โดย เกษียร เตชะพีระ
ผลพวงอย่างหนึ่งของวิกฤตการเมืองไทยรอบ 5 ปีที่ผ่านมาคือ นักคิด นักเขียน นักข่าว นักวิจัย นักวิชาการต่างชาติทั่วโลกหันมาใส่ใจติดตามค้นคว้าศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองไทยอย่างเข้มข้นถี่ยิบชนิดที่ไม่เคยเป็นมานานนับแต่หลังรัฐประหารของ รสช. เมื่อปี พ.ศ.2534 และการลุกฮือพฤษภาประชาธิปไตยเมื่อปี พ.ศ.2535
เหมือนเมืองไทยถูกจีน แขก ฝรั่ง เกาหลี ญี่ปุ่น นานาชาติช่วยกันจับเปลื้องถนิมพิมพาภรณ์ล่อนจ้อน ยกขึ้นส่องกับแดด พลิกตะแคงกลับตาลปัตรหัวเท้าไปมา พลางหยิบแว่นขยายสอดแยงเพ่งสำรวจตรวจสอบรอบด้านทุกซอกมุมขุมขนรูเหงื่อก็มิปาน
มันย่อมทำให้อีลีตไทยผู้อาจแอบซุกอะไรต่อมิอะไรไว้ตามซอกหลืบลับตาคนนอกจอทีวีหรือบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสก็ได้ใครจะไปรู้ - พากันเสียวไส้พิกล...แหะๆ
ในบรรดาฝรั่งช่างสอดรู้สอดเห็นเหล่านี้ โจชัว เคอร์แลนท์ซิค (Joshua Kurlantzick) ชาวอเมริกันเป็นคนหนึ่งที่น่าสนใจ
หลังจบรัฐศาสตร์จากวิทยาลัย Haverford เขาทำงานเป็นนักเขียนนักข่าวของนิตยสารอเมริกันชื่อดังหลายฉบับ เช่น Time, The New Republic, American Prospect, Mother Jones, Current History เป็นต้น มีผลงานดีเด่นด้านข่าวเอเชียจนได้ทุนศึกษาฝึกอบรมและถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลต่างๆ ก่อนจะผันตัวเองมาเป็นนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญการเมืองและเศรษฐกิจเอเชียอาคเนย์รวมทั้งความสัมพันธ์ของภูมิภาคนี้กับจีน สังกัดสถาบันศึกษาวิจัยนโยบายชั้นนำของสหรัฐต่างๆ เช่น University of Southern California Center on Public Diplomacy, Pacific Council on International Policy, Carnegie Endowment for International Peace และ Council on Foreign Relations
ในปัจจุบันหนังสือของโจชัวที่ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเยล ได้แก่ Charm Offensive : How China s Soft Power Is Transforming the World (ค.ศ.2007)
หลังรัฐประหารของ คปค. เมื่อ 19 กันยายน พ.ศ.2549 เป็นต้นมา โจชัวก็หันมาจับจ้องมองการเมืองไทยและเริ่มผลิตข้อเขียนบทวิเคราะห์ทยอยออกมาต่อเนื่องเป็นชุดทางสื่อสิ่งพิมพ์ เกี่ยวกับรัฐบาลทักษิณ, รัฐประหาร คปค., ขบวนการเสื้อเหลือง, ขบวนการเสื้อแดง, สภาพเศรษฐกิจสังคมและสถาบันหลักต่างๆ ของไทย
ปลายเดือนพฤษภาคมศกนี้ เขาตีพิมพ์บทความชื่อ " Democracy in Danger " (ประชาธิปไตยในอันตราย) ลงพิมพ์ในนิตยสารการเมืองรายเดือนเก่าแก่ของอังกฤษชื่อ Prospect Magazine ฉบับที่ 171 ประจำเดือนมิถุนายน ค.ศ.2010(www.prospectmagazine.co.uk/2010/05/democracy-in-danger/)
ข้อน่าสนใจอยู่ตรงโจชัวเลือกหยิบวิกฤตการเมืองไทยเป็นตัวแบบวิเคราะห์เพื่อชี้ว่าระบอบประชาธิปไตยหลายประเทศของโลกก็กำลังเผชิญอันตรายทำนองเดียวกัน อันเป็นกระแสที่นักรัฐศาสตร์เรียกโดยรวมว่า " Reversal of democracy "(ประชาธิปไตยพลิกกลับ) นับแต่ราวปี ค.ศ.2001 เป็นต้นมา
ดังสังเกตุได้ว่าผู้นำรัฐบาลจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย ทยอยกันถูกยึดอำนาจด้วยวิถีทางนอกรัฐธรรมนูญถี่ขึ้นเรื่อยมาเป็นลำดับ เช่น ประธานาธิบดีเอสตราดาของฟิลิปปินส์ (ค.ศ.2001), นายกฯทักษิณของไทยและนายกฯการาเซของฟิจิ (ค.ศ.2006), นายกฯหญิงเบกุม คาลีดา เซีย ของบังกลาเทศ (ค.ศ.2007), ประธานาธิบดีราวาโลมานานาของมาดากัสการ์และประธานาธิบดีเซลายาของฮอนดูรัส (ค.ศ.2009) เป็นต้น
จน Freedom House อันเป็นองค์กร NGO ในอเมริกาที่คอยติดตามสำรวจตรวจสอบออกรายงานรายปีเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพและความเป็นประชาธิปไตยของระบอบการเมืองทั่วโลกแจ้งล่าสุดว่าเสรีภาพในโลกตกต่ำติดต่อกันมา 4 ปีแล้ว (ค.ศ.2006-2009) นับเป็นช่วงโน้มต่ำของเสรีภาพในโลกที่ยาวนานที่สุดในรอบเกือบ 40 ปีที่ Freedom House ทำรายงานสำรวจข้อมูลเรื่องนี้มา (www.freedomhouse. org/template.cfm?page=505)
นับเป็นปรากฏการณ์กระแสทวนสวน คลื่นประชาธิปไตยระลอกที่ 3 ซึ่ง Samuel P. Huntington นักรัฐศาสตร์อเมริกันผู้ล่วงลับ (ค.ศ.1927-2008) ระบุว่าเกิดขึ้นกว้างขวางทั่วโลกนับแต่ปี ค.ศ.1974 เป็นต้นมา ในหนังสือ The Third Wave : Democratization in the Late Twentieth Century (ค.ศ.1991)
-โจชัว เคอร์แลนท์ซิค วิเคราะห์ว่าที่ประชาธิปไตยตกอยู่ในอันตรายปัจจุบันนี้นั้น มูลเหตุเกิดจาก : -
1) ผู้นำจากการเลือกตั้งกลายเป็นอำนาจนิยม (ผมขออนุญาตตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าแนวนโยบายโลกาภิวัตน์เสรีนิยมใหม่ทางเศรษฐกิจและแนวนโยบายประชานิยมอันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองทางการเมืองของหลายรัฐบาล ต่างก็กดดันให้ฝ่ายบริหารมีลักษณะรวบอำนาจรวมศูนย์ยิ่งขึ้นทั้งคู่-ตามข้อวิเคราะห์ของนักเขียนนักกิจกรรมชาวแคนาดา Naomi Klein และศาสตราจารย์สังคมวิทยาชาวอเมริกัน SaskiaSassen)
2) สถาบันตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารอ่อนแอ, คอร์รัปชั่นแพร่หลาย (ลองนึกถึงกลุ่มอาการอ่อนเปลี้ยระส่ำระสายของ กกต., วุฒิสภา, สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน, คณะกรรมการ ป.ป.ช. ฯลฯ ตอนปลายรัฐบาลทักษิณก็จะเห็นภาพได้)
3) ความแตกแยกขัดแย้งระหว่างคนชั้นกลางกับคนจน-คนชั้นล่าง
จะเห็นได้ว่านี่เป็นการกลับตาลปัตรสูตรสำเร็จประชาธิปไตยแต่เดิมของรัฐศาสตร์สมัยอาจารย์ปู่ Huntington เลยทีเดียว กล่าวคือ : -
-สูตรประชาธิปไตยเดิมสมัย Samuel Huntington (เผอิญสอดคล้องกับคำสัมภาษณ์ของประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญในเดลินิวส์, 12 มิ.ย. 2553 พอดี) :
-เศรษฐกิจเติบโต --> คนชั้นกลางเติบใหญ่เรืองอำนาจ --> ประชาธิปไตย
-ส่วนสูตรประชาธิปไตยในอันตรายของ Joshua Kurlantzick ที่ประมวลสรุปจากกรณีเมืองไทยและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ กลับเป็นเช่นนี้คือ :
-ความไม่มั่นใจอันเกิดจากโลกาภิวัตน์ (เช่น เศรษฐกิจพังทลายช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง) นำไปสู่
--> คนชั้นกลางหันไปเป็นอนุรักษนิยม
--> คนชั้นกลางขัดแย้งกับผู้นำอำนาจนิยมจากการเลือกตั้ง+พันธมิตรชนชั้นล่างของผู้นำนั้น
--> คนชั้นกลางหันไปสนับสนุนวิถีทางที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในการโค่นรัฐบาล
--> ประชาธิปไตยพลิกกลับ หรือเกิดระบอบประชาธิปไตยแบบที่ชนชั้นนำครอบงำ
นั่นหมายความว่า หากคนชั้นกลางกับคนชั้นล่างลงไปแตกแยกขัดแย้งกันเรื่องสิทธิประชาธิปไตยแล้ว ระบบการเมืองอาจพังทลายและประชาธิปไตยพลิกกลับได้
อนึ่ง คำว่า " คนชั้นล่างลงไป " ข้างต้นนี้ กล่าวได้ว่าหมายถึงคนกลุ่มเดียวกับที่ อ.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรียกว่า "คนชั้นกลางระดับล่าง" , หรือที่ทีมวิจัยของ อ.อภิชาต สถิตนิรามัย แห่งคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ระบุในขั้นต้นว่าได้แก่ "ลูกจ้างและเกษตรกร มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,000 บาท โดยสรุปคือ เสื้อแดงไม่ใช่คนจนแต่จนกว่าเสื้อเหลือง ฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของเสื้อเหลืองคือมีงานประจำ มีการศึกษาและฐานะทางสังคมสูงกว่า...รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 31,000 บาท" (www.prachatai3.info/journal/ 2010/06/29973)
หรือถ้าให้ผมเปรียบเทียบ : - ขณะที่สถาบันหลักทั้ง 3 ของคนชั้นกลางระดับบนและกลางได้แก่ 1) ธนาคารพาณิชย์ (แหล่งสินเชื่อเพื่อการลงทุนและการบริโภค), 2) ตลาดหุ้น (แหล่งเสี่ยงแล้วอาจรวยจากการเก็งกำไร) และ 3) ช็อปปิ้ง มอลล์ (แหล่งบริโภคนิยม) - ซึ่งล้วนตกเป็นเป้าโจมตีเผาทำลายระหว่างการชุมนุมของ นปช.ครั้งที่ผ่านมา ทำให้คนชั้นกลางในกรุงโกรธจนควันออกหูนั้น
สถาบันหลักทั้ง 3 ของคนชั้นกลางระดับล่างจะได้แก่ 1) นายทุนเงินกู้นอกระบบ, 2) สลากกินแบ่ง-หวยใต้ดิน และ 3) ตลาดสดแบกะดินกลางแจ้งทั้งหลาย เช่น คลองถม ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกันแต่มักอยู่ชายขอบหรือนอกระบบ ถูกทางราชการกำกับควบคุมตามกฎหมายน้อยกว่า ทำให้มาตรฐานต่ำกว่าและในบางแง่ราคา/ดอกเบี้ยแพงกว่าด้วยซ้ำ แต่ก็เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสำหรับผู้มีทุนน้อย/รายได้ต่ำกว่านั่นเอง
นี่จึงเป็นเหตุผลให้คนชั้นกลางระดับล่างนิยมชมชอบโครงการของรัฐบาลทักษิณอย่างสินเชื่อเอสเอ็มอี, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, กองทุนหมู่บ้านละล้าน, หวยบนดิน, หวยออนไลน์, 30 บาทรักษาทุกโรค, บ้านเอื้ออาทร, แท็กซี่เอื้ออาทร, คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร
และมาตรการประชา (บริโภค) นิยมอื่นๆ ที่ภาครัฐช่วยให้พวกเขาลดรายจ่าย, เพิ่มรายได้ และเอื้อมมือถึงสินค้าบริโภคคงทนทั้งหลายอย่างไม่เคยมีมาก่อน
กล่าวให้ถึงที่สุด เศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ที่ผันผวนไร้เสถียรภาพเป็นรากเหง้าที่มาของสภาพประชาธิปไตยในอันตรายเพราะมันทำให้คนชั้นกลางกลายเป็นอนุรักษนิยมเลิกคิดปฏิรูป เบื่อการเมือง เน้นทำมาหาเงินเอาตัวรอด (โดยเฉพาะหลังวิกฤตเศรษฐกิจการเงิน พ.ศ.2540 เมื่อเทียบกับกระแสการเมืองของคนชั้นกลางสมัยหลัง 14 ตุลาคม พ.ศ.2516 หรือหลังพฤษภาประชาธิปไตย พ.ศ.2535 ใหม่ๆ)
แบบแผนของประชาธิปไตยพลิกกลับก็คือ : คนชั้นกลางหันไปร่วมมือกับชนชั้นนำเก่าประท้วงต่อต้านผู้นำอำนาจนิยมจากการเลือกตั้ง, ใช้วิธีการไม่ประชาธิปไตยขับโค่นรัฐบาล, สร้างระบอบประชาธิปไตยที่เน้นชนชั้นนำยิ่งขึ้น, เพื่อให้ตัวเองได้กุมอำนาจส่วนใหญ่ไว้ต่อไป
นำไปสู่การที่คนชั้นล่างรวมตัวประท้วงโต้กลับคนชั้นกลางบ้าง (เช่น ม็อบคาราวานคนจนที่จตุจักร-นปก.-นปช. vs. พธม.) เกิดความแตกแยกถาวรทางชนชั้น, พันธมิตรคนชั้นกลาง-คนชั้นล่างที่เป็นฐานค้ำจุนประชาธิปไตยแต่เดิมเสื่อมสลาย, ระบอบประชาธิปไตยจึงพังทลายลงในที่สุดด้วยรัฐประหารของกองทัพ เหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยให้คนชั้นกลางกับคนชั้นล่างลงไปหันมาขัดแย้งกันยืดเยื้อเรื้อรัง
แบบแผนทำนองนี้ [ผู้นำจากการเลือกตั้งกลายเป็นอำนาจนิยม-->รัฐประหารในนามเสรีนิยมที่คนชั้นกลางสนับสนุนเพื่อล้มประชาธิปไตย] ซึ่งอาจมีวิถีทางผลลัพธ์พลิกแพลงหลากหลายแตกต่างกันไปบ้าง อาจพบเห็นได้ไม่เพียงในเมืองไทย หากรวมทั้งฟิลิปปินส์, เวเนซุเอลา, ฮอนดูรัส, นิการากัว, รัสเซีย เป็นต้น
ดังนั้น ข้อสรุปสูตรสำเร็จของรัฐศาสตร์ยุคคลื่นประชาธิปไตยระลอก 3 ที่ว่าสร้างคนชั้นกลางแล้ว ระบอบเสรีประชาธิปไตยจะแพร่หลายไปทั่วโลกนั้น จึงถูกโจชัวตั้งข้อสงสัยว่ามันยังจะจริงอยู่ต่อไปอีกหรือไม่? ดังที่นักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนอเมริกันรายหนึ่งบ่นให้เขาฟังว่า : -
"คุณมีพวกคนไทยหัวเสรีนิยมทั้งหลายที่ประณามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในที่อย่างพม่า แต่กลับสนับสนุนรัฐประหารในเมืองไทยปี ค.ศ.2006 พวกเขาจะทำทั้งสองอย่างไปด้วยกันได้ยังไง? "
สำหรับหนทางในการกอบกู้ประชาธิปไตยให้พ้นจากอันตรายของความแตกแยกขัดแย้งระหว่างคนชั้นกลาง vs. คนชั้นล่างลงไปนั้น โจชัวเสนอแนะในเบื้องต้นว่า :
-ต้องหาทางฟื้นฟูปลูกสร้างพันธมิตรระหว่างคนชั้นกลางกับคนชั้นล่างลงไปขึ้นมาใหม่บนฐานการยอมรับอำนาจการเมืองของฝ่ายหลังตามหลักประชาธิปไตย (กล่าวคือ เมื่อคนเราเท่ากัน อำนาจย่อมเกิดจากตัวเลข, หนึ่งคนมีหนึ่งเสียง, เสียงข้างมากได้ปกครอง)
-ในขณะเดียวกันก็ใช้ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนเพื่อปกป้องสิทธิของเสียงข้างน้อย, ให้เสียงข้างน้อยมีตัวแทนในการใช้อำนาจด้วย, เพื่อป้องกันระบอบทรราชย์ของเสียงข้างมากที่ผู้มีอำนาจนึกจะล่วงละเมิดสิทธิของเสียงข้างน้อยในนามเสียงข้างมากอย่างไรก็ทำได้
-ส่งเสริมรัฐบาลผสมของตัวแทนคนชั้นล่างลงไปกับคนชั้นกลาง
-สร้างเสริมระบอบรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม (ตามหลักเสรีนิยม - รัฐบาลมีอำนาจจำกัดหรือที่เรียกว่า limited government อำนาจของรัฐบาลถูกจำกัดด้วยสิทธิเสรีภาพในร่างกาย ชีวิต ทรัพย์สินของพลเมือง ไม่ใช่ว่ารัฐบาลนึกจะอ้างอำนาจพิเศษมาต้มยำทำแกงพลเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งสีใดสีหนึ่งก็ได้ตามใจชอบ - โดยมีศาลตุลาการอิสระเป็นกรรมการคอยคุมเส้นจำกัดอำนาจรัฐ/ขอบเขตสิทธิพลเมืองนั้นๆ)
ที่มา. มติชนออนไลน์
วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553
"ไอซีที"งงกรมปกครองเด้ง"สมาร์ทการ์ด"คืนสงสัยทะเลาะกันเอง เล็งเลิก17ล้านใบ"จุติ"ลั่นไม่ผิดยุเอกชนฟ้อง
รายงานข่าวจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) แจ้งว่า กรมการปกครอง (ปค.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) ได้มีหนังสือลงวันที่ 14 มิถุนายน 2553 ถึงปลัดไอซีที เรื่องการส่งมอบบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (สมาร์ทการ์ด) ระบุว่า ตามที่ไอซีทีได้ฝากบัตรสมาร์ทการ์ด 600,000 บัตร ให้ ปค.รับฝากและเก็บรักษาไว้ที่สำนักบริหารการทะเบียนในระหว่างรอความเห็นชอบ ปค.ได้ตรวจสอบและพิจารณาแล้วมีความเห็นดังนี้ 1.รูปแบบบัตรนั้นมีเส้นสีแดง (MICROTEXT) พาดผ่านตำแหน่งพิมพ์รูปภาพด้านหน้าบัตร ซึ่งไม่เป็นไปตามลักษณะแบบบัตรที่ออกด้วยระบบคอมพิวเตอร์แบบอเนกประสงค์ตามท้ายกฎกระทรวงหลายฉบับที่กำหนดให้บัตรมีสีขาวลายพื้นสีฟ้า 2.สัญลักษณ์ด้านหลังบัตรซึ่งเป็นจุดตรวจสอบบัตร ภาพแรกที่ปรากฏบน HOLOGRAM ไม่ใช่รูปแผนที่ประเทศไทย ซึ่งไม่เป็นไปตามลักษณะบัตรตามท้ายกฎกระทรวง จึงขอให้ไอซีทีส่งเจ้าหน้าที่มารับมอบบัตรที่ฝากไว้ไปแก้ไขปรับปรุงรูปแบบลักษณะบัตรให้ถูกต้องตามกฎกระทรวง และให้เร่งส่งมอบ ปค.ต่อไป เพราะขณะนี้ไม่มีบัตรออกให้กับประชาชน
แหล่งข่าวจากไอซีทีกล่าวว่า เส้นสีแดงและสัญลักษณ์ด้านหลังบัตรเป็นเรื่องความปลอดภัยและป้องกันการปลอมแปลงบัตรที่เพิ่มเติมขึ้นจากรูปแบบบัตรสมาร์ทการ์ดเดิม โดยรูปแบบดังกล่าวนายมงคล สุระสัจจะ อธิบดี ปค. เมื่อครั้งนั่งตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รักษาราชการแทนอธิบดี ปค. ได้ทำหนังสือถึงไอซีที ลงวันที่ 25 เมษายน 2553 ระบุว่า ปค.ทดสอบบัตรเสร็จสิ้นแล้ว ผลการทดลองบัตรตัวอย่าง 25,000 บัตร สามารถทำงานร่วมกับระบบของ ปค.ได้ตามปกติ อย่างไรก็ดี ในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการตรวจรับบัตรสมาร์ทการ์ดไอซีทีจะต้องไปตรวจรับบัตรงวดที่ 2 อีกจำนวน 4 ล้านบัตร แต่ยังติดปัญหาว่าขณะนี้ยังไม่สามารถจัดหาสถานที่จัดเก็บได้ และยังไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาต่อไปอย่างไร เมื่อ ปค.ไม่ยอมรับรูปแบบบัตรดังกล่าว คณะกรรมการคงหารือ และมีแนวโน้มอาจพิจารณายกเลิกการผลิตบัตรสมาร์ทการ์ดจำนวนที่เหลืออีก 17 ล้านบัตรด้วย ขณะเดียวกันยังมีจำนวนสมาร์ทการ์ดอยู่ในกระบวนการผลิตอีก 4 ล้านบัตรด้วย
"การบอกเลิกการผลิต เอกชนต้องฟ้องไอซีทีแน่ ตอนนี้โครงการนี้อยู่ในภาวะลูกผีลูกคน เรามืดแปดด้านทั้งที่เอกสารที่เรามีอยู่ทั้งหมดถูกต้องทุกอย่าง เรามองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะกันเองของผู้บริหารในมหาดไทย แต่เขาไม่ยอมรับว่ามีปัญหาภายในกันเอง" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวถึงความเป็นมาก่อนเกิดปัญหา ปค.ปฏิเสธไม่รับบัตรว่า ช่วงก่อนหน้านั้น ทราบว่าบัตรสมาร์ทการ์ดเดิมจะหมดลงในเดือนมิถุนายน 2553 จึงได้ประสานไปยังบริษัท วี-สมาร์ท จำกัด เอกชนผู้รับจ้างเร่งการผลิตบัตรงวดที่ 2 จำนวน 5 ล้านบัตร ให้ก่อนจำนวน 1 ล้านบัตร เพื่อให้ทันกับการใช้งาน โดยเริ่มทยอยส่งมอบให้ ปค.ได้ล็อตแรก 300,000 บัตร เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ล็อตสอง 300,000 บัตรในวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 รวมเป็น 600,000 บัตรแรกที่ ปค.รับมอบไป ต่อมาการส่งมอบสมาร์ทการ์ดอีกจำนวน 400,000 บัตร เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 ปค.แจ้งมาว่าจะไม่รับฝากบัตรจำนวนดังกล่าว และจะขอคืนสมาร์ทการ์ดทั้ง 2 งวดก่อนหน้านี้กลับไป ไอซีทีจึงได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นโดยขอความร่วมมือไปยังบริษัท วี-สมาร์ท เพื่อฝากบัตรจำนวน 400,000 บัตรหลังไว้ก่อน
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการไอซีที กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เรียกคณะกรรมการตรวจรับพัสดุการจ้างเหมาจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ดมาชี้แจง ยืนยันว่าไอซีทีไม่ผิด แต่ไม่สามารถไปบังคับให้กระทรวงมหาดไทยรับบัตรได้ รวมถึงไม่สามารถทำอะไรกับบัตรที่เอกชนผลิตออกมาแล้ว ดังนั้นถ้ามีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ความเสี่ยงที่ไอซีทีจะรับผิดชอบความเสียหายนั้นถือว่าน้อย เพราะไอซีทีไม่ผิด
"เอกชนฟ้องก็ดี จะได้รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่เรายืนยันว่าเราไม่ผิด ทุกอย่างจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ"นายจุติกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาการขาดแคลนบัตรสมาร์ทการ์ดช่วงที่ผ่านมา กรมการปกครองไม่สามารถออกบัตรสมาร์ทการ์ดให้กับประชาชนที่ยื่นขอทำบัตรประชาชนใหม่ได้ จึงได้ออกบัตรเหลือง หรือบัตร บ.ป.2 ให้ผู้ที่มาขอทำบัตรประชาชนนำไปใช้แทนชั่วคราว
วันเดียวกัน นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมการปกครองได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยตั้งกรรมการสอบตนเองกรณีบัตรสมาร์ทการ์ดอย่างไม่เป็นธรรม
ที่มา.มติชนออนไลน์
แหล่งข่าวจากไอซีทีกล่าวว่า เส้นสีแดงและสัญลักษณ์ด้านหลังบัตรเป็นเรื่องความปลอดภัยและป้องกันการปลอมแปลงบัตรที่เพิ่มเติมขึ้นจากรูปแบบบัตรสมาร์ทการ์ดเดิม โดยรูปแบบดังกล่าวนายมงคล สุระสัจจะ อธิบดี ปค. เมื่อครั้งนั่งตำแหน่งอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน รักษาราชการแทนอธิบดี ปค. ได้ทำหนังสือถึงไอซีที ลงวันที่ 25 เมษายน 2553 ระบุว่า ปค.ทดสอบบัตรเสร็จสิ้นแล้ว ผลการทดลองบัตรตัวอย่าง 25,000 บัตร สามารถทำงานร่วมกับระบบของ ปค.ได้ตามปกติ อย่างไรก็ดี ในวันที่ 28 มิถุนายนนี้ คณะกรรมการตรวจรับบัตรสมาร์ทการ์ดไอซีทีจะต้องไปตรวจรับบัตรงวดที่ 2 อีกจำนวน 4 ล้านบัตร แต่ยังติดปัญหาว่าขณะนี้ยังไม่สามารถจัดหาสถานที่จัดเก็บได้ และยังไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาต่อไปอย่างไร เมื่อ ปค.ไม่ยอมรับรูปแบบบัตรดังกล่าว คณะกรรมการคงหารือ และมีแนวโน้มอาจพิจารณายกเลิกการผลิตบัตรสมาร์ทการ์ดจำนวนที่เหลืออีก 17 ล้านบัตรด้วย ขณะเดียวกันยังมีจำนวนสมาร์ทการ์ดอยู่ในกระบวนการผลิตอีก 4 ล้านบัตรด้วย
"การบอกเลิกการผลิต เอกชนต้องฟ้องไอซีทีแน่ ตอนนี้โครงการนี้อยู่ในภาวะลูกผีลูกคน เรามืดแปดด้านทั้งที่เอกสารที่เรามีอยู่ทั้งหมดถูกต้องทุกอย่าง เรามองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการทะเลาะกันเองของผู้บริหารในมหาดไทย แต่เขาไม่ยอมรับว่ามีปัญหาภายในกันเอง" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวถึงความเป็นมาก่อนเกิดปัญหา ปค.ปฏิเสธไม่รับบัตรว่า ช่วงก่อนหน้านั้น ทราบว่าบัตรสมาร์ทการ์ดเดิมจะหมดลงในเดือนมิถุนายน 2553 จึงได้ประสานไปยังบริษัท วี-สมาร์ท จำกัด เอกชนผู้รับจ้างเร่งการผลิตบัตรงวดที่ 2 จำนวน 5 ล้านบัตร ให้ก่อนจำนวน 1 ล้านบัตร เพื่อให้ทันกับการใช้งาน โดยเริ่มทยอยส่งมอบให้ ปค.ได้ล็อตแรก 300,000 บัตร เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2553 ล็อตสอง 300,000 บัตรในวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 รวมเป็น 600,000 บัตรแรกที่ ปค.รับมอบไป ต่อมาการส่งมอบสมาร์ทการ์ดอีกจำนวน 400,000 บัตร เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2553 ปค.แจ้งมาว่าจะไม่รับฝากบัตรจำนวนดังกล่าว และจะขอคืนสมาร์ทการ์ดทั้ง 2 งวดก่อนหน้านี้กลับไป ไอซีทีจึงได้แก้ไขปัญหาเบื้องต้นโดยขอความร่วมมือไปยังบริษัท วี-สมาร์ท เพื่อฝากบัตรจำนวน 400,000 บัตรหลังไว้ก่อน
ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการไอซีที กล่าวว่า เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้เรียกคณะกรรมการตรวจรับพัสดุการจ้างเหมาจัดทำบัตรสมาร์ทการ์ดมาชี้แจง ยืนยันว่าไอซีทีไม่ผิด แต่ไม่สามารถไปบังคับให้กระทรวงมหาดไทยรับบัตรได้ รวมถึงไม่สามารถทำอะไรกับบัตรที่เอกชนผลิตออกมาแล้ว ดังนั้นถ้ามีการฟ้องร้องเกิดขึ้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ความเสี่ยงที่ไอซีทีจะรับผิดชอบความเสียหายนั้นถือว่าน้อย เพราะไอซีทีไม่ผิด
"เอกชนฟ้องก็ดี จะได้รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่เรายืนยันว่าเราไม่ผิด ทุกอย่างจึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ"นายจุติกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาการขาดแคลนบัตรสมาร์ทการ์ดช่วงที่ผ่านมา กรมการปกครองไม่สามารถออกบัตรสมาร์ทการ์ดให้กับประชาชนที่ยื่นขอทำบัตรประชาชนใหม่ได้ จึงได้ออกบัตรเหลือง หรือบัตร บ.ป.2 ให้ผู้ที่มาขอทำบัตรประชาชนนำไปใช้แทนชั่วคราว
วันเดียวกัน นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมการปกครองได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยตั้งกรรมการสอบตนเองกรณีบัตรสมาร์ทการ์ดอย่างไม่เป็นธรรม
ที่มา.มติชนออนไลน์
“สั่งปิดเว็บมั่ว
อันตรายที่สุดของมนุษย์ คือการคาดหวัง
เป็นประเทศประชาธิปไตยที่ “สั่งปิดเว็บไซต์” สูงที่สุดในโลก!! จนคนทนไม่ไหว "เครือข่ายพลเมืองเน็ต" ทำจดหมายถึงรัฐบาล เรียกร้องให้ เปิดรายชื่อเว็บที่ถูกปิดตามคำสั่ง ศอฉ. พร้อมชี้แจงเหตุผล....๐
เห็นใจ "เครือข่ายพลเมืองเน็ต" กับปรากฏการณ์ “สั่งปิดเว็บมั่ว” แต่ขอทายไว้ล่วงหน้า จะไม่มี “คำตอบใดๆ” ในเรื่องนี้จาก รัฐบาลมาร์ค และ ศอฉ. ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ โปรดทำใจไว้แต่เนิ่นๆ....๐
คนอย่าง คณิต ณ นคร ย่อมคิดเป็น? และอาจ “คิดลึก” กว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานสอบฯ การตรงดิ่งไปหารือกับ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกลาโหม ถึงกระทรวง คือ “คำถาม” ที่ต้องรอคำตอบ “ท่านไปของท่านทำไม?......๐
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ เตรียมทหารรุ่น 8 รุ่นพี่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ตท.10) 2 รุ่น, ที่ผ่านมา...มีหลายครั้งที่ ปลัดกระทรวงกลาโหมคนนี้ พูดจาตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก ถูกใจชาวบ้านระดับรากหญ้า แต่อาจขัดหู “ใครบางคน”??.....๐
คนเสื้อแดง กับ คนในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แย้ ที่จะมุดลงรู หรือมุดดิน!! คนที่เชื่ออย่างนี้ และคิดอย่างนั้น คือ ทนายประจำตัว ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่อ นพดล ปัทมะ ที่กำลังรับบทหนักในเวลานี้....๐
ขอสะกิด “นายกรัฐมนตรีมาร์ค” ไหนๆ ก็คิดการใหญ่ถึงขนาด ปฏิรูปประเทศ และเละละเปะปะไปถึงการ “ปฏิรูปสื่อ” ก็โปรดหาเวลาตั้งคณะกรรมการ “ปฏิรูปรัฐบาล” เสียด้วย คงจะทำให้คนไทยหายใจสะดวกขึ้น??....๐
“สื่อ” ที่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ควรจะรีบ “ปฏิรูป” โดยเร็วที่สุด คือ ทีวีช่องหอยเน่า ของ “กรมกร๊วก” ที่กำลัง “เน่าสนิท” จาก “บางรายการ” ที่คนรุมด่าทั้งเมือง องอาจ คล้ามไพบูลย์ อย่าได้คิดเกรงใจ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ให้มากกว่า “สร้างความถูกต้องให้กับสังคม” เลยนะ!!.....๐
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...ข้าราชการใหญ่ที่จะ เกษียณอายุราชการ กลับบ้านเลี้ยงหลาน ในระดับ 11 มี 10 คน หนึ่งจำนวนนั้นชื่อ สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง คนที่จะมาแทน ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ อำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ ที่เคยมีคนส่งชื่อเข้าประกวดปีที่แล้ว แต่ “สถิตย์” แซงทางโค้งเข้าป้ายเสียก่อน.....๐
ปัญหามีว่า กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลังผู้เป็น “บั๊ดดี้” นายกรัฐมนตรีจะเอาด้วยหรือไม่? เพราะ อำพน กิตติอำพน มาอีกสาย!! ถ้าพลาด?? ก็ยังมีก๊อกสอง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะผลักดันให้ไปเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แทน สุรชัย ภู่ประเสริฐ.....๐
ดีแล้ว?? จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีที อย่ามัว “ฝันกลางวัน” ที่จะคิดส่ง “ดาวเทียมรัฐบาล” ขึ้นฟ้าเอง มาปลุก คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ให้ตื่นจากหลับ ดันบรอดแบนด์ราคาถูก เข็นไว-แมกซ์ให้ประชาชน ได้ใช้แค่ 99 บาท ต่อเดือน จะดูดีกว่า เท่กว่า และ “สมราคา” ในการมานั่งกระทรวงนี้ และอย่าลืมเคลียร์เรื่อง “สัมปทาน 3 จี” ว่ามันมีอะไรซับซ้อนซะอีกเรื่อง?
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
เป็นประเทศประชาธิปไตยที่ “สั่งปิดเว็บไซต์” สูงที่สุดในโลก!! จนคนทนไม่ไหว "เครือข่ายพลเมืองเน็ต" ทำจดหมายถึงรัฐบาล เรียกร้องให้ เปิดรายชื่อเว็บที่ถูกปิดตามคำสั่ง ศอฉ. พร้อมชี้แจงเหตุผล....๐
เห็นใจ "เครือข่ายพลเมืองเน็ต" กับปรากฏการณ์ “สั่งปิดเว็บมั่ว” แต่ขอทายไว้ล่วงหน้า จะไม่มี “คำตอบใดๆ” ในเรื่องนี้จาก รัฐบาลมาร์ค และ ศอฉ. ของ สุเทพ เทือกสุบรรณ โปรดทำใจไว้แต่เนิ่นๆ....๐
คนอย่าง คณิต ณ นคร ย่อมคิดเป็น? และอาจ “คิดลึก” กว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้เซ็นคำสั่งแต่งตั้งให้เป็นประธานสอบฯ การตรงดิ่งไปหารือกับ พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกลาโหม ถึงกระทรวง คือ “คำถาม” ที่ต้องรอคำตอบ “ท่านไปของท่านทำไม?......๐
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ เตรียมทหารรุ่น 8 รุ่นพี่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา (ตท.10) 2 รุ่น, ที่ผ่านมา...มีหลายครั้งที่ ปลัดกระทรวงกลาโหมคนนี้ พูดจาตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซาก ถูกใจชาวบ้านระดับรากหญ้า แต่อาจขัดหู “ใครบางคน”??.....๐
คนเสื้อแดง กับ คนในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่แย้ ที่จะมุดลงรู หรือมุดดิน!! คนที่เชื่ออย่างนี้ และคิดอย่างนั้น คือ ทนายประจำตัว ดร.ทักษิณ ชินวัตร ที่ชื่อ นพดล ปัทมะ ที่กำลังรับบทหนักในเวลานี้....๐
ขอสะกิด “นายกรัฐมนตรีมาร์ค” ไหนๆ ก็คิดการใหญ่ถึงขนาด ปฏิรูปประเทศ และเละละเปะปะไปถึงการ “ปฏิรูปสื่อ” ก็โปรดหาเวลาตั้งคณะกรรมการ “ปฏิรูปรัฐบาล” เสียด้วย คงจะทำให้คนไทยหายใจสะดวกขึ้น??....๐
“สื่อ” ที่รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ควรจะรีบ “ปฏิรูป” โดยเร็วที่สุด คือ ทีวีช่องหอยเน่า ของ “กรมกร๊วก” ที่กำลัง “เน่าสนิท” จาก “บางรายการ” ที่คนรุมด่าทั้งเมือง องอาจ คล้ามไพบูลย์ อย่าได้คิดเกรงใจ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ให้มากกว่า “สร้างความถูกต้องให้กับสังคม” เลยนะ!!.....๐
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...ข้าราชการใหญ่ที่จะ เกษียณอายุราชการ กลับบ้านเลี้ยงหลาน ในระดับ 11 มี 10 คน หนึ่งจำนวนนั้นชื่อ สถิตย์ ลิ่มพงษ์พันธุ์ ปลัดกระทรวงการคลัง คนที่จะมาแทน ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ อำพน กิตติอำพน เลขาธิการสภาพัฒน์ ที่เคยมีคนส่งชื่อเข้าประกวดปีที่แล้ว แต่ “สถิตย์” แซงทางโค้งเข้าป้ายเสียก่อน.....๐
ปัญหามีว่า กรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีคลังผู้เป็น “บั๊ดดี้” นายกรัฐมนตรีจะเอาด้วยหรือไม่? เพราะ อำพน กิตติอำพน มาอีกสาย!! ถ้าพลาด?? ก็ยังมีก๊อกสอง พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จะผลักดันให้ไปเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แทน สุรชัย ภู่ประเสริฐ.....๐
ดีแล้ว?? จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีไอซีที อย่ามัว “ฝันกลางวัน” ที่จะคิดส่ง “ดาวเทียมรัฐบาล” ขึ้นฟ้าเอง มาปลุก คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ให้ตื่นจากหลับ ดันบรอดแบนด์ราคาถูก เข็นไว-แมกซ์ให้ประชาชน ได้ใช้แค่ 99 บาท ต่อเดือน จะดูดีกว่า เท่กว่า และ “สมราคา” ในการมานั่งกระทรวงนี้ และอย่าลืมเคลียร์เรื่อง “สัมปทาน 3 จี” ว่ามันมีอะไรซับซ้อนซะอีกเรื่อง?
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
‘ความจริง’ ต้องไม่ตาย
‘ความจริง’ ต้องไม่ตาย
สังหารหมู่ประชาชน ที่มาชุมนุม สงบ สันติ อหิงสา..แต่ทว่า “ถูกเข่นฆ่า” ใครก็รับไม่ได้ สัปดาห์ที่จะถึง อาทิตย์หน้าที่จะมา “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ “จีเจ อเล็กซานเดอน์ คนูปส์” ทนายคนดัง ทำคดีสังหารหมู่ชาวบ้าน ทั้งที่ ยูโกสลาเวีย รวันดา และเซอร์ราลิโอซ ฟ้องศาลอาชญากรโลก..ที่ฆ่า “เสื้อแดง” ตายเป็นเบือ มีการ “ใช้อำนาจลับ”...กำชับ อย่าให้ “ทนายทักษิณ” เข้าประเทศไทย อย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อไม่ให้มีการ “ค้นหาความจริง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ในระบบประชาธิปไตย.... “ข้อมูลข่าวสารทุกด้าน” ต้องเปิดให้สาธารณชนได้ทราบ ไม่มีการปิดบัง!!! ใครสั่ง “ตม.” ไม่ให้เขาเข้าประเทศ...ถือเป็น “เผด็จการ” เบ็ดเสร็จ?..ที่น่าทุเรศ เสียจัง??
---------------------------------
‘เล่าปี่’ ยังสู้ไม่ได้!!
เพราะที่ว่าแน่ๆ “พนมมือไหวทั้งสิบทิศ” ยังชิดซ้าย?? กับการพลิกตำราพิชัยยุทธ ของ “ท่านพี่เนวิน ชิดชอบ” ปรมาจารย์ตั๊กม๊อแห่งพรรคภูมิใจไทย...ก่อนจะมาเป็น “เจ้าก๊ก” ใหญ่อยู่ในประเทศไทย ต้องเจียมตัว เจียมบอดี้ มาไม่ใช่น้อย การก้มกราบคราวนั้นจะเห็นว่าทำหลายครั้ง ด้วยเส้นทางการคารวะคน อย่างพินอบพิเทาสุดใจขาดดิ้น..ไม่ว่าจะเป็น คนสนิททักษิณ อย่าง “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” หรือ “คุณพี่โป๋” ธีรพล นพรัมภา อดีตเลขาฯ “นายกฯ สมัคร สุนทรเวช” จึงทำให้ดวงท่านวิ่งกระฉูด ยิ่งใหญ่อย่างโลดเต้น!! ต้องบอกว่า ที่ยิ่งใหญ่มาได้ทุกวันนี้...เพราะกลยุทธคารวะทุกที่...จึงได้ดิบได้ดีอย่างที่เห็น??
----------------------------------
‘เดินหน้า’ อย่าได้หยุด
“ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องดับเครื่องชน กับนักการเมืองท้องถิ่น ที่คัดค้านโครงการนี้อย่าง สุดสุด เพราะการก่อสร้าง อุโมงค์ลอดถนนจรัลสนิทวงศ์ กับ พรานนก เป็นสิ่งที่ ชาวบ้าน ประชาชน ต้องการยิ่งนักจุดเชื่อมต่อย่านนี้...รถติดบรรลัยวอดวายสิ้นดี อย่างหนัก ที่มีเสียง “จิ้งจกทัก” ว่าชาวบ้านร้านตลาดไม่ต้องการ..แท้ที่จริงแล้ว มีนักการเมืองท้องถิ่น “สก.” ไปตีขนาดหางบริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาถึง “๑๔ ล้านบาท”..พอไม่ได้ผลประโยชน์สมใจนึกบางลำภู ก็อาศัยคราบนักการเมืองท้องถิ่น โวยจนโครงการถูกระงับ!! ไถเงินเขาตั้ง ๑๔ ล้านบาท...พอไม่ได้ ก็ลุแก่อำนาจ?..ช่างบาตรใหญ่ เสียจริงๆ นะครับ????
----------------------------------
‘ทองแท้’ ย่อมไม่กลัวไฟ
ทำดี มีคุณภาพ เสียอย่าง “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” ได้รับเกียรติ อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยผลงาน เข้าต่อสายตาของชาวโลก จึงมีเสียงสนับสนุน พรึ่บพรั่บเป็นเอกฉันท์ ให้เป็น “ประธานคณะกรรมการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในอนุภูมิลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ชาติ” คือ จีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไทย..ซึ่งทำให้การผลักดันโครงการต่างๆ ไปได้สวย โดยได้ตำแหน่งนี้ จาก “เม็ดงาน”....ไม่อาศัย “คราบการเป็นรัฐบาล” เสียด้วย เพราะ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” โดย “กลุ่มพญานาค” ของ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ถูก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตัดทางเติบโตด้านการเมือง...เพราะ “ขัดขวาง” และ “กีดกัน” ไม่ให้ใครบางคน มีความชอบธรรม เข้ามาบริหารชาติ ด้วย “สันดานโกง”!! ด้วยความดีที่ทำ...กลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง จึงให้เป็นผู้นำ...เพราะชอบในวีรกรรม แห่งความเที่ยงตรง??
----------------------------------
ไม่มีอะไรในก่อไผ่!!!
“รถเมล์เอ็นจีวี” จากประเทศจีน ล็อตมหาอภิอมตะนิรันดร์กาล ๔,๐๐๐ คัน..เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ในเมืองไทย กล่าวได้เลยว่า, เป็นการหาผลประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ จน “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นกองเชียร์ให้กับ “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” และ “รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ในวันนั้น รับไม่ได้เลย เพราะมีการเรียกค่าต๋งคันละ ๒ ล้าน...งาบกันปากมันส์ ตามสันดานเช่นเคย มาบัดนี้, แว่วมาอีกว่า “ค่าปากถุง” กับโครงการรถเมล์เอ็นจีวี ผงาดขึ้นไปเป็นคันละ ๕ ล้านบาท เสร็จสรรพ!! โครงการนี้สำเร็จแล้วล่ะก้อ...มีคนรวยสะบัดช่อ?...รอเป็นมหาเศรษฐีโลก กันเลยล่ะครับ??
----------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
สังหารหมู่ประชาชน ที่มาชุมนุม สงบ สันติ อหิงสา..แต่ทว่า “ถูกเข่นฆ่า” ใครก็รับไม่ได้ สัปดาห์ที่จะถึง อาทิตย์หน้าที่จะมา “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ “จีเจ อเล็กซานเดอน์ คนูปส์” ทนายคนดัง ทำคดีสังหารหมู่ชาวบ้าน ทั้งที่ ยูโกสลาเวีย รวันดา และเซอร์ราลิโอซ ฟ้องศาลอาชญากรโลก..ที่ฆ่า “เสื้อแดง” ตายเป็นเบือ มีการ “ใช้อำนาจลับ”...กำชับ อย่าให้ “ทนายทักษิณ” เข้าประเทศไทย อย่างไม่น่าเชื่อ เพื่อไม่ให้มีการ “ค้นหาความจริง” ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ในระบบประชาธิปไตย.... “ข้อมูลข่าวสารทุกด้าน” ต้องเปิดให้สาธารณชนได้ทราบ ไม่มีการปิดบัง!!! ใครสั่ง “ตม.” ไม่ให้เขาเข้าประเทศ...ถือเป็น “เผด็จการ” เบ็ดเสร็จ?..ที่น่าทุเรศ เสียจัง??
---------------------------------
‘เล่าปี่’ ยังสู้ไม่ได้!!
เพราะที่ว่าแน่ๆ “พนมมือไหวทั้งสิบทิศ” ยังชิดซ้าย?? กับการพลิกตำราพิชัยยุทธ ของ “ท่านพี่เนวิน ชิดชอบ” ปรมาจารย์ตั๊กม๊อแห่งพรรคภูมิใจไทย...ก่อนจะมาเป็น “เจ้าก๊ก” ใหญ่อยู่ในประเทศไทย ต้องเจียมตัว เจียมบอดี้ มาไม่ใช่น้อย การก้มกราบคราวนั้นจะเห็นว่าทำหลายครั้ง ด้วยเส้นทางการคารวะคน อย่างพินอบพิเทาสุดใจขาดดิ้น..ไม่ว่าจะเป็น คนสนิททักษิณ อย่าง “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” หรือ “คุณพี่โป๋” ธีรพล นพรัมภา อดีตเลขาฯ “นายกฯ สมัคร สุนทรเวช” จึงทำให้ดวงท่านวิ่งกระฉูด ยิ่งใหญ่อย่างโลดเต้น!! ต้องบอกว่า ที่ยิ่งใหญ่มาได้ทุกวันนี้...เพราะกลยุทธคารวะทุกที่...จึงได้ดิบได้ดีอย่างที่เห็น??
----------------------------------
‘เดินหน้า’ อย่าได้หยุด
“ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้องดับเครื่องชน กับนักการเมืองท้องถิ่น ที่คัดค้านโครงการนี้อย่าง สุดสุด เพราะการก่อสร้าง อุโมงค์ลอดถนนจรัลสนิทวงศ์ กับ พรานนก เป็นสิ่งที่ ชาวบ้าน ประชาชน ต้องการยิ่งนักจุดเชื่อมต่อย่านนี้...รถติดบรรลัยวอดวายสิ้นดี อย่างหนัก ที่มีเสียง “จิ้งจกทัก” ว่าชาวบ้านร้านตลาดไม่ต้องการ..แท้ที่จริงแล้ว มีนักการเมืองท้องถิ่น “สก.” ไปตีขนาดหางบริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาถึง “๑๔ ล้านบาท”..พอไม่ได้ผลประโยชน์สมใจนึกบางลำภู ก็อาศัยคราบนักการเมืองท้องถิ่น โวยจนโครงการถูกระงับ!! ไถเงินเขาตั้ง ๑๔ ล้านบาท...พอไม่ได้ ก็ลุแก่อำนาจ?..ช่างบาตรใหญ่ เสียจริงๆ นะครับ????
----------------------------------
‘ทองแท้’ ย่อมไม่กลัวไฟ
ทำดี มีคุณภาพ เสียอย่าง “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” ได้รับเกียรติ อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยผลงาน เข้าต่อสายตาของชาวโลก จึงมีเสียงสนับสนุน พรึ่บพรั่บเป็นเอกฉันท์ ให้เป็น “ประธานคณะกรรมการความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในอนุภูมิลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ชาติ” คือ จีน พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไทย..ซึ่งทำให้การผลักดันโครงการต่างๆ ไปได้สวย โดยได้ตำแหน่งนี้ จาก “เม็ดงาน”....ไม่อาศัย “คราบการเป็นรัฐบาล” เสียด้วย เพราะ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” โดย “กลุ่มพญานาค” ของ “อดีตรัฐมนตรีพินิจ” ถูก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ตัดทางเติบโตด้านการเมือง...เพราะ “ขัดขวาง” และ “กีดกัน” ไม่ให้ใครบางคน มีความชอบธรรม เข้ามาบริหารชาติ ด้วย “สันดานโกง”!! ด้วยความดีที่ทำ...กลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง จึงให้เป็นผู้นำ...เพราะชอบในวีรกรรม แห่งความเที่ยงตรง??
----------------------------------
ไม่มีอะไรในก่อไผ่!!!
“รถเมล์เอ็นจีวี” จากประเทศจีน ล็อตมหาอภิอมตะนิรันดร์กาล ๔,๐๐๐ คัน..เป็นอีกหนึ่งโปรเจ็กต์ ที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลง ในเมืองไทย กล่าวได้เลยว่า, เป็นการหาผลประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ จน “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ผู้เป็นกองเชียร์ให้กับ “รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช” และ “รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์” ในวันนั้น รับไม่ได้เลย เพราะมีการเรียกค่าต๋งคันละ ๒ ล้าน...งาบกันปากมันส์ ตามสันดานเช่นเคย มาบัดนี้, แว่วมาอีกว่า “ค่าปากถุง” กับโครงการรถเมล์เอ็นจีวี ผงาดขึ้นไปเป็นคันละ ๕ ล้านบาท เสร็จสรรพ!! โครงการนี้สำเร็จแล้วล่ะก้อ...มีคนรวยสะบัดช่อ?...รอเป็นมหาเศรษฐีโลก กันเลยล่ะครับ??
----------------------------------
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ทางเลือก ที่ไม่น่ารอด?
ลำพังแค่นั่งเก้าอี้บิ๊กธุรกิจก็เยอะแยะแล้ว รัฐบาลยังทำเหมือนเมืองไทยไร้คนมีฝีมือ เพราะใช้บริการ “อานันท์ ปันยารชุน” ทั้งเรื่องปัญหามาบตาพุด และเรื่องปฏิรูปการเมืองไทย เป็นคำถามมาทุกยุคทุกสมัยในสังคมไทย ว่าขาดแคลนคนดี คนมีฝีมือกันหรืออย่างไร?ทำไมในหลายๆ วงการไม่ว่าจะเป็นการเมือง ข้าราชการประจำ หรือแม้แต่นักธุรกิจ จึงได้วนเวียนกับ “คนหน้าเก่า”กันเป็นส่วนใหญ่
ล่าสุดกรณีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่คนในซีกการเมืองที่เป็นขั้วเดียวกัน หรือต่อกันติดกับนายอานันท์ หากหาใครที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เป็นต้องโผไปหานายอานันท์ตลอด พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ดูเหมือนจะเข้าข่ายเข้าล็อก เรื่องการเรียกใช้บริการ
นายอานันท์ เหมือนกับเป็นยาพาราเซ็ตตามอล แก้ปวดหัวได้ชะงัดนัก อย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้ง 2 ครา 2 เรื่อง ช่วงระยะเวลาห่างกันไม่ถึงปี เริ่มจากได้รับการทาบทามจากนายอภิสิทธิ์ให้นั่ง เป็นประธานคณะกรรมการ 4 ฝ่าย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ปัญหาเผือกร้อนที่ทำให้รัฐบาลติดชนัก
จะเดินหน้าก็ไม่ได้จะถอยหลังก็ยาก ที่สำคัญยังกลายปัญหาด้านการลงทุนสำคัญของชาติ เพราะมีเม็ดเงินลงทุนสูงหลายแสนล้านบาท หากการลงทุนล่าช้าไป 1 ปี จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 0.4% รวมทั้งต่างชาติต่างจับตามองกรณีมาบตาพุดเขม็ง ว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร ซึ่งจนวันนี้ต่างชาติที่ขี้เกียจรอคำตอบ
ต่างชะลอการลงทุนในไทย หลบลมร้อนไปลงทุนที่อื่นกันเป็นแถวแล้ว ยาแก้ปวดหัวยี่ห้อ “อานันท์” ช่วยนายอภิสิทธิ์ได้เพียงแค่ หยุดไม่ให้เรื่องครึกโครมมากไปกว่าที่เป็น แต่การแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยังไม่บรรลุผล เพราะงานนี้จริงๆ แล้วนายอานันท์เองก็ทำตัวลำบาก เพราะแม้จะยินดี
กับตำแหน่งที่รัฐบาลตั้งให้ แต่โดยส่วนตัวก็ทำตัวเป็น “เจ้าพ่อเอ็นจีโอ”มาตลอด ซึ่งกรณีมาบตาพุด เป็นเรื่องปัญหากระทบกระทั่งระหว่างการลงทุนกับชุมชน และความไม่ชัดเจนของรัฐบาลและกติกาต่างๆ ทำให้เรื่องนี้จึงยังคาราคาซังอยู่จนวันนี้ แต่เพราะชื่อชั้นของนายอานันท์ ที่แม้งานไม่บรรลุ กระแสสังคม
และภาพลักษณ์ก็ยังสามารถที่จะเป็นบวกได้ ทำให้เมื่อนายอภิสิทธิ์ ต้องการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแผนปรองดอง และต้องการหาตัวคนมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศ นายอานันท์ จึงเข้าสเป็กของนายอภิสิทธิ์อีกครั้ง และก็เช่นเคยไม่มีอิดเอื้อนใดๆ นายอานันท์ ตอบรับเป็นประธาน
คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศให้อีก 1 งาน… ทำให้ชื่ออานันท์ ขลังยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นการทรมานผู้สูงอายุหรือไม่ เพราะนายอานันท์นั้นเกิด 9 สิงหาคม 2475 เท่ากับว่าปีนี้อายุ 78 ปีเข้าไปแล้ว... แต่นายอานันท์กลับพอใจอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันความเป็น “อานันท์” ให้กับสังคมไทย
เพิ่มมากขึ้น ก็แม้แต่ในวงการธุรกิจ นายอานันท์ก็เพิ่งผงาดขึ้นไปนั่งเป็นประธานกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ แทนนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา มาแล้ว... นอกเหนือจากการนั่งแป้นคุมสหยูเนี่ยนมาตลอด สะท้อนให้เห็นว่า วันนี้อายุ 78 ปี ไม่ได้มีปัญหาสำหรับนายอานันท์ในการรับสารพัดตำแหน่งเลย แต่สำหรับการแก้ไข
ปัญหาของชาติ จะได้ประโยชน์แค่ไหนนั้นคงต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะแต่ละเรื่องที่รับหน้าเสื่ออยู่ในเวลานี้ ล้วนหนักๆ ทั้งนั้น แถมความคืบหน้าก็ยังค่อนข้างล่าช้า ดังนั้นกรณีของการปฏิรูปประเทศไทย หากนายอานันท์เร่งทำเพื่อความปรองดองภายในชาติเป็นหลัก และปราศจากอคติระหว่างกลุ่ม ระหว่างความคิด
ที่แตกต่างกันในเวลานี้ได้จริงๆ ก็ต้องถือเป็นเรื่องดี เพราะทุกวันนี้ สังคมไทยยังมีบรรยากาศของการแตกต่างทางความคิดกันอยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งแทนที่ภาครัฐบาล และนายทหารใหญ่ๆ ทั้งหลาย จะเร่งคลี่คลายสถานการณ์ กลับยังปล่อยให้มีการเหยียบย่ำซ้ำเติม ทำลายล้างความคิดเห็นที่แตกต่างที่ไม่เป็นที่ถูกใจให้เห็น
เป็นระยะๆ ประเด็นเหล่านี้แหละที่รัฐบาลควรจะต้องคำนึง อย่างน้อยที่สุดการที่กรุงเทพโพลล์สำรวจผลงาน 1 ปี 6 เดือนรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกมาแล้วปรากฏว่า สอบตกเรียบทุกด้านเป็นเรื่องน่าคิด การที่รัฐบาลได้แค่ 3.79 จากคะแนนเต็ม10 และในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้คะแนนแค่ 4.48
จากคะแนนเต็ม 10 ครั้นจะหวังพรรคร่วมรัฐบาลมาช่วยเสริมคะแนนก็คงเป็นไปไม่ได้ จะหวังกลไกข้าราชการประจำ วันนี้ก็กำลังถูกจับตาว่าเข้าทฤษฎีหาคนดีมีฝีมืออื่นๆ ไม่ได้แล้วหรืออย่างไร... ด้วยเช่นกัน เพราะกำลังกระฉ่อนเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งข้าราชการระดับ 11 หรือระดับปลัดกระทรวง 15 ตำแหน่งกำลังวุ่นๆ ไม่น้อย
โดยมีข่าวว่า อาจจะมีรายการดึง นายอำพน กิตติอำพน จากตำแหน่งเลขาธิการ สภาพัฒน์ ข้ามห้วยไปนั่งเป็นปลัดกระทรวงการคลัง แต่เนื่องจากนายอำพนนั้น ฝีมือการทำงานที่ผ่านมาเป็นที่ถูกอกถูกใจพรรคภูมิใจไทยเป็นอย่างยิ่ง ทางพรรคภูมิใจไทยก็เลยอากจะให้ไปเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมากกว่า
น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่า หากนานๆ ไป นายอำพน จะเป็นเหมือนนายอานันท์ หรือไม่... ที่ใครๆ ก็อยากเรียกใช้บริการ ทั้งหมดจึงเป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่า ในยามนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีปัญหาในเรื่องการเฟ้นหาคนดี คนเก่งมาร่วมงานเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องใหญ่ๆ ก็จะวนเวียน ดังนั้นก็ได้แต่หวังว่านายอานันท์นี่แหละ
ที่จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลดีขึ้นมาได้บ้าง หากว่านายอานันท์จะทุ่มเทการทำงานจริงๆ และหวังว่าจะไม่ลืมคำพูดในอดีตที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า “สำหรับผมเองแล้ว ความผาสุก และสันติในสังคม จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากความเอื้ออาทร และการเคารพซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการเคารพในเรื่องความคิด...”
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ล่าสุดกรณีนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ที่คนในซีกการเมืองที่เป็นขั้วเดียวกัน หรือต่อกันติดกับนายอานันท์ หากหาใครที่เหมาะสมไม่ได้ ก็เป็นต้องโผไปหานายอานันท์ตลอด พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ดูเหมือนจะเข้าข่ายเข้าล็อก เรื่องการเรียกใช้บริการ
นายอานันท์ เหมือนกับเป็นยาพาราเซ็ตตามอล แก้ปวดหัวได้ชะงัดนัก อย่างน้อยที่สุดก็ 2 ครั้ง 2 ครา 2 เรื่อง ช่วงระยะเวลาห่างกันไม่ถึงปี เริ่มจากได้รับการทาบทามจากนายอภิสิทธิ์ให้นั่ง เป็นประธานคณะกรรมการ 4 ฝ่าย เพื่อช่วยแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ปัญหาเผือกร้อนที่ทำให้รัฐบาลติดชนัก
จะเดินหน้าก็ไม่ได้จะถอยหลังก็ยาก ที่สำคัญยังกลายปัญหาด้านการลงทุนสำคัญของชาติ เพราะมีเม็ดเงินลงทุนสูงหลายแสนล้านบาท หากการลงทุนล่าช้าไป 1 ปี จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ 0.4% รวมทั้งต่างชาติต่างจับตามองกรณีมาบตาพุดเขม็ง ว่ารัฐบาลจะเอาอย่างไร ซึ่งจนวันนี้ต่างชาติที่ขี้เกียจรอคำตอบ
ต่างชะลอการลงทุนในไทย หลบลมร้อนไปลงทุนที่อื่นกันเป็นแถวแล้ว ยาแก้ปวดหัวยี่ห้อ “อานันท์” ช่วยนายอภิสิทธิ์ได้เพียงแค่ หยุดไม่ให้เรื่องครึกโครมมากไปกว่าที่เป็น แต่การแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดยังไม่บรรลุผล เพราะงานนี้จริงๆ แล้วนายอานันท์เองก็ทำตัวลำบาก เพราะแม้จะยินดี
กับตำแหน่งที่รัฐบาลตั้งให้ แต่โดยส่วนตัวก็ทำตัวเป็น “เจ้าพ่อเอ็นจีโอ”มาตลอด ซึ่งกรณีมาบตาพุด เป็นเรื่องปัญหากระทบกระทั่งระหว่างการลงทุนกับชุมชน และความไม่ชัดเจนของรัฐบาลและกติกาต่างๆ ทำให้เรื่องนี้จึงยังคาราคาซังอยู่จนวันนี้ แต่เพราะชื่อชั้นของนายอานันท์ ที่แม้งานไม่บรรลุ กระแสสังคม
และภาพลักษณ์ก็ยังสามารถที่จะเป็นบวกได้ ทำให้เมื่อนายอภิสิทธิ์ ต้องการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับแผนปรองดอง และต้องการหาตัวคนมานั่งเป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศ นายอานันท์ จึงเข้าสเป็กของนายอภิสิทธิ์อีกครั้ง และก็เช่นเคยไม่มีอิดเอื้อนใดๆ นายอานันท์ ตอบรับเป็นประธาน
คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปประเทศให้อีก 1 งาน… ทำให้ชื่ออานันท์ ขลังยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะคิดว่า เป็นการทรมานผู้สูงอายุหรือไม่ เพราะนายอานันท์นั้นเกิด 9 สิงหาคม 2475 เท่ากับว่าปีนี้อายุ 78 ปีเข้าไปแล้ว... แต่นายอานันท์กลับพอใจอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันความเป็น “อานันท์” ให้กับสังคมไทย
เพิ่มมากขึ้น ก็แม้แต่ในวงการธุรกิจ นายอานันท์ก็เพิ่งผงาดขึ้นไปนั่งเป็นประธานกรรมการธนาคารไทยพาณิชย์ แทนนายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา มาแล้ว... นอกเหนือจากการนั่งแป้นคุมสหยูเนี่ยนมาตลอด สะท้อนให้เห็นว่า วันนี้อายุ 78 ปี ไม่ได้มีปัญหาสำหรับนายอานันท์ในการรับสารพัดตำแหน่งเลย แต่สำหรับการแก้ไข
ปัญหาของชาติ จะได้ประโยชน์แค่ไหนนั้นคงต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะแต่ละเรื่องที่รับหน้าเสื่ออยู่ในเวลานี้ ล้วนหนักๆ ทั้งนั้น แถมความคืบหน้าก็ยังค่อนข้างล่าช้า ดังนั้นกรณีของการปฏิรูปประเทศไทย หากนายอานันท์เร่งทำเพื่อความปรองดองภายในชาติเป็นหลัก และปราศจากอคติระหว่างกลุ่ม ระหว่างความคิด
ที่แตกต่างกันในเวลานี้ได้จริงๆ ก็ต้องถือเป็นเรื่องดี เพราะทุกวันนี้ สังคมไทยยังมีบรรยากาศของการแตกต่างทางความคิดกันอยู่ค่อนข้างสูง ซึ่งแทนที่ภาครัฐบาล และนายทหารใหญ่ๆ ทั้งหลาย จะเร่งคลี่คลายสถานการณ์ กลับยังปล่อยให้มีการเหยียบย่ำซ้ำเติม ทำลายล้างความคิดเห็นที่แตกต่างที่ไม่เป็นที่ถูกใจให้เห็น
เป็นระยะๆ ประเด็นเหล่านี้แหละที่รัฐบาลควรจะต้องคำนึง อย่างน้อยที่สุดการที่กรุงเทพโพลล์สำรวจผลงาน 1 ปี 6 เดือนรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ ออกมาแล้วปรากฏว่า สอบตกเรียบทุกด้านเป็นเรื่องน่าคิด การที่รัฐบาลได้แค่ 3.79 จากคะแนนเต็ม10 และในฐานะนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ก็ได้คะแนนแค่ 4.48
จากคะแนนเต็ม 10 ครั้นจะหวังพรรคร่วมรัฐบาลมาช่วยเสริมคะแนนก็คงเป็นไปไม่ได้ จะหวังกลไกข้าราชการประจำ วันนี้ก็กำลังถูกจับตาว่าเข้าทฤษฎีหาคนดีมีฝีมืออื่นๆ ไม่ได้แล้วหรืออย่างไร... ด้วยเช่นกัน เพราะกำลังกระฉ่อนเกี่ยวกับเรื่องตำแหน่งข้าราชการระดับ 11 หรือระดับปลัดกระทรวง 15 ตำแหน่งกำลังวุ่นๆ ไม่น้อย
โดยมีข่าวว่า อาจจะมีรายการดึง นายอำพน กิตติอำพน จากตำแหน่งเลขาธิการ สภาพัฒน์ ข้ามห้วยไปนั่งเป็นปลัดกระทรวงการคลัง แต่เนื่องจากนายอำพนนั้น ฝีมือการทำงานที่ผ่านมาเป็นที่ถูกอกถูกใจพรรคภูมิใจไทยเป็นอย่างยิ่ง ทางพรรคภูมิใจไทยก็เลยอากจะให้ไปเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมากกว่า
น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งว่า หากนานๆ ไป นายอำพน จะเป็นเหมือนนายอานันท์ หรือไม่... ที่ใครๆ ก็อยากเรียกใช้บริการ ทั้งหมดจึงเป็นภาพสะท้อนชัดเจนว่า ในยามนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีปัญหาในเรื่องการเฟ้นหาคนดี คนเก่งมาร่วมงานเป็นอย่างมาก เพราะเรื่องใหญ่ๆ ก็จะวนเวียน ดังนั้นก็ได้แต่หวังว่านายอานันท์นี่แหละ
ที่จะช่วยให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลดีขึ้นมาได้บ้าง หากว่านายอานันท์จะทุ่มเทการทำงานจริงๆ และหวังว่าจะไม่ลืมคำพูดในอดีตที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า “สำหรับผมเองแล้ว ความผาสุก และสันติในสังคม จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากความเอื้ออาทร และการเคารพซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะการเคารพในเรื่องความคิด...”
ที่มา.บางกอกทูเดย์
5 กลยุทธ์ในการรับมือกับ “รัฐบาลห่วย”
1. จุดพลังไฟในการทำงาน
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ “ตัวเรา” หากมัวแต่โทษ “รัฐบาลห่วย” ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ทางที่ดีกว่าคือ การทำงานหนักเป็น 2 เท่า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบด้านลบที่ไม่คาดฝัน
ตัวอย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้าย่านราชประสงค์ หากในช่วงต้นปีมุ่งมั่นทำงานโดยไม่เคยหยุดพักสักวันเดียว วิกฤตการเมืองในเดือนพฤษภาคม ก็อาจถือเป็นโอกาสพักร้อนผ่อนคลาย ในขณะที่คนอื่นวุ่นวายเดือดร้อนเพราะสถานที่ทำมาหากินถูกใช้เป็นสนามรบทางการเมือง
2. ปลดปล่อยตัวเองจากความ “ไม่รู้”
วิกฤตราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553 ได้ปลุกคนไทยตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล โดยเฉพาะเมื่อการเมืองมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน
การศึกษาความรู้เรื่องการเมือง จึงไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยอย่างที่เคยเข้าใจอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การติดตามข้อมูลจากทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ อาจยังไม่เพียงพอเพราะถูกครอบงำจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ
Social Media ตั้งแต่ Twitter ยันถึง Facebook กำลังเป็นสื่อทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในการติดตามข่าวสารเพื่อรับมือกับรัฐห่วย โดยเฉพาะเมื่อสื่อกระแสหลักก็เริ่มหยิบยืมข้อมูลจากโลกออนไลน์ ที่สำคัญ รัฐบาลก็เริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อออนไลน์และยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องในบางประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงทางการเมือง
3. พลังเครือข่าย พลังแห่งความหวัง
ความสุขของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 คือ การมี “ทางเลือก” ที่หลากหลายตามหัวใจปรารถนา ขณะเดียวกัน การปลุกระดมมวลชนเพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมแบบคอมมิวนิสต์ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เหมาะสมกับยุคสมัย โดยเฉพาะเมื่อความแตกต่างของปัจเจกชนมีค่ามากกว่าความมั่นคงปลอดภัย
“เครือข่าย” จึงกลายเป็นพลังสำคัญในรวมตัวทางการเมืองของประชาชน เพื่อเรียกร้องและต่อรองกับรัฐบาล โดยที่แต่ละกลุ่มผลประโยชน์มีเสรีภาพในการดำเนินงานตามความถนัดของตนเอง ขณะเดียวกันในยามที่บ้านเมืองมีปัญหาเร่งด่วน กลุ่มคนที่หลากหลายนี้ก็ยังสามารถรวมตัวเพื่อผลประโยชน์โดยรวมแห่งประเทศชาติได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “เครือข่ายพลังบวก” ที่เกิดจากกลุ่มคนหลากหลายสาขาตั้งแต่นักศึกษา นักธุรกิจ กระทั่งถึง นักสำรวจขั้วโลกและนักออกแบบตัวอักษร โดยในยามปกติกลุ่มคนเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตสนุกสนานในชุมชนแห่งวิชาชีพของตน แต่ด้วยแรงบันดาลใจจากโศกนาฎกรรมราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ก็ทำให้พวกเขาละทิ้งความหมกมุ่นในโลกแคบที่แสนสุขออกมาเผชิญหน้ากับภารกิจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เพียงเพื่อถักทอรอยยิ้มคนไทยคืนกลับมา
4. ปันใจรักให้พรรคฝ่ายค้าน
อำนาจประชาชนไม่ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดเพียงแค่ในวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ดังที่ถูกทำให้เชื่อกันมานานแสนนาน แต่กระนั้น การเรียกคืนอำนาจจากรัฐบาลที่อ้างว่าได้รับเสียงสวรรค์มาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
ภายใต้ระบบโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีที่มีจำกัด ทำให้พรรครัฐบาลต้องจำกัดจำนวนพรรคที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาล นี่จึงทำให้ฝ่ายค้านในระบบประชาธิปไตยไทยมีความเข้มแข็งไม่ถูกดูดกลืนไปเข้าฝ่ายรัฐบาลจนหมดสิ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของประชาชนในการปลดอำนาจของรัฐบาลที่ไร้คุณภาพในการบริหารประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือจากพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการลิ้มรสอำนาจบ้าง ผสานเสริมกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่พอใจในเก้าอี้รัฐมนตรีที่ถูกจัดสรร แต่ทั้งหมดย่อมคุ้มค่าหากได้รัฐบาลใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า
5. นวัตกรรมสังคม นวัตกรรมประชาธิปไตย
ยิ่งเวลาผ่านไป ความต้องการของมนุษย์ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ตั้งแต่ความห่วงใยสิ่งแวดล้อมไปจนถึงการสร้างตัวตนในโลกเสมือนจริง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะสามารถตอบสนองทุกความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงที
พลังแห่งเสรีภาพและจินตนาการของปัจเจกชน จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของรัฐสมัยใหม่ โดยเฉพาะการเป็นฝ่ายริเริ่มนวัตกรรมและโครงการที่มีคุณค่าต่อสังคม ในที่สุดเมื่อนวัตกรรมมีความแพร่หลายต่อสังคมในวงกว้างแล้ว รัฐบาลก็จะเข้ามาช่วยผลักดันให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การถือกำเนิดของธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในประเทศไทย ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ริเริ่มของประชาชน โดยมีการถักทอเชื่อมร้อยเป็นโครงข่ายที่แข็งแกร่งโดยสถาบัน Change Fusion ที่ช่วยประชาสัมพันธ์และจัดหาแหล่งทุนให้กับภารกิจนี้ ในที่สุด รัฐบาลไทยก็ตระหนักและยอมรับ จึงนำไปสู่การจัดทำ “แผนแม่บท” ในการสร้างเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม (Social Enterprise) เพื่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน
ที่มา.Siam Intelligence
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นที่ “ตัวเรา” หากมัวแต่โทษ “รัฐบาลห่วย” ก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ทางที่ดีกว่าคือ การทำงานหนักเป็น 2 เท่า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือผลกระทบด้านลบที่ไม่คาดฝัน
ตัวอย่างเช่น พ่อค้าแม่ค้าย่านราชประสงค์ หากในช่วงต้นปีมุ่งมั่นทำงานโดยไม่เคยหยุดพักสักวันเดียว วิกฤตการเมืองในเดือนพฤษภาคม ก็อาจถือเป็นโอกาสพักร้อนผ่อนคลาย ในขณะที่คนอื่นวุ่นวายเดือดร้อนเพราะสถานที่ทำมาหากินถูกใช้เป็นสนามรบทางการเมือง
2. ปลดปล่อยตัวเองจากความ “ไม่รู้”
วิกฤตราชประสงค์ 19 พฤษภาคม 2553 ได้ปลุกคนไทยตื่นขึ้นมาจากความหลับใหล โดยเฉพาะเมื่อการเมืองมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคน
การศึกษาความรู้เรื่องการเมือง จึงไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยอย่างที่เคยเข้าใจอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การติดตามข้อมูลจากทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ อาจยังไม่เพียงพอเพราะถูกครอบงำจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ
Social Media ตั้งแต่ Twitter ยันถึง Facebook กำลังเป็นสื่อทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากประชาชนในการติดตามข่าวสารเพื่อรับมือกับรัฐห่วย โดยเฉพาะเมื่อสื่อกระแสหลักก็เริ่มหยิบยืมข้อมูลจากโลกออนไลน์ ที่สำคัญ รัฐบาลก็เริ่มตระหนักถึงอิทธิพลของสื่อออนไลน์และยินยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องในบางประเด็นที่อาจมีผลกระทบต่อคะแนนเสียงทางการเมือง
3. พลังเครือข่าย พลังแห่งความหวัง
ความสุขของมนุษย์ในศตวรรษที่ 21 คือ การมี “ทางเลือก” ที่หลากหลายตามหัวใจปรารถนา ขณะเดียวกัน การปลุกระดมมวลชนเพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียมแบบคอมมิวนิสต์ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เหมาะสมกับยุคสมัย โดยเฉพาะเมื่อความแตกต่างของปัจเจกชนมีค่ามากกว่าความมั่นคงปลอดภัย
“เครือข่าย” จึงกลายเป็นพลังสำคัญในรวมตัวทางการเมืองของประชาชน เพื่อเรียกร้องและต่อรองกับรัฐบาล โดยที่แต่ละกลุ่มผลประโยชน์มีเสรีภาพในการดำเนินงานตามความถนัดของตนเอง ขณะเดียวกันในยามที่บ้านเมืองมีปัญหาเร่งด่วน กลุ่มคนที่หลากหลายนี้ก็ยังสามารถรวมตัวเพื่อผลประโยชน์โดยรวมแห่งประเทศชาติได้
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ “เครือข่ายพลังบวก” ที่เกิดจากกลุ่มคนหลากหลายสาขาตั้งแต่นักศึกษา นักธุรกิจ กระทั่งถึง นักสำรวจขั้วโลกและนักออกแบบตัวอักษร โดยในยามปกติกลุ่มคนเหล่านี้ก็ใช้ชีวิตสนุกสนานในชุมชนแห่งวิชาชีพของตน แต่ด้วยแรงบันดาลใจจากโศกนาฎกรรมราชประสงค์เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ก็ทำให้พวกเขาละทิ้งความหมกมุ่นในโลกแคบที่แสนสุขออกมาเผชิญหน้ากับภารกิจที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน เพียงเพื่อถักทอรอยยิ้มคนไทยคืนกลับมา
4. ปันใจรักให้พรรคฝ่ายค้าน
อำนาจประชาชนไม่ได้เริ่มต้นและสิ้นสุดเพียงแค่ในวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง ดังที่ถูกทำให้เชื่อกันมานานแสนนาน แต่กระนั้น การเรียกคืนอำนาจจากรัฐบาลที่อ้างว่าได้รับเสียงสวรรค์มาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย
ภายใต้ระบบโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรีที่มีจำกัด ทำให้พรรครัฐบาลต้องจำกัดจำนวนพรรคที่จะเข้าร่วมกับรัฐบาล นี่จึงทำให้ฝ่ายค้านในระบบประชาธิปไตยไทยมีความเข้มแข็งไม่ถูกดูดกลืนไปเข้าฝ่ายรัฐบาลจนหมดสิ้น ดังนั้น จึงเป็นโอกาสของประชาชนในการปลดอำนาจของรัฐบาลที่ไร้คุณภาพในการบริหารประเทศ โดยอาศัยความร่วมมือจากพรรคฝ่ายค้านที่ต้องการลิ้มรสอำนาจบ้าง ผสานเสริมกับพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่พอใจในเก้าอี้รัฐมนตรีที่ถูกจัดสรร แต่ทั้งหมดย่อมคุ้มค่าหากได้รัฐบาลใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ดีกว่า
5. นวัตกรรมสังคม นวัตกรรมประชาธิปไตย
ยิ่งเวลาผ่านไป ความต้องการของมนุษย์ก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อน ตั้งแต่ความห่วงใยสิ่งแวดล้อมไปจนถึงการสร้างตัวตนในโลกเสมือนจริง ดังนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลจะสามารถตอบสนองทุกความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงที
พลังแห่งเสรีภาพและจินตนาการของปัจเจกชน จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของรัฐสมัยใหม่ โดยเฉพาะการเป็นฝ่ายริเริ่มนวัตกรรมและโครงการที่มีคุณค่าต่อสังคม ในที่สุดเมื่อนวัตกรรมมีความแพร่หลายต่อสังคมในวงกว้างแล้ว รัฐบาลก็จะเข้ามาช่วยผลักดันให้ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การถือกำเนิดของธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) ในประเทศไทย ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ริเริ่มของประชาชน โดยมีการถักทอเชื่อมร้อยเป็นโครงข่ายที่แข็งแกร่งโดยสถาบัน Change Fusion ที่ช่วยประชาสัมพันธ์และจัดหาแหล่งทุนให้กับภารกิจนี้ ในที่สุด รัฐบาลไทยก็ตระหนักและยอมรับ จึงนำไปสู่การจัดทำ “แผนแม่บท” ในการสร้างเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม (Social Enterprise) เพื่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตต่อเนื่องได้อย่างยั่งยืน
ที่มา.Siam Intelligence
‘แค่น้ำจิ้ม’ ความรุนแรง
‘แค่น้ำจิ้ม’ ความรุนแรง
เหตุการณ์ “เมษาฯโหด-พฤษภาอำมหิต” ของการ “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับพื้นที่”นั้น จะเพิ่มดีกรีหนัก เมื่อยังไม่คืนความเป็นธรรมแก่ “คนเสื้อแดง” ถึง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะทำตัวเป็นยักษ์มีกระบอง ด้วยการคงอำนาจ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ให้มีอำนาจเหนือ “รัฐธรรมนูญ” ยิ่งลาก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไป...ประเทศไทย จะเกิดปฏิกริยาต่อต้าน มากเท่านั้นแหละคุณ เมื่อใช้ “พ.ร.ก.” กดหัวคนเอาไว้...จนกลายสภาพเป็น “หมาจนตรอก” เขาก็ต้องฮึดสู้ จาก “กรกฎาฯ ถึง “ธันวาฯ”...สถานการณ์ทายท้า?..มีเค้าว่า น่าเป็นห่วงสุดกู่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ดวงเมือง’ นั้นอิงกับ ‘ดาวอังคาร’
ทำมุมหนุนเนื่องกันมา ระหว่าง “ประเทศไทย” กับ “ขุนทหาร” บัดนี้, สถานการณ์ยังหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้ง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฐานะ “ผู้อำนวยการ ศอฉ.” ต้องคุมวิกฤติให้ดี ที่สำคัญ “ฝ่ายรัฐบาล”...อย่าราดน้ำมัน ใส่กองเพลิงจะลามพรึบทันที ยิ่งการผ่าทางตัน ด้วยการเอาตัวรอด แบบมี “ตัวช่วยเต็มสตีม” เหมือนที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เคยสร้างปาฏิหาริย์ “การยุบพรรค”มานักต่อนักแล้ว...หากคดีเงิน ๒๙ ล้าน ที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายเลือกตั้ง รอดประกาศิต “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ไปได้..จะจี้ต่อมระเบิดให้คนลุกฮือ ถ้า “ประชาธิปัตย์”รอดตัวไป...ชักหวาดหวั่นหัวใจ?..ไทยกับไทย คงแตกดั่งเขาลือ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
มองกันแต่แง่ ‘ภาพลบ’
ความเที่ยงตรง ยึดมั่นกฎข้าราชการ ของ “กษิต ภิรมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เขาก็มีคบ??? การไขว่ห้าง ย่างเท้า ก้าวเข้ามาเป็น “ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ” ของ “ท่านธีรกุล นิยม” ถูกต้องตามกฎกติกามารยาท..เสียแต่ว่า ไม่ใช่เป็นการ “ตั้งแท่น” จาก “รัฐมนตรีกษิต” เป็นการชี้ขาด ...ใช้อำนาจโดย “นายกฯ อภิสิทธิ์” กล่าวคือ, “ท่านกษิต ภิรมย์” เป็นเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ที่ยึดในหลักอาวุโสยิ่งนัก...จึงเสนอบุคคลขึ้นเป็น “ปลัดกระทรวง” ตามระบอบความอาวุโสเป็นที่ตั้ง..แต่ปรากฏว่า ท่านนี้ “นายกฯอภิสิทธิ์” มองว่า สนิทสนมกับ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ชินวัตร อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง ผู้เป็นมาดาม ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ชื่อจึงถูกตีตก ชื่อหล่นกระเด็น จึงขอบอก “รัฐมนตรีกษิต” ที่ร่วมรัฐบาล..ก็เป็นคนเอาถ่าน?...อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ล้อเล่น
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
เจ้าหน้าที่ ทั้ง “ทหาร” และ “ตำรวจ” ที่เข้าไปร่วมเสริมทัพ ...ทำงานอยู่ที่ “ศูนย์ ศอฉ.” ต่างพากันร้อนตัวทุกคน ด้วยอำนาจครอบจักรวาล มหาสมุทรนั้น.ปรากฏว่าทุกคดีความ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ต้องรับหน้าเสื่อ รับผิดชอบ ประการใด “ทหาร-ตำรวจ” แอ่นอก...เหมือนตกนรก กฎหมายตามเล่นงานให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ผบ.ตร. รวมทั้ง ขุนศึกทหารและตำรวจระดับบิ๊ก มีชนักติดหลังคดีความเล่นงานเป็นพรวน...ถ้า “นายกฯอภิสิทธิ์” ไม่เร่งขวนขวายหาทางให้ “อัยการ” ทำคดีช่วยแล้ว..ต่อไป “ทหาร-ตำรวจ” จะเข้าเกียร์ว่าง ไม่ทำการ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ตามคำสั่ง “ศอออฉอ” ที่รัฐบาลตั้งมา ทำตาม “รัฐบาลอภิสิทธิ์”.....แต่ต้องรับโทษผิด?...แล้วใครจะคิดรับใช้ อีกล่ะหว่า?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เป็นคอคอยกับ ‘เนวิน’
“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จึงไม่น่าจะเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” ให้กับ “คนสีแดง” ผู้ที่นิยม “ทักษิณ” การรอดปากเหยี่ยวปากกา ของ “อดีตรัฐมนตรีสุริยะ” จึงไม่ใช่เรื่องแปลก...เพราะท่านได้แหกด่านมะขาม เตี้ย ไปอยู่กับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” มานานหลายปีมะโว้ ที่มีชื่อติดหรา ว่าเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง”....เป็นการบ่ายเบี่ยง เพื่อเล่นงานคนใหญ่คนโต หลุดจากบ่วงกรรมคราวนี้ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ดูกระชุ่มกระช่วยเป็นอันมากส์....อย่างไรก็ดี อยากให้ท่านรักษาสุขภาพสักหน่อย “เชียร์บอลโลก” อดหลับอดนอนเช่นนั้น มันสะเทือนสุขภาพ เงินทองมีล้นฟ้า แหเงินสด...ชาตินี้ชาติหน้าใช้ไม่หมด..จะอดนอน ทำลายสังขาร ทำไมเล่าครับ???.
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
เหตุการณ์ “เมษาฯโหด-พฤษภาอำมหิต” ของการ “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับพื้นที่”นั้น จะเพิ่มดีกรีหนัก เมื่อยังไม่คืนความเป็นธรรมแก่ “คนเสื้อแดง” ถึง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะทำตัวเป็นยักษ์มีกระบอง ด้วยการคงอำนาจ “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ให้มีอำนาจเหนือ “รัฐธรรมนูญ” ยิ่งลาก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกไป...ประเทศไทย จะเกิดปฏิกริยาต่อต้าน มากเท่านั้นแหละคุณ เมื่อใช้ “พ.ร.ก.” กดหัวคนเอาไว้...จนกลายสภาพเป็น “หมาจนตรอก” เขาก็ต้องฮึดสู้ จาก “กรกฎาฯ ถึง “ธันวาฯ”...สถานการณ์ทายท้า?..มีเค้าว่า น่าเป็นห่วงสุดกู่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ดวงเมือง’ นั้นอิงกับ ‘ดาวอังคาร’
ทำมุมหนุนเนื่องกันมา ระหว่าง “ประเทศไทย” กับ “ขุนทหาร” บัดนี้, สถานการณ์ยังหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้ง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฐานะ “ผู้อำนวยการ ศอฉ.” ต้องคุมวิกฤติให้ดี ที่สำคัญ “ฝ่ายรัฐบาล”...อย่าราดน้ำมัน ใส่กองเพลิงจะลามพรึบทันที ยิ่งการผ่าทางตัน ด้วยการเอาตัวรอด แบบมี “ตัวช่วยเต็มสตีม” เหมือนที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เคยสร้างปาฏิหาริย์ “การยุบพรรค”มานักต่อนักแล้ว...หากคดีเงิน ๒๙ ล้าน ที่ใช้ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายเลือกตั้ง รอดประกาศิต “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ไปได้..จะจี้ต่อมระเบิดให้คนลุกฮือ ถ้า “ประชาธิปัตย์”รอดตัวไป...ชักหวาดหวั่นหัวใจ?..ไทยกับไทย คงแตกดั่งเขาลือ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
มองกันแต่แง่ ‘ภาพลบ’
ความเที่ยงตรง ยึดมั่นกฎข้าราชการ ของ “กษิต ภิรมย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เขาก็มีคบ??? การไขว่ห้าง ย่างเท้า ก้าวเข้ามาเป็น “ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ” ของ “ท่านธีรกุล นิยม” ถูกต้องตามกฎกติกามารยาท..เสียแต่ว่า ไม่ใช่เป็นการ “ตั้งแท่น” จาก “รัฐมนตรีกษิต” เป็นการชี้ขาด ...ใช้อำนาจโดย “นายกฯ อภิสิทธิ์” กล่าวคือ, “ท่านกษิต ภิรมย์” เป็นเจ้ากระทรวงบัวแก้ว ที่ยึดในหลักอาวุโสยิ่งนัก...จึงเสนอบุคคลขึ้นเป็น “ปลัดกระทรวง” ตามระบอบความอาวุโสเป็นที่ตั้ง..แต่ปรากฏว่า ท่านนี้ “นายกฯอภิสิทธิ์” มองว่า สนิทสนมกับ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ชินวัตร อดีตสตรีหมายเลขหนึ่ง ผู้เป็นมาดาม ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ชื่อจึงถูกตีตก ชื่อหล่นกระเด็น จึงขอบอก “รัฐมนตรีกษิต” ที่ร่วมรัฐบาล..ก็เป็นคนเอาถ่าน?...อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ล้อเล่น
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
เจ้าหน้าที่ ทั้ง “ทหาร” และ “ตำรวจ” ที่เข้าไปร่วมเสริมทัพ ...ทำงานอยู่ที่ “ศูนย์ ศอฉ.” ต่างพากันร้อนตัวทุกคน ด้วยอำนาจครอบจักรวาล มหาสมุทรนั้น.ปรากฏว่าทุกคดีความ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่ต้องรับหน้าเสื่อ รับผิดชอบ ประการใด “ทหาร-ตำรวจ” แอ่นอก...เหมือนตกนรก กฎหมายตามเล่นงานให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม, “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ผบ.ตร. รวมทั้ง ขุนศึกทหารและตำรวจระดับบิ๊ก มีชนักติดหลังคดีความเล่นงานเป็นพรวน...ถ้า “นายกฯอภิสิทธิ์” ไม่เร่งขวนขวายหาทางให้ “อัยการ” ทำคดีช่วยแล้ว..ต่อไป “ทหาร-ตำรวจ” จะเข้าเกียร์ว่าง ไม่ทำการ “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่” ตามคำสั่ง “ศอออฉอ” ที่รัฐบาลตั้งมา ทำตาม “รัฐบาลอภิสิทธิ์”.....แต่ต้องรับโทษผิด?...แล้วใครจะคิดรับใช้ อีกล่ะหว่า?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เป็นคอคอยกับ ‘เนวิน’
“สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” จึงไม่น่าจะเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” ให้กับ “คนสีแดง” ผู้ที่นิยม “ทักษิณ” การรอดปากเหยี่ยวปากกา ของ “อดีตรัฐมนตรีสุริยะ” จึงไม่ใช่เรื่องแปลก...เพราะท่านได้แหกด่านมะขาม เตี้ย ไปอยู่กับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” มานานหลายปีมะโว้ ที่มีชื่อติดหรา ว่าเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง”....เป็นการบ่ายเบี่ยง เพื่อเล่นงานคนใหญ่คนโต หลุดจากบ่วงกรรมคราวนี้ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” ดูกระชุ่มกระช่วยเป็นอันมากส์....อย่างไรก็ดี อยากให้ท่านรักษาสุขภาพสักหน่อย “เชียร์บอลโลก” อดหลับอดนอนเช่นนั้น มันสะเทือนสุขภาพ เงินทองมีล้นฟ้า แหเงินสด...ชาตินี้ชาติหน้าใช้ไม่หมด..จะอดนอน ทำลายสังขาร ทำไมเล่าครับ???.
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
นิวยอร์กไทม์: ประเทศไทยเล่นไม่เลิกกับผู้ต้องสงสัยว่าหนุนเสื้อแดง
Thailand Acts Against Suspected Red Shirt Backers
By SETH MYDANS
ที่มา – The New York Times
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
กรุงเทพ – รัฐบาลไทยดำเนินขั้นตอนต่อไปในการรณรงค์ต่อต้านกลุ่มเคลื่อนไหวที่แข็งข้อ ซึ่งรู้จักในนามเสื้อแดง โดยการอายัดทรัพย์สินของบุคคลจำนวนมากที่รัฐบาลอ้างว่า ให้ความช่วยเหลือการประท้วงเมื่อไม่นานมานี้ และวางแผนที่จะออกหมายศาลเรียกตัวบุคคลเหล่านี้มาสอบสวน
สองเดือนแห่งการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลสิ้นสุดลงในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เมื่อกองทัพขับไล่การตั้งค่ายของเสื้อแดงในใจกลางย่านศูนย์การค้าของกรุงเทพ
ในช่วงที่เกิดการประท้วงมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย ๘๘ คน และได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย ๑,๘๐๐ คน
นับตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลจัดการกับฝ่ายตรงข้ามโดยใช้แนวทางคู่ขนาน นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเน้นนโยบายสมานฉันท์แห่งชาติ ในขณะที่สมาชิกฝ่ายตรงข้ามจำนวนหลายร้อยคนถูกจับกุมตัว และถูกกักขังโดยปราศจากการถูกไต่สวน
โรดแมพเพื่อการสมานฉันท์ของนายกฯในเวลานี้ เพิ่มบรรยากาศแห่งความรุนแรงให้มากขึ้น กลายเป็นเป้าใหม่ที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำมาโจมตี
ในวันจันทร์ รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้สั่งการด้านความมั่นคงของรัฐบาล กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯที่ประกาศใช้ในระหว่างการประท้วงจะยังคงมีผลบังคับใช้ เนื่องจากยังคงมีการคุกคามที่จะก่อความไม่สงบ
การประท้วงที่ยาวนานและถูกจัดตั้งอย่างดีนั้น แน่นอน ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายสูง รวมไปถึงค่าเดินทาง ทั้งค่าดูแลผู้ประท้วงจำนวนหลายหมื่นคนที่มาจากชนบท รวมไปถึงสื่อที่มีความเชี่ยวชาญ และการรณรงค์เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ
กรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า มีบุคคลจำนวน ๘๓ คน และบริษัทต่างๆซึ่งคิดว่าให้การสนับสนุนผู้ประท้วง ในช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมา บุคคลเหล่านี้ได้มีการเคลื่อนไหวทางการเงินในลักษณะน่าสงสัยเป็นจำนวนมาก และบ่อยครั้ง และกล่าวต่อว่า วันจันทร์หน้านี้จะเริ่มต้นทำการสอบสวน
ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า “บุคคลเหล่านี้แต่ละคนถูกสงสัยเป็นธรรมดาว่ามีการเคลื่อนไหวในทางการเงินที่ผิดปกติ และเราขอความร่วมมือจากพวกเขาให้มารายงานตัว และให้คำอธิบาย เนื่องจากเรากำลังสอบสวนความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ในขณะนี้”
ผู้ต้องสงสัย ซึ่งได้ลดจำนวนลงจากยอดเดิม ๑๗๐ คน รวมไปถึงสมาชิกในครอบครัวของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรที่กำลังลี้ภัย ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการประท้วง เขาถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ และต้องอาศัยอยู่ในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงโทษจำคุกในข้อหาทุจริต
รัฐบาลไทยกล่าวหาเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ร่วมกับผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกกักขังอีกอย่างน้อย ๓๙ คนด้วยข้อหาเดียวกัน แกนนำประท้วงคนอื่นๆกำลังหลบหนี หรือไม่ก็อาศัยในต่างประเทศ
จากบัญชีรายชื่อของรัฐบาล ประชาชนที่ถูกจับทั้งหมด ๔๒๒ คนเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องในการประท้วง รัฐบาลกล่าวว่า กำลังตามล่าตัวพวกนี้ที่กำลังหลบหนีอีกหลายร้อยคน
ในบรรดาผู้ที่โดนจับขังมีชาวอังกฤษหนึ่งคน และชาวออสเตรเลียหนึ่งคน ซึ่งได้ขึ้นเวทีกับแกนนำการประท้วง และได้ถูกกล่าวหาว่า ละเมิด พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ
รายงานข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่นี่ ตั้งแต่เดือนกันยายน ได้มีการถอนเงินก้อนโตจากบัญชีธนาคารของสมาชิกในครอบครัวทักษิณ และจากบัญชีของผู้สนับสนุน และได้มีการโอนถ่ายไปยังบัญชีของแกนนำการประท้วง และนักการเมืองที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน
ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติของทักษิณ หนึ่งในผู้ที่ถูกหมายศาลเรียกตัว กล่าวกับหนังสือพิมพ์เนชั่นว่า เขาพร้อมที่จะอธิบายการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวน ๓,๗๐๐ ล้านบาทนี้ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นการดำเนินธุรกิจอย่างปกติ และการุณ โหสกุล ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามเป็นอีกคนหนึ่งที่มีชื่อในบัญชีนี้ เรียกการสอบสวนทางการเงินนี้ว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลั่นแกล้งทางการเมือง”
อภิสิทธิ์ตอบโต้การกล่าวหาเช่นนี้ว่า “ผมยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยปรารถนาที่จะกลั่นแกล้งใคร” เขากล่าวว่าจำเป็นต้องมีการควบคุมธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายต่อไป และผู้ซึ่งถูกอายัดบัญชีนั้นจะยังคงสามารถมีกิจกรรมต่างๆได้ เช่น จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าแรงคนงาน และหนี้ต่างๆได้
จตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงที่โด่งดัง และ ส.ส.ฝ่ายค้าน ร้องทุกข์ต่อเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐาน ซึ่งใช้เป็นประเด็นหลักตลอดการประท้วง
เขากล่าวว่า ผู้สนับสนุนการประท้วงของ “เสื้อเหลือง” ซึ่งต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว และสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ ไม่เคยถูกสอบสวนในด้านการเงิน หรือถูกลงโทษใดๆ
เนชั่นรายงานว่า รัฐบาลพยายามอุดช่องว่างทั้งหมด โดยการเปลี่ยนฮวงจุ้ยในทำเนียบรัฐบาล เปลี่ยนตำแหน่งการวางเครื่องตบแต่งบางอย่างเพื่อกันความอัปมงคล และเพื่อประกันความเจริญมั่นคง
By SETH MYDANS
ที่มา – The New York Times
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
กรุงเทพ – รัฐบาลไทยดำเนินขั้นตอนต่อไปในการรณรงค์ต่อต้านกลุ่มเคลื่อนไหวที่แข็งข้อ ซึ่งรู้จักในนามเสื้อแดง โดยการอายัดทรัพย์สินของบุคคลจำนวนมากที่รัฐบาลอ้างว่า ให้ความช่วยเหลือการประท้วงเมื่อไม่นานมานี้ และวางแผนที่จะออกหมายศาลเรียกตัวบุคคลเหล่านี้มาสอบสวน
สองเดือนแห่งการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลสิ้นสุดลงในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม เมื่อกองทัพขับไล่การตั้งค่ายของเสื้อแดงในใจกลางย่านศูนย์การค้าของกรุงเทพ
ในช่วงที่เกิดการประท้วงมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย ๘๘ คน และได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย ๑,๘๐๐ คน
นับตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลจัดการกับฝ่ายตรงข้ามโดยใช้แนวทางคู่ขนาน นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเน้นนโยบายสมานฉันท์แห่งชาติ ในขณะที่สมาชิกฝ่ายตรงข้ามจำนวนหลายร้อยคนถูกจับกุมตัว และถูกกักขังโดยปราศจากการถูกไต่สวน
โรดแมพเพื่อการสมานฉันท์ของนายกฯในเวลานี้ เพิ่มบรรยากาศแห่งความรุนแรงให้มากขึ้น กลายเป็นเป้าใหม่ที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลนำมาโจมตี
ในวันจันทร์ รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้สั่งการด้านความมั่นคงของรัฐบาล กล่าวว่า พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯที่ประกาศใช้ในระหว่างการประท้วงจะยังคงมีผลบังคับใช้ เนื่องจากยังคงมีการคุกคามที่จะก่อความไม่สงบ
การประท้วงที่ยาวนานและถูกจัดตั้งอย่างดีนั้น แน่นอน ย่อมต้องมีค่าใช้จ่ายสูง รวมไปถึงค่าเดินทาง ทั้งค่าดูแลผู้ประท้วงจำนวนหลายหมื่นคนที่มาจากชนบท รวมไปถึงสื่อที่มีความเชี่ยวชาญ และการรณรงค์เพื่อโฆษณาชวนเชื่อ
กรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า มีบุคคลจำนวน ๘๓ คน และบริษัทต่างๆซึ่งคิดว่าให้การสนับสนุนผู้ประท้วง ในช่วงเก้าเดือนที่ผ่านมา บุคคลเหล่านี้ได้มีการเคลื่อนไหวทางการเงินในลักษณะน่าสงสัยเป็นจำนวนมาก และบ่อยครั้ง และกล่าวต่อว่า วันจันทร์หน้านี้จะเริ่มต้นทำการสอบสวน
ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษกล่าวว่า “บุคคลเหล่านี้แต่ละคนถูกสงสัยเป็นธรรมดาว่ามีการเคลื่อนไหวในทางการเงินที่ผิดปกติ และเราขอความร่วมมือจากพวกเขาให้มารายงานตัว และให้คำอธิบาย เนื่องจากเรากำลังสอบสวนความวุ่นวายทางการเมืองอยู่ในขณะนี้”
ผู้ต้องสงสัย ซึ่งได้ลดจำนวนลงจากยอดเดิม ๑๗๐ คน รวมไปถึงสมาชิกในครอบครัวของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรที่กำลังลี้ภัย ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้สนับสนุนให้เกิดการประท้วง เขาถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ และต้องอาศัยอยู่ในต่างประเทศเพื่อเลี่ยงโทษจำคุกในข้อหาทุจริต
รัฐบาลไทยกล่าวหาเขาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ร่วมกับผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกกักขังอีกอย่างน้อย ๓๙ คนด้วยข้อหาเดียวกัน แกนนำประท้วงคนอื่นๆกำลังหลบหนี หรือไม่ก็อาศัยในต่างประเทศ
จากบัญชีรายชื่อของรัฐบาล ประชาชนที่ถูกจับทั้งหมด ๔๒๒ คนเพราะมีส่วนเกี่ยวข้องในการประท้วง รัฐบาลกล่าวว่า กำลังตามล่าตัวพวกนี้ที่กำลังหลบหนีอีกหลายร้อยคน
ในบรรดาผู้ที่โดนจับขังมีชาวอังกฤษหนึ่งคน และชาวออสเตรเลียหนึ่งคน ซึ่งได้ขึ้นเวทีกับแกนนำการประท้วง และได้ถูกกล่าวหาว่า ละเมิด พ.ร.บ.ฉุกเฉินฯ
รายงานข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ที่นี่ ตั้งแต่เดือนกันยายน ได้มีการถอนเงินก้อนโตจากบัญชีธนาคารของสมาชิกในครอบครัวทักษิณ และจากบัญชีของผู้สนับสนุน และได้มีการโอนถ่ายไปยังบัญชีของแกนนำการประท้วง และนักการเมืองที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน
ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติของทักษิณ หนึ่งในผู้ที่ถูกหมายศาลเรียกตัว กล่าวกับหนังสือพิมพ์เนชั่นว่า เขาพร้อมที่จะอธิบายการทำธุรกรรมทางการเงินจำนวน ๓,๗๐๐ ล้านบาทนี้ ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นการดำเนินธุรกิจอย่างปกติ และการุณ โหสกุล ส.ส.ฝ่ายตรงข้ามเป็นอีกคนหนึ่งที่มีชื่อในบัญชีนี้ เรียกการสอบสวนทางการเงินนี้ว่า “ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกลั่นแกล้งทางการเมือง”
อภิสิทธิ์ตอบโต้การกล่าวหาเช่นนี้ว่า “ผมยืนยันว่า รัฐบาลไม่เคยปรารถนาที่จะกลั่นแกล้งใคร” เขากล่าวว่าจำเป็นต้องมีการควบคุมธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายต่อไป และผู้ซึ่งถูกอายัดบัญชีนั้นจะยังคงสามารถมีกิจกรรมต่างๆได้ เช่น จ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าแรงคนงาน และหนี้ต่างๆได้
จตุพร พรหมพันธ์ หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงที่โด่งดัง และ ส.ส.ฝ่ายค้าน ร้องทุกข์ต่อเรื่องการปฏิบัติสองมาตรฐาน ซึ่งใช้เป็นประเด็นหลักตลอดการประท้วง
เขากล่าวว่า ผู้สนับสนุนการประท้วงของ “เสื้อเหลือง” ซึ่งต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว และสนับสนุนรัฐบาลชุดนี้ ไม่เคยถูกสอบสวนในด้านการเงิน หรือถูกลงโทษใดๆ
เนชั่นรายงานว่า รัฐบาลพยายามอุดช่องว่างทั้งหมด โดยการเปลี่ยนฮวงจุ้ยในทำเนียบรัฐบาล เปลี่ยนตำแหน่งการวางเครื่องตบแต่งบางอย่างเพื่อกันความอัปมงคล และเพื่อประกันความเจริญมั่นคง
วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ความมั่นคงแห่งชาติระหว่างการปลุกระดมและข้อเท็จจริง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย เรืองยศ จันทรคีรี
ถ้ามองในทรรศนะเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ความเคลื่อนไหวในการปลุกระดมก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งทางฝ่ายรัฐจะต้องจับตาเฝ้ามอง มีหลายคนในคณะรัฐบาลหรือที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. ได้เอาเหตุผลดังกล่าวเข้ามาอ้างอิงถึงสำหรับการจะยกเลิกหรือคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ร้ายแรงเอาไว้ต่อไป...เหตุผลนั้นก็คือ เมื่อยังมีการเคลื่อนไหวในทำนองปลุกระดมมวลชน รัฐก็ไม่สามารถที่จะผ่อนคลายสถานการณ์ ซึ่งเป็นไปได้มากที่ภายหลังวันที่ 7 กรกฎาคมมีโอกาสสูงและเป็นไปได้สำหรับคนไทยที่จะต้องอาศัยอยู่กับความคุ้นเคยภายใต้บรรยากาศของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ร้ายแรง?
ในที่นี้เราคงไม่ถกกันว่า “ความมั่นคงของรัฐมันคืออะไรกันแน่?” เพราะมีบางแนวคิดเคยเสนอให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างความมั่นคงของรัฐกับความมั่นคงของรัฐบาล ปัจจุบันนี้เข้าใจว่าทั้งสองความมั่นคงได้ถูกควบแน่นจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันที่แยกออกจากกันได้ยาก...กรณีการปลุกระดมยังมีข้อสงสัยอีกมากนัก น่าสงสัยถึงเป้าหมายของการปลุกระดม ปลุกระดมเพื่ออะไรกัน? เป็นการปลุกระดมเพื่อสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐหรือผู้ปลุกระดมนั้นมีความชิงชัง ไม่ชอบต่อการบริหารจัดการของคณะรัฐบาล พูดง่ายๆคือปรารถนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลเสียใหม่โดยทางหนึ่งทางใด ซึ่งเป็นไปโดยหนทางสันติ?
แต่อย่างไรก็ตามภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้มันเป็นเรื่องพูดยาก เพราะที่ผ่านมาบรรดาผู้ชุมนุมได้อ้างตัวเองว่า “ปลุกระดมเพื่อหวังให้ประชาชนเข้าร่วมในการชุมนุม เรียกร้องรัฐบาลให้ดำเนินการยุบสภา” แต่ในฝ่ายรัฐไม่ได้เห็นอย่างนั้น จะเป็นวาทกรรมหรือไม่วาทกรรมก็ช่างหัวเถอะ เพราะผลสุดท้ายมันออกมาเป็นความรุนแรง รัฐบาลกับหน่วยงานความมั่นคงอ้างข้อมูลหลักฐานระบุว่า “การปลุกระดมดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยตามปรกติ แต่เป็นวิธีวางแผนเพื่อโค่นล้มทำลายระบอบ” รัฐกับหน่วยงานความมั่นคงยังชี้ให้เห็นการชุมนุมและปลุกระดมทั้งหมดถูกแฝงเอาไว้ด้วยกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งยังรวมพวกมีทรรศนะส่อล้มเจ้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในความเคลื่อนไหวนั้นด้วย?
จนถึงบัดนี้เมื่อรัฐและหน่วยงานความมั่นคงยังติดตามความเคลื่อนไหว ประกบติดตัวบุคคลซึ่งสงสัยว่าเป็นแกนนำ เฝ้ามองว่าบุคคลต้องสงสัยเหล่านั้นยังปลุกระดมอยู่หรือไม่? ตรงนี้จึงเป็นคำถามถึงความหมายของการปลุกระดม อาจถามแบบผู้ใหญ่ลีสมัยก่อนได้ว่าการปลุกระดมนั้นคืออะไร? ส่วนใหญ่นั้นเป็นที่เข้าใจกันว่าในการปลุกระดมมักจะเป็นการพูดหรือสื่อสารในสิ่งซึ่งไม่ใช่ความจริงหรือข้อเท็จจริง เป็นการบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด ทั้งนี้ เพื่อชักจูงบุคคลให้เข้าสนับสนุนหรือร่วมเคลื่อนไหวสู่เป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใด? การปลุกระดมในความหมายส่วนใหญ่จึงหนีไม่พ้น “การสื่อความโดยวิธีต่างๆ ซึ่งไปกระทบความมั่นคงของรัฐ”
ในแง่ความหมายของความมั่นคงเราพอเข้าใจกันได้ เป็นต้นว่ายุยงส่งเสริมให้เปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นการพูดจาที่โจมตีจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง สร้างความเข้าใจผิดหรือความเสียหายไปในด้านต่างๆที่ไม่ดี...คืออะไรต่างๆเหล่านี้ถือเป็นเรื่องพอเข้าใจกันได้ แต่ก็น่าสงสัยว่าถ้าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์เปิดเผยตีแผ่เกี่ยวกับเบื้องหลังต่างๆของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือใครต่อใครในคณะรัฐบาล...มีคำถามว่าพฤติกรรมลักษณะนี้มันจะเข้าข่ายเป็นการปลุกระดมหรือโจมตีใส่ร้ายทำลายความมั่นคงของชาติหรือเปล่า?
อาจยกตัวอย่างการตีแผ่และเปิดเผยเรื่องที่ดินปริศนาบนเกาะสมุย ซึ่งดูพรรคเพื่อไทยก็รุกเข้าไปใกล้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ซ้ำเรื่องมันยังฟังขึ้นเสียด้วย หนังสือพิมพ์บางฉบับช่วยกันชี้พิรุธ 10 ประการ เกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นที่มีต้นตออย่างไม่ชอบมาพากล...ประเด็นตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวได้หยิบเอากรณีนี้ไปกล่าวโจมตีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เราต้องถามว่านี้เป็นการปลุกระดมด้วยหรือไม่?
กรณีข้อสงสัยอีกมากมายเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดนี้ แม้กระทั่งการตั้งคำถามต่อรัฐบาลที่มีแนวคิดอยากซื้อดาวเทียมไทยคมเป็นของรัฐ ซึ่งก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงรายการปั่นหุ้น เป็นการสร้างข่าวให้ราคาหุ้นมีความเคลื่อนไหวหลังจากหยุดนิ่งมานาน แล้วสื่อมวลชนอีกไม่น้อยได้ตรวจสอบ ให้สัมภาษณ์ถึงนอมินีที่อยู่เบื้องหลังนักการเมืองถือโอกาสฟันผลกำไรไปได้หลายร้อยล้านบาท บางข่าวแฉข้อมูลถึงการเตรียมตัวเพื่อหาเม็ดเงินเตรียมการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้...
การขุดแฉและเปิดเผยข้อเท็จจริงในลักษณะนี้ถามว่ามันเป็นการปลุกระดมหรือไม่? เข้าข่ายพยายามทำลายความมั่นคงของรัฐหรือเปล่า? โดยเฉพาะถ้าความมั่นคงของรัฐบาลถูกทำให้เชื่อเป็นความมั่นคงของรัฐก็แสดงว่ารัฐนี้ชักจะไม่มั่นคงเสียแล้ว?
**********************************************************************
โดย เรืองยศ จันทรคีรี
ถ้ามองในทรรศนะเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ความเคลื่อนไหวในการปลุกระดมก็ถือเป็นสิ่งที่สำคัญซึ่งทางฝ่ายรัฐจะต้องจับตาเฝ้ามอง มีหลายคนในคณะรัฐบาลหรือที่เกี่ยวข้องกับ ศอฉ. ได้เอาเหตุผลดังกล่าวเข้ามาอ้างอิงถึงสำหรับการจะยกเลิกหรือคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ร้ายแรงเอาไว้ต่อไป...เหตุผลนั้นก็คือ เมื่อยังมีการเคลื่อนไหวในทำนองปลุกระดมมวลชน รัฐก็ไม่สามารถที่จะผ่อนคลายสถานการณ์ ซึ่งเป็นไปได้มากที่ภายหลังวันที่ 7 กรกฎาคมมีโอกาสสูงและเป็นไปได้สำหรับคนไทยที่จะต้องอาศัยอยู่กับความคุ้นเคยภายใต้บรรยากาศของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ร้ายแรง?
ในที่นี้เราคงไม่ถกกันว่า “ความมั่นคงของรัฐมันคืออะไรกันแน่?” เพราะมีบางแนวคิดเคยเสนอให้เห็นข้อแตกต่างระหว่างความมั่นคงของรัฐกับความมั่นคงของรัฐบาล ปัจจุบันนี้เข้าใจว่าทั้งสองความมั่นคงได้ถูกควบแน่นจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันที่แยกออกจากกันได้ยาก...กรณีการปลุกระดมยังมีข้อสงสัยอีกมากนัก น่าสงสัยถึงเป้าหมายของการปลุกระดม ปลุกระดมเพื่ออะไรกัน? เป็นการปลุกระดมเพื่อสั่นคลอนความมั่นคงของรัฐหรือผู้ปลุกระดมนั้นมีความชิงชัง ไม่ชอบต่อการบริหารจัดการของคณะรัฐบาล พูดง่ายๆคือปรารถนาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลเสียใหม่โดยทางหนึ่งทางใด ซึ่งเป็นไปโดยหนทางสันติ?
แต่อย่างไรก็ตามภายใต้สภาวการณ์เช่นนี้มันเป็นเรื่องพูดยาก เพราะที่ผ่านมาบรรดาผู้ชุมนุมได้อ้างตัวเองว่า “ปลุกระดมเพื่อหวังให้ประชาชนเข้าร่วมในการชุมนุม เรียกร้องรัฐบาลให้ดำเนินการยุบสภา” แต่ในฝ่ายรัฐไม่ได้เห็นอย่างนั้น จะเป็นวาทกรรมหรือไม่วาทกรรมก็ช่างหัวเถอะ เพราะผลสุดท้ายมันออกมาเป็นความรุนแรง รัฐบาลกับหน่วยงานความมั่นคงอ้างข้อมูลหลักฐานระบุว่า “การปลุกระดมดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยตามปรกติ แต่เป็นวิธีวางแผนเพื่อโค่นล้มทำลายระบอบ” รัฐกับหน่วยงานความมั่นคงยังชี้ให้เห็นการชุมนุมและปลุกระดมทั้งหมดถูกแฝงเอาไว้ด้วยกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งยังรวมพวกมีทรรศนะส่อล้มเจ้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในความเคลื่อนไหวนั้นด้วย?
จนถึงบัดนี้เมื่อรัฐและหน่วยงานความมั่นคงยังติดตามความเคลื่อนไหว ประกบติดตัวบุคคลซึ่งสงสัยว่าเป็นแกนนำ เฝ้ามองว่าบุคคลต้องสงสัยเหล่านั้นยังปลุกระดมอยู่หรือไม่? ตรงนี้จึงเป็นคำถามถึงความหมายของการปลุกระดม อาจถามแบบผู้ใหญ่ลีสมัยก่อนได้ว่าการปลุกระดมนั้นคืออะไร? ส่วนใหญ่นั้นเป็นที่เข้าใจกันว่าในการปลุกระดมมักจะเป็นการพูดหรือสื่อสารในสิ่งซึ่งไม่ใช่ความจริงหรือข้อเท็จจริง เป็นการบิดเบือน สร้างความเข้าใจผิด ทั้งนี้ เพื่อชักจูงบุคคลให้เข้าสนับสนุนหรือร่วมเคลื่อนไหวสู่เป้าหมายอย่างหนึ่งอย่างใด? การปลุกระดมในความหมายส่วนใหญ่จึงหนีไม่พ้น “การสื่อความโดยวิธีต่างๆ ซึ่งไปกระทบความมั่นคงของรัฐ”
ในแง่ความหมายของความมั่นคงเราพอเข้าใจกันได้ เป็นต้นว่ายุยงส่งเสริมให้เปลี่ยนระบอบการปกครอง เป็นการพูดจาที่โจมตีจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง สร้างความเข้าใจผิดหรือความเสียหายไปในด้านต่างๆที่ไม่ดี...คืออะไรต่างๆเหล่านี้ถือเป็นเรื่องพอเข้าใจกันได้ แต่ก็น่าสงสัยว่าถ้าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์เปิดเผยตีแผ่เกี่ยวกับเบื้องหลังต่างๆของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ, คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือใครต่อใครในคณะรัฐบาล...มีคำถามว่าพฤติกรรมลักษณะนี้มันจะเข้าข่ายเป็นการปลุกระดมหรือโจมตีใส่ร้ายทำลายความมั่นคงของชาติหรือเปล่า?
อาจยกตัวอย่างการตีแผ่และเปิดเผยเรื่องที่ดินปริศนาบนเกาะสมุย ซึ่งดูพรรคเพื่อไทยก็รุกเข้าไปใกล้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ ซ้ำเรื่องมันยังฟังขึ้นเสียด้วย หนังสือพิมพ์บางฉบับช่วยกันชี้พิรุธ 10 ประการ เกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้นที่มีต้นตออย่างไม่ชอบมาพากล...ประเด็นตรงนี้ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน นักการเมือง หรือนักเคลื่อนไหวได้หยิบเอากรณีนี้ไปกล่าวโจมตีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เราต้องถามว่านี้เป็นการปลุกระดมด้วยหรือไม่?
กรณีข้อสงสัยอีกมากมายเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดนี้ แม้กระทั่งการตั้งคำถามต่อรัฐบาลที่มีแนวคิดอยากซื้อดาวเทียมไทยคมเป็นของรัฐ ซึ่งก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปถึงรายการปั่นหุ้น เป็นการสร้างข่าวให้ราคาหุ้นมีความเคลื่อนไหวหลังจากหยุดนิ่งมานาน แล้วสื่อมวลชนอีกไม่น้อยได้ตรวจสอบ ให้สัมภาษณ์ถึงนอมินีที่อยู่เบื้องหลังนักการเมืองถือโอกาสฟันผลกำไรไปได้หลายร้อยล้านบาท บางข่าวแฉข้อมูลถึงการเตรียมตัวเพื่อหาเม็ดเงินเตรียมการเลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้...
การขุดแฉและเปิดเผยข้อเท็จจริงในลักษณะนี้ถามว่ามันเป็นการปลุกระดมหรือไม่? เข้าข่ายพยายามทำลายความมั่นคงของรัฐหรือเปล่า? โดยเฉพาะถ้าความมั่นคงของรัฐบาลถูกทำให้เชื่อเป็นความมั่นคงของรัฐก็แสดงว่ารัฐนี้ชักจะไม่มั่นคงเสียแล้ว?
**********************************************************************
เชือดนายทุน‘หนุนแดง’ ถูกต้อง หรือ สะใจ?!
อนาคตของเราเป็นเดิมพัน เสียงระฆังลั่นให้ขึ้นเวที!..ถึงเวลาคีย์ข้อมูลว่าด้วยเรื่องการอายัดบัญชีและห้ามทำธุรกรรมทางการเงิน 83 บัญชีรายชื่อบุคคลและนิติบุคคลมีอาการเหมือนรถติดเป็นอัมพฤกษ์-อัมพาต เพราะ 108 คณะกรรมการจากการแต่งตั้งของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพ่งพินิจแล้วพบว่า...
ทั้ง 83 บัญชีรายชื่อเข้าข่ายเป็นนายทุนเลี้ยงดูปูเสื่อ “คนเสื้อแดง” ให้อิ่มหมีพีมัน 83 บัญชีรายชื่อบุคคลรวมถึงนิติบุคล มีวงเงินหมุนเวียนรวมกันประมาณ 151,941,410,000 บาท หากจำนวนเงินทั้งหมดไหลเข้าไปเลี้ยงดูปูเสื่อคนเสื้อแดงจริงๆ...คงต้องบอกว่าเป็นการชุมนุมที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยมากที่สุดในโลก และหากใครบางคน
คิดว่า เงินคือพระเจ้า...ถามว่าเงินจำนวนมากมายมหาศาลดังกล่าวสามารถสนับสนุนให้ “บุคคลในสภาหินอ่อน” เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ? คำตอบ คือ เป็นไปได้...แต่ต้องถามต่อว่าแล้วใครจะทำ! ในเมื่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นท่อน้ำเลี้ยง “คนเสื้อแดง” ยังต้องทำมาหากิน...มีธุรกิจการค้าเอาเงินไป
ลงทุนหมุนเวียน...จะเจ๊ง จะเจ๊า หรือได้กำไร ไม่มีใครสามารถตอบได้...นอกจาก “ศักยภาพ” ในด้านการลงทุนของแต่ละบุคคล เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผ่านมาแล้วผ่านไป...มิใช่เงินก้อนโตที่นอนนิ่งเหมาะแก่การจับจ่ายใช้สอย เฉกเช่น “งบประมาณ” ของแผ่นดิน คุ้มหรือไม่? กับการลงทุนซึ่งมิอาจคาดเดากับผลลัพธ์ที่จะ
เกิดขึ้นในอนาคต...ทั้งที่รู้เห็นเต็มสองตาว่า “ผู้ที่จะโค่นล้ม” มิใช่บุคคลในอาชีพเดียวกัน ซึ่งเป็น “นักการเมือง” เพียงอย่างเดียว เพราะวันนี้ “อำนาจ” หลากหลายเส้นทางได้มุ่งสู่ถนนการเมือง...โดยการเกาะกลุ่มรวมตัวกันเพื่อ “ประสานประโยชน์” ให้เข้ากับพวกพ้องฝ่ายตน คนเหล่านี้มีเงิน...มีอำนาจ...และมีสื่อซึ่งถือเป็น
“อาวุธร้าย” ในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างครบถ้วน ขณะที่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นท่อน้ำเลี้ยง “คนเสื้อแดง” หลายบุคคลถูกลดบทบาทเป็นเพียง “ประชาชนคนธรรมดา” เพราะในประเทศไทยไม่มีอำนาจอะไรยิ่งใหญ่เหนือไปกว่า “อำนาจทางการเมือง” ความชั่วร้ายเหล่านี้มิใช่หรือที่ประชาชน “รุ่นแล้วรุ่นเล่า”
ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้อง “ความเป็นธรรม” แต่สุดท้ายก็ต้อง “ถอยไปตั้งหลัก” เพราะสรรพกำลังยังมิอาจต่อกรกับ “อำนาจมืด” ดังกล่าวได้ 28 มิถุนายนนี้...กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเรียก 83 บัญชีรายชื่อบุคคลและนิติบุคคล เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงว่า นำเงินส่วนตัวไปทำอะไร? ที่ไหน? อย่างไร?
และจำนวนเท่าได? เพื่อแลกมาซึ่งความอิสระปราศจากข้อหาการสนับสนุน “การก่อการร้าย” และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลอ้างว่าจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากบุคคลดังกล่าวต้องเข้าให้ข้อมูลธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ หรือธุรกรรมการเงินต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือพัวพันกับการเป็นท่อน้ำเลี้ยง
“คนเสื้อแดง” หรือไม่ หากไม่มารายงานตัว..คุกรออยู่! นี่คือระเบียบตามกฎหมาย ที่ผ่านมา...ต้องยอมรับว่า “การคอรัปชั่น” ยังติดหูติดตา แถมเป็นการคอรัปชั่น “ซึ่งๆหน้า” ภายนอกแต่งสูทดูดี...แต่ภายในไม่รู้เป็นพวก “กระสือกระหัง” หรือไม่ เพราะเห็นทำตัว “อดอยากปากแห้ง” กินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า...
ไม่เว้นแม้กระทั่งอุปกรณ์ไฮเทคนอกโลก เฉกเช่น “ดาวเทียม” เรื่องนี้ทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยว่า “83 บัญชีรายชื่อ” จะโดนเชือดในฐานะ “ฝ่ายตรงข้าม” หรือไม่? ทำไปเพื่อความสะใจ...ทำไปเพื่อสนองความต้องการของตนเอง คล้ายๆ พวก “รูปชั่วตัวดำ” ที่ทำตัวลึกลับหลบๆ ซ่อนๆ ร้องครวญครางซี๊ดอ้า...ซี๊ดอ้า
เพียงลำพังในห้องแคบสี่เหลี่ยม...เพราะไม่มีหญิงคนใดเหลียวมอง จำเป็นต้องเขียนถึงเรื่องดังกล่าวในฐานะตัวแทนประชาชน ซึ่งอาจมองไม่เห็นและคิดไม่ถึงเท่ากับมันสมองของ “ขุนนาง” ระดับประเทศ เราจะไม่พูดถึงกระบวนการชี้แจง..แต่จะเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการตรวจสอบ...ว่ากันตรงๆ
ก็คือ “รัฐบาล” ต้องแสดงออกอย่างจริงใจ...มิใช่ “ปรองดองบนปองร้าย” อย่าทำเสมือนว่า..ชัยชนะที่อยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามยังเป็นความต้องการที่ล้นปรี่ถึงคอหอย เพราะทุกวันนี้พรรครัฐบาลโดยการนำของ “ประชาธิปัตย์” ยังคงเป็นเส้นขนานกับพรรคฝ่ายค้าน “เพื่อไทย” อย่างปฏิเสธไม่ได้ ฉะนั้น...การตรวจสอบ
“เชือด” นายทุนหนุน “คนเสื้อแดง” จึงเป็นคำตอบที่สำคัญในการ “เรียกคืน” ศรัทธาของประชาชน หากผิดจริงแบบหลักฐานแน่นปึ๊ก...รัฐบาลจะลงดาบฟันให้คอขาดก็มีแต่คนชม แต่ถ้าลงดาบแบบหลักฐานครึ่งๆกลางๆ พิจารณาแล้วคิดว่า “น่าจะใช่” การปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นเรื่อง “ผิดมหันต์” เพราะนอกจากจะ
เป็นการ “ดิสเครดิต” ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล...มันยังเป็นการสร้าง “ความแตกแยก” ระหว่างคนไทยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น “ช่วงเวลาที่พวกท่านกำชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดไว้ได้...เป็นเวลาที่ต้องมีความเมตตาปราณีอย่างถึงที่สุด” คำพูดของ เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ “แมนเดลา” ต้องการบอกผู้มีอำนาจ
ทั่วโลกว่า...หากบุคคลใดยิ่งใหญ่ถึงขั้นสามารถหยิบยื่น “ความเป็นความตาย” ให้แก่ผู้อื่นได้...สิ่งที่พวกเขาควรทำ นั่นคือ การให้ “ความเมตตา” เพราะวันใดที่คนอยู่ใต้อำนาจขึ้นมาเป็นใหญ่ในวันข้างหน้า...เขาก็จะให้ “ความเมตตา” กับพวกท่านเช่นเดียวกัน!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
ทั้ง 83 บัญชีรายชื่อเข้าข่ายเป็นนายทุนเลี้ยงดูปูเสื่อ “คนเสื้อแดง” ให้อิ่มหมีพีมัน 83 บัญชีรายชื่อบุคคลรวมถึงนิติบุคล มีวงเงินหมุนเวียนรวมกันประมาณ 151,941,410,000 บาท หากจำนวนเงินทั้งหมดไหลเข้าไปเลี้ยงดูปูเสื่อคนเสื้อแดงจริงๆ...คงต้องบอกว่าเป็นการชุมนุมที่ใช้เงินฟุ่มเฟือยมากที่สุดในโลก และหากใครบางคน
คิดว่า เงินคือพระเจ้า...ถามว่าเงินจำนวนมากมายมหาศาลดังกล่าวสามารถสนับสนุนให้ “บุคคลในสภาหินอ่อน” เกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ? คำตอบ คือ เป็นไปได้...แต่ต้องถามต่อว่าแล้วใครจะทำ! ในเมื่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นท่อน้ำเลี้ยง “คนเสื้อแดง” ยังต้องทำมาหากิน...มีธุรกิจการค้าเอาเงินไป
ลงทุนหมุนเวียน...จะเจ๊ง จะเจ๊า หรือได้กำไร ไม่มีใครสามารถตอบได้...นอกจาก “ศักยภาพ” ในด้านการลงทุนของแต่ละบุคคล เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินที่ผ่านมาแล้วผ่านไป...มิใช่เงินก้อนโตที่นอนนิ่งเหมาะแก่การจับจ่ายใช้สอย เฉกเช่น “งบประมาณ” ของแผ่นดิน คุ้มหรือไม่? กับการลงทุนซึ่งมิอาจคาดเดากับผลลัพธ์ที่จะ
เกิดขึ้นในอนาคต...ทั้งที่รู้เห็นเต็มสองตาว่า “ผู้ที่จะโค่นล้ม” มิใช่บุคคลในอาชีพเดียวกัน ซึ่งเป็น “นักการเมือง” เพียงอย่างเดียว เพราะวันนี้ “อำนาจ” หลากหลายเส้นทางได้มุ่งสู่ถนนการเมือง...โดยการเกาะกลุ่มรวมตัวกันเพื่อ “ประสานประโยชน์” ให้เข้ากับพวกพ้องฝ่ายตน คนเหล่านี้มีเงิน...มีอำนาจ...และมีสื่อซึ่งถือเป็น
“อาวุธร้าย” ในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างครบถ้วน ขณะที่ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นท่อน้ำเลี้ยง “คนเสื้อแดง” หลายบุคคลถูกลดบทบาทเป็นเพียง “ประชาชนคนธรรมดา” เพราะในประเทศไทยไม่มีอำนาจอะไรยิ่งใหญ่เหนือไปกว่า “อำนาจทางการเมือง” ความชั่วร้ายเหล่านี้มิใช่หรือที่ประชาชน “รุ่นแล้วรุ่นเล่า”
ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้ออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้อง “ความเป็นธรรม” แต่สุดท้ายก็ต้อง “ถอยไปตั้งหลัก” เพราะสรรพกำลังยังมิอาจต่อกรกับ “อำนาจมืด” ดังกล่าวได้ 28 มิถุนายนนี้...กรมสอบสวนคดีพิเศษจะเรียก 83 บัญชีรายชื่อบุคคลและนิติบุคคล เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงว่า นำเงินส่วนตัวไปทำอะไร? ที่ไหน? อย่างไร?
และจำนวนเท่าได? เพื่อแลกมาซึ่งความอิสระปราศจากข้อหาการสนับสนุน “การก่อการร้าย” และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่รัฐบาลอ้างว่าจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากบุคคลดังกล่าวต้องเข้าให้ข้อมูลธุรกรรมการเงินที่ผิดปกติ หรือธุรกรรมการเงินต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือพัวพันกับการเป็นท่อน้ำเลี้ยง
“คนเสื้อแดง” หรือไม่ หากไม่มารายงานตัว..คุกรออยู่! นี่คือระเบียบตามกฎหมาย ที่ผ่านมา...ต้องยอมรับว่า “การคอรัปชั่น” ยังติดหูติดตา แถมเป็นการคอรัปชั่น “ซึ่งๆหน้า” ภายนอกแต่งสูทดูดี...แต่ภายในไม่รู้เป็นพวก “กระสือกระหัง” หรือไม่ เพราะเห็นทำตัว “อดอยากปากแห้ง” กินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า...
ไม่เว้นแม้กระทั่งอุปกรณ์ไฮเทคนอกโลก เฉกเช่น “ดาวเทียม” เรื่องนี้ทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยว่า “83 บัญชีรายชื่อ” จะโดนเชือดในฐานะ “ฝ่ายตรงข้าม” หรือไม่? ทำไปเพื่อความสะใจ...ทำไปเพื่อสนองความต้องการของตนเอง คล้ายๆ พวก “รูปชั่วตัวดำ” ที่ทำตัวลึกลับหลบๆ ซ่อนๆ ร้องครวญครางซี๊ดอ้า...ซี๊ดอ้า
เพียงลำพังในห้องแคบสี่เหลี่ยม...เพราะไม่มีหญิงคนใดเหลียวมอง จำเป็นต้องเขียนถึงเรื่องดังกล่าวในฐานะตัวแทนประชาชน ซึ่งอาจมองไม่เห็นและคิดไม่ถึงเท่ากับมันสมองของ “ขุนนาง” ระดับประเทศ เราจะไม่พูดถึงกระบวนการชี้แจง..แต่จะเน้นย้ำถึงความโปร่งใสในการตรวจสอบ...ว่ากันตรงๆ
ก็คือ “รัฐบาล” ต้องแสดงออกอย่างจริงใจ...มิใช่ “ปรองดองบนปองร้าย” อย่าทำเสมือนว่า..ชัยชนะที่อยู่เหนือฝ่ายตรงข้ามยังเป็นความต้องการที่ล้นปรี่ถึงคอหอย เพราะทุกวันนี้พรรครัฐบาลโดยการนำของ “ประชาธิปัตย์” ยังคงเป็นเส้นขนานกับพรรคฝ่ายค้าน “เพื่อไทย” อย่างปฏิเสธไม่ได้ ฉะนั้น...การตรวจสอบ
“เชือด” นายทุนหนุน “คนเสื้อแดง” จึงเป็นคำตอบที่สำคัญในการ “เรียกคืน” ศรัทธาของประชาชน หากผิดจริงแบบหลักฐานแน่นปึ๊ก...รัฐบาลจะลงดาบฟันให้คอขาดก็มีแต่คนชม แต่ถ้าลงดาบแบบหลักฐานครึ่งๆกลางๆ พิจารณาแล้วคิดว่า “น่าจะใช่” การปฏิบัติเช่นนี้ถือเป็นเรื่อง “ผิดมหันต์” เพราะนอกจากจะ
เป็นการ “ดิสเครดิต” ความน่าเชื่อถือของรัฐบาล...มันยังเป็นการสร้าง “ความแตกแยก” ระหว่างคนไทยให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น “ช่วงเวลาที่พวกท่านกำชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สุดไว้ได้...เป็นเวลาที่ต้องมีความเมตตาปราณีอย่างถึงที่สุด” คำพูดของ เนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ “แมนเดลา” ต้องการบอกผู้มีอำนาจ
ทั่วโลกว่า...หากบุคคลใดยิ่งใหญ่ถึงขั้นสามารถหยิบยื่น “ความเป็นความตาย” ให้แก่ผู้อื่นได้...สิ่งที่พวกเขาควรทำ นั่นคือ การให้ “ความเมตตา” เพราะวันใดที่คนอยู่ใต้อำนาจขึ้นมาเป็นใหญ่ในวันข้างหน้า...เขาก็จะให้ “ความเมตตา” กับพวกท่านเช่นเดียวกัน!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
พิชญ์ฉะประชาธิปไตยไทยไม่ไปพร้อมสิทธิมนุษยชน
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวในหัวข้อ "ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน: หลังสลายการชุมนุม" ในกิจกรรม Light Up Night ซึ่งจัดโดยแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ว่า ขณะที่บางสังคมมองว่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ไปคู่กัน ขาดกันไม่ได้ โดยเชื่อว่าสิทธิมนุษยชนจะทำให้ประชาธิปไตยมีคุณภาพ บางครั้งมีการใช้สองคำนี้แทนกัน ในการประชุมเรื่องสิทธิมนุษยชนก็มีนักกิจกรรมเรื่องประชาธิปไตยเข้าร่วม ขณะที่ในการประชุมเรื่องประธิปไตยก็มีนักสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมเช่นกัน แต่ในบางสังคม หลักการเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยถูกแยกออกจากกัน โดยเปลี่ยนให้สิทธิมนุษยชนเป็นเพียงมาตรฐานที่รัฐมอบให้ จะยกเลิกเมื่อใดก็ได้ ไม่ใช่สิทธิที่มาจากประชาชนเอง ส่วนประชาธิปไตยก็เป็นเพียงทางเลือกของแต่ละประเทศ
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าสิทธิมนุษยชนต้องไปควบคู่กับประชาธิปไตย ไม่ใช่การมองปัญหาสิทธิมนุษยชนรายกรณี แต่ต้องเชื่อมกับประชาธิปไตยให้ได้ รวมถึงมีกลไกป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิทางการเมือง โดยพิชญ์ได้วิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่าไม่มีกลไกในการป้องกันด้านสิทธิมนุษยชน โดยจะเห็นจากก่อนและขณะเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม กรรมการสิทธิฯ ไม่ได้ทำอะไร ขณะที่พอหลังเหตุการณ์ก็ค่อยตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ เขาตั้งคำถามด้วยว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่เคยบอกว่าจะสังเกตการชุมนุมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้นหายไปไหน เมื่อเกิดการสลายการชุมนุมและการชุมนุมสิ้นสุดลง
ที่มา.ประชาไท
อย่างไรก็ตาม เขามองว่าสิทธิมนุษยชนต้องไปควบคู่กับประชาธิปไตย ไม่ใช่การมองปัญหาสิทธิมนุษยชนรายกรณี แต่ต้องเชื่อมกับประชาธิปไตยให้ได้ รวมถึงมีกลไกป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิทางการเมือง โดยพิชญ์ได้วิจารณ์การทำงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่าไม่มีกลไกในการป้องกันด้านสิทธิมนุษยชน โดยจะเห็นจากก่อนและขณะเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุม กรรมการสิทธิฯ ไม่ได้ทำอะไร ขณะที่พอหลังเหตุการณ์ก็ค่อยตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อตรวจสอบหาข้อเท็จจริง
นอกจากนี้ เขาตั้งคำถามด้วยว่า กลุ่มสิทธิมนุษยชนที่เคยบอกว่าจะสังเกตการชุมนุมเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้นหายไปไหน เมื่อเกิดการสลายการชุมนุมและการชุมนุมสิ้นสุดลง
ที่มา.ประชาไท
“เทพไท” ระบุ “ณัฐวุฒิ” ควรเลิกกดดันศาลขอ "ณัฐวุฒิ" ลงสมัคร
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยอาจจะส่งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มนปช. ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม. เขต 6 แทนนายทิวา เงินยวง อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่เสียชีวิต ว่า ไม่แน่ใจว่าตั้งแต่อยู่กทม.มานั้น เคยไปพื้นที่ดังกล่าวบ้างหรือไม่ เวลาเดินจะหลงซอย ขับรถจะหลงทางหรือไม่ ทั้งนี้ เชื่อว่าผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์สามารถต่อสู้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยได้
สำหรับกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช.ระบุว่านายณัฐวุฒิสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม.ได้นั้น โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นกลลวงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายจตุพรระบุว่าจะขออนุญาตจากศาลให้นายณัฐวุฒิไปลงสมัคร ถือเป็นการวัดใจศาลนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ถือเป็นการจงใจกดดันศาล และที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีการเตรียมแผนสำรองเรื่องตัวผู้สมัครไว้ เพราะมั่นใจว่านายณัฐวุฒิจะได้ลงสมัครนั้น เกรงว่าจะทำให้กลายเป็นบรรทัดฐานให้นักโทษคนอื่น ๆ ได้ อีกทั้งโทษก่อการร้ายของนายณัฐวุฒินั้นไม่ใช่ลหุโทษ แต่เป็นโทษหนัก ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปกดดันหรือวัดใจศาลเพื่อทำให้เกิดความปั่นป่วนในสังคม
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร ผลักดันให้นายณัฐวุฒิ ลงสมัครส.ส.กทม.เขต 6 ในนามพรรคเพื่อไทย ว่า เป็นหน้าที่ของกกต.เขตเลือกตั้งที่จะพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครแต่ละพรรค ซึ่งจากประวัติของนายณัฐวุฒิที่ลงในเว็บไซต์ วิกิพีเดีย พบว่า นายณัฐวุฒิ จบการศึกษาปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัญฑิต ในปี 2541 และจบปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) เมื่อปี 2548 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 101 (4)ค. ระบุคุณสมบัติของว่าที่ผู้สมัครเลือกตั้งส.ส.ว่าต้องศึกษาในพื้นที่นั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 5 ปีติดต่อกัน
ดังนั้นหากนายณัฐวุฒิจะลงสมัครก็ขอให้ชี้แจงต่อสังคมให้ชัดเจนว่าจะใช้คุณสมบัติข้อใดในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะบ้านนายณัฐวุฒิ อยู่ที่ จ.นนทบุรี ส่วนบ้านเกิดอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช และตัวเองขอร้องนายจตุพรว่า อย่าให้สภานี้กลายเป็นสภาโจ๊กไปมากกว่านี้ขอให้เอาข้อเท็จจริงมาพูดให้ชัดเจน พรรคเพื่อไทยน่าจะมีปัญญาหาคนดีที่สังคมไม่แคลงใจ โดยเฉพาะจะตอบประชาชนเจ้าของสิทธิ์เลือกตั้งได้อย่างไรว่า ตัวผู้สมัครเองสามารถลงสมัครได้แต่กลับไม่มีสิทธิ์แม้จะเลือกตัวเอง จึงขอร้องพรรคเพื่อไทยอย่าสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ทีมา.Spring News
สำหรับกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มนปช.ระบุว่านายณัฐวุฒิสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.กทม.ได้นั้น โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเป็นกลลวงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่
ส่วนกรณีที่นายจตุพรระบุว่าจะขออนุญาตจากศาลให้นายณัฐวุฒิไปลงสมัคร ถือเป็นการวัดใจศาลนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ถือเป็นการจงใจกดดันศาล และที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีการเตรียมแผนสำรองเรื่องตัวผู้สมัครไว้ เพราะมั่นใจว่านายณัฐวุฒิจะได้ลงสมัครนั้น เกรงว่าจะทำให้กลายเป็นบรรทัดฐานให้นักโทษคนอื่น ๆ ได้ อีกทั้งโทษก่อการร้ายของนายณัฐวุฒินั้นไม่ใช่ลหุโทษ แต่เป็นโทษหนัก ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปกดดันหรือวัดใจศาลเพื่อทำให้เกิดความปั่นป่วนในสังคม
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร ผลักดันให้นายณัฐวุฒิ ลงสมัครส.ส.กทม.เขต 6 ในนามพรรคเพื่อไทย ว่า เป็นหน้าที่ของกกต.เขตเลือกตั้งที่จะพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครแต่ละพรรค ซึ่งจากประวัติของนายณัฐวุฒิที่ลงในเว็บไซต์ วิกิพีเดีย พบว่า นายณัฐวุฒิ จบการศึกษาปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัญฑิต ในปี 2541 และจบปริญญาโทจากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) เมื่อปี 2548 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ 101 (4)ค. ระบุคุณสมบัติของว่าที่ผู้สมัครเลือกตั้งส.ส.ว่าต้องศึกษาในพื้นที่นั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 5 ปีติดต่อกัน
ดังนั้นหากนายณัฐวุฒิจะลงสมัครก็ขอให้ชี้แจงต่อสังคมให้ชัดเจนว่าจะใช้คุณสมบัติข้อใดในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะบ้านนายณัฐวุฒิ อยู่ที่ จ.นนทบุรี ส่วนบ้านเกิดอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช และตัวเองขอร้องนายจตุพรว่า อย่าให้สภานี้กลายเป็นสภาโจ๊กไปมากกว่านี้ขอให้เอาข้อเท็จจริงมาพูดให้ชัดเจน พรรคเพื่อไทยน่าจะมีปัญญาหาคนดีที่สังคมไม่แคลงใจ โดยเฉพาะจะตอบประชาชนเจ้าของสิทธิ์เลือกตั้งได้อย่างไรว่า ตัวผู้สมัครเองสามารถลงสมัครได้แต่กลับไม่มีสิทธิ์แม้จะเลือกตัวเอง จึงขอร้องพรรคเพื่อไทยอย่าสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ทีมา.Spring News
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)