะเมื่อพิจารณาเหตุผลอย่างรอบคอบ ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นที่ต้องตั้งกองทัพให้ใหญ่ขึ้น เนื่องจากการรบสมัยใหม่จะใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย ควบคู่กับกองกำลังขนาดเล็ก ที่มีประสิทธิภาพ มากกว่าการใช้กำลังพลจำนวนมาก ดังนั้น ภารกิจของทหารในขณะนี้ จึงมีหน้าที่เพียงทำความเข้าใจ และพัฒนาประเทศมากกว่า ขณะเดียวกัน การที่อ้างเหตุจำเป็นในการตั้งกองพลใหม่ ขึ้นมาดูแลแก้ไขปัญหาคนเสื้อแดง ก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะการดูแลความเรียบร้อยในประเทศเป็นหน้าที่ของตำรวจ ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันประเทศ.-สำนักข่าวไทย
ที่มา : สำนักข่าวไทย
วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ผุดพล.ร.7บี้แดง อัตรา8พันคนงบหมื่นล.เทือกเล็งดันเข้า‘ครม.’
ตั้ง "กองพลทหารราบที่ 7" กระชับพื้นที่แดงภาคเหนือ "สุเทพ" จับมือบิ๊กกองทัพตกลงเสร็จสรรพก่อนบินไปจีน ชี้เป็นเสียงสำคัญ "เจ้ามูลเมือง" ผวา! มีกำลังไม่พอดูแล "ป๊อก" เด้งรับทันควัน ให้กรมทหารราบที่ 7 และ 17 ขึ้นตรง เตรียมเกลี่ยกำลังพลภาคเหนือ-อีสาน 8,000 นาย พร้อมเสนอของบหมื่นล้านบาทในสัปดาห์หน้า หึ่ง! หวังสกัดแผนผุดกองพลทหารม้าที่ 3 ของป๋าเปรม
มีรายงานจากกองบัญชาการกองทัพบกว่า ในการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนรัฐบาลจะยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย ลำปาง สกลนคร ร้อยเอ็ดนั้น ก่อนหน้านี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อหาแนวทางสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นฐานเสียงสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความพยายามเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
"การเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.ภาคเหนือที่ผ่านมา สร้างความลำบากใจต่อการควบคุมกลุ่มประชาชนจำนวนมาก เพราะกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอในการปฎิบัติงาน นายสุเทพจึงขอให้กองทัพบกรับผิดชอบในการควบคุมดูแลความสงบในพื้นที่ภาคเหนือ"
รายงานแจ้งว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้เสนอแนวความคิดขยายกำลังทหารในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ด้วยการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้น โดยจะใช้พื้นที่กรมรบพิเศษที่ 2 เดิมเป็นกองบัญชาการกองพล โดยกองพลทหารราบที่ 7 จะมีหน่วยขึ้นตรง 2 กรมคือกรมทหารราบที่ 7 (จ.เชียงใหม่) และกรมทหารราบที่ 17 (จ.พะเยา) และจะบรรจุอัตรากำลังพลที่เกลี่ยมาจากหน่วยต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวนเกือบ 8,000 นาย โดยจะมีการเสนอของบประมาณจำนวนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณภายในเดือนสิงหาคม และเพื่อเป็นการสะดวกต่อการบรรจุตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 7 ในการปรับย้ายนายทหารในครั้งนี้ด้วย
สำหรับพื้นที่ภาคเหนือ มีเพียงกองพลทหารราบที่ 4 กองพลเดียว ดังนั้นกองพลทหารราบที่ 4 จำเป็นต้องตั้งกรมทหารราบที่ 14 (จ.ตาก) ขึ้นมาใหม่อีก 1 กรม เพื่อบรรจุให้ครบตามการบรรจุอัตรากำลังพล พร้อมกับกรมทหารราบที่ 4 (จ.นครสวรรค์) เดิมที่มีอยู่แล้ว ทำให้ต่อไปนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ จะมีหน่วยทหารเป็น 2 กองพลคือ กองพลทหารราบที่ 4 และกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้นตรงกับกองทัพภาคที่ 3 ส่วนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 จะมีหน่วยทหารกำลังหลัก ซึ่งประกอบด้วย กองพลทหารราบที่ 3 และกองพลทหารราบที่ 6 และในส่วนของกองทัพภาคที่ 4 จะประกอบไปด้วย กองพลทหารราบที่ 5 และกองพลทหารราบที่ 15 "เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสุเทพมีความต้องการสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ นปช.ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างจริงจัง และพร้อมผลักดันการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 เข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการในสัปดาห์หน้า" รายงานข่าวระบุ
มีกระแสข่าวอีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่า การจุดประเด็นเรื่องการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้นมา อาจเกี่ยวข้องกับการเสนอจัดตั้ง
กองพลทหารม้าที่ 3 ซึ่งได้รับการผลักดันจาก พล.อ.เปรม ติณสูณลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการอวยพรปีใหม่แก่ พล.อ.เปรม ของ พล.อ.ประวิตรและผู้บัญชาการเหล่าทัพ พล.อ.เปรมก็ได้ฝากว่าอยากเห็นการจัดตั้งกองพลดังกล่าวก่อนเสียชีวิตลง แต่จนปัจจุบันการจัดตั้งก็ยังไม่มีความคืบหน้า
"มองกันว่าการเสนอเรื่องกองพลทหารราบที่ 7 หาก ครม.อนุมัติ ก็จะเปิดทางให้ตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 ด้วย แต่หาก ครม.ไม่เอาแนวคิดนี้ ก็เท่ากับปิดประตูการจัดตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 ซึ่งป๋าก็จะโทษกองทัพไม่ได้ที่ไม่ผลักดันเรื่องดังกล่าว" แหล่งข่าวกล่าวถึงมุมมองในเรื่องการทหาร ส่วนการเมืองนั้นก็ขึ้นอยู่กับการประเมินว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในภาคเหนือจะรุนแรงเหมือนภาคอีสานหรือไม่
สำหรับรูปแบบกองพลทหารม้าที่ 3 นั้น ยังไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน โดยกองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) นั้น เป็นกองพันทหารม้าลาดตระเวน เสริมด้วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ในขณะกองพลทหารม้าที่ 2 (พล.ม.2 รอ.) นั้น เป็นกองทหารม้ายานเกราะแบบสมบูรณ์ จึงคาดว่ากองพลทหารม้าที่ 3 น่าจะเป็นแบบเดียวกับ พล.ม.1 แต่ก็มีข่าวว่าอาจเป็นกองพลทหารม้าส่งทางอากาศด้วยเช่นกัน.
ทีมา.ไทยโพสต์
มีรายงานจากกองบัญชาการกองทัพบกว่า ในการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนรัฐบาลจะยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย ลำปาง สกลนคร ร้อยเอ็ดนั้น ก่อนหน้านี้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อหาแนวทางสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นฐานเสียงสำคัญของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีความพยายามเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง
"การเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช.ภาคเหนือที่ผ่านมา สร้างความลำบากใจต่อการควบคุมกลุ่มประชาชนจำนวนมาก เพราะกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เพียงพอในการปฎิบัติงาน นายสุเทพจึงขอให้กองทัพบกรับผิดชอบในการควบคุมดูแลความสงบในพื้นที่ภาคเหนือ"
รายงานแจ้งว่า ในที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ได้เสนอแนวความคิดขยายกำลังทหารในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ด้วยการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้น โดยจะใช้พื้นที่กรมรบพิเศษที่ 2 เดิมเป็นกองบัญชาการกองพล โดยกองพลทหารราบที่ 7 จะมีหน่วยขึ้นตรง 2 กรมคือกรมทหารราบที่ 7 (จ.เชียงใหม่) และกรมทหารราบที่ 17 (จ.พะเยา) และจะบรรจุอัตรากำลังพลที่เกลี่ยมาจากหน่วยต่างๆ ในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวนเกือบ 8,000 นาย โดยจะมีการเสนอของบประมาณจำนวนเกือบ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณภายในเดือนสิงหาคม และเพื่อเป็นการสะดวกต่อการบรรจุตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 7 ในการปรับย้ายนายทหารในครั้งนี้ด้วย
สำหรับพื้นที่ภาคเหนือ มีเพียงกองพลทหารราบที่ 4 กองพลเดียว ดังนั้นกองพลทหารราบที่ 4 จำเป็นต้องตั้งกรมทหารราบที่ 14 (จ.ตาก) ขึ้นมาใหม่อีก 1 กรม เพื่อบรรจุให้ครบตามการบรรจุอัตรากำลังพล พร้อมกับกรมทหารราบที่ 4 (จ.นครสวรรค์) เดิมที่มีอยู่แล้ว ทำให้ต่อไปนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ จะมีหน่วยทหารเป็น 2 กองพลคือ กองพลทหารราบที่ 4 และกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้นตรงกับกองทัพภาคที่ 3 ส่วนในพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 จะมีหน่วยทหารกำลังหลัก ซึ่งประกอบด้วย กองพลทหารราบที่ 3 และกองพลทหารราบที่ 6 และในส่วนของกองทัพภาคที่ 4 จะประกอบไปด้วย กองพลทหารราบที่ 5 และกองพลทหารราบที่ 15 "เป็นที่น่าสังเกตว่า นายสุเทพมีความต้องการสกัดการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ นปช.ในพื้นที่ภาคเหนืออย่างจริงจัง และพร้อมผลักดันการจัดตั้งกองพลทหารราบที่ 7 เข้า ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการในสัปดาห์หน้า" รายงานข่าวระบุ
มีกระแสข่าวอีกฝ่ายหนึ่งก็มองว่า การจุดประเด็นเรื่องการตั้งกองพลทหารราบที่ 7 ขึ้นมา อาจเกี่ยวข้องกับการเสนอจัดตั้ง
กองพลทหารม้าที่ 3 ซึ่งได้รับการผลักดันจาก พล.อ.เปรม ติณสูณลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในการอวยพรปีใหม่แก่ พล.อ.เปรม ของ พล.อ.ประวิตรและผู้บัญชาการเหล่าทัพ พล.อ.เปรมก็ได้ฝากว่าอยากเห็นการจัดตั้งกองพลดังกล่าวก่อนเสียชีวิตลง แต่จนปัจจุบันการจัดตั้งก็ยังไม่มีความคืบหน้า
"มองกันว่าการเสนอเรื่องกองพลทหารราบที่ 7 หาก ครม.อนุมัติ ก็จะเปิดทางให้ตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 ด้วย แต่หาก ครม.ไม่เอาแนวคิดนี้ ก็เท่ากับปิดประตูการจัดตั้งกองพลทหารม้าที่ 3 ซึ่งป๋าก็จะโทษกองทัพไม่ได้ที่ไม่ผลักดันเรื่องดังกล่าว" แหล่งข่าวกล่าวถึงมุมมองในเรื่องการทหาร ส่วนการเมืองนั้นก็ขึ้นอยู่กับการประเมินว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในภาคเหนือจะรุนแรงเหมือนภาคอีสานหรือไม่
สำหรับรูปแบบกองพลทหารม้าที่ 3 นั้น ยังไม่มีรูปร่างที่ชัดเจน โดยกองพลทหารม้าที่ 1 (พล.ม.1) นั้น เป็นกองพันทหารม้าลาดตระเวน เสริมด้วยทหารม้าบรรทุกยานเกราะ ในขณะกองพลทหารม้าที่ 2 (พล.ม.2 รอ.) นั้น เป็นกองทหารม้ายานเกราะแบบสมบูรณ์ จึงคาดว่ากองพลทหารม้าที่ 3 น่าจะเป็นแบบเดียวกับ พล.ม.1 แต่ก็มีข่าวว่าอาจเป็นกองพลทหารม้าส่งทางอากาศด้วยเช่นกัน.
ทีมา.ไทยโพสต์
"บินไทย"สาวไส้ไล่เช็กบิลกันแหลก "ปิยสวัสดิ์"ทางโล่งตั้งทีมใหม่"พฤทธิ์-พิชัย"กระอัก
"บินไทย" ตั้งกรรมการสอบกันนัว ถล่มข้อกล่าวหา "พฤทธิ์ บุปผาคำ" DN ซุ่มเช่าฝูงบินคาร์โก้ ส่วน "พิชัย จึงอนุวัตร" เอ็มดีคาร์โก้ โดนเพ่งเล็งแก้ราคาตั๋วออสโล งานนี้ "ปิยสวัสดิ์" ลอยตัว ขั้วบริหารเก่าพ้นทางรอจัดทัพใหม่อย่างเดียว จับตาเช็กบิลแผลใหญ่เรื้อรังแรมปีซื้อฝูงบินใหม่แอร์บัส A330 ไม่มีเก้าอี้ เสียโอกาสทำเงินปีละ 7,000 ล้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีมติเมื่อ 16 กรกฎาคม 2553 อนุมัติโยกย้ายแบบสายฟ้าแลบ นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ออกจากรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการพานิชย์ (DN) หาตำแหน่งใหม่ไว้รองรับโดยเฉพาะคือ ที่ปรึกษาพิเศษระดับรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สังกัดสำนักงาน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ แล้วแต่งตั้ง นายธีรพล โชติชนาภิบาล กรรมการผู้จัดการครัวการบิน นั่งควบตำแหน่งรักษาการ DN ไปจนกว่าจะมีการสรรหาใหม่
แหล่งข่าวระดับสูงจากการบินไทย เปิดเผยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะส่งผลดีกับนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ (DD) เพราะขั้วอำนาจเก่าหมดไปก็รอจัดทีมใหม่ด้วยตนเอง เนื่องจากนายพฤทธิ์ บุปผาคำ เป็น DN เมื่อ 1 กันยายน 2552 (ยุคนายวัลลภ พุกกะณะสุต อดีตประธานบอร์ดบริหาร) ต่อมามีคำสั่งย้ายนายพิชัย จึงอนุวัตร พ้นจากผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย (SS) ไปเป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (FZ) แทนตำแหน่งเดิมของนายพฤทธิ์ เมื่อ 24 ธันวาคม 2552 (ยุคนายปิยสวัสดิ์รับตำแหน่งดีดี) ทั้งนายพฤทธิ์และนายพิชัยต่างหยิบยกข้อมูลการบริหารที่ผิดพลาดของกันและกันมาเสนอ ในองค์กร
ดังนั้นคณะกรรมการ (บอร์ด) การบินไทย จึงได้แต่งตั้งนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด หนึ่งในบอร์ดการบินไทย เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายพฤทธิ์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ FZ ได้ทำสัญญาเช่าใช้ฝูงบินขนส่งสินค้าทางอากาศ (frieghter) จากกลุ่มตัวแทนซึ่งเป็นญาติของคนการบินไทยและมีผู้ใหญ่วงการมีสีสนับสนุน โดยไม่ได้นำเรื่องค่าเช่ามาเสนอบอร์ดลงมติเห็นชอบ อีกทั้งไม่ผ่าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องจริงหรือไม่ การค้นหาข้อมูลทั้งหมดทำในช่วงนายพิชัยเข้าไปดูแลฝ่ายคาร์โก้
หลังจากนายพฤทธิ์เข้าไปเป็น DN นายพิชัยก็โดนรุกไล่ด้วยข้อกล่าวหา ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย (SS) เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขราคาตั๋วโดยสารเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ออสโล (นอร์เวย์) ให้แก่ลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่รายหนึ่งซึ่งขอจองซื้อตั๋วให้ลูกค้าประมาณ 300 คน ราคาถูกแก้ไขจาก 17,000 บาท เหลือ 12,000 บาท เป็นราคาแนะนำขณะที่การบินไทยเปิด เส้นทางบินระยะแรกเท่านั้น และ/หรือ เหตุการณ์นี้เปิดขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นส่วนต่าง รายได้หายไปการบินไทยอาจเสียหายได้
แต่อย่างไรก็ตามหลังการโยกย้ายตำแหน่งเป็นผลสำเร็จ ขณะนี้ทั้งนายพฤทธิ์และนายพิชัยคือพนักงานการบินไทยที่ไต่เต้าทำงานเป็นลูกหม้อกันมาคนละไม่ต่ำกว่า 20 ปี ต่างก็ถูกตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และหากมีมูลจะต้องเข้าสู่กระบวนการถูกสอบวินัยตามระเบียบปฏิบัติของการบินไทย
รวมถึงการขุดข้อมูลความผิดแผนก ต่าง ๆ ในการบินไทยได้เริ่มปะทุขึ้นใหม่ อีกครั้ง ทั้งเรื่องสัญญาจัดซื้อเก้าอี้ชั้นประหยัดจากบริษัท โคอิโตะ จำกัด การบินไทยรับมอบเครื่องฝูงใหม่แอร์บัส A330-300 จำนวน 5 ลำ มาเป็นเวลา 1 ปีเศษ แต่ไม่สามารถติดตั้งเก้าอี้ได้ อีกทั้ง ไม่ยอมบอกเลิกสัญญา
จึงมีการกันประเมินว่ายิ่งฝ่ายบริหารหรือนายปิยสวัสดิ์ไม่ตัดสินใจจะทำอะไร กับคู่สัญญา แต่ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไประหว่างนี้การบินไทยต้องสูญเสียโอกาสขายตั๋วไปถึงปีละ 7,000 ล้านบาท/ลำ และแม้แต่การปรับปรุงติดตั้งเก้าอี้ชั้นประหยัดฝูงบินโบอิ้ง B777 ลำหนึ่งซึ่งมหัศจรรย์มาก ตลอดทั้งแถวข้างหนึ่งมีระบบเอ็นเตอร์ เทนเมนต์พร้อมจอวิดีโอครบวงจร อีกข้างหนึ่งจำนวน 99 ที่นั่งกลับไม่มีบริการอะไรเลย จะเกิดความไม่เท่าเทียมกับผู้โดยสาร ที่ซื้อตั๋วในเที่ยวบินซึ่งนั่งอยู่ในเครื่อง ลำเดียวกัน
นายอำพน กิตติอำพน ประธานบอร์ดการบินไทย เปิดเผยว่า เมื่อ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมาได้ออกจากห้องประชุมก่อนพิจารณาวาระโยกย้ายผู้บริหาร เพราะติดภารกิจด่วน จึงมอบให้นายประวิช รัตนเพียร เป็นประธานแทน รู้แต่เพียงบอร์ดแต่งตั้งนายวสิงห์เป็นประธานตรวจสอบข้อมูล นายพฤทธิ์จริง แต่ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด อีกทั้งยังเห็นใจนายปิยสวัสดิ์หลังจากทำงานร่วมกันมาระยะหนึ่ง เข้าใจหัวอกดีดีตั้งใจและทุ่มเททำงาน ส่วนปัญหาภายในฝ่ายบริหารต้องแก้ไขกันไป แต่ละคนก็มีวิธี แตกต่างกัน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*********************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีมติเมื่อ 16 กรกฎาคม 2553 อนุมัติโยกย้ายแบบสายฟ้าแลบ นายพฤทธิ์ บุปผาคำ ออกจากรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการพานิชย์ (DN) หาตำแหน่งใหม่ไว้รองรับโดยเฉพาะคือ ที่ปรึกษาพิเศษระดับรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สังกัดสำนักงาน กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ แล้วแต่งตั้ง นายธีรพล โชติชนาภิบาล กรรมการผู้จัดการครัวการบิน นั่งควบตำแหน่งรักษาการ DN ไปจนกว่าจะมีการสรรหาใหม่
แหล่งข่าวระดับสูงจากการบินไทย เปิดเผยว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะส่งผลดีกับนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการ ผู้อำนวยการใหญ่ (DD) เพราะขั้วอำนาจเก่าหมดไปก็รอจัดทีมใหม่ด้วยตนเอง เนื่องจากนายพฤทธิ์ บุปผาคำ เป็น DN เมื่อ 1 กันยายน 2552 (ยุคนายวัลลภ พุกกะณะสุต อดีตประธานบอร์ดบริหาร) ต่อมามีคำสั่งย้ายนายพิชัย จึงอนุวัตร พ้นจากผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย (SS) ไปเป็นกรรมการผู้จัดการฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์ (FZ) แทนตำแหน่งเดิมของนายพฤทธิ์ เมื่อ 24 ธันวาคม 2552 (ยุคนายปิยสวัสดิ์รับตำแหน่งดีดี) ทั้งนายพฤทธิ์และนายพิชัยต่างหยิบยกข้อมูลการบริหารที่ผิดพลาดของกันและกันมาเสนอ ในองค์กร
ดังนั้นคณะกรรมการ (บอร์ด) การบินไทย จึงได้แต่งตั้งนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด หนึ่งในบอร์ดการบินไทย เป็นประธานคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายพฤทธิ์ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ FZ ได้ทำสัญญาเช่าใช้ฝูงบินขนส่งสินค้าทางอากาศ (frieghter) จากกลุ่มตัวแทนซึ่งเป็นญาติของคนการบินไทยและมีผู้ใหญ่วงการมีสีสนับสนุน โดยไม่ได้นำเรื่องค่าเช่ามาเสนอบอร์ดลงมติเห็นชอบ อีกทั้งไม่ผ่าน ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นเรื่องจริงหรือไม่ การค้นหาข้อมูลทั้งหมดทำในช่วงนายพิชัยเข้าไปดูแลฝ่ายคาร์โก้
หลังจากนายพฤทธิ์เข้าไปเป็น DN นายพิชัยก็โดนรุกไล่ด้วยข้อกล่าวหา ระหว่างดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายขาย (SS) เป็นผู้ดำเนินการแก้ไขราคาตั๋วโดยสารเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ออสโล (นอร์เวย์) ให้แก่ลูกค้าบริษัทขนาดใหญ่รายหนึ่งซึ่งขอจองซื้อตั๋วให้ลูกค้าประมาณ 300 คน ราคาถูกแก้ไขจาก 17,000 บาท เหลือ 12,000 บาท เป็นราคาแนะนำขณะที่การบินไทยเปิด เส้นทางบินระยะแรกเท่านั้น และ/หรือ เหตุการณ์นี้เปิดขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นส่วนต่าง รายได้หายไปการบินไทยอาจเสียหายได้
แต่อย่างไรก็ตามหลังการโยกย้ายตำแหน่งเป็นผลสำเร็จ ขณะนี้ทั้งนายพฤทธิ์และนายพิชัยคือพนักงานการบินไทยที่ไต่เต้าทำงานเป็นลูกหม้อกันมาคนละไม่ต่ำกว่า 20 ปี ต่างก็ถูกตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง และหากมีมูลจะต้องเข้าสู่กระบวนการถูกสอบวินัยตามระเบียบปฏิบัติของการบินไทย
รวมถึงการขุดข้อมูลความผิดแผนก ต่าง ๆ ในการบินไทยได้เริ่มปะทุขึ้นใหม่ อีกครั้ง ทั้งเรื่องสัญญาจัดซื้อเก้าอี้ชั้นประหยัดจากบริษัท โคอิโตะ จำกัด การบินไทยรับมอบเครื่องฝูงใหม่แอร์บัส A330-300 จำนวน 5 ลำ มาเป็นเวลา 1 ปีเศษ แต่ไม่สามารถติดตั้งเก้าอี้ได้ อีกทั้ง ไม่ยอมบอกเลิกสัญญา
จึงมีการกันประเมินว่ายิ่งฝ่ายบริหารหรือนายปิยสวัสดิ์ไม่ตัดสินใจจะทำอะไร กับคู่สัญญา แต่ปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไประหว่างนี้การบินไทยต้องสูญเสียโอกาสขายตั๋วไปถึงปีละ 7,000 ล้านบาท/ลำ และแม้แต่การปรับปรุงติดตั้งเก้าอี้ชั้นประหยัดฝูงบินโบอิ้ง B777 ลำหนึ่งซึ่งมหัศจรรย์มาก ตลอดทั้งแถวข้างหนึ่งมีระบบเอ็นเตอร์ เทนเมนต์พร้อมจอวิดีโอครบวงจร อีกข้างหนึ่งจำนวน 99 ที่นั่งกลับไม่มีบริการอะไรเลย จะเกิดความไม่เท่าเทียมกับผู้โดยสาร ที่ซื้อตั๋วในเที่ยวบินซึ่งนั่งอยู่ในเครื่อง ลำเดียวกัน
นายอำพน กิตติอำพน ประธานบอร์ดการบินไทย เปิดเผยว่า เมื่อ 16 กรกฎาคม ที่ผ่านมาได้ออกจากห้องประชุมก่อนพิจารณาวาระโยกย้ายผู้บริหาร เพราะติดภารกิจด่วน จึงมอบให้นายประวิช รัตนเพียร เป็นประธานแทน รู้แต่เพียงบอร์ดแต่งตั้งนายวสิงห์เป็นประธานตรวจสอบข้อมูล นายพฤทธิ์จริง แต่ไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด อีกทั้งยังเห็นใจนายปิยสวัสดิ์หลังจากทำงานร่วมกันมาระยะหนึ่ง เข้าใจหัวอกดีดีตั้งใจและทุ่มเททำงาน ส่วนปัญหาภายในฝ่ายบริหารต้องแก้ไขกันไป แต่ละคนก็มีวิธี แตกต่างกัน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*********************************************
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ป่วน! พ.ร.บ ปลอมระบาด
ยอดต่างภาษีรถกว่าครึ่งล้าน/จี้ใช้กระดาษเหมือนแบงก์พัน
วินาศภัยป่วน! กรมธรรม์พ.ร.บ.ปลอมระบาดอีกยก สมาคมวินาศภัยพบพิรุธจำนวนรถจดทะเบียนที่กรมขนส่งกับรถที่ทำประกัน พ.ร.บ.ต่างกัน
ถึง 500,000 กรมธรรม์ สันนิษฐานของปลอมปนชัวร์ ยอมรับระยะหลังบริษัทประกันไม่ใช้กระดาษลายน้ำ ลดต้นทุน เปิดช่อง มิจฉาชีพหากิน ชิงจังหวะชาวบ้านไม่รู้
เรื่องหลอกขายกรมธรรม์ปลอม ล่าสุด บริษัทกลางฯ ซวยเจอไป 400 ฉบับ เร่งป้องกันทุกบริษัทพร้อม ใจกลับไปใช้กระดาษที่ปลอมยาก คาดใช้โฮโลแกรมเหมือนแบงก์พัน
ชี้ถ้าออเดอร์เยอะลดต้นทุนกระดาษได้เพียบ
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคม ประกันวินาศภัย เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ธุรกิจประกันวินาศภัยกำลังเจอปัญหากรมธรรม์ประกันภัยพ.ร.บ.คุ้มครองผู้
ประสบ จากรถ (ประกันภัยภาคบังคับ) ของปลอมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นและสร้างความปั่นป่วนให้กับธุรกิจในอดีต โดยมีบางบริษัทตรวจพบแล้ว อีกทั้งพบสิ่งผิดปกติข้อมูล
จำนวนรถที่จดทะเบียนหรือชำระภาษีประจำปีกับการขนส่งทางบกกับข้อมูลจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยพ.ร.บ.ที่บริษัทประกันภัยทั้งหมดต้องรายงานไปยังสำนักงานคณะ
กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ไม่ตรงกัน ยอดล่าสุดเมื่อปีที่ผ่าน มาต่างกันถึง 500,000 กรมธรรม์ทั้งที่ตามกฎหมายกำหนด
ให้รถที่จดทะเบียนใหม่หรือชำระภาษีประจำปีต้องทำประกันภัยพ.ร.บ. ก่อน
“จำนวนไม่น่าจะต่างกันมากขนาดนี้สันนิษฐานได้มาจาก 2 สาเหตุคือ บริษัทประกันภัยแต่ละแห่งอาจจะรายงานข้อมูลล่าช้า และ 2.มีกรมธรรม์ปลอมเกิดขึ้นเป็นไปได้ทั้ง
2 สาเหตุ กรณีกรมธรรม์ปลอมต้องยอมรับว่ามีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากระยะหลังมีบริษัทประกันภัยบางแห่งไม่ใช้กระดาษ ลายน้ำในการจัดพิมพ์กรมธรรม์เนื่องจากต้นทุน
สูงทำให้ปลอมแปลงได้ง่าย อีกส่วนหนึ่งมาจากการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับประชาชนเกี่ยวกับรูปแบบของกรมธรรม์ยังไม่ดีพอ”
สำหรับแนวทางป้องกันกรมธรรม์ พ.ร.บ.ปลอม นายจีรพันธ์กล่าวว่า จะสร้างเอกลักษณ์ประกันภัยพ.ร.บ.เป็นแบบเดียว กันทั้งธุรกิจ ใช้กระดาษที่ปลอมแปลงยาก เช่น
เป็นแบบโฮโลแกรมหรือมีแถบวาวแสงเหมือน ธนบัตร 1,000 บาท เป็นต้น แต่ต้นทุนของกระดาษต้องไม่สูงมาก กำลังรอให้ทางผู้จัดจำหน่ายกระดาษพิเศษป้องกันการ
ปลอมแปลง (Security Paper) ที่มีอยู่ประมาณ 3-4 รายในประเทศไทยนำเสนอราคาเข้ามาให้พิจารณาภายในเดือนนี้ หลังจากนั้นจะประชาสัมพันธ์
ให้ประชาชนรู้รูปแบบของกรมธรรม์ต่อไป
ด้านนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัทที่รับประกันพ.ร.บ.รถจักรยานยนต์มากที่สุดในอุตสาหกรรม กล่าวกับ
“สยามธุรกิจ” เพิ่มเติมว่า กรมธรรม์ พ.ร.บ.ปลอมทำง่ายและตรวจสอบยาก เพราะ ไม่มีเอกลักษณ์พิมพ์ด้วยกระดาษลายน้ำ เหมือนที่คปภ.กำหนดไว้ในช่วงก่อน
เนื่องจาก ระยะหลังภาคธุรกิจทำเรื่องขอเข้าไปที่คปภ.ขอใช้กระดาษ A4 ธรรมดาจัดพิมพ์กรมธรรม์ไม่ต้องใช้กระดาษลายน้ำเพราะต้องการประหยัดต้นทุน ซึ่งคปภ.
อนุมัติให้ตามความสมัครใจของบริษัท ดังนั้นจึงมีบริษัทจำนวนมากหันไปใช้กระดาษ A4 ขณะที่บริษัทที่ใช้กระดาษลายน้ำมีจำนวนน้อยกว่า แต่ในแง่จำนวนกรมธรรม์ที่จัด
พิมพ์ ด้วยกระดาษลายน้ำจะมากกว่าเพราะบริษัทกลางฯ ที่มีกรมธรรม์พ.ร.บ.มากที่สุดในอุตสาหกรรมใช้กระดาษลายน้ำอยู่
“การปลอมกรมธรรม์พ.ร.บ.มี 2 กลุ่มคือตัวแทนปลอมเองกับบุคคลภายนอกปลอมไม่มีตัวแทนร่วมด้วยถ้าเป็นตัวแทนปลอม ยังไงบริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบถ้า
ลูกค้ามีหลักฐานจ่ายเงินให้กับตัวแทนและมีเคลมเกิดขึ้นเพราะตัวแทนที่โกงเป็นคนของบริษัท ถ้าเป็นคนนอกบริษัทไม่ต้องรับผิดชอบ เท่าที่ตรวจพบการปลอมเกิดขึ้นจาก 2
กลุ่ม อย่างของบริษัทกลางฯเจอกรมธรรม์ปลอมถึง 400 ฉบับเราคุ้มครองทั้งหมด เขาใช้วิธีไปขายที่ตลาดนัดเอากรมธรรม์ไปถ่ายเอกสารขาวดำให้กับลูกค้าที่เป็นชาว
บ้านซึ่งไม่รู้เรื่อง”
นายสมพรกล่าวว่า การที่ภาคธุรกิจยอมกลับไปใช้กระดาษลายน้ำหรือกระดาษประเภทอื่นที่มีระบบป้องกันการปลอมแปลง เช่น กระดาษที่มีแถบวาวแสงหรือมีโฮโลแกรม
เลือกประเภทที่ไม่แพงเกินไป ซึ่งหากทุกบริษัทใช้เหมือนกันจะลดต้นทุนได้มากเพราะจำนวนที่สั่งมีมาก สั่งพร้อมกันทีเดียวในนามสมาคมฯถ้ายึดตามกรมธรรม์พ.ร.บ.
ทั้งระบบประมาณ 20 ล้านฉบับ อย่างกระดาษลายน้ำ ในอดีตราคาแผ่นละ 2.40 บาท ถ้าสั่งพร้อมกันราคาจะถูกลงอาจจะเหลือแค่แผ่นละ 1 บาทเท่ากับที่บริษัท
กลางฯ ใช้อยู่เพราะจำนวน ที่สั่งมาก
อีกทั้ง จะได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ในวงกว้างถึงรูปแบบกรมธรรม์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด รวมถึงให้ซื้อจากตัวแทนที่มีใบอนุญาตถูกต้องเพราะก่อนขาย
ตัวแทนต้องแสดงใบอนุญาตกับลูกค้าก่อนอยู่แล้วถ้าเป็นตัวแทนที่มีใบอนุญาตไม่กล้าปลอมกรมธรรม์
“การลงทุน 20 ล้านบาทคุ้มค่าป้องกัน ปัญหาได้ทั้งระบบเทียบกับการเจอกรมธรรม์ปลอมแล้วธุรกิจต้องให้ความคุ้มครองลูกค้าซึ่งความคุ้มครองปรับเพิ่ม
ขึ้นเป็นเท่าตัว อย่าง พิการหรือเสียชีวิต 200,000 บาท หากบาดเจ็บไม่เกิน 50,000 บาท เชื่อว่ากรมธรรม์ปลอมในตลาดยังมีอีกมากแต่ยังไม่รู้ถ้าไม่มีเคลม
และโอกาสเกิดอีกมีเยอะเช่นกันที่เราเจอส่วนน้อยเป็นประกันรถจักรยานยนต์เบี้ยแค่ 300 บาทยังปลอมไม่ต้องพูดถึงรถอื่นเบี้ยแพงกว่าเจอปลอมแน่ อีกทั้งระบบของเรา
เข้มข้นที่สุดใช้กระดาษลายน้ำยังเจอของปลอมเพราะชาวบ้านไม่รู้”
นายสมพรกล่าวว่า ในแง่การดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ซึ่งบริษัทกำลังทำอยู่หากเจอแจ้งตำรวจจับรวมถึงฟ้องร้องศาลเอาผิดให้ถึงที่สุด โดยทุกบริษัทที่เจอทำแบบ
เดียวกันหมด มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลมิจฉาชีพเพื่อให้ลงไปตรวจสอบ สกัดปัญหาไม่ให้ลุกลาม
ปัจจุบัน นอกจากบริษัทกลางฯที่ใช้กระดาษลายน้ำและออกกรมธรรม์ผ่านเครื่อง PVR ป้องกันการปลอมแปลงแล้ว ยังมีบริษัทประกันภัยบางแห่งเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ๆ
มาใช้ควบคุมการออกกรมธรรม์เพื่อป้อง
กันปลอมแปลงแล้วเช่นกัน อาทิ บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด ที่นำเครื่อง Netbook มาให้ตัวแทนใช้ออกกรมธรรม์แบบเรียลไทม์ ณ จุดขาย
ที่มา.สยามธุรกิจ
วินาศภัยป่วน! กรมธรรม์พ.ร.บ.ปลอมระบาดอีกยก สมาคมวินาศภัยพบพิรุธจำนวนรถจดทะเบียนที่กรมขนส่งกับรถที่ทำประกัน พ.ร.บ.ต่างกัน
ถึง 500,000 กรมธรรม์ สันนิษฐานของปลอมปนชัวร์ ยอมรับระยะหลังบริษัทประกันไม่ใช้กระดาษลายน้ำ ลดต้นทุน เปิดช่อง มิจฉาชีพหากิน ชิงจังหวะชาวบ้านไม่รู้
เรื่องหลอกขายกรมธรรม์ปลอม ล่าสุด บริษัทกลางฯ ซวยเจอไป 400 ฉบับ เร่งป้องกันทุกบริษัทพร้อม ใจกลับไปใช้กระดาษที่ปลอมยาก คาดใช้โฮโลแกรมเหมือนแบงก์พัน
ชี้ถ้าออเดอร์เยอะลดต้นทุนกระดาษได้เพียบ
นายจีรพันธ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคม ประกันวินาศภัย เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ธุรกิจประกันวินาศภัยกำลังเจอปัญหากรมธรรม์ประกันภัยพ.ร.บ.คุ้มครองผู้
ประสบ จากรถ (ประกันภัยภาคบังคับ) ของปลอมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นและสร้างความปั่นป่วนให้กับธุรกิจในอดีต โดยมีบางบริษัทตรวจพบแล้ว อีกทั้งพบสิ่งผิดปกติข้อมูล
จำนวนรถที่จดทะเบียนหรือชำระภาษีประจำปีกับการขนส่งทางบกกับข้อมูลจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยพ.ร.บ.ที่บริษัทประกันภัยทั้งหมดต้องรายงานไปยังสำนักงานคณะ
กรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ไม่ตรงกัน ยอดล่าสุดเมื่อปีที่ผ่าน มาต่างกันถึง 500,000 กรมธรรม์ทั้งที่ตามกฎหมายกำหนด
ให้รถที่จดทะเบียนใหม่หรือชำระภาษีประจำปีต้องทำประกันภัยพ.ร.บ. ก่อน
“จำนวนไม่น่าจะต่างกันมากขนาดนี้สันนิษฐานได้มาจาก 2 สาเหตุคือ บริษัทประกันภัยแต่ละแห่งอาจจะรายงานข้อมูลล่าช้า และ 2.มีกรมธรรม์ปลอมเกิดขึ้นเป็นไปได้ทั้ง
2 สาเหตุ กรณีกรมธรรม์ปลอมต้องยอมรับว่ามีมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากระยะหลังมีบริษัทประกันภัยบางแห่งไม่ใช้กระดาษ ลายน้ำในการจัดพิมพ์กรมธรรม์เนื่องจากต้นทุน
สูงทำให้ปลอมแปลงได้ง่าย อีกส่วนหนึ่งมาจากการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลกับประชาชนเกี่ยวกับรูปแบบของกรมธรรม์ยังไม่ดีพอ”
สำหรับแนวทางป้องกันกรมธรรม์ พ.ร.บ.ปลอม นายจีรพันธ์กล่าวว่า จะสร้างเอกลักษณ์ประกันภัยพ.ร.บ.เป็นแบบเดียว กันทั้งธุรกิจ ใช้กระดาษที่ปลอมแปลงยาก เช่น
เป็นแบบโฮโลแกรมหรือมีแถบวาวแสงเหมือน ธนบัตร 1,000 บาท เป็นต้น แต่ต้นทุนของกระดาษต้องไม่สูงมาก กำลังรอให้ทางผู้จัดจำหน่ายกระดาษพิเศษป้องกันการ
ปลอมแปลง (Security Paper) ที่มีอยู่ประมาณ 3-4 รายในประเทศไทยนำเสนอราคาเข้ามาให้พิจารณาภายในเดือนนี้ หลังจากนั้นจะประชาสัมพันธ์
ให้ประชาชนรู้รูปแบบของกรมธรรม์ต่อไป
ด้านนายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด บริษัทที่รับประกันพ.ร.บ.รถจักรยานยนต์มากที่สุดในอุตสาหกรรม กล่าวกับ
“สยามธุรกิจ” เพิ่มเติมว่า กรมธรรม์ พ.ร.บ.ปลอมทำง่ายและตรวจสอบยาก เพราะ ไม่มีเอกลักษณ์พิมพ์ด้วยกระดาษลายน้ำ เหมือนที่คปภ.กำหนดไว้ในช่วงก่อน
เนื่องจาก ระยะหลังภาคธุรกิจทำเรื่องขอเข้าไปที่คปภ.ขอใช้กระดาษ A4 ธรรมดาจัดพิมพ์กรมธรรม์ไม่ต้องใช้กระดาษลายน้ำเพราะต้องการประหยัดต้นทุน ซึ่งคปภ.
อนุมัติให้ตามความสมัครใจของบริษัท ดังนั้นจึงมีบริษัทจำนวนมากหันไปใช้กระดาษ A4 ขณะที่บริษัทที่ใช้กระดาษลายน้ำมีจำนวนน้อยกว่า แต่ในแง่จำนวนกรมธรรม์ที่จัด
พิมพ์ ด้วยกระดาษลายน้ำจะมากกว่าเพราะบริษัทกลางฯ ที่มีกรมธรรม์พ.ร.บ.มากที่สุดในอุตสาหกรรมใช้กระดาษลายน้ำอยู่
“การปลอมกรมธรรม์พ.ร.บ.มี 2 กลุ่มคือตัวแทนปลอมเองกับบุคคลภายนอกปลอมไม่มีตัวแทนร่วมด้วยถ้าเป็นตัวแทนปลอม ยังไงบริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบถ้า
ลูกค้ามีหลักฐานจ่ายเงินให้กับตัวแทนและมีเคลมเกิดขึ้นเพราะตัวแทนที่โกงเป็นคนของบริษัท ถ้าเป็นคนนอกบริษัทไม่ต้องรับผิดชอบ เท่าที่ตรวจพบการปลอมเกิดขึ้นจาก 2
กลุ่ม อย่างของบริษัทกลางฯเจอกรมธรรม์ปลอมถึง 400 ฉบับเราคุ้มครองทั้งหมด เขาใช้วิธีไปขายที่ตลาดนัดเอากรมธรรม์ไปถ่ายเอกสารขาวดำให้กับลูกค้าที่เป็นชาว
บ้านซึ่งไม่รู้เรื่อง”
นายสมพรกล่าวว่า การที่ภาคธุรกิจยอมกลับไปใช้กระดาษลายน้ำหรือกระดาษประเภทอื่นที่มีระบบป้องกันการปลอมแปลง เช่น กระดาษที่มีแถบวาวแสงหรือมีโฮโลแกรม
เลือกประเภทที่ไม่แพงเกินไป ซึ่งหากทุกบริษัทใช้เหมือนกันจะลดต้นทุนได้มากเพราะจำนวนที่สั่งมีมาก สั่งพร้อมกันทีเดียวในนามสมาคมฯถ้ายึดตามกรมธรรม์พ.ร.บ.
ทั้งระบบประมาณ 20 ล้านฉบับ อย่างกระดาษลายน้ำ ในอดีตราคาแผ่นละ 2.40 บาท ถ้าสั่งพร้อมกันราคาจะถูกลงอาจจะเหลือแค่แผ่นละ 1 บาทเท่ากับที่บริษัท
กลางฯ ใช้อยู่เพราะจำนวน ที่สั่งมาก
อีกทั้ง จะได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้ในวงกว้างถึงรูปแบบกรมธรรม์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด รวมถึงให้ซื้อจากตัวแทนที่มีใบอนุญาตถูกต้องเพราะก่อนขาย
ตัวแทนต้องแสดงใบอนุญาตกับลูกค้าก่อนอยู่แล้วถ้าเป็นตัวแทนที่มีใบอนุญาตไม่กล้าปลอมกรมธรรม์
“การลงทุน 20 ล้านบาทคุ้มค่าป้องกัน ปัญหาได้ทั้งระบบเทียบกับการเจอกรมธรรม์ปลอมแล้วธุรกิจต้องให้ความคุ้มครองลูกค้าซึ่งความคุ้มครองปรับเพิ่ม
ขึ้นเป็นเท่าตัว อย่าง พิการหรือเสียชีวิต 200,000 บาท หากบาดเจ็บไม่เกิน 50,000 บาท เชื่อว่ากรมธรรม์ปลอมในตลาดยังมีอีกมากแต่ยังไม่รู้ถ้าไม่มีเคลม
และโอกาสเกิดอีกมีเยอะเช่นกันที่เราเจอส่วนน้อยเป็นประกันรถจักรยานยนต์เบี้ยแค่ 300 บาทยังปลอมไม่ต้องพูดถึงรถอื่นเบี้ยแพงกว่าเจอปลอมแน่ อีกทั้งระบบของเรา
เข้มข้นที่สุดใช้กระดาษลายน้ำยังเจอของปลอมเพราะชาวบ้านไม่รู้”
นายสมพรกล่าวว่า ในแง่การดำเนินคดีกับกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ซึ่งบริษัทกำลังทำอยู่หากเจอแจ้งตำรวจจับรวมถึงฟ้องร้องศาลเอาผิดให้ถึงที่สุด โดยทุกบริษัทที่เจอทำแบบ
เดียวกันหมด มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลมิจฉาชีพเพื่อให้ลงไปตรวจสอบ สกัดปัญหาไม่ให้ลุกลาม
ปัจจุบัน นอกจากบริษัทกลางฯที่ใช้กระดาษลายน้ำและออกกรมธรรม์ผ่านเครื่อง PVR ป้องกันการปลอมแปลงแล้ว ยังมีบริษัทประกันภัยบางแห่งเริ่มนำเทคโนโลยีใหม่ๆ
มาใช้ควบคุมการออกกรมธรรม์เพื่อป้อง
กันปลอมแปลงแล้วเช่นกัน อาทิ บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด ที่นำเครื่อง Netbook มาให้ตัวแทนใช้ออกกรมธรรม์แบบเรียลไทม์ ณ จุดขาย
ที่มา.สยามธุรกิจ
‘ซาวเสียง’ แต่ไก่โห่!!
มติส่วนใหญ่ ให้ “กรณ์ จาติกวณิช” ขุนคลัง ก้าวขึ้นเป็น “นายกรัฐมนตรี” ตามโผ??
เพราะหวั่นใจ ต่อคดีอำพรางการใช้เงิน ผิดวัตถุประสงค์ และการไซฟ่อนเงิน ที่ทีพีไอบริจาคให้ “พรรคประชาธิปัตย์”..
ดูบารมีพรรษา “ขุนคลังกรณ์”...ยังละอ่อน ไม่รอบจัด
ก้าวขึ้นมาเป็น “เดี่ยวมือหนึ่ง” คุมอำนาจประเทศไทย..โดยมีคนกำกับ คอนโทรนอยู่หลังฉาก ไม่ผิดอะไรกับ “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พาประเทศเละเป็นวุ้น!!
“กรณ์ ”อย่าเป็นมะม่วงจำบ่ม....ก้าวเร็วไปไม่ยังเหมาะสม?..เดี๋ยวล่มเหมือน “มาร์ค” นะคุณ??
..................................
ไม่ได้เป็น ‘สายบัว’ แต่งตัวเก้อ!!
“เทพเจ้าปักษ์ใต้” ชวน หลีกภัย ที่จะรีเทิร์น เดินกลับมาเป็น “นายกฯ รอบ ๓” ไงล่ะเธอ??
ความพร้อม ของ ลูกชายคนโปรด “แม่ถ้วน” นั้น ร้อยเปอร์เซ็นต์
แลกเปลี่ยนแนวคิด กับ “ฝ่ายบู๊-ฝ่ายบุ๋น”.. ที่สนับสนุนไม่ขาด เท่าที่เห็น
ตลอดระยะที่ผ่านมานั้น..มีทั้ง ขุนศึกที่รับราชการ และ ขุนพลที่ปลดประจำการ ให้แนวคิดไอเดียใหม่ๆ กับ “บิ๊กชวน” ในการกลับมาเป็นนายกฯ..พร้อมกับคนข้างเคียง ต่างหนุนท่านคับคั่ง!
ถึงจะแก่ไปหน่อย..แต่ฝีมือ “ท่านชวน” เต็มร้อย?...ที่สำคัญท่านไม่วันใส่เกียร์ถอยหลัง??
.................................
ปากพาจน!!
เทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำลายประชาธิปัตย์ เสียป่น??
นับแต่พ่น เรื่อง “เสื้อแดง” ฝึกอาวุธขึ้นมา.. “สาธิต ปิตุเตชะ” รองโฆษกพรรค ที่เป็น “คอหอยลูกกระเดือก” กันมา ก็เข้าหน้ากันไม่ติด
ถึง “เทพไท” จะยัน ว่ายังรักกันมาก...ไม่มีปัญหากรณี “ปากเป็นพิษ”
แต่เท่าที่เห็น เท่าที่รู้ ขณะนี้, “รองโฆษกสาธิต” ไม่ทำตัวเป็นผีเน่ากับโลงผุ เข้ากันได้ทุกเรื่องกับ “เทพไท” เหมือนที่ผ่านมา!!!
อนาคต “สาธิต” ยังสดใส...ไม่ควรมาเสียหาย...ด้วยปาก “เทพไท” ให้คนเค้าด่า??
.................................
ผลงานเด่น เป็นที่ประจักษ์!!
“บุคคลดีเด่น” ที่สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ของ“นายกฯ วิชัย วลาพล” จะมอบรางวัล ในวันประกาศผล “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” นั้น.. ล้วนแต่คนที่ทำงานหนัก
แว่วมาว่า ผู้ที่ติดโผมี “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ “องอาจ คร้ามไพบูลย์” รมต.ประจำสำนักนายกฯ “ส.ส.นันทพร วีรกุลสุนทร” “ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์” “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์”,ปลัดคลัง “มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์” ผู้การ ปคบ.และ “มือปราบหูด” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ” ผู้การ น. ๑..แต่ละคน ฝีมือเลิศหรู
ทำงานรับใช้ชาติ รับใช้แผ่นดิน....ผลงานยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ใครก็รู้
งานนี้ สื่อมวลชนคีย์แมนระดับบิ๊ก “หนังสือพิมพ์-โทรทัศน์” มากันพร้อมหน้า...เป็นโอกาสอันดี ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ประธานฯ งานแจกรางวัลภาพยอดเยี่ยม พบปะสื่อทุกแขนง ทำความเข้าใจในคราวเดียวกัน..ดีกว่าเดินสายไปพบสื่อเพียงครู่ เพียงประด๋าว!!
เมื่อ “นายกฯ มาร์ค” อยากปฏิรูปสื่อ...มางานนี้ทำความเข้าใจได้อื้อ?...เพราะสื่อมากันทุกเจ้า
...................................
‘ความดี’ คือ ‘บารมี’ ที่เข้าสมทบ
อวยพร เบิร์ดเดย์ ๖ รอบ ๗๒ ขวบฤดูฝน แก่ “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งความเป็นนักรบ??
ยังเป็นหนึ่งขวัญใจทหารกล้า ทั้ง ๓ เหล่าทัพ...เพราะตลอดระยะที่เป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” สร้างผลงานไว้บานตะไท
โดยเป็น “ขุนพลคู่อีสาน”....เมื่อชาวบ้านเทเสียง ให้อย่างมากมาย
สร้างสถิติเป็นเรคคอร์ด ครองตำแหน่งมาตลอดตราบเท่าทุกวันนี้..โดย “บิ๊กแอ๊ด” นำพรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งขาวสะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม กวาดเก้าอี้ ส.ส.อีสานทั้งหมดที่มีอยู่ ๑๓๖ เก้าอี้ เอามาได้ถึง ๑๒๖ เก้าอี้ ด้วยกัน!!!
นับเป็นความยิ่งใหญ่...ที่ “พล.อ.ธรรมรักษ์” คุมหัวใจ..ชาวอีสานได้ ทุกหัวกระไดบ้าน?
.....................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
เพราะหวั่นใจ ต่อคดีอำพรางการใช้เงิน ผิดวัตถุประสงค์ และการไซฟ่อนเงิน ที่ทีพีไอบริจาคให้ “พรรคประชาธิปัตย์”..
ดูบารมีพรรษา “ขุนคลังกรณ์”...ยังละอ่อน ไม่รอบจัด
ก้าวขึ้นมาเป็น “เดี่ยวมือหนึ่ง” คุมอำนาจประเทศไทย..โดยมีคนกำกับ คอนโทรนอยู่หลังฉาก ไม่ผิดอะไรกับ “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่พาประเทศเละเป็นวุ้น!!
“กรณ์ ”อย่าเป็นมะม่วงจำบ่ม....ก้าวเร็วไปไม่ยังเหมาะสม?..เดี๋ยวล่มเหมือน “มาร์ค” นะคุณ??
..................................
ไม่ได้เป็น ‘สายบัว’ แต่งตัวเก้อ!!
“เทพเจ้าปักษ์ใต้” ชวน หลีกภัย ที่จะรีเทิร์น เดินกลับมาเป็น “นายกฯ รอบ ๓” ไงล่ะเธอ??
ความพร้อม ของ ลูกชายคนโปรด “แม่ถ้วน” นั้น ร้อยเปอร์เซ็นต์
แลกเปลี่ยนแนวคิด กับ “ฝ่ายบู๊-ฝ่ายบุ๋น”.. ที่สนับสนุนไม่ขาด เท่าที่เห็น
ตลอดระยะที่ผ่านมานั้น..มีทั้ง ขุนศึกที่รับราชการ และ ขุนพลที่ปลดประจำการ ให้แนวคิดไอเดียใหม่ๆ กับ “บิ๊กชวน” ในการกลับมาเป็นนายกฯ..พร้อมกับคนข้างเคียง ต่างหนุนท่านคับคั่ง!
ถึงจะแก่ไปหน่อย..แต่ฝีมือ “ท่านชวน” เต็มร้อย?...ที่สำคัญท่านไม่วันใส่เกียร์ถอยหลัง??
.................................
ปากพาจน!!
เทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัว อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทำลายประชาธิปัตย์ เสียป่น??
นับแต่พ่น เรื่อง “เสื้อแดง” ฝึกอาวุธขึ้นมา.. “สาธิต ปิตุเตชะ” รองโฆษกพรรค ที่เป็น “คอหอยลูกกระเดือก” กันมา ก็เข้าหน้ากันไม่ติด
ถึง “เทพไท” จะยัน ว่ายังรักกันมาก...ไม่มีปัญหากรณี “ปากเป็นพิษ”
แต่เท่าที่เห็น เท่าที่รู้ ขณะนี้, “รองโฆษกสาธิต” ไม่ทำตัวเป็นผีเน่ากับโลงผุ เข้ากันได้ทุกเรื่องกับ “เทพไท” เหมือนที่ผ่านมา!!!
อนาคต “สาธิต” ยังสดใส...ไม่ควรมาเสียหาย...ด้วยปาก “เทพไท” ให้คนเค้าด่า??
.................................
ผลงานเด่น เป็นที่ประจักษ์!!
“บุคคลดีเด่น” ที่สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ของ“นายกฯ วิชัย วลาพล” จะมอบรางวัล ในวันประกาศผล “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” นั้น.. ล้วนแต่คนที่ทำงานหนัก
แว่วมาว่า ผู้ที่ติดโผมี “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” รองนายกฯ “องอาจ คร้ามไพบูลย์” รมต.ประจำสำนักนายกฯ “ส.ส.นันทพร วีรกุลสุนทร” “ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์” “สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์”,ปลัดคลัง “มรว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.ต.จตุรงค์ ภุมรินทร์” ผู้การ ปคบ.และ “มือปราบหูด” พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ” ผู้การ น. ๑..แต่ละคน ฝีมือเลิศหรู
ทำงานรับใช้ชาติ รับใช้แผ่นดิน....ผลงานยอดเยี่ยมทั้งสิ้น ใครก็รู้
งานนี้ สื่อมวลชนคีย์แมนระดับบิ๊ก “หนังสือพิมพ์-โทรทัศน์” มากันพร้อมหน้า...เป็นโอกาสอันดี ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ประธานฯ งานแจกรางวัลภาพยอดเยี่ยม พบปะสื่อทุกแขนง ทำความเข้าใจในคราวเดียวกัน..ดีกว่าเดินสายไปพบสื่อเพียงครู่ เพียงประด๋าว!!
เมื่อ “นายกฯ มาร์ค” อยากปฏิรูปสื่อ...มางานนี้ทำความเข้าใจได้อื้อ?...เพราะสื่อมากันทุกเจ้า
...................................
‘ความดี’ คือ ‘บารมี’ ที่เข้าสมทบ
อวยพร เบิร์ดเดย์ ๖ รอบ ๗๒ ขวบฤดูฝน แก่ “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งความเป็นนักรบ??
ยังเป็นหนึ่งขวัญใจทหารกล้า ทั้ง ๓ เหล่าทัพ...เพราะตลอดระยะที่เป็น “รัฐมนตรีกลาโหม” สร้างผลงานไว้บานตะไท
โดยเป็น “ขุนพลคู่อีสาน”....เมื่อชาวบ้านเทเสียง ให้อย่างมากมาย
สร้างสถิติเป็นเรคคอร์ด ครองตำแหน่งมาตลอดตราบเท่าทุกวันนี้..โดย “บิ๊กแอ๊ด” นำพรรคเพื่อไทย ชนะเลือกตั้งขาวสะอาด บริสุทธิ์ ยุติธรรม กวาดเก้าอี้ ส.ส.อีสานทั้งหมดที่มีอยู่ ๑๓๖ เก้าอี้ เอามาได้ถึง ๑๒๖ เก้าอี้ ด้วยกัน!!!
นับเป็นความยิ่งใหญ่...ที่ “พล.อ.ธรรมรักษ์” คุมหัวใจ..ชาวอีสานได้ ทุกหัวกระไดบ้าน?
.....................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
อาณาจักรแห่งความกลัว
เคยมีมาแล้วมากมาย..อาณาจักรแห่งความกลัว แต่ในที่สุดมันก็คืออาณาจักรแห่งความล่มสลาย..ความตายและคุกตารางขังจิตวิญญานแห่งการต่อสู้ไม่ได้
ย้อนถอยหลังไปได้นับพันๆ ปี..อาณาจักรแบบนี้เคยมีอยู่..แต่จุดจบของมหาอาณาจักรก็พังพินาศด้วยฝ่าเท้าของมหาชน
การเข่นฆ่าและจำขัง..เป็นอาวุธสำคัญแห่งอาณาจักรแห่งความกลัว..แต่ไม่มีสักอาณาจักรที่ปราศจากการต่อสู้และขัดขืน..ป่าช้าและคุก..ยิ่งกว้างใหญ่..การต่อสู้ขัดขืนก็ยิ่งเพิ่มพลัง..
อย่างหงอยเหงาและเศร้าซึม..จักรพรรดินีแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม..มาดามผู้เคียงข้างรัฐบุรุษเหมาเจ๋อตุง..แขวนคอตาย..ในสถานที่คุมขัง..หลังจากอาณาจักรแห่งความกลัวที่เธอรังสรร..ล่มสลาย
ทันทีที่เหมาเจ๋อตุง..ตาย...ผู้ตกระกำลำบากทั้งหลายก็รวมตัวกันโค่นล้ม..ลากเธอลงจากอำนาจ
อีดี้อามิน แห่ง อูกานดา..มาร์ก็อส แห่งฟิลิปปินส์..ฮิตเล่อร์ แห่งเยอรมัน..ซัดดำ แห่ง อิรัค..มากต่อมากของผู้สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว..ยามล่มสลายเขามิได้จากไปแต่ตัว..ครอบครัวและเผ่าพงศ์วงศ์วาน..ล้วนตกต่ำตายตามไปด้วย
ความกลัวต่างหากคือภัยแห่งอาณาจักร..ความกลัวสถาปนาความมั่นคงไม่ได้..ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์จะยั่งยืนอยู่ด้วยความรักใคร่ของมหาชน...เขาเหล่านั้นอยู่ได้โดยปราศจากการอารักขา..ไปไหนมาไหนไม่ต้องใช้เกราะหุ้มกาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ท่านครองอยู่ในบัดนี้..ไม่ใช่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ท่านเคยฝันถึงในวัยเยาว์..ทุกก้าวย่างของท่านในประเทศไทยขณะนี้..ไม่ใช่อย่างที่ท่านปรารถนา และต้องการ..การศึกษาที่ผ่านมาของท่าน..จะไม่นำท่านมาที่จุดนี้..
หยุดใช้ความกลัวประคองอำนาจ รักประชาชนให้เท่ากัน วันของท่านยังยาวไกล..จงพร้อมที่จะเป็นผู้ให้..แล้วท่านจะได้กลับมาใหม่ในฐานะนายกรัฐมนตรี..ที่ไม่ต้องสวมใส่เสื้อเกราะแล้วหันปากกระบอกปืนแห่งการอารักขาสู่ประชาชน
ประเทศนี้ยังต้องมีนายกรัฐมนตรี..กลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างที่ท่านอยากเป็น
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
ย้อนถอยหลังไปได้นับพันๆ ปี..อาณาจักรแบบนี้เคยมีอยู่..แต่จุดจบของมหาอาณาจักรก็พังพินาศด้วยฝ่าเท้าของมหาชน
การเข่นฆ่าและจำขัง..เป็นอาวุธสำคัญแห่งอาณาจักรแห่งความกลัว..แต่ไม่มีสักอาณาจักรที่ปราศจากการต่อสู้และขัดขืน..ป่าช้าและคุก..ยิ่งกว้างใหญ่..การต่อสู้ขัดขืนก็ยิ่งเพิ่มพลัง..
อย่างหงอยเหงาและเศร้าซึม..จักรพรรดินีแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม..มาดามผู้เคียงข้างรัฐบุรุษเหมาเจ๋อตุง..แขวนคอตาย..ในสถานที่คุมขัง..หลังจากอาณาจักรแห่งความกลัวที่เธอรังสรร..ล่มสลาย
ทันทีที่เหมาเจ๋อตุง..ตาย...ผู้ตกระกำลำบากทั้งหลายก็รวมตัวกันโค่นล้ม..ลากเธอลงจากอำนาจ
อีดี้อามิน แห่ง อูกานดา..มาร์ก็อส แห่งฟิลิปปินส์..ฮิตเล่อร์ แห่งเยอรมัน..ซัดดำ แห่ง อิรัค..มากต่อมากของผู้สร้างอาณาจักรแห่งความกลัว..ยามล่มสลายเขามิได้จากไปแต่ตัว..ครอบครัวและเผ่าพงศ์วงศ์วาน..ล้วนตกต่ำตายตามไปด้วย
ความกลัวต่างหากคือภัยแห่งอาณาจักร..ความกลัวสถาปนาความมั่นคงไม่ได้..ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์จะยั่งยืนอยู่ด้วยความรักใคร่ของมหาชน...เขาเหล่านั้นอยู่ได้โดยปราศจากการอารักขา..ไปไหนมาไหนไม่ต้องใช้เกราะหุ้มกาย
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ท่านครองอยู่ในบัดนี้..ไม่ใช่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ท่านเคยฝันถึงในวัยเยาว์..ทุกก้าวย่างของท่านในประเทศไทยขณะนี้..ไม่ใช่อย่างที่ท่านปรารถนา และต้องการ..การศึกษาที่ผ่านมาของท่าน..จะไม่นำท่านมาที่จุดนี้..
หยุดใช้ความกลัวประคองอำนาจ รักประชาชนให้เท่ากัน วันของท่านยังยาวไกล..จงพร้อมที่จะเป็นผู้ให้..แล้วท่านจะได้กลับมาใหม่ในฐานะนายกรัฐมนตรี..ที่ไม่ต้องสวมใส่เสื้อเกราะแล้วหันปากกระบอกปืนแห่งการอารักขาสู่ประชาชน
ประเทศนี้ยังต้องมีนายกรัฐมนตรี..กลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี อย่างที่ท่านอยากเป็น
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
อดีตตุลาการศาลรธน.ชี้เปรี้ยงประชาธิปัตย์ไม่มีวันโดนยุบ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบอกใบ้ให้เลิกลุ้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เพราะไม่มีคำสั่งยุบแน่นอน 100% ชี้ข้อกฎหมายมีช่องให้ดิ้นอีกเพียบ โดยเฉพาะข้ออ้างเรื่องขาดเจตนาและพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์พอที่จะเอาผิด เซ็งกระบวนการยุติธรรมของประเทศที่ไม่เป็นหลักในการอำนวยความยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา เพราะถูกอำนาจนอกระบบแทรกแซงเสียจนเละไปหมด ด้านทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจเตรียมพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหาไว้สมบูรณ์แล้ว
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันไปในหลายแง่มุมในช่วงนี้ ล่าสุดผู้สื่อข่าว “โลกวันนี้รายวัน” ได้มีโอกาสสนทนากับอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งเพื่อขอความเห็น ได้มุมมองที่น่าสนใจ
“เท่าที่ผมประเมินมั่นใจว่าสุดท้ายแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผมไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมของเรา ถ้าหากย้อนไปดูในอดีตที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายข้างเคียง กฎหมายจารีตประเพณี และมีการใช้พจนานุกรมเข้ามาใช้ในการพิจารณาตัดสินด้วย จึงทำให้มีทางออกอยู่อีกหลายทาง ผมยกตัวอย่างคดียุบพรรคพลังประชาชน ทั้งๆที่อยู่ในระหว่างสืบพยานศาลก็เรียกให้มาแถลงปิดคดีและตัดสินกันวันนั้นเลย ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะตามปรกติเมื่อแถลงการณ์ไปแล้วต้องรออีก 4-5 วัน ศาลต้องเอาคำแถลงไปวินิจฉัยดูว่าจะผิดหรือไม่ผิด แต่กลับตัดสินกันทันทีเหมือนเขียนคำตัดสินกันเอาไว้ล้วงหน้าแล้วหรือเปล่า ที่สำคัญพรรคพลังประชาชนมีสิทธิจะสืบพยาน จะไปตัดสิทธิเขาไม่ได้ และจะอ้างว่าข้อเท็จจริงยุติแล้วไม่ได้ สิ่งที่สะท้อนออกมาจะให้ผมเชื่อถือได้อย่างไรเพราะมันไม่เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าว
มีคนใหญ่คนโตขอไม่ให้ยุบ ปชป.
ส่วนกรณีหากศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์สถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เท่าที่ดูสื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ก็ไม่เห็นโวยวายอะไร และที่ทำให้เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบคือการออกมาเปิดเผยข้อมูลของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ระบุว่ามีการพูดกันในที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามีคนใหญ่คนโตมาขอให้ไม่ยุบ
ต่างชาติไม่เชื่อมั่นระบบยุติธรรมไทย
“ถ้าหากศาลสั่งไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่สามารถทำอะไรศาลได้ แต่จะมีปัญหาตรงที่ต่างประเทศจะไม่ให้ความเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของไทย และประเด็นสำคัญขณะนี้องค์กรสำคัญต่างๆของบ้านเมืองถูกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คุมหมด โดยเฉพาะองค์กรด้านการอำนวยความยุติธรรมที่บิดเบี้ยวไปหมดแล้ว ทั้งที่ควรทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางและเป็นธรรม ไม่เห็นแก่ข้างไหน ไม่ให้การเมืองมาสั่งได้ แต่เวลานี้มีคนใหญ่คนโตมาสั่งได้ในทุกองค์กร ผมจึงเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน เพราะผมได้ยินมาอย่างนี้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบน่าจะถูกยุบไปพร้อมพรรคไทยรักไทยนานแล้ว สมัยที่ผมอยู่ตอนนั้นคดียุบไทยรักไทยและประชาธิปัตย์เข้ามาที่ศาลแล้วและกำลังจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแต่โดนปฏิวัติก่อน ทั้งๆที่พวกผมคุยระหว่างตุลาการด้วยกันคือจะไม่ยุบทั้ง 2 พรรค เพื่อเป็นทางออกให้บ้านเมือง” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าว
ให้จับตาข้ออ้างขาดเจตนา-หลักฐานไม่ชัด
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เหตุผลที่จะไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้คงหนีไม่พ้นข้ออ้างว่าขาดเจตนาหรือขาดนั่นขาดนี่ ทำให้พยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ เพราะถ้ายุบผู้ใหญ่คนนั้นคงโกรธน่าดู อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์แต่เชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองคงไม่มีอะไรรุนแรงจนนำไปสู่วิกฤตของบ้านเมือง เพราะคนเสื้อแดงไม่มีกำลังจะเคลื่อนไหวเนื่องจากแกนนำส่วนใหญ่อยู่ในคุกและยังมีการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่อีกหลายจังหวัด ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงคงต้องทำใจและยอมรับสภาพตรงนี้
ถ้ายุบ ปชป. จะทำให้การเมืองดีขึ้น
ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองลดความรุนแรงลงไปมาก เพราะเงื่อนไขนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
“เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็นแกนนำรัฐบาลถูกยุบพรรค พรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่ก็ยากที่จะแบกอำนาจต่อไป และจะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมากทางการเมืองขึ้นมาทันที ซึ่งถ้าสถานการณ์ถึงขั้นนั้นผมฟันธงว่าแนวโน้มการยุบสภาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ดร.พิชญ์กล่าว
ทีมกฎหมายประชาธิปัตย์พร้อมแล้ว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมรับทราบการเตรียมความพร้อมสู้คดียุบพรรคทั้งกรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนและพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ และคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท โดยทีมกฎหมายยืนยันว่ามีข้อมูลหลักฐานพร้อมหักล้างข้อกล่าวหาแล้วทั้ง 2 คดี
“สิ่งที่พรรคกังวลในตอนนี้คือมีขบวนการสร้างเรื่องกดดันศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เหมือนพรรคการเมืองอื่น ทั้งที่การพิจารณาคดีต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงของแต่ละคดี” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
**********************************************************************
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบอกใบ้ให้เลิกลุ้นคดียุบพรรคประชาธิปัตย์เพราะไม่มีคำสั่งยุบแน่นอน 100% ชี้ข้อกฎหมายมีช่องให้ดิ้นอีกเพียบ โดยเฉพาะข้ออ้างเรื่องขาดเจตนาและพยานหลักฐานไม่สมบูรณ์พอที่จะเอาผิด เซ็งกระบวนการยุติธรรมของประเทศที่ไม่เป็นหลักในการอำนวยความยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา เพราะถูกอำนาจนอกระบบแทรกแซงเสียจนเละไปหมด ด้านทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์มั่นใจเตรียมพยานหลักฐานหักล้างข้อกล่าวหาไว้สมบูรณ์แล้ว
คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันไปในหลายแง่มุมในช่วงนี้ ล่าสุดผู้สื่อข่าว “โลกวันนี้รายวัน” ได้มีโอกาสสนทนากับอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านหนึ่งเพื่อขอความเห็น ได้มุมมองที่น่าสนใจ
“เท่าที่ผมประเมินมั่นใจว่าสุดท้ายแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ เพราะผมไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมของเรา ถ้าหากย้อนไปดูในอดีตที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายข้างเคียง กฎหมายจารีตประเพณี และมีการใช้พจนานุกรมเข้ามาใช้ในการพิจารณาตัดสินด้วย จึงทำให้มีทางออกอยู่อีกหลายทาง ผมยกตัวอย่างคดียุบพรรคพลังประชาชน ทั้งๆที่อยู่ในระหว่างสืบพยานศาลก็เรียกให้มาแถลงปิดคดีและตัดสินกันวันนั้นเลย ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะตามปรกติเมื่อแถลงการณ์ไปแล้วต้องรออีก 4-5 วัน ศาลต้องเอาคำแถลงไปวินิจฉัยดูว่าจะผิดหรือไม่ผิด แต่กลับตัดสินกันทันทีเหมือนเขียนคำตัดสินกันเอาไว้ล้วงหน้าแล้วหรือเปล่า ที่สำคัญพรรคพลังประชาชนมีสิทธิจะสืบพยาน จะไปตัดสิทธิเขาไม่ได้ และจะอ้างว่าข้อเท็จจริงยุติแล้วไม่ได้ สิ่งที่สะท้อนออกมาจะให้ผมเชื่อถือได้อย่างไรเพราะมันไม่เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าว
มีคนใหญ่คนโตขอไม่ให้ยุบ ปชป.
ส่วนกรณีหากศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์สถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เท่าที่ดูสื่อมวลชนโดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ก็ไม่เห็นโวยวายอะไร และที่ทำให้เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบคือการออกมาเปิดเผยข้อมูลของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ที่ระบุว่ามีการพูดกันในที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่ามีคนใหญ่คนโตมาขอให้ไม่ยุบ
ต่างชาติไม่เชื่อมั่นระบบยุติธรรมไทย
“ถ้าหากศาลสั่งไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่สามารถทำอะไรศาลได้ แต่จะมีปัญหาตรงที่ต่างประเทศจะไม่ให้ความเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมของไทย และประเด็นสำคัญขณะนี้องค์กรสำคัญต่างๆของบ้านเมืองถูกรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คุมหมด โดยเฉพาะองค์กรด้านการอำนวยความยุติธรรมที่บิดเบี้ยวไปหมดแล้ว ทั้งที่ควรทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางและเป็นธรรม ไม่เห็นแก่ข้างไหน ไม่ให้การเมืองมาสั่งได้ แต่เวลานี้มีคนใหญ่คนโตมาสั่งได้ในทุกองค์กร ผมจึงเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะไม่สั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน เพราะผมได้ยินมาอย่างนี้ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะถูกยุบน่าจะถูกยุบไปพร้อมพรรคไทยรักไทยนานแล้ว สมัยที่ผมอยู่ตอนนั้นคดียุบไทยรักไทยและประชาธิปัตย์เข้ามาที่ศาลแล้วและกำลังจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาแต่โดนปฏิวัติก่อน ทั้งๆที่พวกผมคุยระหว่างตุลาการด้วยกันคือจะไม่ยุบทั้ง 2 พรรค เพื่อเป็นทางออกให้บ้านเมือง” อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญกล่าว
ให้จับตาข้ออ้างขาดเจตนา-หลักฐานไม่ชัด
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่า เหตุผลที่จะไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้คงหนีไม่พ้นข้ออ้างว่าขาดเจตนาหรือขาดนั่นขาดนี่ ทำให้พยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ เพราะถ้ายุบผู้ใหญ่คนนั้นคงโกรธน่าดู อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการยุบพรรคประชาธิปัตย์แต่เชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองคงไม่มีอะไรรุนแรงจนนำไปสู่วิกฤตของบ้านเมือง เพราะคนเสื้อแดงไม่มีกำลังจะเคลื่อนไหวเนื่องจากแกนนำส่วนใหญ่อยู่ในคุกและยังมีการใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่อีกหลายจังหวัด ฉะนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงคงต้องทำใจและยอมรับสภาพตรงนี้
ถ้ายุบ ปชป. จะทำให้การเมืองดีขึ้น
ดร.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองลดความรุนแรงลงไปมาก เพราะเงื่อนไขนำไปสู่การยุบสภาเลือกตั้งใหม่จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
“เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะที่เป็นแกนนำรัฐบาลถูกยุบพรรค พรรคร่วมรัฐบาลที่เหลืออยู่ก็ยากที่จะแบกอำนาจต่อไป และจะส่งผลให้พรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมากทางการเมืองขึ้นมาทันที ซึ่งถ้าสถานการณ์ถึงขั้นนั้นผมฟันธงว่าแนวโน้มการยุบสภาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน” ดร.พิชญ์กล่าว
ทีมกฎหมายประชาธิปัตย์พร้อมแล้ว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมรับทราบการเตรียมความพร้อมสู้คดียุบพรรคทั้งกรณีใช้เงินกองทุนสนับสนุนและพัฒนาพรรคการเมือง 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ และคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท โดยทีมกฎหมายยืนยันว่ามีข้อมูลหลักฐานพร้อมหักล้างข้อกล่าวหาแล้วทั้ง 2 คดี
“สิ่งที่พรรคกังวลในตอนนี้คือมีขบวนการสร้างเรื่องกดดันศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เหมือนพรรคการเมืองอื่น ทั้งที่การพิจารณาคดีต้องเป็นไปตามข้อเท็จจริงของแต่ละคดี” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
**********************************************************************
จิ๊กซอว์ "ประเทศไทย" อนาคต 10 ปี จะไปทางไหน ?
สัปดาห์ที่ผ่านมาสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ได้จัดงานประชุมวิชาการ 100 ปี "ศาสตราจารย์บุญชนะ อัตถากร" เมื่อวันที่ 15 ก.ค 2553 ซึ่งคนรุ่นหลังอาจไม่รู้จัก แต่ในอดีตช่วงประเทศชาติของเรากำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ "ศาสตราจารย์บุญชนะ" เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทยมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม
ในปี 2504 เป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ศาสตราจารย์บุญชนะเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญเสนอแนวคิดในการจัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการสภาพัฒน์ พร้อมกับดำรงตำแหน่งอธิบดีวิเทศสหการคนแรกซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการประสานงานของการสนับสนุนต่างประเทศทั้งด้านการเงินและวิชาการ ขณะเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ที่สำคัญท่านยังเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการผลักดันให้เขียน"แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกในประเทศไทย" เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์กระจายความเจริญสู่ภูมิภาคด้วยการสร้างมหาวิทยาลัยหัวเมือง อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และยังเป็นอธิการบดี คนแรกของนิด้า นั่นอาจเป็นคุณูปการเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นของศาสตราจารย์บุญชนะ เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ท่านได้ให้แก่ ประเทศไทย
ดังนั้นเพื่อระลึกถึงศาสตราจารย์บุญชนะ ทางนิด้าจึงได้จัดงานประชุมวิชาการเพื่อรำลึกและเชิดชูเกียรติท่าน โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ในฐานะนายกสภานิด้า เป็นองค์ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ประเทศไทย : ก้าวไปข้างหน้าด้วยการพัฒนาที่สมดุล"
จากนั้นมีการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง "การพัฒนาเศรษฐกิจไทยในศตวรรษหน้า" ซึ่งมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บล.จัดการกองทุนรวม MFC จำกัด (มหาชน) และประธานกลุ่มบริษัทเศรณี ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการสภาพัฒน์
"ดร.จิรายุ" เปิดประเด็นว่า การจะคิดเกี่ยวกับหัวข้อ "ประเทศไทย" ควรมีการประเมินความสำเร็จและข้อบกพร่องของการพัฒนาที่ผ่านมาและมาวางแผนการพัฒนาในอนาคตให้สอดคล้องกับปัญหาตามความเป็นจริงของประเทศและของโลก
50 ปีที่ผ่านมา (2503-2553) ประเทศไทยประสบผลสำเร็จกับการพัฒนาประเทศหรือไม่ รายงานธนาคารโลกที่จัดทำขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ชื่อ "Strange Report" ระบุว่ามี 13 ประเทศ ที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาประเทศ เกณฑ์ที่ใช้วัดคือ ต้องมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่า 7% เป็นเวลา 25 ปีอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทย ก็เป็น 1 ใน 13 ประเทศ
รายงานบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยน่าจะถือว่าเป็น
"Economic Miracle" หรือเป็นความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจที่ยากจะอธิบาย และแนวโน้มไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกหรือเกิดขึ้นได้ยาก เพราะฉะนั้นน่าจะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของประเทศไทย ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปูพื้นฐานของผู้ที่มีบทบาทในอดีตอย่างเช่นอาจารย์บุญชนะ เป็นต้น
ธนาคารโลกชี้ว่า 50 ปีประเทศไทยเปลี่ยนไปแค่ไหน... ประชากรไทยเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จาก 27 ล้านคน เป็น 63 ล้านคน แต่รายได้ต่อหัวก็เพิ่มขึ้น 7.5 เท่า จำนวนผู้อยู่ใต้เส้นความยากจน เมื่อปี 2529 มีประมาณ 24 ล้านคน แต่ในปี 2550 ลดลงเหลือประมาณ 5.9 ล้านคน ถือว่าเราก็ประสบความสำเร็จพอสมควร
ขณะที่ประชาคมภายใต้สหประชาชาติได้ตั้งเป้าหมายสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals ที่เกี่ยวกับประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนา 7 เป้าหมายที่จะต้องบรรลุ ในปี 2015 ได้แก่ 1.ขจัดความยากจน 2.การพัฒนาเศรษฐกิจ 3.การสร้างความเท่าเทียม 4.การลดอัตราการตายของเด็ก 5.การพัฒนาสุภาพของสตรีมีครรภ์ 6.การป้องกันโรคเอดส์ และ 7.การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.จิรายุมองว่าไทยบรรลุข้อ 1-6 แต่ข้อ 7 ยังไม่บรรลุ
นอกจากนี้ ดร.จิรายุได้พูดถึงรายงานของสหประชาชาติในปี 2550 เกี่ยวกับ "การพัฒนาคนของประเทศไทย" ที่พบว่าในระหว่างที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็มีความไม่สมดุลและมีปัญหา ที่เกิดขึ้นหลายมิติในการพัฒนาของประเทศ ได้แก่ 1.ความไม่สมดุลด้านการกระจาย รายได้ 2.ความไม่สมดุลในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและดูแลสิ่งแวดล้อม 3.ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองและชนบท และ 4.ปัญหาเรื่องค่านิยม คุณธรรม และศีลธรรม ดูเหมือนจะเสื่อมโทรมลงในการพัฒนาช่วงที่ผ่านมา
ปัญหาแรก ความไม่สมดุลในการกระจายรายได้ พบว่าคนรวยที่สุด 20% แรกของประเทศไทยในปี 2519 ได้ส่วนแบ่งรายได้ 49.3% ปี 2551 อยู่ที่ 54.9% ขณะที่กลุ่มคนที่ยากจนที่สุด 20% ในปี 2519 ได้ส่วนแบ่งรายได้ 6.1% แต่ในปี 2551 อยู่ที่ 4.4% ข้อมูลนี้สะท้อนว่า แม้คนอยู่ใต้เส้นความยากจนลดลงไปมาก แต่หากมองเรื่องการกระจายได้แล้วความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น
ปัญหาที่ 2 ความไม่สมดุลของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเติบโตในอดีตจากภาคอุตสาหกรรมและการ ท่องเที่ยวได้ไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม เกิดมลพิษ ถ้าปล่อยให้หมักหมมอยู่นาน ๆ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่สะเทือนขึ้นมา เช่น ปัญหามาบตาพุด เป็นต้น
ปัญหาที่ 3 ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองกับชนบท เป็นทั้งปัญหาจริงและปัญหาที่อยู่ในใจเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของเมืองกับชนบท
และปัญหาที่ 4 ปัญหาค่านิยม คุณธรรม เสื่อมโทรมลง ดร.จิรายุ มีความเห็นส่วนตัวว่า น่าห่วงมากที่สุด
นี่คือ 4 ปัญหาใหญ่
ขณะเดียวกันประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เรื่องใหญ่ ๆ เช่น เรื่องโลกร้อน พลังงานขาดแคลน เราได้เห็นสัญญาณแล้ว ข้างนอกเริ่มมีความไม่มีเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสกระทบเรา และ ซ้ำเติมปัญหาที่กล่าวมา ดังนั้นต้องรีบแก้ไขเพื่อให้เรามีภูมิคุ้มกันผลกระทบจากภายนอก
ทางออกที่ ดร.จิรายุนำเสนอ...ต้องเริ่มต้นที่ "หลักคิด" และ "เข็มทิศ" ก่อน ซึ่งน่าจะมาจาก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มจากจุดนี้เราก็จะเดินหน้าไปด้วยกันได้
ขณะเดียวกันก็ต้องมีเครือข่ายจาก ผู้รู้และหน่วยงานมาช่วยขับเคลื่อน เพราะยังมีโครงการต่าง ๆ อีกจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
เพราะฉะนั้น "อนาคตประเทศไทย" เราไม่ได้เริ่มต้นที่ "ศูนย์" แต่อนาคตมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง น่าจะต้องหารูปแบบที่เหมาะสม คงจะเหมือนแบบนี้ไม่ได้
นี่ถือว่าเป็นโจทย์ของวันนี้
10 ปีข้างหน้าต้องมี 3 เสาหลัก
ในส่วนของการอภิปรายหัวข้อ "การพัฒนาเศรษฐกิจไทยในศตวรรษหน้า" ดร.บัณฑิตชี้ว่า ช่วง20 ปี (2503-2523) เป็นยุคทองของเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตเฉลี่ย 7.5% และเงินเฟ้อต่ำอยู่ที่ 5% สิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วง 50 ปีที่ผ่านมา คือ การส่งออก และการลงทุนภาครัฐ และยังมีพันธกิจที่ชัดเจนง่าย ๆ คือ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีน้ำใจ" นี่คือจุดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ร่วมกันในอดีต
ในปี 2523 เราเข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ เศรษฐกิจไทยต้องปรับตัวมาก เพราะเราไม่ได้มีการเตรียม การปฏิรูปเศรษฐกิจภายในไม่ได้มีการปรับโครงสร้างที่มากพอ ทำให้เศรษฐกิจต้องปรับตัวมาก และรูปแบบการจัดการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคไม่ยืดหยุ่นพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นำไปสู่ปัญหา 3 ด้านด้วยกัน คือ 1.การมีต้นทุนการผลิตสูง 2.การกระจายผลประโยชน์ได้ไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และ 3.ความสามารถของประชาชนที่จะปรับตัวต่อเศรษฐกิจมีน้อยลง ทำให้ต้องพึ่งพารัฐมากขึ้น
ฉะนั้นถ้ามองในอีก 10 ปีข้างหน้า หากประเทศไทยจะเติบโตแบบสมดุลต้องทำอะไรบ้าง ดร.บัณฑิตเสนอ 3 แนวทาง คือ 1.ระเบียบข้อกฎหมาย ต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น 2.ภาคการเงิน ต้องทำให้สภาพคล่องในระบบมีเพียงพอเพื่อสนับสนุนภาคการผลิต ในเรื่องนี้ทาง ธปท.ได้ให้ความสำคัญและอยู่ในการดูแลโดยเน้นให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงิน และ 3.การศึกษา เพราะหากจะมุ่งไปสู่สินค้าประเภทสร้างสรรค์ การศึกษาจำเป็นต้องมีความเข้มแข็ง
"นอกจาก 3 แนวทางนั้นแล้ว สิ่งที่เราต้องมีอีกอันหนึ่งคือปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจประสบความสำเร็จในอดีต เราต้องขวนขวายเอาอันนั้นกลับมาคือ 3 เสาหลักด้านเสถียรภาพการเมือง ภาคราชการที่มีความสามารถเข้มแข็ง และภาคเอกชนที่มีพลวัต ผมมั่นใจว่าถ้าเราทำทุกอย่างได้ครบใน 10 ปี 20 ปี หรืออาจจะถึง 100 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็จะเติบโตในเศรษฐกิจภาพรวมในสังคมโลก" ดร.บัณฑิตกล่าว
ศูนย์กลางโลกเปลี่ยนจาก "ตต. สู่ ตอ."
ด้าน ดร.ณรงค์ชัยมองเศรษฐกิจไทยว่า ที่ผ่านมาเติบโตจากการส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน เป็นหลัก แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าคงต้องดูว่าสังคมไทยจะค้าขายอะไรเพื่อที่จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ดี และทำให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้น ขณะเดียวกันต้องดูว่ากระแสโลกจะไปไหนแล้วจับมาเป็นประเด็น
โดยกระแสโลกขณะนี้คือ ศูนย์กลางความเจริญของโลกเปลี่ยนจากตะวันตกมาเป็นตะวันออก และเรากำลังเดินเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคตต้องเสริมสร้างความสมบูรณ์ของข้อตกลงการค้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น เอฟทีเอ เป็นต้น รวมทั้งแสวงหาผลการทำข้อตกลงทางการค้าใหม่กับตะวันออกกลาง สหรัฐ รัสเซีย
ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดร.ณรงค์ชัยเสนอว่า ประเทศไทยควรเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม บริการ และการเกษตร โดยภาคอุตสาหกรรมนั้นควรเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่ต่อยอด หรือเชื่อมโยงกับภาคการเกษตร เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร หรือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจากพืช รวมไปถึงอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน
ส่วนภาคบริการควรเน้นลงทุนและพัฒนาระบบขนส่งและโทรคมนาคม รวมถึงระบบโลจิสติกส์ ที่สำคัญต้องมุ่งส่งเสริมพัฒนาธุรกิจในกลุ่ม hospitality และ wellness หรือด้านสุขภาพทั้งหลาย รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรม เพื่อมุ่งไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์
สำหรับภาคเกษตรควรเน้นด้านอาหาร โดยสามารถทวนสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตระดับไร่นา การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปและการจัดจำหน่ายจนถึงมือผู้บริโภคเป็นกระบวนการปฏิบัติเพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยอาหาร ได้ตลอดห่วงโซ่อาหาร และสามารถเรียก กลับคืนสินค้าได้ การทวนสอบย้อนกลับอาจดำเนินการในลักษณะ การทวนสอบย้อนกลับจากผลิตภัณฑ์ (backward traceability) หรือการทวนสอบจากการผลิตในระดับไร่นาจนถึงผลิตภัณฑ์ (forward traceability)
จับตาโลก 5 ด้าน
ส่วน ดร.ปรเมธีกล่าวว่า สภาพัฒน์กำลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ซึ่งได้ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์โลกและจุดอ่อนของประเทศไทย เพื่อจัดทำแผนฉบับที่ 11
สภาพัฒน์ได้มองสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกที่สำคัญ 5 ด้าน ซึ่งมีผลต่อการทำแผนฉบับที่ 11 คือ 1.กฎ กติกาใหม่ของโลก ในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การค้าและการลงทุน การเงิน สิ่งแวดล้อม 2.การปรับตัวเข้าสู่หลายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ 3.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 4.ภาวะโลกร้อน 5.ปัญหาในด้านอาหารและพลังงาน และ 6.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ขณะที่ความเสี่ยงหรือจุดอ่อนที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศสภาพัฒน์ได้วิเคราะห์ว่ามี 5 ปัจจัย ได้แก่ 1.กระบวนการบริหารภาครัฐอ่อนแอ 2.โครงสร้างทางเศรษฐกิจไม่สามารถรองรับการเจริญ เติบโตอย่างยั่งยืน 3.โครงสร้างประชากรไม่สมดุล 4.การเสื่อมสลายของค่านิยมที่ดีของไทย และ 5.การเปลี่ยนแปลงในฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
จากนั้นสภาพัฒน์ได้วิเคราะห์จุดแข็งและโอกาสของประเทศไทย เพื่อนำมาสู่การร่างยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาในแผนฉบับที่ 11 ซึ่งมีด้วยกัน 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1.การสร้างสังคมให้เป็นธรรม 2.การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน 3.การสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้และการสร้างปัจจัยแวดล้อม 4.การสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในภูมิภาค 5.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และ 6.การสร้างความสมดุลและมั่นคงของอาหารและพลังงาน
ทั้งนี้การจัดทำแผนฉบับที่ 11 มีวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ คือ "สังคมที่อยู่กันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง"
ดร.ปรเมธีบอกว่า นั่นคือ "keyword" ที่สำคัญสำหรับในช่วง 5 ปี ที่สภาพัฒน์ต้องพยายามเรียกกลับมา หรือว่าสร้างให้เกิดขึ้น ในสังคมไทย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*****************************************************
ในปี 2504 เป็นช่วงรอยต่อที่สำคัญสำหรับประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ศาสตราจารย์บุญชนะเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญเสนอแนวคิดในการจัดตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรองเลขาธิการสภาพัฒน์ พร้อมกับดำรงตำแหน่งอธิบดีวิเทศสหการคนแรกซึ่งมีบทบาทหน้าที่ในการประสานงานของการสนับสนุนต่างประเทศทั้งด้านการเงินและวิชาการ ขณะเดียวกันก็ได้รับแต่งตั้ง ให้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติอีกตำแหน่งหนึ่งด้วย
ที่สำคัญท่านยังเป็นผู้มีส่วนร่วมสำคัญในการผลักดันให้เขียน"แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกในประเทศไทย" เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์กระจายความเจริญสู่ภูมิภาคด้วยการสร้างมหาวิทยาลัยหัวเมือง อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และยังเป็นอธิการบดี คนแรกของนิด้า นั่นอาจเป็นคุณูปการเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้นของศาสตราจารย์บุญชนะ เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ท่านได้ให้แก่ ประเทศไทย
ดังนั้นเพื่อระลึกถึงศาสตราจารย์บุญชนะ ทางนิด้าจึงได้จัดงานประชุมวิชาการเพื่อรำลึกและเชิดชูเกียรติท่าน โดยมี ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ในฐานะนายกสภานิด้า เป็นองค์ปาฐกถาพิเศษเรื่อง "ประเทศไทย : ก้าวไปข้างหน้าด้วยการพัฒนาที่สมดุล"
จากนั้นมีการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง "การพัฒนาเศรษฐกิจไทยในศตวรรษหน้า" ซึ่งมีผู้ร่วมอภิปรายได้แก่ ดร.ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานกรรมการ บล.จัดการกองทุนรวม MFC จำกัด (มหาชน) และประธานกลุ่มบริษัทเศรณี ดร.บัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ ดร.ปรเมธี วิมลศิริ รองเลขาธิการสภาพัฒน์
"ดร.จิรายุ" เปิดประเด็นว่า การจะคิดเกี่ยวกับหัวข้อ "ประเทศไทย" ควรมีการประเมินความสำเร็จและข้อบกพร่องของการพัฒนาที่ผ่านมาและมาวางแผนการพัฒนาในอนาคตให้สอดคล้องกับปัญหาตามความเป็นจริงของประเทศและของโลก
50 ปีที่ผ่านมา (2503-2553) ประเทศไทยประสบผลสำเร็จกับการพัฒนาประเทศหรือไม่ รายงานธนาคารโลกที่จัดทำขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ชื่อ "Strange Report" ระบุว่ามี 13 ประเทศ ที่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาประเทศ เกณฑ์ที่ใช้วัดคือ ต้องมีอัตราการเจริญเติบโตมากกว่า 7% เป็นเวลา 25 ปีอย่างต่อเนื่อง และประเทศไทย ก็เป็น 1 ใน 13 ประเทศ
รายงานบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยน่าจะถือว่าเป็น
"Economic Miracle" หรือเป็นความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจที่ยากจะอธิบาย และแนวโน้มไม่น่าจะเกิดขึ้นได้อีกหรือเกิดขึ้นได้ยาก เพราะฉะนั้นน่าจะถือได้ว่าเป็นความสำเร็จของประเทศไทย ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการปูพื้นฐานของผู้ที่มีบทบาทในอดีตอย่างเช่นอาจารย์บุญชนะ เป็นต้น
ธนาคารโลกชี้ว่า 50 ปีประเทศไทยเปลี่ยนไปแค่ไหน... ประชากรไทยเพิ่มขึ้น 2.5 เท่า จาก 27 ล้านคน เป็น 63 ล้านคน แต่รายได้ต่อหัวก็เพิ่มขึ้น 7.5 เท่า จำนวนผู้อยู่ใต้เส้นความยากจน เมื่อปี 2529 มีประมาณ 24 ล้านคน แต่ในปี 2550 ลดลงเหลือประมาณ 5.9 ล้านคน ถือว่าเราก็ประสบความสำเร็จพอสมควร
ขณะที่ประชาคมภายใต้สหประชาชาติได้ตั้งเป้าหมายสหัสวรรษ หรือ Millennium Development Goals ที่เกี่ยวกับประเทศไทย และประเทศกำลังพัฒนา 7 เป้าหมายที่จะต้องบรรลุ ในปี 2015 ได้แก่ 1.ขจัดความยากจน 2.การพัฒนาเศรษฐกิจ 3.การสร้างความเท่าเทียม 4.การลดอัตราการตายของเด็ก 5.การพัฒนาสุภาพของสตรีมีครรภ์ 6.การป้องกันโรคเอดส์ และ 7.การรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ดร.จิรายุมองว่าไทยบรรลุข้อ 1-6 แต่ข้อ 7 ยังไม่บรรลุ
นอกจากนี้ ดร.จิรายุได้พูดถึงรายงานของสหประชาชาติในปี 2550 เกี่ยวกับ "การพัฒนาคนของประเทศไทย" ที่พบว่าในระหว่างที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วก็มีความไม่สมดุลและมีปัญหา ที่เกิดขึ้นหลายมิติในการพัฒนาของประเทศ ได้แก่ 1.ความไม่สมดุลด้านการกระจาย รายได้ 2.ความไม่สมดุลในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและดูแลสิ่งแวดล้อม 3.ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองและชนบท และ 4.ปัญหาเรื่องค่านิยม คุณธรรม และศีลธรรม ดูเหมือนจะเสื่อมโทรมลงในการพัฒนาช่วงที่ผ่านมา
ปัญหาแรก ความไม่สมดุลในการกระจายรายได้ พบว่าคนรวยที่สุด 20% แรกของประเทศไทยในปี 2519 ได้ส่วนแบ่งรายได้ 49.3% ปี 2551 อยู่ที่ 54.9% ขณะที่กลุ่มคนที่ยากจนที่สุด 20% ในปี 2519 ได้ส่วนแบ่งรายได้ 6.1% แต่ในปี 2551 อยู่ที่ 4.4% ข้อมูลนี้สะท้อนว่า แม้คนอยู่ใต้เส้นความยากจนลดลงไปมาก แต่หากมองเรื่องการกระจายได้แล้วความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น
ปัญหาที่ 2 ความไม่สมดุลของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเติบโตในอดีตจากภาคอุตสาหกรรมและการ ท่องเที่ยวได้ไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรม เกิดมลพิษ ถ้าปล่อยให้หมักหมมอยู่นาน ๆ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ ที่สะเทือนขึ้นมา เช่น ปัญหามาบตาพุด เป็นต้น
ปัญหาที่ 3 ความไม่สมดุลของการพัฒนาเมืองกับชนบท เป็นทั้งปัญหาจริงและปัญหาที่อยู่ในใจเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำของเมืองกับชนบท
และปัญหาที่ 4 ปัญหาค่านิยม คุณธรรม เสื่อมโทรมลง ดร.จิรายุ มีความเห็นส่วนตัวว่า น่าห่วงมากที่สุด
นี่คือ 4 ปัญหาใหญ่
ขณะเดียวกันประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เรื่องใหญ่ ๆ เช่น เรื่องโลกร้อน พลังงานขาดแคลน เราได้เห็นสัญญาณแล้ว ข้างนอกเริ่มมีความไม่มีเสถียรภาพ มีการเปลี่ยนแปลง และมีโอกาสกระทบเรา และ ซ้ำเติมปัญหาที่กล่าวมา ดังนั้นต้องรีบแก้ไขเพื่อให้เรามีภูมิคุ้มกันผลกระทบจากภายนอก
ทางออกที่ ดร.จิรายุนำเสนอ...ต้องเริ่มต้นที่ "หลักคิด" และ "เข็มทิศ" ก่อน ซึ่งน่าจะมาจาก "ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มจากจุดนี้เราก็จะเดินหน้าไปด้วยกันได้
ขณะเดียวกันก็ต้องมีเครือข่ายจาก ผู้รู้และหน่วยงานมาช่วยขับเคลื่อน เพราะยังมีโครงการต่าง ๆ อีกจำนวนมากที่สามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ
เพราะฉะนั้น "อนาคตประเทศไทย" เราไม่ได้เริ่มต้นที่ "ศูนย์" แต่อนาคตมีการเปลี่ยนแปลงทั้งสังคม เศรษฐกิจ การเมือง น่าจะต้องหารูปแบบที่เหมาะสม คงจะเหมือนแบบนี้ไม่ได้
นี่ถือว่าเป็นโจทย์ของวันนี้
10 ปีข้างหน้าต้องมี 3 เสาหลัก
ในส่วนของการอภิปรายหัวข้อ "การพัฒนาเศรษฐกิจไทยในศตวรรษหน้า" ดร.บัณฑิตชี้ว่า ช่วง20 ปี (2503-2523) เป็นยุคทองของเศรษฐกิจไทยที่มีการเติบโตเฉลี่ย 7.5% และเงินเฟ้อต่ำอยู่ที่ 5% สิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจช่วง 50 ปีที่ผ่านมา คือ การส่งออก และการลงทุนภาครัฐ และยังมีพันธกิจที่ชัดเจนง่าย ๆ คือ "น้ำไหล ไฟสว่าง ทางดี มีน้ำใจ" นี่คือจุดการพัฒนาเศรษฐกิจที่ร่วมกันในอดีต
ในปี 2523 เราเข้าสู่กระบวนการโลกาภิวัตน์ เศรษฐกิจไทยต้องปรับตัวมาก เพราะเราไม่ได้มีการเตรียม การปฏิรูปเศรษฐกิจภายในไม่ได้มีการปรับโครงสร้างที่มากพอ ทำให้เศรษฐกิจต้องปรับตัวมาก และรูปแบบการจัดการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคไม่ยืดหยุ่นพอต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น นำไปสู่ปัญหา 3 ด้านด้วยกัน คือ 1.การมีต้นทุนการผลิตสูง 2.การกระจายผลประโยชน์ได้ไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และ 3.ความสามารถของประชาชนที่จะปรับตัวต่อเศรษฐกิจมีน้อยลง ทำให้ต้องพึ่งพารัฐมากขึ้น
ฉะนั้นถ้ามองในอีก 10 ปีข้างหน้า หากประเทศไทยจะเติบโตแบบสมดุลต้องทำอะไรบ้าง ดร.บัณฑิตเสนอ 3 แนวทาง คือ 1.ระเบียบข้อกฎหมาย ต้องมีความเข้มแข็งมากขึ้น 2.ภาคการเงิน ต้องทำให้สภาพคล่องในระบบมีเพียงพอเพื่อสนับสนุนภาคการผลิต ในเรื่องนี้ทาง ธปท.ได้ให้ความสำคัญและอยู่ในการดูแลโดยเน้นให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงิน และ 3.การศึกษา เพราะหากจะมุ่งไปสู่สินค้าประเภทสร้างสรรค์ การศึกษาจำเป็นต้องมีความเข้มแข็ง
"นอกจาก 3 แนวทางนั้นแล้ว สิ่งที่เราต้องมีอีกอันหนึ่งคือปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจประสบความสำเร็จในอดีต เราต้องขวนขวายเอาอันนั้นกลับมาคือ 3 เสาหลักด้านเสถียรภาพการเมือง ภาคราชการที่มีความสามารถเข้มแข็ง และภาคเอกชนที่มีพลวัต ผมมั่นใจว่าถ้าเราทำทุกอย่างได้ครบใน 10 ปี 20 ปี หรืออาจจะถึง 100 ปีข้างหน้า ประเทศไทยก็จะเติบโตในเศรษฐกิจภาพรวมในสังคมโลก" ดร.บัณฑิตกล่าว
ศูนย์กลางโลกเปลี่ยนจาก "ตต. สู่ ตอ."
ด้าน ดร.ณรงค์ชัยมองเศรษฐกิจไทยว่า ที่ผ่านมาเติบโตจากการส่งออก ท่องเที่ยว และการลงทุน เป็นหลัก แต่ในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าคงต้องดูว่าสังคมไทยจะค้าขายอะไรเพื่อที่จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้ดี และทำให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้น ขณะเดียวกันต้องดูว่ากระแสโลกจะไปไหนแล้วจับมาเป็นประเด็น
โดยกระแสโลกขณะนี้คือ ศูนย์กลางความเจริญของโลกเปลี่ยนจากตะวันตกมาเป็นตะวันออก และเรากำลังเดินเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (AEC) ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในอนาคตต้องเสริมสร้างความสมบูรณ์ของข้อตกลงการค้าต่าง ๆ ที่มีอยู่ เช่น เอฟทีเอ เป็นต้น รวมทั้งแสวงหาผลการทำข้อตกลงทางการค้าใหม่กับตะวันออกกลาง สหรัฐ รัสเซีย
ส่วนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ดร.ณรงค์ชัยเสนอว่า ประเทศไทยควรเน้นไปที่ภาคอุตสาหกรรม บริการ และการเกษตร โดยภาคอุตสาหกรรมนั้นควรเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่ต่อยอด หรือเชื่อมโยงกับภาคการเกษตร เช่น อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร หรือเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจากพืช รวมไปถึงอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน
ส่วนภาคบริการควรเน้นลงทุนและพัฒนาระบบขนส่งและโทรคมนาคม รวมถึงระบบโลจิสติกส์ ที่สำคัญต้องมุ่งส่งเสริมพัฒนาธุรกิจในกลุ่ม hospitality และ wellness หรือด้านสุขภาพทั้งหลาย รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับวัฒนธรรม เพื่อมุ่งไปสู่ธุรกิจสร้างสรรค์
สำหรับภาคเกษตรควรเน้นด้านอาหาร โดยสามารถทวนสอบย้อนกลับของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่กระบวนการผลิตระดับไร่นา การจัดการหลังการเก็บเกี่ยว การแปรรูปและการจัดจำหน่ายจนถึงมือผู้บริโภคเป็นกระบวนการปฏิบัติเพื่อควบคุมคุณภาพของผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยอาหาร ได้ตลอดห่วงโซ่อาหาร และสามารถเรียก กลับคืนสินค้าได้ การทวนสอบย้อนกลับอาจดำเนินการในลักษณะ การทวนสอบย้อนกลับจากผลิตภัณฑ์ (backward traceability) หรือการทวนสอบจากการผลิตในระดับไร่นาจนถึงผลิตภัณฑ์ (forward traceability)
จับตาโลก 5 ด้าน
ส่วน ดร.ปรเมธีกล่าวว่า สภาพัฒน์กำลังอยู่ระหว่างจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555-2559) ซึ่งได้ประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์โลกและจุดอ่อนของประเทศไทย เพื่อจัดทำแผนฉบับที่ 11
สภาพัฒน์ได้มองสถานการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกที่สำคัญ 5 ด้าน ซึ่งมีผลต่อการทำแผนฉบับที่ 11 คือ 1.กฎ กติกาใหม่ของโลก ในการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เช่น การค้าและการลงทุน การเงิน สิ่งแวดล้อม 2.การปรับตัวเข้าสู่หลายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ 3.การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ 4.ภาวะโลกร้อน 5.ปัญหาในด้านอาหารและพลังงาน และ 6.ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ขณะที่ความเสี่ยงหรือจุดอ่อนที่มีผลต่อการพัฒนาประเทศสภาพัฒน์ได้วิเคราะห์ว่ามี 5 ปัจจัย ได้แก่ 1.กระบวนการบริหารภาครัฐอ่อนแอ 2.โครงสร้างทางเศรษฐกิจไม่สามารถรองรับการเจริญ เติบโตอย่างยั่งยืน 3.โครงสร้างประชากรไม่สมดุล 4.การเสื่อมสลายของค่านิยมที่ดีของไทย และ 5.การเปลี่ยนแปลงในฐานทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ
จากนั้นสภาพัฒน์ได้วิเคราะห์จุดแข็งและโอกาสของประเทศไทย เพื่อนำมาสู่การร่างยุทธศาสตร์และแนวทางการพัฒนาในแผนฉบับที่ 11 ซึ่งมีด้วยกัน 6 ยุทธศาสตร์ คือ 1.การสร้างสังคมให้เป็นธรรม 2.การพัฒนาคนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้อย่างยั่งยืน 3.การสร้างเศรษฐกิจฐานความรู้และการสร้างปัจจัยแวดล้อม 4.การสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจในภูมิภาค 5.การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และ 6.การสร้างความสมดุลและมั่นคงของอาหารและพลังงาน
ทั้งนี้การจัดทำแผนฉบับที่ 11 มีวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ คือ "สังคมที่อยู่กันอย่างมีความสุข ด้วยความเสมอภาค เป็นธรรม และมีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง"
ดร.ปรเมธีบอกว่า นั่นคือ "keyword" ที่สำคัญสำหรับในช่วง 5 ปี ที่สภาพัฒน์ต้องพยายามเรียกกลับมา หรือว่าสร้างให้เกิดขึ้น ในสังคมไทย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
*****************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
“ความรู้” ในแบบสมเกียรติ ตั้งนโม แห่ง ม.เที่ยงคืน
สมชาย ปรีชาศิลปกุล
สมเกียรติ ตั้งนโม อาจไม่ได้เป็นปัญญาชนชื่อเสียงโด่งดังคับบ้านคับเมือง แต่ในท่ามกลางบรรดาผู้สนใจใฝ่หาความรู้ รวมถึงผู้ที่สนใจความเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนไม่น้อยคงเคยได้ยินชื่อของเขาบ้างในฐานะบุคคลหนึ่งที่มีส่วนอย่างสำคัญ ทั้งในแง่ของการสร้างฐานความรู้ที่ทันสมัยและกว้างขวางบนสื่ออินเตอร์เน็ตจากการก่อตั้งเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน (http://www.midnightuniv.org) และในฐานะสมาชิกคนสำคัญของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่งมีส่วนร่วมต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเด็นที่มุ่งเน้นถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชน และการสร้างสังคมประชาธิปไตยมาอย่างต่อเนื่อง
สมเกียรติ ได้จากพวกเราทั้งหมดไปอย่างสงบแล้วเมื่อเช้าวันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2553 (6 เดือนตั้งแต่ได้บอกผมว่ามีก้อนอะไรกลมๆ อยู่ที่ตรงท้องของเขา) โดยได้ทิ้งอะไรหลายอย่างไว้ให้เป็นอนุสติแก่พวกเราทั้งในด้านที่ควรนำมาไตร่ตรอง ขบคิด
เฉพาะอย่างยิ่งในด้านของ “ความรู้” อันเป็นสิ่งที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความหมายและความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงการมีชีวิตอยู่ของอาจารย์สมเกียรติ
เขาเป็นคนที่แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นในการแสวงหาความรู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ใครที่เป็นคนใกล้ชิดคงจะได้ฟังเรื่องราวทางวิชาการใหม่ๆ จากปากของอาจารย์สมเกียรติอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่ได้อ่านงานหรือรับฟังการบรรยาย อภิปรายใดๆ เสร็จและมีความประทับใจ จนทำให้เราต้องไปติดตามอ่านงานที่ได้ถูกกล่าวถึง
อาจารย์สมเกียรติเป็นคนที่สนใจในการแปลงานวิชาการอย่างยิ่ง จะเห็นได้ว่างานจำนวนมากของเขาเป็นผลงานการนำความรู้จากตะวันตกมาสู่สังคมไทยอันเป็นสังคมที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรู้มากเท่าไหร่ ความใฝ่ฝันของเขาซึ่งยังไม่ประสบความสำเร็จก็คือ การจัดตั้งโครงการแปลตาม “อำเภอใจ” เขาได้ขอให้ผมลองช่วยหาทุนมาสนับสนุนการแปลที่จะขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเขาโดยไม่มีการกำหนดเนื้อหาเอาไว้ล่วงหน้า
ซึ่งแน่นอนว่าคงยากจะหาแหล่งทุนใดมาสนับสนุนได้เป็นอย่างแน่แท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่แหล่งทุนทั้งจากภายในและภายนอกประเทศก็ล้วนต้องอยู่ภายใต้ระบบการควบคุมคุณภาพเฉกเช่นโรงงานผลิตปลากระป๋อง การให้ทุนจึงเต็มไปด้วยเงื่อนไข ข้อตกลง คำถามการวิจัย หรืออะไรประมาณนี้ที่ชัดเจน
(แม้จะไม่มีใครให้การสนับสนุนต่อโครงการแปลตามอำเภอใจ แต่อาจารย์สมเกียรติในเวลาก่อนหน้าเป็นคณบดีคณะวิจิตรศิลป์และก่อนที่จะรู้ตัวว่าป่วยเป็นโรคมะเร็ง ก็ยังทำงานแปลอย่างสม่ำเสมออย่างน้อยวันละ 6 หน้า)
แต่ความรู้ชนิดไหนที่อาจารย์สมเกียรติสนใจ
เขาให้ความสำคัญกับความรู้ในแบบที่สังคมกระแสหลักไม่สู้จะให้ความสนใจ ความรู้ในแบบที่แตกต่างจากกระแสหลัก ความรู้ที่เป็นการโต้แย้ง หรือแม้กระทั่งเป็นอริกับความรู้กระแสหลักคือสิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อผมได้พูดถึงแนวคิดเรื่องการดื้อแพ่งต่อกฎหมายเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วในยามที่เพิ่งรู้จักกัน อาจารย์สมเกียรติให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อมาในภายหลังจึงเข้าใจว่าเพราะอยู่ในทิศทางของความรู้ที่เขาสนใจ
หากมีเวลาลองไล่เรียงงานของอาจารย์สมเกียรติ บางคนที่ไม่คุ้นเคยอาจมึนงงอยู่บ้างกับงานเขียนหลายชิ้น เช่น แนวคิดหลังอาณานิคม (Post-colonialism), ความรู้ช้า (Slow knowledge), ลิขซ้าย (Copyleft), วัฒนธรรมทางสายตาหรือ Visual Culture (สำหรับเรื่องนี้เข้าใจว่าเป็นประเด็นที่อาจารย์สมเกียรติมีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งในการนำเสนอ ตอนที่เริ่มอ่านเริ่มแปลเรื่องนี้ใหม่ๆ ทุกครั้งในการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ต่างๆ ไม่ว่าการเมือง สังคม วัฒนธรรม การช้อปปิ้ง การแต่งกาย ล้วนจะต้องมีแนวการวิเคราะห์แบบ Visual Culture โผล่มาด้วยทุกครั้ง)
เขามีความสุขกับการเดินทางไปในโลกแห่งความรู้ การอ่านและการคิดของเขาไม่ใช่เพียงเพราะต้องทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ลูกศิษย์ เราทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดคงตระหนักดีได้ว่าการทำงานของอาจารย์สมเกียรติคือชีวิตที่เต็มไปด้วยความเพลิดเพลิน (ทั้งนี้ความสำราญใจประการหนึ่งที่รับรู้กันดีก็คืออาหารมันๆ ประเภทข้าวขาหมู หรืออะไรที่มีรสหวานจัด ตบท้ายด้วยเป๊ปซี่เย็นๆ) แม้ว่าเวลาทำงานอย่างเพลิดเพลินของเขาอาจไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาทั่วไปมากเท่าไหร่ เว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนนั้นเป็นการลงแรงของอาจารย์สมเกียรติในห้วงเวลาที่มนุษย์ต่างพากันนอนพักผ่อนเป็นส่วนใหญ่ ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนมาจนถึงเกือบรุ่งสาง
แต่ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบสนองต่อความกระหายอยากในความรู้ อาจารย์สมเกียรติยังให้ความสำคัญกับการใช้ความรู้ในการสนับสนุนคนตัวเล็กๆ ในสังคมให้ยืนหยัดขึ้นต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เขาจึงมิได้เพียงนั่งป่าวประกาศสัจธรรมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เท่านั้น มีโครงการหลายอย่างที่ถูกเสนอขึ้นในระหว่างพวกเรา (มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน) นำอาจารย์สมเกียรติออกไปในสถานที่ต่างๆ บ้านกรูด บ่อนอก ที่ประจวบคีรีขันธ์ เขื่อนปากมูล อุบลราชธานี สหภาพแรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมลำพูน บ้านปางแดง เชียงใหม่ และอีกหลายแห่ง อันทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่กว้างขวางมากขึ้น
การเผยแพร่ความรู้ต่อสังคมนับเป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญ สมเกียรติได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นต่อการคิดและพูดอย่างเสรีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จึงไม่ต้องแปลกใจที่ในเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนเขาได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าสามารถนำบทความไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ภายใต้ระบบ Copyleft (อันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ Copyright)
โดยที่แทบไม่ต้องกล่าวถึงการต่อสู้อำนาจทางการเมือง อันเป็นบทบาทที่เห็นได้บ่อยครั้งแม้ว่าความเห็นของอาจารย์สมเกียรติอาจไม่เหมือน แตกต่าง หรือแม้กระทั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเสียงส่วนใหญ่หรือเสียงของผู้มีอำนาจก็ตาม จึงไม่ต้องแปลกใจที่เขาจะเป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนให้มีการยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (อันนำมาสู่การกล่าวหาว่าเขาไม่จงรักภักดีภายหลังดำรงตำแหน่งคณบดีคณะวิจิตรศิลป์ แทบไม่น่าเชื่อว่าข้อกล่าวหานี้สามารถทำงานได้แม้ภายในสถาบันการศึกษาระดับสูงของสังคม) ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์แต่เป็นเพราะกฎหมายนี้ได้ทำให้คนต้องปิดปากและถูกปิดปากอย่างไม่เป็นธรรมจากอำนาจรัฐ
เมื่อถูกอำนาจรัฐสั่งปิดเว็บไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน อาจารย์สมเกียรติเลือกที่จะต่อสู้ด้วยกระบวนการทางกฎหมายมากกว่าจะไปแอบเปิดเว็บไซต์ในชื่ออื่นเพื่อหลบหลีกการตรวจจับของรัฐบาล แม้การกระทำในแบบหลังจะง่ายกว่ามากนัก แต่เพื่อยืนยันถึงความถูกต้องและเสรีภาพในการแสดงความเห็น แม้อาจลำบากมากกว่าก็เป็นทางที่อาจารย์สมเกียรติได้เลือก
ความกล้าหาญในการยืนยันถึงสิ่งที่เป็นความถูกต้องจากความรู้จึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตัวความรู้นั้นด้วย
ชีวิตของอาจารย์สมเกียรติจึงควบคู่ไปกับความรู้ แต่ความรู้ของอาจารย์สมเกียรติจึงไม่ใช่เป็นการพร่ำบ่นในชั้นเรียนเพื่อนำไปสู่ใบปริญญาของผู้เรียน หากเป็นความรู้ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งการต่อสู้และความรู้ที่มีความหมายต่อคนในสังคม อันเป็นสิ่งที่เรามักไม่ค่อยได้เห็นกันมากสักเท่าไหร่ในห้วงเวลาปัจจุบัน
หากจะพอบอกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่อาจารย์สมเกียรติได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง การยืนยันในความรู้ตามแบบที่ได้ดำเนินชีวิตมาโดยตลอดของเขาก็เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อความเข้าใจในเรื่อง “ความรู้” ของปัญญาชนและคนในมหาวิทยาลัยในสังคมไทยอย่างสำคัญ
ที่มา.ประชาไท
ถึงเวลา‘บูรพาพยัคฆ์’ขยับ
อีกเพียง 2 เดือนเท่านั้นที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะส่งไม้ต่อให้กับน้องรักอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ
เข้ามาทำหน้าที่ ผบ.ทบ. คนต่อไป หลังจาก “บิ๊กป๊อก” นั่งเก้าอี้มานานกว่า 3 ปี ต่อจาก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
การแต่งตั้งโยกย้ายในปีนี้ อาจไม่วุ่นวายยุ่งยากเช่นหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุที่พี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” หลายต่อหลายคนเป็นคนจัดโผด้วยตัวเอง งานนี้จึงอาจไม่มีคลื่นใต้น้ำออกมาป่วนในช่วงโผแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2553
แต่อาจจะมีบ้างสำหรับคนที่อกหัก ไม่ได้ดั่งหวัง ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ก็เชื่อคำสั่ง “นาย” ที่จัดโผในครั้งนี้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดคงจะเป็นตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเปิดทางให้พี่น้องตระกูล “บูรพาพยัคฆ์” บางคนได้เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ตามรุ่นพี่ที่กำลังจะขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผบ.ทบ.”
ทั้งนี้ ในบรรดา 5 เสือ ทบ. ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นตำแหน่ง “เสนาธิการทหารบก” หรือ เสธ.ทบ. ที่เป็นการชิงดำระหว่าง พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บูรพาพยัคฆ์ตัวจริงสายชายแดน กับ เพื่อนซี้ ว่าที่ ผบ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ใครจะเข้าวิน
เหตุที่ต้องจับตาตำแหน่งนี้เพราะว่า นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่เป็นเปรียบเสมือนแม่บ้านของกองทัพ ทั้งการจัดหาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างๆ แล้ว เสธ.ทบ. ยังเป็นเหมือนการเตรียมคนเพื่อขึ้นแท่น ผบ.ทบ. คนต่อไป
ฉะนั้นจึงต้องดูว่า ระหว่าง “บิ๊กป๊อก” ที่เหมือนจะเทคะแนนเชียร์ แม่ทัพภาคที่ 1 มากกว่า รอง เสธ.ทบ. จะเลือกใคร เพราะทั้งสองคนต่างสร้างผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดงมาด้วยกัน ครั้นจะไม่ตบรางวัลเลย อาจถูกน้องๆ ตำหนิในใจเป็นได้
ขณะที่โผหลายสำนักฟันธง มีทัพภาคที่ 1 มีสิทธิ์ นั่งเก้าอี้ เสธ.ทบ. คนต่อไป เพราะดีกรีบูรพาพยัคฆ์บวกกับผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดง ที่ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ถิ่นเก่าของ พล.ท.คณิต รวมทั้งกำลังพลจาก กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพภาคที่ 1
จึงทำให้คะแนนของ พล.ท.คณิต จะขยับขึ้นเป็น พล.อ. ในตำแหน่ง เสธ.ทบ. ได้ไม่ยาก ส่วน พล.ท.ดาว์พงษ์ แม้จะมีความสนิทกับ “บิ๊กตู่” อยู่มาก แต่เมื่อดูจากปมหลังแล้ว ยังมีแผลที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ไลน์ 5 เสือ ทบ. เพราะเมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ นายทหารผู้นี้ก็เคยทำงานใกล้ชิดกับคนในตระกูลชินวัตร ก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยนสี
ส่วน พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก อาจถูกปรับย้ายข้ามห้วยไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขณะที่บางโผบางสำนัก ระบุว่า เมื่อเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แล้วในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. จะขยับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก
ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหาร อาจจะมีการขยับ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง
ทำให้ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก เป็น พล.ท.ดาว์พงษ์ ที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้นี้ เนื่องจาก พล.ท.ดาว์พงษ์ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันวางแผนกระชับวงล้อมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และขยับให้ พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพบก
ไม่ว่าโผครั้งนี้จะเป็นออกมาเช่นใด เหล่า “บูรพาพยัคฆ์” ยังคงผงาดเพื่อค้ำบัลลังก์รัฐบาลอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
ที่่มา.บางกอกทูเดย์
........................................
เข้ามาทำหน้าที่ ผบ.ทบ. คนต่อไป หลังจาก “บิ๊กป๊อก” นั่งเก้าอี้มานานกว่า 3 ปี ต่อจาก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน
การแต่งตั้งโยกย้ายในปีนี้ อาจไม่วุ่นวายยุ่งยากเช่นหลายปีที่ผ่านมา เพราะเหตุที่พี่ใหญ่แห่ง “บูรพาพยัคฆ์” หลายต่อหลายคนเป็นคนจัดโผด้วยตัวเอง งานนี้จึงอาจไม่มีคลื่นใต้น้ำออกมาป่วนในช่วงโผแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี 2553
แต่อาจจะมีบ้างสำหรับคนที่อกหัก ไม่ได้ดั่งหวัง ซึ่งก็เป็นส่วนน้อย เพราะส่วนใหญ่ก็เชื่อคำสั่ง “นาย” ที่จัดโผในครั้งนี้
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องจับตามากที่สุดคงจะเป็นตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. ที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อเปิดทางให้พี่น้องตระกูล “บูรพาพยัคฆ์” บางคนได้เข้าไลน์ 5 เสือ ทบ. ตามรุ่นพี่ที่กำลังจะขึ้นนั่งเก้าอี้ “ผบ.ทบ.”
ทั้งนี้ ในบรรดา 5 เสือ ทบ. ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คงหนีไม่พ้นตำแหน่ง “เสนาธิการทหารบก” หรือ เสธ.ทบ. ที่เป็นการชิงดำระหว่าง พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 บูรพาพยัคฆ์ตัวจริงสายชายแดน กับ เพื่อนซี้ ว่าที่ ผบ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. ใครจะเข้าวิน
เหตุที่ต้องจับตาตำแหน่งนี้เพราะว่า นอกจากจะเป็นตำแหน่งที่เป็นเปรียบเสมือนแม่บ้านของกองทัพ ทั้งการจัดหาจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ต่างๆ แล้ว เสธ.ทบ. ยังเป็นเหมือนการเตรียมคนเพื่อขึ้นแท่น ผบ.ทบ. คนต่อไป
ฉะนั้นจึงต้องดูว่า ระหว่าง “บิ๊กป๊อก” ที่เหมือนจะเทคะแนนเชียร์ แม่ทัพภาคที่ 1 มากกว่า รอง เสธ.ทบ. จะเลือกใคร เพราะทั้งสองคนต่างสร้างผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดงมาด้วยกัน ครั้นจะไม่ตบรางวัลเลย อาจถูกน้องๆ ตำหนิในใจเป็นได้
ขณะที่โผหลายสำนักฟันธง มีทัพภาคที่ 1 มีสิทธิ์ นั่งเก้าอี้ เสธ.ทบ. คนต่อไป เพราะดีกรีบูรพาพยัคฆ์บวกกับผลงานในช่วงปราบม็อบเสื้อแดง ที่ส่วนใหญ่เป็นกำลังพลจากกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ จ.ปราจีนบุรี ถิ่นเก่าของ พล.ท.คณิต รวมทั้งกำลังพลจาก กรมทหารราบที่ 9 จ.กาญจนบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้การบัญชาการของแม่ทัพภาคที่ 1
จึงทำให้คะแนนของ พล.ท.คณิต จะขยับขึ้นเป็น พล.อ. ในตำแหน่ง เสธ.ทบ. ได้ไม่ยาก ส่วน พล.ท.ดาว์พงษ์ แม้จะมีความสนิทกับ “บิ๊กตู่” อยู่มาก แต่เมื่อดูจากปมหลังแล้ว ยังมีแผลที่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ไลน์ 5 เสือ ทบ. เพราะเมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเรืองอำนาจ นายทหารผู้นี้ก็เคยทำงานใกล้ชิดกับคนในตระกูลชินวัตร ก่อนที่ฟ้าจะเปลี่ยนสี
ส่วน พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสนาธิการทหารบก อาจถูกปรับย้ายข้ามห้วยไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด
ขณะที่บางโผบางสำนัก ระบุว่า เมื่อเลือก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แล้วในตำแหน่ง 5 เสือ ทบ. จะขยับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก มาเป็นรองผู้บัญชาการทหารบก
ส่วนตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหาร อาจจะมีการขยับ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง
ทำให้ตำแหน่งเสนาธิการทหารบก เป็น พล.ท.ดาว์พงษ์ ที่จะเข้ามานั่งเก้าอี้นี้ เนื่องจาก พล.ท.ดาว์พงษ์ มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันวางแผนกระชับวงล้อมของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม และขยับให้ พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ จากผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพบก
ไม่ว่าโผครั้งนี้จะเป็นออกมาเช่นใด เหล่า “บูรพาพยัคฆ์” ยังคงผงาดเพื่อค้ำบัลลังก์รัฐบาลอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
ที่่มา.บางกอกทูเดย์
........................................
อาถรรพ์วัดปทุมฯ
อาถรรพ์วัดปทุมฯ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความแรงของเจ้าที่ย่านราชประสงค์ หรือความอาถรรพ์ของวัดปทุมวนาราม ที่ทำให้เกิดข่าวเพชรหาย ปรากฏออกมาหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค.
เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือนพอดี
สืบเนื่องจากผู้ประกอบการร้านเพชรย่านราชประสงค์รายหนึ่ง เข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรมว่า เพชรมูลค่า 5 ล้านบาท ที่ถูกดีเอสไอยึดไว้ขณะเข้าตรวจค้นในวัดปทุมวนารามในช่วงเช้าวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้หายไปจากเซพกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ทำให้งานนี้ร้อนถึง ดีเอสไอ-ศอฉ.-ตำรวจท้องที่ ที่เข้าเคลียร์พื้นที่ ต้องออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่ได้ “อมเพชร”
โดยดีเอสไอออกมายืนยันพร้อมกางบัญชีเครื่องเพชรที่ได้รับมอบจาก ศอฉ. ว่ามี 40 รายการ เช่น กำไลหยก 9 วง, แหวนเงิน 64 วง, แหวนสีทองเหลืองคล้ายทอง 4 วง, เหรียญจีนสีเหลืองคล้ายทอง 1 เหรียญ, สร้อยสีเหลืองคล้ายทอง 3 เส้น, ครุฑสีเหลืองคล้ายทอง 1 อัน, จี้รูปหัวใจคล้ายทอง 3 อัน
เต่าคล้ายทอง 1 อัน, นาฬิกายี่ห้อโอเมก้า 1 เรือน, แหวน 2 วง, หินคล้ายพลอย 164 เม็ด, ต่างหู 1 ข้าง, สร้อยประดับหินคล้ายพลอย 4 เส้น และเครื่องประดับรอซ่อม 46 ถุง
ดีเอสไอย้ำว่าต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการตรวจนับและรับมอบจาก ศอฉ. เมื่อนำของกลางเข้ามายังดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพถ่ายแยกหมวดหมู่เก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เจ้าของร้านจิวเวลรี่ได้ติดต่อมายัง ศอฉ.เพื่อขอทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมคืน และอ้างว่ามีทรัพย์สินของกลางบางรายการสูญหาย ซึ่งเจ้าของร้านชี้จากภาพถ่ายในการตรวจยึดที่วัดปทุมฯ ระบุว่าของที่หายเป็นแหวนเพชรติดป้ายราคา 160,800 บาท
ส่วนต่างหูเพชรที่อ้างว่าหายนั้น ดีเอสไอยังไม่พบในรายการของกลาง แต่เจ้าของร้านเพชรชี้ภาพที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้าน
เมื่อข่าวเพชรของกลางสูญหายในความรับผิดชอบของดีเอสไอถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้ดีเอสไอเสียหาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ เลขานุฯ สอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาความจริงมาพิสูจน์ให้ได้ โดยมีกำหนดเตรียมแถลงข่าวในวันที่ 28 ก.ค.นี้
ขณะเดียวกัน การออกมารับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมในครั้งนี้ ทำให้หลายคนสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการกำหนดวันล่วงหน้าหลายวันเพื่อแถลงข่าว ทั้งๆที่กระทรวงยุติธรรมรู้แล้วว่า “เพชรที่หายไป”ชั่วหรือมั่วนิ่ม
งานนี้จึงต้องรอดูว่าความจริงที่ กระทรวงยุติธรรมจะนำมาแถลงจะเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆงานนี้ของเขาแรงจริงๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความแรงของเจ้าที่ย่านราชประสงค์ หรือความอาถรรพ์ของวัดปทุมวนาราม ที่ทำให้เกิดข่าวเพชรหาย ปรากฏออกมาหลังเหตุการณ์ 19 พ.ค.
เกิดขึ้นมาแล้วเป็นเวลา 2 เดือนพอดี
สืบเนื่องจากผู้ประกอบการร้านเพชรย่านราชประสงค์รายหนึ่ง เข้าร้องเรียนกับกระทรวงยุติธรรมว่า เพชรมูลค่า 5 ล้านบาท ที่ถูกดีเอสไอยึดไว้ขณะเข้าตรวจค้นในวัดปทุมวนารามในช่วงเช้าวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้หายไปจากเซพกรมสอบสวนคดีพิเศษ
ทำให้งานนี้ร้อนถึง ดีเอสไอ-ศอฉ.-ตำรวจท้องที่ ที่เข้าเคลียร์พื้นที่ ต้องออกมาปฏิเสธทันควันว่าไม่ได้ “อมเพชร”
โดยดีเอสไอออกมายืนยันพร้อมกางบัญชีเครื่องเพชรที่ได้รับมอบจาก ศอฉ. ว่ามี 40 รายการ เช่น กำไลหยก 9 วง, แหวนเงิน 64 วง, แหวนสีทองเหลืองคล้ายทอง 4 วง, เหรียญจีนสีเหลืองคล้ายทอง 1 เหรียญ, สร้อยสีเหลืองคล้ายทอง 3 เส้น, ครุฑสีเหลืองคล้ายทอง 1 อัน, จี้รูปหัวใจคล้ายทอง 3 อัน
เต่าคล้ายทอง 1 อัน, นาฬิกายี่ห้อโอเมก้า 1 เรือน, แหวน 2 วง, หินคล้ายพลอย 164 เม็ด, ต่างหู 1 ข้าง, สร้อยประดับหินคล้ายพลอย 4 เส้น และเครื่องประดับรอซ่อม 46 ถุง
ดีเอสไอย้ำว่าต้องใช้เวลาถึง 2 วันในการตรวจนับและรับมอบจาก ศอฉ. เมื่อนำของกลางเข้ามายังดีเอสไอ เจ้าหน้าที่ได้บันทึกภาพถ่ายแยกหมวดหมู่เก็บข้อมูลไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า เจ้าของร้านจิวเวลรี่ได้ติดต่อมายัง ศอฉ.เพื่อขอทรัพย์สินที่ถูกโจรกรรมคืน และอ้างว่ามีทรัพย์สินของกลางบางรายการสูญหาย ซึ่งเจ้าของร้านชี้จากภาพถ่ายในการตรวจยึดที่วัดปทุมฯ ระบุว่าของที่หายเป็นแหวนเพชรติดป้ายราคา 160,800 บาท
ส่วนต่างหูเพชรที่อ้างว่าหายนั้น ดีเอสไอยังไม่พบในรายการของกลาง แต่เจ้าของร้านเพชรชี้ภาพที่บันทึกไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้าน
เมื่อข่าวเพชรของกลางสูญหายในความรับผิดชอบของดีเอสไอถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้ดีเอสไอเสียหาย
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบหมายให้ เลขานุฯ สอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาความจริงมาพิสูจน์ให้ได้ โดยมีกำหนดเตรียมแถลงข่าวในวันที่ 28 ก.ค.นี้
ขณะเดียวกัน การออกมารับผิดชอบของกระทรวงยุติธรรมในครั้งนี้ ทำให้หลายคนสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการกำหนดวันล่วงหน้าหลายวันเพื่อแถลงข่าว ทั้งๆที่กระทรวงยุติธรรมรู้แล้วว่า “เพชรที่หายไป”ชั่วหรือมั่วนิ่ม
งานนี้จึงต้องรอดูว่าความจริงที่ กระทรวงยุติธรรมจะนำมาแถลงจะเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ๆงานนี้ของเขาแรงจริงๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................
โค้งสุดท้าย "แพ้-ชนะ" รัฐบาล-เสื้อแดง
ผลการเลือกตั้งซ่อมระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยจะเป็นคำตอบใหญ่ที่มีนัยสำคัญต่อการเลือกตั้งใหญ่
เมื่อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิตัดสินอนาคตการเมืองไทยผ่านการเลือกตั้งซ่อมล่วงหน้า เขต 6 กรุงเทพมหานครไปแล้วกว่า 16,000 คน
ที่เหลืออีกไม่น้อยกว่า 3.8 แสนคน ยังมีเวลาตัดสินใจอีกครึ่งสัปดาห์เพื่อหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2553
ผลโพลของทั้ง 2 พรรค จาก 16,000 คะแนน ต่างฝ่ายต่างเคลมว่าตัวเองได้คะแนนตุนไว้แล้วมากกว่าฝ่ายตรงข้าม
แต่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองแพ้หรือชนะ จนกว่าวันเลือกตั้งจริงจะมาถึง
ดังนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายต่างฝ่าย ต่างต้องเร่งหาเสียงทุกรูปแบบ
ฟังใครพูดก็อาจไม่มั่นใจเท่าตัวผู้สมัคร ฝ่ายหนึ่งอยู่ในคุก ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งทั้ง 2 ฝ่าย ปักหมุด เทใจเปิดเผยกลยุทธ์โค้งสุดท้ายผ่าน "ผู้สื่อข่าว"
ก่อแก้ว-เพื่อไทย
"เสียดาย...ไม่ได้หาเสียง"
ก่อแก้ว พิกุลทอง" ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์จากพรรค เพื่อไทย ใช้สิทธิในการพูดผ่านลูกกรงเหล็กว่า "เสียดายที่ไม่ได้หาเสียงด้วยตัวเอง"
แต่แกนนำพรรคเพื่อไทย เตรียมใช้กลยุทธ์เปิดแผล-คลายปมเรื่องปัญหาเศรษฐกิจแบบเต็มที่หมดหน้าตัก เพื่อชี้ให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่า เพื่อไทยมีตัวเลขใหม่ อีกชุดที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีและการส่งออกแตกต่าง-ตกต่ำกว่าที่ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดไว้
กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ "ก่อแก้ว" มั่นใจในชัยชนะ "เชื่อว่าถ้าหากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในภาวะปกติ ไม่ใช่ในระหว่างประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงเมื่อรัฐบาลใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือ ยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินเอาไว้ก็ไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน"
สำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำ ระหว่าง ที่ข้างนอกมีการหาเสียงเลือกตั้ง ก่อแก้ว เล่าว่า "รู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสพบกับประชาชนที่รักประชาธิปไตย ไม่สามารถอธิบายข้อเท็จจริงเรื่องราวต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง"
ทดแทนเวลาหาเสียง "ก่อแก้ว" ใช้เวลาส่วนใหญ่ในคุกด้วยการอ่านหนังสือ ออกกำลังกายและสวดมนต์ไม่ให้เครียด รักษาสุขภาพตัวเอง และติดตามข่าวภายนอก จากพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียนใน เรือนจำและอ่านหนังสือพิมพ์
"ถ้าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ผมได้คะแนนสูงสุดชนะพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมจะเป็น ส.ส.ทำหน้าที่ในสภา ในส่วนของฝ่ายค้านซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะการทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ"
"การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายถึงการแข่งขันระหว่างฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ความยุติธรรม กับฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน"
พนิช-ประชาธิปัตย์
"หัวหน้าบอก...ต้องถึงลูกถึงคน"
พนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ
ตั้งแต่ลาออกจากตำแหน่ง เขาลงพื้นที่ทุกวันเช้าจนถึงค่ำ ทำให้เห็นภาพว่าประชาชนตื่นตัวมาก โดยเฉพาะสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญตั้งแต่วันคัดเลือกตัวผู้สมัคร
"พนิช" เล่าว่า กว่าเขาจะได้เป็น"ผู้สมัคร" ต้องฝ่าฟันมาถึง 4 ขั้นตอน ทั้งการคัดเลือกจากประธานสาขาพรรค ขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ส.ก. และ ส.ข. เข้าสู่ คณะกรรมการที่มีรองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ จากนั้นส่งชื่อไปยังกรรมการบริหารพรรค 19 คน
ต้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-อภิรักษ์ โกษะโยธิน และ กรณ์ จาติกวณิช เห็นชอบ-สนับสนุน จึงมีชื่อ "พนิช" ลงสนามแข่งขัน
พร้อมพลังหนุนขั้นเทพจาก "ชวน หลีกภัย" ประธานที่ปรึกษาพรรคที่ลงทุน ลงแรง เข้าถึงพื้นที่เลือกตั้งทั้ง 4 เขต คันนายาว คลองสามวา หนองจอก และบึงกุ่ม มีพื้นที่ 400 กว่าตารางกิโลเมตร จากพื้นที่ทั้งหมดของ กทม. ที่มี 1,500 ตารางกิโลเมตร มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้งประมาณเกือบ 4 แสนคน
เข้าโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกว่า ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด
"หัวหน้าพรรคได้มอบนโยบายให้ พบปะ สัมผัส รับฟังปัญหา ชี้แจงกับประชาชนให้มากที่สุด ท่านบอกให้พูดคุยอย่างถึงลูก ถึงคน เจอประชาชนให้เขาสอบถามได้สัมผัสได้ แต่รับปากไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย เลือกตั้ง สำหรับสถานที่หาเสียงจะมีลักษณะที่ทำประจำ คือ เป็นจุดที่ประชาชนสัญจรไปมาเยอะ ๆ ตามสี่แยก เดินไปทักทาย ยื่นบัตรแนะนำตัว" กลยุทธ์จากรุ่นสู่รุ่น
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางจะราบรื่น เพราะเขตเลือกตั้งนี้มี "สีแดง" อยู่หลายส่วนการยื่นบัตรแนะนำตัวจึงมีบางทีที่ "พนิช" แจกเก้อ
ข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของคู่แข่ง "พนิช" วิเคราะห์ว่า
"อีกฝ่ายหนึ่งเขาเลือกคนที่มาหาเสียงเองไม่ได้ เมื่อประชาธิปัตย์เลือกคนที่มาหาเสียงเองได้ ก็มีคนอื่นมาช่วยหาเสียง ทั้ง ส.ส. รัฐมนตรี ก็มาช่วยกัน ส่วนเพื่อไทย เขาก็มาหาเสียงช่วยกัน แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนผู้สมัครมาหาเสียงเอง"
"ถ้าจะมองในแง่ผมเสียเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งอยู่บนเวที นปช.มาตลอด มีคนรู้จักเห็นหน้าเห็นตามาก่อน ส่วนผมแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง"
"พนิช" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีนัยถึง 3 ระดับ คือ เป็นการแข่งขันระหว่าง ผู้สมัครในเขต 6 ส่วนที่มากกว่านั้นยังเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง และนอกจากนั้นยังถูกมองว่าเป็นการ แข่งขันกันระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านของผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรืออาจจะมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับไม่ประชาธิปไตย แต่เราคิดว่าเราก็เป็นประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง
พนิชบอกว่า หากชนะการเลือกตั้งได้เข้าเป็น ส.ส.ก็พร้อมทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในสภาตั้งแต่วันแรกที่ เปิดสภา คือ 1 ส.ค. ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่หากคนที่ชนะเลือกตั้งอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวตนก็ไม่ทราบว่าเขาจะสามารถเดินทางมา สภาเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นได้หรือไม่
ในโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกจุดชี้ขาดสำหรับการแพ้-ชนะนั้นยังเป็นเรื่อง "นโยบาย" ของพรรค
"เพราะนโยบายที่ดีของพรรคประกอบกับการลงพื้นที่ของตนที่ทำอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับประชาชนลงพื้นที่จริงร่วมกับ ส.ส. รัฐมนตรี เราไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีเรื่องใต้ดิน ขณะที่เราถูกหาว่าใช้อำนาจรัฐ แต่เราเองก็ถูกกระทำโดยมีการดึงป้ายหาเสียงออกไป ขณะที่เราทำอะไรภายในกรอบกฎหมาย แต่มีคนอื่นที่ทำนอกกรอบกฎหมาย
และส่วนตัวไม่คิดว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ใครได้เปรียบ เสียเปรียบ เพราะทุกพรรคก็อยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน"
วันที่ 25 กรกฎาคม 2553 เป็นวันประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอีกวันที่จะบันทึกไว้ว่า ผู้สมัคร ส.ส.ที่อยู่ในคุก-กับผู้สมัครที่อยู่ในพื้นที่ ใครคือผู้ชนะ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------
เมื่อประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิตัดสินอนาคตการเมืองไทยผ่านการเลือกตั้งซ่อมล่วงหน้า เขต 6 กรุงเทพมหานครไปแล้วกว่า 16,000 คน
ที่เหลืออีกไม่น้อยกว่า 3.8 แสนคน ยังมีเวลาตัดสินใจอีกครึ่งสัปดาห์เพื่อหย่อนบัตรเลือกตั้งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2553
ผลโพลของทั้ง 2 พรรค จาก 16,000 คะแนน ต่างฝ่ายต่างเคลมว่าตัวเองได้คะแนนตุนไว้แล้วมากกว่าฝ่ายตรงข้าม
แต่ไม่มีใครรู้ว่าตัวเองแพ้หรือชนะ จนกว่าวันเลือกตั้งจริงจะมาถึง
ดังนั้น ในช่วงโค้งสุดท้ายต่างฝ่าย ต่างต้องเร่งหาเสียงทุกรูปแบบ
ฟังใครพูดก็อาจไม่มั่นใจเท่าตัวผู้สมัคร ฝ่ายหนึ่งอยู่ในคุก ฝ่ายหนึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งทั้ง 2 ฝ่าย ปักหมุด เทใจเปิดเผยกลยุทธ์โค้งสุดท้ายผ่าน "ผู้สื่อข่าว"
ก่อแก้ว-เพื่อไทย
"เสียดาย...ไม่ได้หาเสียง"
ก่อแก้ว พิกุลทอง" ตัวแทนเชิงสัญลักษณ์จากพรรค เพื่อไทย ใช้สิทธิในการพูดผ่านลูกกรงเหล็กว่า "เสียดายที่ไม่ได้หาเสียงด้วยตัวเอง"
แต่แกนนำพรรคเพื่อไทย เตรียมใช้กลยุทธ์เปิดแผล-คลายปมเรื่องปัญหาเศรษฐกิจแบบเต็มที่หมดหน้าตัก เพื่อชี้ให้ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่า เพื่อไทยมีตัวเลขใหม่ อีกชุดที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีและการส่งออกแตกต่าง-ตกต่ำกว่าที่ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดไว้
กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้ "ก่อแก้ว" มั่นใจในชัยชนะ "เชื่อว่าถ้าหากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 6 ครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งในภาวะปกติ ไม่ใช่ในระหว่างประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรรคเพื่อไทยก็น่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่ในความเป็นจริงเมื่อรัฐบาลใช้อำนาจรัฐที่มีอยู่ในมือ ยังคง พ.ร.ก. ฉุกเฉินเอาไว้ก็ไม่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยแน่นอน"
สำหรับการใช้ชีวิตในเรือนจำ ระหว่าง ที่ข้างนอกมีการหาเสียงเลือกตั้ง ก่อแก้ว เล่าว่า "รู้สึกเสียดายที่ไม่มีโอกาสพบกับประชาชนที่รักประชาธิปไตย ไม่สามารถอธิบายข้อเท็จจริงเรื่องราวต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง"
ทดแทนเวลาหาเสียง "ก่อแก้ว" ใช้เวลาส่วนใหญ่ในคุกด้วยการอ่านหนังสือ ออกกำลังกายและสวดมนต์ไม่ให้เครียด รักษาสุขภาพตัวเอง และติดตามข่าวภายนอก จากพี่น้องที่มาเยี่ยมเยียนใน เรือนจำและอ่านหนังสือพิมพ์
"ถ้าการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ผมได้คะแนนสูงสุดชนะพรรคประชาธิปัตย์ ก็พร้อมจะเป็น ส.ส.ทำหน้าที่ในสภา ในส่วนของฝ่ายค้านซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลโดยเฉพาะการทุจริต คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจโดยมิชอบ"
"การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายถึงการแข่งขันระหว่างฝ่ายที่รักประชาธิปไตย ความยุติธรรม กับฝ่ายที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน"
พนิช-ประชาธิปัตย์
"หัวหน้าบอก...ต้องถึงลูกถึงคน"
พนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ
ตั้งแต่ลาออกจากตำแหน่ง เขาลงพื้นที่ทุกวันเช้าจนถึงค่ำ ทำให้เห็นภาพว่าประชาชนตื่นตัวมาก โดยเฉพาะสื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศให้ความสำคัญตั้งแต่วันคัดเลือกตัวผู้สมัคร
"พนิช" เล่าว่า กว่าเขาจะได้เป็น"ผู้สมัคร" ต้องฝ่าฟันมาถึง 4 ขั้นตอน ทั้งการคัดเลือกจากประธานสาขาพรรค ขั้นตอนของคณะกรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ส.ก. และ ส.ข. เข้าสู่ คณะกรรมการที่มีรองหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ จากนั้นส่งชื่อไปยังกรรมการบริหารพรรค 19 คน
ต้องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ-อภิรักษ์ โกษะโยธิน และ กรณ์ จาติกวณิช เห็นชอบ-สนับสนุน จึงมีชื่อ "พนิช" ลงสนามแข่งขัน
พร้อมพลังหนุนขั้นเทพจาก "ชวน หลีกภัย" ประธานที่ปรึกษาพรรคที่ลงทุน ลงแรง เข้าถึงพื้นที่เลือกตั้งทั้ง 4 เขต คันนายาว คลองสามวา หนองจอก และบึงกุ่ม มีพื้นที่ 400 กว่าตารางกิโลเมตร จากพื้นที่ทั้งหมดของ กทม. ที่มี 1,500 ตารางกิโลเมตร มีผู้มีสิทธิ เลือกตั้งประมาณเกือบ 4 แสนคน
เข้าโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกว่า ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด
"หัวหน้าพรรคได้มอบนโยบายให้ พบปะ สัมผัส รับฟังปัญหา ชี้แจงกับประชาชนให้มากที่สุด ท่านบอกให้พูดคุยอย่างถึงลูก ถึงคน เจอประชาชนให้เขาสอบถามได้สัมผัสได้ แต่รับปากไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย เลือกตั้ง สำหรับสถานที่หาเสียงจะมีลักษณะที่ทำประจำ คือ เป็นจุดที่ประชาชนสัญจรไปมาเยอะ ๆ ตามสี่แยก เดินไปทักทาย ยื่นบัตรแนะนำตัว" กลยุทธ์จากรุ่นสู่รุ่น
แต่ก็ใช่ว่าเส้นทางจะราบรื่น เพราะเขตเลือกตั้งนี้มี "สีแดง" อยู่หลายส่วนการยื่นบัตรแนะนำตัวจึงมีบางทีที่ "พนิช" แจกเก้อ
ข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบของคู่แข่ง "พนิช" วิเคราะห์ว่า
"อีกฝ่ายหนึ่งเขาเลือกคนที่มาหาเสียงเองไม่ได้ เมื่อประชาธิปัตย์เลือกคนที่มาหาเสียงเองได้ ก็มีคนอื่นมาช่วยหาเสียง ทั้ง ส.ส. รัฐมนตรี ก็มาช่วยกัน ส่วนเพื่อไทย เขาก็มาหาเสียงช่วยกัน แต่ยังไงก็คงไม่เหมือนผู้สมัครมาหาเสียงเอง"
"ถ้าจะมองในแง่ผมเสียเปรียบอีกฝ่ายหนึ่งก็ได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งอยู่บนเวที นปช.มาตลอด มีคนรู้จักเห็นหน้าเห็นตามาก่อน ส่วนผมแทบไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง"
"พนิช" มองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีนัยถึง 3 ระดับ คือ เป็นการแข่งขันระหว่าง ผู้สมัครในเขต 6 ส่วนที่มากกว่านั้นยังเป็นการแข่งขันระหว่างพรรคการเมือง และนอกจากนั้นยังถูกมองว่าเป็นการ แข่งขันกันระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านของผู้ชุมนุมเสื้อแดง หรืออาจจะมองว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปไตยกับไม่ประชาธิปไตย แต่เราคิดว่าเราก็เป็นประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง
พนิชบอกว่า หากชนะการเลือกตั้งได้เข้าเป็น ส.ส.ก็พร้อมทำหน้าที่ตัวแทนประชาชนในสภาตั้งแต่วันแรกที่ เปิดสภา คือ 1 ส.ค. ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน แต่หากคนที่ชนะเลือกตั้งอยู่ระหว่างถูกควบคุมตัวตนก็ไม่ทราบว่าเขาจะสามารถเดินทางมา สภาเพื่อปฏิบัติหน้าที่นั้นได้หรือไม่
ในโค้งสุดท้าย "พนิช" บอกจุดชี้ขาดสำหรับการแพ้-ชนะนั้นยังเป็นเรื่อง "นโยบาย" ของพรรค
"เพราะนโยบายที่ดีของพรรคประกอบกับการลงพื้นที่ของตนที่ทำอย่างเต็มที่ ได้สัมผัสกับประชาชนลงพื้นที่จริงร่วมกับ ส.ส. รัฐมนตรี เราไม่มีการจัดตั้ง ไม่มีเรื่องใต้ดิน ขณะที่เราถูกหาว่าใช้อำนาจรัฐ แต่เราเองก็ถูกกระทำโดยมีการดึงป้ายหาเสียงออกไป ขณะที่เราทำอะไรภายในกรอบกฎหมาย แต่มีคนอื่นที่ทำนอกกรอบกฎหมาย
และส่วนตัวไม่คิดว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำให้ใครได้เปรียบ เสียเปรียบ เพราะทุกพรรคก็อยู่ภายใต้สถานการณ์เดียวกัน"
วันที่ 25 กรกฎาคม 2553 เป็นวันประวัติศาสตร์การเลือกตั้งอีกวันที่จะบันทึกไว้ว่า ผู้สมัคร ส.ส.ที่อยู่ในคุก-กับผู้สมัครที่อยู่ในพื้นที่ ใครคือผู้ชนะ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
--------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)