โดย Elizabeth Garrett
ที่มา International Press Institute
หน่วยฉุกเฉินได้นำตัวนักข่าวชาวฮอลแลนด์ ผู้ซึ่งถูกยิงระหว่างการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุุมนุมประท้วง “เสื้อแดง” กับทหารไทย ไปยังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯเมื่อวันที่ 19 พ.ค. Photo: REUTERS/Stringer
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. องค์กรสื่อนานาชาติ หรือ IPI ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยให้มีการสอบสวนที่เน้นว่าต้องโปร่งใสอย่างเร่งด่วนที่สุด ต่อกรณีการฆ่าและการทำร้ายให้บาดเจ็บที่มีต่อผู้สื่อข่าวระหว่างการปะทะกันในเดือนเม.ษ. และพฤษภาคมที่ผ่านมา
ความรุนแรงในประเทศไทยครั้งดังกล่าวทำให้นักข่าวสองคนต้องเสียชีวิต และมีนักข่าวบาดเจ็บอย่างน้อยห้าราย
ทั้งๆที่มีการเรียกร้องจากองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งรวมไปถึงองค์กรสื่อนานาชาติ แล้วนั้น ปรากฏว่ายังไม่มีการจับกุมตัวผู้กระทำความผิดแต่อย่างใด
นักข่าวคนหนึ่งที่ถูกยิงได้แก่นาย Michel Maas ซึ่งเป็นชาวดัชต์ ทำงานภายใต้สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ (NWR) และ นสพ.Volkskrant ในฮอลแลนด์ เขาถูกยิงที่ไหล่ระหว่างความโกลาหลที่เกิดขึ้นในขณะที่มีการโจมตีที่ป้อมปราการของคนเสื้อแดงโดยพวกทหารไทย
นายมาสขณะนั้นอยู่กับคนเสื้อแดงในขณะที่พวกทหารกำลังเริ่มโจมตี ในตอนนั้นเขาบอกกับบรรณาธิการหนังสือ Volkskrant ว่า อันตรายที่สุดในขณะนั้นก็คือพวกทหาร “เพราะว่าพวกเขายิงทุกอย่างที่เคลื่อนที่ และยิงโดยไม่ถามก่อนด้วย แม้ว่าจะเป็นนักข่าว”
องค์กร IPI ได้ขอสัมภาษณ์กับนาย Maas โดยมีรายละเอียดดังนี้
IPI: มันเป็นยังไงบ้างสำหรับนักข่าวที่รายงานข่าวความไม่สงบในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา
MM: ปัญหาใหญ่คือการหาให้เจอว่าความจริง จริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร เพราะว่าสื่อไทยเกือบทั้งหมดต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล ซึ่งรวมไปถึงหนังสือพิมพ์ “อิสระ”(ประชด) คือ เนชั่นฯ และบางกอกโพสต์ โดยเฉพาะเนชั่นฯ มันเป็นอะไรที่เทียบเคียงได้กับหนังสื่อ”โพรพาแกนด้าต่อต้านพวกเสื้อแดง” สิ่งนี้แหละที่ทำให้หน้าที่ของนักข่าวต่างประเทศยากยิ่งยวดและสำคัญมากๆ
และการที่สื่อต่างประเทศจำต้องจับข่าวจากสำนักข่าวท้องถิ่น และเพราะว่าไม่มีแหล่งข้อมูลข่าวใดๆเชื่อถือได้ คนที่ทำงานจำต้องใช้ตาและหูกันแบบสุดๆ และตรวจสอบข่าวกันทุกเม็ดและทำซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในทางปฏิบัติแล้ว การทำงานมันยุ่งๆที่ต้องผ่านจุดตรวจ โดยเฉพาะจุดตรวจของทหาร ผมถูกกักมากกว่าหนึ่งครั้ง และหลายครั้งทหารยืนยันว่าผมจะต้องไม่ถ่ายรูปในกรุงเทพฯ พวกเขาไม่ค่อยชอบช่างภาพเท่าไหร่
พวกทหารได้ออกคำเตือนหลายต่อหลายครั้งกับนักข่าว โดยเฉพาะที่บอกว่านักข่าวต่างประเทศคือ “เป้า” ของผู้ก่อการร้าย มีข่าวลือหลายครั้งว่าพวกเสื้อแดงได้คุกคามนักข่าว และเตือนไม่ให้พวกเขาเข้าไปยังที่ตั้งของคนเสื้อแดง แม้ว่าผมจะรู้ว่าคนเสื้อแดงได้คุกคามนักข่าวในพื้นที่คนสองคน และนักข่าวต่างประเทศบางครั้งก็ถูกกักไม่ให้เข้าไปยังพื้นที่ของคนเสื้อแดง หรือถูกเรียกให้ออกจากพื้นที่ ผมก็ยังได้ไปที่ชุมนุมซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรมของผมหลายต่อหลายครั้งในหนึ่งวัน และได้รับการตอบรับอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่ง ผมสามารถรายงานอย่างอิสระ และกับใครก็ได้ที่ผมต้องการ และกระทั่งในเวลาที่กำลังระอุ
IPI: จริงๆแล้วเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 19 พ.ค.
MM: ผมเห็นผ่านทางทีวีว่าพวกทหารได้เริ่มเปิดฉากทลายกำแพงที่ฝั่งถนนสีลม ผมจึงเข้าไปที่ชุมนุมโดยใช้ช่องทางอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสองกิโลจากถนนสีลม ในฝั่งนี้นั้นทุกอย่างเงียบเชียบ คนเสื้อแดงจำนวนมากกำลังตามข่าวผ่านทางทีวีในขณะที่เวทีกลางมีกำลังมีการปราศรัยโดยแกนนำไปเรื่อยๆ
ผมเดินไปตลอดจนถึงอีกฝั่ง และเห็นพวกทหารบุกเข้ามา และในขณะที่ผมอยู่ห่างออกไปจากแนวกำแพงประมาณ 200 เมตร ผมเห็นควัน และหลังจากนั้นไม่นานพวกทหารก็แหวกม่านควันเดินออกมา พวกเสื้อแดงได้เตรียมขวดน้ำมันเล็กๆและไม่ไผ่เพื่อที่จะเอาไว้ใช้ต่อสู้ ผมเห็นชายคนหนึ่งถือปืนสั้นที่ค่อนข้างโบราณ และแม้กระทั่งอยู่ใกล้เหตุการณ์ขนาดนี้ที่แนวหน้า ผมก็ยังไม่สังเกตเห็นสัญญาณใดๆของ “อาวุธร้ายแรง” ที่พวกเสื้อแดงถูกคาดว่าจะมี โดยเฉพาะตามที่อ้างมาจากสื่อของรัฐฯ
ในขณะนั้นผมอยู่ร่วมกับกลุ่มผู้สื่อข่าวต่างประเทศประมาณ 20 คน ผู้ซึ่งก็กำลังชมเหตุการณ์ร่วมกับผม พวกเราพยายามหาที่หลบกำบังตามมุมตึก หลังต้นไม้ แต่ก็ไม่มีใครดูกังวล ต่อมาพวกทหารก็ได้เริ่มที่จะยิงแก๊สน้ำตา และยิงขึ้นฟ้าเพื่อที่จะสลายพวกผู้ชุมนุม
การเปิดฉากยิงเกิดขึ้นในขณะที่ผมกำลังรายงานสดทางวิทยุ การยิงเกิดขึ้นจากฝ่ายเดียวคือฝ่ายทหาร และพวกเขาไม่ได้ยิงขึ้้นไปบนฟ้า พวกคนเสื้อแดงและนักข่าวเริ่มวิ่งหนี ผมก็วิ่งด้วย เพราะจากประสบการณ์ได้สอนผมว่า ในเหตุการณ์อย่างนี้ต้องตามคนท้องถิ่นดีที่สุด เพราะคนพวกนี้ได้เคยผ่านสมรภูมิก่อนๆมาแล้วและรู้ว่าเมื่อไหร่จะอันตรายจริงๆ
แต่งวดนี้ผมตัดสินใจผิด เพราะการวิ่งหนีทำให้ผมต้องออกไปจากที่กำบังมุมตึกและต้องอยู่ในที่โล่ง ผมถูกยิงทันทีที่หลัง มันยังไม่ทำให้ผมล้มลงดังนั้นผมจึงยังวิ่งต่อไป และหลังจากนั้นประมาณสองร้อยเมตรก็มีคนนำผมขึ้นมอเตอร์ไซต์และนำผมไปส่งโรงพยาบาลตำรวจที่อยู่ภายในที่ชุมนุม
ผมโชคดีอย่างยิ่งยวด กระสุน (ซึ่งชัวร์ว่าเป็นเอ็มสิบหก) พลาดปอดผมไปคือครึ่งนิ้ว แต่โดนไหล่และซี่โครงและหยุดภายในกล้ามเนื้อซึ่งก็ยังอยู่ตรงนั้น รอเวลาเพื่อการผ่าตัดเอาออก นักข่าวชาวอิตาเลียนไม่โชคดีอย่างนั้น นาย Fabio Polenghi ตายในที่เดียวกับที่ผมโดนยิง นักข่าวชาวคานาดาก็ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บในจุดจุดเดียวกันอีกด้วย
IPI: คุณเชื่อว่าใครยิงคุณ
MM: ผมไร้ข้อกังหาใดๆทั้งสิ้น ว่ากองทัพไทยนี่แหละที่ยิงผม ไม่มีคนอื่นหรอกที่ยิงผม นี่พูดตามที่ผมบอกได้ พวกทหารมีสไนปเปอร์บนทางรถไฟลอยฟ้าเหนือหัวเรา พวกทหารในสวนลุมก็อยู่ด้านหน้าเรา มันครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดแล้ว และกองกำลังก็เดินคืบหน้ามาในทิศทางที่ผมโดนยิง
การที่ปรากฏว่าตัวเลขเหยื่อเป็นชาวต่างชาติเป็นสัดส่วนที่สูง ประกอบกับการประกาศเตือนล่วงหน้าโดยกองทัพ ได้ทำให้มีข้อสงสัยว่า นักข่าวชาวต่างชาติอาจะเป็นรายการที่ต้องยิงจริงๆ และไม่ใช่ยิงโดยพวก “ผู้ก่อการร้าย” แต่ยิงโดยพวกทหาร พวกเขาอ้างไม่ได้ว่าพวกเขาแยกแยะระหว่างคนเสื้อแดงกับชาวต่างชาติไม่ออก
ผมถูกสังเกตเห็นอย่างง่ายว่าแตกต่างกับคนอื่นในขณะที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน จากความสูงผม (ผมสูงกว่าคนไทยโดยเฉลี่ย) จากเสื้อผ้าผม สีผมรวมทั้งสีผิว ส่วนคุณฟาบริโอ โปลองกี่ ก็ใส่เสื้อเกราะและหมวกยืนเด่นแปลกแยกออกจากผู้ประท้วง พวกทหารแก้ข้อกล่าวหาได้ทางเดียวโดยอาจจะอ้างว่าก็เพราะพวกเขายิงไม่เลือกอย่างเท่าเทียมไปยังฝูงคนนี่เอง (ไม่ได้ยิงเหนือศีรษะ ผมโดนยิงใต้ระดับไหล่ ฟาบริโอโดนยิงที่ท้อง)
IPI: เหตุการณ์ดังกล่าวบอกอะไรคุณเกี่ยวกับมุมมองที่เขามองนักข่าว
MM: ผมไม่รู้จะตอบอย่างไร ก่อนหน้านี้ผมได้ยินถึงคำบ่นว่านักข่าวต่างประเทศเข้าข้างผู้ประท้วงมากเกินไป และมันชัดที่ว่าพวกทหารไม่ชอบที่พวกเรารายงานเหตุการณ์การปะทะก่อนหน้านี้ซึ่งจบลงที่ความล้มเหลวของฝ่ายกองทัพของรัฐบาล เหตุการณ์ดังกล่าวอาจทำให้พวกเขาคิดว่าพวกนักข่าวในพื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดงอาจจะมีส่วนร่วมหรืออะไรๆก็ตาม ซึ่งอาจจะนำให้พวกเขาคิดว่ามีเหตุผลพอที่จะยิงพวกเราเช่นเดียวกับที่ยิงผู้ประท้วง
IPI: แล้วอย่างนั้นพวกเขาควรจะมองนักข่าวอย่างไรล่ะ
MM: ก็มองดังเช่นคนที่เขาควรจะปกป้อง แม้ในช่วงมีการโจมตี พวกเขาน่าจะออกประกาศเตือนและให้โอกาศกับนักข่าวที่จะออกจากพื้นที่ แต่เรื่องดังกล่าวก็ไม่เกิดขึ้น พวกเขาก็แค่ยิงเลย ไม่เตือน
IPI: มีปฏิกิริยาอะไรจากเจ้าหน้าที่ทางการดัชต์หรือไทยต่อการยิงคุณ
MM: กระทรวงการท่องเที่ยวส่งอีเมล์มาหาผมโดยเสอนว่าจะดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษา แต่ผมเห็นว่ามันค่อนข้างใจดีกับคนต่างชาติ ก็เพราะเพื่อรักษาภาพพจน์ของการท่องเที่ยวไทย
ผมได้คุยกับเอกอัครราชทูตดัชต์ในกรุงเทพฯอย่างดี เขาบอกว่าเขาจะบอกให้รัฐบาลดัชต์เรียกร้องให้มีการเปิดเผยโดยรัฐบาลไทย แต่ผมยังไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
IPI: มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าใครยิงคุณบ้างไหม
MM: เท่าที่ผมรู้-ไม่มี ไม่มีกระทั่งรายงานจากตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
IPI: สถานการณ์ของนักข่าวในไทยเป็นอย่างไร เท่าที่คุณรู้
MM: โดยรวมแล้วเสรีภาพสื่อในไทยยังมีอยู่ แต่ยากที่จะบอกว่าเสรีภาพมันกินขอบเขตแค่ไหน พวกสื่อไม่เซ็นเซอร์ตัวเองก็โดนควบคุมโดยรัฐ และก็มีหัวข้อที่ไม่มีใครที่ได้รับอนุญาตให้เขียนได้คือ หัวข้อที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
IPI: คุณจะแนะนำกับนักข่าวคนอื่นอย่างไรเมื่อต้องรายงานสถานการณ์แบบนี้อีก
MM: สถานการณ์มันแตกต่างกันไป คุณต้องระวังตลอดและหาคนท้องที่ที่คุณไว้ใจได้
ผมอาจจะบอกเพิ่มว่า ขอให้เอาเสื้อกันกระสุนไปด้วย แต่อย่าไว้ใจมาก เพราะฟาบริวโอก็โดนยิงทั้งๆที่ใส่เสื้อเกราะ
13.713778 100.210606
Filed under Unrest in Bangkok, การเมือง, ความยุติธรรม, ต่างประเทศ, สังคม Tagged with Elizabeth Garrett
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ปฏิรูปไม่ได้ ปรองดองไม่ได้ ถ้าไม่รู้สึกเจ็บปวด
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์
พลันเมื่อได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) สื่อมวลชนรายงานว่า นพ. ประเวศ วะสี ประธาน คสป. กล่าวว่า “คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่คณะกรรมการปรองดอง เพราะปรองดองเป็นเรื่องของอดีต มีโจทก์และจำเลย แต่การปฏิรูปเป็นการมองไปข้างหน้า ไม่ใช่แก้ปัญหา แต่จะเป็นการทำสิ่งใหม่เพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย” (8 กรกฎาคม 2553 มติชนออนไลน์)
ออกจะเป็นเรื่องแปลกที่คน “องค์รวม” อย่างหมอประเวศจะพูดว่าเราควรเดินหน้าต่อไป โดยมองข้ามอดีต และที่น่าสนใจก็คือทำไมคุณหมอถึงบอกให้มองข้ามอดีตทั้ง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญและมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และตามเนื้อทฤษฎีที่คุณหมอมักกล่าวอ้าง แทบไม่มีครั้งใดเลยที่คุณหมอจะไม่พูดเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน อย่างเช่น
“เมื่อเราเกิดปัญญาแล้วจะสามารถเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทำให้เห็นอนาคตและกลับไปพิจารณาอดีตปัจจุบันด้วยกระบวนการทางปัญญา” (การจัดการความรู้ ศ.นพ. ประเวศ วะสี ปาฐกถาพิเศษ ในงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548)
เมื่อเห็นรายชื่อกรรมการหลายคน โดยส่วนตัวผู้เขียนเชื่อมั่นในพลังทางศีลธรรมและเจตนารมณ์ที่ดีของท่านทั้งหลาย แต่อย่างที่กล่าวข้างต้น ความคิดที่จะมุ่งปฏิรูปอนาคตโดยไม่สนใจใยดีต่ออดีต และอันที่จริงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องของเฉพาะโจทก์และจำเลย แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ร้าวลึกของหลายฝ่าย แต่เป็นเรื่องของบาดแผลในจิตใจมนุษย์ที่คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเยียวยา ทั้งยังเป็นบาดแผลต่อจิตวิญญาณของชนชาติไทย แต่ทำไมประธานกรรมการท่านนี้จึงเริ่มจากการบอกให้มองข้ามอดีต
ทำไมท่านประธานฯ ถึงบอกว่าอดีตเป็นแค่เรื่องระหว่าง “โจทก์และจำเลย” ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่หรือที่เรียกว่าเป็นความคิดแบบคู่ตรงข้าม ที่ตัวท่านประธานฯ เองเสนอหลายครั้งหลายคราให้เรามองข้ามคู่ความคิดที่ตรงข้ามเช่นนี้
อดีตที่เพิ่งผ่านมาเพียงสองสามเดือน หรือจะย้อนหลังไปจนตั้งแต่ช่วงมีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ไม่ใช่สิ่งที่เรามองข้ามถ้าเราต้องการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า อย่างน้อยที่สุด กรรมการชุดนี้ควรมีสำเหนียกและสำนึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ซึ่งอันที่จริงก็เกิดขึ้นกับบรรดา “คนเล็กคนน้อย คนยากคนจน” ที่ท่านประธานฯ เรียกร้องให้มีการเคารพศักดิ์ศรีทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยท่านประธานฯ เองก็มองว่า “ศีลธรรมพื้นฐานคือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน” (ปาฐกถาเดียวกัน)
คนที่ตายเกือบร้อยชีวิต คนที่เจ็บกว่าสองพัน เขามีศักดิ์ศรีหรือไม่ ท่านประธานฯ และกรรมการทั้งหลายพอจะมีเวลาและพร้อมจะสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับเขาสักหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่ม “ปฏิรูปอนาคต” ของประเทศที่ผู้สูญเสียเหล่านี้รัก ท่านพร้อมจะไว้อาลัยให้กับประชาธิปไตยที่คนเหล่านี้เอาชีวิตเข้าแลกได้หรือไม่
ในเมื่อยังไม่มีการสำเหนียกและสำนึกซึ่งความเจ็บปวด ไม่พักต้องพูดถึงความจริงที่ต้องคลี่คลาย ทั้งการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่และราษฎร ซึ่งในฝ่ายแรกก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป็นความขัดแย้งกันเองในกองทัพหรือไม่ ในฝ่ายหลังมีหลักฐานประจักษ์ชัดมากทีเดียวว่ารัฐมีการกระทำที่น่าจะพิจารณาว่าเกินกว่าเหตุ ไม่นับคนอีกหลายร้อยคนที่ถูกจองจำเพียงเพราะความเชื่อทางการเมืองของตน
เขาเหล่านั้นยังมีครอบครัว ญาติมิตร ลูกหลาน หลายคนเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ที่อุบลราชธานี แม่คนหนึ่งถูกยิงขาทะลุและถูกจับ ศาลปฏิเสธไม่ปล่อยตัวชั่วคราวตั้งแต่พฤษภาคม ถูกต้องข้อหาอาญา เพียงเพราะเข้าร่วมการชุมนุม ปล่อยลูกสามคนที่แคระแกรนเพราะขาดสารอาหารอยู่กับยายอายุ 84 ปีเพียงลำพัง ยายมีรายได้เพียง 500 บาทต่อเดือน (เบี้ยยังชีพ)
และยังอีกหลายร้อยคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐตามล่าหาตัว กล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้เกิดการชุมนุมประท้วง
การเข้าร่วมการประท้วงจึงกลายเป็นความผิดทางอาญาไปสำหรับรัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแค่ปาก
ท่านประธานฯ และกรรมการทั้งหลายจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไรในเมื่อความจริงเหล่านี้ยังไม่คลี่คลาย อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งซึ่งตั้งโดยรัฐบาลนี้สอบสวนและพบว่าเจ้าพนักงานของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเหล่านี้ การทำหน้าที่ที่อ้างว่าเป็น “การปฏิรูปอนาคต” ของท่าน จะไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐที่ขาดความชอบธรรมไปนานแล้วหรือ
ผู้เขียนเชื่อมั่นในพลังทางศีลธรรมของกรรมการทั้งหลาย ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าทุกท่านมีเจตนาดี ด้วยความคุ้นเคยและด้วยความเคารพต่อกรรมการบางท่าน ผู้เขียนอยากขอให้ท่านทั้งหลายยืนนิ่งไว้อาลัยอย่างน้อยสักหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานทุกครั้ง การไว้อาลัยเช่นนี้แล เชื่อได้ว่าจะทำให้ท่านสามารถ “พิจารณาอย่างลึกซึ้ง มีสติ ก็จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการทางบวกที่เรามองความสำเร็จ ทำให้เกิดพลังเพิ่มขึ้น” ซึ่งเป็นคำพูดของท่านประธานฯ เคยกล่าวไว้เอง
ในระหว่างความเงียบงันระหว่างสงบนิ่งนั้น ขอให้ท่านกรรมการสัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงอดีตอันเจ็บปวดเพราะ
“คำว่าปรองดอง มันพูดง่าย แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูด ถ้าเห็นใจก็คือ คุณรู้สึกจริงๆ รู้สึกเจ็บปวดร่วมกับคนเหล่านั้นจริงๆ ถึงขั้นที่พูดออกมาเป็นคำไม่ได้” และ “การให้อภัยดูจะเป็นหนทางหนึ่งในการคืนศักดิ์ศรีให้กับตัวเราเองด้วย ไม่กลัวที่จะยอมรับบทเรียนอันเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และไม่กลัวที่จะเผชิญปัญหาต่อไป หรือแม้แต่จะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป การให้อภัยได้เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับพลังทางสติปัญญาเข้ามามีบทบาทแทนที่ ความโกรธเกลียดได้”
("ทุกข์ร่วมจึงร่วม ทุกข์ สัมภาษณ์ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ (ตอนที่ 1) วิจักขณ์ พานิช http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278076278&catid=02)
พลันเมื่อได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ให้ทำหน้าที่ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) สื่อมวลชนรายงานว่า นพ. ประเวศ วะสี ประธาน คสป. กล่าวว่า “คณะกรรมการชุดนี้ไม่ใช่คณะกรรมการปรองดอง เพราะปรองดองเป็นเรื่องของอดีต มีโจทก์และจำเลย แต่การปฏิรูปเป็นการมองไปข้างหน้า ไม่ใช่แก้ปัญหา แต่จะเป็นการทำสิ่งใหม่เพื่อสร้างอนาคตประเทศไทย” (8 กรกฎาคม 2553 มติชนออนไลน์)
ออกจะเป็นเรื่องแปลกที่คน “องค์รวม” อย่างหมอประเวศจะพูดว่าเราควรเดินหน้าต่อไป โดยมองข้ามอดีต และที่น่าสนใจก็คือทำไมคุณหมอถึงบอกให้มองข้ามอดีตทั้ง ๆ ที่เป็นเหตุการณ์สำคัญและมีความเชื่อมโยงกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และตามเนื้อทฤษฎีที่คุณหมอมักกล่าวอ้าง แทบไม่มีครั้งใดเลยที่คุณหมอจะไม่พูดเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเข้าด้วยกัน อย่างเช่น
“เมื่อเราเกิดปัญญาแล้วจะสามารถเชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทำให้เห็นอนาคตและกลับไปพิจารณาอดีตปัจจุบันด้วยกระบวนการทางปัญญา” (การจัดการความรู้ ศ.นพ. ประเวศ วะสี ปาฐกถาพิเศษ ในงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2548)
เมื่อเห็นรายชื่อกรรมการหลายคน โดยส่วนตัวผู้เขียนเชื่อมั่นในพลังทางศีลธรรมและเจตนารมณ์ที่ดีของท่านทั้งหลาย แต่อย่างที่กล่าวข้างต้น ความคิดที่จะมุ่งปฏิรูปอนาคตโดยไม่สนใจใยดีต่ออดีต และอันที่จริงอดีตก็ไม่ใช่เรื่องของเฉพาะโจทก์และจำเลย แต่เป็นเรื่องของความผิดพลาดที่เกิดขึ้นของหลายฝ่าย ทั้งฝ่ายรัฐและผู้ชุมนุม แต่เป็นเรื่องของการสูญเสียที่ร้าวลึกของหลายฝ่าย แต่เป็นเรื่องของบาดแผลในจิตใจมนุษย์ที่คงใช้เวลาอีกนานกว่าจะเยียวยา ทั้งยังเป็นบาดแผลต่อจิตวิญญาณของชนชาติไทย แต่ทำไมประธานกรรมการท่านนี้จึงเริ่มจากการบอกให้มองข้ามอดีต
ทำไมท่านประธานฯ ถึงบอกว่าอดีตเป็นแค่เรื่องระหว่าง “โจทก์และจำเลย” ความคิดเช่นนี้ไม่ใช่หรือที่เรียกว่าเป็นความคิดแบบคู่ตรงข้าม ที่ตัวท่านประธานฯ เองเสนอหลายครั้งหลายคราให้เรามองข้ามคู่ความคิดที่ตรงข้ามเช่นนี้
อดีตที่เพิ่งผ่านมาเพียงสองสามเดือน หรือจะย้อนหลังไปจนตั้งแต่ช่วงมีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ไม่ใช่สิ่งที่เรามองข้ามถ้าเราต้องการก้าวเดินต่อไปข้างหน้า อย่างน้อยที่สุด กรรมการชุดนี้ควรมีสำเหนียกและสำนึกถึงความรู้สึกเจ็บปวดที่เกิดขึ้น ซึ่งอันที่จริงก็เกิดขึ้นกับบรรดา “คนเล็กคนน้อย คนยากคนจน” ที่ท่านประธานฯ เรียกร้องให้มีการเคารพศักดิ์ศรีทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยท่านประธานฯ เองก็มองว่า “ศีลธรรมพื้นฐานคือการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นคน” (ปาฐกถาเดียวกัน)
คนที่ตายเกือบร้อยชีวิต คนที่เจ็บกว่าสองพัน เขามีศักดิ์ศรีหรือไม่ ท่านประธานฯ และกรรมการทั้งหลายพอจะมีเวลาและพร้อมจะสงบนิ่งไว้อาลัยให้กับเขาสักหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่ม “ปฏิรูปอนาคต” ของประเทศที่ผู้สูญเสียเหล่านี้รัก ท่านพร้อมจะไว้อาลัยให้กับประชาธิปไตยที่คนเหล่านี้เอาชีวิตเข้าแลกได้หรือไม่
ในเมื่อยังไม่มีการสำเหนียกและสำนึกซึ่งความเจ็บปวด ไม่พักต้องพูดถึงความจริงที่ต้องคลี่คลาย ทั้งการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่และราษฎร ซึ่งในฝ่ายแรกก็ยังไม่ชัดเจนว่า เป็นความขัดแย้งกันเองในกองทัพหรือไม่ ในฝ่ายหลังมีหลักฐานประจักษ์ชัดมากทีเดียวว่ารัฐมีการกระทำที่น่าจะพิจารณาว่าเกินกว่าเหตุ ไม่นับคนอีกหลายร้อยคนที่ถูกจองจำเพียงเพราะความเชื่อทางการเมืองของตน
เขาเหล่านั้นยังมีครอบครัว ญาติมิตร ลูกหลาน หลายคนเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ที่อุบลราชธานี แม่คนหนึ่งถูกยิงขาทะลุและถูกจับ ศาลปฏิเสธไม่ปล่อยตัวชั่วคราวตั้งแต่พฤษภาคม ถูกต้องข้อหาอาญา เพียงเพราะเข้าร่วมการชุมนุม ปล่อยลูกสามคนที่แคระแกรนเพราะขาดสารอาหารอยู่กับยายอายุ 84 ปีเพียงลำพัง ยายมีรายได้เพียง 500 บาทต่อเดือน (เบี้ยยังชีพ)
และยังอีกหลายร้อยคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐตามล่าหาตัว กล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ยุยงส่งเสริมให้เกิดการชุมนุมประท้วง
การเข้าร่วมการประท้วงจึงกลายเป็นความผิดทางอาญาไปสำหรับรัฐบาลที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตยแค่ปาก
ท่านประธานฯ และกรรมการทั้งหลายจะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างไรในเมื่อความจริงเหล่านี้ยังไม่คลี่คลาย อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อคณะกรรมการอีกชุดหนึ่งซึ่งตั้งโดยรัฐบาลนี้สอบสวนและพบว่าเจ้าพนักงานของรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิเหล่านี้ การทำหน้าที่ที่อ้างว่าเป็น “การปฏิรูปอนาคต” ของท่าน จะไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐที่ขาดความชอบธรรมไปนานแล้วหรือ
ผู้เขียนเชื่อมั่นในพลังทางศีลธรรมของกรรมการทั้งหลาย ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าทุกท่านมีเจตนาดี ด้วยความคุ้นเคยและด้วยความเคารพต่อกรรมการบางท่าน ผู้เขียนอยากขอให้ท่านทั้งหลายยืนนิ่งไว้อาลัยอย่างน้อยสักหนึ่งนาทีก่อนจะเริ่มปฏิบัติงานทุกครั้ง การไว้อาลัยเช่นนี้แล เชื่อได้ว่าจะทำให้ท่านสามารถ “พิจารณาอย่างลึกซึ้ง มีสติ ก็จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการทางบวกที่เรามองความสำเร็จ ทำให้เกิดพลังเพิ่มขึ้น” ซึ่งเป็นคำพูดของท่านประธานฯ เคยกล่าวไว้เอง
ในระหว่างความเงียบงันระหว่างสงบนิ่งนั้น ขอให้ท่านกรรมการสัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงอดีตอันเจ็บปวดเพราะ
“คำว่าปรองดอง มันพูดง่าย แต่ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างนั้น อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูด ถ้าเห็นใจก็คือ คุณรู้สึกจริงๆ รู้สึกเจ็บปวดร่วมกับคนเหล่านั้นจริงๆ ถึงขั้นที่พูดออกมาเป็นคำไม่ได้” และ “การให้อภัยดูจะเป็นหนทางหนึ่งในการคืนศักดิ์ศรีให้กับตัวเราเองด้วย ไม่กลัวที่จะยอมรับบทเรียนอันเจ็บปวดที่เกิดขึ้น และไม่กลัวที่จะเผชิญปัญหาต่อไป หรือแม้แต่จะต่อสู้ทางการเมืองต่อไป การให้อภัยได้เป็นการเปิดพื้นที่ให้กับพลังทางสติปัญญาเข้ามามีบทบาทแทนที่ ความโกรธเกลียดได้”
("ทุกข์ร่วมจึงร่วม ทุกข์ สัมภาษณ์ อ.ประมวล เพ็งจันทร์ (ตอนที่ 1) วิจักขณ์ พานิช http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278076278&catid=02)
'พร้อมพงศ์ ' ซัดเทพไทกุข่าวกองกำลังหวังผลการเมือง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และโฆษกประจำตัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่ามีการซ่องสุมกำลังและฝึกใช้อาวุธของคนเสื้อแดงจำนวน 3 จุด ซึ่งเจ้าของพื้นที่ต่างๆ ทั้งตำรวจสันติบาล แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ออกมาปฎิเสธข่าวทั้งหมดแล้ว และส่วนของจุดที่ถนนคู้บอน 53 เขตคันนายาวนั้น ตนมีรูปภาพมายืนยันว่าการฝึกดังกล่าวนั้น เป็นโครงการฝึกอบรมตำรวจบ้านเพื่อป้องกันอาชญากรรม ทุกคนเป็นชาวบ้านอาสามาด้วยใจเพื่อปกป้องชุมชน ซึ่งการที่คนของรัฐบาลออกมาให้ข่าวเช่นนี้เป็นการตี 2 หน้า ทำไปเพื่อวัตถประสงค์สร้างความชอบธรรมในการยืนอายุพรก.ฉุกเฉินฯออกไป และอีกอย่างก็คือหวังผลในการทำลายความชอบธรรมของนายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำนปช. ที่ลงเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย การให้ข่าวทั้งหมดตนได้รวบรวมเป็นหลักฐานแล้วและจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนต่อกกต.ในสัปดาห์หน้า
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ เป็นอธิบดีนั้น ทราบว่าได้มีการประชุมรวมหน่วยงานสอบสวน เพื่อที่จะเร่งทำคดีล้มเจ้า ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีแผนผังที่มีรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกมา เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำงานของนายธาริตนั้น กำลังทำให้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากมีคดีที่คืบหน้าคือคดีก่อการร้าย และตอนนี้ก็กำลังจะทำคดีล้มเจ้า แต่คดีที่มีคนตายกว่า 90 ศพ และมีคนบาดเจ็บอีกเป็นพันคน จากเหตการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่ตนได้ไปยื่นเรื่องเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ซึ่งตนได้ตั้งทีมงานติดตามการทำงานของดีเอสไอและนายธาริต หากพบว่าต่อไปนี้คดีต่างๆที่เราไปยื่นไม่มีความคืบหน้าก็จะดำเนินการเอาผิดต่อนายธาริตต่อไป
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลแต่งตั้งตำแหน่งสบ.10 หรือเทียบเท่าตำแห่งรองผบ.ตร.นั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนบันได 3 ขั้น ที่จะเอาคนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บันไดขั้นที่ 1 คือ ตั้งตำแหน่งสบ. 10 ขึ้นมาเพื่อเป็นเส้นทางลัดในการเอาคนของตัวเองขึ้นสู่อำนาจ ขั้นที่ 2 คือเมื่อมีตำแหน่งแล้วก็จัดการเลือกคนของตัวเองล็อกสเป็คให้มารับตำแหน่ง และขั้นที่ 3 ก็คือเมื่อถึงเวลาที่จะมีการโยกย้ายก็จะให้คนของตัวเองที่เตรียมไว้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการทำลายระบบระเบียบ และระบบอาวุโสของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะปฏิรูปตำรวจ ซึ่งตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการตำรวจทั้งที่รับราชการอยู่ และเกษียณอายุไปแล้ว ซึ่งเขาทนเห็นรัฐบาลปู๊ยี่ปู๊ยำสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ จึงต้องการให้ฝ่ายค้านเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการร่วมระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งและอัยการสูงสุด ในการพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ได้มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนในฐานะที่เป็นโฆษกคณะทำงานติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ต้องขอชื่นชมการทำงานในครั้งนี้ เพราะคดีนี้เป็นที่จับตาของประชาชนทั่วไปอยู่ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ไปก็ต้องรอการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ที่นายธาริต เพ็งดิษฐ เป็นอธิบดีนั้น ทราบว่าได้มีการประชุมรวมหน่วยงานสอบสวน เพื่อที่จะเร่งทำคดีล้มเจ้า ที่ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีแผนผังที่มีรายชื่อบุคคลดังกล่าวออกมา เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำงานของนายธาริตนั้น กำลังทำให้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือทางการเมืองของรัฐบาลเท่านั้น เนื่องจากมีคดีที่คืบหน้าคือคดีก่อการร้าย และตอนนี้ก็กำลังจะทำคดีล้มเจ้า แต่คดีที่มีคนตายกว่า 90 ศพ และมีคนบาดเจ็บอีกเป็นพันคน จากเหตการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. และ 19 พ.ค. กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งที่ตนได้ไปยื่นเรื่องเป็นเวลาเดือนกว่าแล้ว ซึ่งตนได้ตั้งทีมงานติดตามการทำงานของดีเอสไอและนายธาริต หากพบว่าต่อไปนี้คดีต่างๆที่เราไปยื่นไม่มีความคืบหน้าก็จะดำเนินการเอาผิดต่อนายธาริตต่อไป
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า สำหรับการที่รัฐบาลแต่งตั้งตำแหน่งสบ.10 หรือเทียบเท่าตำแห่งรองผบ.ตร.นั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนบันได 3 ขั้น ที่จะเอาคนของตัวเองเข้าไปมีอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บันไดขั้นที่ 1 คือ ตั้งตำแหน่งสบ. 10 ขึ้นมาเพื่อเป็นเส้นทางลัดในการเอาคนของตัวเองขึ้นสู่อำนาจ ขั้นที่ 2 คือเมื่อมีตำแหน่งแล้วก็จัดการเลือกคนของตัวเองล็อกสเป็คให้มารับตำแหน่ง และขั้นที่ 3 ก็คือเมื่อถึงเวลาที่จะมีการโยกย้ายก็จะให้คนของตัวเองที่เตรียมไว้ขึ้นสู่อำนาจสูงสุด ซึ่งการกระทำเช่นนี้เป็นการทำลายระบบระเบียบ และระบบอาวุโสของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจที่จะปฏิรูปตำรวจ ซึ่งตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากข้าราชการตำรวจทั้งที่รับราชการอยู่ และเกษียณอายุไปแล้ว ซึ่งเขาทนเห็นรัฐบาลปู๊ยี่ปู๊ยำสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้ จึงต้องการให้ฝ่ายค้านเข้าไปตรวจสอบเรื่องนี้
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ทราบว่าคณะกรรมการร่วมระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งและอัยการสูงสุด ในการพิจารณาสำนวนคดียุบพรรคประชาธิปัตย์จากกรณีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้าน ได้มีมติยุบพรรคประชาธิปัตย์และส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนในฐานะที่เป็นโฆษกคณะทำงานติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ต้องขอชื่นชมการทำงานในครั้งนี้ เพราะคดีนี้เป็นที่จับตาของประชาชนทั่วไปอยู่ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้ไปก็ต้องรอการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญต่อไป
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
‘กำกระบอง’ ไว้แน่น!!
‘กำกระบอง’ ไว้แน่น!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้, “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รู้ “เนวิน ชิดชอบ” รู้, “บิ๊กป้อม” ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม รู้, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.รู้ “ปลดล็อก พรกฉุกเฉิน” พวกตัวต้อง โดนถูกชำระแค้น??
พฤติการณ์โหด หัวใจอำมหิต ทำที่เอาไว้นั้น...ผู้มีหัวใจแห่งประชาธิปไตยเต็มรัก รอสิบปีร้อยปี แก้แค้นนี้ ก็ไม่สาย
อยู่ด้วย “กฎหมายฮิตเล่อร์”.....หมดอำนาจเจอเช็คบิล แน่นอนจะบอกให้
ประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ผู้เป็น สาขา ๒ และ ผู้กุมอำนาจประเทศไทย “บิ๊กป้อมและบิ๊กป๊อก” ร่วมกันต่ออายุ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไป ๓ เดือน ก็ “คงอำนาจ” ของตัวเองเอาไว้เท่านั้นแหละ แต่ประเทศชาติ ง่อยเปลี้ยเสียขา “ประชาธิปไตย” ถูกอำนาจนอกระบบเข้าเย้ย!!
ใช้กฎหมาย “กดหัวคน” ให้อยู่....จ้องฟาดฟันศัตรู?..ดูแล้วไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย??
................................
ทำงานแบบ‘มือทอง’สมองเพ็ชร!!
แต่เลือก “ทีมเวิร์ค” คนรู้ใจ ที่ทำงานเข้าขากันไม่ได้!...ดูแล้ว “เดอะไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงไอซีที เก่งกล้าแค่ไหน เดี๋ยวก็ต้องเสร็จ??
เมื่อ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการรัฐบาลมือเก๋า..ใส่ตระกร้าล้างน้ำ ส่ง “แม่เลี้ยงติ๊ก” ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องโกยอ้าว เป็นลิเกปิดวิก ลาโรง จากปัญหา “โครงการไทยเข้มแข็ง”
“แม่เลี้ยงติ๊ก” เป็นเงาประกบแจ “รัฐมนตรีไก่”....หลายคนพากันแขยง
เพราะผลงาน เม็ดงาน แต่ละช็อต ที่ปรากฏแก่สายตามิตรรักนักเพลง ที่กระทรวงสาธารณสุข จน “วิทยา แก้วภราดัย” และ “มานิต นพอมรบดี” ๒ รัฐมนตรี ทิ้งกระทรวงไม่ทัน!!
ขอให้ “รัฐมนตรีไก่”.....อย่ามีสภาพจำใจ?..ต้องไขก๊อกออก ก็แล้วกัลล์ล์??
.................................
เป็น‘สุสาน’แห่ง‘เด็กฝาก’!!
เมื่อ “ทั่นรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ” ส่ง “แม่เลี้ยงติ๊ก” เข้าประกวด มาเดินเป็นเงาตามตัว “บิ๊กไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที ก็ปฏิเสธยากส์??
เช่นเดียวกันกับ “หนูตั๊น” จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นหลานเหลนแห่ง “เบียร์สิงห์” ให้เข้ามาหยิบชิ้นปลามัน เป็น “เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที”ใหญ่มะลักกักลือลั่น
มาด้วยกำลังภายในเหลือล้น...จาก “ท่านบิ๊กนิพนธ์ พร้อมพันธุ์”
แต่ที่หวือหวายิ่งไปกว่านั้น... “มัลลิกา บุญมีตระกูล” อดีตเหยี่ยวสาวปากกล้า รับจ๊อบเข้ามาสะเดิ๊ปตำแหน่ง เป็น “ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงไอซีที” ..แต่ที่จะเป็น “กุนซือ” หรือ “โค้ช” แนะนำสิ่งดีๆ กับลดเกรด ถามผู้มาติดต่อ “รัฐมนตรีจุติ” ซึ่งไม่ใช่งาน และตำแหน่ง!!!
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี.....ไปแย่งงานเด็กหน้าห้องเช่นนี้?....เสียดายที่กินเงินเดือนเสียแพง??
....................................
โปร่งใส ‘มิสเตอร์คลีน’มาทั้งดุ้น!!
ตัดสินประกวดภาพถ่ายยอดเยี่ยม ชิงถ้วยพระราชทาน “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของ “คุณพี่วิชัย วลาพล” นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชแห่งประเทศไทย นั่นไงล่ะคุณ??
ได้รับเกียรติจาก “ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล วิรุฬห์รักษ์” “มานิจ สุขสมจิตร”แห่งไทยรัฐ “มดคันไฟ” อนันต์ อัศวนนท์” แห่งบางกอก ทูเดย์ พร้อมบอสใหญ่หนังสือพิมพ์ ทีวีโทรทัศน์ และผู้ทรงเกียรติแห่งสถาบันการศึกษา ร่วมตัดสิน “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” วันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฏาฯ ที่ร.ร.เซ็นทรัล ลาดพร้าว
วันประกาศผล “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”...จะมาเป็นประธาน กันเหมือนเก่า
โดยผลตัดสิน ภาพถ่ายยอดเยี่ยมทุกอันดับ.. มีการถ่ายทอดสดแพร่ภาพ ทางช่อง ๗ สี วันพฤหัสบดีที่ ๕ สิงหาคม ...งานนี้ถือว่า เป็นยอดแห่งเกียรติยศ ความภูมิใจ ของช่างภาพหนังสือพิมพ์ และทีวี ที่ผลงาน จะได้เป็นที่ประจักษ์!!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์” มาร่วมงาน....มาสร้างความสัมพันธ์....ชื่นมื่นชื่นบาน อย่างคึกคัก??
...................................
หัวเป็นเกลียวตัวเป็นน็อต!!
ทุ่มเต็มแรง เต็มกำลัง เหมือน “นายหัวชวน หลีกภัย” จะรู้ว่า “ประชาธิปัตย์”ไม่รอด??
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ที่ใช้ผิดประสงค์ ถึงจะมีพยาน ไว้แก้ต่างกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ของ “ท่านประธานชัช ชลวร” ไว้เต็มที่
แต่น้ำหนักหักล้าง....แก้ต่าง น่าหนักใจมากเลยล่ะพี่
หลายคนมองว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องม้วนเสื่อโดย “ยุบพรรค” อย่างเสร็จสรรพ!!!
ขณะนี้เตรียมทีหนีทีไล่...เพราะจดชื่อพรรคใหม่?...เอาไว้ไม่คอยท่า ด้วยสิครับ??
...................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
“นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” รู้, “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รู้ “เนวิน ชิดชอบ” รู้, “บิ๊กป้อม” ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม รู้, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.รู้ “ปลดล็อก พรกฉุกเฉิน” พวกตัวต้อง โดนถูกชำระแค้น??
พฤติการณ์โหด หัวใจอำมหิต ทำที่เอาไว้นั้น...ผู้มีหัวใจแห่งประชาธิปไตยเต็มรัก รอสิบปีร้อยปี แก้แค้นนี้ ก็ไม่สาย
อยู่ด้วย “กฎหมายฮิตเล่อร์”.....หมดอำนาจเจอเช็คบิล แน่นอนจะบอกให้
ประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย ผู้เป็น สาขา ๒ และ ผู้กุมอำนาจประเทศไทย “บิ๊กป้อมและบิ๊กป๊อก” ร่วมกันต่ออายุ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไป ๓ เดือน ก็ “คงอำนาจ” ของตัวเองเอาไว้เท่านั้นแหละ แต่ประเทศชาติ ง่อยเปลี้ยเสียขา “ประชาธิปไตย” ถูกอำนาจนอกระบบเข้าเย้ย!!
ใช้กฎหมาย “กดหัวคน” ให้อยู่....จ้องฟาดฟันศัตรู?..ดูแล้วไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย??
................................
ทำงานแบบ‘มือทอง’สมองเพ็ชร!!
แต่เลือก “ทีมเวิร์ค” คนรู้ใจ ที่ทำงานเข้าขากันไม่ได้!...ดูแล้ว “เดอะไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงไอซีที เก่งกล้าแค่ไหน เดี๋ยวก็ต้องเสร็จ??
เมื่อ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้จัดการรัฐบาลมือเก๋า..ใส่ตระกร้าล้างน้ำ ส่ง “แม่เลี้ยงติ๊ก” ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู อดีตเลขาฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องโกยอ้าว เป็นลิเกปิดวิก ลาโรง จากปัญหา “โครงการไทยเข้มแข็ง”
“แม่เลี้ยงติ๊ก” เป็นเงาประกบแจ “รัฐมนตรีไก่”....หลายคนพากันแขยง
เพราะผลงาน เม็ดงาน แต่ละช็อต ที่ปรากฏแก่สายตามิตรรักนักเพลง ที่กระทรวงสาธารณสุข จน “วิทยา แก้วภราดัย” และ “มานิต นพอมรบดี” ๒ รัฐมนตรี ทิ้งกระทรวงไม่ทัน!!
ขอให้ “รัฐมนตรีไก่”.....อย่ามีสภาพจำใจ?..ต้องไขก๊อกออก ก็แล้วกัลล์ล์??
.................................
เป็น‘สุสาน’แห่ง‘เด็กฝาก’!!
เมื่อ “ทั่นรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ” ส่ง “แม่เลี้ยงติ๊ก” เข้าประกวด มาเดินเป็นเงาตามตัว “บิ๊กไก่” จุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที ก็ปฏิเสธยากส์??
เช่นเดียวกันกับ “หนูตั๊น” จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี ทายาทรุ่นหลานเหลนแห่ง “เบียร์สิงห์” ให้เข้ามาหยิบชิ้นปลามัน เป็น “เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที”ใหญ่มะลักกักลือลั่น
มาด้วยกำลังภายในเหลือล้น...จาก “ท่านบิ๊กนิพนธ์ พร้อมพันธุ์”
แต่ที่หวือหวายิ่งไปกว่านั้น... “มัลลิกา บุญมีตระกูล” อดีตเหยี่ยวสาวปากกล้า รับจ๊อบเข้ามาสะเดิ๊ปตำแหน่ง เป็น “ที่ปรึกษารัฐมนตรีกระทรวงไอซีที” ..แต่ที่จะเป็น “กุนซือ” หรือ “โค้ช” แนะนำสิ่งดีๆ กับลดเกรด ถามผู้มาติดต่อ “รัฐมนตรีจุติ” ซึ่งไม่ใช่งาน และตำแหน่ง!!!
เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี.....ไปแย่งงานเด็กหน้าห้องเช่นนี้?....เสียดายที่กินเงินเดือนเสียแพง??
....................................
โปร่งใส ‘มิสเตอร์คลีน’มาทั้งดุ้น!!
ตัดสินประกวดภาพถ่ายยอดเยี่ยม ชิงถ้วยพระราชทาน “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ของ “คุณพี่วิชัย วลาพล” นายกสมาคมช่างภาพสื่อมวลชแห่งประเทศไทย นั่นไงล่ะคุณ??
ได้รับเกียรติจาก “ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล วิรุฬห์รักษ์” “มานิจ สุขสมจิตร”แห่งไทยรัฐ “มดคันไฟ” อนันต์ อัศวนนท์” แห่งบางกอก ทูเดย์ พร้อมบอสใหญ่หนังสือพิมพ์ ทีวีโทรทัศน์ และผู้ทรงเกียรติแห่งสถาบันการศึกษา ร่วมตัดสิน “ภาพถ่ายยอดเยี่ยม” วันเสาร์ที่ ๑๐ กรกฏาฯ ที่ร.ร.เซ็นทรัล ลาดพร้าว
วันประกาศผล “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”...จะมาเป็นประธาน กันเหมือนเก่า
โดยผลตัดสิน ภาพถ่ายยอดเยี่ยมทุกอันดับ.. มีการถ่ายทอดสดแพร่ภาพ ทางช่อง ๗ สี วันพฤหัสบดีที่ ๕ สิงหาคม ...งานนี้ถือว่า เป็นยอดแห่งเกียรติยศ ความภูมิใจ ของช่างภาพหนังสือพิมพ์ และทีวี ที่ผลงาน จะได้เป็นที่ประจักษ์!!!
“นายกฯ อภิสิทธิ์” มาร่วมงาน....มาสร้างความสัมพันธ์....ชื่นมื่นชื่นบาน อย่างคึกคัก??
...................................
หัวเป็นเกลียวตัวเป็นน็อต!!
ทุ่มเต็มแรง เต็มกำลัง เหมือน “นายหัวชวน หลีกภัย” จะรู้ว่า “ประชาธิปัตย์”ไม่รอด??
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ที่ใช้ผิดประสงค์ ถึงจะมีพยาน ไว้แก้ต่างกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ของ “ท่านประธานชัช ชลวร” ไว้เต็มที่
แต่น้ำหนักหักล้าง....แก้ต่าง น่าหนักใจมากเลยล่ะพี่
หลายคนมองว่า “พรรคประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องม้วนเสื่อโดย “ยุบพรรค” อย่างเสร็จสรรพ!!!
ขณะนี้เตรียมทีหนีทีไล่...เพราะจดชื่อพรรคใหม่?...เอาไว้ไม่คอยท่า ด้วยสิครับ??
...................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ตากสิน 2
จะอะไรกันนักหนา..
จากที่ พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ ออกมาปูดว่า จะมีขบวนการ “ลอบสังหาร”บุคคลในรัฐบาล..
เท่านั้นแหละ หลายคนต่างก็เอาหัวแม่มือทิ่มแปะหน้าอกตัวเอง..เหมือนจะบอกว่า “ฉันนี่แหละที่โดนกาหัว”เรียงหน้าเสนอตัวชูคอล่อเป้ากันสลอน
โธ่..ก็มันโก้ เท่ เก๋ ไก๋ ชไนเปอร์ หยอกซะเมื่อไหร่ล่ะ!
ไล่มาตั้งแต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ/ กรณ์ จาติกวณิช/พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และอีกหลายคน..
การปูดเรื่องครั้งนี้เหมือนยิงหนังสติ๊กลูกเดียวได้นกทั้งพวง..นกตัวแรก คือคงเอาไว้ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทุกฝ่ายเรียกร้องให้เลิก แต่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังกอดแน่น
นกตัวที่สองคือสามารถสั่ง “รถยนต์กันกระสุน”นำเข้ามาได้อีกล็อตใหญ่
และ..นกตัวสุดท้ายคือ “คะแนนสงสาร”..ก้อ..โถ! คนไทยนี่ครับ!!
เมื่อรู้ข่าวว่าใครจะถูก “ลอบสังหาร” ก็ห่วงหาอาทรณ์กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตาเขียวเป็นจ้ำๆ..เหมือนคนดูบอลโลกรอบดึก
ยิ่งคนที่ตนรัก หยั่ง อภิสิทธิ์.. กรณ์ และ ไก่อู แม่ยกทั้งหลายร้องไห้กันตาแดงกล่ำยังกะนกกะปูดตูดเปิด..เตลิดเปิดเปิงยิ่งกว่าตีเปิงมางในงานวัด
และเพื่อให้ข่าว “ลอบสังหาร” นี้กระชับพื้นที่ในการเชื่อถือมากขึ้นจึงส่ง.. เทพไท เสนพงศ์ ออกมาปูดข่าวต่อว่าแผนนี้คือ “ตากสิน2” ของ “คนเสื้อแดง”!!
ก็หากินอยู่กับซอยตากสินแถววงเวียนใหญ่นี่แหละไปไหนไม่ถูกแล้ว
เมื่อปีก่อนก็ “ตากสิน2” ทีนึง..ล่วงเลยมาป่านนี้น่าจะถึง “ตากสินซอย10” แล้วนะ ..เป็นไงล่ะ!..เงียบฉี่ เหมือนสุภาพสตรีนั่งเยี่ยวไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม
ครั้งนั้นทำเอาผู้อาศัยอยู่ที่ “ตากสิน2” ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งซอย
สุภาษิตแต้จิ๋วบอกว่า หงี่ ซิม แซ อ้ำ กุ้ย แปลว่า “จิตระแวงก่อให้เกิดจิตหลอน”
ไม่มีอะไรหรอก “รัฐบาลอภิสิทธิ์”เกิดจิตระแวงไปเอง..เที่ยวส่งคนมาปูดเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที..จากที่มีคนสงสารเห็นใจจึงเปลี่ยนเป็นอาการ“หมั่นไส้” แทน
เพราะ “เล่นเชิงปลากราย”มากเกินจะรับกันได้..ประชาชนรู้ทันจึงจับทางถูก
แทนที่จะมีคุณค่าราคาเท่ากับ “บอลสเปน”ในฐานะผู้เข้าชิง..เลยกลับกลายเป็นบอลระดับ “วัดลิงขบ” ไปโดยอัตโนมัติ..เพราะปาก “เทพไท แกงไตปลา” คนนี้นี่เอง!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
จากที่ พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ ออกมาปูดว่า จะมีขบวนการ “ลอบสังหาร”บุคคลในรัฐบาล..
เท่านั้นแหละ หลายคนต่างก็เอาหัวแม่มือทิ่มแปะหน้าอกตัวเอง..เหมือนจะบอกว่า “ฉันนี่แหละที่โดนกาหัว”เรียงหน้าเสนอตัวชูคอล่อเป้ากันสลอน
โธ่..ก็มันโก้ เท่ เก๋ ไก๋ ชไนเปอร์ หยอกซะเมื่อไหร่ล่ะ!
ไล่มาตั้งแต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ/ กรณ์ จาติกวณิช/พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และอีกหลายคน..
การปูดเรื่องครั้งนี้เหมือนยิงหนังสติ๊กลูกเดียวได้นกทั้งพวง..นกตัวแรก คือคงเอาไว้ด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ทุกฝ่ายเรียกร้องให้เลิก แต่ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยังกอดแน่น
นกตัวที่สองคือสามารถสั่ง “รถยนต์กันกระสุน”นำเข้ามาได้อีกล็อตใหญ่
และ..นกตัวสุดท้ายคือ “คะแนนสงสาร”..ก้อ..โถ! คนไทยนี่ครับ!!
เมื่อรู้ข่าวว่าใครจะถูก “ลอบสังหาร” ก็ห่วงหาอาทรณ์กินไม่ได้นอนไม่หลับ ตาเขียวเป็นจ้ำๆ..เหมือนคนดูบอลโลกรอบดึก
ยิ่งคนที่ตนรัก หยั่ง อภิสิทธิ์.. กรณ์ และ ไก่อู แม่ยกทั้งหลายร้องไห้กันตาแดงกล่ำยังกะนกกะปูดตูดเปิด..เตลิดเปิดเปิงยิ่งกว่าตีเปิงมางในงานวัด
และเพื่อให้ข่าว “ลอบสังหาร” นี้กระชับพื้นที่ในการเชื่อถือมากขึ้นจึงส่ง.. เทพไท เสนพงศ์ ออกมาปูดข่าวต่อว่าแผนนี้คือ “ตากสิน2” ของ “คนเสื้อแดง”!!
ก็หากินอยู่กับซอยตากสินแถววงเวียนใหญ่นี่แหละไปไหนไม่ถูกแล้ว
เมื่อปีก่อนก็ “ตากสิน2” ทีนึง..ล่วงเลยมาป่านนี้น่าจะถึง “ตากสินซอย10” แล้วนะ ..เป็นไงล่ะ!..เงียบฉี่ เหมือนสุภาพสตรีนั่งเยี่ยวไม่มีอะไรเกิดขึ้นเหมือนเดิม
ครั้งนั้นทำเอาผู้อาศัยอยู่ที่ “ตากสิน2” ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันทั้งซอย
สุภาษิตแต้จิ๋วบอกว่า หงี่ ซิม แซ อ้ำ กุ้ย แปลว่า “จิตระแวงก่อให้เกิดจิตหลอน”
ไม่มีอะไรหรอก “รัฐบาลอภิสิทธิ์”เกิดจิตระแวงไปเอง..เที่ยวส่งคนมาปูดเรื่องนั้นทีเรื่องนี้ที..จากที่มีคนสงสารเห็นใจจึงเปลี่ยนเป็นอาการ“หมั่นไส้” แทน
เพราะ “เล่นเชิงปลากราย”มากเกินจะรับกันได้..ประชาชนรู้ทันจึงจับทางถูก
แทนที่จะมีคุณค่าราคาเท่ากับ “บอลสเปน”ในฐานะผู้เข้าชิง..เลยกลับกลายเป็นบอลระดับ “วัดลิงขบ” ไปโดยอัตโนมัติ..เพราะปาก “เทพไท แกงไตปลา” คนนี้นี่เอง!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
“ไพโรจน์” ถอนตัว 1 ใน 9 กรรมการอิสระตรวจสอบความจริงฯ ชุด “คณิต” แล้ว
"ไพโรจน์ พลเพชร" ถอนตัวจากคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เผยปฏิเสธการทาบทามตั้งแต่ต้น ชี้ไม่แถลงข่าวแต่พร้อมแจง ย้ำขอทำงานคู่ขนาน เกื้อหนุน-ตรวจสอบกัน
นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) กล่าวถึงกรณีมีรายชื่อเป็น 1 ใน 9 ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน ว่า เมื่อเร็วๆ ได้ประสานงานไปทางนายคณิต เพื่อถอนตัวจากคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ส่วนตัวได้ทำงานคู่ขนานในการสืบค้นข้อเท็จจริงในฐานะที่เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชน จากการดำเนินงานของศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ศรส.) ซึ่งทำหน้าที่ในเรื่องเดียวกันนี้อยู่แล้ว
นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่าเขาได้ปฏิเสธการทาบทามให้เข้าร่วมมาตั้งแต่ต้น แต่อาจเนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาดจึงทำให้ยังมีชื่อไปปรากฏในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งเมื่อทราบข่าวครั้งแรกก็รู้สึกตกใจ ทั้งนี้ เมื่อมีการสื่อสารไปยังนายคณิตแล้ว ในส่วนคณะกรรมการอิสระฯ จะมีการทาบทามคนใหม่ หรือคงจำนวนคณะกรรมการที่เหลืออยู่ไว้นั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของนายคณิตซึ่งเป็นประธานที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามเขาจะไม่แถลงข่าวต่อกรณีการถอนตัวดังกล่าว แต่พร้อมจะให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามของนักข่าว
ต่อเรื่องการสืบค้นความจริงในเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น นายไพโรจน์แสดงความเห็นว่า เป็นประเด็นที่สังคมควรให้การสนับสนุน เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคม องค์กร สถาบันต่างๆ เข้ามาช่วยกันทำหน้าที่สืบหาข้อมูล และตรวจสอบซึ่งกันและกัน ในส่วนคณะกรรมการอิสระนั้นทางกลุ่มเองก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาโดยตลอด นับจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งก็รู้สึกยินดีที่มีคนมาทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น เพราะก่อนหน้านี้คนที่จะเข้ามา อาจถูกกล่าวจากหลายๆ ฝ่าย และต้องเผชิญหน้ากับความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจ ในภาวะที่สังคม มีความขัดแยงรุนแรง
ส่วนคำถามถึงการเข้าถึงข้อมูลของ คอป.ที่อาจมีปัญหาความหวาดระแวงจากคนบางกลุ่ม เนื่องมาจากได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล นายไพโรจน์แสดงความเห็นว่า หากจะมีคนหวาดระแวงก็เป็นเรื่องธรรมดาในภาวะที่เราต้องเผชิญปัญหาร่วมกันในสังคมตอนนี้ อย่างไรก็ตาม การทำงานดังกล่าวจะมีข้อเด่นในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐ เพราะรัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งในส่วนงบประมาณและข้อมูล อีกทั้งคณะกรรมการอิสระ ดังกล่าวยังถูกจับตามมองจากทั้งในและนอกประเทศ ถึงความเป็นอิสระว่ามีจริงหรือไม่ และรัฐจะเกื้อหนุนให้สามารถทำงานได้เต็มที่จริงหรือไม่
นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการทำงานในส่วนของ ศรส.น่าจะเป็นการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมที่คู่ขนานกันไปกับภาคส่วนอื่นๆ โดยอาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุน ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งแต่ละหน่วยงานที่เข้ามาทำงานตรงนี้จากมีความสามารถในการเปิดพื้นที่ของข้อมูลที่แตกต่างกัน หรืออาจทำหน้าที่ในการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความชอบธรรมของแต่ละองค์กร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อกรรมการที่นายคณิตเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นายกิติพงษ์ กิตติยารัตน์ (อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม) นางจุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (นักวิชาการ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ) นายเดชา สังขละวรรณ (อดีตคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) นายไพโรจน์ พลเพชร (NGOs) นายมานิจ สุขสมจิตร (สื่อมวลชน สสร.50) นายรณชัย คงสกนธ์ (รองคณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี) นายสมชาย หอมละออ (NGOs) เเละนายสุรชัย ลิขสิทธิ์วัฒนกุล (ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ศิริราช) โดยอายุการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้มีอายุไม่เกินสองปี
ที่มา.ประชาไท
นายไพโรจน์ พลเพชร เลขาธิการสมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) กล่าวถึงกรณีมีรายชื่อเป็น 1 ใน 9 ผู้ถูกเสนอชื่อเป็นคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธาน ว่า เมื่อเร็วๆ ได้ประสานงานไปทางนายคณิต เพื่อถอนตัวจากคณะกรรมการชุดดังกล่าวแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ส่วนตัวได้ทำงานคู่ขนานในการสืบค้นข้อเท็จจริงในฐานะที่เป็นองค์กรสิทธิมนุษยชน จากการดำเนินงานของศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ศรส.) ซึ่งทำหน้าที่ในเรื่องเดียวกันนี้อยู่แล้ว
นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่าเขาได้ปฏิเสธการทาบทามให้เข้าร่วมมาตั้งแต่ต้น แต่อาจเนื่องจากการสื่อสารที่ผิดพลาดจึงทำให้ยังมีชื่อไปปรากฏในคณะกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งเมื่อทราบข่าวครั้งแรกก็รู้สึกตกใจ ทั้งนี้ เมื่อมีการสื่อสารไปยังนายคณิตแล้ว ในส่วนคณะกรรมการอิสระฯ จะมีการทาบทามคนใหม่ หรือคงจำนวนคณะกรรมการที่เหลืออยู่ไว้นั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจของนายคณิตซึ่งเป็นประธานที่จะดำเนินการต่อไป อย่างไรก็ตามเขาจะไม่แถลงข่าวต่อกรณีการถอนตัวดังกล่าว แต่พร้อมจะให้ข้อมูลและตอบข้อซักถามของนักข่าว
ต่อเรื่องการสืบค้นความจริงในเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น นายไพโรจน์แสดงความเห็นว่า เป็นประเด็นที่สังคมควรให้การสนับสนุน เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคม องค์กร สถาบันต่างๆ เข้ามาช่วยกันทำหน้าที่สืบหาข้อมูล และตรวจสอบซึ่งกันและกัน ในส่วนคณะกรรมการอิสระนั้นทางกลุ่มเองก็ได้มีการเรียกร้องให้มีการจัดตั้งมาโดยตลอด นับจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ซึ่งก็รู้สึกยินดีที่มีคนมาทำเรื่องนี้ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้น เพราะก่อนหน้านี้คนที่จะเข้ามา อาจถูกกล่าวจากหลายๆ ฝ่าย และต้องเผชิญหน้ากับความหวาดระแวง ความไม่ไว้วางใจ ในภาวะที่สังคม มีความขัดแยงรุนแรง
ส่วนคำถามถึงการเข้าถึงข้อมูลของ คอป.ที่อาจมีปัญหาความหวาดระแวงจากคนบางกลุ่ม เนื่องมาจากได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาล นายไพโรจน์แสดงความเห็นว่า หากจะมีคนหวาดระแวงก็เป็นเรื่องธรรมดาในภาวะที่เราต้องเผชิญปัญหาร่วมกันในสังคมตอนนี้ อย่างไรก็ตาม การทำงานดังกล่าวจะมีข้อเด่นในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยงานรัฐ เพราะรัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุนทั้งในส่วนงบประมาณและข้อมูล อีกทั้งคณะกรรมการอิสระ ดังกล่าวยังถูกจับตามมองจากทั้งในและนอกประเทศ ถึงความเป็นอิสระว่ามีจริงหรือไม่ และรัฐจะเกื้อหนุนให้สามารถทำงานได้เต็มที่จริงหรือไม่
นายไพโรจน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับการทำงานในส่วนของ ศรส.น่าจะเป็นการทำงานขององค์กรภาคประชาสังคมที่คู่ขนานกันไปกับภาคส่วนอื่นๆ โดยอาจมีส่วนช่วยเกื้อหนุน ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งแต่ละหน่วยงานที่เข้ามาทำงานตรงนี้จากมีความสามารถในการเปิดพื้นที่ของข้อมูลที่แตกต่างกัน หรืออาจทำหน้าที่ในการตรวจสอบซึ่งกันและกัน ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความชอบธรรมของแต่ละองค์กร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อกรรมการที่นายคณิตเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ ทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นายกิติพงษ์ กิตติยารัตน์ (อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม) นางจุฑารัตน์ เอื้ออำนวย (นักวิชาการ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ) นายเดชา สังขละวรรณ (อดีตคณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) นายไพโรจน์ พลเพชร (NGOs) นายมานิจ สุขสมจิตร (สื่อมวลชน สสร.50) นายรณชัย คงสกนธ์ (รองคณบดี คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี) นายสมชาย หอมละออ (NGOs) เเละนายสุรชัย ลิขสิทธิ์วัฒนกุล (ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ ศิริราช) โดยอายุการทำงานของคณะกรรมการชุดนี้มีอายุไม่เกินสองปี
ที่มา.ประชาไท
2 คน 2 แบบ
ถ้าจะถามกันนิติสัมผัส..ใครคือ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย..คำตอบก็คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์..
ถ้าจะถามกันตามความรู้สึกแล้ว..แทบจะไม่มีใคร คิดว่า...เขา...คือนายกรัฐมนตรี
บางท่านบางคนอาจจะนึกถึงนักแสดงหนุ่มหล่อ ในบทบาทของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..ทุกสภาพการ เคลื่อนไหวและบทบาทในการเจรจา..ล้วนมีที่มาจากบทที่ถูกกำกับไว้..
แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่นักแสดง..หลายๆ ครั้งเขาจึงตีบทไม่แตก..ไม่แนบเนียนอย่างที่ศิลปินชั้นนำควร มี..บางครั้งหน้าไปอย่างตาไปอย่างปากไปอีกอย่าง
คนดูคนชมธรรมดาอาจจะมองไม่เห็นนักวิจารณ์และ กรรมการที่จะให้ตุ๊กตาทองจะมองเห็น
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..กับบทบาทนายกรัฐมนตรี....กับบทบาทของ..มาร์ค..เมื่ออยู่ในแวดวงของคนร่วมสกุลเวชชาชีวะ เป็นเรื่องลี้ลับ..แตกต่างไปจาก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในบทบาทของนายกรัฐมนตรี และในฐานะพ่อและผัวของครอบครัว
จะเป็นการดีอย่างยิ่ง..ถ้าเอาส่วนที่ดีของ 2 นายกรัฐมนตรีมารวมกัน..แล้วให้กำเนิดนายกรัฐมนตรีคนใหม่.. แต่สิ่งนั้นจะมีวันเกิดขึ้นหรือ..
นายกรัฐมนตรีที่คงทนต่อการตรวจสอบในทุกรูปแบบ.. และนายกรัฐมนตรีที่พร้อมจะสั่งสอนและบอกให้นายกรัฐมนตรีในแต่ละประเทศให้คล้อยตามในสิ่งที่เขาเรียกร้อง
นายกรัฐมนตรีที่คล่องแคล่วในการเจรจา กับ นายกรัฐมนตรีที่มองเห็นทางออกในทุกๆ ปัญหา
ประเทศไทยโชคร้าย..เราไม่เคยได้ในสิ่งที่เราปรารถนา.. เวียดนามยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เพราะเขามี..ผู้นำที่เด็ดเดี่ยว สันโดษ และเฉลียวฉลาด..ลาวกลายเป็นประเทศที่ประ ชาชนมีความผาสุกในอันดับต้นๆ ของโลก..ก็เพราะผู้นำของเขาในวันนี้..ยังทำนาและต้มสุรากินเอง
แต่นายกรัฐมนตรีผู้นำไทย..ยิ่งใหญ่ขึ้นมาจากสภา แห่งผลประโยชน์..และประชาธิปไตยแบบเปิดซอง...ไทย ถึงไปได้ไม่ถึงไหน..และนับวันจะลื่นไหลลงไปในหุบเหวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เราจะโทษใครก็เราแค่เลือกตั้งยังไม่เป็น
ที่มา.สยามธุรกิจ
ถ้าจะถามกันตามความรู้สึกแล้ว..แทบจะไม่มีใคร คิดว่า...เขา...คือนายกรัฐมนตรี
บางท่านบางคนอาจจะนึกถึงนักแสดงหนุ่มหล่อ ในบทบาทของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย..ทุกสภาพการ เคลื่อนไหวและบทบาทในการเจรจา..ล้วนมีที่มาจากบทที่ถูกกำกับไว้..
แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่นักแสดง..หลายๆ ครั้งเขาจึงตีบทไม่แตก..ไม่แนบเนียนอย่างที่ศิลปินชั้นนำควร มี..บางครั้งหน้าไปอย่างตาไปอย่างปากไปอีกอย่าง
คนดูคนชมธรรมดาอาจจะมองไม่เห็นนักวิจารณ์และ กรรมการที่จะให้ตุ๊กตาทองจะมองเห็น
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..กับบทบาทนายกรัฐมนตรี....กับบทบาทของ..มาร์ค..เมื่ออยู่ในแวดวงของคนร่วมสกุลเวชชาชีวะ เป็นเรื่องลี้ลับ..แตกต่างไปจาก ทักษิณ ชินวัตร ทั้งในบทบาทของนายกรัฐมนตรี และในฐานะพ่อและผัวของครอบครัว
จะเป็นการดีอย่างยิ่ง..ถ้าเอาส่วนที่ดีของ 2 นายกรัฐมนตรีมารวมกัน..แล้วให้กำเนิดนายกรัฐมนตรีคนใหม่.. แต่สิ่งนั้นจะมีวันเกิดขึ้นหรือ..
นายกรัฐมนตรีที่คงทนต่อการตรวจสอบในทุกรูปแบบ.. และนายกรัฐมนตรีที่พร้อมจะสั่งสอนและบอกให้นายกรัฐมนตรีในแต่ละประเทศให้คล้อยตามในสิ่งที่เขาเรียกร้อง
นายกรัฐมนตรีที่คล่องแคล่วในการเจรจา กับ นายกรัฐมนตรีที่มองเห็นทางออกในทุกๆ ปัญหา
ประเทศไทยโชคร้าย..เราไม่เคยได้ในสิ่งที่เราปรารถนา.. เวียดนามยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เพราะเขามี..ผู้นำที่เด็ดเดี่ยว สันโดษ และเฉลียวฉลาด..ลาวกลายเป็นประเทศที่ประ ชาชนมีความผาสุกในอันดับต้นๆ ของโลก..ก็เพราะผู้นำของเขาในวันนี้..ยังทำนาและต้มสุรากินเอง
แต่นายกรัฐมนตรีผู้นำไทย..ยิ่งใหญ่ขึ้นมาจากสภา แห่งผลประโยชน์..และประชาธิปไตยแบบเปิดซอง...ไทย ถึงไปได้ไม่ถึงไหน..และนับวันจะลื่นไหลลงไปในหุบเหวที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง
เราจะโทษใครก็เราแค่เลือกตั้งยังไม่เป็น
ที่มา.สยามธุรกิจ
เจาะเครือข่าย 2 ท่อน้ำเลี้ยงแดง? สะพัด740 ล้าน ที่แท้หุ้นส่วน บ.เมียรัฐมนตรี นักร้องดัง ชนชั้นสูง
เจาะขุมข่าย 2 นักธุรกิจโนเนมติดบ่วงท่อน้ำเลี้ยงแดง โอละพ่อ! ที่แท้หุ้นส่วน บ.เมียรัฐมนตรี ครม.มาร์ค ชนชั้นสูง คุณหญิงอ้อ และนักร้องดัง
ภายหลังจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เรียกบุคคลและนิติบุคคล จำนวน 83 รายที่ตรวจพบว่าทำธุรกรรมทางการเงินผิดปกติ โดยมีบุคคลทยอยเข้าให้ถ้อยคำในช่วงต่อมาจำนวนมาก ปรากฏว่ามีบุคคลที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักทางการเมืองรวมอยู่ด้วย คือนายฑัศ เชาวนเสถียร และ นางสุกัญญา ประจวบเหมาะ
กรณีของนายฑัศ เชาวเสถียร ก่อนหน้านี้มีข้อมูลระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตรวจพบในช่วง 9 เดือนหรือระหว่างเดือนกันยายน 2552- พฤษภาคม 2553 บัญชีเงินฝากมียอดเงินหมุนเวียน ประมาณ 720 ล้านบาท แบ่งเป็นฝากประมาณ 394 ล้านบาท ถอน ประมาณ 426 ล้านบาท
ในช่วงเวลาเดียวกัน กรณีของนางสุกัญญา ประจวบเหมาะ บัญชีเงินฝากมียอดเงินหมุนเวียนประมาณ 24 ล้านบาท เป็นการฝากเงินประมาณ 12 ล้านบาท และ ถอนเงินประมาณ 12 ล้านบาท
ทำให้เกิดคำถามว่าทั้งสองคนทำธุรกิจอะไรหรือไม่?
ล่าสุด ตรวจสอบพบข้อมูลดังนี้
นายฑัศ เชาวนเสถียร ธุรกิจปัจจุบัน 2 แห่งคือ
บริษัท จี เนท อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ขายโทรศัพท์ บริการซ่อมโทรศัพท์ จดทะเบียนวันที่ 29 มกราคม 2544 (ชื่อเดิม บริษัท ไวร์เลสแอ๊ดวานซ์ซิสเต็ม จำกัด-เพิ่งเปลี่ยนชื่อเมื่อ 3 สิงหาคม 2552 ) ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท วันที่ 13 มีนาคม 2552 เพิ่มทุนจาก 30 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 5 อาคารฟอร์จูนทาวน์ ชั้น 2 ชั้น 2 ห้อง 59 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ นายฑัศ เชาวนเสถียร ถือหุ้น 79.9% นางไพจิตร จารุวัชรวรรณ 8% (เจ้าของบริษัท รักษาความปลอกภัย ชื่อบริษัท การ์ดซมาร์ค โปรเท็คชั่น จำกัด) นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ 4% นายศุภเดช เชาวนเสถียร 4% นายหาญชัย ยุทธ์ธนพิพัฒน์ 2% นายอิสรา เสมพิมาย 2% นางสาว พรรณทิพย์ เข็มทอง 0.02% มีนาง ไพจิตร จารุวัชรวรรณ นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ เป็นกรรมการ
ผลประกอบการ ปี 2549 รายได้ 151.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.3 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 129.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 47,153 บาท ปี 2551 รายได้ 919.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6.7 ล้านบาท
และบริษัท เดดมิลเลนเนียม จำกัด จดทะเบียนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจขายหนังสือ ที่ตั้งเลขที่ 3/5-6 อาคารศุภาลัยปาร์ค 2 ชั้น 1 ซอยพหลโยธิน 21 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายฑัศ ถือหุ้น 90% นายประทีป หาญลิ่วลมวิบูลย์ 2% นางสาวมัณฑนุช พืชมงคล 2% นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ 2% นายอิสรา เสมพิมาย 2% นายลม ต่อปัญญา 1% นายศุภเดช เชาวนเสถียร 1%
ผลประกอบการ ปี 2550 รายได้ 43.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 864,881 บาท ปี 2551 รายได้ 23.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 995,317 บาท
เลิกกิจการแล้ว 2 แห่งชื่อ บริษัท สยาม แอ๊ดวานซ์ โปรดักซ์ จำกัด ค้าพลาสติก บริษัท กรีนไลฟ์ นิวทริชั่น จำกัด ขายเครื่องสำอาง อาหารเสริม
ส่วนนางสุกัญญา ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ใน บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส จำกัด ก่อตั้งปี 2536 ประกอบธุรกิจทัวร์ร่วมกับกลุ่มท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย เจ้าของกลุ่มดุสิตธานี ,บริษัทของนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ภรรยานายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
เป็นกรรมการบริษัท เพลินดำริ จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับหม่อมราชวงศ์ ทินศักดิ์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ หม่อมราชวงศ์ ดำรงดิศ ดิศกุล นาง ศิริกาญจน์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ณ อยุธยา นาย จุลพยัพ ศรีกาญจนา
เป็นกรรมการร่วมกับนาย มนู อรดีดลเชษฐ์ นายณรงค์ ศุภพิพัฒน์ นายไปรเทพ ซอโสตถิกุล นายจักร ติงศภัทิย์ ในกลุ่มบริษัทดาต้าแมท จำกัด
เป็นกรรมการบริษัท ซีคอม จำกัด ร่วมกับนายชัย โสภณพนิช หม่อมราชวงศ์ โอภาศ กาญจนะวิชัย
เป็นกรรมการบริษัท สยามอินเตอร์ลิ้งค์ จำกัด (บริการโทรคมนาคม) นอกจากนี้ยังถือหุ้นในธุรกิจร้านอาหารชื่อบริษัท คาฟเฟ เครท จำกัด ร่วมกับนายปกรณ์ ลัม นักร้องดัง และคนอื่นๆ
เป็นกรรมการร่วมกับนายนุกูล ประจวบเหมาะ ในชื่อบริษัท ไฮ-โปรฟิท ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (อพาร์ทเม้นท์)
เบ็ดเสร็จนางสุกัญญาเป็นกรรมการทั้งหมด 26 บริษัท ในจำนวนนี้เปิดดำเนินการ 11 บริษัท ได้แก่ บริษัท สยามอินเตอร์ลิ้งค์ จำกัด บริษัท คาฟเฟ เครซ จำกัด บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส บริษัท ทรัพย์สินวิภพ จำกัด บริษัท เพลินดำริ จำกัด บริษัท โฟลิเอจส์ แอนด์ ออคิดส์ แลนด์ จำกัด บริษัท สลิลธารา จำกัด บริษัท สหปฐพี จำกัด บริษัท อโศก เฮ้าส์ จำกัด บริษัท อินเตอร์ คาเฟรสท์ จำกัด และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอื้องฟ้า
ขณะเดียวกัน ยังพบนางสุนิสา ประจวบเหมาะ และ นายธัญญวัฒน์ ประจวบเหมาะ ซึ่งมีนามสกุลเดียวกับนางสุกัญญา ถือหุ้นและเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทเอ็มโซลูชั่น เครือเอ็มลิงค์ของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อีกด้วย
จากข้อมูลเห็นได้ว่าคอนเนกชั่นธุรกิจของนางสุกัญญาไม่ธรรมดา ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ตามข้อสงสัยของ ศอฉ.หรือไม่?
คงต้องให้ ศอฉ.เป็นผู้ให้คำตอบ
ที่มา.มติชนออนไลน์
ภายหลังจากศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เรียกบุคคลและนิติบุคคล จำนวน 83 รายที่ตรวจพบว่าทำธุรกรรมทางการเงินผิดปกติ โดยมีบุคคลทยอยเข้าให้ถ้อยคำในช่วงต่อมาจำนวนมาก ปรากฏว่ามีบุคคลที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักทางการเมืองรวมอยู่ด้วย คือนายฑัศ เชาวนเสถียร และ นางสุกัญญา ประจวบเหมาะ
กรณีของนายฑัศ เชาวเสถียร ก่อนหน้านี้มีข้อมูลระบุว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)ตรวจพบในช่วง 9 เดือนหรือระหว่างเดือนกันยายน 2552- พฤษภาคม 2553 บัญชีเงินฝากมียอดเงินหมุนเวียน ประมาณ 720 ล้านบาท แบ่งเป็นฝากประมาณ 394 ล้านบาท ถอน ประมาณ 426 ล้านบาท
ในช่วงเวลาเดียวกัน กรณีของนางสุกัญญา ประจวบเหมาะ บัญชีเงินฝากมียอดเงินหมุนเวียนประมาณ 24 ล้านบาท เป็นการฝากเงินประมาณ 12 ล้านบาท และ ถอนเงินประมาณ 12 ล้านบาท
ทำให้เกิดคำถามว่าทั้งสองคนทำธุรกิจอะไรหรือไม่?
ล่าสุด ตรวจสอบพบข้อมูลดังนี้
นายฑัศ เชาวนเสถียร ธุรกิจปัจจุบัน 2 แห่งคือ
บริษัท จี เนท อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ขายโทรศัพท์ บริการซ่อมโทรศัพท์ จดทะเบียนวันที่ 29 มกราคม 2544 (ชื่อเดิม บริษัท ไวร์เลสแอ๊ดวานซ์ซิสเต็ม จำกัด-เพิ่งเปลี่ยนชื่อเมื่อ 3 สิงหาคม 2552 ) ทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาท วันที่ 13 มีนาคม 2552 เพิ่มทุนจาก 30 ล้านบาท เป็น 50 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 5 อาคารฟอร์จูนทาวน์ ชั้น 2 ชั้น 2 ห้อง 59 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง กรุงเทพฯ นายฑัศ เชาวนเสถียร ถือหุ้น 79.9% นางไพจิตร จารุวัชรวรรณ 8% (เจ้าของบริษัท รักษาความปลอกภัย ชื่อบริษัท การ์ดซมาร์ค โปรเท็คชั่น จำกัด) นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ 4% นายศุภเดช เชาวนเสถียร 4% นายหาญชัย ยุทธ์ธนพิพัฒน์ 2% นายอิสรา เสมพิมาย 2% นางสาว พรรณทิพย์ เข็มทอง 0.02% มีนาง ไพจิตร จารุวัชรวรรณ นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ เป็นกรรมการ
ผลประกอบการ ปี 2549 รายได้ 151.4 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.3 ล้านบาท ปี 2550 รายได้ 129.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 47,153 บาท ปี 2551 รายได้ 919.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 6.7 ล้านบาท
และบริษัท เดดมิลเลนเนียม จำกัด จดทะเบียนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2544 ทุน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจขายหนังสือ ที่ตั้งเลขที่ 3/5-6 อาคารศุภาลัยปาร์ค 2 ชั้น 1 ซอยพหลโยธิน 21 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นายฑัศ ถือหุ้น 90% นายประทีป หาญลิ่วลมวิบูลย์ 2% นางสาวมัณฑนุช พืชมงคล 2% นายวุฒิ จารุวัชรวรรณ 2% นายอิสรา เสมพิมาย 2% นายลม ต่อปัญญา 1% นายศุภเดช เชาวนเสถียร 1%
ผลประกอบการ ปี 2550 รายได้ 43.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 864,881 บาท ปี 2551 รายได้ 23.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 995,317 บาท
เลิกกิจการแล้ว 2 แห่งชื่อ บริษัท สยาม แอ๊ดวานซ์ โปรดักซ์ จำกัด ค้าพลาสติก บริษัท กรีนไลฟ์ นิวทริชั่น จำกัด ขายเครื่องสำอาง อาหารเสริม
ส่วนนางสุกัญญา ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ใน บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส จำกัด ก่อตั้งปี 2536 ประกอบธุรกิจทัวร์ร่วมกับกลุ่มท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย เจ้าของกลุ่มดุสิตธานี ,บริษัทของนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ภรรยานายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร
เป็นกรรมการบริษัท เพลินดำริ จำกัด ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับหม่อมราชวงศ์ ทินศักดิ์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ หม่อมราชวงศ์ ดำรงดิศ ดิศกุล นาง ศิริกาญจน์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ณ อยุธยา นาย จุลพยัพ ศรีกาญจนา
เป็นกรรมการร่วมกับนาย มนู อรดีดลเชษฐ์ นายณรงค์ ศุภพิพัฒน์ นายไปรเทพ ซอโสตถิกุล นายจักร ติงศภัทิย์ ในกลุ่มบริษัทดาต้าแมท จำกัด
เป็นกรรมการบริษัท ซีคอม จำกัด ร่วมกับนายชัย โสภณพนิช หม่อมราชวงศ์ โอภาศ กาญจนะวิชัย
เป็นกรรมการบริษัท สยามอินเตอร์ลิ้งค์ จำกัด (บริการโทรคมนาคม) นอกจากนี้ยังถือหุ้นในธุรกิจร้านอาหารชื่อบริษัท คาฟเฟ เครท จำกัด ร่วมกับนายปกรณ์ ลัม นักร้องดัง และคนอื่นๆ
เป็นกรรมการร่วมกับนายนุกูล ประจวบเหมาะ ในชื่อบริษัท ไฮ-โปรฟิท ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (อพาร์ทเม้นท์)
เบ็ดเสร็จนางสุกัญญาเป็นกรรมการทั้งหมด 26 บริษัท ในจำนวนนี้เปิดดำเนินการ 11 บริษัท ได้แก่ บริษัท สยามอินเตอร์ลิ้งค์ จำกัด บริษัท คาฟเฟ เครซ จำกัด บริษัท เดอะ เพนนินซูล่า ทราเวล เซอร์วิส บริษัท ทรัพย์สินวิภพ จำกัด บริษัท เพลินดำริ จำกัด บริษัท โฟลิเอจส์ แอนด์ ออคิดส์ แลนด์ จำกัด บริษัท สลิลธารา จำกัด บริษัท สหปฐพี จำกัด บริษัท อโศก เฮ้าส์ จำกัด บริษัท อินเตอร์ คาเฟรสท์ จำกัด และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอื้องฟ้า
ขณะเดียวกัน ยังพบนางสุนิสา ประจวบเหมาะ และ นายธัญญวัฒน์ ประจวบเหมาะ ซึ่งมีนามสกุลเดียวกับนางสุกัญญา ถือหุ้นและเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทเอ็มโซลูชั่น เครือเอ็มลิงค์ของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อีกด้วย
จากข้อมูลเห็นได้ว่าคอนเนกชั่นธุรกิจของนางสุกัญญาไม่ธรรมดา ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง ตามข้อสงสัยของ ศอฉ.หรือไม่?
คงต้องให้ ศอฉ.เป็นผู้ให้คำตอบ
ที่มา.มติชนออนไลน์
รอด-ไม่รอด? คณะกรรมการ"ปฏิรูปประเทศ"
เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยสำหรับการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย โดยมี “นายอานันท์ ปันยารชุน” อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการปฎิรูป และ “นพ.ประเวศ วะสี” ประธานกรรมการสมัชชาปฏิรูป ร่วมกันแถลงข่าวเปิดตัว คณะกรรมการปฎิรูปประเทศจำนวน 19 คน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศจำนวน 27 คน
โดยนายอานันท์ กล่าวว่า ความแตกต่างในการทำงานระหว่างคณะกรรมการของตน กับ นพ.ประเวศ คือ คณะกรรมการ นพ. ประเวศ จะทำงาน เก็บข้อมูลข้อคิดเห็น และสังเคราะห์ปัญหา เพื่อนำเสนอ ข้อมูลข้อเท็จจริง ต่อคณะกรรมการชุดตน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปจะทำหน้าที่ยกร่างเป็นแผนปฏิบัติการ ที่สามารถ นำไปปฏิบัติและแก้ไขปัญหาความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ทั้งภาครัฐบาล ภาคข้าราชการ และเอกชน สามารถนำไปใช้ได้
ทั้งนี้ยืนยันว่า...ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป เป็นเวลา 3 ปี ตามระเบียบสำนักนายกฯ แต่หากรัฐบาลใด จะยกเลิกระเบียบดังกล่าว ก็สามารถทำได้ แต่เชื่อมั่นว่า สังคม จะสนับสนุน ให้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดทำหน้าที่ต่อไป
ด้าน นพ.ประเวศ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้จะส่งเสริมสนับสนุน ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะมีการจัดตั้ สมัชชาจังหวัดขึ้นทั่วประเทศ สมัชชาประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอ และสมัชชาแห่งชาติขึ้นมาทำงานรวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมาเป็นนโยบาย และที่สำคัญคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานคู่ขนานกับคณะกรรมการปฏิรูปฯของนายอานันท์
สำหรับรายนามของคณะกรรมการทั้งสองชุดมีดังนี้
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ...1.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร 2.คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา 3.นายชัยอนันต์ สมุทวณิช 4.นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ 5.นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ 6.นายบัญชา อ่อนดำ 7.นางปราณี ทินกร 8.นายพงศ์โพยม วาศภูติ 9.นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ 10.พระไพศาล วิสาโล 11.นางรัชนี ธงไชย 12.นายวิชัย โชควิวัฒน์ 13.นางวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์ 14.นายศรีศักดิ วัลลิโภดม 15.นายสมชัย ฤชุพันธุ์ 16.นางสมปอง เวียงจันทร์ 17.น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา 18.นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล 19. ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์
คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ...1.นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย 2.ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย 3.ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 4.ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5.ประธานสมาคมธนาคารไทย 6.เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ปงระเทสไทย 7. นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ 8.นายชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ 9.ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา 10.นายณรงค์ เพชรประเสริฐ 11.นายต่อพงศ์ เสลานนท์ 12.นางเตือนใจ ดีเทศน์ 13.รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร 14.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ 15. นางปรีดา คงแต้ม 16. นายปรีดา เตียสุวรรณ์ 17.นางเปรมฤดี ชามภูนนท์ 18.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป 19.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม 20.นายมานิจ สุขสมจิตร 21.นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ 22.นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข 23.นายวิชัย โชควิวัฒน์ 24.นายสน รูปสูง 25.นายสมพร ใช้บางยาง 26.นางสาลี อ๋องสมหวัง 27.นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ
สุดท้ายนี้มีผู้กล่าวไว้ว่า...สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประชาชนคนไทย คือ ผู้มีอำนาจมักไม่รู้จักเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาด และนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาประเทศชาติและประชาชนอย่างมีเมตตา...เพราะทุกคนเชื่อในเหตุและผลของตนเอง...ใครที่เห็นด้วยก็ว่ากันไป...แต่หากใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกจ้องมองด้วย “ดวงตาที่เขียวปั๊ด” แล้วแบบนี้ประเทศชาติจะเจริญ มีความสุข และอยู่กันอย่างสันติสามัคคีได้อย่างไร
การปฏิรูปประเทศจึงไม่ใช่กระบวนการปรองดองเพื่อสร้างภาพ...หากแต่เป็น “การปฏิวัติ” พฤติกรรมของผู้มีอำนาจและความคิดของคนไทย...รู้จักสำนึกในบทบาทและหน้าที่ที่ทำ...และรู้จักสำเหนียกในการรับรู้ “ผิดชอบชั่วดี” เพราะที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ทุกวันนี้บ้านเมืองกลับจาก “หน้ามือเป็นหลังมือ” คนดีอยู่ไม่ได้...แต่ทำไม “คนจัญไร” ถึงมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง...ดังนั้นการปฏิรูปประเทศไทยคือการกำจัดบุคคลเหล่านี้ออกไปให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่ว่าจะ “กล้าทำ” กันหรือไม่? เพราะเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง หากหันซ้ายหันขวาแล้วไปเจอแต่คนที่เป็นพวกพ้องฝ่ายตน
ประชาชนจะสามารถฝากความหวังได้หรือไม่กับการปฏิรูปประเทศชาติครั้งใหญ่...ซึ่งคงไม่ใครตอบได้นอกจาก “ต้องดูกันต่อไปยาวๆ” โดยจะจดจำคำที่พวกท่านให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า...จะดำเนินการขับเคลื่อนและปฏิรูปแบบโครงสร้างต่างๆ ในประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย พร้อมเสริมสร้างสมรรถนะในความเข้มแข็งและความเป็นธรรมอันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ และสันติสุข
คำพูดนี้ประชาชนจะไม่ลืม...และหวังว่าพวกท่านจะไม่ลืมเช่นเดียวกัน!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดยนายอานันท์ กล่าวว่า ความแตกต่างในการทำงานระหว่างคณะกรรมการของตน กับ นพ.ประเวศ คือ คณะกรรมการ นพ. ประเวศ จะทำงาน เก็บข้อมูลข้อคิดเห็น และสังเคราะห์ปัญหา เพื่อนำเสนอ ข้อมูลข้อเท็จจริง ต่อคณะกรรมการชุดตน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปจะทำหน้าที่ยกร่างเป็นแผนปฏิบัติการ ที่สามารถ นำไปปฏิบัติและแก้ไขปัญหาความอยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในอดีตได้ ทั้งภาครัฐบาล ภาคข้าราชการ และเอกชน สามารถนำไปใช้ได้
ทั้งนี้ยืนยันว่า...ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดเข้ามา คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดจะยังคงทำหน้าที่ต่อไป เป็นเวลา 3 ปี ตามระเบียบสำนักนายกฯ แต่หากรัฐบาลใด จะยกเลิกระเบียบดังกล่าว ก็สามารถทำได้ แต่เชื่อมั่นว่า สังคม จะสนับสนุน ให้คณะกรรมการทั้ง 2 ชุดทำหน้าที่ต่อไป
ด้าน นพ.ประเวศ กล่าวว่า คณะกรรมการชุดนี้จะส่งเสริมสนับสนุน ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะมีการจัดตั้ สมัชชาจังหวัดขึ้นทั่วประเทศ สมัชชาประเด็นที่ภาคประชาชนเสนอ และสมัชชาแห่งชาติขึ้นมาทำงานรวบรวมข้อมูล รับฟังความคิดเห็นของประชาชน เพื่อมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ออกมาเป็นนโยบาย และที่สำคัญคณะกรรมการชุดนี้จะทำงานคู่ขนานกับคณะกรรมการปฏิรูปฯของนายอานันท์
สำหรับรายนามของคณะกรรมการทั้งสองชุดมีดังนี้
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ...1.นายกฤษณพงศ์ กีรติกร 2.คุณหญิง กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา 3.นายชัยอนันต์ สมุทวณิช 4.นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ 5.นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ 6.นายบัญชา อ่อนดำ 7.นางปราณี ทินกร 8.นายพงศ์โพยม วาศภูติ 9.นายเพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์ 10.พระไพศาล วิสาโล 11.นางรัชนี ธงไชย 12.นายวิชัย โชควิวัฒน์ 13.นางวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์ 14.นายศรีศักดิ วัลลิโภดม 15.นายสมชัย ฤชุพันธุ์ 16.นางสมปอง เวียงจันทร์ 17.น.ส.สมสุข บุญญะบัญชา 18.นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล 19. ม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์
คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ...1.นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย 2.ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย 3.ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย 4.ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 5.ประธานสมาคมธนาคารไทย 6.เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่ปงระเทสไทย 7. นายกิตติพงษ์ กิตติยารักษ์ 8.นายชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ 9.ผศ.ชิดชนก ราฮิมมูลา 10.นายณรงค์ เพชรประเสริฐ 11.นายต่อพงศ์ เสลานนท์ 12.นางเตือนใจ ดีเทศน์ 13.รศ.นิพนธ์ พัวพงศกร 14.นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ 15. นางปรีดา คงแต้ม 16. นายปรีดา เตียสุวรรณ์ 17.นางเปรมฤดี ชามภูนนท์ 18.นพ.พลเดช ปิ่นประทีป 19.นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม 20.นายมานิจ สุขสมจิตร 21.นายรัชฏะ ศรีบุญรัตน์ 22.นางเรวดี ประเสริฐเจริญสุข 23.นายวิชัย โชควิวัฒน์ 24.นายสน รูปสูง 25.นายสมพร ใช้บางยาง 26.นางสาลี อ๋องสมหวัง 27.นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ
สุดท้ายนี้มีผู้กล่าวไว้ว่า...สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับประชาชนคนไทย คือ ผู้มีอำนาจมักไม่รู้จักเรียนรู้ในสิ่งที่ผิดพลาด และนำมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาประเทศชาติและประชาชนอย่างมีเมตตา...เพราะทุกคนเชื่อในเหตุและผลของตนเอง...ใครที่เห็นด้วยก็ว่ากันไป...แต่หากใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกจ้องมองด้วย “ดวงตาที่เขียวปั๊ด” แล้วแบบนี้ประเทศชาติจะเจริญ มีความสุข และอยู่กันอย่างสันติสามัคคีได้อย่างไร
การปฏิรูปประเทศจึงไม่ใช่กระบวนการปรองดองเพื่อสร้างภาพ...หากแต่เป็น “การปฏิวัติ” พฤติกรรมของผู้มีอำนาจและความคิดของคนไทย...รู้จักสำนึกในบทบาทและหน้าที่ที่ทำ...และรู้จักสำเหนียกในการรับรู้ “ผิดชอบชั่วดี” เพราะที่ผ่านมาสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง
ทุกวันนี้บ้านเมืองกลับจาก “หน้ามือเป็นหลังมือ” คนดีอยู่ไม่ได้...แต่ทำไม “คนจัญไร” ถึงมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง...ดังนั้นการปฏิรูปประเทศไทยคือการกำจัดบุคคลเหล่านี้ออกไปให้ได้มากที่สุด แต่อยู่ที่ว่าจะ “กล้าทำ” กันหรือไม่? เพราะเป็นเรื่องน่าหนักใจอย่างยิ่ง หากหันซ้ายหันขวาแล้วไปเจอแต่คนที่เป็นพวกพ้องฝ่ายตน
ประชาชนจะสามารถฝากความหวังได้หรือไม่กับการปฏิรูปประเทศชาติครั้งใหญ่...ซึ่งคงไม่ใครตอบได้นอกจาก “ต้องดูกันต่อไปยาวๆ” โดยจะจดจำคำที่พวกท่านให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า...จะดำเนินการขับเคลื่อนและปฏิรูปแบบโครงสร้างต่างๆ ในประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมุ่งไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย พร้อมเสริมสร้างสมรรถนะในความเข้มแข็งและความเป็นธรรมอันจะนำไปสู่ความสมานฉันท์ และสันติสุข
คำพูดนี้ประชาชนจะไม่ลืม...และหวังว่าพวกท่านจะไม่ลืมเช่นเดียวกัน!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ทำไมมันถึงเรียกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน
โดย คุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร น.บ. (ธรรมศาสตร์), ป.บัณฑิตทางกฎหมายมหาชน (ธรรมศาสตร์), นักศึกษาปริญญาโท สาชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ
บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น
การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ
นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?
การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น
หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)
จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก
อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)
สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ
เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"
รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก
บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)
การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป
เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง
บทนำ
บทความนี้มุ่งตั้งคำถามพื้นฐาน ที่สุดสำหรับนักกฎหมาย และอธิบายความให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจ
ทำไม สิทธิเสรีภาพ ในรัฐธรรมนูญจึงมีทั้งสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และสิทธิเสรีภาพอื่นๆ
บทความนี้มุ่งเผยแพร่ความรู้เท่า นั้น โปรดอ่านและตรองโดยปราศจากอคติ แต่อย่าอ่านโดยปราศจากสติปัญญา และเหตุผล กรุณาอย่าเอาไปโยงกับการเมืองเด็ดขาด หากแต่จะเนื่องอยู่บ้าง ก็แต่โดยที่ผู้เขียนและท่านผู้ อ่านทุกท่านเป็น "มนุษย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "สิทธิ" "เสรีภาพ" "สติปัญญา" และ "เหตุผล" เท่านั้น
การกำเนิดขึ้นของสิทธิเสรีภาพ
นับตั้งแต่ยุโรปยุคกลาง หรือที่เรียกว่า "ยุคมืด"(Dark age) อันเป็นยุคที่ศาสนจักรเรืองอำนาจ อย่างสูงสุดหากพิจารณาโดยแท้จริ งแล้ว ศาสนจักร ไม่ได้เรืองอำนาจมากมายขนาดนั้น ที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า "ผู้คลั่งศาสนจักร" ได้เรืองอำนาจถึงจะถูก เพราะลำพังศาสนจักรเอง แม้มีอำนาจ แต่หากไม่มีผู้ศรัทธาหรือคลั่งศาสนจักรแล้ว เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆจะเกิดขึ้น หรือไม่?
การทำลายล้างผู้ที่ไม่เห็นด้วย กับตนเอง ด้วยการตั้งตนเป็น "ผู้ล่าแม่มด" หรือ "ผู้กำจัดคนนอกรีต" แท้จริงแล้วก็คือการกำจัด "ผู้ที่เห็นไม่เหมือนตน" เท่านั้นเอง โดยเอาศาสนจักรเป็นที่ตั้งความชอบธรรมในการฆ่า ทารุณมนุษย์ด้วยกันเยี่ยงสัตว์ ป่ากระหายเลือด ไม่ว่าจะเผาทั้งเป็น หรือจับตรึงกางเขน ล้วนแล้วเป็นผลลัพธ์โดยตรงมาจาก "การเห็นต่าง" ไปจากพวกของตนเท่านั้น
หลังจากความเสื่อมอย่างถึงขีดสุด นักคิด นักปรัชญา ได้นำพาสติปัญญา และเหตุผล กลับเข้าสู่พิภพของยุโรปโดยการรื้อฟื้นการศึกษาปรัชญากรีก ที่ยึดถือว่า มนุษย์ มีคุณค่าในตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีเหตุผล และสติปัญญาเป็นแนวคิดที่เรียกว่า "ปัจเจกชนนิยม(Individualism)" ซึ่งเป็นข้อความคิดพื้นฐาน ในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิไตย ในกาลต่อๆมา ท่ามกลางความืดมิดของยุคสมัย แนวคิดปัจเจกชนนิยมจึงเหมือนแสงสว่างที่ขับไล่ความชั่วร้าย อันไร้เหตุผล และสติปัญญาของยุคกลาง เราจึงเรียกยุคนี้ว่า "ยุคความรุ่งเรืองทางสติปัญญา" หรือ Enlightenment(1)
จากแนวคิดปัจเจกชนนิยมสู่รัฐธรรมนูญเสรีประชาธิปไตย
การจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเสรี ประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่มีอิทธิพลมาจากแนวคิด "ปัจเจกชนนิยม" ที่นับถือคุณค่าของมนุษย์ โดยยอมรับว่ามนุษย์ เกิดมาพร้อม "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" โดยไม่จำเป็นต้องมีกฎหมายใดๆมารับรองอีก
อย่างไรก็ตาม “ฌอง ฌาค รุสโซ”( Jean Jaques Rousseau) นักปรัชญาและนักทฤษฎีการเมืองชาวสวิสต์ ได้กล่าวว่า "มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาอยู่ในพันธนาการ" ที่เป็นเช่นนี้เพราะการที่มนุษย์ จะมาอยู่ร่วมกันอย่างสงบ สุขนั้น เราต่างจำต้องสละสิทธิ เสรีภาพบางประการ เพื่อสร้างภราดรภาพให้การรวมตัว ของเราดำเนินไปได้โดยดี เช่นนี้เองจึงเป็นที่มาของบทบัญญัติ รัฐธรรมนูญที่ว่า รัฐอาจกำจัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้ เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ จำเป็น และไม่กระเทือนสาระสำคัญของสิทธิ เสรีภาพนั้นๆ
แนวคิดนี้ สอดคล้องกับนักปรัชญาชาวอังกฤษนามว่า "จอห์น ล็อค"(John Locke) โดยเขากล่าวว่า เรามารวมตัวกันเป็นรัฐ เพื่อมุ่งประโยชน์ในการรักษาความ ปลอดภัยทั้งภายในและภายนอก มุ่งประโยชน์ในทางการยุติระงับ ข้อพิพาท การจะทำเรื่องดังกล่าวนี้ ล้วนเรียกว่า "ภารกิจพื้นฐานของรัฐ" หากรัฐใดไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจ เหล่านี้ได้ ย่อมไม่อาจควรดำรงอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป โดยประชาชนจะต้องเสียสละสิทธิเสรีภาพบ้างเพื่อเข้าทำสัญญากับรัฐ เรียกว่า "สัญญาประชาคม"(The Social Contract)
สิทธิขั้นพื้นฐานกับความเป็นมนุษย์และการก่อกำเนิดนิติรัฐ
เมื่อเรายอมรับนับถือว่า มนุษย์มีคุณค่าในตัวเองตามธรรมชาติ การออกแบบรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิเสรีภาพ ย่อมต้องคำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ด้วย กล่าวคือ ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์คืออะไรบ้าง? ซึ่งหากไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว เราไม่อาจถือได้ว่าเขาเป็นมนุษย์ได้อีกต่อไป ตัวอย่างเช่น มนุษย์นั้นต้องคิด ต้องพูด ต้องเคลื่อนไหว ต้องมีชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะกำจัด หรือพรากเอาไปจากมนุษย์มิได้เลย มิเช่นนั้นแล้ว มนุษย์นั้นก็จะกลายเป็น "สัตว์" หรือ "วัตถุ" และการปฏิบัติให้มนุษย์เป็นเช่นนั้น เราเรียกว่า "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์"
เมื่อเราไตร่ตรองและทราบว่า การจะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์นั้น จำต้องมีสิ่งใดบ้าง เพื่อให้เขาพัฒนาศัยภาพตามที่ใจสมัคร และสามารถกำนหดชะตากรรมของตนเองได้ สิ่งเหล่านั้น คือ "สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน"
รัฐไม่อาจจะจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้น พื้นฐานได้อย่างเกินควร หรือขัดต่อหลักความได้สัดส่วน แดนแห่งสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ เหมือนปราการอันแน่นหนาที่รัฐ จะไปรุกรานตามอำเถอใจไม่ได้ จะต้องมีกฎหมายให้อำนาจเพื่อการ นั้นๆ เหล่านี้เองจึงเป็นที่มาของ "หลักนิติรัฐ(État de droit)" อย่างไรก็ตาม มิได้หมายความว่า เมื่อมีกฎหมายแล้วรัฐจะทำอะไร ก็ได้ รัฐและผู้ใช้อำนาจรัฐพึงสังวรณ์ ไว้ด้วยว่า หลักนิติรัฐที่ให้รัฐเข้าไปกระทำการใดๆ กระทบกระเทือนสิทธิเสรีภาพได้นั้น ให้รัฐกระทำได้เท่าที่พอสมควรกว่าเหตุ และที่สำคัญ หลักนิติรัฐเกิดขึ้น "เพื่อจำกัดอำนาจรัฐ" ไม่ใช่ "ใบอนุญาต" ให้รัฐกระทำกับสิทธิเสรีภาพของ ประชาชนโดย "อ้างกฎหมาย" หรือ "การปฏิบัติการตามกฎหมาย" เพราะแท้จริงแล้ว ต้องไม่ลืมว่า หลักนิติรัฐ มีเนื้อหาเพื่อ "คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน" เป็นหลัก
บทสรุป
สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานเป็นสิ่ง ที่ไม่อาจพรากเอาไปจากมนุษย์ ตราบเท่าที่มนุษย์ยังคงมีความเป็น มนุษย์ตามธรรมชาติ การกำเนิดขึ้นของหลักนิติธรรมก็ดี หลักนิติรัฐก็ดี ล้วนแล้วเกิดมาเพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของประชาชน จากการใช้อำนาจตามอำเภอใจของรัฐ หรือผู้ถืออำนาจรัฐ แต่ก็มิได้หมายความว่า สิทธิเสรีภาพจะเป็นดินแดนที่ไร้อาณาเขต การสละสิทธิเสรีภาพบางประการนั้น จะต้องกระทำภายใต้สัญญาประชาคมที่เรียกว่า "รัฐธรรมนูญ" และที่ประชาชนสละนั้น ด้วยเหตุเพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรที่เรียกว่า "ภราดรภาพ"( Fraternité)
การใช้อำนาจรัฐไม่ว่าทางใดก็ดี ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ประชาชนเองก็ควรตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวนี้ด้วย มิใช่เพียงเพื่อเอาอำนาจรัฐไป กำจัด ประหัตประหาร ผู้ที่มีความเห็นต่างจากตน และมิได้ให้การปฏิบัติเยี่ยงมนุษย์กับเขา สำหรับผู้ที่เห็นดีเห็นงานกับการกระทำอันร้ายกาจนี้ ก็คงอุปมาได้ดั่งบุคคลชื่มชมปรบมือกับพลุ สีเลือด หากแม้นพลุนั้นยังมิได้ตกต้องโดนบ้านเรือนของตนหรือญาติพี่น้องตน ก็ยังมิรู้สึกอะไร และสำคัญที่สุดคือ หากรัฐที่มิอาจทำภารกิจขั้นพื้นฐานในการรักษาความสงบและปกป้องชีวิตของราษฎรได้ ก็มิสมควรดำรงชีวิตอยู่เป็นรัฐอีกต่อไป
เชิงอรรถ
1. en light - เป็นรูปศัพท์ที่สอดคล้องกับคำ ว่าจุดไฟ หรือทำให้เกิดแสงสว่าง
พท.เหนือทำบุญวันเกิด "แม้ว" 29 ก.ค. นี้ ส.ส.น่านยืนยันไม่ใช่การปลุกระดม ไม่ยืนยันมีวิดีโอลิงก์หรือไม่
นายวัลลภ สุปริยศิลป์ ส.ส.น่าน พรรค พท. กล่าวเมื่อวันที่ 8 ก.ค. ถึงกรณีที่ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน และประธานส.ส.พรรค พท. จะไปปราศรัยเพื่อปลุกระดมประชาชนทั่วประเทศในวันที่ 26 กรกฎาคมซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า งานดังกล่าวจะเลื่อนไปวันที่ 29 กรกฎาคมแทน เนื่องจากวันที่ 25-28 กรกฎาคมนั้นเป็นวันหยุดยาวช่วงวันเข้าพรรษา ทางส.ส.ต้องลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน ทั้งนี้การจัดเวทีปราศรัยดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายการขับเคลื่อนของพรรค พท.ที่ให้ส.ส.ลงพื้นที่ทำความเข้าใจ และนำเสนอข้อเท็จจริงต่อประชาชนผ่านการจัดนิทรรศการ และจัดเวทีปราศรัย โดยเน้นการบริหารประเทศที่ไม่ชอบพามากล และการสลายการชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงการนำเสนอนโยบายของพรรค พท.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าด้วย ในภาคเหนือจะจัด 2 จุดคือ จ.ลำพูน วันที่ 29 กรกฎาคม และจ.กำแพงเพชร จะมีขึ้นในวันที่ 30 กรกฎาคม เนื่องจากทั้ง 2 จังหวัดไม่มีการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
“ไม่แน่ใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะวีดีโอลิงค์หรือโฟนอินเข้ามายังเวทีหรือไม่ แต่การปราศรัยครั้งนี้ยืนยันว่าไม่ใช่การปลุกระดม แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบหลังจากถูกปิดสื่อมานาน ” นายวัลลภกล่าวและว่า สำหรับงานวันคล้ายวันเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 กรกฎาคม ส.ส.เหนือยังรำลึกถึงพ.ต.ท.ทักษิณอยู่จะจัดงานทำบุญวัดเกิดให้ที่วัดพระธาตูหริภุญชัย จ.ลำพูน เนื่องจากเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือ
นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรค พท. กล่าวว่า การปราศรัย ที่ จ.ลำพูน เป็นการจัดประจำช่วงปิดสมัยประชุมสภา แต่จะไม่มีการระดมทุน จัดเลี้ยงโต๊ะจีน และพูดคุยปัญหาเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด คาดว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดง และสมาชิกพรรค จาก 17 จังหวัดทั่วภาคเหนือ ประมาณหมื่นคน เข้าร่วมรับฟังการปราศรัย
ที่มา.มติชนออนไลน์
“ไม่แน่ใจว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะวีดีโอลิงค์หรือโฟนอินเข้ามายังเวทีหรือไม่ แต่การปราศรัยครั้งนี้ยืนยันว่าไม่ใช่การปลุกระดม แต่เป็นการนำเสนอข้อมูลให้ประชาชนได้รับทราบหลังจากถูกปิดสื่อมานาน ” นายวัลลภกล่าวและว่า สำหรับงานวันคล้ายวันเกิดพ.ต.ท.ทักษิณ ในวันที่ 26 กรกฎาคม ส.ส.เหนือยังรำลึกถึงพ.ต.ท.ทักษิณอยู่จะจัดงานทำบุญวัดเกิดให้ที่วัดพระธาตูหริภุญชัย จ.ลำพูน เนื่องจากเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ของภาคเหนือ
นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรค พท. กล่าวว่า การปราศรัย ที่ จ.ลำพูน เป็นการจัดประจำช่วงปิดสมัยประชุมสภา แต่จะไม่มีการระดมทุน จัดเลี้ยงโต๊ะจีน และพูดคุยปัญหาเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด คาดว่าจะมีกลุ่มคนเสื้อแดง และสมาชิกพรรค จาก 17 จังหวัดทั่วภาคเหนือ ประมาณหมื่นคน เข้าร่วมรับฟังการปราศรัย
ที่มา.มติชนออนไลน์
ลุยค่ายทหารกาญจน์กรรมการสิทธิฯขอตรวจสอบหาคนเสื้อแดง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเตรียมเรียกหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวกักขังแนวร่วมคนเสื้อแดงนานกว่ากฎหมายให้อำนาจ พร้อมขอลงพื้นที่ตรวจสอบค่ายทหารในจังหวัดกาญจนบุรีทุกซอกทุกมุมเพื่อความโปร่งใส เตือนรัฐบาลใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ คุมเจ้าหน้าที่ให้ทำงานในกรอบ ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งร่วมกันร่อนแถลงการณ์ต้านต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ทำลายหลักการตรวจสอบ ขัดขวางสร้างความปรองดอง “สุเทพ” ยืนยันตรวจสอบแล้วไม่มีคนเสื้อแดงหลงเหลืออยู่ในค่ายทหาร ซัด “พร้อมพงศ์-จตุพร” โกหก เชียร์ ศอฉ. เอาผิดหากชี้แจงไม่ได้ สั่งจับตาทีวี.เสื้อแดงช่องใหม่พบผิดฟันทันที
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึงประธาน กสม. ผ่าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการ กสม. และประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมือง สิทธิการเมือง และสิทธิชุมชน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวคนเสื้อแดงถูกคุมขังในค่ายทหารที่จังหวัดกาญจนบุรี
ยันมีเสื้อแดงสูญหาย 70 คน
“วันนี้ยังมีบุคคลที่สูญหายและญาติออกตามหาอีกประมาณ 70 คนที่มาร้องเรียนไว้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งตัวเลขนี้สอดคล้องกับข้อมูลของมูลนิธิกระจกเงา เมื่อมีข่าวว่ามีคนเสื้อแดงถูกขังอยู่ในค่ายทหารก็อยากให้ กสม. ไปช่วยตรวจสอบว่ามีจริงหรือไม่ หากมีควรปล่อยตัวคืนกลับสู่ครอบครัว เพราะนับจากวันที่ทหารเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาถึงวันนี้เกินกำหนด 30 วันที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจควบคุมตัวแล้ว”
ท้าเปิดค่ายทหารตรวจสอบ
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันว่าไม่มีการควบคุมคนเสื้อแดงเอาไว้ในค่ายทหารก็ควรเปิดให้ทีมงานของพรรคเพื่อไทย สื่อมวลชน และ กสม. เข้าไปตรวจสอบ เพื่อแสดงความจริงใจว่าต้องการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองตามที่ประกาศไว้
“พร้อมพงศ์” พร้อมชี้แจง ศอฉ.
“ผมแปลกใจที่ ศอฉ. ให้ตำรวจเรียกตัวไปสอบเรื่องที่พูดว่ายังมีคนเสื้อแดงถูกขังในค่ายทหาร ถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่หากมีหมายเรียกส่งมาก็พร้อมเข้าชี้แจง สิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามคือวันนี้บ้านเมืองเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เพราะการทำหน้าที่ของผมทำตามข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งการออกมาพูดเรื่องการกักขังคนเสื้อแดงก็เป็นการทำหน้าที่ตามที่ประชาชนร้องเรียนให้ตรวจสอบ แต่รัฐบาลกลับแสดงให้เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีอำนาจเหนือว่ารัฐธรรมนูญ ถือเป็นการใช้กฎหมายคุกคามการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายค้าน”
จี้กรรมการสิทธิฯทำหน้าที่
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า เมื่อรัฐบาลพยายามใช้กฎหมายพิเศษจำกัดการตรวจสอบพรรคการเมืองจึงไม่อาจทำงานได้โดยลำพัง ต้องมาขอให้ กสม. ช่วยตรวจสอบ เพราะรัฐบาลกำลังใช้กฎหมายพิเศษปิดกั้นการตรวจสอบเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน
“ขนาดคนที่เป็นโฆษกพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภายังโดนอำนาจรัฐกลั่นแกล้งแบบนี้ แล้วจะมีใครหน้าไหนกล้าตรวจสอบรัฐบาล” นายพร้อมพงศ์กล่าว
กสม. จ่อเรียกทหารชี้แจง
นพ.นิรันดร์กล่าวว่า จำเป็นต้องเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง และต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบตามข้อร้องเรียนด้วย
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. กล่าวว่า แม้จะเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการให้บ้านเมืองสงบจึงคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป แต่ พ.ร.ก. ให้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิของประชาชน รัฐบาลจึงต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจตามกฎหมาย อย่าทำในลักษณะเลือกปฏิบัติหรือทำอะไรเกินกว่าเหตุ การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ละครั้งต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นได้ ที่สำคัญต้องตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยว่าอยู่ในกรอบที่เหมาะสมหรือไม่ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นต้องยกเลิกการใช้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบกำหนดเวลา 3 เดือน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. กล่าวว่า หากคำพูดของนายพร้อมพงศ์เข้าข่ายทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ยันตรวจสอบแล้วไม่มีเสื้อแดงถูกขัง
“ผมตรวจสอบแล้วได้รับคำยืนยันว่าไม่มีการขังประชาชนไว้ที่ค่ายทหาร และไม่มีเจ้าหน้าที่ทำอะไรเกินกว่ากฎหมายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง คำพูดของนายพร้อมพงศ์และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นการโกหกทั้งสิ้น ผมขอประณามคนเหล่านี้ เพราะออกมาพูดจนทำให้ประชาชนเกิดความหวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ไม่มีใครใช้อำนาจข่มเหงรังแกประชาชนหรือทำอะไรตามอำเภอใจ” นายสุเทพกล่าว
“สุเทพ” ไม่อยากทะเลาะกรรมการสิทธิฯ
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการสิทธิฯออกมาตำหนิการกระทำของรัฐบาลหลายเรื่อง นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากทะเลาะกับกรรมการสิทธิฯ แต่อยากให้ช่วยดูข้อมูลให้ชัดเจนก่อนพูดหรือทำอะไร เพราะการสื่อสารด้วยความเข้าใจผิดจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย
นายสุเทพกล่าวถึงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องใหม่ “เอเชี่ยนอัพเดท” ของคนเสื้อแดงว่า เจ้าหน้าที่กำลังติดตามอยู่ หากเป็นการใช้สื่อเพื่อปลุกระดมให้เกิดความแตกแยกเกลียดชังก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ระบุนายทุนเสื้อแดงสั่งลุยต่อ
นายสุเทพให้สัมภาษณ์หลังการทำบุญในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 61 ว่าสาเหตุที่รัฐบาลต้องต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะยังมีการเคลื่อนไหว เนื่องจากหัวขบวนที่เป็นนายทุนยังไม่บรรลุเป้าหมาย ยังสั่งให้เคลื่อนไหวต่อ ต้องรอให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการยุยงปลุกปั่นแล้วจึงยกเลิก
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้กันยาวนานเหมือนที่ชายแดนภาคใต้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า อายุเริ่มเข้าปีที่ 62 แล้ว เตรียมจะรีไทร์ตัวเองกลับไปทำงานให้ครอบครัว แต่อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยก่อน ไม่ได้คิดหวังบ้าอำนาจอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องสนุกที่ต้องมาทำงานตรงนี้
พร้อมประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใหม่
“เอาเป็นว่าหากจังหวัดไหนไม่มีสถานการณ์อะไรแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจสามารถดูแลกันได้ก็จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” นายสุเทพกล่าวพร้อมระบุว่าการที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรีว่าขบวนการเสื้อแดงจะกลับมาเร็วกว่าเดือน เม.ย. ปีหน้าเป็นการสรุปตามข้อมูลที่มี ก็อย่างที่บอกว่าแกนนำเขายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ส่วน 5 จังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วหากมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นก็ประกาศใช้ใหม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการลักลอบฝึกใช้อาวุธอย่างที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากพูดอะไรให้เกิดความตื่นตระหนก เอาเป็นว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนจนน่ากังวล
“5 จังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายปรกติให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตามรายงานที่เสนอผ่านมาทางกระทรวงมหาดไทยทั้ง 5 จังหวัดอยากให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้” นายสุเทพกล่าว
การเมืองใหม่เชื่อคุมเสื้อแดงไม่อยู่
นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ เชื่อว่าแม้รัฐบาลจะยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหลายพื้นที่ แต่คนเสื้อแดงก็ไม่หยุดการเคลื่อนไหว และจะต่อสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยพลิกแพลงการต่อสู้ไปตามสถานการณ์ ล่าสุดกลับไปเปิดทีวี.ดาวเทียมช่องใหม่ ซึ่งรัฐบาลก็ไม่รู้ว่าจะเอากฎหมายอะไรไปห้าม ทำได้อย่างเดียวคือการเฝ้าดู หากทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงมีอำนาจ
องค์กรสิทธิมนุษยชนร่วมต่อต้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังรัฐบาลต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 3 เดือนใน 19 จังหวัด ทำให้องค์กรต่างๆเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน เพราะเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายลิดรอนสิทธิของประชาชน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เกินความจำเป็น เช่น ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ครส.) เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ฯลฯ
แถลงการณ์ขององค์กรเหล่านี้ระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันได้คลี่คลายลงแล้ว ซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่สภาวะปรกติได้ จึงไม่มีเหตุความจำเป็นใดๆให้ต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงไว้อีกต่อไป
ลิดรอนสิทธิประชาชน
“นับแต่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลได้ใช้อำนาจพิเศษลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและความเชื่อทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามมิให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุม การจัดกิจกรรมต่างๆที่เห็นว่าเป็นการแสดงความเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาล อีกทั้งการประกาศห้าม ระงับ ยับยั้งการติดต่อสื่อสาร โดยการปิดสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์จำนวนมากที่เป็นการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง”
ทำลายระบบตรวจสอบ
แถลงการณ์ระบุอีกว่า การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเป็นการลิดรอนสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 16 ยังได้ยกเว้นอำนาจศาลปกครองไว้ การยกเว้นอำนาจศาลปกครองทำให้การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายไม่สามารถถูกตรวจสอบถ่วงดุลโดยอำนาจศาลปกครองได้ แม้จะสามารถดำเนินการในศาลยุติธรรม แต่ก็เป็นเฉพาะกรณีไป ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลปกครองเพื่อตรวจสอบกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ จึงขัดต่อหลักการตรวจสอบถ่วงดุลและหลักการแบ่งแยกอำนาจ การที่รัฐบาลยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองของคนในชาติและการสร้างความร่วมมือเพื่อปฏิรูปประเทศ อันเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สันติภาพ
ส.ส.เพื่อไทยรุมยำอธิบดีดีเอสไอ
ด้านการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมาได้พิจารณางบประมาณของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนที่เป็นกรรมาธิการใช้โอกาสนี้สอบถามเกี่ยวกับการทำงานของดีเอสไอ เช่น นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ถามว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันและคดีผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นดีเอสไอให้คำนิยามคำว่าผู้ก่อการร้ายอย่างไร และคดีที่เป็นภัยต่อสถาบันมีจริงหรือไม่ อยากทราบว่าการดำเนินงานของดีเอสไอในบางเรื่องมีใบสั่งจากการเมืองจริงหรือไม่ ขณะที่ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ถามว่าดีเอสไอมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างไร พร้อมฝากให้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมา เพื่อทำให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดอง ส่วนนางนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถามว่าดีเอสไอรับคดียึดสนามบินทั้ง 2 แห่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นคดีพิเศษแล้วหรือไม่ เพราะมีข้อกล่าวหาก่อการร้ายเหมือนคนเสื้อแดง
“ธาริต” ยันมีหน้าที่แค่ทำสำนวน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ชี้แจงว่า คดีที่เป็นภัยต่อสถาบันและคดีก่อความไม่สงบเป็นคดีที่ตั้งต้นมาจาก ศอฉ. ดีเอสไอทำหน้าที่เป็นคนกลางในฐานะพนักงานสอบสวนเท่านั้น ยืนยันว่าการทำงานตรงไปตรงมา เพราะไม่ได้ทำคนเดียว แต่ทำร่วมกับอีก 12 หน่วยงานและอัยการ ส่วนการประเมินผลการทำงานนั้นดีเอสไอประเมินเชิงคุณภาพ ไม่ได้ประเมินจากปริมาณคดี สำหรับคดีที่เกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรฯเห็นด้วยในหลักการว่าควรเป็นคดีพิเศษ แต่การจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่อยู่ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ 20 คนเป็นผู้พิจารณา ไม่สามารถตัดสินใจอะไรคนเดียวได้
ฝากขังสองผู้ต้องหาจ้างวานระเบิด
สำหรับความคืบหน้าคดีระเบิดพรรคภูมิใจไทย ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขัง น.ส.วริศรียา บุญสม หรืออ้อ และนายกอบชัย บุญปลอด หรืออ้าย 2 ผู้ต้องหาจ้างวาน ตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ผลัดแรกตั้งแต่วันที่ 7-18 ก.ค. แต่ไม่อนุญาตให้นำผู้ต้องหาทั้งสองกลับไปสอบสวนต่อที่ดีเอสไอตามคำขอ โดยให้นำตัวนายกอบชัยไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน น.ส.วริศรียาถูกนำตัวไปควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ฝากขังนายกำพล คำคง นายเดชพล พุทธจง และนายเอนก สิงขุนทด ผู้ต้องหาร่วมกันวางระเบิดใกล้พรรคภูมิใจไทยที่ถูกจับกุมตัวก่อนหน้านี้เป็นผลัดที่ 2 จนถึงวันที่ 19 ก.ค.
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเตรียมเรียกหน่วยทหารที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจงกรณีมีกระแสข่าวกักขังแนวร่วมคนเสื้อแดงนานกว่ากฎหมายให้อำนาจ พร้อมขอลงพื้นที่ตรวจสอบค่ายทหารในจังหวัดกาญจนบุรีทุกซอกทุกมุมเพื่อความโปร่งใส เตือนรัฐบาลใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินต้องตรงไปตรงมา ไม่เลือกปฏิบัติ คุมเจ้าหน้าที่ให้ทำงานในกรอบ ด้านองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งร่วมกันร่อนแถลงการณ์ต้านต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ทำลายหลักการตรวจสอบ ขัดขวางสร้างความปรองดอง “สุเทพ” ยืนยันตรวจสอบแล้วไม่มีคนเสื้อแดงหลงเหลืออยู่ในค่ายทหาร ซัด “พร้อมพงศ์-จตุพร” โกหก เชียร์ ศอฉ. เอาผิดหากชี้แจงไม่ได้ สั่งจับตาทีวี.เสื้อแดงช่องใหม่พบผิดฟันทันที
ที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึงประธาน กสม. ผ่าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการ กสม. และประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมือง สิทธิการเมือง และสิทธิชุมชน ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีมีข่าวคนเสื้อแดงถูกคุมขังในค่ายทหารที่จังหวัดกาญจนบุรี
ยันมีเสื้อแดงสูญหาย 70 คน
“วันนี้ยังมีบุคคลที่สูญหายและญาติออกตามหาอีกประมาณ 70 คนที่มาร้องเรียนไว้กับพรรคเพื่อไทย ซึ่งตัวเลขนี้สอดคล้องกับข้อมูลของมูลนิธิกระจกเงา เมื่อมีข่าวว่ามีคนเสื้อแดงถูกขังอยู่ในค่ายทหารก็อยากให้ กสม. ไปช่วยตรวจสอบว่ามีจริงหรือไม่ หากมีควรปล่อยตัวคืนกลับสู่ครอบครัว เพราะนับจากวันที่ทหารเข้าสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาถึงวันนี้เกินกำหนด 30 วันที่ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินให้อำนาจควบคุมตัวแล้ว”
ท้าเปิดค่ายทหารตรวจสอบ
นายพร้อมพงศ์กล่าวอีกว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันว่าไม่มีการควบคุมคนเสื้อแดงเอาไว้ในค่ายทหารก็ควรเปิดให้ทีมงานของพรรคเพื่อไทย สื่อมวลชน และ กสม. เข้าไปตรวจสอบ เพื่อแสดงความจริงใจว่าต้องการสร้างความสมานฉันท์ปรองดองตามที่ประกาศไว้
“พร้อมพงศ์” พร้อมชี้แจง ศอฉ.
“ผมแปลกใจที่ ศอฉ. ให้ตำรวจเรียกตัวไปสอบเรื่องที่พูดว่ายังมีคนเสื้อแดงถูกขังในค่ายทหาร ถึงตอนนี้ยังไม่ได้รับหมายเรียก แต่หากมีหมายเรียกส่งมาก็พร้อมเข้าชี้แจง สิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามคือวันนี้บ้านเมืองเราปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจริงหรือไม่ เพราะการทำหน้าที่ของผมทำตามข้อกำหนดรัฐธรรมนูญที่ให้ฝ่ายนิติบัญญัติหรือฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร ซึ่งการออกมาพูดเรื่องการกักขังคนเสื้อแดงก็เป็นการทำหน้าที่ตามที่ประชาชนร้องเรียนให้ตรวจสอบ แต่รัฐบาลกลับแสดงให้เห็นว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีอำนาจเหนือว่ารัฐธรรมนูญ ถือเป็นการใช้กฎหมายคุกคามการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายค้าน”
จี้กรรมการสิทธิฯทำหน้าที่
โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวอีกว่า เมื่อรัฐบาลพยายามใช้กฎหมายพิเศษจำกัดการตรวจสอบพรรคการเมืองจึงไม่อาจทำงานได้โดยลำพัง ต้องมาขอให้ กสม. ช่วยตรวจสอบ เพราะรัฐบาลกำลังใช้กฎหมายพิเศษปิดกั้นการตรวจสอบเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน
“ขนาดคนที่เป็นโฆษกพรรคการเมืองที่มีเสียงมากที่สุดในสภายังโดนอำนาจรัฐกลั่นแกล้งแบบนี้ แล้วจะมีใครหน้าไหนกล้าตรวจสอบรัฐบาล” นายพร้อมพงศ์กล่าว
กสม. จ่อเรียกทหารชี้แจง
นพ.นิรันดร์กล่าวว่า จำเป็นต้องเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐบาลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงข้อเท็จจริง และต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบตามข้อร้องเรียนด้วย
นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธาน กสม. กล่าวว่า แม้จะเข้าใจว่ารัฐบาลต้องการให้บ้านเมืองสงบจึงคงการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป แต่ พ.ร.ก. ให้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิของประชาชน รัฐบาลจึงต้องระมัดระวังในการใช้อำนาจตามกฎหมาย อย่าทำในลักษณะเลือกปฏิบัติหรือทำอะไรเกินกว่าเหตุ การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ละครั้งต้องชี้แจงเหตุผลความจำเป็นได้ ที่สำคัญต้องตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยว่าอยู่ในกรอบที่เหมาะสมหรือไม่ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นต้องยกเลิกการใช้ทันที ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบกำหนดเวลา 3 เดือน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. กล่าวว่า หากคำพูดของนายพร้อมพงศ์เข้าข่ายทำให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมืองก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ยันตรวจสอบแล้วไม่มีเสื้อแดงถูกขัง
“ผมตรวจสอบแล้วได้รับคำยืนยันว่าไม่มีการขังประชาชนไว้ที่ค่ายทหาร และไม่มีเจ้าหน้าที่ทำอะไรเกินกว่ากฎหมายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง คำพูดของนายพร้อมพงศ์และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย เป็นการโกหกทั้งสิ้น ผมขอประณามคนเหล่านี้ เพราะออกมาพูดจนทำให้ประชาชนเกิดความหวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งที่ไม่มีใครใช้อำนาจข่มเหงรังแกประชาชนหรือทำอะไรตามอำเภอใจ” นายสุเทพกล่าว
“สุเทพ” ไม่อยากทะเลาะกรรมการสิทธิฯ
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการสิทธิฯออกมาตำหนิการกระทำของรัฐบาลหลายเรื่อง นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากทะเลาะกับกรรมการสิทธิฯ แต่อยากให้ช่วยดูข้อมูลให้ชัดเจนก่อนพูดหรือทำอะไร เพราะการสื่อสารด้วยความเข้าใจผิดจะทำให้บ้านเมืองเสียหาย
นายสุเทพกล่าวถึงสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมช่องใหม่ “เอเชี่ยนอัพเดท” ของคนเสื้อแดงว่า เจ้าหน้าที่กำลังติดตามอยู่ หากเป็นการใช้สื่อเพื่อปลุกระดมให้เกิดความแตกแยกเกลียดชังก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ระบุนายทุนเสื้อแดงสั่งลุยต่อ
นายสุเทพให้สัมภาษณ์หลังการทำบุญในโอกาสครบรอบวันเกิดปีที่ 61 ว่าสาเหตุที่รัฐบาลต้องต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพราะยังมีการเคลื่อนไหว เนื่องจากหัวขบวนที่เป็นนายทุนยังไม่บรรลุเป้าหมาย ยังสั่งให้เคลื่อนไหวต่อ ต้องรอให้มั่นใจได้ว่าไม่มีการยุยงปลุกปั่นแล้วจึงยกเลิก
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะใช้กันยาวนานเหมือนที่ชายแดนภาคใต้หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า อายุเริ่มเข้าปีที่ 62 แล้ว เตรียมจะรีไทร์ตัวเองกลับไปทำงานให้ครอบครัว แต่อยากให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยก่อน ไม่ได้คิดหวังบ้าอำนาจอะไร เพราะไม่ใช่เรื่องสนุกที่ต้องมาทำงานตรงนี้
พร้อมประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใหม่
“เอาเป็นว่าหากจังหวัดไหนไม่มีสถานการณ์อะไรแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัด ตำรวจสามารถดูแลกันได้ก็จะยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” นายสุเทพกล่าวพร้อมระบุว่าการที่รายงานต่อคณะรัฐมนตรีว่าขบวนการเสื้อแดงจะกลับมาเร็วกว่าเดือน เม.ย. ปีหน้าเป็นการสรุปตามข้อมูลที่มี ก็อย่างที่บอกว่าแกนนำเขายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ ส่วน 5 จังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วหากมีสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นก็ประกาศใช้ใหม่ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการลักลอบฝึกใช้อาวุธอย่างที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ไม่อยากพูดอะไรให้เกิดความตื่นตระหนก เอาเป็นว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนจนน่ากังวล
“5 จังหวัดที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินไปแล้วผู้ว่าราชการจังหวัดและตำรวจต้องบังคับใช้กฎหมายปรกติให้เข้มแข็งขึ้น อย่างไรก็ตาม ตามรายงานที่เสนอผ่านมาทางกระทรวงมหาดไทยทั้ง 5 จังหวัดอยากให้คง พ.ร.ก.ฉุกเฉินเอาไว้” นายสุเทพกล่าว
การเมืองใหม่เชื่อคุมเสื้อแดงไม่อยู่
นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ เชื่อว่าแม้รัฐบาลจะยังใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในหลายพื้นที่ แต่คนเสื้อแดงก็ไม่หยุดการเคลื่อนไหว และจะต่อสู้ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด โดยพลิกแพลงการต่อสู้ไปตามสถานการณ์ ล่าสุดกลับไปเปิดทีวี.ดาวเทียมช่องใหม่ ซึ่งรัฐบาลก็ไม่รู้ว่าจะเอากฎหมายอะไรไปห้าม ทำได้อย่างเดียวคือการเฝ้าดู หากทำผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงมีอำนาจ
องค์กรสิทธิมนุษยชนร่วมต่อต้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานหลังรัฐบาลต่ออายุการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 3 เดือนใน 19 จังหวัด ทำให้องค์กรต่างๆเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวน เพราะเห็นว่าเป็นการใช้กฎหมายลิดรอนสิทธิของประชาชน ให้อำนาจเจ้าหน้าที่เกินความจำเป็น เช่น ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนด้านสิทธิมนุษยชนและกฎหมายจากความรุนแรงทางการเมือง (ครส.) เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน ฯลฯ
แถลงการณ์ขององค์กรเหล่านี้ระบุว่า สถานการณ์ปัจจุบันได้คลี่คลายลงแล้ว ซึ่งรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองให้อยู่สภาวะปรกติได้ จึงไม่มีเหตุความจำเป็นใดๆให้ต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงไว้อีกต่อไป
ลิดรอนสิทธิประชาชน
“นับแต่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลได้ใช้อำนาจพิเศษลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นและความเชื่อทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นการห้ามมิให้ประชาชนเข้าร่วมชุมนุม การจัดกิจกรรมต่างๆที่เห็นว่าเป็นการแสดงความเห็นที่แตกต่างจากรัฐบาล อีกทั้งการประกาศห้าม ระงับ ยับยั้งการติดต่อสื่อสาร โดยการปิดสื่อโทรทัศน์ วิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อออนไลน์จำนวนมากที่เป็นการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และไม่มีแนวโน้มว่าจะลดลง”
ทำลายระบบตรวจสอบ
แถลงการณ์ระบุอีกว่า การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินยังเป็นการลิดรอนสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ถือได้ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิเสรีภาพที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติ นอกจากนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาตรา 16 ยังได้ยกเว้นอำนาจศาลปกครองไว้ การยกเว้นอำนาจศาลปกครองทำให้การกระทำของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายไม่สามารถถูกตรวจสอบถ่วงดุลโดยอำนาจศาลปกครองได้ แม้จะสามารถดำเนินการในศาลยุติธรรม แต่ก็เป็นเฉพาะกรณีไป ประชาชนไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลปกครองเพื่อตรวจสอบกฎหมายลำดับรองที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ จึงขัดต่อหลักการตรวจสอบถ่วงดุลและหลักการแบ่งแยกอำนาจ การที่รัฐบาลยังคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินย่อมเป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองของคนในชาติและการสร้างความร่วมมือเพื่อปฏิรูปประเทศ อันเป็นเป้าหมายสำคัญที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่สันติภาพ
ส.ส.เพื่อไทยรุมยำอธิบดีดีเอสไอ
ด้านการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมาได้พิจารณางบประมาณของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนที่เป็นกรรมาธิการใช้โอกาสนี้สอบถามเกี่ยวกับการทำงานของดีเอสไอ เช่น นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ถามว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับสถาบันและคดีผู้ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นดีเอสไอให้คำนิยามคำว่าผู้ก่อการร้ายอย่างไร และคดีที่เป็นภัยต่อสถาบันมีจริงหรือไม่ อยากทราบว่าการดำเนินงานของดีเอสไอในบางเรื่องมีใบสั่งจากการเมืองจริงหรือไม่ ขณะที่ น.ส.ละออง ติยะไพรัช ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ถามว่าดีเอสไอมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพในการทำงานอย่างไร พร้อมฝากให้ทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลาง ตรงไปตรงมา เพื่อทำให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดอง ส่วนนางนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถามว่าดีเอสไอรับคดียึดสนามบินทั้ง 2 แห่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นคดีพิเศษแล้วหรือไม่ เพราะมีข้อกล่าวหาก่อการร้ายเหมือนคนเสื้อแดง
“ธาริต” ยันมีหน้าที่แค่ทำสำนวน
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ชี้แจงว่า คดีที่เป็นภัยต่อสถาบันและคดีก่อความไม่สงบเป็นคดีที่ตั้งต้นมาจาก ศอฉ. ดีเอสไอทำหน้าที่เป็นคนกลางในฐานะพนักงานสอบสวนเท่านั้น ยืนยันว่าการทำงานตรงไปตรงมา เพราะไม่ได้ทำคนเดียว แต่ทำร่วมกับอีก 12 หน่วยงานและอัยการ ส่วนการประเมินผลการทำงานนั้นดีเอสไอประเมินเชิงคุณภาพ ไม่ได้ประเมินจากปริมาณคดี สำหรับคดีที่เกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรฯเห็นด้วยในหลักการว่าควรเป็นคดีพิเศษ แต่การจะรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่อยู่ที่คณะกรรมการคดีพิเศษ 20 คนเป็นผู้พิจารณา ไม่สามารถตัดสินใจอะไรคนเดียวได้
ฝากขังสองผู้ต้องหาจ้างวานระเบิด
สำหรับความคืบหน้าคดีระเบิดพรรคภูมิใจไทย ศาลอาญาอนุญาตให้ฝากขัง น.ส.วริศรียา บุญสม หรืออ้อ และนายกอบชัย บุญปลอด หรืออ้าย 2 ผู้ต้องหาจ้างวาน ตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวน ดีเอสไอ ผลัดแรกตั้งแต่วันที่ 7-18 ก.ค. แต่ไม่อนุญาตให้นำผู้ต้องหาทั้งสองกลับไปสอบสวนต่อที่ดีเอสไอตามคำขอ โดยให้นำตัวนายกอบชัยไปควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วน น.ส.วริศรียาถูกนำตัวไปควบคุมตัวที่ทัณฑสถานหญิงกลาง
นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ฝากขังนายกำพล คำคง นายเดชพล พุทธจง และนายเอนก สิงขุนทด ผู้ต้องหาร่วมกันวางระเบิดใกล้พรรคภูมิใจไทยที่ถูกจับกุมตัวก่อนหน้านี้เป็นผลัดที่ 2 จนถึงวันที่ 19 ก.ค.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)