ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมนายสมยศ พฤกษาเกษมสุขตามคำร้องของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"
ศาลยกคำร้อง ศอฉ.กรณีขอคุมตัว “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” ต่อครั้งที่ 3 ชี้ ไม่มีความจำเป็น เหตุความวุ่นวายสิ้นสุดแล้ว
ทั้งนี้ กำหนดควบคุมรอบที่ 2 ตัวของ นายสมยศ จะสิ้นสุดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.นี้ โดยวันศุกร์ ที่ 10 เป็นวันสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ต้องไปขอขยายเวลา เจ้าหน้าที่ตาม อย่างไรก็ตาม นายสมยศได้ร้องคัดค้าน และศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอควบคุมตัวของ ศอฉ. โดยระบุว่า "เห็นว่าผู้ร้องคัดค้านถูกควบคุมตัวพร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อย อีกทั้งไม่ปรากฏว่าในกรณีของผู้ร้องคัดค้านจะมีข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดแตกต่างจากดร.สุธาชัยแต่อย่างใดในชั้นนี้ จึงให้ยกคำร้อง"
นายสมยศ ถูกจับกุมตัวเมื่อวันที่ 24 พ.ค. พร้อมกับ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ และถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่ค่ายอดิศร จ.ลพบุรี ซึ่งดร. สุธาชัยได้รับการปล่อยตัวออกมาก่อนตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถไปรับตัวออกมาจากค่ายอดิศร แล้วนำตัวมาส่งที่ สน.นางเลิ้ง เพื่อสอบปากคำและทำเอกสาร จากนั้นจึงมีญาติมารับและเดินทางกลับบ้าน ทั้งนี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้อนุญาตให้ปล่อยตัว ทราบเพียงว่ามีตำรวจจากกองปราบวิทยุมาที่ค่ายทหารให้ปล่อยตัวก่อนเวลาที่จะถูกนำตัวออกมาไม่นานนัก
ก่อนหน้านี้มีกอาจารย์ นิสิต นักศึกษา นักวิชาการได้ร่วมกันออกมาเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสุธาชัย ขณะที่เครือข่ายแรงงานทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศก็ออกแถลงการณ์และร่วมเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายสมยศเช่นกัน
ที่มา.ประชาไท
*********************************************
วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553
พูดเป็นต่อยหอย!!
พูดเป็นต่อยหอย!!
“บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย แห่ง พรรคภูมิใจไทย พูด “ปล่อยไก่” ช่างบ่อย ดูแล้วช่วงนี้ พูดเอง! เออเอง! ชงเอง! กินเอง! จนเป็นนิสัย?...อยู่ ๆ “รัฐมนตรีบุญจง” หยอด เป็นตุเป็นตะ สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน “กลุ่มพญานาค” ของ “พินิจ จารุสมบัติ” มุดมุ้งดอดเข้าไปผสมพันธุ์ อยู่กับ “ภูมิใจไทย” “อดีตรัฐมนตรีพินิจ”..อยากดีดปาก เพราะเป็นเรื่อง เหลวไหล ยืนยัน จาก พญาบอสกลุ่มพญานาค “คุณพี่พินิจ” ซึ่งเดินทางกลับจากจีนเมื่อวันวาน....ยังต่อปลั๊ก รักกันแน่นปึ๊ก กับ “กลุ่มโคราช” ของ “ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” เป็นอย่างดี และยังจับมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ..ไม่มีการแตกคอ ย้ายขั้วสลับข้างไปซบ “พรรคภูมิใจไทย” ให้เสียศักดิ์ศรี!!! “รัฐมนตรีบุญจง”เลิกตีขุม......พูดแบบเดาสุ่ม? ..ไม่คุ้ม กับเกียรติแห่งรัฐมนตรี??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ความจริง” ย่อมเป็น “ความจริง”
“คุณพี่ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” อดีตรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้เป็นเทวดาตกสวรรค์มาหมาด ๆ ใหม่ ๆ ...เป็นผู้มีผลงาน สร้างสรรค์อลังการ ที่โดดเด่น เป็นอย่างยิ่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” ใต้คอนโทรล สั่งการ กำกับการ ดูแล ของ “อดีตรัฐมนตรีชาญชัย” แสนยอดเยี่ยมกระเทียมดอง.. มีคนขอมาลงทุน เดือนละ หมื่นล้าน แสนล้าน จนเศรษฐกิจไทยกระฉูด พุ่งไม่หยุด เสร็จสรรพ “ผลงานเลิศ”...แต่ถูกไล่ตะเพิด เป็นได้ไงกันขอรับ นี่เป็น ความสามารถโดยเฉพาะตัว ของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่บริหาร “กระทรวงอุตสาหกรรม” ด้วยความสามารถล้วน ๆ ..ไม่เกี่ยวกับ “สรยุทธ เพ็ชรตระกูล” ผู้ช่วย รมต.อุตสาหกรรม ..พอ “รัฐมนตรีชาญชัย” พ้นตำแหน่ง “ผู้ช่วย รมต. สรยุทธ” ก็บึ่งไปรับใช้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ซุเปอร์ห้อย” ไม่รอรี!!! พอ “เพื่อแผ่นดิน” ไม่มีอำนาจ...ก็ทิ้งหนีตัดขาด...อุ้ยไม่มีมาทยาทเลยนะนี่????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้จัก อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน
อดใจ ไม่ผลีผลาม ด่วนเร็วใจง่าย ล่ะก้อ.. “ไชยยศ จิรเมธากร” สส.พรรคเพื่อแผ่นดินที่แตกฝูง คงไม่ต้องตำแหน่งต๊อกต๋อย เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ” เพราะเป้าหมายตำแหน่งใหญ่นั้น.. “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” คนปั้น กะให้ “รัฐมนตรีไชยยศ” ก้าวเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง แต่นี่ชิงสุกก่อนหาม....จึงได้ตำแหน่งต่ำ อย่างคาดไม่ถึงเป็นเพียง “รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ” วัน ๆ จับเจ่า ๆ นั่งตบยุงแก้เซ็ง!! อนาคตน่าเรืองรอง...กับต้องหมอง..เป็นแค่ “รัฐมนตรีมือสอง” เท่านั้นเอง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่เคลื่อนไหวอันดับ
ทำตัวเงียบเฉียบ เหมือนอยู่ในป่าช้า .. สำหรับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไงเล่าครับ??? เฉพาะพื้นที่เขตเลือกตั้ง จังหวัดนครราชสีมา ..ซึ่งเป็นฐานเดียว เขตเดียว ที่ “พรรครวมชาติพัฒนา” จะได้สส. ๑๗ เก้าอึ้ผู้แทนจังหวัดนี้.....”คุณพี่สุวัจน์” จะแพ้เรียบ ไม่เหลือหรอ หากยังปล่อยให้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ขยายพื้นที่ กระชับพื้นที่ กินแดน ลุกลามเข้าไปในเขตเลือกตั้ง ที่ “สุวัจน์ ” ดูแลอยู่ “ภูมิใจไทย”เร่งสปีด....ตั้งเป้าเพื่อพิชิต...ดับ “สุวัจน์”ให้สนิท อย่างไม่มีทางสู้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กฎหมายศรีธนญชัย
แล้ว นักธุรกิจ ผู้บริหารชั้นนำ ของ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานการผลิตรถไปอยู่ที่อินโดนิเซีย พ้นออกจากพื้นที่ แผ่นดินไทย เพราะเขาไม่อยากอยู่ใต้อาณัติ “กฎหมายไทย” ที่เป็นเหมือนไม้หลักปักขี้เลน “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”......ไทยจะเสียหาย ล้มละลายเหมือนตายทั้งเป็น คนงานไทย ที่ทำอยู่ใน “บริษัทโตโยต้า” กว่า ๒ ล้าน เหยียบ ๓ ล้านคน ต้องต้องงาน....อันมาจาก “ต่างชาติ” ไม่เชื่อในน้ำยา ของ “กฎหมาย” ที่ชี้ถูกชี้ผิด ตามใจของผู้มีอำนาจบริหารประเทศ...หาก “บริษัทญี่ปุ่น” เกิดคดีความกับ “รัฐบาลไทย” แล้วใช้กฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน เขามีแต่เสียเปรียบ...อย่างเช่นกฎหมายยุบพรรคนั้น ถ้าเป็นพรรคอื่น ก็ล้มอย่างระเนระนาด แต่เป็น “พรรคประชาธิปัตย์” กับอยู่ได้สบายแฮ!!! “ต่างชาติ”พากันหนีหาย....เพราะเซ็งกฎหมายไทย...ที่ไร้ประสิทธิภาพ ยอดจะแย่????
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************
“บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย แห่ง พรรคภูมิใจไทย พูด “ปล่อยไก่” ช่างบ่อย ดูแล้วช่วงนี้ พูดเอง! เออเอง! ชงเอง! กินเอง! จนเป็นนิสัย?...อยู่ ๆ “รัฐมนตรีบุญจง” หยอด เป็นตุเป็นตะ สส.พรรคเพื่อแผ่นดิน “กลุ่มพญานาค” ของ “พินิจ จารุสมบัติ” มุดมุ้งดอดเข้าไปผสมพันธุ์ อยู่กับ “ภูมิใจไทย” “อดีตรัฐมนตรีพินิจ”..อยากดีดปาก เพราะเป็นเรื่อง เหลวไหล ยืนยัน จาก พญาบอสกลุ่มพญานาค “คุณพี่พินิจ” ซึ่งเดินทางกลับจากจีนเมื่อวันวาน....ยังต่อปลั๊ก รักกันแน่นปึ๊ก กับ “กลุ่มโคราช” ของ “ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” เป็นอย่างดี และยังจับมือเป็นหนึ่งเดียวกัน ..ไม่มีการแตกคอ ย้ายขั้วสลับข้างไปซบ “พรรคภูมิใจไทย” ให้เสียศักดิ์ศรี!!! “รัฐมนตรีบุญจง”เลิกตีขุม......พูดแบบเดาสุ่ม? ..ไม่คุ้ม กับเกียรติแห่งรัฐมนตรี??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
“ความจริง” ย่อมเป็น “ความจริง”
“คุณพี่ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” อดีตรมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ผู้เป็นเทวดาตกสวรรค์มาหมาด ๆ ใหม่ ๆ ...เป็นผู้มีผลงาน สร้างสรรค์อลังการ ที่โดดเด่น เป็นอย่างยิ่ง “กระทรวงอุตสาหกรรม” ใต้คอนโทรล สั่งการ กำกับการ ดูแล ของ “อดีตรัฐมนตรีชาญชัย” แสนยอดเยี่ยมกระเทียมดอง.. มีคนขอมาลงทุน เดือนละ หมื่นล้าน แสนล้าน จนเศรษฐกิจไทยกระฉูด พุ่งไม่หยุด เสร็จสรรพ “ผลงานเลิศ”...แต่ถูกไล่ตะเพิด เป็นได้ไงกันขอรับ นี่เป็น ความสามารถโดยเฉพาะตัว ของ “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ที่บริหาร “กระทรวงอุตสาหกรรม” ด้วยความสามารถล้วน ๆ ..ไม่เกี่ยวกับ “สรยุทธ เพ็ชรตระกูล” ผู้ช่วย รมต.อุตสาหกรรม ..พอ “รัฐมนตรีชาญชัย” พ้นตำแหน่ง “ผู้ช่วย รมต. สรยุทธ” ก็บึ่งไปรับใช้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ซุเปอร์ห้อย” ไม่รอรี!!! พอ “เพื่อแผ่นดิน” ไม่มีอำนาจ...ก็ทิ้งหนีตัดขาด...อุ้ยไม่มีมาทยาทเลยนะนี่????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่รู้จัก อดเปรี้ยว ไว้กินหวาน
อดใจ ไม่ผลีผลาม ด่วนเร็วใจง่าย ล่ะก้อ.. “ไชยยศ จิรเมธากร” สส.พรรคเพื่อแผ่นดินที่แตกฝูง คงไม่ต้องตำแหน่งต๊อกต๋อย เป็นแค่ “รัฐมนตรีช่วยกระทรวงศึกษาธิการ” เพราะเป้าหมายตำแหน่งใหญ่นั้น.. “อดีตรัฐมนตรีพินิจ จารุสมบัติ” คนปั้น กะให้ “รัฐมนตรีไชยยศ” ก้าวเป็น “รัฐมนตรีว่าการ” กระทรวงใหญ่กระทรวงหนึ่ง แต่นี่ชิงสุกก่อนหาม....จึงได้ตำแหน่งต่ำ อย่างคาดไม่ถึงเป็นเพียง “รัฐมนตรีช่วยศึกษาธิการ” วัน ๆ จับเจ่า ๆ นั่งตบยุงแก้เซ็ง!! อนาคตน่าเรืองรอง...กับต้องหมอง..เป็นแค่ “รัฐมนตรีมือสอง” เท่านั้นเอง???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่เคลื่อนไหวอันดับ
ทำตัวเงียบเฉียบ เหมือนอยู่ในป่าช้า .. สำหรับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพรรครวมชาติพัฒนา ไงเล่าครับ??? เฉพาะพื้นที่เขตเลือกตั้ง จังหวัดนครราชสีมา ..ซึ่งเป็นฐานเดียว เขตเดียว ที่ “พรรครวมชาติพัฒนา” จะได้สส. ๑๗ เก้าอึ้ผู้แทนจังหวัดนี้.....”คุณพี่สุวัจน์” จะแพ้เรียบ ไม่เหลือหรอ หากยังปล่อยให้ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” และ “บุญจง วงศ์ไตรรัตน์” รมช.มหาดไทย ขยายพื้นที่ กระชับพื้นที่ กินแดน ลุกลามเข้าไปในเขตเลือกตั้ง ที่ “สุวัจน์ ” ดูแลอยู่ “ภูมิใจไทย”เร่งสปีด....ตั้งเป้าเพื่อพิชิต...ดับ “สุวัจน์”ให้สนิท อย่างไม่มีทางสู้???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กฎหมายศรีธนญชัย
แล้ว นักธุรกิจ ผู้บริหารชั้นนำ ของ ประเทศญี่ปุ่น เตรียมย้ายฐานการผลิตรถไปอยู่ที่อินโดนิเซีย พ้นออกจากพื้นที่ แผ่นดินไทย เพราะเขาไม่อยากอยู่ใต้อาณัติ “กฎหมายไทย” ที่เป็นเหมือนไม้หลักปักขี้เลน “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”......ไทยจะเสียหาย ล้มละลายเหมือนตายทั้งเป็น คนงานไทย ที่ทำอยู่ใน “บริษัทโตโยต้า” กว่า ๒ ล้าน เหยียบ ๓ ล้านคน ต้องต้องงาน....อันมาจาก “ต่างชาติ” ไม่เชื่อในน้ำยา ของ “กฎหมาย” ที่ชี้ถูกชี้ผิด ตามใจของผู้มีอำนาจบริหารประเทศ...หาก “บริษัทญี่ปุ่น” เกิดคดีความกับ “รัฐบาลไทย” แล้วใช้กฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน เขามีแต่เสียเปรียบ...อย่างเช่นกฎหมายยุบพรรคนั้น ถ้าเป็นพรรคอื่น ก็ล้มอย่างระเนระนาด แต่เป็น “พรรคประชาธิปัตย์” กับอยู่ได้สบายแฮ!!! “ต่างชาติ”พากันหนีหาย....เพราะเซ็งกฎหมายไทย...ที่ไร้ประสิทธิภาพ ยอดจะแย่????
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************
ล่ามโซ่ผู้บาดเจ็บ: ข้อหาละเมิด พรก.ฉุกเฉิน

โดย Niwat Puttaprasart
ล่ามซ้ำ – นายณัฐพล ทองคุณ และนายจรัญ ลอยพูล
ถูกยิงด้วยเอ็ม 16 ต้องนอนรักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจ
พร้อมกับถูกล่ามโซ่ด้วยข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ร้องขอความเป็นธรรมผ่านผู้สื่อข่าว
ว่าถูกกระทำซ้ำทั้งที่บาดเจ็บและไม่ใช่แกนนำม็อบ
หลังจากเกิดเหตุการณ์รัฐบาลส่งกำลังทหารเข้ากระชับพื้นที่การชุมนุม
ของกลุ่มนปช.ที่ราชประสงค์ จนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 90 ราย และบาดเจ็บอีกนับพันคนนั้น มีรายงานของ
ศูนย์บริการการแพทย์ฉุกเฉิน กรุงเทพมหานคร (ศูนย์เอราวัณ) ระบุว่าล่าสุดยังมีผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์
ดังกล่าว รักษาตัวตามโรงพยาบาล 12 แห่ง จำนวน 26 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบที่โรงพยาบาลตำรวจ พบผู้บาดเจ็บ 2 คน คือ นายจรัญ ลอยพูล อายุ 39 ปี
และนายณัฐพล ทองคุณ อายุ 20 ปี ทั้งสองคนเป็นคนกรุงเทพฯ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บในช่วงทหารกระชับวงล้อม
แยกราชประสงค์ โดยนายณัฐพลถูกยิงที่หน้าสน.ลุม พินี วันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ถูกยิงตามร่างกาย 3 นัด
นัดแรกเป็นกระสุนปืนลูกซองที่หัวไหล่ซ้าย นัดที่ 2 โดนกระสุนปืนเอ็ม 16 ทะลุมือซ้าย และนัดที่ 3
โดนกระสุนปืนลูกซองที่ต้นขาซ้าย ส่วนนายจรัล ถูกยิงบาดเจ็บที่แยกประตูน้ำ เมื่อวันที่ 19 พ.ค.
ถูกยิงตามร่างกาย 2 นัด นัดแรกกระสุนปืนลูกซองเจาะฝังในขาซ้าย และนัดที่สองกระสุนปืนเอ็ม 16 เจาะข้อมือจนทะลุ
นายณัฐพลเล่าว่า ในวันเกิดเหตุเป็นช่วงเที่ยงวันที่ 14 พ.ค. ตนกับเพื่อนขับรถจักรยานยนต์จากถนนเพชรบุรี
จะไปหาเพื่อนอีกคนที่ย่านสา ทร เมื่อมาถึงหน้าสน.ลุมพินี มีกลุ่มผู้ชุมนุมเผารถบัสของตำรวจบนถนนวิทยุ
จึงหยุดดู ตอนนั้นมีทั้งผู้ชุมนุมและชาวบ้านประมาณเกือบ 100 คน ต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมจุดตะไลไฟเข้าหากลุ่มทหาร
ทหารจึงยิงปืนชุดแรกเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่ตนไม่เป็นอะไร แต่ถัดมาไม่กี่นาที ทหารได้ยิงปืนชุดที่สองเข้ามาอีก
ทำให้ตนโดนกระสุนปืนลูกซองนัดแรกเข้าที่หัวไหล่ และนัดที่สองเป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 เข้าที่มือซ้าย
ทำให้กระดูกนิ้วนาง นิ้วกลางและนิ้วชี้ขาด ตนพยายามจะลุกให้คนช่วย แต่ก็ถูกยิงด้วยปืนลูกซองเข้าที่ต้นขาซ้ายอีกนัด
และในที่สุด ผู้ชุมนุมก็สามารถนำตัวมาส่งโรงพยาบาลตำรวจได้
นายณัฐพลกล่าวอีกว่า หลังจากนั้นหนึ่งวัน ตนฟื้นตัวจากการผ่าตัด มีตำรวจมาสอบสวน
และแจ้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงถูกย้ายจากเตียงผู้ป่วยธรรมดา มาไว้ในห้องผู้ป่วยที่เป็นผู้ต้องหา
กับผู้ชุมนุมที่บาดเจ็บอีกคน และถูกล่ามโซ่ติดกับเตียง มีตำรวจเฝ้าด้านหน้าอย่างแน่นหนา
“ผมนอนโรงพยาบาล ลงจากเตียงก็ไม่ได้ ไปไหนก็ไม่ได้ ลึกๆ เสียใจ เพราะขับรถมากับเพื่อนดีๆ
โดนยิง โดนจับ โดนข้อหา ต้องขึ้นศาล ญาติมาเยี่ยมได้เป็นเวลา” นายณัฐพลกล่าวและว่า
ก่อนหน้านี้เคยมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช.ประมาณ 2-3 ครั้ง
ส่วนนายจรัล กล่าวว่า วันเกิดเหตุ 19 พ.ค. ช่วงบ่าย ตนเดินไปเดินมาบริเวณแยกประตูน้ำ
เห็นทหารเดินมากลุ่มหนึ่งประมาณ 4-5 นาย ห่างจากตนประมาณ 20 เมตร ด้วยความกลัวตนจึงวิ่งหนี
แต่ก็ถูกทหารกลุ่มดังกล่าวใช้ปืนลูกซองและปืนเอ็ม 16 ยิงเข้าใส่เป็นชุด ชุดละ 5-6 นัด
“ตอนนั้นรู้สึกขาซ้ายขัดๆ วิ่งไม่ได้ สะดุดล้มลง จึงรู้ว่าถูกยิงที่ขา แต่เป็นกระสุนปืนลูกซอง พอลุกขึ้นวิ่งใหม่
ก็ถูกทหารยิงอีก เป็นกระสุนปืนเอ็ม 16 โดนเข้าที่มือขวา ทำให้เนื้อแขนขวาหายไป และโดนเส้นประสาทด้วย
ตอนนี้ได้แต่ภาวนาให้หายเป็นปกติ” นายจรัลกล่าว
นายจรัลกล่าวด้วยว่า ตอนนี้กังวลใจมากที่สุด เพราะถูกตำรวจตั้งข้อหาละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ต้องถูกล่ามโซ่ไว้กับเตียงของโรงพยาบาล และมีตำรวจควบคุมตัวอย่างแน่นหนา โดยก่อนหน้านี้
ตนประกอบอาชีพขายเสื้อผ้าอยู่ที่ประตูน้ำ เมื่อว่างเว้นจากงานจะมาฟังการปราศรัยของนปช.ที่แยกราชประสงค์
แต่ไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์จะรุนแรงขนาดนี้
เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุม 12 ตึก 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ติดตามประชาธิปไตย
คณะรัฐศาสตร์ จัดเสวนา “นักข่าวเล่าให้ฟัง : จากราชดำเนินถึงราชประ สงค์” โดยมีนายทวีชัย เจาวัฒนา
ช่างภาพอาวุโสเครือเนชั่น นายสุรศักดิ์ กล้าหาญ นักข่าวภาคสนามบางกอกโพสต์ นายตวงศักดิ์ ชื่นสินธุวล
นักข่าวหนังสือพิมพ์มติชน นายสถาพร คงพิพัฒวัฒนา ผู้รายงานข่าวภาคสนาม ทีวีไทย น.ส. ฐปนีย์ เอียดศรีชัย
ไทยทีวีสีช่อง 3 และนายเสถียร วิริยะพรรณพงศา นักข่าวภาคสนาม เดอะเนชั่น ร่วมเสวนา
น.ส.ฐปนีย์ กล่าวว่า ช่วงการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา บางครั้งนักข่าวไม่สามารถถ่ายทอด
สิ่งที่เห็นได้ทั้งหมด ต้องยอมรับความจริงว่า สื่อโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ทำงานได้ยากมากในสถานการณ์เช่นนี้
สื่อมีข้อจำกัดเพราะต้องทำงานภายใต้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมีการขอความร่วมมือจากศอฉ.มายังสถานีโทรทัศน์ทุกช่อง
แต่นักข่าวก็ใช้วิจารณญาณของตนเองเป็นหลักในการนำเสนอข่าวต่างๆ อย่างกรณีของตน บางข่าวที่คิดว่าคงนำเสนอทางโทรทัศน์ไม่ได้ ก็นำไปลงไปในทวิตเตอร์ ต่อมาก็เกิดปัญหาคือมีคนนำข้อความไปบิดเบือน ทำให้เกิดการเข้าใจผิด
จนตนต้องหยุดรายงานข่าวไประยะหนึ่ง
น.ส.ฐปนีย์ กล่าวว่า ช่วงที่เกิดเหตุการณ์ ตนประจำการอยู่ที่บริเวณบ่อนไก่
เป็นจุดหนึ่งที่มีการปะทะกันรุนแรง วันที่ 14 พ.ค. กลุ่มเสื้อแดงก็ทำระเบิดเพลิงและโยนเข้าใส่ทหาร
หทารก็ยิงสวน ถามกันว่าคนเสื้อแดงหรือหน่วยกู้ชีพที่ถูกยิงตาย ใครเป็นคนยิง ตนไม่เห็นว่าทหารยิง
หรือชุดดำยิง จึงต้องรายงานว่าเป็นฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ตลอดระยะเวลาที่รายงานข่าว
คือตั้งแต่วันที่ 14-19 ยืนยันว่าไม่เห็นกลุ่มคนเสื้อแดง หรือประชาชนที่อยู่บ่อนไก่ยิง
และไม่เห็นในจุดนาทีที่บอกกันว่าทหารยิงประชาชนตาย
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า วันที่ 20 ตอนเช้า ตนเข้าไปที่วัดปทุมฯ พอไปถึงก็พบว่าทุกอย่างสงบแล้ว
และมีคนตาย 6 ศพ เราคุยกับผู้ชุมนุม สิ่งที่เราเห็นจากเขาคือเขาจะเงียบ และไม่มีปฏิกิริยาของความรุนแรง
แต่พอได้คุยเรารู้เลยว่าเขาโกรธมาก แต่เขาไม่ได้อยู่ในสภาพที่ต่อต้านอะไรได้อีกแล้ว สิ่งที่แย่ที่สุดที่ทำให้
การรายงานข่าวคือเคอร์ฟิว ทำให้สื่อทุกคนต้องกลับบ้านหมด มีแค่สื่อต่างชาติ 3 คน ที่อยู่ในวัดปทุมฯ
เราคงต้องมาตั้งคำถามว่า เคอร์ฟิวที่ประกาศโดยรัฐบาลเป็นสิ่งจำเป็นหรือไม่ เพราะมันปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชน
ทำให้ไม่มีใครเห็นเลยว่า มีทหารอยู่บนรางรถไฟกี่โมง ทุกคนฟังจากคำบอกเล่าหมด
นายทวีชัย กล่าวว่า เพื่อนของตนที่เป็นช่างภาพคือนายชัยวัฒน์ พุ่มพวง โดนยิงเมื่อบ่ายวันที่ 15 พ.ค.
บอกว่าเป็นกระสุนจากปืนทาโวร์ และทหารเป็นคนยิงแน่นอน เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายองอาจ คร้ามไพบูลย์
เพิ่งจะมาเยี่ยม แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะช่วยเหลืออย่างไร เพื่อนโดนยิงที่โคนขาขวา กระดูกแตก 2 นิ้ว
ยังไม่รู้ว่าจะกลับมาทำงานได้อีกหรือไม่ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย
จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ถึง พฤษภาเลือด สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือความรุนแรงที่เพิ่มขึ้น
แต่กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องยังเป็นกลุ่มคนเก่าๆ ใช้ยุทธวิธีเก่าๆ เหมือนกันหมด คือใช้คนรากหญ้าเป็นเครื่องมือ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงท้ายของการเสวนา กลุ่มเจ้าหน้าที่กู้ภัย นำโดยนายวสันต์ สายรัศมี
และนางกาญจนิษฐา เอกแสงศรี ยังได้นำภาพถ่ายและคลิปวิดิโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวันปทุมฯ
คืนวันที่ 19 พ.ค. มาเปิดด้วย เป็นภาพของน.ส.กมนเกดถูกยิงเสียชีวิตอยู่ภายในเต็นท์พยาบาล
นอกจากนี้ ยังเปิดเผยภาพขณะที่พ.ญ. คุณหญิงพรทิพย์ชันสูตรศพของน.ส.กมนเกดในเบื้องต้น
ซึ่งภาพและเสียงระบุว่า มีกระสุนฝังอยู่ในร่างของน.ส.กมนเกดจริง
เรียกความสนใจจากผู้ที่มาร่วมงานเป็นอย่างมาก
Filed under Unrest in Bangkok, การเมือง, สังคม
*************************************************
เปิดใจ.ลูกสาว เสธ.แดง...
คณิต!! อย่าซ้ำรอย คตส.
ใครมาเป็น “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในยามนี้ไม่เหนื่อยใจ ก็ต้องถือว่าผิดแปลกมนุษย์มนาแล้ว เพราะสารพัดเรื่องที่ถาโถมเข้าใส่อย่างหนักหน่วงต่อเนื่องไม่หยุด ในขณะที่เรื่องเก่าก็คาราคาซังยืดเยื้อ...จบไม่ลง อุตส่าห์ทำบุญประเทศไทย อุตส่าห์ตั้ง นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด ให้เป็นประธานกรรมการอิสระ
เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 หรือแม้แต่กระทั่งอุตส่าห์ออกมาแถลงความคืบหน้าเรื่องแผนปรองดองแห่งชาติ แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกเรื่องถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้นไปหมด มีเจตนาแอบแฝงไปหมด แม้แต่วันทำบุญที่ทำเนียบรัฐบาลอุตส่าห์
พานางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภริยามาให้เห็นว่า ที่มีกระแสข่าวว่าในช่วงที่ปฏิบัติการ ศอฉ. นั้นทั้งคู่มีปากเสียงระหองระแหงกันอย่างหนัก เพราะนางพิมพ์เพ็ญ ลึกๆแล้วต้องการให้นายอภิสิทธิ์วางมือทางการเมืองเสียที ดังนั้นก็เลยควงมาโชว์ แต่กลับกลายเป็นถูกเมาธ์สนั่นว่า หน้าตาของนางพิมพ์เพ็ญดูไม่มีความสุข
ไม่มีความสดชื่น และแทบไม่มีรอยยิ้มเลย... สังเกตุกันถึงขนาดนั้น แบบนี้จะไม่ให้นายอภิสิทธิ์เหนื่อยใจก็แปลกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับในน้ำอดน้ำทนของนายอภิสิทธิ์ว่า นอกจากดื้อได้ใจแล้ว ยังเหี้ยมเกรียมพอที่จะนิ่งรับแรงกดดันทั้งหมดได้อย่างไม่ยี่หระ แม้แต่กระทั่งคำพูดประเภท“มือเปื้อนเลือด”
หรือ “ทรราช” ซึ่งยังคงระงมอยู่ไม่เลิก ก็ได้แต่หวังว่า หากนายคณิต มีความอดทนเท่านายอภิสิทธิ์ สักครึ่งหนึ่ง คงสามารถที่จะปฏิบัติภารกิจหน้าที่ได้ตามวัตถุประงค์ที่ถูกแต่งตั้งมา และช่วยให้เสียงครหาต่างๆจากเหตุการณ์เลือดพฤษภาหฤโหด 53 ... โดยเฉพาะกรณี 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม สามารถคลี่คลายหายไป
เป็นคลื่นกระทบฝั่งได้ในที่สุด แต่แน่นอนว่าคงไม่ง่าย เพราะทันที่ที่โผล่ชื่อนายคณิตขึ้นมา ก็เจอเสียงสะท้อนทำนองว่า “เอาอีกแล้ว” หรือ “อีหรอบเดียวกับ คตส.อีกแล้ว” เพราะนายคณิตถูกให้ถามใจตัวเองทันที่ว่าเป็นธรรมหรือไม่นั่ง กับการที่มานั่งเป็นประธานสอบเหตุการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง
การที่นายคณิตถูกตั้งคำถามก็เป็นเพราะมีการเชื่อมโยงเกี่ยวข้องในการพิจารณาคดีเรื่อง สปก. 4-01 ในปี 2537 ซึ่งขณะนั้นนายคณิตเป็นอัยการสูงสุด ปรากฏว่านายคณิตไม่สั่งฟ้องนายชวน หลีกภัย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีตำแหน่งในขณะนั้น ซึ่งในช่วงนั้นนายอภิสิทธ์เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และที่สุดศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพราะอัยการสูงสุด เลยทำให้ไม่มีการดำเนินคดีกับนายสุเทพ นายชวน และรัฐบาลชุดนั้น ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อีกทั้งนายคณิตยังเคยได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้มาตรวจสอบนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ที่อ้างว่ามีการทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน ที่แย่ก็คือ ทั้งๆที่พูดกันกระหึ่มทั้งสังคมว่า ช่องหอยม่วงนั้นถูกสั่งการให้ตอกลิ่มสร้างความแตกแยก และเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก แต่นายคณิตกลับมีการไปให้ความเห็นทางข้อกฎหมาย ทางช่องหอยม่วง หรือช่อง 11 เป็นระยะ นอกจากนี้ยังมีการห่วงไปถึง
ความสัมพันธ์หรือความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวระหว่างนายคณิต กับ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะนายถาวรเคยเป็นอัยการก่อนมาเล่นการเมือง ดังนั้น เมื่อ คตส. เคยทำให้เห็นว่ามีการตั้งคนที่เป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เข้ามาเป็นประธาน เข้ามาเป็นกรรมการ แล้วก็เดินหน้าลุยเช็คบิลแบบ “ตั้งธง” จนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมบางคนทุกครั้งที่ออกทีวี จะแสดงท่าทีสะใจบ้าง ยิ้มเยาะเย้ยหยันบ้าง หรือบางคนแทนที่จะใช้หลักกฎหมายในการเล่นงานเอาผิด เพื่อที่สังคมจะได้ยอมรับได้ กลับใช้การตั้งทฤษฎีวัวทฤษฎีควายขึ้นมาเพื่อหว่านล้อมสังคม
ว่าเป็นพฤติกรรมความผิด เล่นเอานักกฎหมาย นักวิชาการที่แท้จริง ต่างมึนไปตามๆกัน เพราะหากผิดจริงก็ใช้กฎหมายเล่นงานได้ตรงๆอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องตั้งทฤษฎีเองเลย ที่สำคัญสุดท้ายใช้เวลาเป็นปี ที่เคยอ้างว่าเอาผิดได้แน่ หลักฐานเพียบ คดีนั้นคดีโน้น สุดท้ายก็เหลวแทบทั้งสิ้น ก็แบบนี้แหละที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของ คตส.
กลับเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบเสียเอง จนวันนี้แทบไม่มีใครเชื่อถือ คตส. อีก ดังนั้นประโยคคำถามที่ดังมากในเวลานี้ที่ว่า “รัฐบาลช่วยหาคนที่เป็นกลางหน่อยได้หรือไม่?”นั้น จึงระงมไปทั่ว นายคณิตคงต้องดูบทเรียนของ คตส. เอาไว้เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญ อย่าได้ถลำลึกเดินพลาดแบบ คตส. อีกเป็นอันขาด
เฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศบ้านเมืองที่ความแตกต่างทางความคิดยังคงมีอยู่สูงมาก เนื่องจากบาดแผลความรู้สึกเกี่ยวกับระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐานนั้น ยังกลัดหนองลึกอยู่ในสังคมนั่นเอง จึงไม่เพียงเป็นการบ้านที่กดดันและท้าทายของนายคณิต แต่ยังเป็นแรงกดดันที่ต่อเนื่องมาถึงนายอภิสิทธิ์ด้วยอย่างหลีกไม่พ้น
ความหวาดระแวงที่ว่า ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดง และนปช.เองก็กำลังเร่งดำเนินคดีอาญา โดยมีการทยอยแจ้งความดำเนินคดี ต่อนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกในคดีบงการใช้จ้างวานฆ่าประชาชนประมาณ 80 กว่าคดี ตามจำนวนประชาชน-วีรชนที่เสียชีวิต การตั้งนายคณิต จะมีผลต่อรูปคดีเหล่านี้หรือไม่???
จะเหมือนกับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงช่วงสงกรานต์เลือดปี52 หรือไม่??? เพราะการสอบสวนกรณีสงกรานต์เลือดปี 52 แม้จะมีการตตรวจสอบจากหลายฝ่าย ทั้งส.ว. ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล บุคคลภายนอก แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ได้นำผลการสอบสวนเหล่านั้นมารายงานให้สังคมได้รับรู้เลย
จะโทษสังคมระแวงและไม่เชื่อถือก็คงไม่ได้ เพราะบังเอิญก็มีร่องรอยให้ตั้งข้อสังเกตุได้จริงๆเสียด้วย ยิ่งกรณีที่ นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้ เหตุผลการลาออกคือ
1. นายกฯ เลือกปกป้องรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในข้อหาการทุจริต ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้รัฐบาล
2. จนถึงขณะนี้นายกฯยังไม่มีการประสานงานพูดคุยกับแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดินว่าจะ ให้ร่วมรัฐบาลต่อ หรือถอนตัว แต่กลับเอาคนของพรรคไปเป็นเสียงสนับสนุนรัฐบาล เป็นการทำลายระบบพรรค สร้างกลุ่มงูเห่าในการเมือง
3. นายกฯ และรัฐบาลควรขอโทษประชาชน หรือแสดงความรับผิดชอบกรณีล้มเหลวในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ และบกพร่องต่อการทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ยิ่งเป็น 3 ข้อ ที่เป็นการตอกย้ำถึงบรรยากาศทางการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน ฉะนั้นวันนี้การบ้านในเรื่องของการสร้างความจริงให้ปรากฏ คืนความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังมากที่สุด เพราะลึกๆจิตใจของคนไทยทุกคนก็เบื่อหน่ายความแตกแยกแตกต่าง เบื่อหน่ายการเมืองที่ฉวยโอกาสซ้ำเติม
ทำลายล้างคู่แข่งขันทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจของคนไทยทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ผูกพันจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดมาโดยตลอดและอย่างต่อเนื่อง จึงไม่อยากเห็นกลไกใดมาใช้สถาบันเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างกันทางการเมืองอีกต่อไป งานนี้ไม่หมูแน่ๆ เพราะจนถึงขณะนี้ แม้นายอภิสิทธิ์จะมีการเรียก
ฝ่ายความมั่นคงมาหารือ และประเมินภาพรวมของสถานการณ์ด้านความมั่นคงทั้งหมด เพื่อดูแนวโน้มและความเป็นไปได้ในการยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีอย่างหนักว่า เป็นการพยายามคงอำนาจไว้
เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง ทั้งๆที่สร้างผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะต่างประเทศ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ก็ได้ออกมาเตือนย้ำถึงเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่หยุด ซึ่งประเด็นเหล่านี้นายอภิสิทธิ์เองก็รู้ดี เลยทำให้ต้องมีการหารือว่าสมควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้หรือยัง แต่สุดท้าย
อาจจะออกมาแค่ อาจยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเฉพาะพื้นที่จังหวัดภาคกลางก่อนเท่านั้น ก็คงได้แต่สะกิดเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ที่ผ่านมาสังคมมองว่านายอภิสิทธิ์ พังเพราะนายสุเทพ พังเพราะนายกษิต ภิรมย์ ยังไงก็อย่าให้ต้องมาพังเพราะไม่ยอมเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินตามแรงยุของบางคนอีกเลย ถ้าทำแค่ 3 สิ่ง คือ
คืนความยุติธรรม ล้มระบบ 2 มาตรฐาน และเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลก็อาจจะอยู่ครบเทอมได้ โดยไม่ต้องให้นายสุเทพมาขายฝันว่าจะอยู่ต่ออีก 1 ปี ให้เสียคะแนนเสียเปล่า เพราะอยู่นาน แล้วไม่แก้ปัญหา สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีต่เสียกับเสีย เชื่อเถอะ!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
********************************************
เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-19 พฤษภาคม 2553 หรือแม้แต่กระทั่งอุตส่าห์ออกมาแถลงความคืบหน้าเรื่องแผนปรองดองแห่งชาติ แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกเรื่องถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้นไปหมด มีเจตนาแอบแฝงไปหมด แม้แต่วันทำบุญที่ทำเนียบรัฐบาลอุตส่าห์
พานางพิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภริยามาให้เห็นว่า ที่มีกระแสข่าวว่าในช่วงที่ปฏิบัติการ ศอฉ. นั้นทั้งคู่มีปากเสียงระหองระแหงกันอย่างหนัก เพราะนางพิมพ์เพ็ญ ลึกๆแล้วต้องการให้นายอภิสิทธิ์วางมือทางการเมืองเสียที ดังนั้นก็เลยควงมาโชว์ แต่กลับกลายเป็นถูกเมาธ์สนั่นว่า หน้าตาของนางพิมพ์เพ็ญดูไม่มีความสุข
ไม่มีความสดชื่น และแทบไม่มีรอยยิ้มเลย... สังเกตุกันถึงขนาดนั้น แบบนี้จะไม่ให้นายอภิสิทธิ์เหนื่อยใจก็แปลกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับในน้ำอดน้ำทนของนายอภิสิทธิ์ว่า นอกจากดื้อได้ใจแล้ว ยังเหี้ยมเกรียมพอที่จะนิ่งรับแรงกดดันทั้งหมดได้อย่างไม่ยี่หระ แม้แต่กระทั่งคำพูดประเภท“มือเปื้อนเลือด”
หรือ “ทรราช” ซึ่งยังคงระงมอยู่ไม่เลิก ก็ได้แต่หวังว่า หากนายคณิต มีความอดทนเท่านายอภิสิทธิ์ สักครึ่งหนึ่ง คงสามารถที่จะปฏิบัติภารกิจหน้าที่ได้ตามวัตถุประงค์ที่ถูกแต่งตั้งมา และช่วยให้เสียงครหาต่างๆจากเหตุการณ์เลือดพฤษภาหฤโหด 53 ... โดยเฉพาะกรณี 6 ศพที่วัดปทุมวนาราม สามารถคลี่คลายหายไป
เป็นคลื่นกระทบฝั่งได้ในที่สุด แต่แน่นอนว่าคงไม่ง่าย เพราะทันที่ที่โผล่ชื่อนายคณิตขึ้นมา ก็เจอเสียงสะท้อนทำนองว่า “เอาอีกแล้ว” หรือ “อีหรอบเดียวกับ คตส.อีกแล้ว” เพราะนายคณิตถูกให้ถามใจตัวเองทันที่ว่าเป็นธรรมหรือไม่นั่ง กับการที่มานั่งเป็นประธานสอบเหตุการสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง
การที่นายคณิตถูกตั้งคำถามก็เป็นเพราะมีการเชื่อมโยงเกี่ยวข้องในการพิจารณาคดีเรื่อง สปก. 4-01 ในปี 2537 ซึ่งขณะนั้นนายคณิตเป็นอัยการสูงสุด ปรากฏว่านายคณิตไม่สั่งฟ้องนายชวน หลีกภัย และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่มีตำแหน่งในขณะนั้น ซึ่งในช่วงนั้นนายอภิสิทธ์เป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และที่สุดศาลฎีกาตัดสินให้ที่ดินตกเป็นของแผ่นดิน แต่เพราะอัยการสูงสุด เลยทำให้ไม่มีการดำเนินคดีกับนายสุเทพ นายชวน และรัฐบาลชุดนั้น ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อีกทั้งนายคณิตยังเคยได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลของพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ให้มาตรวจสอบนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ
ที่อ้างว่ามีการทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2,500 คน ที่แย่ก็คือ ทั้งๆที่พูดกันกระหึ่มทั้งสังคมว่า ช่องหอยม่วงนั้นถูกสั่งการให้ตอกลิ่มสร้างความแตกแยก และเล่นงานกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นหลัก แต่นายคณิตกลับมีการไปให้ความเห็นทางข้อกฎหมาย ทางช่องหอยม่วง หรือช่อง 11 เป็นระยะ นอกจากนี้ยังมีการห่วงไปถึง
ความสัมพันธ์หรือความสนิทสนมเป็นการส่วนตัวระหว่างนายคณิต กับ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พรรคประชาธิปัตย์ด้วย เพราะนายถาวรเคยเป็นอัยการก่อนมาเล่นการเมือง ดังนั้น เมื่อ คตส. เคยทำให้เห็นว่ามีการตั้งคนที่เป็นปฏิปักษ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
เข้ามาเป็นประธาน เข้ามาเป็นกรรมการ แล้วก็เดินหน้าลุยเช็คบิลแบบ “ตั้งธง” จนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมือง แถมบางคนทุกครั้งที่ออกทีวี จะแสดงท่าทีสะใจบ้าง ยิ้มเยาะเย้ยหยันบ้าง หรือบางคนแทนที่จะใช้หลักกฎหมายในการเล่นงานเอาผิด เพื่อที่สังคมจะได้ยอมรับได้ กลับใช้การตั้งทฤษฎีวัวทฤษฎีควายขึ้นมาเพื่อหว่านล้อมสังคม
ว่าเป็นพฤติกรรมความผิด เล่นเอานักกฎหมาย นักวิชาการที่แท้จริง ต่างมึนไปตามๆกัน เพราะหากผิดจริงก็ใช้กฎหมายเล่นงานได้ตรงๆอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องตั้งทฤษฎีเองเลย ที่สำคัญสุดท้ายใช้เวลาเป็นปี ที่เคยอ้างว่าเอาผิดได้แน่ หลักฐานเพียบ คดีนั้นคดีโน้น สุดท้ายก็เหลวแทบทั้งสิ้น ก็แบบนี้แหละที่ทำให้ความน่าเชื่อถือของ คตส.
กลับเป็นฝ่ายที่ได้รับผลกระทบเสียเอง จนวันนี้แทบไม่มีใครเชื่อถือ คตส. อีก ดังนั้นประโยคคำถามที่ดังมากในเวลานี้ที่ว่า “รัฐบาลช่วยหาคนที่เป็นกลางหน่อยได้หรือไม่?”นั้น จึงระงมไปทั่ว นายคณิตคงต้องดูบทเรียนของ คตส. เอาไว้เป็นข้อเตือนใจที่สำคัญ อย่าได้ถลำลึกเดินพลาดแบบ คตส. อีกเป็นอันขาด
เฉพาะอย่างยิ่งในบรรยากาศบ้านเมืองที่ความแตกต่างทางความคิดยังคงมีอยู่สูงมาก เนื่องจากบาดแผลความรู้สึกเกี่ยวกับระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐานนั้น ยังกลัดหนองลึกอยู่ในสังคมนั่นเอง จึงไม่เพียงเป็นการบ้านที่กดดันและท้าทายของนายคณิต แต่ยังเป็นแรงกดดันที่ต่อเนื่องมาถึงนายอภิสิทธิ์ด้วยอย่างหลีกไม่พ้น
ความหวาดระแวงที่ว่า ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดง และนปช.เองก็กำลังเร่งดำเนินคดีอาญา โดยมีการทยอยแจ้งความดำเนินคดี ต่อนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพวกในคดีบงการใช้จ้างวานฆ่าประชาชนประมาณ 80 กว่าคดี ตามจำนวนประชาชน-วีรชนที่เสียชีวิต การตั้งนายคณิต จะมีผลต่อรูปคดีเหล่านี้หรือไม่???
จะเหมือนกับการสอบสวนหาข้อเท็จจริงช่วงสงกรานต์เลือดปี52 หรือไม่??? เพราะการสอบสวนกรณีสงกรานต์เลือดปี 52 แม้จะมีการตตรวจสอบจากหลายฝ่าย ทั้งส.ว. ส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาล บุคคลภายนอก แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่ได้นำผลการสอบสวนเหล่านั้นมารายงานให้สังคมได้รับรู้เลย
จะโทษสังคมระแวงและไม่เชื่อถือก็คงไม่ได้ เพราะบังเอิญก็มีร่องรอยให้ตั้งข้อสังเกตุได้จริงๆเสียด้วย ยิ่งกรณีที่ นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โดยให้ เหตุผลการลาออกคือ
1. นายกฯ เลือกปกป้องรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในข้อหาการทุจริต ถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ไม่ดีให้รัฐบาล
2. จนถึงขณะนี้นายกฯยังไม่มีการประสานงานพูดคุยกับแกนนำพรรคเพื่อแผ่นดินว่าจะ ให้ร่วมรัฐบาลต่อ หรือถอนตัว แต่กลับเอาคนของพรรคไปเป็นเสียงสนับสนุนรัฐบาล เป็นการทำลายระบบพรรค สร้างกลุ่มงูเห่าในการเมือง
3. นายกฯ และรัฐบาลควรขอโทษประชาชน หรือแสดงความรับผิดชอบกรณีล้มเหลวในการสร้างความปรองดองของคนในชาติ และบกพร่องต่อการทำหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ยิ่งเป็น 3 ข้อ ที่เป็นการตอกย้ำถึงบรรยากาศทางการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน ฉะนั้นวันนี้การบ้านในเรื่องของการสร้างความจริงให้ปรากฏ คืนความยุติธรรมให้กับทุกฝ่าย จึงเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังมากที่สุด เพราะลึกๆจิตใจของคนไทยทุกคนก็เบื่อหน่ายความแตกแยกแตกต่าง เบื่อหน่ายการเมืองที่ฉวยโอกาสซ้ำเติม
ทำลายล้างคู่แข่งขันทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจของคนไทยทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ผูกพันจงรักภักดีต่อสถาบันสูงสุดมาโดยตลอดและอย่างต่อเนื่อง จึงไม่อยากเห็นกลไกใดมาใช้สถาบันเป็นข้ออ้างในการทำลายล้างกันทางการเมืองอีกต่อไป งานนี้ไม่หมูแน่ๆ เพราะจนถึงขณะนี้ แม้นายอภิสิทธิ์จะมีการเรียก
ฝ่ายความมั่นคงมาหารือ และประเมินภาพรวมของสถานการณ์ด้านความมั่นคงทั้งหมด เพื่อดูแนวโน้มและความเป็นไปได้ในการยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถือเป็นจุดอ่อนที่ถูกโจมตีอย่างหนักว่า เป็นการพยายามคงอำนาจไว้
เพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายการเมือง ทั้งๆที่สร้างผลกระทบต่อบรรยากาศทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยเฉพาะต่างประเทศ และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน ก็ได้ออกมาเตือนย้ำถึงเรื่อง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่หยุด ซึ่งประเด็นเหล่านี้นายอภิสิทธิ์เองก็รู้ดี เลยทำให้ต้องมีการหารือว่าสมควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้หรือยัง แต่สุดท้าย
อาจจะออกมาแค่ อาจยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินเฉพาะพื้นที่จังหวัดภาคกลางก่อนเท่านั้น ก็คงได้แต่สะกิดเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ที่ผ่านมาสังคมมองว่านายอภิสิทธิ์ พังเพราะนายสุเทพ พังเพราะนายกษิต ภิรมย์ ยังไงก็อย่าให้ต้องมาพังเพราะไม่ยอมเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินตามแรงยุของบางคนอีกเลย ถ้าทำแค่ 3 สิ่ง คือ
คืนความยุติธรรม ล้มระบบ 2 มาตรฐาน และเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลก็อาจจะอยู่ครบเทอมได้ โดยไม่ต้องให้นายสุเทพมาขายฝันว่าจะอยู่ต่ออีก 1 ปี ให้เสียคะแนนเสียเปล่า เพราะอยู่นาน แล้วไม่แก้ปัญหา สุดท้ายพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีต่เสียกับเสีย เชื่อเถอะ!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
********************************************
วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ในความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย อะไรหรือที่ไม่เหมือนเดิม?
โดย.นักปรัชญาชายขอบ
เราได้ยินประโยคเช่นนี้กันบ่อยขึ้น “นับแต่นี้ต่อไปสังคมไทยจะไม่เหมือนเดิม” แต่อะไรหรือที่ไม่เหมือนเดิม?
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ (อย่างน้อยในช่วงสองทศวรรษหลังมานี้) ทำให้เกิดการขยายฐานจำนวนคนชั้นกลางระดับล่างเพิ่มมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เช่น การมีสวัสดิการในการรับบริการสาธารณสุข โอกาสทางการศึกษา การประกันราคาพืชผล การเข้าถึงแหล่งทุน หรือกระทั่งการรักษา/พัฒนาคุณค่า (และมูลค่า) ของทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาของชุมชน ต้องพึ่งพาหรือมีมิติเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐมากขึ้น
ในยุครัฐธรรมนูญ 2540 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญคือ มีการ “แข่งขันทางนโยบาย” ค่อนข้างเด่นชัด แม้การเลือกตั้งจะมากด้วยการซื้อเสียง (ซื้อเสียงกันทุกพรรค) แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนที่รับเงินซื้อเสียง จะปราศจากการใช้ “เหตุผล” ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะผลของการเลือกตั้งบ่งชี้ข้อเท็จจริง (ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนเลือกอย่างมีเหตุผล) ที่ชัดเจนอย่างน้อย 2 ประการ คือ 1) ประชาชนเลือกเพราะชอบนโยบายพรรค 2) ประชาชนเกิดศรัทธาอย่างเหนียวแน่นต่อนักการเมืองหรือพรรคการ เมืองที่ใช้นโยบายที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ที่พวก เขามองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม
แน่นอนว่า เราอาจวิจารณ์นโยบายประชานิยม และรัฐบาลที่คนชั้นกลางระดับล่างและคนรากหญ้าเลือกได้หลายแง่มุม แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเลือกนโยบายพรรค และการที่ประชาชนศรัทธาต่อนักการเมืองหรือพรรคการ เมืองเพราะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้นั้นไม่ใช่ความก้าวหน้าของ การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน และความก้าวหน้าดังกล่าวนี้เองที่ทำให้คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยได้ค้นพบว่าพวกเขามี “อำนาจ” อยู่จริงในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับชาติ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพวกเขา
การที่ประชาชนส่วนใหญ่ค้นพบว่า พวกเขามีอำนาจ “อยู่จริง” ดังกล่าว ทำให้เกิดการตระหนักในคุณค่าของการใช้อำนาจนั้นให้เอื้อประโยชน์ ต่อชนชั้นของพวกเขามากขึ้น และมีความรู้สึก “หวง” อำนาจของตนเองมากขึ้น จึงทำให้พวกเขาตระหนักว่า “การเลือกตั้ง” มีความหมายต่อการกำหนดอนาคตของพวกเขาเอง ไม่ใช่ “ประชาธิปไตยเพียง 4 วินาที” ดังที่แกนนำพันธมิตรฯ “เข้าใจ” (และพยายามชี้นำให้สังคมเชื่อตาม)
ฉะนั้น การออกมาทวงคืนอำนาจในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากรัฐบาลหุ่นเชิด ของอำมาตย์ จึงไม่ใช่การเรียกร้องของคนไม่รู้ประชาธิปไตย หรือไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างที่ถูกดูแคลน (และถูกซ้ำเติมด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือนักการเมืองโกง ขบวนการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ฯลฯ)
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้ เกิดการขยายฐานจำนวนคนชั้นกลางระดับล่างเพิ่มมากขึ้น (คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงสื่อ การศึกษา เทคโนโลยีการสื่อสารหลากหลายขึ้นกว่าเดิม) และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ การแข่งขันทางนโยบาย ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งอย่างมีเหตุผล และตระหนักว่าพวกเขามีอำนาจ “อยู่จริง” มากขึ้น นี่คือ “ความไม่เหมือนเดิม” ของสังคมไทย
แต่ “ความไม่เหมือนเดิม” ดังกล่าวนั้น ต้องปะทะกับ “ความเหมือนเดิม” ของชนชั้นนำไทย ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นอภิสิทธิชน ชนชั้นปกครอง ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อสายอนุรักษ์นิยม หรือสายก้าวหน้ากึ่งอนุรักษ์นิยม
“ความเหมือนเดิม” ของชนชั้นนำเหล่านี้คือ การยึดติดว่าพวกตนเป็นเจ้าของ “อำนาจปกครอง” และ “อำนาจทางศีลธรรม” หรือ อำนาจชี้ถูกชี้ผิดและ/หรือกำหนดทางเลือกทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
แล้วโศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นเมื่อพวก เขาเผชิญกับ “การท้าทาย” จากความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้ากว่า ด้วยการพยายาม “กระชับ” อำนาจปกครองให้เข้มแข็งเฉียบขาดมากขึ้น โดยอาศัย “ลมปาก” ของนักการเมืองรุ่นใหม่ภาพลักษณ์งดงามว่า เพื่อปกป้องนิติรัฐ ปกป้องสถาบัน สร้างความปรองดอง คืนความสงบสุขให้บ้านเมือง ฯลฯ และพยายาม “กระชับ” อำนาจทางศีลธรรม ด้วยข้อเสนอแผนปรองดอง ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปสื่อ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ (หรือกระทั่งเสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” ใช้เวลา 3 ปี ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ)
สรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ว่า “ความไม่เหมือนเดิม” มาขอ “การมีส่วนร่วม” ในการกำหนดอนาคตของประเทศผ่าน “การเลือกตั้ง” แต่ “ความเหมือนเดิม” นอกจากจะไม่ยอมให้เกิดการมีส่วนร่วม (ย้ำ การเลือกตั้งเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นรูปธรรมและ กว้างขวางที่สุด) ดังกล่าวแล้ว ยังพยายาม “กระชับ” อำนาจปกครองและอำนาจทางศีลธรรมของชนชั้นของพวกตนให้เข้มแข็งกว่าเดิม!
แต่การไม่ยอมรับ “ความไม่เหมือนเดิม” ด้วยการพยายามกระชับอำนาจของชนชั้นนำดังกล่าวดำ เนินไปท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่เหมือนเดิมอ ย่างสำคัญ คือ หากเปรียบเทียบกับความขัดแย้งทางการเมืองเดิม เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภา 35 ความขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคมไม่ได้ขยายกว้าง ร้าวลึก และยืดเยื้อมากขนาดนี้
การที่รัฐบาลอภิสิทธิชนพยายามปกครอง ประเทศด้วยการสร้างความกลัว (คง พรก.ฉุกเฉิน ปิดสื่อฝ่ายตรงข้าม สื่อที่มีความเห็นต่าง อย่างไม่มีกำหนด) เดินหน้าแผนปรองดองพร้อมกับกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ถูกตั้งคำถามถึง “ความเป็นกลาง” และอ้างว่า เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่บรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์แล้วจึงจะ มีการเลือกตั้ง ก็ยิ่งแสดงถึงวิธีคิดและรูปแบบการเผชิญกับ “ความไม่เหมือนเดิม” ของสังคมไทยที่สะท้อนถึงความเห็นแก่ตัว ลุแก่อำนาจ และไม่เคารพต่อ “อธิปไตย” ของประชาชน ของบรรดาชนชั้นนำไทยที่ไม่รู้จักเรียนรู้และปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
คำถามคือ อำนาจปกครอง และอำนาจศีลธรรมของชนชั้นนำไทยที่เสื่อม “ความชอบธรรม” (เพราะเป็นอำนาจบน “ฐานคิด” ที่ดูถูกประชาชน สืบทอดรัฐประหาร ฆ่าประชาชน! ฯลฯ) ไปมากแล้ว จะยังคงอยู่ได้นานแค่ไหน?
ชนชั้นนำเหล่านี้เกิดการเรียนรู้หรือไม่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่หูตาสว่างมองเห็น “ความไม่เหมือนเดิม” ที่ก้าวหน้ากว่า เขาเบื่อหน่ายแค่ไหนกับการที่ได้เห็น “วิธีการแบบเดิมๆ” โดยให้บรรดา “ทหารหาญ” (ที่ควรไปปฏิบัติ “หน้าที่” ใน 3 จังหวัดภาคใต้) ลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) ชิงมวลชนกลับคืน
คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนประเทศไปสู่ “ความไม่เหมือนเดิม” ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ต้องไม่ท้อถอย ต้องมีขันติธรรม ไม่เผาโรงเรียน สถานที่ราชการ ต้องชัดเจนในเป้าหมาย มั่นคงในอุดมการณ์ เรียกร้องรัฐบาลด้วยการใช้เหตุผลที่เหนือกว่า และอดทนที่จะรอคอย “สั่งสอน” ชนชั้นนำที่ยึดติดอำนาจปกครองและอำนาจทางศีลธรรมอย่าง หน้ามืด ใน “การเลือกตั้ง” ครั้งต่อไป!
เราได้ยินประโยคเช่นนี้กันบ่อยขึ้น “นับแต่นี้ต่อไปสังคมไทยจะไม่เหมือนเดิม” แต่อะไรหรือที่ไม่เหมือนเดิม?
นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยวิเคราะห์ว่า การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ (อย่างน้อยในช่วงสองทศวรรษหลังมานี้) ทำให้เกิดการขยายฐานจำนวนคนชั้นกลางระดับล่างเพิ่มมากขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ของคนเหล่านี้ เช่น การมีสวัสดิการในการรับบริการสาธารณสุข โอกาสทางการศึกษา การประกันราคาพืชผล การเข้าถึงแหล่งทุน หรือกระทั่งการรักษา/พัฒนาคุณค่า (และมูลค่า) ของทรัพยากรธรรมชาติและภูมิปัญญาของชุมชน ต้องพึ่งพาหรือมีมิติเชื่อมโยงกับอำนาจรัฐมากขึ้น
ในยุครัฐธรรมนูญ 2540 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญคือ มีการ “แข่งขันทางนโยบาย” ค่อนข้างเด่นชัด แม้การเลือกตั้งจะมากด้วยการซื้อเสียง (ซื้อเสียงกันทุกพรรค) แต่ไม่ได้หมายความว่าประชาชนที่รับเงินซื้อเสียง จะปราศจากการใช้ “เหตุผล” ในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะผลของการเลือกตั้งบ่งชี้ข้อเท็จจริง (ที่แสดงให้เห็นว่าประชาชนเลือกอย่างมีเหตุผล) ที่ชัดเจนอย่างน้อย 2 ประการ คือ 1) ประชาชนเลือกเพราะชอบนโยบายพรรค 2) ประชาชนเกิดศรัทธาอย่างเหนียวแน่นต่อนักการเมืองหรือพรรคการ เมืองที่ใช้นโยบายที่หาเสียงไว้มาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ที่พวก เขามองเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรม
แน่นอนว่า เราอาจวิจารณ์นโยบายประชานิยม และรัฐบาลที่คนชั้นกลางระดับล่างและคนรากหญ้าเลือกได้หลายแง่มุม แต่เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การเลือกนโยบายพรรค และการที่ประชาชนศรัทธาต่อนักการเมืองหรือพรรคการ เมืองเพราะทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้นั้นไม่ใช่ความก้าวหน้าของ การเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน และความก้าวหน้าดังกล่าวนี้เองที่ทำให้คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของสังคมไทยได้ค้นพบว่าพวกเขามี “อำนาจ” อยู่จริงในการกำหนดทิศทางการเมืองระดับชาติ และความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของพวกเขา
การที่ประชาชนส่วนใหญ่ค้นพบว่า พวกเขามีอำนาจ “อยู่จริง” ดังกล่าว ทำให้เกิดการตระหนักในคุณค่าของการใช้อำนาจนั้นให้เอื้อประโยชน์ ต่อชนชั้นของพวกเขามากขึ้น และมีความรู้สึก “หวง” อำนาจของตนเองมากขึ้น จึงทำให้พวกเขาตระหนักว่า “การเลือกตั้ง” มีความหมายต่อการกำหนดอนาคตของพวกเขาเอง ไม่ใช่ “ประชาธิปไตยเพียง 4 วินาที” ดังที่แกนนำพันธมิตรฯ “เข้าใจ” (และพยายามชี้นำให้สังคมเชื่อตาม)
ฉะนั้น การออกมาทวงคืนอำนาจในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งจากรัฐบาลหุ่นเชิด ของอำมาตย์ จึงไม่ใช่การเรียกร้องของคนไม่รู้ประชาธิปไตย หรือไม่ได้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างที่ถูกดูแคลน (และถูกซ้ำเติมด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็นเครื่องมือนักการเมืองโกง ขบวนการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ฯลฯ)
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่ทำให้ เกิดการขยายฐานจำนวนคนชั้นกลางระดับล่างเพิ่มมากขึ้น (คนเหล่านี้สามารถเข้าถึงสื่อ การศึกษา เทคโนโลยีการสื่อสารหลากหลายขึ้นกว่าเดิม) และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ การแข่งขันทางนโยบาย ประชาชนลงคะแนนเลือกตั้งอย่างมีเหตุผล และตระหนักว่าพวกเขามีอำนาจ “อยู่จริง” มากขึ้น นี่คือ “ความไม่เหมือนเดิม” ของสังคมไทย
แต่ “ความไม่เหมือนเดิม” ดังกล่าวนั้น ต้องปะทะกับ “ความเหมือนเดิม” ของชนชั้นนำไทย ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นอภิสิทธิชน ชนชั้นปกครอง ปัญญาชน นักวิชาการ สื่อสายอนุรักษ์นิยม หรือสายก้าวหน้ากึ่งอนุรักษ์นิยม
“ความเหมือนเดิม” ของชนชั้นนำเหล่านี้คือ การยึดติดว่าพวกตนเป็นเจ้าของ “อำนาจปกครอง” และ “อำนาจทางศีลธรรม” หรือ อำนาจชี้ถูกชี้ผิดและ/หรือกำหนดทางเลือกทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง
แล้วโศกนาฏกรรมจึงเกิดขึ้นเมื่อพวก เขาเผชิญกับ “การท้าทาย” จากความเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้ากว่า ด้วยการพยายาม “กระชับ” อำนาจปกครองให้เข้มแข็งเฉียบขาดมากขึ้น โดยอาศัย “ลมปาก” ของนักการเมืองรุ่นใหม่ภาพลักษณ์งดงามว่า เพื่อปกป้องนิติรัฐ ปกป้องสถาบัน สร้างความปรองดอง คืนความสงบสุขให้บ้านเมือง ฯลฯ และพยายาม “กระชับ” อำนาจทางศีลธรรม ด้วยข้อเสนอแผนปรองดอง ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปสื่อ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ (หรือกระทั่งเสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” ใช้เวลา 3 ปี ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ)
สรุปเป็นประเด็นสำคัญได้ว่า “ความไม่เหมือนเดิม” มาขอ “การมีส่วนร่วม” ในการกำหนดอนาคตของประเทศผ่าน “การเลือกตั้ง” แต่ “ความเหมือนเดิม” นอกจากจะไม่ยอมให้เกิดการมีส่วนร่วม (ย้ำ การเลือกตั้งเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนที่เป็นรูปธรรมและ กว้างขวางที่สุด) ดังกล่าวแล้ว ยังพยายาม “กระชับ” อำนาจปกครองและอำนาจทางศีลธรรมของชนชั้นของพวกตนให้เข้มแข็งกว่าเดิม!
แต่การไม่ยอมรับ “ความไม่เหมือนเดิม” ด้วยการพยายามกระชับอำนาจของชนชั้นนำดังกล่าวดำ เนินไปท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ไม่เหมือนเดิมอ ย่างสำคัญ คือ หากเปรียบเทียบกับความขัดแย้งทางการเมืองเดิม เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา และพฤษภา 35 ความขัดแย้งทางความคิดของคนในสังคมไม่ได้ขยายกว้าง ร้าวลึก และยืดเยื้อมากขนาดนี้
การที่รัฐบาลอภิสิทธิชนพยายามปกครอง ประเทศด้วยการสร้างความกลัว (คง พรก.ฉุกเฉิน ปิดสื่อฝ่ายตรงข้าม สื่อที่มีความเห็นต่าง อย่างไม่มีกำหนด) เดินหน้าแผนปรองดองพร้อมกับกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ถูกตั้งคำถามถึง “ความเป็นกลาง” และอ้างว่า เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่บรรยากาศของความปรองดองสมานฉันท์แล้วจึงจะ มีการเลือกตั้ง ก็ยิ่งแสดงถึงวิธีคิดและรูปแบบการเผชิญกับ “ความไม่เหมือนเดิม” ของสังคมไทยที่สะท้อนถึงความเห็นแก่ตัว ลุแก่อำนาจ และไม่เคารพต่อ “อธิปไตย” ของประชาชน ของบรรดาชนชั้นนำไทยที่ไม่รู้จักเรียนรู้และปรับตัวต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว
คำถามคือ อำนาจปกครอง และอำนาจศีลธรรมของชนชั้นนำไทยที่เสื่อม “ความชอบธรรม” (เพราะเป็นอำนาจบน “ฐานคิด” ที่ดูถูกประชาชน สืบทอดรัฐประหาร ฆ่าประชาชน! ฯลฯ) ไปมากแล้ว จะยังคงอยู่ได้นานแค่ไหน?
ชนชั้นนำเหล่านี้เกิดการเรียนรู้หรือไม่ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่หูตาสว่างมองเห็น “ความไม่เหมือนเดิม” ที่ก้าวหน้ากว่า เขาเบื่อหน่ายแค่ไหนกับการที่ได้เห็น “วิธีการแบบเดิมๆ” โดยให้บรรดา “ทหารหาญ” (ที่ควรไปปฏิบัติ “หน้าที่” ใน 3 จังหวัดภาคใต้) ลงพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดเพื่อปฏิบัติการจิตวิทยา (ปจว.) ชิงมวลชนกลับคืน
คนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนประเทศไปสู่ “ความไม่เหมือนเดิม” ที่เป็นประชาธิปไตยมากกว่า ต้องไม่ท้อถอย ต้องมีขันติธรรม ไม่เผาโรงเรียน สถานที่ราชการ ต้องชัดเจนในเป้าหมาย มั่นคงในอุดมการณ์ เรียกร้องรัฐบาลด้วยการใช้เหตุผลที่เหนือกว่า และอดทนที่จะรอคอย “สั่งสอน” ชนชั้นนำที่ยึดติดอำนาจปกครองและอำนาจทางศีลธรรมอย่าง หน้ามืด ใน “การเลือกตั้ง” ครั้งต่อไป!
บทวิเคราะห์: คิดวิปริต ปิดประเทศ
บทความนี้เป็นผลงานของสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เตรียมจะตีพิมพ์ใน Voice of Taksin ฉบับที่ 21 ก่อนที่จะถูกคำสั่งเผด็จการของศอฉ.สั่งปิดไม่ให้ตีพิมพ์จำหน่าย
การปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมตามคำสั่งของผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดที่เริ่มจากวิกฤตเมษาเลือด 10 เมษายน 2553 มาจนถึง 19 พฤษภาคมนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะจบลงอย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่เฉพาะอยู่ในหัวใจอันงุนงงของคนไทยแต่เป็นคำถามที่อยู่ในหัวใจอันงุนงงของคนทั้งโลกเพราะเป็นภาวะวิปริตทางการเมืองของประเทศในศตวรรษที่ 21 ที่กำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างประเทศด้อยพัฒนากับประเทศที่พัฒนาแล้วหรือเส้นแบ่งระหว่างประเทศที่มีฐานการผลิตเพื่อพออยู่พอกินกับประเทศที่มีฐานการผลิตเพื่อการตลาด แต่แล้วประเทศไทยกลับถูกฉุดกระชากให้ถอยหลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตสงครามกลางเมืองในรูปแบบของประเทศด้อยพัฒนาที่ทำการผลิตเพียงเพื่อพอกิน ปัญหาทั้งหมดมีคำตอบจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยแบบพอเพียง ที่มีกระบวนทัศน์ (Paradigm) แปลกประหลาดจากโลกแห่งยุคไซเบอร์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลวางแผนมาแต่ต้นแล้วคือ “ปราบและปิดประเทศ”
โลกแห่งอำนาจต้องคงที่ : วิถีคิดแนวจารีตนิยม
กระบวนทัศน์แห่งอำนาจของระบอบอำมาตย์ที่มีแนวคิดการเมืองแนวจารีตนิยมคือไม่ยอมรับพัฒนาการของการเมืองในระบบโลกแห่งยุคแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ถนนทุกสายมุ่งสู่การรวมศูนย์อำนาจที่มหาชนในฐานะผู้บริโภคและแนวคิดจารีตนิยมทางการเมืองนี้ได้กลายเป็นรากเหง้าปัญหาของประเทศไทยในวันนี้ โดยลักษณะแนวคิดจะเห็นได้จากชนชั้นนำจะดูถูกสามัญชนคนรากหญ้าว่า “โง่ และไม่มีความเข้าใจประชาธิปไตย” และมองระบอบประชาธิปไตยว่า “เป็นระบอบที่เลวร้ายไร้คุณธรรม” แต่พวกเขาไม่อาจจะฝ่าฝืนกระแสโลกได้จึงวางแนวพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ ให้อยู่ในแนวทางที่นักวิชาการแอนดรู วอล์คเกอร์ (Andrew Walker) จากออสเตรเลียให้นิยามว่าเป็น “ประชาธิปไตยพอเพียง” แต่นักวิชาการไทยใช้คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ” คือประชาธิปไตยสลับการรัฐประหารโดยเฉพาะเมื่อระบอบประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่าเริ่มมั่นคงขึ้นทุกครั้งก็จะเกิดการรัฐประหารตามมาเป็นสูตรที่คอการเมืองไทยสามารถทำนายได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงนักวิชาการเพราะเป็นเสมือนชีวิตประจำวันของการเมืองไทยจนชาชิน และนั่นคือวิถีคิดการเมืองแนวจารีตนิยมที่เชื่อมั่น การปกครองแบบจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อๆกันมาโดยเน้นคุณธรรมทางจิตใจมากกว่าปากท้องและการกินดีอยู่ดีของประชาชน
ลงทุนชีวิตมนุษย์เพื่อรักษาอำนาจ
วิถีคิดแนวจารีตนิยมของระบอบอำมาตย์คิดว่าโลกนี้ปั้นได้ดังใจนึกด้วยดินน้ำมัน ด้วยเพราะไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม
ความพยายามที่จะสร้างอำนาจด้วยระบอบประชาธิปไตยแห่งคุณธรรมตามโมเดลแนวคิดจารีตนิยมนี้ จึงก่อกำเนิดขึ้นจากแนวคิดข้างต้น แม้จำเป็นจะต้องลงทุนด้วยชีวิตของมนุษย์ก็ยอม ดังนั้นในอดีตจึงเกิดการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุด ดังเช่นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การบริหารจัดการของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี) โดยประกาศปิดประเทศ 12 ปี เพื่อจะใช้เวลา 12 ปีนั้น ปั้นเยาวชนให้มีอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดังใจนึก และในขณะเดียวกันก็ประกาศกวาดล้าง นักเรียน นักศึกษา ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งที่อยู่ในเมืองและหนีไปอยู่ในป่า ติดอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างถึงที่สุด จึงทำให้สถานการณ์สงครามประชาชนที่มีเชื้อไฟอยู่ในขณะนั้นปะทุรุนแรงขึ้นทั่วประเทศ แต่แล้วแนวคิดปิดประเทศก็พังทลายลงด้วยการนำของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงเป็นที่ไม่พอใจของอำมาตย์แต่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ แล้วสถานการณ์สงครามประชาชนก็คลี่คลายลงเป็นลำดับด้วยนโยบายสมานฉันท์โดยพลเอกเกรียงศักดิ์ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักเรียนนักศึกษาทั้งหมดและให้กลับคืนสู่ห้องเรียนได้ แล้วสังคมก็กลับสู่ความปรองดองเกิดพัฒนาการทางสังคมก้าวหน้าขึ้นต่อไป แต่เมื่อพัฒนาไปได้อีกระยะหนึ่งแนวคิดจารีตนิยมของระบอบอำมาตย์ก็หวาดวิตกต่อวิวัฒนาการที่ทำให้สังคมขยายใหญ่โตขึ้นอีก จึงตัดสินใจเข้าขัดขวางพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ปรากฏหลักฐานชัดคือการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างใจคิด ด้วยเพราะโลกได้พัฒนาก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่ประชาชนหูตาสว่างยากที่จะครอบงำความคิดโดยง่าย จึงนำมาซึ่งวิกฤตประเทศ แล้วแนวคิดปิดประเทศเพื่อรักษาระบอบอำมาตย์ก็ยิ่งมีเหตุผลรองรับมากขึ้น
การล้อมปราบสังหารประชาชนตั้งแต่ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจึงมิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศในภาวการณ์พิเศษที่คนทั่วโลกรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น (แต่คนไทยถูกปิดตา ไม่ให้รู้เห็น) ดังนั้นเป้าหมายการกวาดล้างระบอบทักษิณหรือแนวคิดใหม่ในการพัฒนาประเทศจึงถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบมิใช่อุบัติเหตุ ด้วยเพราะแนวคิดของระบอบทักษิณได้แสดงออกชัดเจนนับแต่การถูกรัฐประหารว่าไม่สยบยอม, ด้วยเหตุนี้ข้อสรุปว่าต้อง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” จึงเกิดขึ้น
เสื้อแดงยิ่งเติบใหญ่ยิ่งต้องกำจัด
“แม้ผมตายผมก็ยังจะตามหาความยุติธรรม” คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้างต้น ยังก้องดังในโสตประสาทของระบอบอำมาตย์ให้เคียดแค้นและอาฆาต พ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดข้อสรุปที่จะต้องกำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน เพราะในอดีตไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนไหนที่ถูกรัฐประหารแล้วจะกล้าโงหัวขึ้นมากล่าวเช่นนี้
การยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน การก่อจลาจลยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิประสานกับการใช้องค์กรศาลภายใต้นโยบาย “ตุลาการภิวัฒน์” ล้มรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือรูปธรรมยืนยันถึงข้อสรุปของระบอบอำมาตย์ที่จะต้อง “กำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน” ข้างต้น
การเติบใหญ่ของขบวนการคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่เป็นธรรมทางสังคมการเมืองของระบอบอำมาตย์ที่ใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน จึงเกิดการขยายตัวทั่วประเทศ แต่แทนที่ระบอบอำมาตย์จะรู้สำนึกตัวเองถึงความชำรุดบกพร่องของระบอบของตนก็กลับตีความว่าเป็นผลมาจากเงินทักษิณที่อัดฉีดยุยง และการล้อมปราบฆ่าคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อ 12-13 เมษายน 2552 ซึ่งแทนที่คนเสื้อแดงจะหวาดกลัวและหยุดเคลื่อนไหวแต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรกลายเป็นคนเสื้อแดงยิ่งขยายตัวทั้งประเทศ จนถึงขั้นเกิดการชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภายิ่งเป็นผลให้ข้อสรุปของอำมาตย์ที่พร้อมจะฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงอย่างโหดร้ายในฐานะ “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” และพร้อมจะปิดประเทศ จึงเกิดขึ้นอย่างสิ้นสงสัยในเหตุการณ์ล้อมปราบจาก 10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553 และการไล่ปราบปรามตามจับในขณะนี้
แผนเผด็จศึกเสื้อแดงเกิดก่อนการชุมนุม
หากใครได้ติดตามข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์และบทวิเคราะห์ต่างๆ ในช่วงตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2553 นี้ ข่าวจะกระชั้นถี่ขึ้นถึงแนวคิดของมหาอำมาตย์ว่า จะมีการจัดการประเทศใหม่ แม้จะมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นแสนก็ยอม แม้จะปิดประเทศก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร โดยเปรียบเทียบกับการดำรงอยู่ของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า
รูปธรรมที่เป็นเชื้อมูลของความคิดนี้ที่เล็ดรอดออกมายืนยันได้จากคนใกล้ชิดของมหาอำมาตย์ เช่น การนำเสนอแนวคิดการเมืองใหม่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 2551 ที่เสนอโครงสร้างอำนาจหลักที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งคือระบบ 70:30 และคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คนใกล้ชิดพลเอกเปรมตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน “โลกวันนี้” วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า
“ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการสังคายนาและปฏิรูปประเทศไทยใหม่ โดยต้องหยุดปัญหาที่วุ่นวายไว้สักระยะหนึ่งเพราะกลไกของเราใช้ไม่ได้ อย่ามาพูดว่าสภาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเพราะที่มาของ ส.ส.ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ขอย้ำว่าต้องมีการปฏิวัติจริงๆ ไม่ใช่จอมปลอม ต้องไม่ให้เหมือนกับการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่เป็นการปฏิวัติที่ใช้ไม่ได้”
รูปธรรมที่ยืนยันความคิดนี้เกิดจากปฏิบัติการจริงแล้วคือการล้อมปราบฆ่าประชาชนที่มาเรียกร้องการยุบสภาเมื่อ 10 เมษายน 2553 ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าที่ไพเราะว่า “ขอคืนพื้นที่” และการล้อมยิงประชาชนเหมือนล่าสัตว์ที่เริ่มต้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2553 ประเดิมด้วยพลแม่นผืนสังหาร “เสธแดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และติดตามมาด้วยการ “เล็งเป้าฆ่า” ตลอดสัปดาห์อย่างเมามัน ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าใหม่ที่ไพเราะกว่าเก่าว่า “กระชับพื้นที่”
หากเรานำข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมต่อก็จะพบความจริงว่าการล้อมปราบประชาชนอย่างโหดร้ายมิใช่ความจงใจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการจะยุติการชุมนุมตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” และสิ่งที่จะต้องติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการปิดประเทศ
ลำดับเหตุการณ์ก่อนเกิดเมษา-พฤษภาเลือด
1. 26 กุมภาพันธ์ 2553 ลั่นระฆัง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” ด้วยคำพิพากษายึดทรัพย์ทักษิณและตามมาด้วยการเตรียมปราบการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่จะเริ่มต้น 12 มีนาคม 2553
2. เริ่มต้นประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงนำทหารในสายอำนาจของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบกที่ถูกกำหนดตัวให้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ออกมาทำหน้าที่แทนตำรวจ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่แกนนำ นปช.ประกาศเริ่มต้นการชุมนุม ทั้งๆที่ในต่างประเทศการควบคุมฝูงชนจะเริ่มต้นจากการใช้ตำรวจ
3. พฤติกรรมผิดสังเกตของทหาร ทหารที่ออกมามีอาวุธสงครามครบมือเตรียมปราบปรามโดยปิดบังหน่วยต้นสังกัดทั้งหมดทั้งที่เครื่องแบบประจำตัวและยานพาหนะพร้อมทั้งปิดทะเบียนรถที่ขนส่งทหารออกมาประจำตามถนนและด่านตรวจต่างๆ ทั้งหมด
4. สร้างข่าวเตรียมสังหารคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรมด้วยการตั้งข้อหา “ขบวนการล้มเจ้า” โดยเริ่มต้นจากการเปิดวาทะกรรมปลุกระดมจากกลุ่มพันธมิตรก่อนเมื่อปลายปี 2552 ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV ว่า “ล้มเจ้า” ซึ่งสอดรับกับการปลุกระดมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในโทรทัศน์ช่อง 11 และการประกาศอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข่าวโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในนาม ศอฉ. นับจาก 7 เมษายน 2553
5. ประกาศเขตรอบโรงพยาบาลศิริราชเป็นพื้นที่ปลอดแดงเด็ดขาด และห้ามการเดินทางไปถวายพระพรของพสกนิกรโดยเด็ดขาดก่อนจะเริ่มต้นการชุมนุมด้วยเช่นกัน โดยมีนัยยะสำคัญทางการข่าวจิตวิทยาว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ไม่จงรักภักดีเพื่อโน้มน้าวให้สารธารณชนสนับสนุนแผนการฆ่าคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรม
6. อภิสิทธิ์-สุเทพ เล่นละครตอบรับยุบสภาอย่างเสียไม่ได้ ตลอดระยะเวลาเริ่มต้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 12 มีนาคม เรียกร้องให้มีการยุบสภานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ(ผู้บัญชาการรบที่รับคำสั่งจากมหาอำมาตย์)ไม่เคยแสดงท่าทีตอบรับหรือเพียงแค่รับพิจารณาว่าจะยุบสภาเลย การเจรจาของรัฐบาลเรื่องการยุบสภา 2 ครั้ง กับแกนนำ นปช.จึงเป็นเพียงฉากละครมีนายสุเทพผู้อยู่เบื้องหลังเชิดนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ ในฐานะเลขานายกฯ และนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ อดีตคอมมิวนิสต์เก่าผู้มีประสบการณ์งานมวลชนขึ้นเล่นละครอย่างเสียไม่ได้เท่านั้น และเมื่อการเจรจาล้มเหลวนายสุเทพ ก็แสดงความดีอกดีใจและยั่วยุด้วยถ้อยคำว่า “เมื่อไม่มีการเจรจารัฐบาลก็จะอยู่จนครบอายุ 1 ปี กับอีก 9 เดือน”
7. สร้างเงื่อนไขประกาศภาวะฉุกเฉิน อภิสิทธิ์-สุเทพ ได้วางแผน “ใช้ขนมหวานล่อมด” โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ประกาศจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภาในวันพุธที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งตรงกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยั่วยุให้คนเสื้อแดงปิดล้อมสภาเช่นเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยทำเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ทั้งๆที่รู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องตามมาประท้วงนายอภิสิทธิ์อย่างแน่นอนเพราะสภาอยู่ใกล้กับการชุมนุมคนเสื้อแดง(ขณะนั้นอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า) และเป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ใช้กรมทหารราบที่ 11 และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ห่างไกลการชุมนุมเป็นที่ประชุม ค.ร.ม.มาโดยตลอดแต่อยู่ๆก็อยากจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภา แล้วทุกอย่างก็เข้าแผนการร้ายนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่านายอภิสิทธิ์แถลงข่าวถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ พรก..ฉุกเฉิน จากเหตุการณ์บุกสภา แต่ในประกาศกลับไม่กล่าวอ้างเหตุการณ์การบุกสภาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร คงจะเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์รู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องการบุกสภาของคนเสื้อแดงนั้นยังขาดเหตุขาดผลอยู่
รูปธรรมการถอนรากถอนโคนทักษิณ
เหตุการณ์ใช้หน่วยสแนปเปอร์ลอบยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงในหัวค่ำของคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นการจุดพลุส่องสว่างให้เห็นถึงความแค้นของระบอบอำมาตย์อันไม่อาจจะปกปิดได้อีกแล้ว นับแต่นั้นทหารหน่วยพลแม่นปืนที่เป็นกองกำลังหน่วยสำคัญของพลเอก สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นคู่อาฆาตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อนก็เปิดฉากไล่ยิงประชาชนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายและพวกล้มเจ้าเป็นผลให้ประชาชนผู้สุจริตบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ล่วงแล้วตามมาด้วยการล้อมฆ่าปิดท้ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม เขตอภัยทาน ด้วยเข้าใจว่าผู้ก่อการร้ายหนีเข้าไปในวัด จนสตรีที่เป็นอาสาสมัครพยาบาล นางกมนเกด อัคฮาด เสียชีวิต และการติดตามจับบุคคลที่รัฐบาลอภิสิทธิ์หมายหัวทำบัญชีไว้ว่า “ฮาร์ดคอร์” ของทักษิณก็ตามมา รวมทั้งการประกาศควบคุมบัญชีเงินธนาคารของประชาชนอีกจำนวนมากรวมทั้งควบคุมเงินของนักหนังสือพิมพ์อย่างนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บก. VOICE OF TAKSIN รวมทั้งการออกไล่ล่าปิดหนังสือพิมพ์ของฝ่ายเสื้อแดง และจับนายสมยศและ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาคประวัติศาสตร์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง
ความรุนแรงเกินคาดแต่ไม่เกินแผน
สิ่งที่ระบอบอำมาตย์คาดไม่ถึงว่าประชาชนคนรากหญ้าจะมีจิตสำนึกทางประชาธิปไตย และเข้าใจกลไกธุรกิจของอำมาตย์มากขึ้น จนถึงขั้นกล้าต่อสู้กับพวกเขาอย่างถึงที่สุด นั่นคือรูปธรรมที่เป็นจริง เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่มีทั้งเด็กผู้หญิง และคนแก่บริเวณหน้าเวทีที่ราชประสงค์ แต่ประชาชนกลับประกาศสู้ตายและเสียใจร้องไห้ที่แกนนำยอมจำนนแล้วนับจากนั้นพวกเขาที่ไร้จัดตั้งก็กระจายกันโจมตีเผาสถานที่ทางการค้าต่างๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นของพวกอำมาตย์หรือที่เหล่าอำมาตย์ใช้อภิสิทธิ์ทางการเมืองคุ้มครองธุรกิจให้ รวมทั้งฝ่ายอำมาตย์ก็สวมรอยหนุนการเผาด้วยเพื่อจะได้เกิดความชอบธรรมในการไล่ฆ่าพวกเสื้อแดง เช่น ศูนย์การค้าสยาม ศูนย์การค้าเวิร์ลเทรด ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ และไม่เว้นแม้แต่ตึกโทรทัศน์ช่อง 3 ที่เป็นตัวแทนของสื่อที่สนับสนุนระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐาน ก็ไหม้เป็นจุล และการก่อจลาจลได้กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพ และทั่วประเทศ ศาลากลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐอำมาตย์จึงเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตีซึ่งสภาพความรุนแรงและมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองไทย
เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกินความคาดหมายแต่ไม่เกินแผนของอำมาตย์ที่ประเมินไว้
ปิดประเทศเป็นความชอบธรรม
ทางออกของสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว คือการประกาศปิดประเทศอย่างเป็นทางการ เพราะโดยเนื้อแท้ของสถานการณ์วันนี้คือการปิดประเทศแล้ว
การประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างเชียงใหม่ และอุดรธานี เป็นต้นรวมเกือบครึ่งประเทศรวมทั้งการปิดเว็บไซด์ และการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะการปิดวิทยุชุมชนเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของรูปธรรมการปิดประเทศ และเป็นรูปธรรมที่บ่งบอกว่าจะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเวลาสำคัญที่สุดของการผลัดเปลี่ยนอำนาจของรัฐไทยใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว การปิดประเทศเพื่อควบคุมความเป็นเอกภาพแบบโบราณ คือ เอกภาพแห่งอำนาจ เอกภาพแห่งความเงียบสงบ จะต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับเหตุการณ์สำคัญ
เอกภาพแห่งอำนาจ และเอกภาพแห่งความเงียบสงบจะมาในรูปแบบการรัฐประหารแนวใหม่ แต่เนื้อหาแนวเดิม
ถ้อยคำที่เรียกขานอำนาจใหม่ก็จะไพเราะไม่แพ้คำว่า “กระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่” เช่น สภาสมานฉันท์แห่งชาติ เป็นต้น
ภาพการปิดประเทศจะยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อใกล้เดือนกันยายน และยิ่งๆเด่นชัดเมื่อเห็นภาพผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ที่มีนามว่า “ป” ปลาตาขวาง ขึ้นแทน “ป” ป๊อกไม่ปฏิวัติ
สื่อเล็กๆ อย่าง VOT ขอพยากรณ์ฟันธงตามคำขวัญของเราที่ว่า “อ่านคุณภาพใหม่ที่สื่อใหญ่ไม่กล้าตีพิมพ์”
ปิดประเทศเป็นความจำเป็นและความชอบธรรมที่ระบอบอำมาตย์ประเมินไว้เป็นจริงแล้ว
โดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข
ที่มา Voice of Taksin ฉบับที่ 21
***********************************************
การปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอย่างโหดเหี้ยมตามคำสั่งของผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์-สุเทพ อย่างต่อเนื่องและยาวนานที่สุดที่เริ่มจากวิกฤตเมษาเลือด 10 เมษายน 2553 มาจนถึง 19 พฤษภาคมนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร? และจะจบลงอย่างไร? ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่เฉพาะอยู่ในหัวใจอันงุนงงของคนไทยแต่เป็นคำถามที่อยู่ในหัวใจอันงุนงงของคนทั้งโลกเพราะเป็นภาวะวิปริตทางการเมืองของประเทศในศตวรรษที่ 21 ที่กำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างประเทศด้อยพัฒนากับประเทศที่พัฒนาแล้วหรือเส้นแบ่งระหว่างประเทศที่มีฐานการผลิตเพื่อพออยู่พอกินกับประเทศที่มีฐานการผลิตเพื่อการตลาด แต่แล้วประเทศไทยกลับถูกฉุดกระชากให้ถอยหลังเข้าสู่ภาวะวิกฤตสงครามกลางเมืองในรูปแบบของประเทศด้อยพัฒนาที่ทำการผลิตเพียงเพื่อพอกิน ปัญหาทั้งหมดมีคำตอบจากระบอบการปกครองประชาธิปไตยแบบพอเพียง ที่มีกระบวนทัศน์ (Paradigm) แปลกประหลาดจากโลกแห่งยุคไซเบอร์ที่ผู้อยู่เบื้องหลังรัฐบาลวางแผนมาแต่ต้นแล้วคือ “ปราบและปิดประเทศ”
โลกแห่งอำนาจต้องคงที่ : วิถีคิดแนวจารีตนิยม
กระบวนทัศน์แห่งอำนาจของระบอบอำมาตย์ที่มีแนวคิดการเมืองแนวจารีตนิยมคือไม่ยอมรับพัฒนาการของการเมืองในระบบโลกแห่งยุคแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ถนนทุกสายมุ่งสู่การรวมศูนย์อำนาจที่มหาชนในฐานะผู้บริโภคและแนวคิดจารีตนิยมทางการเมืองนี้ได้กลายเป็นรากเหง้าปัญหาของประเทศไทยในวันนี้ โดยลักษณะแนวคิดจะเห็นได้จากชนชั้นนำจะดูถูกสามัญชนคนรากหญ้าว่า “โง่ และไม่มีความเข้าใจประชาธิปไตย” และมองระบอบประชาธิปไตยว่า “เป็นระบอบที่เลวร้ายไร้คุณธรรม” แต่พวกเขาไม่อาจจะฝ่าฝืนกระแสโลกได้จึงวางแนวพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลาครึ่งศตวรรษ ให้อยู่ในแนวทางที่นักวิชาการแอนดรู วอล์คเกอร์ (Andrew Walker) จากออสเตรเลียให้นิยามว่าเป็น “ประชาธิปไตยพอเพียง” แต่นักวิชาการไทยใช้คำว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ ” คือประชาธิปไตยสลับการรัฐประหารโดยเฉพาะเมื่อระบอบประชาธิปไตยส่งสัญญาณว่าเริ่มมั่นคงขึ้นทุกครั้งก็จะเกิดการรัฐประหารตามมาเป็นสูตรที่คอการเมืองไทยสามารถทำนายได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงนักวิชาการเพราะเป็นเสมือนชีวิตประจำวันของการเมืองไทยจนชาชิน และนั่นคือวิถีคิดการเมืองแนวจารีตนิยมที่เชื่อมั่น การปกครองแบบจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อๆกันมาโดยเน้นคุณธรรมทางจิตใจมากกว่าปากท้องและการกินดีอยู่ดีของประชาชน
ลงทุนชีวิตมนุษย์เพื่อรักษาอำนาจ
วิถีคิดแนวจารีตนิยมของระบอบอำมาตย์คิดว่าโลกนี้ปั้นได้ดังใจนึกด้วยดินน้ำมัน ด้วยเพราะไม่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการสังคม
ความพยายามที่จะสร้างอำนาจด้วยระบอบประชาธิปไตยแห่งคุณธรรมตามโมเดลแนวคิดจารีตนิยมนี้ จึงก่อกำเนิดขึ้นจากแนวคิดข้างต้น แม้จำเป็นจะต้องลงทุนด้วยชีวิตของมนุษย์ก็ยอม ดังนั้นในอดีตจึงเกิดการสังหารหมู่นักศึกษาประชาชนอย่างโหดร้ายที่สุด ดังเช่นในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ภายใต้การบริหารจัดการของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายกรัฐมนตรี(ปัจจุบันดำรงตำแหน่งองคมนตรี) โดยประกาศปิดประเทศ 12 ปี เพื่อจะใช้เวลา 12 ปีนั้น ปั้นเยาวชนให้มีอุดมการณ์รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ดังใจนึก และในขณะเดียวกันก็ประกาศกวาดล้าง นักเรียน นักศึกษา ที่เรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งที่อยู่ในเมืองและหนีไปอยู่ในป่า ติดอาวุธร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างถึงที่สุด จึงทำให้สถานการณ์สงครามประชาชนที่มีเชื้อไฟอยู่ในขณะนั้นปะทุรุนแรงขึ้นทั่วประเทศ แต่แล้วแนวคิดปิดประเทศก็พังทลายลงด้วยการนำของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ทำการยึดอำนาจล้มรัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียร จึงเป็นที่ไม่พอใจของอำมาตย์แต่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ แล้วสถานการณ์สงครามประชาชนก็คลี่คลายลงเป็นลำดับด้วยนโยบายสมานฉันท์โดยพลเอกเกรียงศักดิ์ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักเรียนนักศึกษาทั้งหมดและให้กลับคืนสู่ห้องเรียนได้ แล้วสังคมก็กลับสู่ความปรองดองเกิดพัฒนาการทางสังคมก้าวหน้าขึ้นต่อไป แต่เมื่อพัฒนาไปได้อีกระยะหนึ่งแนวคิดจารีตนิยมของระบอบอำมาตย์ก็หวาดวิตกต่อวิวัฒนาการที่ทำให้สังคมขยายใหญ่โตขึ้นอีก จึงตัดสินใจเข้าขัดขวางพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง ปรากฏหลักฐานชัดคือการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แต่ครั้งนี้ไม่ง่ายเหมือนอย่างใจคิด ด้วยเพราะโลกได้พัฒนาก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่ประชาชนหูตาสว่างยากที่จะครอบงำความคิดโดยง่าย จึงนำมาซึ่งวิกฤตประเทศ แล้วแนวคิดปิดประเทศเพื่อรักษาระบอบอำมาตย์ก็ยิ่งมีเหตุผลรองรับมากขึ้น
การล้อมปราบสังหารประชาชนตั้งแต่ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจึงมิใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศในภาวการณ์พิเศษที่คนทั่วโลกรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น (แต่คนไทยถูกปิดตา ไม่ให้รู้เห็น) ดังนั้นเป้าหมายการกวาดล้างระบอบทักษิณหรือแนวคิดใหม่ในการพัฒนาประเทศจึงถูกกำหนดขึ้นอย่างเป็นระบบมิใช่อุบัติเหตุ ด้วยเพราะแนวคิดของระบอบทักษิณได้แสดงออกชัดเจนนับแต่การถูกรัฐประหารว่าไม่สยบยอม, ด้วยเหตุนี้ข้อสรุปว่าต้อง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” จึงเกิดขึ้น
เสื้อแดงยิ่งเติบใหญ่ยิ่งต้องกำจัด
“แม้ผมตายผมก็ยังจะตามหาความยุติธรรม” คำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ข้างต้น ยังก้องดังในโสตประสาทของระบอบอำมาตย์ให้เคียดแค้นและอาฆาต พ.ต.ท.ทักษิณ จนเกิดข้อสรุปที่จะต้องกำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน เพราะในอดีตไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนไหนที่ถูกรัฐประหารแล้วจะกล้าโงหัวขึ้นมากล่าวเช่นนี้
การยุบพรรคไทยรักไทย ยุบพรรคพลังประชาชน การก่อจลาจลยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบินสุวรรณภูมิประสานกับการใช้องค์กรศาลภายใต้นโยบาย “ตุลาการภิวัฒน์” ล้มรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือรูปธรรมยืนยันถึงข้อสรุปของระบอบอำมาตย์ที่จะต้อง “กำจัดทักษิณอย่างถอนรากถอนโคน” ข้างต้น
การเติบใหญ่ของขบวนการคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่เป็นธรรมทางสังคมการเมืองของระบอบอำมาตย์ที่ใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน จึงเกิดการขยายตัวทั่วประเทศ แต่แทนที่ระบอบอำมาตย์จะรู้สำนึกตัวเองถึงความชำรุดบกพร่องของระบอบของตนก็กลับตีความว่าเป็นผลมาจากเงินทักษิณที่อัดฉีดยุยง และการล้อมปราบฆ่าคนเสื้อแดงในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อ 12-13 เมษายน 2552 ซึ่งแทนที่คนเสื้อแดงจะหวาดกลัวและหยุดเคลื่อนไหวแต่เหตุการณ์กลับตาลปัตรกลายเป็นคนเสื้อแดงยิ่งขยายตัวทั้งประเทศ จนถึงขั้นเกิดการชุมนุมใหญ่อย่างยืดเยื้อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภายิ่งเป็นผลให้ข้อสรุปของอำมาตย์ที่พร้อมจะฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงอย่างโหดร้ายในฐานะ “เสี้ยนหนามแผ่นดิน” และพร้อมจะปิดประเทศ จึงเกิดขึ้นอย่างสิ้นสงสัยในเหตุการณ์ล้อมปราบจาก 10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 2553 และการไล่ปราบปรามตามจับในขณะนี้
แผนเผด็จศึกเสื้อแดงเกิดก่อนการชุมนุม
หากใครได้ติดตามข่าวสารในหน้าหนังสือพิมพ์และบทวิเคราะห์ต่างๆ ในช่วงตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดยเฉพาะในช่วงต้นปี 2553 นี้ ข่าวจะกระชั้นถี่ขึ้นถึงแนวคิดของมหาอำมาตย์ว่า จะมีการจัดการประเทศใหม่ แม้จะมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นแสนก็ยอม แม้จะปิดประเทศก็อยู่ได้ไม่เดือดร้อนอะไร โดยเปรียบเทียบกับการดำรงอยู่ของรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า
รูปธรรมที่เป็นเชื้อมูลของความคิดนี้ที่เล็ดรอดออกมายืนยันได้จากคนใกล้ชิดของมหาอำมาตย์ เช่น การนำเสนอแนวคิดการเมืองใหม่ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรในเดือนมิถุนายน 2551 ที่เสนอโครงสร้างอำนาจหลักที่ไม่ต้องมาจากการเลือกตั้งคือระบบ 70:30 และคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ คนใกล้ชิดพลเอกเปรมตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์รายวัน “โลกวันนี้” วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า
“ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีการสังคายนาและปฏิรูปประเทศไทยใหม่ โดยต้องหยุดปัญหาที่วุ่นวายไว้สักระยะหนึ่งเพราะกลไกของเราใช้ไม่ได้ อย่ามาพูดว่าสภาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเพราะที่มาของ ส.ส.ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ขอย้ำว่าต้องมีการปฏิวัติจริงๆ ไม่ใช่จอมปลอม ต้องไม่ให้เหมือนกับการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 ที่เป็นการปฏิวัติที่ใช้ไม่ได้”
รูปธรรมที่ยืนยันความคิดนี้เกิดจากปฏิบัติการจริงแล้วคือการล้อมปราบฆ่าประชาชนที่มาเรียกร้องการยุบสภาเมื่อ 10 เมษายน 2553 ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าที่ไพเราะว่า “ขอคืนพื้นที่” และการล้อมยิงประชาชนเหมือนล่าสัตว์ที่เริ่มต้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2553 ประเดิมด้วยพลแม่นผืนสังหาร “เสธแดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และติดตามมาด้วยการ “เล็งเป้าฆ่า” ตลอดสัปดาห์อย่างเมามัน ด้วยการประดิษฐ์คำสั่งฆ่าใหม่ที่ไพเราะกว่าเก่าว่า “กระชับพื้นที่”
หากเรานำข้อมูลทั้งหมดมาเชื่อมต่อก็จะพบความจริงว่าการล้อมปราบประชาชนอย่างโหดร้ายมิใช่ความจงใจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ต้องการจะยุติการชุมนุมตามคำกล่าวอ้าง แต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” และสิ่งที่จะต้องติดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือการปิดประเทศ
ลำดับเหตุการณ์ก่อนเกิดเมษา-พฤษภาเลือด
1. 26 กุมภาพันธ์ 2553 ลั่นระฆัง “กำจัดทักษิณและพวกอย่างถอนรากถอนโคน” ด้วยคำพิพากษายึดทรัพย์ทักษิณและตามมาด้วยการเตรียมปราบการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่จะเริ่มต้น 12 มีนาคม 2553
2. เริ่มต้นประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงนำทหารในสายอำนาจของพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบกที่ถูกกำหนดตัวให้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.ออกมาทำหน้าที่แทนตำรวจ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่แกนนำ นปช.ประกาศเริ่มต้นการชุมนุม ทั้งๆที่ในต่างประเทศการควบคุมฝูงชนจะเริ่มต้นจากการใช้ตำรวจ
3. พฤติกรรมผิดสังเกตของทหาร ทหารที่ออกมามีอาวุธสงครามครบมือเตรียมปราบปรามโดยปิดบังหน่วยต้นสังกัดทั้งหมดทั้งที่เครื่องแบบประจำตัวและยานพาหนะพร้อมทั้งปิดทะเบียนรถที่ขนส่งทหารออกมาประจำตามถนนและด่านตรวจต่างๆ ทั้งหมด
4. สร้างข่าวเตรียมสังหารคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรมด้วยการตั้งข้อหา “ขบวนการล้มเจ้า” โดยเริ่มต้นจากการเปิดวาทะกรรมปลุกระดมจากกลุ่มพันธมิตรก่อนเมื่อปลายปี 2552 ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV ว่า “ล้มเจ้า” ซึ่งสอดรับกับการปลุกระดมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในโทรทัศน์ช่อง 11 และการประกาศอย่างเป็นทางการของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในข่าวโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจในนาม ศอฉ. นับจาก 7 เมษายน 2553
5. ประกาศเขตรอบโรงพยาบาลศิริราชเป็นพื้นที่ปลอดแดงเด็ดขาด และห้ามการเดินทางไปถวายพระพรของพสกนิกรโดยเด็ดขาดก่อนจะเริ่มต้นการชุมนุมด้วยเช่นกัน โดยมีนัยยะสำคัญทางการข่าวจิตวิทยาว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ไม่จงรักภักดีเพื่อโน้มน้าวให้สารธารณชนสนับสนุนแผนการฆ่าคนเสื้อแดงอย่างชอบธรรม
6. อภิสิทธิ์-สุเทพ เล่นละครตอบรับยุบสภาอย่างเสียไม่ได้ ตลอดระยะเวลาเริ่มต้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่ 12 มีนาคม เรียกร้องให้มีการยุบสภานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ(ผู้บัญชาการรบที่รับคำสั่งจากมหาอำมาตย์)ไม่เคยแสดงท่าทีตอบรับหรือเพียงแค่รับพิจารณาว่าจะยุบสภาเลย การเจรจาของรัฐบาลเรื่องการยุบสภา 2 ครั้ง กับแกนนำ นปช.จึงเป็นเพียงฉากละครมีนายสุเทพผู้อยู่เบื้องหลังเชิดนายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ ในฐานะเลขานายกฯ และนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ อดีตคอมมิวนิสต์เก่าผู้มีประสบการณ์งานมวลชนขึ้นเล่นละครอย่างเสียไม่ได้เท่านั้น และเมื่อการเจรจาล้มเหลวนายสุเทพ ก็แสดงความดีอกดีใจและยั่วยุด้วยถ้อยคำว่า “เมื่อไม่มีการเจรจารัฐบาลก็จะอยู่จนครบอายุ 1 ปี กับอีก 9 เดือน”
7. สร้างเงื่อนไขประกาศภาวะฉุกเฉิน อภิสิทธิ์-สุเทพ ได้วางแผน “ใช้ขนมหวานล่อมด” โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ประกาศจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภาในวันพุธที่ 7 เมษายน 2553 ซึ่งตรงกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อยั่วยุให้คนเสื้อแดงปิดล้อมสภาเช่นเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเคยทำเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ทั้งๆที่รู้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องตามมาประท้วงนายอภิสิทธิ์อย่างแน่นอนเพราะสภาอยู่ใกล้กับการชุมนุมคนเสื้อแดง(ขณะนั้นอยู่ที่สะพานผ่านฟ้า) และเป็นที่น่าสังเกตว่านับตั้งแต่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็ใช้กรมทหารราบที่ 11 และกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งอยู่ห่างไกลการชุมนุมเป็นที่ประชุม ค.ร.ม.มาโดยตลอดแต่อยู่ๆก็อยากจะมาประชุม ค.ร.ม.ที่สภา แล้วทุกอย่างก็เข้าแผนการร้ายนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่านายอภิสิทธิ์แถลงข่าวถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ พรก..ฉุกเฉิน จากเหตุการณ์บุกสภา แต่ในประกาศกลับไม่กล่าวอ้างเหตุการณ์การบุกสภาอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร คงจะเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์รู้อยู่แก่ใจดีว่าเรื่องการบุกสภาของคนเสื้อแดงนั้นยังขาดเหตุขาดผลอยู่
รูปธรรมการถอนรากถอนโคนทักษิณ
เหตุการณ์ใช้หน่วยสแนปเปอร์ลอบยิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดงในหัวค่ำของคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 เป็นการจุดพลุส่องสว่างให้เห็นถึงความแค้นของระบอบอำมาตย์อันไม่อาจจะปกปิดได้อีกแล้ว นับแต่นั้นทหารหน่วยพลแม่นปืนที่เป็นกองกำลังหน่วยสำคัญของพลเอก สุรยุทธ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นคู่อาฆาตกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาก่อนก็เปิดฉากไล่ยิงประชาชนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นแกนนำผู้ก่อการร้ายและพวกล้มเจ้าเป็นผลให้ประชาชนผู้สุจริตบาดเจ็บล้มตายเป็นใบไม้ล่วงแล้วตามมาด้วยการล้อมฆ่าปิดท้ายวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 โดยยิงเข้าไปในวัดปทุมวนาราม เขตอภัยทาน ด้วยเข้าใจว่าผู้ก่อการร้ายหนีเข้าไปในวัด จนสตรีที่เป็นอาสาสมัครพยาบาล นางกมนเกด อัคฮาด เสียชีวิต และการติดตามจับบุคคลที่รัฐบาลอภิสิทธิ์หมายหัวทำบัญชีไว้ว่า “ฮาร์ดคอร์” ของทักษิณก็ตามมา รวมทั้งการประกาศควบคุมบัญชีเงินธนาคารของประชาชนอีกจำนวนมากรวมทั้งควบคุมเงินของนักหนังสือพิมพ์อย่างนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข บก. VOICE OF TAKSIN รวมทั้งการออกไล่ล่าปิดหนังสือพิมพ์ของฝ่ายเสื้อแดง และจับนายสมยศและ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาคประวัติศาสตร์คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้ง ส.ส.ฝ่ายค้านในสภาที่กำลังทำอย่างต่อเนื่อง
ความรุนแรงเกินคาดแต่ไม่เกินแผน
สิ่งที่ระบอบอำมาตย์คาดไม่ถึงว่าประชาชนคนรากหญ้าจะมีจิตสำนึกทางประชาธิปไตย และเข้าใจกลไกธุรกิจของอำมาตย์มากขึ้น จนถึงขั้นกล้าต่อสู้กับพวกเขาอย่างถึงที่สุด นั่นคือรูปธรรมที่เป็นจริง เมื่อแกนนำ นปช. ประกาศยอมแพ้เพื่อรักษาชีวิตของประชาชนที่มีทั้งเด็กผู้หญิง และคนแก่บริเวณหน้าเวทีที่ราชประสงค์ แต่ประชาชนกลับประกาศสู้ตายและเสียใจร้องไห้ที่แกนนำยอมจำนนแล้วนับจากนั้นพวกเขาที่ไร้จัดตั้งก็กระจายกันโจมตีเผาสถานที่ทางการค้าต่างๆ ที่เขาเชื่อว่าเป็นของพวกอำมาตย์หรือที่เหล่าอำมาตย์ใช้อภิสิทธิ์ทางการเมืองคุ้มครองธุรกิจให้ รวมทั้งฝ่ายอำมาตย์ก็สวมรอยหนุนการเผาด้วยเพื่อจะได้เกิดความชอบธรรมในการไล่ฆ่าพวกเสื้อแดง เช่น ศูนย์การค้าสยาม ศูนย์การค้าเวิร์ลเทรด ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงเทพ และไม่เว้นแม้แต่ตึกโทรทัศน์ช่อง 3 ที่เป็นตัวแทนของสื่อที่สนับสนุนระบบอยุติธรรม 2 มาตรฐาน ก็ไหม้เป็นจุล และการก่อจลาจลได้กระจายตัวไปทั่วกรุงเทพ และทั่วประเทศ ศาลากลางซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจรัฐอำมาตย์จึงเป็นเป้าหมายของการบุกโจมตีซึ่งสภาพความรุนแรงและมีเนื้อหาทางเศรษฐกิจเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในเมืองไทย
เหตุการณ์ความรุนแรงเช่นนี้เกินความคาดหมายแต่ไม่เกินแผนของอำมาตย์ที่ประเมินไว้
ปิดประเทศเป็นความชอบธรรม
ทางออกของสถานการณ์การเมืองไทยวันนี้ไม่ช้าก็เร็ว คือการประกาศปิดประเทศอย่างเป็นทางการ เพราะโดยเนื้อแท้ของสถานการณ์วันนี้คือการปิดประเทศแล้ว
การประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพมหานครและจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมอย่างเชียงใหม่ และอุดรธานี เป็นต้นรวมเกือบครึ่งประเทศรวมทั้งการปิดเว็บไซด์ และการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะการปิดวิทยุชุมชนเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของรูปธรรมการปิดประเทศ และเป็นรูปธรรมที่บ่งบอกว่าจะต้องเดินหน้าต่อไป เพราะเวลาสำคัญที่สุดของการผลัดเปลี่ยนอำนาจของรัฐไทยใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว การปิดประเทศเพื่อควบคุมความเป็นเอกภาพแบบโบราณ คือ เอกภาพแห่งอำนาจ เอกภาพแห่งความเงียบสงบ จะต้องเกิดขึ้นเพื่อรองรับเหตุการณ์สำคัญ
เอกภาพแห่งอำนาจ และเอกภาพแห่งความเงียบสงบจะมาในรูปแบบการรัฐประหารแนวใหม่ แต่เนื้อหาแนวเดิม
ถ้อยคำที่เรียกขานอำนาจใหม่ก็จะไพเราะไม่แพ้คำว่า “กระชับพื้นที่ หรือขอคืนพื้นที่” เช่น สภาสมานฉันท์แห่งชาติ เป็นต้น
ภาพการปิดประเทศจะยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อใกล้เดือนกันยายน และยิ่งๆเด่นชัดเมื่อเห็นภาพผู้บัญชาการทหารบกคนใหม่ที่มีนามว่า “ป” ปลาตาขวาง ขึ้นแทน “ป” ป๊อกไม่ปฏิวัติ
สื่อเล็กๆ อย่าง VOT ขอพยากรณ์ฟันธงตามคำขวัญของเราที่ว่า “อ่านคุณภาพใหม่ที่สื่อใหญ่ไม่กล้าตีพิมพ์”
ปิดประเทศเป็นความจำเป็นและความชอบธรรมที่ระบอบอำมาตย์ประเมินไว้เป็นจริงแล้ว
โดย สมยศ พฤกษาเกษมสุข
ที่มา Voice of Taksin ฉบับที่ 21
***********************************************
มองจากมุม "อ.ยิ้ม-สุธาชัย" แดงเพลี่ยงพล้ำ-พ่ายแพ้-ฟื้นตัวยาก และไม่มีอำมาตย์ ใดอยู่ค้ำฟ้า
สัมภาษณ์พิเศษ
หลังเหตุการณ์พฤษภา 53 ยังมี ผู้สูญหาย-สูญเสีย ทั้งชีวิต-อิสรภาพ
พื้นที่แนวรบในเมือง สงบไปชั่วคราว
แต่การต่อสู้ทางความคิด ยังคงดำรงอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่ "แดง" จะฟื้นตัวได้และอำมาตย์ผุพังไปตามกาลเวลา
ตามแนววิเคราะห์ของ "อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" นักวิชาการที่สร้างประวัติศาสตร์ อดข้าวประท้วง 8 ชั่วโมง เพื่อแลกกับหนังสือ 6 เล่ม
หนึ่งในเหยื่ออธรรม เปิดเผยปากคำผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ทุกห้วงนาทีที่ถูกควบคุมตัว 8 วันในค่ายทหาร
- ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้เข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง
ผมเป็นคนเสื้อแดง...ผมเป็นหนึ่งในคนเสื้อแดง เพราะผมคิดว่าเป้าหมายในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือเรื่องประชาธิปไตย เรื่องความเสมอภาค สองมาตรฐาน ผมเห็นด้วยทั้งนั้น และผมก็ไม่ไมนด์ที่ผมจะเป็นคนเสื้อแดง และเป็นความภูมิใจที่ผมเป็นคนเสื้อแดง
- ไม่สนข้อวิจารณ์ว่าจะเข้าทาง "ทักษิณ" หรือเข้าทางกลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายนั้น
จะเข้าทางใครก็ตาม ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็ช่างมึง (หัวเราะ) คือหมายความว่า ไม่มีการต่อสู้ใดบริสุทธิ์ ถ้าไม่เข้าทางใคร ก็ต้องเข้าทางใครคนใดคนหนึ่ง ใช่ไหม สมมติว่าเราอยู่อเมริกา เราไม่ชอบบุชก็ต้องเข้าทางเดโมแครต ถ้าเราไม่ชอบ โอบามา อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นแนวร่วมกับรีพับลิกัน ถ้าเราจะไม่ชอบทั้งคู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะ
ฉะนั้น ถ้าผมเป็นเสื้อแดงแล้วเข้าทางทักษิณ ถ้าผมเกลียดเสื้อแดงก็เข้าทางอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี ผมขอเข้าทางทักษิณดีกว่า
- เป็นครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีการเมือง
ในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ผมไม่เคยเลย ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองการบ้านหรืออะไร
- แนวคิดอาจารย์ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์รัฐ
รัฐประชาธิปไตยเขาไม่กลัวการวิจารณ์ อย่างรัฐบาลคุณชาติชาย (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) คงไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แม้แต่รัฐบาลคุณทักษิณยังมีการด่ากันโขมงโฉงเฉงกลางถนน ไม่เห็นจับเข้าคุกกันสักคน...ก็มีรัฐบาลชุดนี้ที่กลัวคนวิจารณ์ จับคนวิจารณ์เข้าคุก
- ถูกสอบสวนเรื่องอะไรบ้าง
ไม่มีการสอบเลยจนกระทั่งสัก 2 วันมั้ง ตำรวจจึงเรียกมาสอบ แต่ตำรวจไม่อ้างว่า "สอบสวน" นะ ตำรวจอ้างว่า มา "พูดคุยแลกเปลี่ยน" เขาสอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ต้องหาและไม่มีความผิด เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "พูดคุยแลกเปลี่ยน" มีตำรวจ มาถึง 4 ท่าน มีหัวหน้าชุดพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นพลตำรวจตรี นอกนั้นก็เป็นพันเอก พันโท
- สรุปแล้วอำนาจที่ควบคุมอาจารย์ไป คืออำนาจอะไร
อำนาจ ศอฉ. และไม่มีข้อหา เพราะมีมาตราอะไรของเขาก็ไม่รู้ที่ให้สามารถควบคุมได้ครั้งละ 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน อำนาจก็คลุมจักรวาล เพราะ "ต้องสงสัย" ก็ควบคุมได้แล้ว สมมติเขาสงสัยว่าคุณเป็นแกนนำ นปช.รุ่น 2 ที่แฝงตัวอยู่ เขาไม่มีหลักฐานเลยว่าจริงหรือไม่จริง เขาสามารถสั่งตำรวจให้เอาไปคุมตัวอยู่คอกม้าได้เลย เขาก็ทำตามอำนาจนั้น
- โดนข้อหาล้มสถาบัน หรือชุมนุมเกิน 5 คนด้วยหรือเปล่า
ไม่เกี่ยว ไม่มีเลย ผมก็อยู่โดยไม่รู้ข้อหา แต่มารู้ข้อหาเมื่อวันดีคืนดี ตำรวจดีเอสไอ โทร.มาบอกว่า ทางตำรวจได้ทำเรื่องขอยื่นอายุขังต่ออีก 7 วัน จาก 7 วันแรก จะขอขังต่อ มาถามว่าผมคัดค้านไหม ผมตอบว่า ผมถูกจับมาก็ยังไม่รู้ข้อหาอะไร แล้วผมจะไปค้านได้ยังไง เขาก็เลยแจ้งข้อหาให้ทราบว่า "ต้องสงสัยว่าจะเป็นแกนนำ นปช. รุ่น 2" จะไปจัดชุมนุม อะไรทำนองนี้นะ ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายในภาวะฉุกเฉิน ฉะนั้นมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผมเอา ไว้ก่อน
ผมก็เลยบอกเขาว่า เข้าใจผิดหมดเลยคุณ ไอ้ที่จับมานี่คือปัญหาของการจับโดยไม่สอบสวน เพราะผมไม่ใช่ นปช.รุ่น 2 และรุ่น 1 ผมก็ไม่ได้เป็น ผมเป็นอาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัยก็จะเปิดแล้ว ผมต้องเตรียมการสอน ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งประชุมกับผู้คน ศักยภาพก็ไม่มี ความสามารถผมก็ไม่มี ทำก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาแบบนี้เป็นไปไม่ได้ จับผิดตัวแล้ว ฉะนั้นขอให้ปล่อยตัว
- อาจารย์เป็นเสื้อแดง ขณะที่สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย "อำมาตย์"
ผมมองว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะ และมีข้อดีคือเป็นลิเบอรัล เสรีนิยม แม้ว่าดูโครงสร้างอาจจะอนุรักษนิยม ผมคิดว่าอาจารย์จุฬาฯหรือ ผู้บริหาร ฟังความเห็นที่แตกต่างได้ เขาไม่ได้ปิดกั้นความคิดที่แตกต่างนะ หรืออาจจะมีกติกาที่กลั่นกรองว่า ความคิดที่ต่างจะอย่างไรก็ตาม สักวันหนึ่งมึงเข้าไปบริหาร มึงก็คิดเหมือนกู (หัวเราะ)
- แม้ประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าขุนมูลนาย
เอาเข้าจริงผมว่านั่นค่อนข้างเป็น "มายาคติมากกว่า" มหาวิทยาลัยแห่งนี้สร้างในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัชกาล ที่ 6 ก็จริง แต่คนที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้น คือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ก็เป็นขุนนางคนสำคัญ แต่หลังยุค 2475 จอมพล ป. หรือไม่ก็ประยูร ภมรมนตรี ด้วยซ้ำไปมาเป็นอธิการบดี อาจารย์ส่วนใหญ่ก็นักเรียนนอกเยอะ พวกนี้ก็ไม่ถือว่าคอนเซอร์เวทีฟ
- มองการเมืองไทยหลังจากนี้อย่างไร
ผมคิดว่า "อำมาตย์" คงอยู่อีกพัก ใหญ่ ๆ เพราะฝ่ายเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำ เสียหาย และฟื้นตัวยาก ด้วยความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะทำให้อำมาตย์แข็งตัวและก็อยู่ได้อีกระยะหนึ่งใหญ่ ๆ ทีเดียว แต่ท้ายที่สุดอำมาตย์ก็พังอยู่ดี
- พังตามเวลาหรือสาเหตุอื่น
ตามเวลา ตามสังขาร ไม่มีอำมาตย์ใดอยู่ค้ำฟ้า
- ทิศทางเสื้อแดงจะเติบโตหรือเล็กลง
ระยะเฉพาะหน้านี้ โตก็ไม่มาก ผมคิดว่าขบวนการเสียหายฟื้นยาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นและตอนนี้ก็ฟื้นยากจริง ๆ พี่วีระคาดว่าจะวางมือ ผมคาดเดาเองนะ ตู่ จตุพร คงฟื้นลำบาก ณัฐวุฒิ อาจจะพอได้ แต่ว่าคงต้องใช้เวลา มีอีกคนหนึ่งที่ผมชอบก็คือจักรภพ เพ็ญแข เพราะเขาเป็นคนมีความคิด มีความสามารถ แต่ว่าคงลำบากที่จะเข้ามาจัดตั้ง แต่พี่วีระก็โอเคนะ แต่ผมคาดเดาว่าแกคงวางมือ ผมคิดว่าตอนนี้ แกนนำควรจะลาออกแล้วให้มวลชนเลือกขึ้นมาใหม่
- สาเหตุให้เสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำเป็นเพราะขบวนการติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือไม่
ไม่มี ไม่มี เหลวไหลทั้งนั้น ขบวนการติดอาวุธบ้าบอคอแตกอะไรโผล่มาวันเดียวแล้วก็หายไป ถ้าสมมติมีขบวนการติดอาวุธก็ต้องยิงจนถึงวันนี้ หรือถ้ามีพวกซุ่มยิงในวันนั้นก็ไม่ต้องยิงใครมาก ก็ยิงอภิสิทธิ์ สักนัด ยิงสุเทพสักนัด ก็จบ ไปซุ่มยิงชาวบ้านชาวเมืองเขาทำไม เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง
ขบวนการติดอาวุธเนี่ยนะ ฝ่ายไหน หรือใครยิง เสธ.แดง ? ใครได้ประโยชน์จากการตายของ เสธ.แดง ? ฝ่ายรัฐทั้งนั้น หลังจาก เสธ.แดงตายก็กระชับพื้นที่ เพราะฉะนั้นไม่มีหรอกฝ่ายที่ 3 มีวันเดียวได้ไง
ถ้าเราเชื่อโครงเรื่องทั้งหมดที่รัฐบาล เป็นคนเล่า เราก็ต้องเชื่อโครงเรื่องที่ว่า การ์ดเสื้อแดงหรือผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงมีปืนแต่ไม่ยิงทหาร และยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จก็เอาไปซ่อนไว้ในวัดปทุมฯ ถ้าเราเชื่อ สุเทพกับอภิสิทธิ์ก็ต้องเชื่อว่าข้อความที่ผมพูดทั้งหมดนั้นเป็นจริง คุณเชื่อไหม ?
เออ ทำไมถ้ามีอาวุธมากขนาดนั้น มึงไม่ยิงทหาร แต่ไปยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จ เอาไปซ่อนไว้วัดปทุมฯ มึงจะบ้าหรือเปล่า ถ้าเราไม่เชื่อในโครงเรื่องนี้ สิ่งที่สุเทพกับอภิสิทธิ์ทำก็เหลวไหลหมด ที่น่าวิตกคือคนส่วนมากเชื่อในโครงเรื่องแบบนี้เป็นการฟังความข้างเดียว ทั้งที่หากเป็นไปตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าเสื้อแดงใช้อาวุธมากขนาดนี้ ทหารก็ต้องตายไม่น้อยกว่าร้อย
- ช่วยเล่าย้อนนาทีที่ถูกตำรวจควบคุมตัวจนถึงถูกยึดหนังสือ อดข้าวประท้วง
วันอาทิตย์ (23 พ.ค.) ตำรวจไปค้นที่บ้านผมตอนบ่าย ผมก็เลยโทร.ไปคุยกับตำรวจ เขาบอกว่า ที่มาค้นเพราะมีหมายค้น มาตามคำสั่งของ ศอฉ. ผมก็เลยนัด ผู้กำกับให้มารับที่จุฬานิเวศน์ และคนที่มารับอีกคนก็เป็นคนระดับ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) จากนั้นท่านก็พาผมไปส่งที่กองปราบฯ พอมาถึงที่กองปราบฯท่านผู้บัญชาการไถง (พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู) ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ก็มารับด้วยตัวเอง
จากนั้นท่านก็แจ้งว่ามีหมายจับของ ศอฉ.ส่งมาโดยได้ขออนุมัติศาลมาเรียบร้อยแล้วว่าให้ควบคุมตัวผมไปไว้ที่ค่ายอดิศร (จ.สระบุรี) ทันที ผมก็ไปอยู่ค่ายอดิศรเป็นเวลา 8 วัน
- ระหว่างเดินทางไปที่ค่ายอดิศร อาจารย์ถูกควบคุมด้วยรถอะไร
ไปรถตำรวจ มีตำรวจถือปืนขนาบซ้าย-ขวานั่งคู่ไปด้วย ในรถมี 5 คน มีตำรวจ 4 คน นั่งหน้า 2 คน นั่งหลัง 2 คน ผมนั่งตรงกลางเบาะหลัง มีรถหวอนำขบวน ตลอดทาง
ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมเข้าใจว่านี่คงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ได้นั่งรถโดยมีรถนำขบวน ได้รับเกียรติอย่างสูงมากที่ ผู้บัญชาการไถง ได้มอบให้ผม (หัวเราะ)
- เหตุการณ์ที่อาจารย์ตัดสินใจอดข้าว หลังถูกยึดหนังสือ
ทหารก็มาแจ้งว่า จะต้องขอหนังสือที่ ผมอ่านทั้งหมดไปตรวจก่อนว่ามีหนังสืออะไรบ้าง ผมก็ให้เขาไปหมด อยากตรวจ ก็ตรวจ ผมถามหลายรอบนะว่าหนังสือผมจะได้คืนเมื่อไร ผมคิดว่า โอ้โฮ...ข้ามวันแล้วคงไม่ได้หนังสือคืนแน่ ถ้าไม่ทำอะไร สักอย่าง
ผมจึงได้เรียนนายทหารที่ควบคุมตัว ทราบว่าผมจะขออนุญาตไม่รับประทานอาหาร จนกว่าจะได้รับหนังสือคืน ผมไม่ได้อดอาหารประท้วงนะครับ ผมประท้วงไม่เป็น แต่ผมขออนุญาตไม่ทานข้าว
- ไม่ได้เรียกว่าประท้วง
อ้าว...ก็ท่านอภิสิทธิ์ก็ไม่เคย "สลาย การชุมนุม" ท่านเพียงแต่ "ขอพื้นที่คืน" ไม่เคยสลายการชุมนุมมาก่อน ผมก็ไม่ได้ "ประท้วง" เพียงแต่ "ขออนุญาตไม่ทานข้าว" และที่เอาตัวผมไป ผมก็ไม่เคยถูกขัง ผมแค่ถูก "ควบคุมตัวชั่วคราว" โดยมีลวดหนามล้อมรอบ (หัวเราะ)
ผมไม่ทานข้าวอยู่ 8 ชั่วโมง ผมมีโรคประจำตัว แต่ในที่สุดผมก็ได้หนังสือคืน ผมก็เริ่มทานข้าวปกติ ผมคิดว่าถ้าไม่ทำอย่างงั้นก็คงตรวจหนังสือผมอีกหลายวัน อยู่อย่างงั้นถ้าไม่มีหนังสืออ่านก็เป็นชีวิตที่แย่มาก
- หนังสือของอาจารย์ในระหว่างถูกควบคุมตัว
มีหนังสือปรัชญาประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ Philosophy of History หนังสือประวัติศาสตร์เมืองมาลายา Red star over Malaya หนังสือประวัติมิเชล ฟูโก คนเขียนชื่อธีรยุทธ บุญมี และทฤษฎีโพสต์โมเดิร์น ฉบับการ์ตูน เป็นงานแปล อีกเล่มชื่อ คนไทยในกองทัพนาซี คนเขียนชื่อ พ.อ.วิชา ฐิตวัฒน์ และอีกเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือของผมเอง ผมเอาไปตรวจพิสูจน์อักษร ชื่อ "แผนชิงชาติไทย"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**********************************************
หลังเหตุการณ์พฤษภา 53 ยังมี ผู้สูญหาย-สูญเสีย ทั้งชีวิต-อิสรภาพ
พื้นที่แนวรบในเมือง สงบไปชั่วคราว
แต่การต่อสู้ทางความคิด ยังคงดำรงอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่ "แดง" จะฟื้นตัวได้และอำมาตย์ผุพังไปตามกาลเวลา
ตามแนววิเคราะห์ของ "อ.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" นักวิชาการที่สร้างประวัติศาสตร์ อดข้าวประท้วง 8 ชั่วโมง เพื่อแลกกับหนังสือ 6 เล่ม
หนึ่งในเหยื่ออธรรม เปิดเผยปากคำผ่าน "ประชาชาติธุรกิจ" ทุกห้วงนาทีที่ถูกควบคุมตัว 8 วันในค่ายทหาร
- ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้เข้าไปสังเกตการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง
ผมเป็นคนเสื้อแดง...ผมเป็นหนึ่งในคนเสื้อแดง เพราะผมคิดว่าเป้าหมายในการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือเรื่องประชาธิปไตย เรื่องความเสมอภาค สองมาตรฐาน ผมเห็นด้วยทั้งนั้น และผมก็ไม่ไมนด์ที่ผมจะเป็นคนเสื้อแดง และเป็นความภูมิใจที่ผมเป็นคนเสื้อแดง
- ไม่สนข้อวิจารณ์ว่าจะเข้าทาง "ทักษิณ" หรือเข้าทางกลุ่มผลประโยชน์ฝ่ายนั้น
จะเข้าทางใครก็ตาม ถ้าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยก็ช่างมึง (หัวเราะ) คือหมายความว่า ไม่มีการต่อสู้ใดบริสุทธิ์ ถ้าไม่เข้าทางใคร ก็ต้องเข้าทางใครคนใดคนหนึ่ง ใช่ไหม สมมติว่าเราอยู่อเมริกา เราไม่ชอบบุชก็ต้องเข้าทางเดโมแครต ถ้าเราไม่ชอบ โอบามา อย่างน้อยเราก็ต้องเป็นแนวร่วมกับรีพับลิกัน ถ้าเราจะไม่ชอบทั้งคู่มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรนะ
ฉะนั้น ถ้าผมเป็นเสื้อแดงแล้วเข้าทางทักษิณ ถ้าผมเกลียดเสื้อแดงก็เข้าทางอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์อยู่ดี ผมขอเข้าทางทักษิณดีกว่า
- เป็นครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีการเมือง
ในชีวิตผม นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับตำรวจ เจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ผมไม่เคยเลย ไม่เคยมีมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเมืองการบ้านหรืออะไร
- แนวคิดอาจารย์ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์รัฐ
รัฐประชาธิปไตยเขาไม่กลัวการวิจารณ์ อย่างรัฐบาลคุณชาติชาย (พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ) คงไม่มีใครสนใจเท่าไรหรอก แม้แต่รัฐบาลคุณทักษิณยังมีการด่ากันโขมงโฉงเฉงกลางถนน ไม่เห็นจับเข้าคุกกันสักคน...ก็มีรัฐบาลชุดนี้ที่กลัวคนวิจารณ์ จับคนวิจารณ์เข้าคุก
- ถูกสอบสวนเรื่องอะไรบ้าง
ไม่มีการสอบเลยจนกระทั่งสัก 2 วันมั้ง ตำรวจจึงเรียกมาสอบ แต่ตำรวจไม่อ้างว่า "สอบสวน" นะ ตำรวจอ้างว่า มา "พูดคุยแลกเปลี่ยน" เขาสอบไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นผู้ต้องหาและไม่มีความผิด เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า "พูดคุยแลกเปลี่ยน" มีตำรวจ มาถึง 4 ท่าน มีหัวหน้าชุดพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นพลตำรวจตรี นอกนั้นก็เป็นพันเอก พันโท
- สรุปแล้วอำนาจที่ควบคุมอาจารย์ไป คืออำนาจอะไร
อำนาจ ศอฉ. และไม่มีข้อหา เพราะมีมาตราอะไรของเขาก็ไม่รู้ที่ให้สามารถควบคุมได้ครั้งละ 7 วัน แต่ไม่เกิน 30 วัน อำนาจก็คลุมจักรวาล เพราะ "ต้องสงสัย" ก็ควบคุมได้แล้ว สมมติเขาสงสัยว่าคุณเป็นแกนนำ นปช.รุ่น 2 ที่แฝงตัวอยู่ เขาไม่มีหลักฐานเลยว่าจริงหรือไม่จริง เขาสามารถสั่งตำรวจให้เอาไปคุมตัวอยู่คอกม้าได้เลย เขาก็ทำตามอำนาจนั้น
- โดนข้อหาล้มสถาบัน หรือชุมนุมเกิน 5 คนด้วยหรือเปล่า
ไม่เกี่ยว ไม่มีเลย ผมก็อยู่โดยไม่รู้ข้อหา แต่มารู้ข้อหาเมื่อวันดีคืนดี ตำรวจดีเอสไอ โทร.มาบอกว่า ทางตำรวจได้ทำเรื่องขอยื่นอายุขังต่ออีก 7 วัน จาก 7 วันแรก จะขอขังต่อ มาถามว่าผมคัดค้านไหม ผมตอบว่า ผมถูกจับมาก็ยังไม่รู้ข้อหาอะไร แล้วผมจะไปค้านได้ยังไง เขาก็เลยแจ้งข้อหาให้ทราบว่า "ต้องสงสัยว่าจะเป็นแกนนำ นปช. รุ่น 2" จะไปจัดชุมนุม อะไรทำนองนี้นะ ซึ่งเป็นการผิดกฎหมายในภาวะฉุกเฉิน ฉะนั้นมีความจำเป็นต้องควบคุมตัวผมเอา ไว้ก่อน
ผมก็เลยบอกเขาว่า เข้าใจผิดหมดเลยคุณ ไอ้ที่จับมานี่คือปัญหาของการจับโดยไม่สอบสวน เพราะผมไม่ใช่ นปช.รุ่น 2 และรุ่น 1 ผมก็ไม่ได้เป็น ผมเป็นอาจารย์สอนหนังสือมหาวิทยาลัยก็จะเปิดแล้ว ผมต้องเตรียมการสอน ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปนั่งประชุมกับผู้คน ศักยภาพก็ไม่มี ความสามารถผมก็ไม่มี ทำก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาแบบนี้เป็นไปไม่ได้ จับผิดตัวแล้ว ฉะนั้นขอให้ปล่อยตัว
- อาจารย์เป็นเสื้อแดง ขณะที่สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัย "อำมาตย์"
ผมมองว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะ และมีข้อดีคือเป็นลิเบอรัล เสรีนิยม แม้ว่าดูโครงสร้างอาจจะอนุรักษนิยม ผมคิดว่าอาจารย์จุฬาฯหรือ ผู้บริหาร ฟังความเห็นที่แตกต่างได้ เขาไม่ได้ปิดกั้นความคิดที่แตกต่างนะ หรืออาจจะมีกติกาที่กลั่นกรองว่า ความคิดที่ต่างจะอย่างไรก็ตาม สักวันหนึ่งมึงเข้าไปบริหาร มึงก็คิดเหมือนกู (หัวเราะ)
- แม้ประวัติศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าขุนมูลนาย
เอาเข้าจริงผมว่านั่นค่อนข้างเป็น "มายาคติมากกว่า" มหาวิทยาลัยแห่งนี้สร้างในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัชกาล ที่ 6 ก็จริง แต่คนที่มีบทบาทสำคัญตั้งแต่ต้น คือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ก็เป็นขุนนางคนสำคัญ แต่หลังยุค 2475 จอมพล ป. หรือไม่ก็ประยูร ภมรมนตรี ด้วยซ้ำไปมาเป็นอธิการบดี อาจารย์ส่วนใหญ่ก็นักเรียนนอกเยอะ พวกนี้ก็ไม่ถือว่าคอนเซอร์เวทีฟ
- มองการเมืองไทยหลังจากนี้อย่างไร
ผมคิดว่า "อำมาตย์" คงอยู่อีกพัก ใหญ่ ๆ เพราะฝ่ายเสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำ เสียหาย และฟื้นตัวยาก ด้วยความพ่ายแพ้ครั้งนี้จะทำให้อำมาตย์แข็งตัวและก็อยู่ได้อีกระยะหนึ่งใหญ่ ๆ ทีเดียว แต่ท้ายที่สุดอำมาตย์ก็พังอยู่ดี
- พังตามเวลาหรือสาเหตุอื่น
ตามเวลา ตามสังขาร ไม่มีอำมาตย์ใดอยู่ค้ำฟ้า
- ทิศทางเสื้อแดงจะเติบโตหรือเล็กลง
ระยะเฉพาะหน้านี้ โตก็ไม่มาก ผมคิดว่าขบวนการเสียหายฟื้นยาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นและตอนนี้ก็ฟื้นยากจริง ๆ พี่วีระคาดว่าจะวางมือ ผมคาดเดาเองนะ ตู่ จตุพร คงฟื้นลำบาก ณัฐวุฒิ อาจจะพอได้ แต่ว่าคงต้องใช้เวลา มีอีกคนหนึ่งที่ผมชอบก็คือจักรภพ เพ็ญแข เพราะเขาเป็นคนมีความคิด มีความสามารถ แต่ว่าคงลำบากที่จะเข้ามาจัดตั้ง แต่พี่วีระก็โอเคนะ แต่ผมคาดเดาว่าแกคงวางมือ ผมคิดว่าตอนนี้ แกนนำควรจะลาออกแล้วให้มวลชนเลือกขึ้นมาใหม่
- สาเหตุให้เสื้อแดงเพลี่ยงพล้ำเป็นเพราะขบวนการติดอาวุธไม่ทราบฝ่ายหรือไม่
ไม่มี ไม่มี เหลวไหลทั้งนั้น ขบวนการติดอาวุธบ้าบอคอแตกอะไรโผล่มาวันเดียวแล้วก็หายไป ถ้าสมมติมีขบวนการติดอาวุธก็ต้องยิงจนถึงวันนี้ หรือถ้ามีพวกซุ่มยิงในวันนั้นก็ไม่ต้องยิงใครมาก ก็ยิงอภิสิทธิ์ สักนัด ยิงสุเทพสักนัด ก็จบ ไปซุ่มยิงชาวบ้านชาวเมืองเขาทำไม เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง
ขบวนการติดอาวุธเนี่ยนะ ฝ่ายไหน หรือใครยิง เสธ.แดง ? ใครได้ประโยชน์จากการตายของ เสธ.แดง ? ฝ่ายรัฐทั้งนั้น หลังจาก เสธ.แดงตายก็กระชับพื้นที่ เพราะฉะนั้นไม่มีหรอกฝ่ายที่ 3 มีวันเดียวได้ไง
ถ้าเราเชื่อโครงเรื่องทั้งหมดที่รัฐบาล เป็นคนเล่า เราก็ต้องเชื่อโครงเรื่องที่ว่า การ์ดเสื้อแดงหรือผู้ก่อการร้ายเสื้อแดงมีปืนแต่ไม่ยิงทหาร และยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จก็เอาไปซ่อนไว้ในวัดปทุมฯ ถ้าเราเชื่อ สุเทพกับอภิสิทธิ์ก็ต้องเชื่อว่าข้อความที่ผมพูดทั้งหมดนั้นเป็นจริง คุณเชื่อไหม ?
เออ ทำไมถ้ามีอาวุธมากขนาดนั้น มึงไม่ยิงทหาร แต่ไปยิงกันเอง พอยิงกันเองเสร็จ เอาไปซ่อนไว้วัดปทุมฯ มึงจะบ้าหรือเปล่า ถ้าเราไม่เชื่อในโครงเรื่องนี้ สิ่งที่สุเทพกับอภิสิทธิ์ทำก็เหลวไหลหมด ที่น่าวิตกคือคนส่วนมากเชื่อในโครงเรื่องแบบนี้เป็นการฟังความข้างเดียว ทั้งที่หากเป็นไปตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าเสื้อแดงใช้อาวุธมากขนาดนี้ ทหารก็ต้องตายไม่น้อยกว่าร้อย
- ช่วยเล่าย้อนนาทีที่ถูกตำรวจควบคุมตัวจนถึงถูกยึดหนังสือ อดข้าวประท้วง
วันอาทิตย์ (23 พ.ค.) ตำรวจไปค้นที่บ้านผมตอนบ่าย ผมก็เลยโทร.ไปคุยกับตำรวจ เขาบอกว่า ที่มาค้นเพราะมีหมายค้น มาตามคำสั่งของ ศอฉ. ผมก็เลยนัด ผู้กำกับให้มารับที่จุฬานิเวศน์ และคนที่มารับอีกคนก็เป็นคนระดับ พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) จากนั้นท่านก็พาผมไปส่งที่กองปราบฯ พอมาถึงที่กองปราบฯท่านผู้บัญชาการไถง (พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู) ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) ก็มารับด้วยตัวเอง
จากนั้นท่านก็แจ้งว่ามีหมายจับของ ศอฉ.ส่งมาโดยได้ขออนุมัติศาลมาเรียบร้อยแล้วว่าให้ควบคุมตัวผมไปไว้ที่ค่ายอดิศร (จ.สระบุรี) ทันที ผมก็ไปอยู่ค่ายอดิศรเป็นเวลา 8 วัน
- ระหว่างเดินทางไปที่ค่ายอดิศร อาจารย์ถูกควบคุมด้วยรถอะไร
ไปรถตำรวจ มีตำรวจถือปืนขนาบซ้าย-ขวานั่งคู่ไปด้วย ในรถมี 5 คน มีตำรวจ 4 คน นั่งหน้า 2 คน นั่งหลัง 2 คน ผมนั่งตรงกลางเบาะหลัง มีรถหวอนำขบวน ตลอดทาง
ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมเข้าใจว่านี่คงจะเป็นครั้งเดียวในชีวิตของผมที่ได้นั่งรถโดยมีรถนำขบวน ได้รับเกียรติอย่างสูงมากที่ ผู้บัญชาการไถง ได้มอบให้ผม (หัวเราะ)
- เหตุการณ์ที่อาจารย์ตัดสินใจอดข้าว หลังถูกยึดหนังสือ
ทหารก็มาแจ้งว่า จะต้องขอหนังสือที่ ผมอ่านทั้งหมดไปตรวจก่อนว่ามีหนังสืออะไรบ้าง ผมก็ให้เขาไปหมด อยากตรวจ ก็ตรวจ ผมถามหลายรอบนะว่าหนังสือผมจะได้คืนเมื่อไร ผมคิดว่า โอ้โฮ...ข้ามวันแล้วคงไม่ได้หนังสือคืนแน่ ถ้าไม่ทำอะไร สักอย่าง
ผมจึงได้เรียนนายทหารที่ควบคุมตัว ทราบว่าผมจะขออนุญาตไม่รับประทานอาหาร จนกว่าจะได้รับหนังสือคืน ผมไม่ได้อดอาหารประท้วงนะครับ ผมประท้วงไม่เป็น แต่ผมขออนุญาตไม่ทานข้าว
- ไม่ได้เรียกว่าประท้วง
อ้าว...ก็ท่านอภิสิทธิ์ก็ไม่เคย "สลาย การชุมนุม" ท่านเพียงแต่ "ขอพื้นที่คืน" ไม่เคยสลายการชุมนุมมาก่อน ผมก็ไม่ได้ "ประท้วง" เพียงแต่ "ขออนุญาตไม่ทานข้าว" และที่เอาตัวผมไป ผมก็ไม่เคยถูกขัง ผมแค่ถูก "ควบคุมตัวชั่วคราว" โดยมีลวดหนามล้อมรอบ (หัวเราะ)
ผมไม่ทานข้าวอยู่ 8 ชั่วโมง ผมมีโรคประจำตัว แต่ในที่สุดผมก็ได้หนังสือคืน ผมก็เริ่มทานข้าวปกติ ผมคิดว่าถ้าไม่ทำอย่างงั้นก็คงตรวจหนังสือผมอีกหลายวัน อยู่อย่างงั้นถ้าไม่มีหนังสืออ่านก็เป็นชีวิตที่แย่มาก
- หนังสือของอาจารย์ในระหว่างถูกควบคุมตัว
มีหนังสือปรัชญาประวัติศาสตร์ เป็นหนังสือภาษาอังกฤษ Philosophy of History หนังสือประวัติศาสตร์เมืองมาลายา Red star over Malaya หนังสือประวัติมิเชล ฟูโก คนเขียนชื่อธีรยุทธ บุญมี และทฤษฎีโพสต์โมเดิร์น ฉบับการ์ตูน เป็นงานแปล อีกเล่มชื่อ คนไทยในกองทัพนาซี คนเขียนชื่อ พ.อ.วิชา ฐิตวัฒน์ และอีกเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือของผมเอง ผมเอาไปตรวจพิสูจน์อักษร ชื่อ "แผนชิงชาติไทย"
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**********************************************
“ปฏิรูปประเทศไทย”: การต่อสู้ทางการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์และพลพรรคเสื้อแดง
ความจริงที่โหดร้ายก็คือ ประเทศไทยไม่เคยดำรงอยู่จริง ประวัติศาสตร์ไทยที่ผ่านมาคือ การแผ่ขยายอำนาจของอาณาจักรอยุธยาในลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อเข้าครอบครองเมืองเล็กเมืองน้อยรอบตัว โดยใช้กลไกทางการเมืองตั้งแต่การแต่งงานถึงระบบราชการอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอดระยะเวลา 400 ปี จึงประสบความสำเร็จในการเชื่อมร้อยผู้คนเข้าด้วยกัน
กรุงเทพ คือ ศูนย์กลางอำนาจที่สืบทอดกลไกการสร้างอาณาจักรมาจากอยุธยา และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งสามารถหลอมรวมเป็น “ชาติไทย” ที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง
ภายใต้กระบวนการหลอมรวมเพื่อสร้างชาติไทยที่พัฒนาปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อาณาจักรอยุธยาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถและพระนเรศวรมหาราชจนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทำให้ “ความเป็นไทย” ที่ถูกกำหนดโดยศูนย์กลางอำนาจคือ กรุงเทพมหานคร ได้เป็นที่ยอมรับโดย 75 จังหวัดที่เหลือทั่วประเทศไทย
ท่ามกลางกระบวนการหลอมรวมของศูนย์กลางอำนาจที่พัฒนาขึ้นมาตลอด 700 ปีได้ทำให้แผ่นดินไทยเป็นปึกแผ่นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่กระนั้น ความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางอำนาจกับดินแดนรอบนอกก็เกิดขึ้นมาตลอด 700 ปีเช่นกัน โดยปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นการกบฎหรือการทรยศทั้งหลายนั้น ก็ล้วนแต่ทำให้ “ศูนย์กลาง” ต้องขบคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เพื่อทำให้กระบวนการหลอมรวมยังคงรุดหน้าและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป
“สงครามคอมมิวนิสต์” ที่ปะทุอย่างรุนแรงภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แท้จริงแล้วก็เป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางอำนาจในกรุงเทพมหานครกับชนบทรอบนอกที่ต้องการจัดสรรอำนาจและทรัพยากรที่ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางปัญหาขัดแย้งที่คุกคามรุมเร้า ในที่สุดศูนย์กลางอำนาจก็สามารถคิดค้น “นวัตกรรม” ในการหลอมกลืนระหว่างกรุงเทพมหานครและชนบทได้อีกครั้งในปี 2523 นั่นคือ ยุทธศาสตร์ “การเมืองนำการทหาร” อันลือลั่น ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยสามารถมีส่วนร่วมในอำนาจและทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้นโดยผ่านวิถีประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่จะพัฒนาต่อมาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบภายหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535
วิกฤตราชประสงค์ในปี 2553 ที่ชาวชนบทในนามของกลุ่มคนเสื้อแดงได้เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมที่หัวใจของศูนย์กลางอำนาจ ก็ได้สะท้อนถึงกลไกจัดสรรผลประโยชน์และการหลอมรวมความเป็นไทยได้กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่ลำพังเพียง “ประชาธิปไตย” ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายหลังนวัตกรรมการเมืองนำการทหารในปี 2523 ย่อมไม่เพียงพอสำหรับประเทศไทยที่ถูกคุกคามโดยโลกาภิวัตน์อีกต่อไป
“ปรองดอง” ย่อมนับว่าเป็นนวัตกรรมล่าสุดในการหลอมรวมความเป็นไทยระหว่างกรุงเทพและชนบท ที่ต้องผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาเช่นเดียวกับ “การเมืองนำการทหาร” ในปี 2523 โดยแก่นแท้ของการปรองดองในปี 2553 คือ การปฏิรูปประเทศไทยเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของคนชนบทและกรุงเทพมหานคร ที่ลำพังเพียงระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถให้คำตอบได้อีกต่อไป
ในยกแรกนี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ได้ชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ “คนเสื้อแดง” เพราะเป็นคนเริ่มต้นประกาศนโยบายปฏิรูปประเทศที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในประเทศไทย จึงทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ได้หมดความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
แกนนำเสื้อแดงสายเหยี่ยว ที่ยังเชื่อมั่นในการใช้กำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะเริ่มหมดอำนาจลง เพราะวิธีนี้ไม่ตรงกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการ “ปฏิรูปประเทศไทย” อย่างสันติมากกว่าการนองเลือดที่อาจไม่ได้ช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นเลย
อย่างไรก็ตาม แกนนำเสื้อแดงสายพิราบก็จะได้โอกาสในการขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยการตรวจสอบประสิทธิภาพของนโยบายปฏิรูปประเทศไทยว่าจะสามารถช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทได้มากน้อยเพียงใด และหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงใช้นโยบายพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชนบทไทยในยุคโลกาภิวัตน์เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด 50 ปี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า แกนนำเสื้อแดงสายพิราบที่เข้าใจในลักษณะเฉพาะของชนบทไทยและลักษณะทั่วไปของโลกาภิวัตน์ได้ดีกว่า จะนำเสนอนวัตกรรม “ปฏิรูปประเทศไทย” ที่เหนือล้ำกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ กระทั่งสามารถแย่งชิงการนำและเข้ามาบริหารประเทศได้ในท้ายที่สุด
โชคร้ายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือ การชิงชัยในยกที่ 2 ของนโยบาย “ปฏิรูปประเทศไทย” ไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์การเมืองและการสื่อสารมวลชนที่เป็นจุดแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่กลับเป็นการค้นคว้าวิจัยที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของชนบทไทยที่สามารถนำมาประยุกต์พลิกแพลงให้มี “มูลค่าเพิ่ม” ที่สอดคล้องกับความต้องการของกระแสทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่พัดกระหน่ำอย่างไม่เคยปราณีใคร ซึ่งในประเด็นนี้แกนนำเสื้อแดงสายพิราบดูเหมือนจะมีความได้เปรียบรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
ข่าวดีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือ ชัยชนะทางการเมืองในวิกฤตราชประสงค์ที่พึ่งผ่านพ้นมา ได้สร้างอำนาจและคะแนนเสียงอย่างล้นหลามให้รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการวางยุทธศาสตร์สำหรับการปฏิรูปประเทศไทย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญของรัฐบาลในการระดม “มันสมอง” ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ แม้กระทั่งการยืมตัวนักคิดจากพรรคเพื่อไทยหรือแกนนำเสื้อแดงสายพิราบที่ยังมีภาพลักษณ์เป็นที่ยอมรับในสังคม เพื่อมาร่วมกันวิจัยลึกซึ้งในการค้นหาคำตอบสำหรับ “ชนบทไทย” ที่เต็มไปด้วยศักยภาพทั้งในเชิงเกษตรกรรมและวัฒนธรรมที่งดงามอ่อนช้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการปรุงกลั่นให้สอดคล้องกับรสนิยมทางเศรษฐกิจของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ที่จะช่วยพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปตลอดกาล
---------------------------------------------------------------------
“ประวัติศาสตร์ย่อมไม่ให้อภัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หากว่าพวกเขาไม่ลงมือปฏิรูปประเทศไทยให้เติบโตก้าวหน้าในท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่เชี่ยวกรากนี้”
---------------------------------------------------------------------
กรุงเทพ คือ ศูนย์กลางอำนาจที่สืบทอดกลไกการสร้างอาณาจักรมาจากอยุธยา และพัฒนาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งสามารถหลอมรวมเป็น “ชาติไทย” ที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง
ภายใต้กระบวนการหลอมรวมเพื่อสร้างชาติไทยที่พัฒนาปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อาณาจักรอยุธยาในสมัยพระบรมไตรโลกนาถและพระนเรศวรมหาราชจนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทำให้ “ความเป็นไทย” ที่ถูกกำหนดโดยศูนย์กลางอำนาจคือ กรุงเทพมหานคร ได้เป็นที่ยอมรับโดย 75 จังหวัดที่เหลือทั่วประเทศไทย
ท่ามกลางกระบวนการหลอมรวมของศูนย์กลางอำนาจที่พัฒนาขึ้นมาตลอด 700 ปีได้ทำให้แผ่นดินไทยเป็นปึกแผ่นเพิ่มขึ้นตลอดเวลา แต่กระนั้น ความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางอำนาจกับดินแดนรอบนอกก็เกิดขึ้นมาตลอด 700 ปีเช่นกัน โดยปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งไม่ว่าจะเป็นการกบฎหรือการทรยศทั้งหลายนั้น ก็ล้วนแต่ทำให้ “ศูนย์กลาง” ต้องขบคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เพื่อทำให้กระบวนการหลอมรวมยังคงรุดหน้าและมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป
“สงครามคอมมิวนิสต์” ที่ปะทุอย่างรุนแรงภายหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 แท้จริงแล้วก็เป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศูนย์กลางอำนาจในกรุงเทพมหานครกับชนบทรอบนอกที่ต้องการจัดสรรอำนาจและทรัพยากรที่ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางปัญหาขัดแย้งที่คุกคามรุมเร้า ในที่สุดศูนย์กลางอำนาจก็สามารถคิดค้น “นวัตกรรม” ในการหลอมกลืนระหว่างกรุงเทพมหานครและชนบทได้อีกครั้งในปี 2523 นั่นคือ ยุทธศาสตร์ “การเมืองนำการทหาร” อันลือลั่น ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนบนผืนแผ่นดินไทยสามารถมีส่วนร่วมในอำนาจและทรัพยากรได้ดียิ่งขึ้นโดยผ่านวิถีประชาธิปไตยครึ่งใบ ที่จะพัฒนาต่อมาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบภายหลังเหตุการณ์พฤษภา 2535
วิกฤตราชประสงค์ในปี 2553 ที่ชาวชนบทในนามของกลุ่มคนเสื้อแดงได้เข้ามาเรียกร้องความเป็นธรรมที่หัวใจของศูนย์กลางอำนาจ ก็ได้สะท้อนถึงกลไกจัดสรรผลประโยชน์และการหลอมรวมความเป็นไทยได้กำลังเผชิญวิกฤตใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ที่ลำพังเพียง “ประชาธิปไตย” ซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายหลังนวัตกรรมการเมืองนำการทหารในปี 2523 ย่อมไม่เพียงพอสำหรับประเทศไทยที่ถูกคุกคามโดยโลกาภิวัตน์อีกต่อไป
“ปรองดอง” ย่อมนับว่าเป็นนวัตกรรมล่าสุดในการหลอมรวมความเป็นไทยระหว่างกรุงเทพและชนบท ที่ต้องผ่านบทพิสูจน์ของกาลเวลาเช่นเดียวกับ “การเมืองนำการทหาร” ในปี 2523 โดยแก่นแท้ของการปรองดองในปี 2553 คือ การปฏิรูปประเทศไทยเพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำด้านรายได้และชีวิตความเป็นอยู่ของคนชนบทและกรุงเทพมหานคร ที่ลำพังเพียงระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทนเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถให้คำตอบได้อีกต่อไป
ในยกแรกนี้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ได้ชิงเป็นฝ่ายได้เปรียบ “คนเสื้อแดง” เพราะเป็นคนเริ่มต้นประกาศนโยบายปฏิรูปประเทศที่ตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนในประเทศไทย จึงทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ได้หมดความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป
แกนนำเสื้อแดงสายเหยี่ยว ที่ยังเชื่อมั่นในการใช้กำลังอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะเริ่มหมดอำนาจลง เพราะวิธีนี้ไม่ตรงกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่ต้องการ “ปฏิรูปประเทศไทย” อย่างสันติมากกว่าการนองเลือดที่อาจไม่ได้ช่วยพัฒนาสังคมไทยให้ดีขึ้นเลย
อย่างไรก็ตาม แกนนำเสื้อแดงสายพิราบก็จะได้โอกาสในการขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยการตรวจสอบประสิทธิภาพของนโยบายปฏิรูปประเทศไทยว่าจะสามารถช่วยพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชนบทได้มากน้อยเพียงใด และหากรัฐบาลอภิสิทธิ์ยังคงใช้นโยบายพัฒนาที่ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชนบทไทยในยุคโลกาภิวัตน์เหมือนที่เคยเป็นมาตลอด 50 ปี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่า แกนนำเสื้อแดงสายพิราบที่เข้าใจในลักษณะเฉพาะของชนบทไทยและลักษณะทั่วไปของโลกาภิวัตน์ได้ดีกว่า จะนำเสนอนวัตกรรม “ปฏิรูปประเทศไทย” ที่เหนือล้ำกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ กระทั่งสามารถแย่งชิงการนำและเข้ามาบริหารประเทศได้ในท้ายที่สุด
โชคร้ายของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือ การชิงชัยในยกที่ 2 ของนโยบาย “ปฏิรูปประเทศไทย” ไม่ได้อยู่ที่กลยุทธ์การเมืองและการสื่อสารมวลชนที่เป็นจุดแข็งของรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่กลับเป็นการค้นคว้าวิจัยที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับเอกลักษณ์ของชนบทไทยที่สามารถนำมาประยุกต์พลิกแพลงให้มี “มูลค่าเพิ่ม” ที่สอดคล้องกับความต้องการของกระแสทุนนิยมโลกาภิวัตน์ที่พัดกระหน่ำอย่างไม่เคยปราณีใคร ซึ่งในประเด็นนี้แกนนำเสื้อแดงสายพิราบดูเหมือนจะมีความได้เปรียบรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
ข่าวดีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็คือ ชัยชนะทางการเมืองในวิกฤตราชประสงค์ที่พึ่งผ่านพ้นมา ได้สร้างอำนาจและคะแนนเสียงอย่างล้นหลามให้รัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการวางยุทธศาสตร์สำหรับการปฏิรูปประเทศไทย ดังนั้น จึงเป็นโอกาสสำคัญของรัฐบาลในการระดม “มันสมอง” ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ แม้กระทั่งการยืมตัวนักคิดจากพรรคเพื่อไทยหรือแกนนำเสื้อแดงสายพิราบที่ยังมีภาพลักษณ์เป็นที่ยอมรับในสังคม เพื่อมาร่วมกันวิจัยลึกซึ้งในการค้นหาคำตอบสำหรับ “ชนบทไทย” ที่เต็มไปด้วยศักยภาพทั้งในเชิงเกษตรกรรมและวัฒนธรรมที่งดงามอ่อนช้อย ซึ่งเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการปรุงกลั่นให้สอดคล้องกับรสนิยมทางเศรษฐกิจของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ที่จะช่วยพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทยไปตลอดกาล
---------------------------------------------------------------------
“ประวัติศาสตร์ย่อมไม่ให้อภัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ หากว่าพวกเขาไม่ลงมือปฏิรูปประเทศไทยให้เติบโตก้าวหน้าในท่ามกลางวิกฤตการเมืองที่เชี่ยวกรากนี้”
---------------------------------------------------------------------
วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ขบวนรถแห่หนัง
ประชาธิปัตย์ ช่วงนี้ แฮปปี้สุดๆ.. ถือโอกาสจากการ อภิปรายของ “ฝ่ายค้าน” จัดกระบวนทัพ..เพื่อเป็น “เปลี่ยนโฉมใหม่”อย่างฉับพลัน!! เพราะเมื่อช่วงที่ ตั้งรัฐบาล ครั้งแรกนั้นทั้ง สุเทพ เทือกสุบรรณ และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องไปคารวะ“พรรคร่วม”.. ซึ่งใครขอตำแหน่งอะไรก็ต้องให้เขาหมด แค่ตั้งธงไว้ว่า ขอเป็น“รัฐบาล”
กับได้เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”มาก่อนเฮ๊อะ ตรงนี้แหละที่สร้างความสับสนให้กับสมาชิก “ประชาธิปัตย์”พรรค แทบระเบิด..เพราะหลายคนที่จ่อว่าจะได้เป็น “รัฐมนตรี” กลับไม่ได้เป็น ช่วงนั้นพรรค “ประชาธิปัตย์” เหมือน“คนท้องมาร”มีอาการ อืด เฟ้อ เรอเปรี้ยว เรอหวาน จุก เสียด แน่นท้องไปหมด เมื่อได้มาการขยายตูด
“ตด”บ้าง..ท้องที่แน่นแข็งปั๋งจึงได้มีการระบายออก กลายเป็น เฮฮา ปาร์ตี้ แฮปปี้ กิโยติน กันทั่วหน้า!! ส่วนพวกที่ “อกหัก” และโดน “ตัดตอน”ไปนั่นก็แค่ สิว สิว..ร้องไปสักพักเดี๋ยวก็เมื่อยปากหยุดบ่นกันไปเอง ภาษาจีนว่า จิง เจียว หจิ่ว โล่ ฟั่น แปลว่า “หมูผัดพริกราดข้าว” คำนี้ไม่ได้เป็น สุภาษิตอันใดดอก
เขียนหนังสือแล้วดันหิว ก็เข้าไปซิวในครัวปากมันออกมาใหม่.. เป็นอันว่า ณ.ขณะนี้ พรรค ประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์-สุเทพ”กำลังกระเตงรถ “รัฐบาล”แล่นฉิวปลิวลม.. เหมือนรถ “แห่หนัง”ตามจังหวัดเพื่อให้ประชาชนได้เห็นกันทั่วอันเป็นการบ่งบอกว่า ได้เวลาทำงานบริหารราชการแผ่นดิน
ของ ครม .ชุดใหม่แล้ว โดยเฉพาะด้านสื่อ ที่เคย “มืดตื๋อ” ทำเอา ประชาชน ไม่ดู ไม่ฟัง ทั้ง “ทีวี.”และ “วิทยุ” อันเป็นสื่อที่อยู่ในกำมือของรัฐบาล.. มีการเปลี่ยนจาก “หมากระเป๋า” มาเป็น “เสาโทรเลข”เรียบร้อยทันที!! ที่ผู้คนวาดหวังว่า “คนนี้แหละ”ใช่! และจะทำให้ “ภาพลบ”ของรัฐบาล
เปลี่ยนมาเป็น“บวก”ได้อีกกระทอก ทีนี้ก็เหลือแค่ดูว่า ขบวน“รถแห่หนัง” ของ“อภิสิทธิ์” จะติดตลาดหรือไม่ แต่..เอ๊ะ! นี่รถแห่หนัง หรือ “รถแห่ศพ” กันแน่วะ..เพราะยังมี “สองซากศพ”จาก “ภูมิใจไทย” ติดประจานแลบลิ้นปลิ้นตาโบ๋ห้อยท้ายขบวนมาด้วย!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
......................................................
กับได้เก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”มาก่อนเฮ๊อะ ตรงนี้แหละที่สร้างความสับสนให้กับสมาชิก “ประชาธิปัตย์”พรรค แทบระเบิด..เพราะหลายคนที่จ่อว่าจะได้เป็น “รัฐมนตรี” กลับไม่ได้เป็น ช่วงนั้นพรรค “ประชาธิปัตย์” เหมือน“คนท้องมาร”มีอาการ อืด เฟ้อ เรอเปรี้ยว เรอหวาน จุก เสียด แน่นท้องไปหมด เมื่อได้มาการขยายตูด
“ตด”บ้าง..ท้องที่แน่นแข็งปั๋งจึงได้มีการระบายออก กลายเป็น เฮฮา ปาร์ตี้ แฮปปี้ กิโยติน กันทั่วหน้า!! ส่วนพวกที่ “อกหัก” และโดน “ตัดตอน”ไปนั่นก็แค่ สิว สิว..ร้องไปสักพักเดี๋ยวก็เมื่อยปากหยุดบ่นกันไปเอง ภาษาจีนว่า จิง เจียว หจิ่ว โล่ ฟั่น แปลว่า “หมูผัดพริกราดข้าว” คำนี้ไม่ได้เป็น สุภาษิตอันใดดอก
เขียนหนังสือแล้วดันหิว ก็เข้าไปซิวในครัวปากมันออกมาใหม่.. เป็นอันว่า ณ.ขณะนี้ พรรค ประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของ “อภิสิทธิ์-สุเทพ”กำลังกระเตงรถ “รัฐบาล”แล่นฉิวปลิวลม.. เหมือนรถ “แห่หนัง”ตามจังหวัดเพื่อให้ประชาชนได้เห็นกันทั่วอันเป็นการบ่งบอกว่า ได้เวลาทำงานบริหารราชการแผ่นดิน
ของ ครม .ชุดใหม่แล้ว โดยเฉพาะด้านสื่อ ที่เคย “มืดตื๋อ” ทำเอา ประชาชน ไม่ดู ไม่ฟัง ทั้ง “ทีวี.”และ “วิทยุ” อันเป็นสื่อที่อยู่ในกำมือของรัฐบาล.. มีการเปลี่ยนจาก “หมากระเป๋า” มาเป็น “เสาโทรเลข”เรียบร้อยทันที!! ที่ผู้คนวาดหวังว่า “คนนี้แหละ”ใช่! และจะทำให้ “ภาพลบ”ของรัฐบาล
เปลี่ยนมาเป็น“บวก”ได้อีกกระทอก ทีนี้ก็เหลือแค่ดูว่า ขบวน“รถแห่หนัง” ของ“อภิสิทธิ์” จะติดตลาดหรือไม่ แต่..เอ๊ะ! นี่รถแห่หนัง หรือ “รถแห่ศพ” กันแน่วะ..เพราะยังมี “สองซากศพ”จาก “ภูมิใจไทย” ติดประจานแลบลิ้นปลิ้นตาโบ๋ห้อยท้ายขบวนมาด้วย!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
......................................................
คนกลาง
มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่งตั้ง “ศ.ดร.คณิต ณ นคร” เป็นประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบเหตุการณ์ความไม่สงบฯ หรือคนกลาง ตามข้อเสนอของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี โดยให้รายงานเบื้องต้นในเวลา 2-3 สัปดาห์ ทันทีที่มติครม.ออกมา ญาติคนตาย
จากเหตุการณ์ได้ออกมาคัดค้านทันที โดยให้เหตุผลว่า นายคณิต ไม่มีความเป็นกลาง ใกล้ชิดกับแกนนำรัฐบาลบางคน และที่สำคัญเป็นความพยายามใช้กรรมการชุดนี้ “ฟอกตัวนายกฯ” จากความผิดฐานสั่งฆ่าประชาชนมากกว่าหาความจริง ถามว่า...นายคณิตเป็นใคร มาจากไหน มีผลงานอะไร เชื่อได้หรือไม่ว่ามี
ความเป็นกลาง คำตอบ นายคณิต เป็นคนใต้ ฐานเสียงใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ นามสกุลก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นคนนครศรีธรรมราช เคยรับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด...จนเกษียณราชการในตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงาน คือ “อัยการสูงสุด” ผลงานในฐานะข้าราชการไม่เป็นที่ประจักษ์นัก นอกจากเขียนบทความ
ทางกฎหมายให้ความรู้ประชาชน หลังเกษียณเข้าร่วมเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยกับ “ดร.ทักษิณ ชินวัตร” แต่ออกไปก่อนจะมีการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏชัดนัก ปัจจุบันเป็นกรรมการอยู่หลายหน่วยงาน ทั้งที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลนี้ และแต่งตั้งโดยสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ต่อคำถามที่ว่า...เชื่อได้หรือไม่ว่ามี
ความเป็นกลาง คำตอบก็คือ “เชื่อไม่ได้” ด้วยเหตุผลเพราะถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาล ไม่ได้ถูกแต่งตั้งจากหน่วยงานอิสระอย่างวุฒิสภาฯ ซึ่งย่อมต้องมีความเกรงอกเกรงใจผู้ที่แต่งตั้งตนขึ้นมาแน่นอน ผลการทำงานที่จะออกมาจึงย่อมไม่ทำให้นายกฯและผู้เกี่ยวข้องกับการปราบประชาชนเดือดร้อน และจะถูกเผยแพร่
โดยสื่อของรัฐอย่างใหญ่โตเหมือนข้ออ้างต่าง ๆ ที่ ศอฉ.ทำที่ผ่านมา ประชาชนส่วนหนึ่งที่เสพแต่ข่าวซีกรัฐบาลด้านเดียวก็จะเชื่อ เป็นการฟอกรัฐบาลให้ขาวขึ้น และจะเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลทำงานต่อไปโดยไม่ฟังใครอีก เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาที่นายกฯตอบไม่ได้ว่า ทำไม “นายโสภณ ซารัมย์”
รัฐมนตรีคมนาคมที่เอาเงินที่ไม่ต้องเสียภาษีไปเพิ่มให้ บริษัท ชิโนทัย ของ “นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง แล้วประชาชนก็เชื่อนายกฯ รับประทานกันให้สบาย...ไม่ต้องแคร์ใครทั้งนั้น เอวัง ประเทศไทย!
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกคนเมือง
.......................................
จากเหตุการณ์ได้ออกมาคัดค้านทันที โดยให้เหตุผลว่า นายคณิต ไม่มีความเป็นกลาง ใกล้ชิดกับแกนนำรัฐบาลบางคน และที่สำคัญเป็นความพยายามใช้กรรมการชุดนี้ “ฟอกตัวนายกฯ” จากความผิดฐานสั่งฆ่าประชาชนมากกว่าหาความจริง ถามว่า...นายคณิตเป็นใคร มาจากไหน มีผลงานอะไร เชื่อได้หรือไม่ว่ามี
ความเป็นกลาง คำตอบ นายคณิต เป็นคนใต้ ฐานเสียงใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ นามสกุลก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นคนนครศรีธรรมราช เคยรับราชการในสำนักงานอัยการสูงสุด...จนเกษียณราชการในตำแหน่งสูงสุดของหน่วยงาน คือ “อัยการสูงสุด” ผลงานในฐานะข้าราชการไม่เป็นที่ประจักษ์นัก นอกจากเขียนบทความ
ทางกฎหมายให้ความรู้ประชาชน หลังเกษียณเข้าร่วมเป็นผู้ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยกับ “ดร.ทักษิณ ชินวัตร” แต่ออกไปก่อนจะมีการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏชัดนัก ปัจจุบันเป็นกรรมการอยู่หลายหน่วยงาน ทั้งที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลนี้ และแต่งตั้งโดยสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ต่อคำถามที่ว่า...เชื่อได้หรือไม่ว่ามี
ความเป็นกลาง คำตอบก็คือ “เชื่อไม่ได้” ด้วยเหตุผลเพราะถูกแต่งตั้งโดยรัฐบาล ไม่ได้ถูกแต่งตั้งจากหน่วยงานอิสระอย่างวุฒิสภาฯ ซึ่งย่อมต้องมีความเกรงอกเกรงใจผู้ที่แต่งตั้งตนขึ้นมาแน่นอน ผลการทำงานที่จะออกมาจึงย่อมไม่ทำให้นายกฯและผู้เกี่ยวข้องกับการปราบประชาชนเดือดร้อน และจะถูกเผยแพร่
โดยสื่อของรัฐอย่างใหญ่โตเหมือนข้ออ้างต่าง ๆ ที่ ศอฉ.ทำที่ผ่านมา ประชาชนส่วนหนึ่งที่เสพแต่ข่าวซีกรัฐบาลด้านเดียวก็จะเชื่อ เป็นการฟอกรัฐบาลให้ขาวขึ้น และจะเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลทำงานต่อไปโดยไม่ฟังใครอีก เหมือนการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาที่นายกฯตอบไม่ได้ว่า ทำไม “นายโสภณ ซารัมย์”
รัฐมนตรีคมนาคมที่เอาเงินที่ไม่ต้องเสียภาษีไปเพิ่มให้ บริษัท ชิโนทัย ของ “นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล” ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง แล้วประชาชนก็เชื่อนายกฯ รับประทานกันให้สบาย...ไม่ต้องแคร์ใครทั้งนั้น เอวัง ประเทศไทย!
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกคนเมือง
.......................................
กรุงเทพฯของประชาธิปัตย์ ??
กรุงเทพฯของประชาธิปัตย์ ??
เลือกตั้งสมาชิกสภาเขตหรือ สข. 14 เขตในกทม.ผลการเลือกตั้งก็อย่างที่รู้ๆ ประชาธิปัตย์กวาดยกเขตไป 10 เขต ในขณะที่เพื่อไทยได้ไป 3 เขต ส่วนเขตมีนบุรีแบ่งกันไปประชาธิปัตย์ได้ 4 เพื่อไทยได้ 3 นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า คนกรุงเทพฯนั้นยังเหนียวแน่นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเห็นด้วยกับการขอคืนพื้นที่หรือการกระชับวงล้อมการชุมนุมของรัฐบาล หรือ เพราะผู้ว่าราชการ กทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ท่านเดินเป็นเล่นถูกก็ไม่รู้ อีกเดือนกว่าๆก็จะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของ กทม.แล้ว เลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร 57 คนจาก 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ ครั้งนี้แหละที่จะยืนยันชัดแจ้งแดงแจ๋ว่าคนกรุงเทพฯนั้นเลือกข้างไหน ?? ว่าแต่ว่า การจับจ่ายใช้สอยเงินหลวงช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากจากการชุมนุมทางการเมืองคงต้องรัดกุมหน่อย ไม่เช่นนั้น คนเขาจะว่าได้ว่า ที่ชนะเพราะซื้อเสียงเชิงนโยบาย ??
........................................................
ขุมทรัพย์ราชดำเนิน ??
อิ่มหมีพีมัน อ้วนท้วนสมบูรณ์...ห้าเสือและผู้เกี่ยวข้อง อดอยากปากแห้ง...คนพิการจึงต้องมาร้องหาความเป็นธรรมจากการจัดสรรโควต้าล๊อตเตอรี่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ล๊อตเตอรี่ราคาฉบับละ 72-73 บาทจากสำนักงานสลากกินแบ่ง ถึงมือผู้ขายปลีกก็ปาเข้าไปร่วมเก้าสิบกว่าบาทแล้ว ที่ท้องตลาดจึงขายราคาต่ำกว่าฉบับละ 100 บาทไม่ได้ ส่วนต่างของราคาเหล่านั้นไปเพิ่มความอ้วนหมีพีมันให้ใคร ?? อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยากรู้บ้างไหม ?? หากอยากรู้จริงๆลองเรียก คุณเปิ้ลฯ คุณกรณ์ฯ คุณประสิทธิ์ฯ คุณวันชัยฯ และคุณสถิตย์ฯ มาถามดูก็ได้ เผื่อจะได้รู้ว่าบ้างไผเป็นไผ อะไรเป็นอะไร และจะแก้กันอย่างไร ?? ที่สำคัญมันอยู่ที่ว่า จะกล้าทุบขุมทรัพย์มหาศาลที่ราชดำเนิน หรือไม่เท่านั้นเอง ??
........................................................
คำสั่งนโยบายที่ 66/23 !!
เห็นด้วยกับแนวคิดของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะทำให้เกิดความปรองดองของคนในชาติให้ได้ ลองใจกว้างหยิบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/23 มาปรับใช้ก็น่าจะได้ผล อย่าได้ถือเขาถือเราว่านั่นมันมาจากสมองของ “บิ๊กจิ๊ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ที่เกือบจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายอยู่มะลอมมะล่อ ขจัดเงื่อนไขสงครามได้ก็ไร้สงคราม ขจัดเงื่อนไขความแตกแยกได้ก็เกิดความปรองดอง อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ หรือ แนวคิดฝังลึกกินใจเรื่องความอยุติธรรม การแก้ไขไม่น่าต่าง ไม่ถือเขาถือเรา นั่นแหละบันใดขั้นแรกแห่งความปรองดอง !!
.........................................................
สุวิทย์ คุณกิตติ คุณแน่มาก ??
ทนเห็นการปู้ยี่ปู้ยำตัดต้นไม้ขยายถนนธนะรัชต์ทางขึ้นเขาใหญ่มรดกโลกทางธรรมชาติไม่ไหว สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดดออกมาขวางทางปืนทันที ที่ลมออกหูกู่ไม่กลับก็ห็นจะเป็น โสภณ ซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คนที่มอบงาช้างคู่งามให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นแหละ ลมหอบงบไทยเข้มแข็งมาวางตรงหน้าหาได้ง่ายๆที่ไหน นี่ถ้าสุวิทย์ คุณกิตติ ไม่โดดมาขวาง คงได้เห็นถนนสี่เลนจากเขาใหญ่ต่อไปถึงปักธงชัยอิ่มเอมเปรมปรีเป็นแน่แท้ ?? มีที่ไหนหมูเขาจะหามดันเอาคานเข้ามาสอด ขนาดพรรคร่วมรัฐบาลออกมาโหวตสวนไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีสามหน่อของพรรคเพื่อแผ่นดินยังกลิ้งตกเก้าอี้ไม่เป็นท่ามาแล้ว สุวิทย์ คุณกิตติ คุณเป็นใครมาจากไหนถึงไม่กลัวหล่นจากเก้าอี้ คุณแน่มากขอบอก ??
.........................................................
จริยธรรมการเมือง ??
เมื่อไม่สามารถทำตามสัญญาประชาคมที่เคยให้ไว้กับประชาชนช่วงหาเสียงว่า จะสามารถย้ายฐานทัพสหรัฐอเมริกาออกจากโอกินาวาได้ นายยูกิโอะ ฮาโตยามา นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นก็หน้าบางลาออกเอาเสียดื้อๆ คงเพราะสำนึกจริยธรรมการเมืองของเขามันสูง...สูงจนน่าชื่นชม ดูหนังดูละครแล้วก็อดที่จะย้อนมาดูตัวเองไม่ได้ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว แทนที่สองรัฐมนตรีแห่งพรรคภูมิใจไทย ทั้ง”ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโสภณ ซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้รับคะแนนโหวตไว้วางใจน้อยสุด แถมพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันบางส่วนยังลงมติไม่ไว้วางใจเพราะชี้แจงหักล้างฝ่ายค้านได้ไม่เคลียร์จะถูกปรับเปลี่ยน กลับกลายเป็นว่ากลุ่มที่ให้ฟรีโหวตเพราะ ไม่สนับสนุนคอรัปชั่น ไม่ยอมพายเรือให้โจรนั่ง โดนดีดตกเก้าอี้เสียเอง คิดแล้วกลุ้ม!! คุณธรรมและจริธรรมการเมืองไทยคงยังไกลเกินเอื้อม ??
.........................................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
เลือกตั้งสมาชิกสภาเขตหรือ สข. 14 เขตในกทม.ผลการเลือกตั้งก็อย่างที่รู้ๆ ประชาธิปัตย์กวาดยกเขตไป 10 เขต ในขณะที่เพื่อไทยได้ไป 3 เขต ส่วนเขตมีนบุรีแบ่งกันไปประชาธิปัตย์ได้ 4 เพื่อไทยได้ 3 นี่ก็ชี้ให้เห็นว่า คนกรุงเทพฯนั้นยังเหนียวแน่นอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเห็นด้วยกับการขอคืนพื้นที่หรือการกระชับวงล้อมการชุมนุมของรัฐบาล หรือ เพราะผู้ว่าราชการ กทม. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ท่านเดินเป็นเล่นถูกก็ไม่รู้ อีกเดือนกว่าๆก็จะมีการเลือกตั้งครั้งใหญ่ของ กทม.แล้ว เลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร 57 คนจาก 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ ครั้งนี้แหละที่จะยืนยันชัดแจ้งแดงแจ๋ว่าคนกรุงเทพฯนั้นเลือกข้างไหน ?? ว่าแต่ว่า การจับจ่ายใช้สอยเงินหลวงช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากจากการชุมนุมทางการเมืองคงต้องรัดกุมหน่อย ไม่เช่นนั้น คนเขาจะว่าได้ว่า ที่ชนะเพราะซื้อเสียงเชิงนโยบาย ??
........................................................
ขุมทรัพย์ราชดำเนิน ??
อิ่มหมีพีมัน อ้วนท้วนสมบูรณ์...ห้าเสือและผู้เกี่ยวข้อง อดอยากปากแห้ง...คนพิการจึงต้องมาร้องหาความเป็นธรรมจากการจัดสรรโควต้าล๊อตเตอรี่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ล๊อตเตอรี่ราคาฉบับละ 72-73 บาทจากสำนักงานสลากกินแบ่ง ถึงมือผู้ขายปลีกก็ปาเข้าไปร่วมเก้าสิบกว่าบาทแล้ว ที่ท้องตลาดจึงขายราคาต่ำกว่าฉบับละ 100 บาทไม่ได้ ส่วนต่างของราคาเหล่านั้นไปเพิ่มความอ้วนหมีพีมันให้ใคร ?? อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยากรู้บ้างไหม ?? หากอยากรู้จริงๆลองเรียก คุณเปิ้ลฯ คุณกรณ์ฯ คุณประสิทธิ์ฯ คุณวันชัยฯ และคุณสถิตย์ฯ มาถามดูก็ได้ เผื่อจะได้รู้ว่าบ้างไผเป็นไผ อะไรเป็นอะไร และจะแก้กันอย่างไร ?? ที่สำคัญมันอยู่ที่ว่า จะกล้าทุบขุมทรัพย์มหาศาลที่ราชดำเนิน หรือไม่เท่านั้นเอง ??
........................................................
คำสั่งนโยบายที่ 66/23 !!
เห็นด้วยกับแนวคิดของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะทำให้เกิดความปรองดองของคนในชาติให้ได้ ลองใจกว้างหยิบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/23 มาปรับใช้ก็น่าจะได้ผล อย่าได้ถือเขาถือเราว่านั่นมันมาจากสมองของ “บิ๊กจิ๊ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้ที่เกือบจะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายอยู่มะลอมมะล่อ ขจัดเงื่อนไขสงครามได้ก็ไร้สงคราม ขจัดเงื่อนไขความแตกแยกได้ก็เกิดความปรองดอง อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ หรือ แนวคิดฝังลึกกินใจเรื่องความอยุติธรรม การแก้ไขไม่น่าต่าง ไม่ถือเขาถือเรา นั่นแหละบันใดขั้นแรกแห่งความปรองดอง !!
.........................................................
สุวิทย์ คุณกิตติ คุณแน่มาก ??
ทนเห็นการปู้ยี่ปู้ยำตัดต้นไม้ขยายถนนธนะรัชต์ทางขึ้นเขาใหญ่มรดกโลกทางธรรมชาติไม่ไหว สุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดดออกมาขวางทางปืนทันที ที่ลมออกหูกู่ไม่กลับก็ห็นจะเป็น โสภณ ซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม คนที่มอบงาช้างคู่งามให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่นแหละ ลมหอบงบไทยเข้มแข็งมาวางตรงหน้าหาได้ง่ายๆที่ไหน นี่ถ้าสุวิทย์ คุณกิตติ ไม่โดดมาขวาง คงได้เห็นถนนสี่เลนจากเขาใหญ่ต่อไปถึงปักธงชัยอิ่มเอมเปรมปรีเป็นแน่แท้ ?? มีที่ไหนหมูเขาจะหามดันเอาคานเข้ามาสอด ขนาดพรรคร่วมรัฐบาลออกมาโหวตสวนไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีสามหน่อของพรรคเพื่อแผ่นดินยังกลิ้งตกเก้าอี้ไม่เป็นท่ามาแล้ว สุวิทย์ คุณกิตติ คุณเป็นใครมาจากไหนถึงไม่กลัวหล่นจากเก้าอี้ คุณแน่มากขอบอก ??
.........................................................
จริยธรรมการเมือง ??
เมื่อไม่สามารถทำตามสัญญาประชาคมที่เคยให้ไว้กับประชาชนช่วงหาเสียงว่า จะสามารถย้ายฐานทัพสหรัฐอเมริกาออกจากโอกินาวาได้ นายยูกิโอะ ฮาโตยามา นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นก็หน้าบางลาออกเอาเสียดื้อๆ คงเพราะสำนึกจริยธรรมการเมืองของเขามันสูง...สูงจนน่าชื่นชม ดูหนังดูละครแล้วก็อดที่จะย้อนมาดูตัวเองไม่ได้ อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีครั้งที่แล้ว แทนที่สองรัฐมนตรีแห่งพรรคภูมิใจไทย ทั้ง”ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และโสภณ ซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ได้รับคะแนนโหวตไว้วางใจน้อยสุด แถมพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันบางส่วนยังลงมติไม่ไว้วางใจเพราะชี้แจงหักล้างฝ่ายค้านได้ไม่เคลียร์จะถูกปรับเปลี่ยน กลับกลายเป็นว่ากลุ่มที่ให้ฟรีโหวตเพราะ ไม่สนับสนุนคอรัปชั่น ไม่ยอมพายเรือให้โจรนั่ง โดนดีดตกเก้าอี้เสียเอง คิดแล้วกลุ้ม!! คุณธรรมและจริธรรมการเมืองไทยคงยังไกลเกินเอื้อม ??
.........................................................
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)