--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

‘รัฐบาลเผด็จการ’ยังตายหยังเขียด

นี่, “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ของ นายกฯ มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยืดอายุต่อลมหายใจได้อย่างไร ท่ามกลาง กระแสคนที่เกลียด??

ไล่เรียงมาดูกัน “รัฐบาลเผด็จการ” ไม่ว่าจะเป็น “ถนอม-ประภาส”, “เกรียงศักดิ์”, “สุจินดา” “สุรยุทธ์” ที่อาศัยอำนาจ “ปลายกระบอกปืน” ยังไม่กล้าทำทุเรศ! ทุรัง! ทุกเรื่องเช่นนี้

“คอร์รัปชั่น” กันอ้าซ่า...ใจกล้ารับประทานเปิดเผย แบบประเทศนี้ไม่เคยมี
หนำซ้ำทำร้าย “ข้าราชการ” ผู้มีจิตใจเป็นธรรม วางตัวเป็นกลาง อย่างไม่อีนังขังขอบ สร้างแรงเกลียดชังไปทั่ว ไม่ว่าจะเป็น “ผู้ว่าราชการจังหวัด-นายอำเภอ-ทหาร-ตำรวจ-ครู” ต่างชัง “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ไปทั่ว...ไม่ชอบก็ปลด! ..ใคร “เชลียร์” ก็แต่งตั้งเป็นใหญ่ เสร็จสรรพ!!!

นี่กล้ายิ่งกว่า “รัฐบาลเผด็จการ”....เห็นถ้าจะอยู่ไม่นาน?..ใกล้เวลากลับบ้าน แล้วสิครับ??

******************************

ใกล้บรรลุแผน ‘บันได ๓ ขั้น’!!
กระชับพื้นที่ ใกล้แค่เอื้อมมาทุกที ..โอกาส การเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่แห่งพรรคภูมิใจไทย ไงล่ะทั่น???

เลือกตั้งเที่ยวหน้า วางหมากจะทำพรรคภูมิใจไทย เป็นพรรคขนาดกลางเอ็มเอสอี ให้ได้ ส.ส.ระดับ “๖๐-๗๐คน” ทั่วทั้งประเทศ

โดน “เดอะห้อยเนวิน”...กะคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน เป็น “นายกรัฐมนตรี” เบ็ดเสร็จ
โดยจะเขี่ย และโล๊ะเมี๊ยะทิ้ง “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เหมือนกับที่เคย แปรพักตร์หนี จาก “อดีตนายกฯ บรรหาร ศิลปอาชา”, “นายกฯ จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ “นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ..ซึ่งเลือกตั้งครั้งหน้า “เนวิน” ก็ครบกำหนด “เว้นวรรค” กลับมาเล่นการเมืองได้..ประกอบกับการเลือกตั้งที่จะถึง ไม่มีพรรคใหญ่พรรคไหน ชนะอย่างแบเบอร์!!!

ด้วยเสียงส.ส. ๖๐-๗๐ คน.. “เนวิน” เชื่อส้มจะหล่น?..ส่งตนเป็นนายกฯ สบายเลยล่ะเธอ??

********************************

เหมือน‘กบ’ที่อยู่ในกะลา!!
“นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ช่างเป็นหมูในอวย ไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย สำหรับ “บัตรสมาร์ทการ์ด” ที่มีปัญหา???

ผู้เป็น “นายกรัฐมนตรี” ต้องมีสายตามองทะลุปรุโปร่งกันทุกเรื่อง...แต่เรื่องนี้มีคนใน “กระทรวงมหาดไทย” ไปเคาะเรียกเงินใต้โต๊ะ จากบัตรสมาร์ทการ์ด ๒๖ ล้านใบ..ใบละ ๕๐ สตางค์ เป็นเงิน “๑๓ ล้าน”

“ผู้ประมูล” จนปัญญา....ไม่รู้ว่า จะหาเงินที่ไหนมา จ่ายกัน
เพราะเท่าที่ประมูล “บัตรสมาร์ทการ์ด” นั้น...ต่าง “ฟันราคา” กันต่ำติดดิน...จากยอดประมูล “๙๐ บาท”... ลดพรวดพราด เหลือแค่ “๓๔ บาท”.. ขืนจ่ายหัวคิว “๑๓ ล้านบาท” ก็เจ๊งกะบ๊งเท่านั้น...ที่แน่ๆ การส่งบัตรสมาร์ทการ์ดคืน ประชาชนทั้งประเทศเดือนร้อนกันทั่วหน้า!!!!

“มาร์ค” ไม่เคยทำอะไรสำเร็จ...ช่วยตามล้างตามเช็ด?...ฟันเรื่องนี้ให้เสร็จ หน่อยเถิดหนา?

************************************

ใช้นโยบาย ‘อ้อลู่ลม’!!
ไม่ขัดไม่ขืน ไม่เป็นจระเข้ไปขวางคลองใคร..ทุกสิ่งทุกอย่าง “คุณพี่มานิตย์ วัฒนเสน” ปลัดกระทรวงมหาดไทย รู้จักเอามา ประสาน ประสม??

จะเห็นว่า ในฐานะเดี่ยวมือหนึ่ง “ท่านปลัดฯ มานิตย์” ไม่เคยไปเหยียบตาปลาใคร
ด้วยสโลแกนที่ว่า “เห็นด้วย-ช่วยเงียบ -เหยียบเอาไว้”

ดังนั้น, จึงไม่มีแรงกดดัน จากการซีกนักการเมือง ในการโยกย้ายให้ “คุณพี่มานิตย์” ปลัดจากตำแหน่งปลัด!..เพราะมีอะไร ท่านก็เก็บทุกเรื่อง เอาไว้ “เป็นความลับ”???

ไม่มีปัญหากับนักการเมือง.....ไม่ทำให้เค้าเคือง?..ท่านจึงอยู่โดยไม่เปลืองตัว ไงล่ะครับ??

*********************************

ไม่ต้อง “สร้างภาพ”จนคนด่า!!
ทำดี ใครก็เห็น ก้อ.. “คุณพี่สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้คุมกฎแห่งพรรครวมชาติพัฒนา??
ยามนี้ “ประเทศไทย” ถอยหลังสุดกู่ตกถนนจนโงหัวไม่ขึ้น...แต่ “คุณพี่สุวัจน์” ก็สร้างเครดิต ให้คนทั่วโลกยอมรับประเทศไทย

ผลงานเยี่ยมเปี่ยมคุณภาพเช่นนี้ ไม่เชียร์ คงไม่ได้
เมื่อ “ท่านสุวัจน์” เป็นหัวหอกในการจัด “เทนนิสไทยแลนด์โอเพ่น” ในเดือนกันยายน ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเชิญนักเทนนิสเบอร์หนึ่งของโลก “ราฟาเอล นาดาล” ยอดนักหวดลูกสักหลาด เมืองกระทิงดุ สเปน มาเป็นตัวชูโรง ในรายการนี้!!!!

“อดีตรัฐมนตรีสุวัจน์” ทำงานหนัก...เพื่อกู้ภาพลักษณ์?..ให้ไทยกลับมาประจักษ์อีกที
-----------------------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

สงสารตำรวจ อะไรก็(กรู) "ศ.แสวง" ชงไอเดียปฎิรูปสีกากี แบบแฮปปี้ ๆ

ชั่วโมงนี้ เป็นยุคปฎิรูป อะไรก็ต้องปฎิรูป ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย หรือ รัฐธรรมนูญก็ต้องปฎิรูป ความจริงก็ต้องปฎิรูป รวมถึงตำรวจก็ต้องจับมาปฎิรูป

แต่ดูเหมือน ตำรวจ จะไม่ค่อยแน่ใจว่า ปฎิรูปแล้ว ตำรวจเอง จะดีขึ้นหรือเลวลง ?

เพราะลึกๆ แล้ว ฝ่ายการเมืองอาจแค่ อยากปฎิรูปตำรวจ เพราะต้องการจัดการ ตำรวจมะเขือเทศ มากกว่าอยากทำให้ตำรวจดีขึ้นจริงๆ

เมื่อไม่นานมานี้ ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส อาจารย์สอนกฎหมายอาญา คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ มายาวนานหลายทศวรรษ เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายอาญาขนานแท้และดั้งเดิมไป พูดเรื่องการปฎิรูปตำรวจที่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

เห็นว่าสาระสำคัญมีประโยชน์ เป็นอย่างยิ่ง จึงนำแนวคิดผู้เชี่ยวชาญมานำเสนอดังนี้

@ โครงสร้างตำรวจใหญ่ เกินไปแล้ว !!!

การที่ตำรวจยังไม่ค่อยเห็นด้วยกับการปฎิรูปตำรวจ อาจเป็นเพราะยังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดแรงต่อต้าน ทั้งๆ ที่ความจริง ทุกวันนี้ ตำรวจเดือดร้อน จึงต้องมาช่วยกันให้ประชาชนได้ประโยชน์ และทำให้ชีวิตตำรวจดีขึ้น ไม่ต้องโดนกล่าวหา แบบทุกวันนี้

ประการแรก โครงสร้างตำรวจ ใหญ่มาก ทั้งๆ ที่โครงสร้างตำรวจ ขนาดใหญ่แบบประเทศไทย ไม่ค่อยมีแล้วในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ปัจจุบันประเทศต่างๆ มีการซอยโครงสร้างตำรวจให้เล็กลง บางประเทศกลายเป็นตำรวจท้องถิ่น มีแต่ของเราเองที่โครงสร้างตำรวจยังรวมศูนย์ และใหญ่มาก ในอดีตเป็นแค่ อธิบดีกรมตำรวจ แต่เป็นอธิบดีที่ใหญ่กว่าทุกอธิบดีในประเทศนี้ ทุกวันนี้ก็ยังใหญ่เหมือนเดิม

แต่สังเกตไหมว่า เมื่อตำรวจต้องมาขึ้นกับตรงนี้ ตำรวจเองก็ลำบาก เพราะต้องดูว่า นาย จะเอาอย่างไร ขณะที่นายเองก็ต้องดูว่า การเมือง จะเอาอย่างไร เมื่อการเมืองมานั่งเป็นประธานบอร์ดตำรวจ หรือ การเมืองก็ต้องมองมากว่า มีใครสั่งมาหรือไม่ เป็นปัญหาของตำรวจ เราจึงได้ยินข่าวเสมอๆ ว่า เวลาตำรวจ เดือดร้อน ต้องวิ่งหาใคร การซื้อขายตำแหน่ง ก็เป็นข่าวอยู่เรื่อยๆ

ในหลายประเทศมีการซอยตำรวจลงเป็นตำรวจท้องถิ่น แล้วให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เป็นการทำงานไปด้วยกัน ตรงนี้ ถ้าเราทำได้จะเป็นประโยชน์ เพราะท้องถิ่น ก็รู้จักตำรวจของเขาเอง แล้วตำรวจจะเข้ามาร่วมดูแลท้องถิ่นของเขาเอง ขณะเดียวกันเวลาตำรวจมีปัญหาก็มีภาคประชาชนหนุนช่วย

ตำรวจไม่ต้องวิ่งดั้งด้นมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แบบจ่าเพียร เพื่อหาคนช่วย ซึ่งที่สุด ก็ไม่มีใครช่วยจ่าเพียร ได้

@ ชงไอเดีย ตำรวจท้องถิ่น ต่อไป ตำรวจจะมีประชาชนเป็น แบ็ค

แต่ถ้าเป็นระบบตำรวจท้องถิ่น ภาคประชาชน หนุนช่วยตำรวจได้แน่นอน และจริงๆ ในแผ่นดินนี้ ถ้าคุณทำงานเกี่ยวกับประชาชน ต้องมีประชาชนมาหนุนช่วย ทำงานไปด้วยกัน หากมีประชาชนหนุนช่วย เรื่องใหญ่ ก็ทำได้สำเร็จ เหมือนที่ นพ. ประเวศ วะสี พูดเรื่องสามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา

นอกจากนี้ ภาคเอกชน จะเข้ามามีบทบาทเรื่องตำรวจบ้าน ที่จะเข้ามาช่วยตำรวจอีกแรง ฉะนั้นแล้ว โครงสร้างตำรวจจะเล็กลง กว่าปัจจุบัน แต่จะมีภาคประชาชนเข้ามาหนุนช่วย รูปแบบนี้มีข้อดี เพราะฝ่ายการเมืองจะเข้ามาแทรกได้ยาก เพราะภาคประชาชนหนุนช่วยตำรวจ หากมองมุมนี้ ตำรวจอบอุ่นขึ้นแน่นอน

ประการที่สอง ต้องกำหนดบทบาทของตำรวจให้ชัดเจน ปัจจุบันตำรวจรับงานมากมายไปหมด อะไร ๆ ก็ตำรวจ แล้วยังหาเรื่องไม่ถนัดมาให้ตำรวจ ทุกเรื่อง เห็นได้จากกฎหมายใหม่ๆ หลายฉบับ หางานให้ตำรวจในสิ่งที่ไม่ถนัด เช่น กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก็ให้ตำรวจไปจับ ซึ่งตำรวจจะไปรู้ได้อย่างไรว่า โฆษณาแบบไหนผิดกฎหมาย โฆษณาแบบไหนไม่ผิดกฎหมาย ในภาวะที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีไปอย่างรวดเร็ว
หรือ กฎหมายสุขภาพจิต เขียนให้ตำรวจไปจับผู้ป่วยมาบำบัด ตำรวจต้องทำงานสารพัด จิปาถะ หรือ เวลาตายไม่ปกติ ตำรวจก็ต้องไปชันสูตรพลิกศพ

@ สงสารตำรวจไทย งานเยอะไปหมด

จริงๆ แล้ว ควรกำหนดบทบาทตำรวจให้ชัดเจน ผมมีข้อเสนอที่ชัดเจน หนึ่ง ถ้าเป็นงานดูแลความสงบเรียบร้อย ผมถือว่าเป็นงานหลักของตำรวจ แต่งานคดี ผมเสนอว่าต้องหาคนมาช่วยงานตำรวจ เพราะบางคดีมีความซับซ้อนมาก ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญพิเศษ ซึ่งตำรวจไม่มีความถนัด 2-3 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามจะให้อาจารย์สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัยไปช่วยงานตำรวจ แต่ก็มีปัญหาว่า อาจารย์สอนกฎหมายจะเข้าไปในฐานะอะไร

ผมจึงเสนอว่า ผู้ที่จะเข้าไปช่วยตำรวจก็คือ อัยการ นั่นเอง ในต่างประเทศ อำนวจสอบสวนกับอำนาจฟ้องคดี ต่างประเทศเขาไปด้วยกัน ในระบบกล่าวหา ในระบบนี้ แยกงานออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือ งานสอบสวนกับอำนาจฟ้องร้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของตำรวจกับอัยการ

กลุ่มที่สองคือ อำนาจพิพากษา ส่วนนี้เป็นของผู้พิพากษา แยกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ แต่บ้านเราแยกเป็น 3 กลุ่ม สอบสวนเป็นของตำรวจ ฟ้องเป็นของอัยการ ส่วนพิพากษาเป็นของศาล ผมว่าเป็นเรื่องแปลก ที่ถูกต้องแล้ว ตำรวจกับอัยการ ต้องไปด้วยกัน

หากเราปรับระบบนี้ ผมเชื่อว่า ตำรวจจะหายใจคล่องขึ้น โดยเฉพาะคดีที่มีอิทธิพล หรือ คดีการเมือง ตำรวจจะมีอัยการเป็นมาหนุนหลัง การเอาอัยการมช่วยตำรวจ จะทำให้ระบบเราเป็นสากลมากขึ้น ส่วนงานส่วนอื่นๆที่ตำรวจไม่ถนัด ควรเอาออกไป เช่น การชันสูตรพลิกศพ เอาไปให้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ นายแพทย์ รับไปดำเนินการ

@ เหลียวดูโมเดลประเทศที่เจริญแล้ว เขาทำกันอย่างไร

ทุกวันนี้ งานคดีอาญา ถ้าตายผิดธรรมชาติ ต้องชันสูตร โดยกฎหมายเขียนให้ ตำรวจเป็นเจ้าภาพ ตำรวจต้องไปตามหมอ ถ้าหมอไม่มา ตำรวจจะทำอย่างไร เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วที่ รถชนกันกลางถนน ศพอยู่บนถนน ตำรวจเคลื่อนย้านศพไม่ได้ ขณะที่หมอก็ไม่มาสักที แล้วทำอย่างไร นี่คือ ปัญหา แต่ในต่างประเทศ เขาไม่ได้ให้ตำรวจทำทั้งหมด ในประเทศอังกฤษ กรณีตายผิดธรรมชาติ คนที่ออกไปชันสูตร ไม่ใช่ตำรวจ แต่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ศาลแต่งตั้ง หรือ โคโลเนอร์ ซึ่งเป็นนักกฎหมายที่จะออกไปชันสูตร แต่ถ้าไม่รู้ต้องไปตามหมอมาชันสูตร อีกรูปแบบหนึ่งในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ระบบนี้ใช้หมอ ถ้าเมืองที่มีหมอเพียงพอก็ใช้หมอ ถ้ามีหมอไม่พอก็ใช้โคโลเนอร์ แต่บ้านเราใช้ตำรวจทำทั้งหมด ซึ่งเป็นงานที่หนักและตำรวจไม่มีความถนัด

ผมเป็นเสนองานวิจัย เรื่องชันสูตรปี 2547 ผมเสนอแนวคิดให้เอางานชันสูตรออกจากตำรวจ โดยจะมี 2 สำนวน สำนวนแรก เป็นสำนวนชันสูตรพลิกศพ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรือ นายแพทย์ เป็นคนทำสำนวนชันสูตร ส่วนสำนวนการสอบสวนเป็นหน้าที่ของตำรวจ 2 สำนวน จะส่งไปให้อัยการ แต่รูปแบบนี้จะทำได้ต้องแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

แนวคิดในการปฎิรูปตำรวจ ผมเสนออีกว่า ควรฝ่ายจับกับฝ่ายสอบสวนออกจากกัน ฝ่ายจับก็จับไป ฝ่ายสอบสวนก็สอบสวนไป แยกงานตามความถนัด เพราะการจับเอง สอบสวนเอง บางที่ตำรวจก็มีใจโน้มเอียงได้ เมื่อแยกบทบาทชัดเจนแล้ว งานตำรวจจะเหลือน้อยลง

ส่วนสุดท้ายคือ งบประมาณ เมื่อ เอาตำรวจไปอยู่กับท้องถิ่น จะทำให้ท้องถิ่นดูแลตำรวจ ประชาชนจะดูแลตำรวจ รูปแบบนี้ จะทำให้ตำรวจ ไม่ต้องไปรีดไถ การปฎิรูปตำรวจ จะทำให้ตำรวจดีขึ้น และประชาชนก็ได้รับประโยชน์ วิธีการนี้ ประชาชนจะเข้ามาช่วยตำรวจ

ข้อเสนอปฎิรูปตำรวจ ตามสูตร ศ. แสวง อาจทำให้ ตำรวจ 1.4 แสนคน สบายใจมากกว่า สูตรปฎิรูปเวอร์ชั่น นักการเมือง อย่างไม่ต้องสงสัย !!!
ที่มา.มติชนออนไลน์

เลิกติดหล่ม ทักษิณ ชินวัตร ได้แล้ว

ควรมองเป็น ‘คนๆหนึ่ง’

ประชานิยม’ ตลอดชีพ!

ระวังทุ่มงบฯ ที่สูญเปล่า

กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย กับกรณีที่ “รัฐบาลเทพประทาน-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ประกาศโครงการ “ประชานิยมตลอดชีพ” ทั้งขึ้นรถเมล์ฟรี-รถไฟฟ้าชั้น 3 ฟรี-ใช้ไฟฟ้าฟรี ฯลฯ

ชนิดที่เมื่อก่อนนี้ ยังมีรายการ “เหนียมอาย” ต่ออายุมาตรการเหล่านี้ ทุกๆ 6 เดือน แต่พอทำไป ทำมา “ชักติดใจ” เหลียวซ้าย-แลขวา...แล้ว ต้อง “หาเสียงล่วงหน้า” กันไว้ก่อน...เพราะอย่างไรเสีย “ปีหน้า” ก็คงหนีการเลือกตั้งไปไม่พ้นแน่ๆ

ถ้าจะว่าไปแล้ว “ประชานิยม” หลายประเทศ ทั่วโลก...ต่างก็ทำกันทั้งนั้น เพื่อช่วยเหลือ “ผู้มีรายได้ น้อย-ผู้ด้อยโอกาส” เพียงแต่จะมีเทคนิค-วิธีการที่แตกต่างกันไป แม้แต่ “ทักษิณ ชินวัตร” ในยุคที่เรืองอำนาจ คิดนโยบายประชานิยมออกมา สารพัดเรื่อง...ก็ “ก๊อบปี้” คนอื่นมาทั้งสิ้น เพียงแต่ ว่า เมื่อนำมา “เริ่มใช้คนแรก” ในประเทศไทย ก็เลยดูเหมือนว่า...เป็นต้นตำรับความคิดนี้

แต่กับ “นโยบายประชานิยมตลอดชีพ” ในหลายรูปแบบของ “รัฐบาลเทพประทาน” ครั้งนี้... ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่า ยังสลัดไม่หลุดกับสิ่งที่ “ทักษิณ” ทำเอาไว้ และคิดแต่เรื่อง “คะแนนเสียง” เพียงอย่างเดียว โดยลืมนึกถึง “คนหาเลี้ยง ทั้งประเทศ” ซึ่งก็คือ “ผู้เสียภาษี” นั่นเอง

ซึ่งคนเหล่านี้...แทบจะไม่เคย “ได้อะไร” จากรัฐบาลเลย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน จะกี่ปี-กี่ชาติ “ผู้เสียภาษี” ก็คือ “ผู้ที่เสียเปรียบ...ที่สุด” จะเรียกร้องอะไร “ผู้มีอำนาจ” ก็ไม่เคยเห็นหัว นั่นเป็นเพราะ...ประเทศเรายังไม่มี “องค์กรผู้เสียภาษี” อย่างเป็นระบบ-อย่างเป็นทางการ เพื่อมาปกป้อง “ผู้-เสียภาษี” ให้ได้สิ่งที่ “ตัวเอง...ควรจะได้” เหมือนเช่น “ผู้ด้อยโอกาส-ผู้มีรายได้น้อย” ที่มักออกมา เรียกร้อง และถ้าไม่ได้ก็จะทำการปิดถนน “ประท้วง”

เมื่อมองข้ามไปอีกขั้น...ยังไม่เห็นหนทาง “การหาเงินเข้าประเทศ” อย่างเป็นระบบจากรัฐบาลชุดนี้เลย ก็เลยทำให้เป็นห่วง “ปัญหาเงิน เฟ้อ” ว่าจะ “เกิดสะสม” จนเกินเยียวยา เพราะรัฐบาลมุ่งแต่ “ทุ่มงบที่สูญเปล่า” แต่ไม่ได้คิดถึง “รายได้” ที่จะเข้ามาในหลากหลายหนทาง และไม่ได้คิดจะแสวงหา “รายได้” จากสิ่งใหม่ๆ เพื่อมา ทดแทนในส่วนที่ “ต้องจ่าย” ออกไปเลย

นอกจากนี้ รัฐบาลก็ไม่ได้ “สอน” ให้ “คนไทย” โดยเฉพาะ “ผู้มีรายได้น้อย-ผู้ด้อยโอกาส” ได้ตระหนักถึงสิ่งที่ “ได้รับ” และควรสร้างจิตสำนึก สอนลู่ทางให้คนเหล่านี้...ควรพึ่งพาตัวเองด้วย ไม่ใช่คิดแต่ “แบมือขอ” จนกลายเป็นนิสัย...เพราะไม่เช่นนั้น จะอีกกี่ปี-อีกกี่ชาติ ปัญหาเดิมๆ แบบนี้ ก็ไม่มีวันจบสิ้น

สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด “คนในรัฐบาล” ต้องคิดข้ามกรอบของ “คนชื่อ...ทักษิณ ชินวัตร” ให้ได้ เพราะเวลานี้ “ทักษิณ” นั้น...จบไปแล้ว ถ้าไปยิ่งให้ความสำคัญ ก็ยิ่งเท่ากับไปเพิ่มคุณค่าให้เขา แต่ถ้ามองข้าม...ทำเสมือนหนึ่งว่า “ทัก ษิณ” เป็นแค่ “คนๆหนึ่ง...ที่ “ไม่มีเงา” เราก็ไม่ จำเป็นต้องไป “กลัวเงาของเขา” ใช่หรือไม่!!!

ที่มา.สยามธุรกิจ

เรื่องจริง

ยิ่งกลัวว่า รัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ ถ้าปราศจากอำนาจตามกฎหมาย ฉุกเฉิน.. รัฐบาลจึงคงอำนาจนั้นไว้..

แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นการประ จานต่อประชาชนทั่วไปว่า.. รัฐบาลนี้ไม่ได้รับ การยอมรับจากประชาชน จนไม่ดำรงความเป็น รัฐบาลในสภาวะปกติได้

สถานะเช่นนี้เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ เพราะทำให้ชาติอ่อนแอ..และไม่ได้รับความเชื่อมั่น

สำหรับประชาชนคนไทยนั้น.. เมื่อไม่เชื่อถือในรัฐบาลเขาก็จะลังเลที่จะลงทุน ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

สำหรับคนต่างชาติและรัฐบาลต่างชาติ ก็ จะบอกกับประชาชนของเขา ไม่ให้เข้ามาลงทุน หรือมาท่องเที่ยวในประเทศไทย

ประเทศก็จะยิ่งอ่อนแอย่อยยับลงไปอีกจากการที่รัฐบาลใช้กฎหมายฉุกเฉิน..

หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภา 2553 ไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปที่ใครจะมาชุมนุมเรียกร้องใดๆ กับรัฐบาล..

การถูกฆ่าและติดคุก เป็นเรื่องไม่สนุก ของชีวิต โดยเฉพาะประดาแกนนำที่จะเกิดใหม่

ก็แล้วรัฐบาลกลัวอะไร ถึงยังคงใช้กฎหมายฉุกเฉินอยู่.. ถึงวันนี้ยังไม่มีใครตอบได้

รัฐบาลน่าจะกลัวว่า.. จากการใช้อำนาจดังกล่าว และกระทำอย่างรุนแรงกับประ ชาชนนั้น..

จะทำให้ฝ่ายที่ถืออาวุธอยู่ในกองทัพด้วยกันไม่พอใจและไม่สนับสนุนการกระทำ และนำมาเป็นข้ออ้างในการทำปฏิวัติรัฐ ประหารแย่งชิงอำนาจไปจากรัฐบาล..

ถ้ารัฐบาลกลัวเช่นว่า.. รัฐบาลก็จะต้องกลัวอยู่ตลอดไป เพราะเป็นการหวาดกลัวเข้า ไปในพลังอำนาจของตนเอง

แต่การประกาศใช้กฎหมายฉุกเฉินนานไป ก็จะยิ่งทำให้รัฐบาลยิ่งอ่อนแอ และประชาชนจะไม่ยอมรับมากขึ้น มากขึ้น..

เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายว่า.. กฎหมายฉุกเฉินนั้นเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐบาลมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ..

และอำนาจชนิดนี้ จะทำให้รัฐบาลขาดการยอมรับมากจนกระทั่ง.. และดึงดันจนประชาชนโกรธแค้น.. จนไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์กลับมาเป็นรัฐบาล..

นั่นจะเป็นเรื่องจริง
ที่มา.สยามธุรกิจ

เสื้อเหลืองเป็นใครและออกมาทำไม !!???

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์

คนเสื้อเหลืองคือใคร? ตอบได้ยากมาก แต่จากข้อมูลที่มีอยู่น้อย ทั้งอาจารย์อภิชาต สถิตนิรามัย และอาจารย์อเนก เหล่าธรรมทัศน์ พบตรงกันว่า โดยเฉลี่ย พวกเขามีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง เช่น คนเสื้อเหลืองอยู่ในระบบประกันสังคมจำนวนมากกว่า แปลว่าพวกเขาทำงาน "ในระบบ" เช่นถึงเป็นแรงงาน ก็เป็นแรงงาน "ในระบบ" ในขณะที่คนเสื้อแดงอาจเป็นแรงงาน "นอกระบบ" เช่น ลูกจ้างรายวัน เป็นต้น

ผมขอตีขลุมรวมๆ ว่า คนเสื้อเหลืองเป็นคนชั้นกลางระดับกลางขึ้นไป แม้จะรู้ดีว่าทั้งเสื้อเหลืองและแดง ล้วนมีคนหลากหลายประเภทปะปนกันทั้งสิ้น แต่เมื่อพูดโดยเฉลี่ยแล้ว คนเสื้อเหลืองคือคนชั้นกลางระดับกลาง (ขึ้นไป)

นอกจากนี้ เราไม่อาจเอาแกนนำเป็นตัวแทนของผู้ชุมนุมได้ ทั้งเหลืองและแดง การที่มีคนจำนวนมากเช่นนี้ออกมาชุมนุมกันเป็นเดือนๆ ต้องมีปัจจัยในทางสังคมผลักดันอยู่เบื้องหลัง มากกว่าวาทะของแกนนำบนเวที เราจะเข้าใจการเคลื่อนไหวทางการเมืองของสองสีนี้ได้ ก็ต้องเข้าใจปัจจัยทางสังคมที่อยู่เบื้องหลัง ยิ่งกว่านี้ แม้แต่พยายามล้วงลึกลงไปที่อ้ายโม่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ก็ยังอธิบายไม่ได้อยู่ดี แกนนำและอ้ายโม่งมีพลังก็จริง แต่ไม่มีวันที่ใครจะมีพลังถึงกับดึงคนจำนวนมากไปเสี่ยงตายกลางถนนได้มากขนาดนี้ หากไม่มีปัจจัยทางสังคมเอื้อให้ผู้คนสวมเสื้อสีออกไป

เหตุใดคนเสื้อเหลืองจึงออกมา "เย้วๆ" (หากใช้ศัพท์เดียวกับที่บางคนใช้ในการบรรยายการกระทำของเสื้อแดง) บนถนน? นี่เป็นคำถามที่จะยิ่งตอบยากกว่าคำถามแรก แต่ผมพยายามตอบ แม้จะอย่างผิดๆ ถูกๆ อย่างไรก็ตาม เพราะผมเชื่อว่าคำถามนี้มีความสำคัญ และสักวันหนึ่งก็คงมีคนที่เก่งกว่าผมและขยันกว่าผมจะตอบได้ดีกว่านี้

แม้คนเสื้อเหลืองมีรายได้สูงกว่าคนเสื้อแดง และมโนภาพที่เรามีต่อเขาก็คือเขา (โดยเฉลี่ย) ไม่ใช่คนจน แต่ผมยังคิดว่า ควรเริ่มต้นด้วยการมองหาปัจจัยทางเศรษฐกิจก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นในเศรษฐกิจไทยในช่วงประมาณสิบกว่าปีที่ผ่านมา จึงทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกตัวว่าเดือดร้อนทางการเมือง มากพอที่จะออกมาประท้วงในท้องถนน

ผมต้องสารภาพว่า ผมหาตัวเลขทางเศรษฐกิจที่อธิบายเรื่องนี้ตรงๆ ไม่ได้ แต่ด้วยความกรุณาของคุณบรรยง พงษ์พานิช ซึ่งได้ส่งส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่องของความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยของท่านมาให้ผมดู ในขณะเดียวกัน ด้วยความกรุณาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ได้เชิญผมเข้าร่วมสัมมนาเรื่อง "การปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อความเป็นธรรมในสังคม" ในเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ผมจึงได้รับเอกสารที่ใช้ในการคลำหาคำตอบของผมเองได้

แต่ตัวเลขเศรษฐกิจเหล่านี้ ผู้ทำวิจัยไม่ได้เก็บรวบรวมเพื่อตอบปัญหาของผม จึงจำเป็นที่ผมต้องอ่านเอาเองทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์เลย ผมจึงไม่รับรองว่าที่ผมอ่านนั้นถูกต้อง ถึงผมจะอ้างใคร คนที่ถูกอ้างก็ไม่ต้องรับผิดชอบเพราะผมเองต่างหาก ที่ยัดความหมายลงไปในกราฟนานาชนิดที่เขาแสดงเพื่อพูดเรื่องอื่น

ต่อไปนี้คือปัจจัยทางเศรษฐกิจบางอย่างที่ผมคิดว่าน่าจะอธิบายพฤติกรรมของคนเสื้อเหลืองได้

เมื่อพูดถึงความเหลื่อมล้ำ เราอาจหาตัวเลขทางเศรษฐกิจเพื่ออธิบายให้เห็นชะตากรรมของคนเสื้อแดงได้มาก แต่จะอธิบายชะตากรรมของคนเสื้อเหลืองด้วยความเหลื่อมล้ำได้อย่างไร

ต้องเข้าใจก่อนว่า ความเหลื่อมล้ำไม่ได้แปลว่าความยากจน ความเหลื่อมล้ำคือไม่เท่ากัน หรือให้ชัดกว่านั้นคือไม่เท่ากันในระดับที่คนรู้สึกว่ายอมรับได้ (ที่ไหนๆ คนก็ไม่เท่ากันทั้งนั้น แต่จะไม่เท่าแค่ไหน คนที่มีน้อยได้น้อยกว่าจึงจะยอมรับได้ นี่ต่างหากคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจน)

ก.คุณบรรยง ชี้ให้เห็นว่าในช่วงประมาณ 1 ทศวรรษกว่าๆ ที่ผ่านมา ผลตอบแทนจากค่าจ้างแรงงาน (รวมเงินเดือนที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับด้วย) ซึ่งอาจมีขึ้นมีลงตามแต่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากทุนแล้ว จะเห็นว่าห่างกันมากขึ้น แปลออกมาเป็นภาษาธรรมดาก็คือ คนที่ทำงานรับเงินเดือนบริษัทอยู่ มองเห็นผลกำไรของบริษัทสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เงินเดือนของตนไม่ได้ขยับขึ้นในอัตราที่เร็วเท่ากับผลกำไร

ข.คุณบรรยงอีกเหมือนกันที่ชี้ว่า ผลตอบแทนจากค่าเช่าและอื่นๆ ลดลงในวิกฤตครั้งแรกอย่างฮวบฮาบ แล้วก็ไม่กระเตื้องขึ้นจนถึง 2547 ก็เริ่มเงยหัวขึ้นมาบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับรายได้จากการประกอบการของธุรกิจ (ดูจากภาษี) ลดลงในวิกฤตครั้งแรกเหมือนกัน แต่ก็สูงขึ้นกว่าเดิมมาเรื่อยๆ จนสูงกว่าเก่า ฉะนั้นโดยเปรียบเทียบแล้ว ผลตอบแทนจากค่าเช่ามีแต่จะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับการประกอบการด้วยทุน (จากที่ "ค่าเช่า" เคยอยู่สูงสุดในปี 2541 เป็นกว่า 24% ของรายได้ประชาชาติที่ไม่ได้มาจากค่าจ้าง เหลือเพียงประมาณ 7% ในปี 2546)

ผมเข้าใจว่า รายได้ของคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งก็มาจาก "ค่าเช่า" (นับตั้งแต่ที่ดิน, เครื่องจักร, เครื่องมือการเกษตร, นายหน้าแรงงาน, ฯลฯ) คนเหล่านี้ "โดนหยิก" จากการที่รายได้ของตนลดลง และแน่นอนย่อมรู้สึกในความเหลื่อมล้ำมาก

ค.แม้มีการขยายตัวของการจ้างงานในภาคหัตถอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ค่าจ้างในภาคหัตถอุตสาหกรรมก็ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จนมาถึงระดับต่ำสุดในปี 2550 เหตุผลก็พอเดาได้ นั่นคือมีคนหลั่งไหลจากภาคอื่นๆ เข้ามาสู่ภาคการผลิตนี้จำนวนมาก รายได้ของแรงงานลดลงนั้นแน่นอนอยู่แล้ว แต่ผมต้องการชี้ให้เห็นว่าแรงงานฝีมือนับตั้งแต่เสมียนขึ้นไปถึงฟอร์แมนและคนงานระดับกลางเองก็ลดลงไปด้วย (อยากได้ ปวส. หรือปริญญาตรีหรือ มีให้เลือกถมถืดไป) ฉะนั้น จึงมีคนชั้นกลางระดับกลางจำนวนหนึ่งที่รู้สึกเจ็บปวดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้

ง.คุณเดือนเด่น นิคมบริรักษ์และคุณศิริกาญจน์ เลิศอำไพนนท์ แห่ง TDRI แสดงให้เห็นว่า มีการกระจุกตัวของรายได้ภาคธุรกิจในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ในปี 2553 ธุรกิจ 20% ระดับบนสุด มีรายได้ 81.02% ของรายได้จากภาคธุรกิจทั้งหมด ส่วนธุรกิจขนาดกลางซึ่งรวมกันเป็น 60% ของธุรกิจไทย มีรายได้เพียง 18.05% ของรายได้ภาคธุรกิจ ครั้นถึงพ.ศ.2551 ธุรกิจ 20% ข้างบนมีรายได้ถึง 86.28% ในขณะที่ระดับกลาง 60% มีรายได้ลดลงเหลือเพียง 13.19% เท่านั้น

นี่คือเหตุผลที่เจ้าของร้านโชห่วยและผู้ส่งออกรองเท้าแตะไปยังรัสเซีย ได้มาสวมเสื้อเหลืองนั่งประท้วงร่วมกับพนักงานคอมพิวเตอร์และเซลส์ของบริษัทน้ำมัน

จ.อาจารย์นิพนธ์ พัวพงศกร แห่ง TDRI เช่นกัน ชี้ให้เห็นว่า นโยบายแทรกแซงราคาพืชผลการเกษตรของรัฐบาลทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นการพยุงราคา, การแบ่งโซนนมโรงเรียน, การอุดหนุนให้ขยายพื้นที่ผลิตสินค้าบางตัว เช่น ยาง, ฯลฯ ล้วนทำให้รัฐขาดทุนหลายหมื่นล้านบาทต่อปี เพราะเป็นนโยบายที่อาจสรุปสั้นๆ ได้ว่า รัฐยอมซื้อแพงขายถูก แม้ว่าเกษตรกรจะได้รับผลดีจากนโยบายเหล่านี้อยู่บ้าง (แต่น้อยกว่าพ่อค้าและนักการเมือง) แต่ผู้บริโภคกลับต้องจ่ายในราคาแพงขึ้น (ไม่นับต้องเสียเงินภาษีไปโดยไม่คุ้ม)

นี่ก็เป็นเรื่องที่คนชั้นกลางระดับกลางซึ่งเป็นผู้บริโภคสินค้าเกษตรอยู่ในเขตเมือง "โดนหยิก" โดยตรง

สืบเนื่องกับเรื่องนี้ ยังมีปัญหาที่น่าสนใจด้วยว่า ภายใต้รัฐบาลทักษิณ (โดยเฉพาะนับตั้งแต่ครึ่งหลังของสมัยแรกเป็นต้นมา) คนชั้นกลางระดับกลางในเมืองรู้สึกว่าตัวถูกเอาเปรียบหรือไม่?

ผมตอบไม่ได้ แต่มีข้อสังเกตว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ถูกโจมตีด้วยเรื่องที่น่าหวั่นไหวต่อคนชั้นกลางระดับกลาง เช่น การแทรกแซงสื่อ เพราะสื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของคนชั้นกลางระดับกลาง การแทรกแซงองค์กรอิสระก็เช่นเดียวกัน ราคาหุ้นของกลุ่มบริษัทคุณทักษิณซึ่งถีบตัวขึ้นสูงกว่าคนอื่นมาก กระทบความเชื่อมั่นต่อตลาดหุ้นซึ่งมีความสำคัญแก่คนชั้นกลางระดับกลาง ในทางตรงกันข้าม นโยบายที่เรียกว่า "ประชานิยม" ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนชั้นกลางระดับกลางโดยตรงมากนัก ถึงแม้จะใช้บริการ 30 บาทมากพอสมควร แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากกองทุนหมู่บ้าน, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, หรือธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ มากนัก

อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่า เราไม่สามารถใช้เศรษฐกิจอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ได้ทั้งหมด อย่างไรเสียเราก็ต้องมองลงไปที่ความเป็นมนุษย์ของเขาด้วย และตรงนี้แหละครับที่ยากและเถียงกันได้มาก เพราะมนุษย์คืออะไรนั้นนิยามไม่ตรงกัน

มีเหตุในทางเศรษฐกิจหลายอย่างดังที่กล่าวแล้ว ซึ่งทำให้คนชั้นกลางระดับกลางรู้สึกเจ็บ เจ็บที่ต้องสูญเสียความมั่นคงในชีวิต ไม่เฉพาะแต่ความมั่นคงทางเศรษฐกิจนะครับ แต่ต้องรวมถึงความมั่นคงที่คุ้นเคยกันมาด้วย (ซึ่งจะพูดถึงข้างหน้า) นอกจากนี้ ในท่ามกลางสถานภาพทางรายได้ของตัวที่ตนรู้สึกว่าตกต่ำลง สังคมไทยดูจะกลายเป็นสังคมฟูมฟายมากขึ้น (affluent society) จึงเท่ากับกีดกันตนให้ออกไปจากความฟู่ฟ่าหรูหราที่ดูจะไม่มีวันเข้าถึง

ทั้งหมดนี้คือ "ความเหลื่อมล้ำ" อย่างหนึ่ง แต่อธิบายด้วยความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่พอ จำเป็นที่จะต้องนำเอาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้ เข้าไปให้ความหมายแก่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง และผมขอเรียกอย่างกว้างๆ ว่าความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม

ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรมนี่แหละ ที่ผมคิดว่าอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของเสื้อเหลืองได้ดีกว่าเศรษฐกิจ แม้ว่าเราจำเป็นต้องดำรงรักษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจที่กล่าวข้างต้นนั้นไว้ที่ข้างหลังหัวเราตลอดเวลาก็ตาม

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมพยายามจะตอบคำถามว่า คนชั้นกลางระดับกลางออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในท้องถนนทำไม

นอกจากความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแล้ว ผมได้ทิ้งท้ายว่าที่สำคัญกว่านั้นคือ ความเหลื่อมล้ำทางวัฒนธรรม

ซึ่งผมขออนุญาตนำมาขยายความในสัปดาห์นี้

ก. ในสังคมฟูมฟาย สินค้าที่ "ดีกว่า" หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทีวีจอแอลซีดีซึ่งเพิ่งกัดฟันซื้อไปเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังผ่อนไม่ทันหมดดี ก็มีจอแอลอีดีเข้ามาวางขายในตลาด ว่ากันว่าชัดกว่า, สว่างกว่า และกินไฟน้อยกว่าเสียด้วย รถยนต์วีออสและซิตี้รุ่นใหม่นั้น สวยจับตากว่ารุ่นเก่าอย่างเทียบกันไม่ได้ ซ้ำยังมี "ลูกเล่น" ต่างๆ เพิ่มเข้าไปอีก เห็นอยู่เต็มถนนเสียด้วย คิดไปเถิดครับ มีสินค้าใหม่ที่ล่อตาล่อใจปรากฏให้อยากได้ไม่เว้นแต่ละวัน เพราะชีวิตก็วนเวียนอยู่กับการครอบครองวัตถุ เป็นสัญลักษณ์แห่งตัวตนตลอดมา จะให้ไม่รู้สึกรู้สากับความเหลื่อมล้ำที่เห็นคาตาอยู่ได้อย่างไร

นักเศรษฐศาสตร์บางคนอธิบายว่า ตัณหาที่เผาผลาญมนุษย์อยู่นั้นมีประโยชน์ เพราะย่อมผลักดันให้ผู้ถูกเผาเร่งผลิตเพื่อหากำไรมาดับไฟตัณหาของตัว เศรษฐกิจโดยรวมย่อมเจริญขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากประยุกต์ใช้ทฤษฎีนี้กับคนแต่ละคน โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน จะให้ขยันไปอีกแค่ไหน เพราะดังที่ได้กล่าวแล้วว่า รายได้ของคนประเภทนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราที่รวดเร็วเท่ากับผลกำไรจากทุน ฉะนั้นจึงได้แต่มองสินค้าใหม่ ตัวตนใหม่ และชีวิตใหม่ในตลาดอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะรู้ว่าล้วนเป็นสิ่งที่ตนเข้าไม่ถึง

นี่คือเหตุผลที่คนจำนวนมากดึงเอา "เศรษฐกิจพอเพียง " มาเป็นคำตอบ ส่วนหนึ่งคงใช้เพื่อตอบตัณหาของตัวเอง แต่อีกมากทีเดียวใช้เพื่อตอบตัณหาของคนอื่น โดยเฉพาะของคนที่สามารถเข้าถึงสินค้าใหม่ที่ "ดีกว่า" เหล่านี้อย่างง่ายดาย พวกเขาน่าจะรู้จัก "พอเพียง" บ้าง แต่คนที่ไม่รู้จักพอเพียงก็นั่งอยู่ข้างๆ ตัวในการชุมนุมนั่นเอง พวกเขาจึงเห็นด้วยกับแกนนำว่า หัวโจกของคนที่ไม่รู้จักพอเพียงคือ นักการเมืองผู้ชั่วช้าซึ่งมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งควรถืออำนาจได้ไม่เกิน 30%

นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่ต้องรู้จักความพอเพียง ก็เพราะรายได้ของเขามาจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง แม้คนชั้นกลางระดับกลางเคยชินกับการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง เพราะในชีวิตจริงก็จ่ายเงินให้ตำรวจจราจรเป็นปกติ แต่การฉ้อราษฎร์บังหลวงของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างความเจ็บปวดให้มากกว่า เพราะรายได้อันชอบธรรมของเขาก็มากเกินกว่าที่คนชั้นกลางระดับกลางจะสามารถหามาได้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่ของเสื้อเหลืองอยู่ "ในระบบ" จึงเป็นผู้เสียภาษีทางตรง จึงยิ่งรู้สึกเจ็บกว่าความเป็นพลเมืองธรรมดา

ข. ความมั่นคงของชีวิตคนชั้นกลางระดับกลางในเมืองไทยนั้นลดลง ค่าใช้จ่ายสำหรับการศึกษาของลูกหลานแพงขึ้น, ค่ารักษาพยาบาลก็แพงขึ้น ไม่ว่าในโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน, การเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบยากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540

อย่างไรก็ตาม มีความโน้มเอียงในประเทศไทยที่เริ่มจะใช้หลักประกันสังคมบางส่วน (โดยคิดถึงค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้น้อยเกินไป ฉะนั้น คนชั้นกลางระดับกลางจึงไม่ได้จ่ายภาษีเพิ่มขึ้น) เช่นรัฐธรรมนูญ 2540 ให้หลักประกันว่าเด็กทุกคนจะได้เรียนหนังสือถึง 12 ปี หรือโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรค ทรท.

แต่เพราะไม่ได้คิดจากหลักการประกันสังคมจริง ในทางปฏิบัติจึงมุ่งไปสู่การหาเสียงและเน้นที่ "คนจน" มากกว่ากระจายให้แก่คนทุกชั้นอย่างทั่วถึง ความมั่นคงของชีวิตที่คนชั้นกลางระดับกลางได้รับจากรัฐจึงมีลักษณะสุกๆ ดิบๆ เช่นการเข้ารับบริการโครงการ 30 บาท ย่อมหมายถึงการได้รับการปฏิบัติเหมือนกับคนอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่ "ต่ำ" กว่า เกิดความไม่แน่ใจใน "มาตรฐาน" ของการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับการเรียนฟรี 12 ปี (โดยปราศจากการพัฒนาคุณภาพโรงเรียนให้ใกล้เคียงกัน) ทำให้บุตรหลานของคนชั้นกลางระดับกลาง ต้องเผชิญการแข่งขันมากขึ้น ซ้ำชั้นเรียนของบุตรหลานยังเคล้าคละปะปนระหว่างคนต่างสถานภาพมากขึ้นด้วย (สถาบันการศึกษาของไทยจะทำหน้าที่กรองคนใน "ชั้น" ต่างๆ ขึ้นไปตามลำดับ ยิ่งเรียนสูง เพื่อนร่วมชั้นก็จะอยู่ในสถานภาพที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น) คนชั้นกลางระดับกลางส่วนหนึ่ง นำบุตรหลานหนีจากระบบเข้าสู่โรงเรียนราษฎร์ หรือโปรแกรมพิเศษของโรงเรียนหลวง แต่คนชั้นกลางระดับกลางจำนวนมาก ไม่มีสมรรถนะที่จะทำอย่างนั้นได้ จึงได้แต่วิตกห่วงใยต่ออนาคตทางการศึกษาของบุตรหลาน

ขึ้นชื่อว่าคนชั้นกลาง เส้นทางของการไต่เต้าทางสังคมที่ใหญ่สุดคือ การศึกษา แต่ความมั่นคงทางการศึกษาที่รัฐจัดให้กลับทำให้เส้นทางนี้แคบลงแก่คนชั้นกลางระดับกลาง

ค. แม้ว่าความเสมอภาคเป็นอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่คนชั้นกลางระดับกลางพูดถึงมานาน แต่ในชีวิตจริงของคนชั้นกลางระดับกลางไทย ความเหลื่อมล้ำเป็นสิ่งที่เห็นได้ถนัด เมื่อมองขึ้นไปข้างบน ความเสมอภาคที่เรียกร้องจึงเป็นความเสมอภาคที่อยากเท่าเทียมกับคนชั้นกลางระดับเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนาย แต่ความเสมอภาคที่รัฐนำมาให้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นความเสมอภาคที่ป้อนให้แก่คนชั้นกลางระดับล่าง มีคนแปลกหน้าที่เผยอหน้าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งดูเหมือนคุกคามความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้าสัวและคุณหญิงคุณนายเสียอีก

ดังนั้น หลักการความเสมอภาคจึงรับไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอมใน "ความเป็นไทย" ไม่น่าอับอายอย่างไรที่จะปฏิเสธความเสมอภาคอย่างตรงไปตรงมาและเปิดเผย สิ่งที่เรียกร้องกันอย่างอึงมี่คือ "ระเบียบ" ในระยะแรกต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ซึ่งรัฐบาลอันเขาคุมไม่ได้นำมา และในระยะหลังต่อต้านความไร้ "ระเบียบ" ที่การชุมนุมของเสื้อแดงนำมา "ระเบียบ" ที่คนชั้นกลางระดับกลางเรียกร้องหา คือลำดับแห่งช่วงชั้นทางสังคมนั่นเอง นี่คือเหตุผลที่ยินดีจะผูกพันการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันนี้ถูกคนชั้นกลางระดับกลางยึดถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่มีช่วงชั้น

และนี่คือเหตุผลที่หลงใหลได้ปลื้มกับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นักเรียนออกซ์ฟอร์ด ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ใช้ภาษาทั้งไทยและอังกฤษได้อย่างสละสลวย (eloquent), มีกำเนิดในตระกูล "ผู้ดี" และมีชีวิตส่วนตัวที่ไม่มีที่ติในระบบค่านิยมของคนชั้นกลางระดับกลางแต่อย่างใด นับเป็นหมุดหมายสำคัญของความมั่นคงของ "ระเบียบ" ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตามสถานภาพช่วงชั้นทางสังคมในอุดมคติควรกำหนดให้เป็นไป

ง. ส่วนที่ใหญ่ไม่น้อยในความมั่นคงของชีวิตคนไทยมาจากเครือญาติ และเครือข่ายความสัมพันธ์ ทั้งสองอย่างนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้วในชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง เพราะมีญาติและเพราะมีเพื่อนจึงทำให้มี "เส้น" แต่ "เส้น" ของญาติและของเพื่อนกำลังอ่อนแรงลง ทั้งเพราะไม่สามารถผูกความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นเหมือนเดิม และทั้งเพราะ "เส้น" จะทำงานได้ผลก็ต้องเสียเงิน "ซื้อ" มากขึ้น "เส้น" กำลังเปลี่ยนไปเป็น "ซื้อ" ใน"ชีวิตของเขา ในขณะที่กำลังจะ "ซื้อ" ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นให้ทันกับการสูญเสีย "เส้น" ชีวิตจึงอึดอัดขัดข้องมากขึ้นเพราะขาดความมั่นคงในชีวิต

ที่ถูกโจมตีว่า "ม็อบมีเส้น" นั่นแหละที่สอดคล้องกับสิ่งที่กำลังโหยหา ก็เพราะ "มีเส้น" นั่นล่ะสิ การชุมนุมจึงสะท้อนอุดมคติที่หลุดลอยไปแล้วได้อย่างดีที่สุด ที่ชุมนุมกลายเป็นความอบอุ่น, ความมั่นคงปลอดภัย อย่างที่หาไม่ได้ในชีวิตจริง

จ. ผมมีเพื่อนรุ่นพี่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งขยันไปสังเกตการณ์การชุมนุมของเสื้อเหลืองเกือบทุกวัน ท่านเล่าให้ผมฟังว่า คนที่มาร่วมชุมนุมจับกลุ่มคุยกันเป็นกลุ่มๆ ตัวท่านเองก็เข้าร่วมวงสนทนากับกลุ่มโน้นกลุ่มนี้อยู่เป็นประจำ ท่านพบว่าประเด็นของการสนทนาก็คือ ความโหยหา (nostalgia) ต่ออดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมาแล้ว โดยเฉพาะความสัมพันธ์ทางสังคมซึ่งเมื่อสรุปรวมแล้ว ก็คือความสัมพันธ์ที่มีที่ต่ำที่สูง หรือสังคมที่มีช่วงชั้น ฉะนั้นปัญหาของพวกเขาจึงเป็นปัญหาเช่นลูกไม่เชื่อฟังพ่อแม่, ศิษย์ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์, เงินเป็นใหญ่กว่าความสูงของสถานภาพ รวยเสียอย่างทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด แม้แต่ทุจริตคดโกงมาก็ไม่น่าอับอายแต่อย่างใด, ความโลภโมห์โทสันระบาดลงไปถึงชาวบ้านระดับล่าง จึงขายเสียงหรือสมัครเป็นบริวารของเจ้าพ่อผู้ทุจริตอื้อฉาว ฯลฯ

ทั้งหมดเหล่านี้สรุปรวมลงเป็นความเสื่อมโทรมทางศีลธรรม วิธีแก้ไขมิให้สังคมตกต่ำไปกว่านี้ จึงไม่มีทางเดียวได้แก่สนับสนุนให้คนดีมีศีลธรรมได้เป็นใหญ่ และป้องกันมิให้คนเลวไร้ศีลธรรมเข้าสู่อำนาจ หากทำได้ก็จะฟื้นเอาสังคมที่มี "ระเบียบ" อย่างเก่ากลับคืนมาได้ นั่นคือกลับคืนสู่สังคมที่มีที่ต่ำที่สูง คนมีศีลธรรมซึ่งเป็นคนสูงก็จะกำกับควบคุมให้บ้านเมืองมีความสงบสุขเจริญรุ่งเรืองโดยอัตโนมัติ

จารีตนิยมกลายเป็นปราการสำหรับปกป้องตนเองจากความเปลี่ยนแปลงที่ตั้งรับไม่ทัน

ฉ. อย่างไรเสีย เราก็หลีกหนีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในสังคมไปไม่พ้น แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมไทย เป็นความเปลี่ยนแปลงที่คนชั้นกลางระดับกลางไม่พึงพอใจ (ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวแล้ว) คนที่พยายามเสนอตัวเองเป็นหัวหอกของความเปลี่ยนแปลง คือคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นทางเทคโนโลยี, การบริหาร, ไปจนถึงการจัดการรัฐกิจแบบซีอีโอ

อีกทั้งเป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ที่ไม่เหลียวมองคนชั้นกลางระดับกลางสักเท่าไรด้วย ขอยกตัวอย่างจากนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน คุณทักษิณอ้างว่าแม้สามารถสร้างเถ้าแก่น้อยได้เพียง 10% ของประชาชนทั้งหมด ก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว

เถ้าแก่น้อยจะเกี่ยวข้องกับคนชั้นกลางระดับกลางอย่างไร ไม่ค่อยชัดนัก จะให้ขายบ้านขายรถเพื่อไปลงทุนทำธุรกิจแทนการรับเงินเดือน หากไม่ได้อยู่ใน 10% ที่ประสบความสำเร็จ จะมีโอกาสกลับเข้าสู่งานรับเงินเดือนได้อีกหรือไม่

จึงไม่แปลกอะไรที่คุณทักษิณจะเป็นเป้าโจมตีสำคัญของกลุ่มคนเสื้อเหลือง (แกนนำจะมีวาระซ่อนเร้นอะไรไม่เกี่ยว) แต่ชื่อนี้ชื่อเดียวเท่านั้น ก็เพียงพอแล้วสำหรับใช้แทนความเปลี่ยนแปลงอันน่ารังเกียจทั้งหมดที่ถาโถมเข้าใส่ชีวิตของคนชั้นกลางระดับกลาง ทักษิณจึงควรออกไป และไม่กลับมาอีกตลอดชั่วฟ้าดินสลาย

หลังจากพยายามหาคำตอบว่าคนชั้นกลางระดับกลางออกมาทำไมแล้ว ผมก็นึกถามตัวเองว่า สภาพหวนกลับไปสู่อดีตเพื่อหลบหนีอนาคตเช่นนี้จะอยู่กับคนชั้นกลางระดับกลางไปตลอดหรือไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงที่มาจากข้างนอกสังคมไทยแรงเกินกว่าใครจะไปหยุดยั้งมันได้ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีทักษิณ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงแบบไม่หลบหนีจนได้ การศึกษาที่สูงของพวกเขาจะให้ความสามารถที่จะเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้หลายรูปแบบ และในที่สุดกลุ่มหนึ่งก็จะต้อนรับความเปลี่ยนแปลงนั้น แล้วก็ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ ในหมู่คนชั้นกลางระดับกลางมากขึ้น

แม้แต่อดีตที่เขาโหยหาอยู่ในเวลานี้ ก็ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อย่างน้อยก็ช่วยประคองจังหวะก้าวให้เป็นไปอย่างมีรากมีฐานได้ดีขึ้น ถึงจะต้องละทิ้งคุณค่าเก่าๆ ที่เป็นไปไม่ได้แล้วลงไปในที่สุด ก็รู้ว่าต้องทิ้งทำไม

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากย้ำก็คือ ทั้งคนชั้นกลางระดับล่างและคนชั้นกลางระดับกลาง เป็นพลังยิ่งใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน แต่เนื่องจากระบบการเมือง, ระบบปกครอง, ระบบสังคมและวัฒนธรรม ทำให้ขาดการจัดองค์กรที่ดี ทั้งๆ ที่พลังนั้นพยายามจะเบ่งตัวเองออกมามีบทบาทในสังคม

ดังนั้น จึงง่ายที่คนชั้นกลางทั้งสองกลุ่มนี้จะตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ของคนที่จัดองค์กรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและเฉพาะหน้า

ที่มา.มติชนออนไลน์

สนทนากับ พระเขมจิตโต (สุวิชา ท่าค้อ): อำนาจคือตัวกิเลสที่หยาบที่สุด ใยผู้คนมุ่งแสวงหาอำนาจกันเล่า

ทีมข่าวพิเศษ

บทสนทนาถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากออกจากคุกซึ่งจองจำเขาไว้เป็นเวลาเกือบปีครึ่ง ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

ทีมข่าวพิเศษ มีโอกาสสนทนากับพระเขมจิตโต (สุวิชา ท่าค้อ) ซึ่งผ่านการอุปสมบทในช่วงเช้าของวันเดียวกันวัดชลธารบุญญาวาส ต.ท่าค้อ อ.เมือง จ.นครพนม

เราสนทนาถึงการเปลี่ยนผ่านของชีวิตและสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำหลังจากออกจากคุกซึ่งจองจำเขาไว้เป็นเวลาเกือบปีครึ่ง ด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่า ด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550

พระเขมจิตโตกล่าวตั้งแต่ช่วงแรกของการสนทนาว่า “ในทางโลก(เรื่องการเมือง) อาตมาก็จะไม่ขอพูดอะไรอีก เพราะอะไรก็ได้รู้ได้เห็นกันหมดแล้ว” พร้อมกล่าวถึงหน้าที่ของตนเองขณะนี้ว่า “ของชาวพุทธคือการเผยแพร่ธรรมะเป็นธรรมทาน เพราะถือว่าเป็นทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ธรรมะคือหนทางพ้นทุกข์ การช่วยเหลือคนอื่นให้พ้นทุกข์คือกุศลบุญที่ยิ่งใหญ่”

ผู้สื่อข่าว: ที่หลวงพี่ว่าการช่วยคนจากความทุกข์เป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่นั้น สำหรับคนที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์เรื่องการเมืองจะช่วยได้ไหม ช่วยอย่างไร

พระเขมจิตโต: ความจริงแล้วพุทธศาสนาสอนไม่ให้เอาทุกข์เข้ามาใส่ตัวหรืออยู่กับทุกข์แต่ไม่ให้ทุกข์ พูดง่ายๆ คืออย่าเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตน แต่สิ่งที่อาตมายังคิดเป็นนิวรณ์อยู่บ้าง(กิเลสระดับกลางที่เป็นอุปสรรคของผู้ปฏิบัติ) คือ สงสารคนที่ยังอยู่ในความทุกข์จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพราะพวกเขาคือประชาชนผู้บริสุทธิ์แต่กลับต้องมารับเคราะห์อย่างน่าเศร้าใจยิ่งนัก การช่วยเหลือพวกเขาให้ลดหรือพ้นจากความทุกข์ คือ มหากุศลบุญ

สิ่งที่หลวงพี่จะช่วยได้คือ อยากให้พวกเขาเอาธรรมะเป็นที่พึ่ง ชีวิตเราเป็นของไม่เที่ยง เป็นของสมมุติ ยึดติดมากก็ทุกข์มาก เมื่อเราไม่ยึดติดเราก็จะไม่ทุกข์ สรุปคือต้องยอมรับกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น จากการสูญเสียอิสรภาพ พิการ สูญเสียคนที่รัก ฯลฯ ให้พิจารณาถึงโลกธรรม 8 คือธรรมทีอยู่คู่โลกที่ทุกคนจะต้องประสบ ได้แก่ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ เราไม่มีทางหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ไปได้เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา เมื่อมันเกิดขึ้นก็ให้พิจารณามาเป็นสิ่งที่สมมุติให้เป็นเพราะเรากำลังอยู่ในโลกของการสมมุติ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเราคิดได้เช่นนี้เราก็ก็ปล่อยวางจากมัน อย่าไปทุกข์กับมัน ให้ถือว่าสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเป็นเวรกรรมของเราเอง เมื่อได้ใช้แล้วก็หมดเวรกันไป และขอให้อโหสิกรรมแก่ผู้ที่ได้กระทำต่อเรา เพื่อเราจะได้สบายใจและมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมต่อไป

ผู้สื่อข่าว: หลวงพี่เคยกล่าวว่าหากออกจากคุกได้แล้วก็จะบวช เมื่อได้บวชแล้วท่านรู้สึกอย่างไร
พระเขมจิตโต: ความใฝ่ฝันสูงสุดในชีวิตอาตมาก็ได้มาถึง คือการได้บวชเป็นพระภิกษุสงฆ์จะได้ปฏิบัติธรรมเต็มที่ คือการเดินมรรค 8 เต็มกำลังในสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฎิบัติธรรม หลวงพี่จะต้องตัดจากทางโลกโดยสิ้นเชิงเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่ (อริยทรัพย์) คือการเดินขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุญวาสนาประกอบกันด้วย ทางโลกและทางธรรมมันจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทางโลกผู้คนจะแข่งกันเพิ่มกิเลส (ความอยาก) และอาหารที่เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงกิเลสคือการก่อธรรมต่างๆ แต่ทางธรรมนักปฏิบัติธรรม (นักรบกิเลส) จะแข่งกันฆ่าทำลายล้างกิเลส ชัดเจนว่ามันจะเดินสวนทางกัน

ผู้สื่อข่าว: สิ่งที่ตั้งใจจะทำต่อไปคืออะไร
พระเขมจิตโต: ไม่อยากพูดถึงอนาคต เพราะพุทธศาสนาคือปัจจุบัน หน้าที่ขณะนี้ ชาวพุทธคือเผยแพร่พระพุทธศาสนาเป็นธรรมทาน การให้ธรรมทานเป็นการให้ที่สูงสุด เป็นการให้อริยทรัพย์ ถ้าได้กลับออกมาก็คงจะเผยแพร่พระพุทธศาสนาต่อไป ตอนนี้พยายามดึงญาติพี่น้องเดินเข้าสู่ทางธรรม ยอมรับว่าให้คนเห็นธรรมเป็นเรื่องที่ยากมาก หากเขาสร้างบุญบารมีมาก่อนจะไม่มีทางได้เห็นธรรมหรอก อาจจะมืดไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตก็ยังมีให้เห็นมากต่อมาก ส่วนมากเราก็ต้องปล่อยวางไป ทุกวันนี้อาตมาอยากจะหนีไปสู่ที่สงบอยางเดียว การปฏิธรรมในที่ไม่สัปปายะก็เหมือนขับเรืออยู่ในคลื่นลมแรง แต่พระที่เก่งแล้วก็คือจะอยู่อย่างไรก็ได้ ส่วนยังคงไร้เดียงสาอยู่มาก

ผู้สื่อข่าว: น้องชายบอกว่า หลวงพี่เปลี่ยนไปเยอะ
พระเขมจิตโต: เห็นธรรมแล้วก็อยู่เป็น ถึงจะอยู่ในทุกข์แต่จะไม่เอาทุกข์ ปกติทางธรรมจะเดินสวนทางกับทางโลก คือ ทางโลกเป็นการสะสมกิเลสซึ่งจะเข้ามาได้ทุกทิศทุกทาง หากเปรียบจิตเป็นเหมือนบ้านกิเลสก็คือขโมยที่จ้องจะเข้าบ้านอยู่ตลอดเวลาเมื่อใดที่เราเผลอ ในทางโลก ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น คือเป็นการแข่งขันกันสร้างกิเลส ตัวหล่อเลี้ยงกิเลสก็คือสร้างเวรกรรม แต่ในทางพุทธศาสนาเดินในทางตรงกันข้าม คือนักปฏิบัติธรรมจะแข่งกันทำลายล้างกิเลส ด้วยเหตุนี้จิตใจของเราจะต้องเดินสวนทางกับเขา แต่จะทำอย่างไรถึงจะอยู่กลมกลืนด้วยกัน ทุกวันนี้ถึงเราจะไม่มีงานทำเราก็ไม่ทุกข์ใจเลยเพราะรู้จักพอ พูดง่ายๆ คืออยู่เป็น คนรวยก็คือคนที่รู้พอ คนจนก็คือคนที่ไม่รู้จักพอ

ผู้สื่อข่าว: สังคมไทยบอกว่าเป็นสังคมพุทธ แต่มีความเกลียดแค้นกันมาก
พระเขมจิตโต: ซึ่งก็ไม่ใช่พุทธจริง พุทธศาสนาสอนให้ทำลายกิเลส แต่อำนาจคือตัวกิเลสที่หยาบที่สุด ใยผู้คนมุ่งแสวงหาอำนาจกันเล่า อำนาจให้คนทำได้ทุกอย่าง ทำให้ฆ่าคนได้ ต้นเหตุปัญหาของมันคือ กิเลสอำนาจ ประชาชนที่รับเคราะห์เป็นปลายเหตุของปัญหาหรือพูดง่ายๆคือเหยื่อ เขาไม่รู้เรื่องอะไร แต่กลับต้องมารับความทุกข์เต็มๆ ก็เลยคิดว่าใครที่ช่วยให้คนเหล่านี้พ้นทุกข์ก็จะเป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่

ผู้สื่อข่าว: ที่ว่าช่วยประชาชนนั้น ต้องช่วยอย่างไร
พระเขมจิตโต: ในขั้นต้นเขาต้องช่วยตัวเองให้หลุดจากความทุกข์คือเข้าถึงธรรม แค่นี้ความทุกข์ก็จะบางเบาลงไปมาก แต่คนที่มีอำนาจในการช่วยเขาให้เขาพ้นทุกข์ ก็คือช่วยเยียวยา ปลดปล่อยเขาสู่อิสรภาพ และเยียวยาผู้รับผลกระทบ ทั้งความตาย ความพิการ การสูญเสียคนที่รักไป ถ้าทำได้ก็เป็นกุศลผลบุญที่ยิ่งใหญ่ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนมนุษย์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน

ในทางกลับกัน คนที่ไปทำบาปกับพวกเขาก็จะได้อกุศลผลบุญตอบกลับมาเหมือนกันเพราะไม่มีใครหนีพ้นกฎแห่งกรรมไปได้

วิธีการแก้ไขปัญหาที่ง่ายและดีที่สุด คือการเอาคำสอนท่านพุธทาสมาปฏิบัติ คือ มองในสิ่งดี “เขาจะดีบ้าง เลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู สิ่งที่ชั่วอย่าไปรู้เรื่องเขาเลย หากจะเที่ยวหาส่วนดี แต่ฝ่ายเดียว อย่าเที่ยวหาเหนื่อยเปล่าสหายเอย เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง สรุปง่ายๆๆ คือ หากคนเราคุยแต่เรื่องดีๆของกันและกัน ก็จะไม่ทะเลาะและมีปัญหากัน สังคมก็จะสงบสุขไปเอง

ที่มา.ประชาไท

“จาตุรนต์” ฟันธง! ถึงขั้นนี้ต้องยุบ ปชป.สถานเดียว แนะจับตากระบวนการพิจารณา หวั่นไม่โปร่งใส

นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตยกล่าวถึงการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า จากการติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นตนเชื่อว่าโอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะถูกสั่งให้ยุบพรรคมีสูงมาก เนื่องจากมีพยานหลักฐานแน่นหนามาตั้งแต่การสอบสวนคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก็มีมติเสนอให้ยุบพรรคจากทั้ง 2 คดี ล่าสุดคณะกรรมการร่วมระหว่าง กกต.กับอัยการก็มีความเห็นร่วมกันว่าเสนอให้ฟ้องเพื่อยุบพรรคประชาธิปัตย์ในคดี 258 ล้าน ทำให้เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนเกินกว่าที่ใครจะช่วยให้พ้นผิดได้ ดังนั้นจึงไม่ยุบไม่ได้

“คดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 คดี ถูกกระแสสังคมติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็นสองมาตรฐาน เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการยุบพรรคการเมืองไปแล้ว 5 พรรค การพิจารณาคดีพรรคประชาธิปัตย์ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีความล่าช้าเกินกว่าปกติ แต่เป็นเพราะในช่วงการชุมนุมของประชาชนได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ จน กกต.ส่วนใหญ่ต้องพิจารณาเรื่องไปตามเนื้อผ้า และมีมติเสนอให้ยุบพรรคในที่สุด ซึ่งทำให้คดียุบพรรคประชาธิปัตย์เป็นที่น่าสนใจจกฝ่ายประชาธิปไตยที่ติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะในระหว่างขั้นตอนต่างๆ มีข่าวเรื่องการขโมยข้อมูลจากดีเอสไอ กรณีเจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญแอบส่งข้อมูลให้คนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทำให้ไม่อาจไว้วางใจได้ว่าการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จะบริสุทธิ์ยุติธรรมร้อยเปอร์เซ็นต์” นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า หากมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นเรื่องใหญ่มากที่พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดจะต้องยุติบทบาทลง และยิ่งทำให้นักการเมืองอีกจำนวนมากต้องถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไปพร้อมกัน อันจะเป็นเหตุทำให้ระบบพรรคการเมืองอ่อนแอลงอย่างมาก และพรรคการเมืองโดยทั่วไปก็จะอยู่ในสภาพที่อ่อนแอทั่วกัน ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบระบบกฎหมาย ตั้งแต่ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 27 และรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ต้องการทำให้ระบบพรรคการเมืองและพรรคการเมืองอ่อนแอ

ที่มา.มติชนออนไลน์

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ชี้ รัฐบาล ทาบ ส ส พท เสริมเสถียรภาพ


ที่มา.Asia Update TV

ดร.อำพน กิตติอำพน คนในฤดูกาล-การเมือง

คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
ทุกฤดูแต่งตั้ง-โยกย้ายข้าราชการระดับซี 11 มีชื่อ "ดร.อำพน" ติดโผทุกครั้ง

อาจเป็นเพราะเขาคือข้าราชการระดับสูงที่อายุน้อย เหลืออายุราชการ อีก 5 ปี บุคลิกคล่องแคล่ว-ว่องไว ปรับตัวทำงานได้กับรัฐมนตรีจากทุกพรรค ทุกกระทรวง

แม้ชีวิตประจำวันจะวิ่งขึ้น-วิ่งลงจากตึก สุริยานุวัตร อันเก่าแก่ ถึงห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า เข้าถึงห้องทำงานนายกรัฐมนตรี

ใกล้ชิดทั้ง ทักษิณ ชินวัตร-สมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์-พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ล้วนเป็นผู้บังคับบัญชาที่ "ดร.อำพน กิตติอำพน" เสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล คุ้นเคย

แต่อีกไม่กี่เดือนแล้ว ที่ ดร.อำพน หรือ "ดร.กบ" จะต้องลงจากหลังเสือ ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

โอกาสที่ครบวาระ 6 ปีที่สภาพัฒน์ "ดร.กบ" ถูกทาบทาม-ทั้งจากประมุขตึกไทยคู่ฟ้า-นายกรัฐมนตรี และถูกคาดหมายว่าจะได้ไปประจำการไม่น้อยกว่า 3 กระทรวง

อย่างน้อยก็มี กระทรวงการคลัง-กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงคมนาคม

"ดร.กบ" เคยสารภาพจากใจจริง ในห้องสีงาช้าง อย่างไร้คมเขี้ยวว่า "ผมเคยอยากกลับไปอยู่กระทรวงเกษตรฯ เพราะอยากทำงานช่วยเหลือเกษตรกร"

แต่เมื่อพิเคราะห์-เปรียบเทียบ เรื่อง "คนใน-คนนอก" แล้ว "ดร.กบ" สรุปบทเรียนว่า กระทรวงที่ดึงคนนอกขึ้นมาเสียบเป็นผู้นำหมายเลข 1 นั้น บางองค์กรสำเร็จ บางองค์กรล้มเหลว-ผุพังเกินกว่าจะซ่อมแซม

มีคนยกตัวอย่างกระทรวงเกษตรฯ เมื่อพ้นยุคปลัด "ปิติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา" แล้ว แทบไม่มีใครจำผลงานได้ นอกจากเรื่อง "โกงลำไย" ตั้งแต่ปี 2547 ถึงวันนี้ คดียังคาอยู่ในสำนักงาน ป.ป.ช.

กระทรวงเกษตรฯจึงเป็นพื้นที่ "ต้องห้าม" สำหรับ "ดร.กบ" ไปเสียแล้ว

นอกจาก 3 กระทรวงที่ว่าแล้ว ยังมีที่ไป ให้ "ดร.กบ" อีกไม่น้อยกว่า 2 สำนัก

สำนักแรก-สำนักนายกรัฐมนตรี มีตำแหน่ง "เลขาธิการคณะรัฐมนตรี" ให้ลุ้น เพราะอย่างน้อย "นายกรัฐมนตรี" ก็เคยทาบทาม "ดร.กบ" ด้วยตัวเองถึง 2 ครั้ง

สำนักที่สอง-กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ มีตำแหน่ง "ปลัด" ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ให้ได้ลุ้น

ฉายา "ดร.กบ-แหกทุกโผ" อาจเป็นจริง...อีกครั้ง

"ถามผมจากใจจริง ผมอยากไปอยู่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ด้วยเหตุผลสามข้อคือ หนึ่ง ไม่เหยียบตาปลาใคร เพราะปลัดคนเก่าเขาเกษียณ สอง ผมอยากทำโครงการ Knowledge Economy ทำงานเศรษฐกิจฐานความรู้ และการอยู่ในสังคมวิชาการไม่มีการโกงกัน โอกาสที่จะติด คุกต่ำ" ดร.กบ-พูดถึงที่หมายใหม่

สำหรับที่สภาพัฒน์ "ดร.กบ" อยากให้ "คนใน" รับไม้ต่อ ขึ้นเป็น ผู้นำหมายเลข 1

"ผมเชื่อในความซื่อสัตย์ ความทุ่มเท เชื่อมั่นในความรู้วิชาการ ของ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ว่าเขาขึ้นมาได้ แม้ว่าเขาจะไม่มีสีสันเหมือนผม"

"ดร.กบ" บอกว่า ตอนนี้ "คนใน-ลูกหม้อ" ของสภาพัฒน์ พร้อมแล้วที่จะขึ้นบริหาร พร้อมที่จะเป็น think thank ให้กับรัฐบาล

ด้วยคุณลักษณะเฉพาะทาง-ความสามารถเฉพาะตัว-ทำงานเป็นทีมของบุคลากรในสำนักเสนาธิการฝ่ายเศรษฐกิจแห่งนี้ ทำให้ "ดร.กบ" อยู่ตลอดรอดฝั่งมาได้ถึง 6 ปี 5 ยุค 5 นายกรัฐมนตรี

เขาจึงปฏิบัติบูชา-กตัญญุตาต่อสำนักคิดแห่งนี้ ด้วยการ "พัฒนาคน" ตามที่เคยรับปาก "ดร.เสนาะ อูนากูล" ผู้อาวุโส-อดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ไว้

"ตอนรับตำแหน่งเลขาธิการสภาพัฒน์ ได้ไปกราบ ดร.เสนาะ ท่านบอกว่า ที่นี่คือสังคมวิชาการ การพัฒนาคนคือหัวใจที่สำคัญที่สุด การอยู่ที่สภาพัฒน์ต้อง ตัดสินใจในโครงการที่มีผลกระทบวงกว้าง ดังนั้นต้องตัดสินใจที่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมให้มากที่สุด" ดร.กบ-เล่าย้อนหลัง

เขาจึงปลาบปลื้มทุกครั้งที่ นายกฯ-อภิสิทธิ์ "อ้างถึง" ความเห็นของเขาใน ฐานะ "ฝ่ายวิชาการ"

ดังนั้นในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เขาได้วางคนรุ่นใหม่ เพื่อเชื่อมกับนักบริหารรุ่นกลาง ให้รับไม้ต่อกันแล้ว

เขามักเล่าอย่างคล่องแคล่วว่า 6 ปีที่เป็น "เลขาธิการ" ภูมิใจที่ได้สร้างคน ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ระดับปริญญาเอกกำลังจะกลับมาจากเมืองนอก 8 คน กำลังเรียนปริญญาโทในมหาวิทยาลัยทั้งในอังกฤษ-อเมริกา อีกราว 20 คน

เขาอิ่มใจที่ได้ทำโครงการ future team เพื่อให้เจ้าหน้าที่รุ่นใหม่ ๆ ที่จบปริญญาตรี-โทเกียรตินิยม 60 คน ไปเข้าโปรแกรมลงหมู่บ้าน นอนวัด เสวนา ฟังธรรม ฟังปัญหาความยากจนถึงพื้นที่ เพื่อลบภาพ "ลูกเจ้าสัว แต่งตัวเปรี้ยว เที่ยวผับ ทำงานที่สภาพัฒน์เป็นเกียรติประวัติ แก่วงศ์ตระกูล"

ภาพที่ติดตา-สะกิดใจ "ดร.กบ" ในโค้งสุดท้ายก่อนพ้นจากตึกสุริยานุวัตร คือ "ดร.เสนาะ" และอดีตเลขาธิการสภาพัฒน์ 5 คน ได้ร่วมประชุม ร่าง-วิสัยทัศน์แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11

ทุกวันนี้ "ดร.กบ" มีความสุขกับการนั่งเครื่องบินไปต่างจังหวัด แล้วนั่งรถเข้าหมู่บ้าน เพื่อทำงานให้กับ "กองทุนสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ" ตามพระราชดำริจัดตั้งทุนการศึกษาสำหรับเยาวชนไทย ที่กำลังอยู่ในวัยเรียนระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย ถือเป็นทุนการศึกษาแบบให้เปล่า ปราศจากข้อผูกพันใด ๆ และมอบให้อย่างต่อเนื่องจนกว่าผู้ได้รับทุนจะสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี

ข่าว-กระแส-ข้อวิเคราะห์-และคำนินทา ในวงการเมือง-นักบริหาร ที่ว่าเขาคือคนของ "เนวิน ชิดชอบ" ผู้มีบารมีแห่งพรรคภูมิใจไทย อาจหนาหู แต่ "ดร.กบ" มักยืนยันเสมอว่า "ผมทำงานให้นายกรัฐมนตรี"

แต่ทั้งตำแหน่ง-แรงหนุน ที่เขาแหก ทุกโผ ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งผู้อำนวยการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) หรือรองปลัด กระทรวงเกษตรฯ แล้วข้ามห้วยไปเป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ และเหาะไปเป็นประธานบอร์ดการบินไทยนั้น

ย่อมแยกยากว่า เก้าอี้ใหญ่ที่ "ดร.กบ" ครอบครองมาได้นั้น เป็นเพราะ คอนเน็กชั่นพิเศษกับ "เนวิน" หรือความสามารถพิเศษส่วนตัว

"ดร.กบ" วัย 55 ปี (เกิด 10 ต.ค. 2498) แม้ไม่เป็น "ข้าราชการ" เขาก็มีมรดกอันจะกินไปถึงรุ่นลูก-หลาน จากการแตกกอต่อยอด ในตระกูลนักธุรกิจฝ่ายมารดาเชื้อสาย "เอื้อวิทยา"

ด้วยดีกรีจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จบปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ Northeastern University, บอสตัน สหรัฐอเมริกา และจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ ที่ Clemson University South Carolina สหรัฐอเมริกา

แม้เป็นเลขาธิการสภาพัฒน์ ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี แต่ "ดร.กบ" ทำงานกับนักการเมืองได้ทุกพรรค ทุกกระทรวง

หากการเมืองไม่พลิกขั้ว-โผแต่งตั้ง โยกย้ายกำลังพลด้านเศรษฐกิจ คงมีชื่อ "ดร.อำพน กิตติอำพน" เป็นปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่มีรัฐมนตรีว่าการสังกัดค่ายประชาธิปัตย์

ฤดูกาล-การเมืองมักแปรปรวนเช่นนี้เสมอ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

เบน แอนเดอร์สัน: ทำไมบทบาทของปัญญาชนสาธารณะจึงเสื่อมถอยลง?

เบน แอนเดอร์สัน
หมายเหตุ: แปลโดย ภัควดี แปลจาก Benedict Anderson, “Why is the role of Public Intellectuals in decline?” ปาฐกถาเพื่อฉลองวาระครบรอบ 10 ปีโครงการ Public Intellectuals Project ของ Nippon Foundation ที่มหาวิทยาลัย Ateneo de Manila, 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเพลิดเพลินกับการอ่านเอกสารวิชาการประจำปีของมูลนิธิ Nippon Foundation งานเขียนส่วนใหญ่ให้ความรู้เปิดหูเปิดตา ไม่ใช่แค่ในด้านคุณภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความกว้างขวางในการเปรียบเทียบ และประตูที่เปิดออกสู่เครือข่ายประชาชนมากมายหลายเครือข่าย ซึ่งใส่ใจเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของนโยบายรัฐที่มีมากมายเป็นบัญชีหางว่าว กระนั้นก็ตาม โดยรวมแล้ว งานเขียนเหล่านี้สะกิดความความไม่สบายใจบางอย่างขึ้นมาในใจผม คงเป็นเพราะผมเคยใช้เวลาหลายปีในมหาวิทยาลัย ในฐานะนักวิชาการที่เรียกกันว่า “นักรัฐศาสตร์”

ทศวรรษที่ผ่านมา กล่าวคือ ค.ศ. 1998-2008 (พ.ศ. 2541-2551) เป็นช่วงเวลาที่เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในหลาย ๆด้าน ไม่เพียงเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มูลนิธิ Nippon Foundation สนใจศึกษาเท่านั้น แต่รวมถึงโลกทั้งหมดด้วยทศวรรษนี้ลงเอยด้วยวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกครั้งร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) เมื่อทศวรรษ 1930 และเป็นวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหลังจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในภูมิภาคนี้เมื่อค.ศ. 1997-1998 (พ.ศ. 2540-2541)

กล่าวในด้านการเมืองนั้น ทศวรรษนี้เริ่มต้นด้วยการปะทุขึ้นมาของการเมืองแบบปฏิรูปที่น่าชื่นชม แต่ลงท้ายอย่างน่าผิดหวังด้วยการลงหลักปักฐานของระบอบคณาธิปไตยในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทยและมาเลเซียในทุกประเทศที่กล่าวมานี้ ระดับของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง และการที่รัฐเข้าไปควบคุมสื่อมวลชนนับวันจะยิ่งหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่สะดุดใจผมเมื่ออ่านเอกสารจำนวนมากในรายงานประจำปีของมูลนิธิก็คือ ความปั่นป่วนวุ่นวายทั้งหมดนี้กลับแทบไม่ปรากฏให้เห็นเลย ลองยกประเทศไทยเป็นตัวอย่าง ตอนนี้ประเทศไทยกำลังตกอยู่ในวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่เข้มข้นยาวนาน ซึ่งมีสัญญาณส่อเค้าให้เห็นตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นศตวรรษใหม่แต่เอกสารเกี่ยวกับประเทศไทยแทบไม่เอ่ยชื่อของทักษิณชินวัตร ปัญหาของสถาบันกษัตริย์ หรือปัญหาอันน่าขมขื่นของการก่อความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมพูดภาษามลายูในเอกสารเหล่านี้ไม่มีคำเตือนถึงการเกิดขึ้นของขบวนการคนเสื้อแดงที่เราอ่านเจอทุกวันในหน้าหนังสือพิมพ์ เราสามารถอ่านเอกสารเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับฟิลิปปินส์ โดยไม่ได้ความเข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับความหายนะที่เกิดจากการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนางกลอเรียมาคาปากัล อาร์โรโย ฯลฯ

ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

เราอาจเริ่มต้นที่ความเสื่อมถอยระยะยาวของจารีตปัญญาชนสาธารณะ ซึ่งมีผู้อ่านหรือผู้ชมคือสาธารณชนทั่วไปในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 ปัญญาชนสาธารณะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในฟิลิปปินส์คือเรนาโต คอนสตันติโน (Renato Constantino) เขาเขียนงานด้านประวัติศาสตร์ไว้มากมาย โดยมีบุคลิกแบบชาตินิยมฝ่ายซ้ายอย่างชัดเจน และแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรงต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า “จิตใจแบบอาณานิคม” ที่ตกค้างอยู่ในเพื่อนร่วมชาติเขาไม่ใช่คนเดียวที่มีลักษณะแบบนี้ ยกตัวอย่างเช่น วิลเลียม เฮนรี สกอตต์ (William Henry Scott) ชาวอเมริกันโปรเตสแตนท์ ก็เขียนหนังสือที่มีอิทธิพลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ยุคต้นของฟิลิปปินส์ และการละเมิดสิทธิ์ชนเผ่ากลุ่มน้อยในเขตกอร์ดีเยราของเกาะลูซอน ทั้งสองคนนี้ไม่ใช่นักวิชาการหรือนักหนังสือพิมพ์อาชีพ ทุกวันนี้ คนที่มีบารมีแบบนี้แทบไม่มีเหลืออีกแล้วไม่มีชาวอินโดนีเซียคนไหนที่มีผลงานยิ่งใหญ่เทียบชั้นได้กับปรามูเดีย อนันตา ตูร์ผู้ล่วงลับ ทั้ง ๆที่ปรามูเดียเรียนไม่จบไฮสกูลด้วยซ้ำ แต่เขาฝากผลงานนวนิยายและเรื่องสั้นอันวิเศษไว้ให้แก่สาธารณชน ถึงแม้ต้องใช้เวลาถึง 13 ปีอยู่ในคุก จนถึงบัดนี้ เขาก็ยังไม่มีผู้สืบทอด

ในประเทศไทย สุลักษณ์ ศิวรักษ์คือนักวิจารณ์สังคม-การเมืองที่มีอิทธิพลที่สุดในประเทศมาหลายทศวรรษ และโดนข้อหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลายต่อหลายครั้ง สุลักษณ์ไม่มีตำแหน่งทางวิชาการและไม่ใช่นักหนังสือพิมพ์ ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงวัยเจ็ดสิบปีและไม่มีผู้สืบทอดที่ชัดเจน

มาเลเซียมีคนแบบนี้อยู่คนหนึ่ง ซึ่งยังค่อนข้างหนุ่ม เป็นนักเสียดสี บรรณาธิการ นักเขียนความเรียงและนักสร้างภาพยนตร์ที่โดดเด่น เขาชื่ออามีร์มูฮัมมัด (Amir Muhammad) ก็อีกนั่นแหละ เขาไม่ใช่นักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์หรือข้าราชการแต่เขาก็ค่อนข้างโดดเดี่ยวเช่นกัน

เพื่อน ๆคงสังเกตเห็นแล้วว่า ผมจงใจเน้นย้ำการขาดหายไปของอาชีพนักวิชาการ จากประเด็นนี้ ผมต้องการชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งสองประการ ซึ่งทำให้การดำรงอยู่ของปัญญาชนสาธารณะเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ประการแรกคือ การสร้างความเป็นวิชาชีพของมหาวิทยาลัย โดยใช้แนวทางตามอย่างอเมริกัน ซึ่งหยิบยืมลอกแบบมาจากเยอรมนีสมัยศตวรรษที่ 19 อีกทีหนึ่งการสร้างความเป็นวิชาชีพ (professionalisation) นี้เริ่มก่อตัวขึ้นมาจากการแยกสาขาวิชาอันกลายมาเป็นสถาบันที่ทรงพลัง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การแบ่งแยกความรู้และการศึกษาออกเป็นส่วนๆ ตามตรรกะของการแบ่งงานกันทำการแบ่งแยกเช่นนี้กีดกันไม่ให้นักประวัติศาสตร์สนใจมานุษยวิทยาหรือนักเศรษฐศาสตร์สนใจสังคมวิทยา แต่มันมีความหมายอีกนัยหนึ่งว่า ผู้อาวุโสในสาขาวิชาต่างๆ จะมีบทบาทอย่างมากในการกำหนดชี้ชะตาความสำเร็จทางวิชาการของนักวิชาการรุ่นใหม่ ๆด้วย

อนึ่ง การสร้างความเป็นวิชาชีพยังส่งเสริมการพัฒนาศัพท์เทคนิคที่เข้าใจกันเฉพาะในหมู่นักวิชาการที่อยู่ในสาขาวิชาเดียวกัน นี่หมายความว่ามันยิ่งทำให้นักวิชาการเขียนให้นักวิชาการด้วยกันเองอ่าน ตีพิมพ์ใน “วารสารทางวิชาการ” และในสื่อสิ่งพิมพ์ของมหาวิทยาลัยแนวโน้มเช่นนี้ทำให้สาธารณชนทั่วไปถูกกีดกันออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆการเขียนหนังสือให้คนทั่วไปอ่านมักถูกตีตราว่าตื้นเขินและไม่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ ภาษาที่สละสลวยได้รับการยกย่องน้อยลงๆ

อย่างไรก็ตาม อเมริกามีลักษณะเฉพาะในบางแง่มุม ประการแรกสุด อเมริกาไม่มีมหาวิทยาลัยรัฐในระดับชาติ ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นๆเกือบทุกประเทศทั่วโลก มหาวิทยาลัยระดับสุดยอดของอเมริกาเกือบทั้งหมดเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ประการที่สอง อเมริกาพัฒนามหาวิทยาลัยขึ้นมาหลายพันแห่งเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมหาชน ในยุคสมัยที่ถือกันว่าปริญญาบัตรคือเงื่อนไขในการหางานรายได้ดี ทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยประการที่สาม ประเทศนี้มีจารีตยาวนานของความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อปัญญาชนมหาวิทยาลัยโดยรวม นั่นหมายความว่า มีอาจารย์มหาวิทยาลัยเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอิทธิพลเชื่อมโยงกับชนชั้นนำทางการเมืองหรือสื่อมวลชน

แต่ตัวอย่างของอเมริกาก็มีอิทธิพลอย่างยิ่งนับตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา สืบเนื่องจากการครองความเป็นใหญ่ในโลกระหว่างและหลังจากสงครามเย็นเยาวชนหลายหมื่นคนจากหลาย ๆ ส่วนของโลกที่เรียกว่า “โลกเสรี” ได้รับเชิญให้มาศึกษาต่อขั้นสูงที่อเมริกา และได้รับทุนอุดหนุนเหลือเฟือจากมูลนิธิเอกชนและหน่วยงานรัฐเมื่อกลับไปบ้าน คนหนุ่มสาวเหล่านี้มักเจริญรอยตามตัวอย่างของอาจารย์และสร้างชีวิตมหาวิทยาลัยขึ้นมาตามต้นแบบ โดยมักได้รับการสนับสนุนทางการเงินและการเมืองจากอเมริกาเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็ประกอบภารกิจนี้ได้เพียงบางส่วน อันเนื่องมาจากลักษณะของสังคมบ้านเกิดของคนหนุ่มสาวเหล่านี้

ยกตัวอย่างเช่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มหาวิทยาลัยระดับสุดยอดมักเป็นของรัฐ และคณาจารย์เป็นข้าราชการในแบบใดแบบหนึ่ง มีจารีตยาวนานของการเคารพผู้มีการศึกษาสูง ซึ่งมีพื้นฐานมาจากระเบียบสังคมทั้งในยุคก่อนอาณานิคมและยุคอาณานิคมความเคารพต่อผู้มีการศึกษาสูงนี้ได้รับการตอกย้ำจากการมีเส้นสายเชื่อมโยงกับรัฐอย่างเหนียวแน่นอาจารย์มหาวิทยาลัยสามารถเข้าถึงชนชั้นนำทางการเมืองและสื่อมวลชนในลักษณะที่นึกคิดแทบไม่ออกเลยในสหรัฐอเมริกาในอีกด้านหนึ่ง สถานะทางสังคมของพวกเขามักสวนทางกับการสนับสนุนทางการเงินที่พวกเขาได้รับ ในสหรัฐอเมริกาอาจารย์มหาวิทยาลัยได้รับค่าตอบแทนสูงมาก ศาสตราจารย์อาวุโสหลายคนมีรายได้ถึง 100,000 ดอลลาร์ (3.2 ล้านบาท)ขึ้นไปต่อปี ตรงกันข้าม ในอุษาคเนย์นั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยมีรายได้ต่ำ จึงต้องหาทางออกด้วยการรับงานโครงการวิจัยของรัฐที่ไร้ประโยชน์ หาลำไพ่พิเศษด้วยการสอนที่มหาวิทยาลัยอื่น เก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์และอาศัยช่องทางต่างๆ ในสื่อมวลชน เช่น เขียนบทความในหนังสือพิมพ์ ทำรายการทีวีฯลฯ อาจารย์เหล่านี้จึงมักละเลยหรือไม่สนใจนักศึกษา หรือไม่ก็ปฏิบัติต่อนักศึกษาแบบราชการนักวิชาการจำนวนไม่น้อยไม่ยอมสอนหนังสือเลย แต่เลือกไปกินตำแหน่งในสถาบันวิจัยที่แทบไม่มีผลงานใดๆนี่คือเหตุผลที่นักศึกษาเก่งๆ จำนวนมากมักศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองและดูแคลนอาจารย์เพียงในนามเหล่านี้

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักวิชาการหลายคนจึงแสวงหาความสำเร็จด้วยการเข้าข้างชนชั้นนำทางการเมือง หรือไม่ก็แข่งขันแย่งชิงทุนจากหน่วยงานต่างๆ ของประเทศร่ำรวย ซึ่งก็มีวาระแฝงเร้นของตนเองแนวโน้มแบบนี้มีข้อเสียในตัวมันเอง ผมจำได้ดีถึงเจ้าหน้าที่สตรีผู้ขยันขันแข็งอย่างยิ่งคนหนึ่ง ซึ่งคอยจัดการการให้ทุนของมูลนิธิโตโยต้าแก่สถาบันการศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เธอบอกว่าเธอรู้สึกตกใจจริงๆที่พบว่า นักวิชาการชาวฟิลิปปินส์ที่มาร่วมการประชุมสัมมนาที่มูลนิธิเป็นผู้สนับสนุนให้จัดขึ้นพวกเขาไม่เพียงคาดหวังว่ามูลนิธิต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แต่ถึงขนาดเรียกร้องเงินสดตอบแทนการมาร่วมประชุมด้วย เงินตอบแทนมักถูกใช้ไปกับการช้อปปิ้งสินค้าราคาแพง

การหาลำไพ่พิเศษกับสื่อมวลชนก็มีปัญหาในแบบของมันการออกทีวีได้รับค่าตอบแทนดี แต่ไม่ว่าใครก็มักมีเวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งไม่เพียงพอที่จะอธิบายสาระสำคัญอะไรได้การเขียนคอลัมน์อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยกระตุ้นให้นักวิชาการเขียนให้สาธารณชนในวงกว้างอ่าน แต่นักวิชาการที่จริงจังย่อมไม่สามารถเขียนอะไรออกมาได้ทุกสัปดาห์ โดยไม่พูดซ้ำซากวนไปวนมา หรือพูดถึงแต่ตัวเอง แถมยังต้องเชื่อฟังคำชี้นำของบรรณาธิการและเจ้าของหนังสือพิมพ์อีกต่างหาก นักวิชาการเหล่านี้กลายเป็นลูกจ้าง ลูกจ้างของรัฐ ของมูลนิธิต่างประเทศ หรือไม่ก็เป็นลูกจ้างของเจ้าพ่อหนังสือพิมพ์และผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาจึงมีเวลาน้อยมากที่จะทำงานวิจัยอย่างจริงจัง เขียนหนังสือที่มีความสำคัญ หรือท้าทายอะไรบางอย่างอย่างจริงจัง มิหนำซ้ำ พวกเขายังปิดหูปิดตาตัวเองอย่างประหลาดด้วย

ผมขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง สองสามปีก่อน ผมไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยชั้นนำในกรุงเทพฯให้อาจารย์และนักศึกษาราว 300 คนฟัง ในระหว่างการบรรยายนั้น ผมกล่าวยืดยาวพอควรเกี่ยวกับอัจฉริยะแท้จริงคนแรกที่ประเทศไทยผลิตขึ้นมานับตั้งแต่ทศวรรษ 1960 นั่นคือ นักสร้างภาพยนตร์ชั้นยอดอย่างอภิชาติพงศ์วีระเศรษฐกุล ซึ่งได้รับรางวัลใหญ่สองรางวัลที่เมืองคานส์ในช่วงเวลาแค่สามปี อีกทั้งยังได้รับรางวัลมากมายทั่วทั้งโลกภาพยนตร์ด้วยในตอนท้าย ผมถามผู้ฟังว่าใครเคยได้ยินชื่ออภิชาติพงศ์ขอให้ยกมือขึ้น มีคนยกมือประมาณ 10 คน เป็นนักศึกษาทั้งหมด มีกี่คนที่เคยดูภาพยนตร์ของเขา? มีประมาณ 6 คน นักศึกษาทั้งหมดเช่นกัน

ชั่วขณะนั้นเองที่ผมตระหนักถึงการปิดหูปิดตาตัวเองอย่างโง่เขลาของเหล่าอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งคงดูแต่หนังฮอลลีวู้ด และความหยิ่งจองหองของพวกเขา ก็นักสร้างภาพยนตร์ไม่มีปริญญามหาวิทยาลัยน่ะสิ! แทบไม่มีสะพานเชื่อมระหว่างอาจารย์กับนักสร้างภาพยนตร์ นักเขียนนวนิยายและจิตรกรฯลฯ ไม่น่าแปลกใจที่นักสร้างภาพยนตร์และนักเขียนนวนิยายเองก็มีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีนักต่ออาจารย์มหาวิทยาลัยมีเพียงนักศึกษาที่ยังไม่มีวิชาชีพเท่านั้นที่เชื่อมโยงระหว่างโลกทั้งสอง ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นเหตุผลบางประการว่าทำไมเราจึงไม่ค่อยพบปัญญาชนสาธารณะในมหาวิทยาลัย ถึงแม้มีข้อยกเว้นสำคัญอยู่เสมอก็ตามความเป็นวิชาชีพ สถานะข้าราชการ ความใกล้ชิดกับชนชั้นนำทางการเมือง ความไร้วัฒนธรรม การดูถูกดูแคลนนักศึกษา ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่มีบทบาททั้งสิ้น

แต่เราไม่สามารถกล่าวโทษมหาวิทยาลัยโดยไม่คำนึงถึงสภาพแวดล้อมของมัน ผมจึงขอกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงสำคัญประการที่สองที่ส่งผลกระทบต่อการดำรงอยู่ของปัญญาชนสาธารณะ ความเปลี่ยนแปลงนี้อาจนิยามได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปของชนชั้นนำและวิธีการที่พวกเขาใช้ประโยชน์จากอำนาจรัฐ

เรื่องแรกที่น่าสังเกตคือค่านิยมของชนชั้นนำที่มักส่งลูกหลานเรียนชั้นประถมและมัธยมในโรงเรียนที่เรียกว่า “โรงเรียนนานาชาติ” ในประเทศของตัวเอง จากนั้นก็ส่งไปต่างประเทศเพื่อทำปริญญาในสาขาต่าง ๆส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ และอังกฤษ ตลอดจนฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ ฯลฯทัศนคติเช่นนี้มีความหมายชัดเจนคือความไม่แยแสหรือถึงขั้นดูถูกสถาบันการศึกษาในประเทศของตัวเอง ด้วยเหตุผลนี้ ชนชั้นนำจึงไม่ค่อยมีความสะดุ้งสะเทือนกับอิทธิพลทางการเมืองที่แทรกแซงชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างหนัก ถึงที่สุดแล้ว มีแต่ปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศเท่านั้นที่มีเกียรติภูมิอย่างแท้จริง

สถานการณ์นี้ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยได้เอกราชใหม่ๆ เมื่อทุกคนภาคภูมิใจกับโรงเรียนของตัวเอง และครูบาอาจารย์ก็ยังเป็นที่เคารพยกย่อง พวกลูกหลานชนชั้นนำไปเรียนอะไรมา ถ้าหากว่าพวกเขายอมเรียนหนังสือบ้าง? คุณแน่ใจได้เลยว่าปริญญาบัตรส่วนใหญ่ที่พวกเขาได้มามักเป็นสาขาวิชาชีพเชิงพาณิชย์ เช่น บริหารธุรกิจ การตลาด เศรษฐศาสตร์ไอที ฯลฯ ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ วรรณคดี มานุษยวิทยาหรือจิตวิทยาแน่ ๆเพราะสาขาวิชาเหล่านี้มักถูกมองว่า “ไร้ประโยชน์” และไม่ตรงกับความต้องการสำหรับ “ลูกหลานของเรา” ซึ่งจะต้องกลับมาสืบทอดตำแหน่งของพ่อแม่ในระบบการเมืองที่การเล่นพรรคเล่นพวกได้รับการส่งเสริมอย่างไร้ยางอายมากขึ้นทุกทีๆ

เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ: ครั้งล่าสุดที่ผมได้คุยกับอามีร์มูฮัมมัด เขาบอกผมว่า สำนักพิมพ์เล็ก ๆของเขาเพิ่งตีพิมพ์หนังสือรวมเรื่องสั้นของนักเขียนเกย์และเลสเบี้ยน เนื่องจากทราบดีว่า มาเลเซียมีกฎหมายลงโทษความสัมพันธ์ทางเพศที่ “อปกติ” ค่อนข้างหนักหน่วงทีเดียว ผมจึงถามเขาว่า เขาไม่กริ่งเกรงการลงโทษหรือ “ไม่เลย” เขาพูดกลั้วหัวเราะ “ชนชั้นปกครองของเราไม่เคยอ่านหนังสือ อย่างมากก็อ่านแค่คำแนะนำด้านนโยบายสองหน้ากระดาษกับหนังสือพิมพ์เท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งพวกเขาก็ไม่ค่อยถนัดอยู่แล้ว”

ตัวอย่างที่สะท้อนภาพให้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคเผด็จการยาวนานของซูฮาร์โต ในค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) มีเหตุการณ์ที่นักศึกษามหาวิทยาลัยทั่วประเทศลุกฮือขึ้นแข็งข้อต่อรัฐบาล ซึ่งก็ถูกปราบปรามลงอย่างรวดเร็วผู้นำทางปัญญาส่วนใหญ่เป็นเยาวชนที่มีความเกี่ยวข้องกับสถาบัน Technical Institute of Bandung (ในภาษาอินโดนีเซียคือ Institut Teknologi Bandung–ITB) อันทรงเกียรติ แต่ในการลุกฮือขึ้นต่อต้านซูฮาร์โตใน ค.ศ. 1998 (พ.ศ. 2541) หรืออีกยี่สิบปีต่อมา สถาบันนี้กลับไม่หลงเหลือบทบาทและไม่ทำอะไรเลย ทำไม? เหตุผลนั้นง่ายมาก ซูฮาร์โตต้องการการพัฒนาโดยไม่ต้องพะวงกับเสียงคัดค้าน รัฐบาลของเขาจึงจ้างบัณฑิตจาก ITB จำนวนมาก และมักส่งไปศึกษาต่อในต่างประเทศ เพื่อให้กลับมาทำงานในกระทรวงต่าง ๆที่เน้นการใช้เทคโนโลยี ซึ่งต่อมาไม่นาน กระทรวงเหล่านี้ก็ขึ้นชื่อฉาวโฉ่ในด้านการเล่นพรรคเล่นพวกและการคอร์รัปชั่นผู้นำเผด็จการรู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ภัยคุกคาม พวกเขาไม่มีฐานทางการเมืองหรือต้นทุนทางศีลธรรมในสังคมอินโดนีเซียอีกแล้วนักศึกษาที่มาแทนที่คนเหล่านี้มาจากมหาวิทยาลัย “ชั้นสอง” ซึ่งมักเป็นมหาวิทยาลัยด้านศาสนาและมหาวิทยาลัยเอกชน

รัฐเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อผมยื่นขอวีซ่าสำหรับนักวิจัยใน ค.ศ. 1961 (พ.ศ. 2504) ผมต้องรอถึงเก้าเดือนกว่าวีซ่าจะได้รับอนุมัติ เหตุผลหลักคือความเกียจคร้านของระบบราชการ แต่ก็มีความกลัวที่เข้าใจได้ด้วยว่า นักวิจัยต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาอาจเป็นสายลับของซีไอเอภายใต้รัฐบาลซูฮาร์โต ซึ่งเป็นคนโปรดของสหรัฐฯ มีความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้สถานการณ์แย่ยิ่งกว่านั้น รัฐบาลซูฮาร์โตต้องการมีอำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จเหนือนักศึกษาต่างชาติทุกคน โดยสั่งห้ามไม่ให้ศึกษาเรื่องอะไรก็ตามที่รัฐบาลถือว่า “อ่อนไหว” การควบคุมนี้อยู่ภายใต้หน่วยสืบราชการลับของรัฐ โดยอาศัยหน้าฉากของสถาบันที่เคยดูเหมือนใจกว้าง นั่นคือ สถาบัน Indonesian Institute for the Sciences (ภาษาอินโดนีเซียคือ Lembaga Ilmu Pengetahuan Indonesia—LIPI) ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการของรัฐ เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนี้คือนักวิจัยที่รัฐไว้วางใจ ซึ่งแทบไม่เคยสอนนักศึกษาและมีความเชื่อมโยงกับนักศึกษาน้อยมาก เทคนิคการบริหารจัดการแบบนี้แพร่ไปถึงมาเลเซียและประเทศไทย และมีบ้างเล็กน้อยในฟิลิปปินส์อำนาจการยับยั้งของหน่วยงานสืบราชการลับในประเทศเหล่านี้มีมากถึงขนาดที่นักศึกษาที่มาขอวีซ่าวิจัยต้องหันไปหาโครงการที่ปลอดภัยไม่มีพิษมีภัย หรือไม่ก็เรียนรู้วิธีการโกหกอย่างฉลาดปราดเปรื่อง

นักศึกษาต่างประเทศส่วนใหญ่ได้รับเงินทุนจากมูลนิธิเอกชนหรือรัฐบาลในต่างประเทศ สถาบันเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันสัญชาติอเมริกัน ญี่ปุ่น ดัทช์ อังกฤษ ฝรั่งเศสแคนาดา ฯลฯต่างก็มีเป้าหมายระยะยาวในใจ และมีนักศึกษาหลายสิบหรืออาจถึงหลายร้อยคนที่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนทางการเงินจากสถาบันดังกล่าวรัฐบาลต่างประเทศ ซึ่งมีผลประโยชน์มากมายทับซ้อนอยู่ในประเทศต่าง ๆ เช่นอินโดนีเซียหรือมาเลเซีย ย่อมต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้เกิดความบาดหมางกับรัฐบาลในประเทศนั้นๆมูลนิธิเอกชนก็เผชิญปัญหาคล้าย ๆกัน กล่าวคือ ทำอย่างไรจะกระตุ้นให้เกิดงานวิจัยที่ดี ในขณะเดียวกันก็ไม่สร้างความขุ่นเคืองหรือไม่พอใจต่อกลไกรัฐถ้ากล้าหาญเกินไป ก็อาจถูกสั่งห้าม โครงการถูกสกัดขัดขวาง ความสัมพันธ์ที่มีกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ และเหนืออื่นใดคือหน่วยสืบราชการลับทั้งหลาย เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยลูกล่อลูกชนอย่างมากภายใต้ความกดดันเช่นนี้ เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่หน่วยงานและมูลนิธิเหล่านี้รู้สึกจำเป็นต้องรอบคอบระแวดระวังและอนุรักษ์นิยม ดังนั้น เห็นได้โดยง่ายว่า เหตุใดโครงการที่มีจุดมุ่งหมายที่ดีมักไม่ค่อยเอื้ออำนวยต่อปัญญาชนสาธารณะ แต่มักเน้นโครงการวิจัยแบบเทคโนแครตหรือโครงการขนาดเล็กๆที่ไม่น่าจะสร้างปัญหา ทั้งต่อหน่วยงานและมูลนิธิเอง รวมทั้งเยาวชนที่พวกเขาส่งเสริมและให้ทุนสนับสนุนด้วย

ภายในรัฐหรือกลุ่มพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับรัฐ มักมีกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจในการยับยั้ง (veto-groups) ซึ่งเราควรให้ความสนใจผมขอยกตัวอย่างจากแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการศึกษาของมูลนิธิ Nippon Foundation ในอินโดนีเซีย กลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งกลุ่มสำคัญคือกองทัพและนักการเมืองมุสลิม ผมคิดไม่ออกเลยว่ามีหนังสือดีๆ ที่เขียนเกี่ยวกับกองทัพอินโดนีเซีย (ในระดับชาติ)สักเล่มเดียวตีพิมพ์ออกมาในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเขียนโดยนักวิชาการชาวอินโดนีเซียหรือชาวต่างประเทศ งานเขียนที่ดีที่สุดส่วนใหญ่เท่าที่มีอยู่มาจากโลกของเอ็นจีโอ เช่น องค์กรนิรโทษกรรมสากล องค์กร Indonesia Watch ตลอดจนเอ็นจีโอท้องถิ่นเล็กๆ แต่งานเขียนเหล่านี้ไม่เป็นระบบมากนักและมักเน้นไปที่การละเมิดสิทธิมนุษยชนในระดับต่างๆ และในท้องที่ต่าง ๆมากกว่า แต่การศึกษาอาณาจักรธุรกิจอันกว้างใหญ่ของกองทัพ ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย เป็นเรื่องต้องห้ามไม่มากก็น้อยคุณอาจคิดว่า มันน่าสนใจที่จะศึกษาสภาพการณ์อันแปลกประหลาดของอินโดนีเซีย ประเทศที่อ้างว่ามีคนมุสลิมถึง 90% แต่คะแนนเสียงรวมกันของพรรคการเมืองมุสลิมทั้งหมดในช่วงสิบปีที่ผ่านมาไม่เคยเกินครึ่ง หรือทำไมทั้งๆที่อิทธิพลของศาสนาอิสลามเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่เกียรติภูมิของนักการเมืองมุสลิมกลับตกต่ำอย่างที่สุด? มีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ

ในประเทศฟิลิปปินส์ กลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งมากที่สุดคือศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งประสบความสำเร็จเสมอมาในการสกัดยับยั้งกฎหมายการหย่าร้างที่ก้าวหน้า ทำให้การแยกทางของคู่สมรสนับไม่ถ้วนสร้างความลำบากยากแค้นแสนสาหัสต่อผู้หญิงและเด็ก ศาสนจักรยังขัดขวางการเผยแพร่วิธีการและเครื่องมือในการคุมกำเนิด ซึ่งไม่เพียงทำให้เกิดปัญหาการขยายตัวของประชากรจนควบคุมไม่ได้ในประเทศที่ยากจนข้นแค้นและมีการอพยพของแรงงานจำนวนมาก แต่ยังเป็นอุปสรรคต่อการต่อสู้กับโรคเอดส์ด้วย ทรัพย์สินทั้งหมดและงบประมาณภายในของพระคาทอลิกเป็นความลับที่เก็บงำมิดชิดผมนึกไม่ออกว่ามีหนังสือแม้สักเล่มเดียวที่ตรวจสอบผลประโยชน์และนโยบายของศาสนจักรอย่างเป็นระบบ รวมไปถึงผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจที่ตามมาด้วย

ในประเทศมาเลเซีย กลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งอย่างสำคัญคือกลุ่มคณาธิปไตยภายในพรรคอัมโน ซึ่งครองอำนาจมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว หลายปีที่ผ่านมา กลุ่มนี้อาศัยกฎหมาย “ความมั่นคง” ภายในที่เข้มงวดเด็ดขาด ซึ่งเป็นสิ่งตกค้างจากยุคอาณานิคมอังกฤษ แต่มีการนำมาพัฒนาเพื่อใช้กดขี่ฝ่ายกบฏ ผู้วิพากษ์วิจารณ์และผู้ไม่พอใจรัฐบาล ทั้งหมดนี้อาศัยข้ออ้างบังหน้าในการรักษาความสงบของสังคม ความรู้รักสามัคคีของชาติและความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นระหว่างชาติพันธุ์ต่างๆจริงอยู่ ทุกวันนี้พรรคอัมโนอยู่ในภาวะตกต่ำ สืบเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ลึกซึ้งและกว้างขวาง กลุ่มผู้นำที่ไร้ความสามารถและฉ้อฉล รวมไปถึงความเบื่อหน่ายของประชาชนจริงอยู่ มีเอ็นจีโอด้านสิ่งแวดล้อมที่กระตือรือร้น มีเอ็นจีโอที่ทำงานต่อต้านการกีดกันด้านเชื้อชาติ โดยเฉพาะกับคนกลุ่มใหญ่ชาวอินเดียที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ฯลฯ แต่การโจมตีซึ่งหน้าต่อปัญหาการคอร์รัปชั่น ความไร้ประสิทธิภาพ ความหน้าไหว้หลังหลอก ทัศนคติแบบเลือกปฏิบัติฯลฯของชนชั้นนำในพรรคอัมโนเองนั้น ยังไม่มีหรอก ถึงแม้ว่านักวิชาการจะมีความกล้ามากขึ้นทีละน้อยๆ ก็ตาม

ท้ายที่สุดคือประเทศไทยกลุ่มอิทธิพลที่มีอำนาจยับยั้งในประเทศนี้คือ กลุ่มที่อยู่ล้อมรอบสถาบันกษัตริย์ ซึ่งได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เข้มงวดเฉียบขาด

—————————————————–skip——————————————————–

แต่ผลกระทบที่ลึกซึ้งกว่านั้นเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดในโลกวิชาการ ตัวอย่างเล็กๆแต่บอกอะไรเรามากมายตัวอย่างหนึ่งก็คือ ประวัติศาสตร์ประเทศไทยที่จัดทำใส่กรอบสวยงามวิจิตรบรรจงในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของประเทศไทยนับตั้งแต่ต้นกำเนิดอันคลุมเครือเมื่อ 800 ปีก่อนมาจนถึงปัจจุบันเรื่องที่แปลกประหลาดอย่างแท้จริงก็คือ นิทรรศการถาวรนี้ถวายเป็นเกียรติแด่บุคคลเพียงสี่ห้าคน และทุกพระองค์คือพระมหากษัตริย์อันทรงเป็นที่เคารพรักยิ่ง ไม่มีนักเขียน นายพล นายแพทย์ กวี นักวิทยาศาสตร์ พระ ผู้พิพากษา นักปรัชญา นักสังคมสงเคราะห์หรือจิตรกรแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผู้หญิงนิทรรศการเช่นนี้เป็นสิ่งที่นึกคิดไม่ได้เลยในอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์หรือกระทั่งในมาเลเซียเรื่องแบบเดียวกันนี้ แต่ในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า สามารถพบเห็นได้ในสาขาวิชาต่าง ๆในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าในประวัติศาสตร์ศิลปะ ประวัติศาสตร์ วรรณคดีประจำชาติ รัฐศาสตร์ ชาติพันธุ์วิทยา ฯลฯแน่นอน มีวิญญาณเสรีอยู่บ้าง รวมทั้งอาจารย์บางคนที่อาวุโสจนน่าจะเกษียณได้แล้ว แต่ภาพรวมยังห่างไกลจากความน่ายินดี

เมื่อได้สาธยายเหตุผลข้างต้นไปแล้ว ซึ่งแน่นอนว่ามีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นท้าทายให้เกิดข้อถกเถียง เหตุผลที่ว่าการสร้างความเป็นวิชาชีพและความเป็นพาณิชย์นิยมของมหาวิทยาลัย อำนาจที่เพิ่มพูนมากขึ้นของระบบราชการและหน่วยงานตรวจพิจารณาข่าวสาร (เซนเซอร์) รวมทั้งแนวโน้มของคณาธิปไตยในชนชั้นนำระดับรัฐ-ชาติ พื้นที่ที่เหลือให้ปัญญาชนสาธารณะจึงค่อนข้างจำกัดมาก อย่างน้อยก็ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแต่ผมขอพูดสรุปสั้น ๆอีกสักเล็กน้อยว่าทำไมสำหรับปัญญาชนสาธารณะ หนังสือยังมีความสำคัญอย่างยิ่งหนังสือพิมพ์กับข้อเขียนในคอลัมน์เป็นงานเขียนที่มีอายุสั้น มันถูกกลืนหายไปทันทีที่ฉบับวันต่อไปออกมา โทรทัศน์อาจมีช่วงขณะที่มีชีวิตชีวาแจ่มชัด แต่ไม่มีใครดูรายการของปีที่แล้วหรอก บางครั้งภาพยนตร์ก็เป็นสื่อที่ยอดเยี่ยม แต่นอกจากผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คน คนส่วนใหญ่ก็ดูหนังแต่ละเรื่องแค่ครั้งสองครั้ง อินเทอร์เน็ตให้ชั่วขณะที่ปลดเปลื้องจากพันธนาการ แต่การไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารมีมากเกินไป อีกทั้งข้อความในบล็อกเฟสบุ๊ก ฯลฯ ก็คงอยู่ได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าว

มีความหมายเฉพาะชั่วขณะนั้น ๆแต่หนังสือที่ดีสามารถอ่านซ้ำได้ครั้งแล้วครั้งเล่า หนังสือสามารถคงอยู่ คืนชีวิตได้ตลอดระยะเวลายาวนาน เรายังคงสามารถอ่านผลงานของท่านผู้หญิงมูราซากิด้วยความเพลิดเพลินและได้คติสอนใจ เช่นเดียวกับงานประพันธ์ของโฮเซริซัล, มิลตัน, ฮาฟิซ, วอลแตร์ ฯลฯหนังสือให้พื้นที่ต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ซับซ้อนและยอกย้อน สามารถอ่านเงียบ ๆในใจ และไม่ระบุเจาะจงผู้อ่านไว้ล่วงหน้า ใคร ๆ ก็สามารถเรียนรู้จากหนังสือ ณที่นี้ ผมอยากกล่าวว่า การพัฒนาเครือข่ายดังที่มูลนิธิ Nippon Foundation สนับสนุนนั้น เป็นสิ่งที่ควรแก่การยกย่องและมีคุณค่าอย่างยิ่ง กระนั้นก็ตาม มันมีความหมายเฉพาะในกลุ่มที่เข้าใจกันเองและมีความคิดเกี่ยวกับปัญหาคล้ายๆกันเท่านั้น แต่ในทัศนะของผม นี่ก็ยังไม่เหมือนกับคุณูปการของปัญญาชนสาธารณะ ซึ่งโดยหลักการแล้วย่อมพูดกับใครก็ได้และพูดกับทุกๆ คน ปัญญาชนสาธารณะมีผู้อ่าน ซึ่งอาจไม่เหมือนกับการมีเครือข่ายที่ใกล้ชิดแนบแน่น แต่ทุกสังคมพึงมีทั้งสองอย่าง
โดย Niwat Puttaprasart ให้ความเห็น

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เหยียบเปลือกกล้วยล้ม!!

ไม่ต้องมีใคร “ลอบสังหาร” หรือทำ “คารบอมม์”...วันนี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ของ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องกาลแห่งความล่มจม??? ด้วยการ “ลงแดง” เสพอำนาจ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” อย่างไม่ยอมโงหัว...จนต่างชาติอย่าง “สหรัฐอเมริกา-อังกฤษ-ออสเตรเลีย-ญี่ปุ่น-” รุมประณาม ว่าเป็น “เผด็จการสายพันธุ์ใหม่”
โลกไม่ให้ราคา “มาร์ค”.....ยากที่จะอยู่ในอำนาจนี้ได้
ประกอบกับ “โค-สกโทรโข่ง” อย่าง “เทพไท เสนพงศ์ ปากประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เล่นนอกเกม ปล่อยข่าวทำลาย “เสื้อแดง” ผู้เป็นคนไทยรักประชาธิปไตย กันเป็นรายชั่วโมง..คนจึงเอียนกับพฤติการณ์ “ใส่ไฟ”อันไม่เลือกที่!!!
รัฐบาลนี้อยู่ด้วยปาก...มีคนค้ำ “นายกฯมาร์ค”?...หากปากอีกเช่นกัน ที่พังรัฐบาลนี้??

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

น้ำลดตอผุด!!!

มีมติให้ “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” จาก “กกต.” และ “อัยการสูงสุด”?? เกี่ยวกับการอำพราง เงินบริจาค ๒๕๘ ล้าน ที่ “เจ้าสัวประชัย เลี่ยวไพรัตน์” แห่งทีพีไอ ให้มาเป็น “ขวัญถุง” บริจาคใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ครั้งที่แล้ว....
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องพ้นจากหัวหน้าพรรค...โดยเว้นวรรค พร้อมกับกรรมการพรรคเป็นแถว
งานนี้มีคนสมใจนึกบางลำพู เพราะซีกและฝ่ายที่ผลักดันให้ “นายหัวชวน หลีกภัย” กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคใหม่ เพื่อรีเทิร์นเดินบนพรมแดงกลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรี”พากันดี๊ด้า ไม่ว่าจะเป็น “พิเชษฐ์ พันธุ์วิชาติกุล” หรือ “ อาคม เอ่งฉ้วน” พากันตีปีกพึ่บพั่บ!!!!
ไม่มี “อภิสิทธิ์”เสียแล้ว...พวกนี้ไม่ต้องกินแห้ว?...เตรียมต่อแถว เป็นรัฐมนตรีกันเป็นตับ

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เหมือน “ขมิ้นกับปูน”!!

“เชน” ใกล้คัมแบ็ก กับมาใหญ่อีกแล้ว..ก้อ “อดีตนายกฯชวน หลีกภัย” นั่นไงล่ะคุณ??
เสียงในพรรคยังหนาแน่น ที่จะให้ “บิ๊กชวน เชื่องช้า” กลับมาเป็นศิลปินเดี่ยว โชว์ลูกเขี้ยวในการเป็นหัวหน้าพรรค และ นายกรัฐมนตรี
“บิ๊กชวน”อยากลบคำสบประมาท..ยามมีอำนาจ ดีแต่ “เชื่องช้า” ตลอดทั้งปี
งานนี้,คนที่น้ำตาร่วงเช็ดหัวเข่า นอกจากจะเป็น “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กันแล้ว...แม้แต่ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล ก็ต้องเก๊กซิม!!!
เพราะ “ชวน” ใหญ่วันใด “สุเทพ” ก็รอวันตาย?..เตรียมมีดโกนเอาไว้ เพื่อเชือดนิ่มๆ??

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

อยู่ “เมืองตรัง” แต่ว่าแตกแถว!!

พอได้เป็นรัฐมนตรีเข้าหน่อย “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ส.ส.ประชาธิปัตย์ แห่งเมืองตรัง ก็ถือว่าตัวเคย “คุณภาพคับแก้ว”?? ทำตัวไม่ต้องพึ่งใบบุญ ไม่ต้องอาศัยบารมี “เทพเจ้าแห่งภาคใต้” คุณพี่ชวน หลีกภัย ขาใหญ่ประจำจังหวัดตรัง กันเลยเชียว
มองข้ามศรีษะ “บิ๊กชวน หลีกภัย”.....ปีกอยู่ใต้ปีก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” คนเดียว
นี่เป็นอีกหนึ่งบัญชีต้องชำระ...พอก้าวเป็นใหญ่ ก็มองไม่เห็นบารมีผู้ใด ทั้งสิ้น!!!!
“สาทิตย์”คิดว่าตัวใหญ่นักหนา...แท้จริงแค่ “ลูกนก”ธรรมดา?...ตอนนี้ชะตาใกล้หมดโอกาสที่จะบิน???

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“ยุบพรรคประชาธิปัตย์” ก็ดี

โอกาสประสานเสียงเป็นคอรัสเดียวกันเพื่อดึง “บิ๊กชวน หลีกภัย” มาเป็นจ้าวแห่งตึกไทยคู่ฟ้า ก็ใกล้ความเป็นจริงกับการเป็น “นายกรัฐมนตรี”??
แต่ทั้งหมด ไม่สามารถกวาดล้าง เช็ดถู ปัญหาที่ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สร้างกันขึ้นมาสะเด็ดน้ำ เอาไว้ได้
ทางออกเพื่อทำให้ทุกอย่างสะอาด..คือตั้ง “รัฐบาลแห่งชาติ” ขึ้นมา ขอรับเจ้านาย
กลุ่ม “๓ พี” พินิจ จารุสมบัติ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ หรือแม้แต่ “พรรคเพื่อไทย” ที่มี “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ คัดท้ายอยู่ด้านหลัง ล้วนเห็นด้วยกับ “รัฐบาลแห่งชาติ”...อีกอย่างถ้า “บิ๊กชวน” เป็น “นายกฯ ก็รังเกียจ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มีนายใหญ่ “เนวิน ชิดชอบ” ถือแส้ คอยกำกับ!!!
“บิ๊กชวน” เมิน “เนวิน”...เรียกว่าเกลียดพอ ๆ กับ “ทักษิณ”?..จะให้อยู่กิน คงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ???
************************************
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

เปิดหัวใจช้ำๆ ลูกสาวเสธ.แดง “เดียร์” ขัตติยา สวัสดิผล ความสุข ความเศร้า ความเหงา และความแค้น !?

2 เดือนที่แล้ว "เดียร์" ขัตติยา สวัสดิผล สูญเสีย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" บิดาผู้เป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ

ลูกผู้หญิงตัวเล็กๆ ร่ำไห้อย่างเจ็บปวด พร้อมกับคำถามถึงผู้มีอำนาจว่า "พ่อหนูผิดอะไร"?

มาวันนี้ เดียร์ อยู่ในระยะทำใจ พยายามลบฝันร้ายไว้เบื้องหลัง และใช้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ...ยากจะลืมเลือน

ปัจจุบัน เดียร์ ทำงานเป็นนักกฎหมายอยู่ที่สำนักงานกฎหมาย วิสเซ่น แอนด์ โค จำกัด หลังจากเรียนจบจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สอบได้เป็นเนติบัณฑิต และจบปริญญาโท ด้านกฎหมาย จากUniversity of Wisconsin, Madison และ George Washington University สหรัฐอเมริกา โดยมีครอบครัวและญาติมิตรอันเป็นที่รัก คอยให้กำลังใจอยู่ไม่ห่าง

ฟ้าหลังฝน กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เธอให้สัมภาษณ์ แบบเต็มอิ่ม

บทสนทนาครั้งนี้ อาจทำให้คุณรู้ว่า จากนี้ไป ชีวิต การเมือง ผู้หญิง และความใฝ่ฝันในอนาคตของทายาทเสธ.แดง วัย 29 ปี ผู้นี้ น่าระทึกใจเป็นอย่างยิ่ง ...

@ ในงานศพคุณพ่อ คุณตะโกนว่า พ่อทำผิดอะไร

ตอนนั้นเดียร์มีความรู้สึกว่า คุณพ่อไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับฝั่งรัฐบาลหรือทางกองทัพ เพียงแต่เขาเป็นทหารของกองทัพที่เลือกจะมาอยู่ฝั่งเดียวกับประชาชน โดยมาทำให้มวลชนคนเสื้อแดงรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัย ถ้ามีคุณพ่ออยู่ คุณพ่อจะสามารถดูแลเขาได้ เพราะคุณพ่อวางยุทธศาสตร์ ไม่ให้ทหารเข้ามาสลายการชุมนุมได้

มันเป็นวิธีเดียวของกองทัพเหรอ รัฐบาลมีแค่วิธีเดียวเหรอ ที่ต้องใช้ทหารเข้ามาสลายการชุมนุม ทำไมคุณไม่คุยกัน แสดงว่าคุณต้องการที่จะเอากองทัพเข้ามาสลายการชุมนุม

@ โกรธรัฐบาลไหมครับ

โกรธมากค่ะ ถ้าเดียร์บอกว่า เดียร์ไม่โกรธเลย มันเป็นการเสแสร้ง พ่อเราเสียชีวิตทั้งคน ทำไมเราจะไม่โกรธ ถามว่าแค้นมั๊ย เดียร์แค้นมาก(นะ) ถามว่าจะเอาคืนมั๊ย เดียร์ยังไม่บอกตอนนี้ แล้วเดียร์จะไม่ให้อภัยด้วย พ่อตายทั้งคน ถ้าเดียร์ให้อภัยเขา เดียร์ก็อกตัญญูแล้ว

@ แม้ว่าจะยังไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าใครทำอย่างนั้นหรือ

คือ เดียร์จะไม่พูดว่าใครทำ แต่อย่างน้อยเดียร์ก็รู้ได้ว่า ใครได้ประโยชน์จากการเสียชีวิตของคุณพ่อ

@ ถามจริงๆ รู้สึกเหงามั๊ย

เหงามาก(ค่ะ) ตั้งแต่คุณพ่อจากไป ไม่เคยอยู่คนเดียวเลย จะมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อตลอด เพราะทุกครั้งที่หยิบรูปคุณพ่อขึ้นมาดู ก็จะร้องไห้

@ ทุกวันนี้ คุณคุยเรื่องการเมืองกับใคร

คุยกับเจ้านาย(ค่ะ) เป็นแดงจ๋าเลย(หัวเราะ) ช่วงงานศพ นอกจากนี้ก็คุยกับญาติๆ เดียร์ และก็คุยกับลูกน้องคุณพ่อ เพราะเราไม่รู้คนอื่นเขาคิดอะไร เพราะบางคนเขาก็ไม่เห็นด้วยกับคุณพ่อ

@ รู้มาว่าคุณทำงานเป็นนักกฎหมาย เป็นอย่างไรบ้างครับ

เป็นที่ปรึกษากฎหมายธุรกิจ(ค่ะ) ลักษณะงานที่นี่ ลูกความส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติที่มาทำธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งเราจะต้องให้คำปรึกษาเขา ตั้งแต่เขาเริ่มที่คิดจะทำธุรกิจ และถ้าเขาจะทำธุรกิจประเภทนี้ หรือเขาต้องการจะตั้งบริษัทขึ้นมา เขาต้องทำอย่างไรบ้างให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย

พอเขาตั้งบริษัทมาเป็นรูปเป็นร่าง เราก็มีหน้าที่ร่างสัญญาให้เขา พอร่างสัญญาเสร็จ ทั้ง 2 ฝ่ายตรวจมา ทำยังไงให้ลูกความฝ่ายเราได้เปรียบมากที่สุดและเสียเปรียบน้อยที่สุด อันนี้คืองานของเรา พอเวลาเกิดข้อขัดแย้งขึ้น เราจะแก้ปัญหาอย่างไร อาจจะต้องฟ้องศาล มีตั้งแต่ร่างคำฟ้อง เป็นทนายความที่ศาล ก็คือต้องทำทุกอย่าง

@ ฟังดู คุณสนุกกับอาชีพนักกฏหมาย

สนุกมาก(ค่ะ) มีความสุขกับงานตรงนี้มาก ไม่อยากเปลี่ยน ถามว่าถ้าลงเล่นการเมืองจะลาออกจากงานตรงนี้ไหม เดียร์คิดว่าไม่ เพราะเราเรียนมาทางด้านนี้แล้ว และคุณพ่อก็ส่งเสียให้เรียนต่างประเทศ เดียร์อยากใช้สิ่งที่คุณพ่อให้มา เพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ทำที่นี่มา 1 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่ที่สำนักกฎหมายสากล สยามพรีเมียร์ จำกัด ของท่านสุรเกียรติ เสถียรไทย แล้วก็มาอยู่ที่นี่

@ บุคลิกและนิสัยของคุณเป็นแบบไหน บอกได้มั๊ย

คิดว่าเดียร์เหมือนคุณพ่อ(นะ) คือ ตรงไปตรงมา แต่อาจจะไม่พูดตรงเหมือนคุณพ่อเป๊ะ ไม่ค่อยโผงผางหรือมีคำหยาบคายออกมาเยอะแยะเหมือนพ่อ คือเดียร์เป็นลูกที่คุณพ่อเลี้ยงมากับมือ เราได้เชื้อพ่อมาโดยตรง มีคนบอกว่าการคิดการพูดเหมือนคุณพ่อเด๊ะ

ลูกน้องคุณพ่อบางคนก็บอกว่า นายเสียไปแล้ว แต่พอได้โทรมาคุยกับพี่เดียร์ เหมือนกับคุยกับคุณพ่อเลย ฉะนั้น เดียร์อยากทำให้เหมือนเขาทุกอย่าง และสิ่งหนึ่งที่อยากทำให้เหมือนเขามาก คือการได้ใจประชาชน เขาได้เข้าถึงประชาชน เพราะเขาติดดินและไม่ถือตัว สิ่งนี้แหละ ที่เดียร์พยายามทำให้ได้เหมือนเขา

@ หมายความว่า คุณจะลงเล่นการเมือง

จริงๆ คิดมานานแล้วตั้งแต่คุณพ่อยังอยู่ พอคุณพ่อตั้งพรรคการเมือง ก็บอกว่าคุณพ่อจะให้น้องเดียร์ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 หลังจากนั้นพ่อก็คอยแกล้งตลอดว่า เตรียมตัว นะมันจะยุบสภากันแล้ว เราก็เตรียมพร้อมถ้าเลือกตั้ง เราต้องเป็น 1 ในผู้สมัครรับเลือกตั้ง พอคุณพ่อเสีย ยิ่งรู้สึกว่าเราจะต้องทำให้พรรคขับเคลื่อน ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง

@ เป็นไปได้ไหม ที่คุณจะเป็นผู้นำมวลชนในอนาคต

ยังค่ะ. เดียร์อยากลองเข้าไปสัมผัสเขาจริงๆ จังๆ ก่อน เหมือนที่คุณพ่อทำ ถามว่าตอนนี้เดียร์จะเป็นแกนนำได้ไหม เดียร์บอกได้เลยว่าความสามารถของเดียร์รวมถึงประสบการณ์ยังไม่ได้ แต่ขอใช้เวลาศึกษาก่อนว่าระบบการเมืองการเข้าถึงมวลชนรากหญ้าหรืออะไรก็แล้วแต่เป็นยังไง แล้วถึงตอนนั้นค่อยมาพูดกัน เพราะบางที เมื่อถึงตอนนั้น ระบบอาจจะเปลี่ยนแปลงไปแล้วก็ได้ ใครอาจจะเป็นรัฐบาลก็ได้

@ จะเป็นหัวหน้าพรรคขัตติยะธรรมต่อจากคุณพ่อด้วยหรือเปล่า

เรื่องหัวหน้าพรรค เดียร์กำลังคิดอยู่ว่าเดียร์จะเป็นเองหรือเปล่า ต้องดูข้อกฎหมายก่อน ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเป็นกรรมการบริหารพรรคโดยตำแหน่งด้วย ก็อาจจะไม่เป็นหัวหน้าพรรค แต่อาจลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคเราเป็นพรรคเล็ก และก่อตั้งโดยเสธ.แดง เราอาจจะโดนแกล้งเมื่อไหร่ก็ได้

ถ้าแกล้งแล้วโดนยุบพรรคไป มันก็เหมือนไม่มีตัวแทนของเสธ.แดง เพื่อจะมาตั้งพรรคใหม่อีกพรรคหนึ่ง เพราะถ้าโดนยุบพรรค กรรมการบริหารพรรคก็ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง อย่างน้อยให้เหลือเดียร์ไว้สักคน อาจจะตั้งพรรคใหม่เป็นพรรคขัตติยะ หรืออย่างอื่นก็ได้ แล้วลงสมัครรับเลือกตั้ง

@ แล้วพรรคของคุณมีนโยบายแตกต่างจากพรรคอื่นอย่างไร

เท่าที่คุณพ่อ พูดเอาไว้ก่อนเสียชีวิต บอกว่า กองทัพทหารของเรา อันดับตกไปที่เท่าไหร่เดียร์ไม่แน่ใจ คุณพ่อจึงอยากพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กลับเข้ามาอยู่ 1 ใน 5 ของเอเชียอีกครั้ง อีกอย่างคือ คุณพ่ออยากแยกอำนาจสืบสวนสอบสวนออกจากตำรวจ ซึ่งเหมือนกับระบบของสหรัฐอเมริกา คุณพ่ออยากให้เป็นแบบนั้น

@ คุณทักษิณ เคยชวนเข้าพรรคเพื่อไทยบ้างไหม

มีคนอื่นชวนซึ่งไม่ใช่คุณทักษิณ แต่เดียร์ไม่ไป(ค่ะ) เพราะถ้าไม่ใช่พรรคขัตติยะธรรม เดียร์ก็จะไม่ลงเล่นการเมือง ที่ลงเพราะคุณพ่อทิ้งหน้าที่นี้ไว้ให้ พร้อมกับมวลชนทุกคนบอกว่าสานต่อเจตนารมย์คุณพ่อ บอกว่าเดียร์อย่าทิ้งพรรค เดียร์เอาสิ่งที่คุณพ่อพูด รวมถึงกำลังใจจากทุกคนมาดำเนินตาม แต่ไม่ใช่ลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย

@ มองสถาบันพรรคการเมืองไทยอย่างไร ขณะที่เตรียมสานต่อพรรคขัตติยะธรรม

ตอนกลับจากเมืองนอกใหม่ๆ เดียร์เคยทำอยู่พรรคเพื่อแผ่นดิน เพราะคุณพ่อให้ไปทำอยู่ฝ่ายกฎหมายที่นั่น ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่า ระบบพรรคการเมืองเป็นอย่างไร แต่ถามว่ามองพรรคการเมืองของประเทศไทยอย่างไรและจะทำอย่างไรกับพรรคขัตติยะธรรม เดียร์อยากให้พรรคขัตติยะธรรมเป็นพรรคที่ไม่ได้แสวงหาผลประโยชน์จากการเลือกตั้ง หรือจากการเข้าไปเป็นรัฐบาล เพราะรู้ว่าการเลือกตั้งใช้เงินเยอะ เพราะเหตุดังกล่าวจึงทำให้นักการเมืองที่เข้าไปเป็นรัฐบาลต้องคอร์รัปชั่น เพื่อเอาเงินส่วนนั้นคืนมา

เพราะฉะนั้น มีความรู้สึกว่าถ้าพรรคขัตติยะธรรมใช้เงินให้น้อยที่สุด ใช้เงินเท่าที่จำเป็นโดยไม่ฟุ่มเฟือย เราต้องใช้ความสามารถ ใช้การซื้อใจประชาชนด้วยคำพูดหรือด้วยความคิดและการปฏิบัติของเรามากกว่าที่จะใช้เงิน หากได้เข้าไปเป็นรัฐบาลหรือส่วนหนึ่งของการเมืองไทยแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปคอร์รัปชั่น เพราะฉะนั้นจะให้ พรรคขัตติยะธรรมยืนอยู่บนรากฐานแบบนี้ และตามอุดมการณ์ของคุณพ่อทุกอย่าง

@คุณมองความขัดแย้งในสังคมไทยอย่างไรบ้าง

ความขัดแย้งเกิดจากอำนาจ เพราะคนๆ หนึ่งต้องการอยู่ในอำนาจมากเกินไป พอตัวเองได้อำนาจมา ก็หลงระเริงในอำนาจ พอมีคนจะแย่งอำนาจไปก็เกิดความดื้อ ทำให้เกิดความรุนแรงขึ้นมา ถ้าเขาไม่หลงระเริงในอำนาจสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เดียร์จะไม่บอกว่าเป็นใครที่หลงระเริงในอำนาจ แต่อยากให้เรื่องของคุณพ่อเป็นอุทธาหรณ์ให้กับทุกคน ว่า เมื่อมีคนหลงระเริงอำนาจ แล้วพอมีคนออกมาพูดอะไรที่ตรงๆ โดยที่ไม่กลัวอะไรเลย สุดท้ายก็จะจบชีวิตแบบนี้ เหมือนอยู่ในสังคมที่พูดความจริงไม่ได้

อย่างคุณพ่อ เขาพูดความจริงทุกอย่างเยอะเกินไป เดียร์มีความรู้สึกว่าถ้าเขารู้แล้วไม่พูด และไปทำวิธีอื่นแทน มันน่าจะดีกว่านี้ แต่คุณพ่อเป็นคนที่คิดแล้วพูดด้วยความที่เขาเป็นคนตรงๆ ข้อดีของสิ่งนี้คือ เขาได้ใจประชาชน

@ แต่คุณเคยมีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างจากคุณพ่อมาก่อน

จริงๆ แล้ว เราไม่ได้มีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันเลย เดียร์เชื่อว่าหลายๆ คน ที่ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เขาเห็นด้วยกับกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องมีอยู่แล้วที่ไปเพราะอยากรู้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ พูดอะไร ยังไง แล้วเราก็มาชั่งน้ำหนัก กับอีกฝ่ายหนึ่งคือรัฐบาลซึ่งขณะนั้นปีกเสื้อแดงเป็นรัฐบาล แล้วนำเสนอข่าว

ฉะนั้น เราเอา 2 อย่างมาชั่งน้ำหนักกัน นั่นคือสาเหตุที่เดียร์ไป อีกอย่างคุณพ่อมองว่า การที่เดียร์ไปชุมนุม เป็นเรื่องเด็กๆ เหมือนไปกับเพื่อน เพราะฉะนั้น เราไม่เคยขัดแย้งกันเรื่องนี้ อยู่ที่บ้านไม่เคยพูดกันเรื่องนี้เลย ยกเว้นแต่เอามือตบไปแหย่เขา แกล้งเขา แค่นั้นเอง ถามว่ามีปัญหาเรื่องนี้ไหม มันไม่เคยมีปัญหามาตั้งแต่แรก

และยิ่งเราอยู่ตรงกลางตั้งแต่แรก พอเจอเหตุการณ์แบบนี้กับครอบครัวเรา ยิ่งทำให้เดียร์เลือกที่จะมาอยู่ข้างเดียวกับคุณพ่อ คือ อย่าบอกว่าเป็นเสื้อแดงหรืออยู่ฝั่งไหน เอาเป็นว่าเดียร์อยู่ข้างเดียวกับคุณพ่อ คุณพ่ออยู่ฝั่งไหนเดียร์อยู่ฝั่งนั้น

@ มองอย่างไรที่คนในสังคมไทยจำนวนมาก เลือกเชื่อในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเชื่อ

นี่แหละคือประชาธิปไตย เขามีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่เขาเชื่อ ในเมื่อเขาเชื่อว่า ระบบตอนนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับเขา เขาก็มีสิทธิ์ที่จะออกมาเรียกร้อง ไม่งั้นคุณก็เปลี่ยนระบบการปกครองไปสิ การที่เสื้อแดงออกมาเรียกร้อง มันไม่ใช่แค่คำว่าทักษิณ ชินวัตร แล้ว มันเลยทักษิณไปแล้ว คุณพ่อเคยบอกว่าน้องเดียร์มันมากกว่านั้นแล้ว เราฉุดมันไม่อยู่แล้ว

@ หลังจากได้สัมผัสมวลชนกับคุณพ่อมาบ้างแล้ว คุณรู้สึกอย่างไรเวลามีการกล่าวหาว่ามีขบวนการใต้ดินใช้ความรุนแรง

ไหนล่ะคือหลักฐาน แล้วก็มีการบอกว่านายกรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะโดนลอบทำร้าย คุณไปเอาข่าวมาจากไหน คุณช่วยเอามาให้เขาดูหน่อยว่าไปเอาอะไรมา คุณไปดักฟังโทรศัพท์เขาเหรอหรือว่าไปเอาอะไรมาพูด

คือทุกอย่างเดียร์รู้สึกว่า อำนาจอยู่ในมือใคร คนนั้นมีสิทธิ์จะสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้เพื่อให้ประชาชนเชื่อ พูดไปก็มีแต่ความแค้นนะเนี่ย ไม่รู้จะพูดยังไง (หัวเราะ) โกรธมาก ตอนนี้ เปิดทีวีมา ไม่อยากเห็นหน้านายกฯ ไม่อยากเห็นหน้า ผบ.ทบ. เลย

@เวลาที่มีคนบอกว่าเสธ.แดง เป็นผู้ก่อการร้าย คุณคิดเห็นอย่างไร

เศร้านะ คือคุณพ่อเดียร์ เทิดทูนสถาบันฯมาก เดียร์ไม่รู้จะพูดยังไง มีคนบอกว่าที่มีการสั่งยิงคุณพ่อ เพราะเขาเชื่อว่าคุณพ่อจะล้มล้างสถาบันฯ เดียร์ขอเอาหัวเป็นประกันเลยว่าคุณพ่อไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่ในหัว เพราะคุณพ่อเทิดทูนสถาบันฯมาก เราอยู่กับคุณพ่อมา คุณพ่อสอนให้เราเทิดทูนสถาบันฯ มาโดยตลอดและไม่ว่าอะไร คุณพ่อจะนึกถึงสถาบันฯตลอด

ฉะนั้น คุณเลิกพูดเถอะว่าคุณพ่อเป็นผู้ก่อการร้าย ระหว่างที่คุณพ่ออยู่ในม็อบ ก็ไม่เคยถืออาวุธ ถามว่าอาวุธของเสื้อแดงคืออะไร เดียร์เห็นเขาเหลาไม้ไผ่แหลมๆ แต่การที่เขาถือไม้ไผ่แล้วคุณบอกว่าเป็นผู้ก่อการร้าย คุณบ้าไปแล้ว

@ รัฐบาลเร่งปฏิรูปเรื่องปรองดอง คิดว่าจะเป็นไปได้ไหม มากน้อยแค่ไหน

ไม่ได้(ค่ะ) ต่อให้ 63 ล้านความคิด ก็ไม่มีทาง คือตั้งแต่แผนที่รัฐบาลเสนอมา เสื้อแดงยังไม่รับเลย หลักๆ เลยคุณหาคนรับผิดชอบวันที่ 10 เมษายน กับช่วงเดือนพฤษภาคม ก่อนดีกว่า ว่าใครจะรับผิดชอบ และใครจะมารับผิดชอบการตายของคุณพ่อเดียร์ ถ้าคุณทำ 3 อย่างนี้ได้นะ คุณค่อยมาคิดแผนปรองดองใหม่

@ คุณคาดหวังผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ชุดอาจารย์คณิต ณ นคร มากน้อยแค่ไหน

อาจารย์คณิต เขาส่งจดหมายให้เดียร์นะ แต่ยังไม่ได้อ่าน เพราะอยู่ที่บ้าน แต่เท่าที่ทราบคือ สำนวนถูกส่งจากตำรวจที่รับผิดชอบ ไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษแล้ว มันเลยยิ่งทำให้ความหวังที่จะได้ตัวคนร้ายคนยิง รวมถึงการที่จะหาข้อสรุปคดีคุณพ่อมันน้อยมาก

@ อยากฝากอะไรถึงผู้มีอำนาจในขณะนี้มั๊ย

อยากบอกว่า ให้เป็นมาตรฐานเดียวได้แล้ว และเป็นมาตรฐานที่ยุติธรรม ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน และคนที่อยู่ในอำนาจ สักวันก็ต้องลงจากอำนาจ ยังไงก็ต้องมีวันนั้น ฉะนั้น ในเมื่ออยู่ในอำนาจก็อยากให้เขาใช้อำนาจในทางที่ถูกเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนในประเทศ 63 ล้านคน ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มเดียวหรือ 2 กลุ่ม

@ แล้วอยากฝากอะไรถึงคุณพ่อหรือคนที่ให้กำลังใจบ้าง

เดียร์อยากขอบคุณคนเสื้อแดงมากๆ และประชาชนที่อาจจะไม่ใช่เสื้อแดง แต่ได้แสดงความเป็นห่วงใยและให้ความเคารพคุณพ่อ รวมถึงให้กำลังใจครอบครัวเรา เดียร์พูดได้เต็มปากว่า ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวันโดยไม่มีทั้งคุณพ่อและคุณแม่ เป็นเพราะกำลังใจจากพวกเขาทั้งนั้นเลย

ส่วนคุณพ่อ เดียร์รู้สึกว่า ท่านได้ทำหน้าที่ในชาตินี้ได้ดีที่สุดแล้ว และคุณพ่อก็จากไปอย่างสมเกียรติ ถึงแม้คุณพ่อจะไม่ได้จากไปในหน้าที่ในสมรภูมิรบ แต่คุณพ่อจากไปในฐานะทหารของประชาชนและเป็นสมรภูมิรบเพื่อประชาธิปไตย
@ หลังการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ทุกวันนี้คุณมีความสุขในชีวิตไหม

มันไม่มีอยู่แล้ว ตอนที่อยู่กับคุณพ่อ ถึงคุณแม่จะเสียไป แต่เราก็ยังมีความสุขที่เราได้ทำอะไรให้คุณพ่อ เราทำงานได้งานมาชิ้นหนึ่ง พอเราทำสำเร็จ เราก็เอาให้คุณพ่อดู เอาไปอวดคุณพ่อ ไม่ว่าเราจะมีเรื่องอะไร ตื่นเต้น เศร้าใจ เสียใจ คุณพ่อจะเป็นคนแรกที่เดียร์นึกถึงและคุยกับเขา แต่เมื่อพอเสียคุณพ่อจากไป มันไม่มีใครแล้ว พูดให้ใครฟังก็ไม่เหมือนพูดให้พ่อกับแม่ฟัง

ทุกวันนี้ยังคิดถึงเขา แล้วบางทีเจอเรื่องอะไรมา หยิบโทรศัพท์มาจะโทรหาคุณพ่อ แต่ทุกวันนี้ไม่มีคุณพ่อให้โทรแล้ว ถามว่ามีความสุขไหม มันไม่มีความสุข แต่ก็พยายามทำให้ตัวเองมีความสุข ทำให้ตัวเองไม่เศร้าใจ

@ แล้วคุณจะดำเนินชีวิตจากนี้ต่อไปอย่างไร ไม่ให้เศร้าใจ

ตั้งแต่คุณพ่อยังอยู่ คุณพ่อจะไม่อยากให้เดียร์เครียดกับเรื่องอะไร ไม่ว่าคุณพ่อจะมีปัญหาอะไร คุณพ่อจะบอกน้องเดียร์ไปดำเนินชีวิตตามปกติ ไปสังสรรค์กับเพื่อนไปเฮฮาได้เลย ทุกอย่างมีทางแก้ คุณพ่อจะหาทางแก้ได้

ฉะนั้นสิ่งนี้จะติดตัวเรามาถึงทุกวันนี้ พอมีเรื่องอะไร จะคิดแป๊บเดียวแล้วเราก็เลิกคิด แล้วหาความสุขใส่ตัวทุกวัน สังสรรค์กับเพื่อนบ้าง ทำงานให้ผ่านไปได้แต่ละวัน แล้วก็มองถึงอนาคต ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่จะไม่อยู่ดูแล้ว แต่เขาก็ดูเราได้จากข้างบน เหมือนทุกวันนี้ ก็ทำเพื่อเขาถึงแม้เขาจะไม่อยู่ดูแล้ว

ทุกวันนี้ ก็มีทั้งเพื่อนและแฟนเดียร์ และญาติๆ คุณป้าคุณน้า ทุกคนให้กำลังใจ โชคดีว่า ที่ผ่านมา คุณพ่อให้เดียร์ตัดสินใจเอง ฉะนั้น ถ้าเรื่องไม่หนักหนาก็จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ถ้าผิดหรือถูกเราก็ต้องยอมรับสภาพ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์