‘มังกรเหินหาว’!!
แต่ ๓ ประสาน “มิสเตอร์พี” ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี, พินิจ จารุสมบัติ และ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ นำพรรคเพื่อแผ่นดิน สู่เส้นทางคว่ำข้าวเม่า?? ว่ากันไปแล้ว ออกหน้าเป็นตัวแทนสั่งสอน “พรรคภูมิใจไทย” ของ “นายใหญ่ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบให้ด่าวดิ้น มีการ “ส่งซิก”...ให้ตามจิก เล่นงาน “รัฐมนตรีของเนวิน” ในการโหวตสวน ไม่การันตีความสะอาดหมดจด ให้กับ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.๑ และ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม ที่ “ชวน หลีกภัย”,บัญญัติ บรรทัดฐาน” จะถูกใจแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ครื้นเครง ไม่น้อย!!! “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ทำเพื่อชาติ...ทำเพื่อประชาธิปัตย์..แต่ต้องมาถูกอัด นี่ใจดำไปหน่อย
✮✮✮✮✮
ขวาง ‘เนวิน’ กันไม่อยู่!!!
บันไดสามขั้น เพื่อนั่งบัลลังก์ทอง เป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “นายใหญ่ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ ใกล้ความจริง เข้ามาทุกวันแล้วล่ะหนู??? ขนาด “ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ ชวน-นายหัวชวน-บัญญัติ บรรทัดฐาน” ไปยืมมือ ยืมจมูก “พรรคเพื่อแผ่นดิน” เล่นงานโหวตไม่รับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่ผู้มีลุ๊คใหม่ เทรนใหม่ และ กำลังภายในดี มาปล่อยเกาะ “พรรคเพื่อแผ่นดิน”....ทั้งที่เกลียดชัง “เนวิน” เต็มที่ โดย ๓ ประสาน “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี-พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ต่างปล่อยฟรีโหวต..เพราะ “พรรคเนวิน” มีอำนาจคุมชะตาประเทศไทยมากเกินไป?...เมื่อมีซิกส่งมา ให้หวดกระหน่ำ “ มท.๑ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” และ “โสภณ ซารัมย์” เจ้ากระทรวงต้นหูกวาง จึงทำด้วยความเต็มใจ กันทุกคน!!! ครั้งนี้ “ปชป.” เล่นสองบทเกมลึก.....เข้าตำราเสร็จนาฆ่าโคถึก...เสร็จศึกฆ่าขุนพล???
✮✮✮✮✮
กลืนเลือดเต็มปาก!!
หลุดสนามแม่เหล็ก พ้นวงโคจร การเป็น “รัฐมนตรี” ทำให้ “ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน หงุดหงิดเป็นอันมาก?? แต่จะออกอาการ เฮิร์ตฟิลลิ่งฮาร์ด จะเสียรังวัด นักการเมืองพรรษาสูง ซึ่งผ่านการเป็น “รัฐมนตรี” มาอย่างโชกโชน..จึงเก็บอาการน้อยใจยา ลึกๆ ไว้ข้างใน โผงผางระเบิดอารมณ์....กลัวความล่มจม ไปตกกับลูกชาย เพราะใครรู้ว่า, “รัฐมนตรีไพฑูรย์” ฟูมฟัก ลูกชายยิ่งกว่าไข่ในหิน..จึงไม่อยากให้เกิดการกระทบไปถึง “นราพัฒน์ แก้วทอง” ส.ส.พิจิตร พรรคประชาธิปัตย์ ที่อนาคตเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง!!! ไปกระทบกับ “นายกฯ อภิสิทธิ์”....ไปออกอาการหงุดหงิด?....ลูกชายจะติดพิษ โดนผู้ใหญ่ในพรรคแกล้ง???
✮✮✮✮✮
รกคนดีกว่ารกหญ้า!!
แต่หาก ลิ่วล้อ ลูกกระโท่ สร้างแต่เรื่องยุ่ง นำความวุ่นวายมาให้ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ว่าที่รัฐมนตรีป้ายแดงคนใหม่ อย่ามีลูกน้อง ดีกว่า???เพราะก่อน ที่ท่านจะย้อน เข้ามาสะด๊วป เป็น “รัฐมนตรี” ใน “รัฐบาลมาร์ค ๕” นั้น...ท่านแอ่นระแน้เป็น “ประธานกรรมาธิการตำรวจ” ลูกน้องก็เข้ามาวุ่น ที่ห้องทำงาน กันแน่นเอี๊ยด ทำตัวยิ่งใหญ่....มองข้ามหัวคนหลายฝ่าย อย่างไม่ให้เกียรติ เมื่อส้มหล่นทับบาทาบวมส์ “เฉลิม ศรีอ่อน” ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ในโควต้าสัมปทานพรรคประชาธิปัตย์..ท่านต้องกำชับอย่าให้ ลูกหาบหางเครื่อง ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตาม เข้ามาวุ่นที่กระทรวง!!! ปล่อยชั้นปลายแถวมากร่าง......เกรง “ว่าที่รัฐมนตรีเฉลิมชัย” จะพัง.....จึงสะกิดสีข้าง ด้วยความเป็นห่วง???
✮✮✮✮✮
ชิ่งแคนนอล ทิ้ง ‘ทักษิณ’!!
“คุณป้าพันปี” พิมพา จันทร์ประสงค์ สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ..สู้อุตส่าห์พาลูกชาย “มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์” ตีจากพรรคพลังประชาชน..เข้ามาหมอบราบคาบแก้ว เป็น ส.ส.อยู่ที่พรรคภูมิใจไทยของ “เนวิน”??? แต่ไม่รู้เหตุใด “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. กลับอายัดทรัพย์....กล่าวหาว่าเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง”..ส่งเสบียง แก่ “เสื้อแดง” เสร็จสรรพหัวใจดวงน้อย ร่างกายอ้อนแอ้น นั้น “ป้าพิมพา จันทร์ประสงค์” สลัดทิ้งหนีห่าง ไม่มีเยื่อใยให้กับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” แล้ว....แต่ยังถูกขึ้นป้ายแขวน ว่าเป็น “แฟนคลับ” ตัวยงซะอีก..ทั้งๆ ที่ พาลูกชาย “ส.ส.มานะศักดิ์” ย้ายมาเป็น ส.ส.พรรคภูมิใจไทย!!! ฉะนั้น, ขอกราบเรียน...เรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ขึ้นทะเบียน?....เป็น “ความเพี้ยน” ที่ประกาศ กันอย่างมักง่าย????
✮✮✮✮✮
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
อย่าแปลกใจ!
ความสนใจทั้งในเรื่องการเมืองและเรื่องบ้านเมืองของคนไทย...ยามนี้ กลายเป็นเรื่องที่แกนนำรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะปรับใครเข้า-ออกใน ครม. ชุดใหม่? ปรับกันอย่างไร? พรรคไหนจะมา และใครจะไป?ประเด็นการ โหวตสวนมติพรรคร่วมรัฐบาล หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมาของ ส.ส.บางส่วนในพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ กลบ! เรื่องหลักอันเป็นสาระสำคัญที่
พรรคฝ่ายค้าน...เพื่อไทย นำมาอภิปรายฯ ไปเสียฉิบ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “คำสั่งฆ่าประชาชน” หรือเรื่อง“ทุจริตคอร์รัปชั่น”นับเป็นความอัศจรรย์ที่ฝรั่งต่างบ้านต่างเมือง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน...อะเมซิ่งโคตรๆ!!! แหม...คนไทยช่างลืมเหตุการณ์ “ฆ่าประชาชน”ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่กี่สิบวัน...รวดเร็วเสียจริง
ขณะที่คนไทยถูกยัดเยียดและมอมเมาไปกับข่าวสารและข้อมูลด้านเดียว ผ่านสื่อแขนงต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง สื่อหนังสือพิมพ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า...ยืนข้างประชาชน???แต่คนต่างชาติทั่วโลก ที่ได้รับข่าวสารและข้อมูลจากสื่อต่างๆ แตกต่างไปจากคนไทยในเมืองไทย กลับมี
คำถามที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ และคนในรัฐบาลชุดนี้ คงไม่อยากฟัง...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม ด้วยสองมือเปล่า ต้องถูกฆ่าตายกว่า 80 ชีวิต บาดเจ็บ “หนัก-เบา” ที่หากไม่ตายในอนาคตอันใกล้ ก็คงพิการทั้งร่างกายและจิตใจอีกกว่า2,000 คนฝรั่งถาม...คนตาย
มากมายขนาดนี้ นายกฯ เมืองไทย ยังจะกล้านั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ ได้อีกหรือ? จริยธรรมทั้งทางการเมืองและทางสังคม หล่นหายไปไหนกันหมด???กลับมาที่สื่อหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา อย่างว่าแหละครับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ถือครองอำนาจรัฐ และวันๆ สัมผัสอยู่กับงบประมาณแผ่นดินปีละหลายหมื่นล้าน
หลายแสนล้าน และหลายล้านล้านนั้นหากจะ “ซิกแซก” ส่วนแบ่งเงินปากถุงของบางโครงการเพื่อนำไปสร้างสื่อหนังสือพิมพ์ แล้วขยายต่อไปยังสื่อต่างๆสักห้าร้อยล้าน หรือพันล้าน ผ่าน “นอมินี” ค่ายสื่อบางค่าย...ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก!ทำภายนอกให้ดูเหมือนเป็น “สื่อกระแสหลัก” จริงๆและทำเหมือน “คนสื่อ”
เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของสื่อกันจริงๆ เวลาจะเชียร์ จะด่าใคร? มันจะได้ดูเนียนอย่าแปลกใจ! ทำไม? ทุกๆ วิกฤติความขัดแย้งของคนไทยในวันนี้และพรุ่งนี้ สื่อจึงต้องเลือกข้าง และคนไทยจึงต้องถูกยัดเยียดข่าวสารและข้อมูล ชนิดหาความเป็นกลางเป็นธรรมและเป็นจริงไม่เจอ!.
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูตะวัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************
พรรคฝ่ายค้าน...เพื่อไทย นำมาอภิปรายฯ ไปเสียฉิบ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “คำสั่งฆ่าประชาชน” หรือเรื่อง“ทุจริตคอร์รัปชั่น”นับเป็นความอัศจรรย์ที่ฝรั่งต่างบ้านต่างเมือง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน...อะเมซิ่งโคตรๆ!!! แหม...คนไทยช่างลืมเหตุการณ์ “ฆ่าประชาชน”ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่กี่สิบวัน...รวดเร็วเสียจริง
ขณะที่คนไทยถูกยัดเยียดและมอมเมาไปกับข่าวสารและข้อมูลด้านเดียว ผ่านสื่อแขนงต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง สื่อหนังสือพิมพ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า...ยืนข้างประชาชน???แต่คนต่างชาติทั่วโลก ที่ได้รับข่าวสารและข้อมูลจากสื่อต่างๆ แตกต่างไปจากคนไทยในเมืองไทย กลับมี
คำถามที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ และคนในรัฐบาลชุดนี้ คงไม่อยากฟัง...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม ด้วยสองมือเปล่า ต้องถูกฆ่าตายกว่า 80 ชีวิต บาดเจ็บ “หนัก-เบา” ที่หากไม่ตายในอนาคตอันใกล้ ก็คงพิการทั้งร่างกายและจิตใจอีกกว่า2,000 คนฝรั่งถาม...คนตาย
มากมายขนาดนี้ นายกฯ เมืองไทย ยังจะกล้านั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ ได้อีกหรือ? จริยธรรมทั้งทางการเมืองและทางสังคม หล่นหายไปไหนกันหมด???กลับมาที่สื่อหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา อย่างว่าแหละครับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ถือครองอำนาจรัฐ และวันๆ สัมผัสอยู่กับงบประมาณแผ่นดินปีละหลายหมื่นล้าน
หลายแสนล้าน และหลายล้านล้านนั้นหากจะ “ซิกแซก” ส่วนแบ่งเงินปากถุงของบางโครงการเพื่อนำไปสร้างสื่อหนังสือพิมพ์ แล้วขยายต่อไปยังสื่อต่างๆสักห้าร้อยล้าน หรือพันล้าน ผ่าน “นอมินี” ค่ายสื่อบางค่าย...ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก!ทำภายนอกให้ดูเหมือนเป็น “สื่อกระแสหลัก” จริงๆและทำเหมือน “คนสื่อ”
เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของสื่อกันจริงๆ เวลาจะเชียร์ จะด่าใคร? มันจะได้ดูเนียนอย่าแปลกใจ! ทำไม? ทุกๆ วิกฤติความขัดแย้งของคนไทยในวันนี้และพรุ่งนี้ สื่อจึงต้องเลือกข้าง และคนไทยจึงต้องถูกยัดเยียดข่าวสารและข้อมูล ชนิดหาความเป็นกลางเป็นธรรมและเป็นจริงไม่เจอ!.
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูตะวัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************
เปิดข้อกล่าวหา 8 เหตุการณ์ "โค่นอำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย
มติชนออนไลน์เปิดเผยบันทึกลับดีเอสไอยก 8 เหตุการณ์โค่น "อำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย
มติชนออนไลน์รายงานว่า ภายหลังจากรัฐบาลปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายขวัญชัย สาราคำ (ขวัญชัย ไพรพนา) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อมาบุคคลทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่ค่ายตำรวจตระเวณชายแดน (ค่ายนเรศวร) อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ยกเว้นนายจตุพร ที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะใช้เอกสิทธิ์ในความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงคนเดียว
ในค่ำวันเดียวกันทั้ง 5 คนถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
"มติชนออนไลน์" เปิดบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ต่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อเวลา ประมาณ 20.40 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ดังนี้
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ที่ปรากฎตามรายชื่อท้ายบันทึกนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า
ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง พฤษภาคม 2553 ได้มีกลุ่มบุคคลเรียกชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า กลุ่ม นปช. หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดง โดยมี (1) นายวีระ มุสิกพงศ์ (2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (3) นายจตุพร พรหมพันธุ์ (4) นายเหวง โตจิราการ (5) นายอริสมันต์ หรือ กี้ พงษ์เรืองรอง (6) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน (7) พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (8) นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา (9) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมากเป็นแกนนำหลักทำหน้าที่ในการวางแผนควบคุม สั่งการ หรืออำนวยการ หรือสลับสับเปลี่ยน กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามบนเวทีชุมนุม เคลื่อนไหว ได้ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นชุมนุมประท้วง โต้แย้ง เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบสภาในทันทีโดยเร็ว ปลุกระดมมวลชนขับเคลื่อนการชุมนุมให้เข้าสู่ความขัดแย้ง หรือปลุกปั่น บิดเบือนความจริง หรือยุยุงส่งเสริมด้วยคำพูดที่รุนแรงก้าวร้าว สร้างปมขัดแย้ง อาฆาตมาดร้ายให้เกลียดชังรัฐบาล จนทำให้ไม่สามารถชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธได้
จากการสอบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ในระหว่างการชุมนุมหรือเคลื่อนไหว ได้มีกองกำลัง ของการ์ด นปช. หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้มีการกระทำผิดตามกฏหมาย โดยสั่งสมกำลังอาวุธสงคราม มีและใช้อาวุธปืน เครื่องอาวุธ และวัตถุระเบิด ก่อวินาศกรรม หรือใช้ความรุนแรง ในการตอบโต้ต่อต้านรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนการชุมนุมเคลื่อนไหวให้บรรลุวัตถุประสงค์ในข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
โดยแกนนำหลักยอมรับอย่างเปิดเผยหรือโดยปริยายว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ หรือ สนับสนุนคนเสื้อแดง แท้จริงแล้วทั้งการ์ด หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เป็นกองกำลังติดอาวุธ ส่วนหนึ่งของกลุ่ม นปช.นั้นเอง
ผลจากการกระทำความดังกล่าวข้างต้นทำให้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจำนวนมาก มีทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์รุนแรงต่างๆ หรือทำให้ประชาชน ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทางราชการหรือของเอกชนตลอดทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารสูญหายเสียหาย ก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นความผิด เช่น
วันที่ 12 มีนาคม 2553 มีการปิดถนนที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร กทม. โดยกลุ่ม นปช. และวันที่ 3 เมษายน 2553 เคลื่อนพลเข้ายึดสี่แยกราชประสงค์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานครทั้งเวทีชุมนุมกดดัน ขู่เข็ญ หรือบังคับให้รัฐบาลยุบสภา คู่ขนานไปกับการชุมนุมสะพานผ่านฟ้า โดยมีประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวจำนวนหลายหมื่นคนอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้ยังคงมีเวทีชุมุนุมที่สี่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว มีลักษณะเป็นศูนย์บัญชาการหรืออำนวยการ สั่งการไปยังกลุ่ม นปช. ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ผู้ชุมนุมบางส่วนแบบดาวกระจายไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมการขนส่งของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางที่กลุ่ม นปช. เคลื่อนที่ผ่าน แจกจ่ายสติ๊กเกอร์ สีแดงให้ยุบสภา นำเลือดมนุษย์ไปเทราดตามสถานที่สำคัญหลายแห่ง กล่าวโจมตีรัฐบาลว่ามีที่มาโดยไม่ชอบธรรม หรือมาจากการปฏิวัติรัฐประหารหรือจากเผด็จการ
กล่าวโจมตีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐว่ากระทำหรือปฏิบัติต่อกลุ่ม นปช.อย่างสองมาตรฐาน ต้องการโค่นล้มอำมาตย์ หรือองคมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ยุยง ปลุกปั่น บิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้ผู้ชุมนุมให้เกลียงชัง อาฆาตมาดร้ายรัฐบาล ปลุกใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีความกล้า ฮึกเหิมเพื่อจะต่อสู้กับรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น ประกาศว่าหากมีการสลายการชุมนุมให้คนเสื้อแดงทั่งประเทศฌาปนกิจศาลากลางทันที
วันที่ 19 มีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.ได้บุกรุกไปที่สถานีดาวเทียมไทยคมที่ตำบลลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และต่อเชื่อมสัญญาณโทรทัศน์ PTV ได้สำเร็จ ทั้งๆที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการตามกฏหมายปิดชั่วคราวแล้ว
วันที่ 7 เมษายน 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในรัฐสภา แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม.ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และใช้กำลังทำร้ายร่างกายทหารที่สวมเครื่องแบบในการปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งได้ยึดอาวุธประจำกายที่รัฐสภา
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 รัฐบาลได้มีการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจผลักดันกลุ่ม นปช.เพื่อขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร และที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างฝ่ายทหารหรือตำรวจกับกลุ่ม นปช.โดยการปลุกระดม ยุยงของแกนนำบนเวทีให้ผู้ชุมนุมช่วยกันต่อต้านและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเอาฟื้นที่คืนไปได้ และมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายแฝงตัวอยู่กลับกลุ่ม นปช.ได้ใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้าง เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารและประชาชนทั่วไปเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
กลุ่ม นปช.ได้ถอดชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถหุ้มเกราะจนไม่สามารถใช้ปฏิบัติการได้ มีการสกัดกั้นรถยนต์ของทางราชการ ยานพาหนะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์บรรทุกทหารจนไม่สามรถใช้การได้ที่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าและสี่แยกคอกวัว ยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารไปจำนวนมาก และรถยนต์พาหนะไปบางส่วน ส่วนที่เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์บางส่วนยังไม่ได้คืนมา นอกจากนี้ยังมีการจับกุมทหารไปเป็นตัวประกัน
วันที่ 16 เมษายน 2553 กลุ่ม นปช.ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมแกนนำตามหมายจับของศาล ที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค แขวง/เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อช่วยเหลือแกนนำคนดังกล่าวไม่ให้ถูกจับและตำรวจถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บ มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมไปเป็นตัวประกันด้วย ปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว
วันที่ 22 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันบนถนนสีลม เขตบางรัก กทม. ระหว่าง นปช. กับชาวสีลม ที่ไม่เห็นด้วยกับ นปช. และซึ่งได้รวมตัวกันประท้วงและสนับสนุนรัฐบาล ในการปะทะดังกล่าวได้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ประมาณ 5 ลูก จากกลุ่มบุคคลที่แฝงตัวอยู่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
วันที่ 28 เมษายน 2553 แกนนำกลุ่ม นปช. ได้นำผู้ชุมนุมบางส่วนไปตามถนนวิภาวดี รังสิต โดยอ้างว่าจะไปให้กำลังใจแก่กลุ่ม นปช. อีกส่วนหนึ่งที่ได้กระทำการปิดถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าและตรวจค้นยานพาหนะของประชาชน จนเกิดการปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือตำรวจที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลได้รับความเสียหาย
วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจค้นและยึดอาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืน เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนอาวุธดังกล่าวตลอดจนทั้งลูกระเบิดเอ็ม 67 ,เอ็ม 26,เอ็ม 79 รวม 12 ลูก ประทัดยักษ์อีกจำนวนหนึ่ง แก็สน้ำตา พร้อมทั้งสัญลักษณ์ของกลุ่ม นปช. และรถยนต์ฮอนด้ารุ่น ซีอาร์วี 1 คันที่ซอยอ่อนนุช แขวงสวนหลวง กทม.
ตามพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวของกลุ่ม นปช. จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการชุมุนุมเคลื่อนไหวที่มีเจตนาร่วมกันบังคับขู่เข็ญรัฐบาลเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการตามวัตถุประสงค์ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือสร้างความปั่นป่วนโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนที่จะดำเนินชีวิตตามปกติสุข
โดยมีผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของกลุ่มในฐานะเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือกด้วยวิธีการอื่นใดหรือโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำผิด หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กระทำผิดกฎหมาย โดยมีการร่วมกันเป็นขบวนการหรือเป็นเครือข่าย มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แบ่งหน้าที่กันทำ แต่มีอุดมการณ์และวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน หรือ กระทำการโดยการตระเตรียมหรือสมคบหรือสนับสนุนการก่อการร้าย
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในข้อหา...ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
เหตุเกิดที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิตามกฎหมายคือ
1.สิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม
2.สิทธิที่จะมีทนายความ
3.สิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
4.สิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
5.ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหาและสิทธิให้ผู้ต้องหานี้ทราบก่อนเริ่มสอบสวนปากคำโดยมิได้มีการบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใดๆ ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ได้อ่านบันทึกนี้ให้ผู้ต้องหาฟังแล้ว รับว่าถูกต้อง จึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อ นายณัฐวุฒิใสยเกื้อ ผู้ต้องหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผู้แจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลากร ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา /บันทึก/อ่าน
ลงชื่อ พ.ต.ต.แดนชัย ทูลอ่อง ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ ร.ต.อ.ณัฐพงษ์ น้อยน้ำค ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ นายธเนศ พ่วงพูล ทนายความผู้ต้องหา
ที่มา: มติชนออนไลน์
**********************************************
มติชนออนไลน์รายงานว่า ภายหลังจากรัฐบาลปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายขวัญชัย สาราคำ (ขวัญชัย ไพรพนา) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อมาบุคคลทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่ค่ายตำรวจตระเวณชายแดน (ค่ายนเรศวร) อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ยกเว้นนายจตุพร ที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะใช้เอกสิทธิ์ในความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงคนเดียว
ในค่ำวันเดียวกันทั้ง 5 คนถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
"มติชนออนไลน์" เปิดบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ต่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อเวลา ประมาณ 20.40 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ดังนี้
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ที่ปรากฎตามรายชื่อท้ายบันทึกนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า
ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง พฤษภาคม 2553 ได้มีกลุ่มบุคคลเรียกชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า กลุ่ม นปช. หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดง โดยมี (1) นายวีระ มุสิกพงศ์ (2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (3) นายจตุพร พรหมพันธุ์ (4) นายเหวง โตจิราการ (5) นายอริสมันต์ หรือ กี้ พงษ์เรืองรอง (6) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน (7) พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (8) นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา (9) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมากเป็นแกนนำหลักทำหน้าที่ในการวางแผนควบคุม สั่งการ หรืออำนวยการ หรือสลับสับเปลี่ยน กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามบนเวทีชุมนุม เคลื่อนไหว ได้ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นชุมนุมประท้วง โต้แย้ง เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบสภาในทันทีโดยเร็ว ปลุกระดมมวลชนขับเคลื่อนการชุมนุมให้เข้าสู่ความขัดแย้ง หรือปลุกปั่น บิดเบือนความจริง หรือยุยุงส่งเสริมด้วยคำพูดที่รุนแรงก้าวร้าว สร้างปมขัดแย้ง อาฆาตมาดร้ายให้เกลียดชังรัฐบาล จนทำให้ไม่สามารถชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธได้
จากการสอบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ในระหว่างการชุมนุมหรือเคลื่อนไหว ได้มีกองกำลัง ของการ์ด นปช. หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้มีการกระทำผิดตามกฏหมาย โดยสั่งสมกำลังอาวุธสงคราม มีและใช้อาวุธปืน เครื่องอาวุธ และวัตถุระเบิด ก่อวินาศกรรม หรือใช้ความรุนแรง ในการตอบโต้ต่อต้านรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนการชุมนุมเคลื่อนไหวให้บรรลุวัตถุประสงค์ในข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
โดยแกนนำหลักยอมรับอย่างเปิดเผยหรือโดยปริยายว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ หรือ สนับสนุนคนเสื้อแดง แท้จริงแล้วทั้งการ์ด หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เป็นกองกำลังติดอาวุธ ส่วนหนึ่งของกลุ่ม นปช.นั้นเอง
ผลจากการกระทำความดังกล่าวข้างต้นทำให้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจำนวนมาก มีทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์รุนแรงต่างๆ หรือทำให้ประชาชน ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทางราชการหรือของเอกชนตลอดทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารสูญหายเสียหาย ก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นความผิด เช่น
วันที่ 12 มีนาคม 2553 มีการปิดถนนที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร กทม. โดยกลุ่ม นปช. และวันที่ 3 เมษายน 2553 เคลื่อนพลเข้ายึดสี่แยกราชประสงค์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานครทั้งเวทีชุมนุมกดดัน ขู่เข็ญ หรือบังคับให้รัฐบาลยุบสภา คู่ขนานไปกับการชุมนุมสะพานผ่านฟ้า โดยมีประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวจำนวนหลายหมื่นคนอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้ยังคงมีเวทีชุมุนุมที่สี่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว มีลักษณะเป็นศูนย์บัญชาการหรืออำนวยการ สั่งการไปยังกลุ่ม นปช. ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ผู้ชุมนุมบางส่วนแบบดาวกระจายไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมการขนส่งของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางที่กลุ่ม นปช. เคลื่อนที่ผ่าน แจกจ่ายสติ๊กเกอร์ สีแดงให้ยุบสภา นำเลือดมนุษย์ไปเทราดตามสถานที่สำคัญหลายแห่ง กล่าวโจมตีรัฐบาลว่ามีที่มาโดยไม่ชอบธรรม หรือมาจากการปฏิวัติรัฐประหารหรือจากเผด็จการ
กล่าวโจมตีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐว่ากระทำหรือปฏิบัติต่อกลุ่ม นปช.อย่างสองมาตรฐาน ต้องการโค่นล้มอำมาตย์ หรือองคมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ยุยง ปลุกปั่น บิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้ผู้ชุมนุมให้เกลียงชัง อาฆาตมาดร้ายรัฐบาล ปลุกใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีความกล้า ฮึกเหิมเพื่อจะต่อสู้กับรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น ประกาศว่าหากมีการสลายการชุมนุมให้คนเสื้อแดงทั่งประเทศฌาปนกิจศาลากลางทันที
วันที่ 19 มีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.ได้บุกรุกไปที่สถานีดาวเทียมไทยคมที่ตำบลลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และต่อเชื่อมสัญญาณโทรทัศน์ PTV ได้สำเร็จ ทั้งๆที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการตามกฏหมายปิดชั่วคราวแล้ว
วันที่ 7 เมษายน 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในรัฐสภา แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม.ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และใช้กำลังทำร้ายร่างกายทหารที่สวมเครื่องแบบในการปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งได้ยึดอาวุธประจำกายที่รัฐสภา
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 รัฐบาลได้มีการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจผลักดันกลุ่ม นปช.เพื่อขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร และที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างฝ่ายทหารหรือตำรวจกับกลุ่ม นปช.โดยการปลุกระดม ยุยงของแกนนำบนเวทีให้ผู้ชุมนุมช่วยกันต่อต้านและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเอาฟื้นที่คืนไปได้ และมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายแฝงตัวอยู่กลับกลุ่ม นปช.ได้ใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้าง เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารและประชาชนทั่วไปเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
กลุ่ม นปช.ได้ถอดชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถหุ้มเกราะจนไม่สามารถใช้ปฏิบัติการได้ มีการสกัดกั้นรถยนต์ของทางราชการ ยานพาหนะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์บรรทุกทหารจนไม่สามรถใช้การได้ที่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าและสี่แยกคอกวัว ยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารไปจำนวนมาก และรถยนต์พาหนะไปบางส่วน ส่วนที่เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์บางส่วนยังไม่ได้คืนมา นอกจากนี้ยังมีการจับกุมทหารไปเป็นตัวประกัน
วันที่ 16 เมษายน 2553 กลุ่ม นปช.ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมแกนนำตามหมายจับของศาล ที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค แขวง/เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อช่วยเหลือแกนนำคนดังกล่าวไม่ให้ถูกจับและตำรวจถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บ มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมไปเป็นตัวประกันด้วย ปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว
วันที่ 22 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันบนถนนสีลม เขตบางรัก กทม. ระหว่าง นปช. กับชาวสีลม ที่ไม่เห็นด้วยกับ นปช. และซึ่งได้รวมตัวกันประท้วงและสนับสนุนรัฐบาล ในการปะทะดังกล่าวได้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ประมาณ 5 ลูก จากกลุ่มบุคคลที่แฝงตัวอยู่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
วันที่ 28 เมษายน 2553 แกนนำกลุ่ม นปช. ได้นำผู้ชุมนุมบางส่วนไปตามถนนวิภาวดี รังสิต โดยอ้างว่าจะไปให้กำลังใจแก่กลุ่ม นปช. อีกส่วนหนึ่งที่ได้กระทำการปิดถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าและตรวจค้นยานพาหนะของประชาชน จนเกิดการปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือตำรวจที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลได้รับความเสียหาย
วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจค้นและยึดอาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืน เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนอาวุธดังกล่าวตลอดจนทั้งลูกระเบิดเอ็ม 67 ,เอ็ม 26,เอ็ม 79 รวม 12 ลูก ประทัดยักษ์อีกจำนวนหนึ่ง แก็สน้ำตา พร้อมทั้งสัญลักษณ์ของกลุ่ม นปช. และรถยนต์ฮอนด้ารุ่น ซีอาร์วี 1 คันที่ซอยอ่อนนุช แขวงสวนหลวง กทม.
ตามพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวของกลุ่ม นปช. จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการชุมุนุมเคลื่อนไหวที่มีเจตนาร่วมกันบังคับขู่เข็ญรัฐบาลเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการตามวัตถุประสงค์ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือสร้างความปั่นป่วนโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนที่จะดำเนินชีวิตตามปกติสุข
โดยมีผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของกลุ่มในฐานะเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือกด้วยวิธีการอื่นใดหรือโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำผิด หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กระทำผิดกฎหมาย โดยมีการร่วมกันเป็นขบวนการหรือเป็นเครือข่าย มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แบ่งหน้าที่กันทำ แต่มีอุดมการณ์และวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน หรือ กระทำการโดยการตระเตรียมหรือสมคบหรือสนับสนุนการก่อการร้าย
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในข้อหา...ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
เหตุเกิดที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิตามกฎหมายคือ
1.สิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม
2.สิทธิที่จะมีทนายความ
3.สิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
4.สิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
5.ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหาและสิทธิให้ผู้ต้องหานี้ทราบก่อนเริ่มสอบสวนปากคำโดยมิได้มีการบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใดๆ ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ได้อ่านบันทึกนี้ให้ผู้ต้องหาฟังแล้ว รับว่าถูกต้อง จึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อ นายณัฐวุฒิใสยเกื้อ ผู้ต้องหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผู้แจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลากร ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา /บันทึก/อ่าน
ลงชื่อ พ.ต.ต.แดนชัย ทูลอ่อง ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ ร.ต.อ.ณัฐพงษ์ น้อยน้ำค ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ นายธเนศ พ่วงพูล ทนายความผู้ต้องหา
ที่มา: มติชนออนไลน์
**********************************************
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553
อารยะ/อนารยะ
นักปรัชญาชายขอบ
มีคำถามว่า ฝ่ายเชียร์คนเสื้อแดงที่เอาแต่วิจารณ์ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้วิธีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ไม่เป็นไปตามหลักสากลอย่างอารยประเทศเขาทำกัน ควรย้อมกลับมามองด้วยว่า ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองแบบม็อบอารยะประเทศหรือไม่ (โดยไม่ต้องพูดถึงไอ้โม่งชุดดำ ระเบิดขวด เอ็ม 79 แม้แต่อาวุธ เช่นท่อนไม้ เสาธง บ้องไฟ หนังสะติ๊ก ฯลฯ ม็อบอารยประเทศเขาทำกันแบบนี้หรือไม่?)
คนที่ตั้งคำถามเช่นนี้ อาจไม่ได้ต้องการจะบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมที่จะสลาย “ม็อบอนารยะ” ด้วยวิธีที่อนายระยิ่งกว่า แต่สำหรับเสื้อเหลือง เสื้อหลากสีที่คัดค้านการยุบสภาและเรียกร้องให้ใช้กฎอัยการศึกจัดการม็อบเสื้อแดงเพื่อ “คืนความสุขให้คนกรุงเทพฯ” ย่อมเห็นว่า รัฐบาลมีการชอบธรรมในการปราบม็อบและอยู่ในอำนาจต่อไปบนกองศพของประชาชน
เรามาทบทวนความเป็น “อนารยะ” กับ “อารยะ” กันหน่อยดีไหม ก่อนที่จะเดินหน้าปรองดอง (หรือไม่ปรองดอง) กันต่อไป!
1. อนารยะ/อารยะ ของ “คู่กรณี”
ทักษิณ (ถูกกล่าวหาว่า) คอร์รัปชัน ขายหุ้นไม่เสียภาษี = วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์ขอเสียง ส.ส.ฟากไทยรักไทยมาร่วมลงชื่อเพื่อเปิดอภิปรายทักษิณในประเด็นข้อกล่าวหาดังกล่าว = วิธีอารยะ ...ทักษิณยุบสภาให้ประชาชนตัดสิน=วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์โจมตีว่ายุบสภาหนีการตรวจสอบและชวนพรรคการเมืองอื่นร่วมบอยคอตการเลือกตั้ง พันธมิตรฯ รณรงค์ให้โนโหวด ฉีกบัตรเลือกตั้ง (ศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ) =วิธีอารยะ
ทักษิณให้ขอมีการเลือกตั้งใหม่ และประกาศหลังชนะการเลือกตั้งจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี =วิธีอนารยะ ...พันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานองคมนตรี องคมนตรี นักวิชาการ สื่อ คนชั้นกลางในเมือง เสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และเรียกร้อง สนับสนุน หรือสมรู้ร่วมคิดให้ทหารทำรัฐประหาร = วิธีอารยะ
สรุป – ฝ่ายถูกทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอนารยะ! ฝ่ายทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอารยะ!
2. อนารยะ/อารยะ ของ “เสื้อสี” และ “รัฐบาล”
เกิด นปก.(ต่อมาเปลี่ยนเป็น นปช.) ชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ขับแท็กซี่ชนรถถังเสียชีวิต และต่อมามีการใช้เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ชุมนุมและใช้สื่อวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านรัฐประหาร = วิธีอนารยะ ...ฝ่ายเสื้อเหลืองจัดฉากมอบดอกไม้ให้ทหารที่ออกมาทำรัฐประหาร ดารา นักร้อง คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ร่วมถ่ายรูปกับรถถังแสดงความยินดีต้อนรับรัฐประหาร บรรดาแกนนำ นักวิชาการ สื่อฟากเสื้อเหลืองเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐประหารทั้งในและต่างประเทศ = วิธีอารยะ
รัฐบาลอำมาตย์ “เขายายเที่ยง” เป็นรัฐบาลอารยะ! รัฐบาลสมัคร “พ่อครัวทำกับข้าวออกทีวี” เป็นรัฐบาลอนารยะ! รัฐบาลสมชาย “ตาย 2 ศพ” เป็น “รัฐบาลอนารยะ” ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ใส่ร้ายผู้ชุมนุม ต้องยุบสภา! (ไม่ยอมยุบสภาถูกศาลสั่งยุบพรรค) รัฐบาลอภิสิทธิ์ “ตาย 89 ศพ” เป็น “รัฐบาลอารยะ” ที่มีความสามารถขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมด้วยวิธีที่ดีที่สุด ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด มีความชอบธรรมที่สุดที่จะอยู่ในอำนาจและเดินหน้านำพาประเทศชาติสู่การปรองดองภายใต้คำเชิญอันแสนโรแมนติกของ “สุภาพบุรุษแห่งอ๊อกฟอร์ด” ที่ว่า “รัฐบาลต้องไล่ล่าโจรเผาบ้านมาติกคุก และพวกเราทุกฝ่ายมาร่วมซ่อมแซมบ้านด้วยกัน”
3. มหกรรมอวตารปราบมารการเมือง
การ์ตูน “อวตาร: มารการเมือง” ของ เรณู ปัญญาดี (วารสาร “อ่าน” มกราคม-มีนาคม 53) แสดงเรื่องราวของ “กองทัพยักษ์แดง” บุกเมืองสวรรค์เพื่อขอ “ประชาธิปไตยที่กินได้” และขอ “1 คน หนึ่งเสียง” เหล่าเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ทั้งหลายซึ่งประกอบด้วย ราษฎรอาวุโส สื่อผู้ทรงศีล กูรูสันติภาพ ปราชญ์ชาวบ้าน ฤษีสถาปนิก ที่ร่วมมหกรรมอวตารลงมาสอนศีลธรรมกำราบกองทัพยักษ์แดงไม่ให้ใช้วิธีรุนแรง ต่างประสานเสียงว่า...
“ปราศจากศีลธรรม ประชาธิปไตยจะมีความหมายแค่การเลือกตั้ง”... “ปราศจากศีลธรรม การเมืองเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจ”... “ปราศจากศีลธรรม การชุมนุมประท้วงจะมีแต่ความรุนแรง”... “ถ้าคนไทยไร้ศีลธรรม ประชาธิปไตยจะไปไม่รอด”
แล้วบรรดาผู้ทรงศีลธรรมเหล่านั้นก็ระดมสอนศีลธรรมเพื่อเปลี่ยนใจกองทัพยักษ์แดง พวกเขาต่างเสนอว่า...
“ศีลธรรมต้องไม่รุนแรง-ท่องบ่นและตะโกนคำว่าความรุนแรงใส่การชุมนุม/สันติวิธีคือยอมรับความเจ็บปวดเสียเอง” ... “ศีลธรรมยิ่งใหญ่กว่าตัวเลข-จำนวนไม่สามารถบ่งบอกความถูก/ผิด ดี/เลว คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นตัวเลขที่ไร้ศีลธรรมกำกับ” ... “ศีลธรรมอยู่เหนือชนชั้น- เมื่อยักษ์ประกาศสงครามชนชั้น ป่วยการไปโต้ว่าสังคมไทยไม่มีชนชั้น เพียงแต่บอกว่าชนชั้นต้องมีศีลธรรมกำกับ/ทำไมคนไทยไม่รักกัน?” ... “ศีลธรรมต้องมาก่อนเสรีภาพ-การปิดทีวีและเว็บไซต์ที่พวกยักษ์ชอบดูเป็นมาตรการทางศีลธรรมที่เทวดาต้องสนับสนุน”... “ศีลธรรมเฟซบุ๊ค-สร้างเครือข่ายสื่อเทวดา ทำเมืองไทยให้เป็นประเทศของเฟซบุ๊ค”
“ศีลธรรมต้องสะอาด-เวลายักษ์อ้างสัญลักษณ์หรืออ้างศีลธรรมของฝ่ายตน เช่น ทำพิธีเอาเลือดไปเทหน้าทำเนียบ เทวดาต้องสู้ด้วยจำนวนและตัวเลข เช่น เอาจำนวนเชื้อโรคในเลือดมาข่มขู่”... “ศีลธรรมต้องไม่ปิดศูนย์การค้าและทำรถติด-สอนยักษ์ให้เข้าใจว่าการปิดศูนย์การค้าและทำรถติดมีสองแบบ คือแบบมีกับไม่มีศีลธรรมกำกับ ถ้าเทวดาทำจะเป็นแบบแรก ถ้ายักษ์ทำจะเป็นแบบหลัง”
เข็มทิศทางศีลธรรมของเทวดา คือ ...ปิดทำเนียบ ปิดสนามบิน = มีศีลธรรม...ปิดเกษร บิ๊กซี เวิลด์เทรด พารากอน = ก่อการร้าย
แต่ปรากฏว่า กองทัพยักษ์ไม่ยอมฟังคำสอนศีลธรรมของเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ที่อวตารลงมากำราบ “มารประชาธิปไตย” ฉะนั้น เหล่าผู้อวตารจึงแก้ปัญหาประชาธิปไตยด้วยการใช้ “มาตรการทางศีลธรรม” ตาม “แผนสอง”
ภาพสุดท้ายที่สากลโลกได้เห็นคือ...กองกำลังติดอาวุธของ “รัฐบาลเทวดา” ปิดล้อมกองทัพยักษ์ พร้อมเสียงตะโกนจากกองเชียร์ ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!...
(นี่มันเป็นเรื่องราวของเทวดาผู้ทรงศีลธรรมอวตารลงมาปราบมาร หรือเป็นเรื่องราวดังวรรคหนึ่งในบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ “เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน ทะยานลงดินมากินขี้” กันแน่? – ผมสงสัย!)
สรุป – ใครจะวิจารณ์ความไม่อารยะของม็อบเสื้อแดง (กองทัพยักษ์แดง) อย่างไรก็เชิญวิจารณ์กันไปเถิด! แต่คุณยังตั้งคำถามกับ “วิถีอารยะ” ของเหล่าเทวดาแห่งเมืองสวรรค์น้อยเกินไปหรือไม่?
ที่มา.ประชาไท
..................................................
มีคำถามว่า ฝ่ายเชียร์คนเสื้อแดงที่เอาแต่วิจารณ์ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้วิธีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ไม่เป็นไปตามหลักสากลอย่างอารยประเทศเขาทำกัน ควรย้อมกลับมามองด้วยว่า ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองแบบม็อบอารยะประเทศหรือไม่ (โดยไม่ต้องพูดถึงไอ้โม่งชุดดำ ระเบิดขวด เอ็ม 79 แม้แต่อาวุธ เช่นท่อนไม้ เสาธง บ้องไฟ หนังสะติ๊ก ฯลฯ ม็อบอารยประเทศเขาทำกันแบบนี้หรือไม่?)
คนที่ตั้งคำถามเช่นนี้ อาจไม่ได้ต้องการจะบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมที่จะสลาย “ม็อบอนารยะ” ด้วยวิธีที่อนายระยิ่งกว่า แต่สำหรับเสื้อเหลือง เสื้อหลากสีที่คัดค้านการยุบสภาและเรียกร้องให้ใช้กฎอัยการศึกจัดการม็อบเสื้อแดงเพื่อ “คืนความสุขให้คนกรุงเทพฯ” ย่อมเห็นว่า รัฐบาลมีการชอบธรรมในการปราบม็อบและอยู่ในอำนาจต่อไปบนกองศพของประชาชน
เรามาทบทวนความเป็น “อนารยะ” กับ “อารยะ” กันหน่อยดีไหม ก่อนที่จะเดินหน้าปรองดอง (หรือไม่ปรองดอง) กันต่อไป!
1. อนารยะ/อารยะ ของ “คู่กรณี”
ทักษิณ (ถูกกล่าวหาว่า) คอร์รัปชัน ขายหุ้นไม่เสียภาษี = วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์ขอเสียง ส.ส.ฟากไทยรักไทยมาร่วมลงชื่อเพื่อเปิดอภิปรายทักษิณในประเด็นข้อกล่าวหาดังกล่าว = วิธีอารยะ ...ทักษิณยุบสภาให้ประชาชนตัดสิน=วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์โจมตีว่ายุบสภาหนีการตรวจสอบและชวนพรรคการเมืองอื่นร่วมบอยคอตการเลือกตั้ง พันธมิตรฯ รณรงค์ให้โนโหวด ฉีกบัตรเลือกตั้ง (ศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ) =วิธีอารยะ
ทักษิณให้ขอมีการเลือกตั้งใหม่ และประกาศหลังชนะการเลือกตั้งจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี =วิธีอนารยะ ...พันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานองคมนตรี องคมนตรี นักวิชาการ สื่อ คนชั้นกลางในเมือง เสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และเรียกร้อง สนับสนุน หรือสมรู้ร่วมคิดให้ทหารทำรัฐประหาร = วิธีอารยะ
สรุป – ฝ่ายถูกทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอนารยะ! ฝ่ายทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอารยะ!
2. อนารยะ/อารยะ ของ “เสื้อสี” และ “รัฐบาล”
เกิด นปก.(ต่อมาเปลี่ยนเป็น นปช.) ชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ขับแท็กซี่ชนรถถังเสียชีวิต และต่อมามีการใช้เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ชุมนุมและใช้สื่อวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านรัฐประหาร = วิธีอนารยะ ...ฝ่ายเสื้อเหลืองจัดฉากมอบดอกไม้ให้ทหารที่ออกมาทำรัฐประหาร ดารา นักร้อง คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ร่วมถ่ายรูปกับรถถังแสดงความยินดีต้อนรับรัฐประหาร บรรดาแกนนำ นักวิชาการ สื่อฟากเสื้อเหลืองเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐประหารทั้งในและต่างประเทศ = วิธีอารยะ
รัฐบาลอำมาตย์ “เขายายเที่ยง” เป็นรัฐบาลอารยะ! รัฐบาลสมัคร “พ่อครัวทำกับข้าวออกทีวี” เป็นรัฐบาลอนารยะ! รัฐบาลสมชาย “ตาย 2 ศพ” เป็น “รัฐบาลอนารยะ” ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ใส่ร้ายผู้ชุมนุม ต้องยุบสภา! (ไม่ยอมยุบสภาถูกศาลสั่งยุบพรรค) รัฐบาลอภิสิทธิ์ “ตาย 89 ศพ” เป็น “รัฐบาลอารยะ” ที่มีความสามารถขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมด้วยวิธีที่ดีที่สุด ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด มีความชอบธรรมที่สุดที่จะอยู่ในอำนาจและเดินหน้านำพาประเทศชาติสู่การปรองดองภายใต้คำเชิญอันแสนโรแมนติกของ “สุภาพบุรุษแห่งอ๊อกฟอร์ด” ที่ว่า “รัฐบาลต้องไล่ล่าโจรเผาบ้านมาติกคุก และพวกเราทุกฝ่ายมาร่วมซ่อมแซมบ้านด้วยกัน”
3. มหกรรมอวตารปราบมารการเมือง
การ์ตูน “อวตาร: มารการเมือง” ของ เรณู ปัญญาดี (วารสาร “อ่าน” มกราคม-มีนาคม 53) แสดงเรื่องราวของ “กองทัพยักษ์แดง” บุกเมืองสวรรค์เพื่อขอ “ประชาธิปไตยที่กินได้” และขอ “1 คน หนึ่งเสียง” เหล่าเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ทั้งหลายซึ่งประกอบด้วย ราษฎรอาวุโส สื่อผู้ทรงศีล กูรูสันติภาพ ปราชญ์ชาวบ้าน ฤษีสถาปนิก ที่ร่วมมหกรรมอวตารลงมาสอนศีลธรรมกำราบกองทัพยักษ์แดงไม่ให้ใช้วิธีรุนแรง ต่างประสานเสียงว่า...
“ปราศจากศีลธรรม ประชาธิปไตยจะมีความหมายแค่การเลือกตั้ง”... “ปราศจากศีลธรรม การเมืองเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจ”... “ปราศจากศีลธรรม การชุมนุมประท้วงจะมีแต่ความรุนแรง”... “ถ้าคนไทยไร้ศีลธรรม ประชาธิปไตยจะไปไม่รอด”
แล้วบรรดาผู้ทรงศีลธรรมเหล่านั้นก็ระดมสอนศีลธรรมเพื่อเปลี่ยนใจกองทัพยักษ์แดง พวกเขาต่างเสนอว่า...
“ศีลธรรมต้องไม่รุนแรง-ท่องบ่นและตะโกนคำว่าความรุนแรงใส่การชุมนุม/สันติวิธีคือยอมรับความเจ็บปวดเสียเอง” ... “ศีลธรรมยิ่งใหญ่กว่าตัวเลข-จำนวนไม่สามารถบ่งบอกความถูก/ผิด ดี/เลว คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นตัวเลขที่ไร้ศีลธรรมกำกับ” ... “ศีลธรรมอยู่เหนือชนชั้น- เมื่อยักษ์ประกาศสงครามชนชั้น ป่วยการไปโต้ว่าสังคมไทยไม่มีชนชั้น เพียงแต่บอกว่าชนชั้นต้องมีศีลธรรมกำกับ/ทำไมคนไทยไม่รักกัน?” ... “ศีลธรรมต้องมาก่อนเสรีภาพ-การปิดทีวีและเว็บไซต์ที่พวกยักษ์ชอบดูเป็นมาตรการทางศีลธรรมที่เทวดาต้องสนับสนุน”... “ศีลธรรมเฟซบุ๊ค-สร้างเครือข่ายสื่อเทวดา ทำเมืองไทยให้เป็นประเทศของเฟซบุ๊ค”
“ศีลธรรมต้องสะอาด-เวลายักษ์อ้างสัญลักษณ์หรืออ้างศีลธรรมของฝ่ายตน เช่น ทำพิธีเอาเลือดไปเทหน้าทำเนียบ เทวดาต้องสู้ด้วยจำนวนและตัวเลข เช่น เอาจำนวนเชื้อโรคในเลือดมาข่มขู่”... “ศีลธรรมต้องไม่ปิดศูนย์การค้าและทำรถติด-สอนยักษ์ให้เข้าใจว่าการปิดศูนย์การค้าและทำรถติดมีสองแบบ คือแบบมีกับไม่มีศีลธรรมกำกับ ถ้าเทวดาทำจะเป็นแบบแรก ถ้ายักษ์ทำจะเป็นแบบหลัง”
เข็มทิศทางศีลธรรมของเทวดา คือ ...ปิดทำเนียบ ปิดสนามบิน = มีศีลธรรม...ปิดเกษร บิ๊กซี เวิลด์เทรด พารากอน = ก่อการร้าย
แต่ปรากฏว่า กองทัพยักษ์ไม่ยอมฟังคำสอนศีลธรรมของเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ที่อวตารลงมากำราบ “มารประชาธิปไตย” ฉะนั้น เหล่าผู้อวตารจึงแก้ปัญหาประชาธิปไตยด้วยการใช้ “มาตรการทางศีลธรรม” ตาม “แผนสอง”
ภาพสุดท้ายที่สากลโลกได้เห็นคือ...กองกำลังติดอาวุธของ “รัฐบาลเทวดา” ปิดล้อมกองทัพยักษ์ พร้อมเสียงตะโกนจากกองเชียร์ ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!...
(นี่มันเป็นเรื่องราวของเทวดาผู้ทรงศีลธรรมอวตารลงมาปราบมาร หรือเป็นเรื่องราวดังวรรคหนึ่งในบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ “เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน ทะยานลงดินมากินขี้” กันแน่? – ผมสงสัย!)
สรุป – ใครจะวิจารณ์ความไม่อารยะของม็อบเสื้อแดง (กองทัพยักษ์แดง) อย่างไรก็เชิญวิจารณ์กันไปเถิด! แต่คุณยังตั้งคำถามกับ “วิถีอารยะ” ของเหล่าเทวดาแห่งเมืองสวรรค์น้อยเกินไปหรือไม่?
ที่มา.ประชาไท
..................................................
"คนชุดดำ" บนเส้นทางสู่ความจริง
ผมไม่ได้เป็นแฟน "เอเชียไทม์ส ออนไลน์"ชนิดขาดไม่ได้ แต่ต้องยอมรับว่า"เอโอแอล"เลือกเรื่องมาบอกเล่าได้น่าสนใจในหลายๆ ครั้ง เพราะตรงกับความอยากรู้ ในห้วงจังหวะเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ
อย่างเช่นเมื่อหลายคนอยากรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับ"คนชุดดำ"เอโอแอลก็มีข้อเขียนของ เคนเนธ ท็อดด์ รุยซ์ และ โอลิวิเยร์ ซาบิล สองผู้สื่อข่าวและช่างภาพอิสระ มาเขียนบอกเล่าถึง"เม็น อิน แบล็ค"เต็มๆ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา
รวมทั้งข้อเขียนชวนให้ขบคิดใคร่ครวญอย่างยิ่งของ แดนนี่ อังเกอร์ ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย นอร์เธิร์น อิลลินอยส์ ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็พอเหมาะพอดีกับสถานการณ์แวดล้อมของการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องแรกนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หยิบยกไปพูดถึงไว้ในการตอบคำอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากมายนัก เพราะคงคิดอย่างเดียวกับที่ผมคิดว่า เรื่องอย่างนี้"อ่านเอาเอง-คิดเอาเอง"จะดีกว่าเป็นไหนๆ
แต่ในด้านหนึ่ง คำบอกเล่าของ เอโอแอล เรื่องคนชุดดำ ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เพิ่มเติมมากมาย อาจเป็นเพราะ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขง่ายๆ ประการหนึ่งก็คือ พูดคุยด้วยได้ แต่ห้ามถ่ายภาพ-ถ้าถ่ายแม้แต่ช็อตเดียว"ผมจะฆ่าคุณ"
คำบอกเล่าของเอโอแอลเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้จึงเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า"คนชุดดำ"ที่เรียกตัวเองว่า"แบล็ค แองเจิล"ผู้ทำหน้าที่"พิทักษ์"ผู้ชุมนุม-มีอยู่จริง มีอยู่ด้วยกันจำนวนทั้งสิ้น 27 คน จัดตั้งแบบเดียวกับหน่วยทหารในยามศึก มีทั้งผู้รับผิดชอบด้านสื่อสาร และผู้ที่รับผิดชอบด้านเสนารักษ์ ส่วนใหญ่เป็น"พลร่ม"
มีหนึ่งรายที่บอกว่ามาจาก"กองทัพเรือ"ทั้งหมดมีอาวุธสงครามเป็นอาวุธประจำกาย ทั้ง เอ็ม 16, ทาร์ 21 (ที่มักคุ้นกันมากกว่าในชื่อ ทาร์โว่) ผลิตในอิสราเอล ที่ยึดมาจากทหารที่สี่แยกคอกวัว, เออาร์-15 ไรเฟิล เป็นอาทิ ผู้สื่อข่าวของ เอโอแอล ไม่เห็น เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 แต่เชื่อว่า มีอยู่ในครอบครอง พิเคราะห์จากการจัดการกับระเบิดพลาสติค และการจัดวางระเบิดรอบพื้นที่ที่เป็นค่าย ทำให้รุยซ์และซาบิลสรุปว่า ทั้งหมดน่าจะผ่านการฝึกด้านวัตถุระเบิดมา เช่นเดียวกับยุทธวิธีด้านการทหารอื่น
คนทั้งหมดอยู่ในวัยยี่สิบเศษ อ่อนเยาว์เกินกว่าที่จะเป็น"คอมมานโด จากยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์"อย่างที่สื่อเคยพูดถึงกันไว้ ทุกคนมีพื้นเพมาจากดินแดนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกว่า"บ้าน"
รุยซ์ และ ซาบิล ยืนยันว่า ค่ายพักของคนชุดดำอยู่ในส่วนที่เป็น"หัวใจ"ของพื้นที่ชุมนุมนั่นเอง ทั้งคู่ระบุด้วยว่า ได้เห็น"คนชุดดำ"ออกปฏิบัติการ 2 ครั้ง หนึ่งนั้นเป็นการจัดชุดเล็กออกไป"ปฏิบัติการ"ในพื้นที่"ประตูน้ำ"เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม
อีกครั้งเป็นการปฏิบัติการ"เผา"ในวันที่ 19 พฤษภาคมนั่นเอง!
*****
ผมครุ่นคิดถึงข้อเขียนเรื่องคนชุดดำอย่างมาก เมื่อครั้งที่ได้ผ่านตาคำให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านการจัดการของทีมทนายความประจำตัว ต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่เป็นตัวแทนสื่อในหลายประเทศ ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไปจนถึงออสเตรเลีย
ตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวเอาไว้เป็นการให้ข้อมูลว่า ในฐานะเป็นตำรวจเก่า การันตีได้เลยว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เผากรุงเทพฯในวันนั้น หากแต่เป็นการ"จัดฉาก"ที่เกิดขึ้นเพื่อใส่ใคล้ผู้ชุมนุม เหตุผลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ การเผาดังกล่าวเป็นไปอย่างมี"แบบแผน"มากเกินไป ไม่ใช่เกิดขึ้นจากอารมณ์ หากแต่เป็นการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี
แม้ตรรกะของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะฟังดูแปร่ง-แปลกหู แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่า ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น หากแต่อยู่ตรงที่ ข้อมูลที่ออกจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวเอโอแอลบอกเล่าออกมา
ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีกก็คือ สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด คล้ายคลึงแทบจะเป็นข้อมูลเดียวกันกับที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่า การเผาครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่อง"บังเอิญ"หรือ เพราะ"อารมณ์ชั่ววูบ"หากแต่เป็นการเผาที่ผ่านการตระเตรียม และวางแผนการมาเป็นอย่างดี
ข้อมูล 2 ชุด แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน ต่างกันที่ข้อสรุปเท่านั้นเองว่า"มึงทำ-ไม่ใช่กู"
นี่คือข้อที่ชวนให้สังเกตอย่างยิ่ง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด"ข้อมูล"แบบเดียวกันนี้ แต่ถูก"ตีความ"แตกต่างออกไปเกิดขึ้นภายในปริมณฑลแห่งความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อของไทยหนนี้
เป็นข้อมูลที่ยากอย่างยิ่งที่คนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยากอย่างยิ่งที่จะหาข้อพิสูจน์ได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนถูกและผิด
เมื่อไม่อาจพิสูจน์จริงเท็จด้วยตัวเอง และขาดความระมัดระวังใคร่ครวญเพียงพอ ใส่ใจอยู่แต่ว่า"อะไร"เกิดขึ้น ไม่ได้ให้ความสำคัญมากพอว่า"ทำไม"มันถึงได้เกิดขึ้น เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนทั่วไปจะเลือกใช้วิธีการ"เชื่อ"จากตัวบุคคลที่พวกเขา"คิดเอาว่า"หรือ"ศรัทธา"ว่า เชื่อถือได้
จึงเกิดความ"เชื่อ"เพราะนี่คือสิ่งที่"ทักษิณ"พูด และความ"เชื่อ"เพราะนี่คือสิ่งที่"อภิสิทธิ์"พูด
ไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนจากกรณีนี้ว่า จำต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด"เล่นกล"กับข้อเท็จจริง เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง
เพราะนั่นนไปสู่ปัญหาสำคัญที่ไม่อาจหาคำตอบได้ นั่นคือ ใครกันที่เล่นแร่แปรธาตุ หยิบความจริงผสมความเทืจออกมาบอกเล่า!
มีใครบอกได้ไหมครับว่า ใครกันชอบใช้วิธีการเช่นนี้?
แดนนี่ อังเกอร์ พูดถึงเรื่อง"เส้นทางสู่ความเป็นจริง"ในเมืองไทย ไว้น่ารับฟังอย่างมาก เขาเริ่มต้นจากการชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย เต็มไปด้วยการนิรโทษ ให้อภัย และความอดทนอดกลั้น
ในทางหนึ่ง การกำหนดแนวทางเช่นนั้น ถือเป็นการให้ความสำคัญสูงสุดแก่คุณสมบัติความเป็น"คน"แต่ในอีกทางหนึ่งการกำหนดเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งสภาวะ"พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย"และกระตุ้นให้เกิดอาการ"ขาดความรับผิดชอบ"ต่ออาชญากรรมและการใช้อำนาจอย่างบิดเบือน
พูดง่ายๆ ก็คือ การให้อภัยหรือนิรโทษฯครอบคลุมไปทั้งหมด"รีเซ็ต"สังคมไทยใหม่ได้หลายต่อหลายครั้งก็จริง แต่ทุกครั้ง เป็นเหมือนการ"กวาดขยะ"เข้าไปซุกไว้ใต้พรม-ใช่หรือไม่!
อย่างไรก็ตาม อังเกอร์เชื่อว่า นั่นเป็นทางหนึ่งที่เป็นไปได้ในอันที่จะทำให้เมืองไทยของเราบรรลุถึง"ความสงบสันติในสังคม"ซึ่งสังคมไทยกำลังต้องการมากเหลือเกินในเวลานี้
อีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้ นั่นคือ การกำหนดให้ทั้งสังคม ยึดมั่นในพันธะแห่ง"นิติรัฐ"และสร้างกรอบขึ้นมาอันหนึ่งสำหรับใช้ในการ"แก้ปัญหาความขัดแย้ง"ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นหมายความว่า ใครจะทำอะไร ต้องแบกรับความรับผิดชอบตามกฎหมายเอาไว้ด้วย ใครผิดต้องว่าไปตามผิด ไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง รัฐบาลหรือทหารก็ตามที
ถ้าถาม แดนนี่ อังเกอร์ ความเห็นของเขาที่ให้ไว้เป็นการส่วนตัวก็คือ เขาเชื่อว่าเมืองไทยเรากำลังต้องการอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก เหตุผลประการสำคัญเพราะเขาเกิดกังขาขึ้นมาแล้วว่า วิกฤตการณ์ทางการเมืองหนนี้ได้ปั่นความขัดแย้งในสังคมไทยให้ทะยานขึ้นสู่ระดับที่"การให้อภัย-นิรโทษฯ"สามารถทำให้ทุกฝ่ายเลิกรา และหันหน้าเข้าหากันในฐานะคนไทยด้วยกันเพื่อสร้างสันติสุขขึ้นในสังคมอีกครั้งหนึ่งสำเร็จได้
แต่ แดนนี่ อังเกอร์ รู้เรื่องเมืองไทยดีพอที่จะซึมซับได้ว่า แม้เลือกใช้หนทางแรก การสร้าง"ข้อเท็จจริง"ให้ปรากฏและเป็นที่ยอมรับของทุกคน ทุกกลุ่ม ก็ยากเย็นเหลือหลาย
เขาบอกไว้ตอนหนึ่งว่า ณ วันนี้ ดูเหมือนคนไทยจะยึดกุมเอาแนวความคิดรวบยอดทางการเมืองอีกอย่างหนึ่งไว้อย่างเต็มที่แล้ว เขาอธิบายแนวความคิดรวบยอดที่ว่านี้เอาไว้ด้วยการอุปมาถึง"ต้นกำเนิดแห่งความผิดบาป"เหมือนกับที่ระบุเอาไว้ใน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์
"ต้นกำเนิดแห่งความผิดบาป"คือความคิดแบบเหมารวม โดยปราศจากการจำแนกแยกแยะข้อเท็จจริงและสภาวะแวดล้อมจำเพาะที่แตกต่างออกไป ในทำนองเดียวกับทรรศนะที่ชาวปาเลสไตน์มีต่อชาวอิสราเอลและผู้คนในอิสราเอลมีต่อปาเลสไตน์
ความขัดแย้งในปัจจุบัน เกิดขึ้นเพราะเราไม่อาจยอมรับซึ่งกันและกันได้ เพียงเพราะเหตุการณ์ในอดีต
เขาบอกว่า เพราะเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีข้อเท็จจริงกี่ชุด แต่ละฝ่ายสามารถตีความข้อเท็จจริงเหล่านั้นให้แตกต่าง และกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ได้ทุกครั้ง ทุกที
เช่นเดียวกับการ"สรรหา"ผู้คนหรือกลุ่มคนอันหนึ่งอันใด ขึ้นมาทำหน้าที่รับผิดชอบในการแสวงหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็อาจเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งใหม่ได้แทบจะในพริบตา
นั่นทำให้ แดนนี่ อังเกอร์ เสนอให้รัฐบาลใช้บริการของคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสหประชาชาติ
ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่า คนไทยเป็นจำนวนมากยากที่จะทำใจยอมรับได้ในเรื่องนี้
"คนเรามีสีติดตัวเมื่อไหร่กัน?"เพื่อนฝรั่งของผมถามขึ้นมาลอยๆ แบบไม่ต้องการคำตอบ
ดำ เหลือง แดง หรือเขียว ไม่ใช่สีที่ติดมากับตัวตั้งแต่เกิดอย่างแน่นอน บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองสีอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมายัดเยียดให้ด้วยคำพูดในทำนองที่ว่า"เฮ้ย พูดอย่างนี้ต้องเป็น-นี่หว่า"
การยัดเยียดของคนเพียงลำพังไม่ได้ทำให้คนมีสีสันติดตัว แต่ถ้าหลายคนและหลายครั้งเข้า แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึก หรือไม่ยอมรับ ผู้คนก็มีสีเข้าจนได้
"ทำอย่างไร สีถึงหมดไปในเมืองไทย?"
ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป หรือจริงๆ ก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าทำอย่างไร
ผมเองรู้แต่ว่า ถ้าไม่อยากมีสี ก็ต้องเลิกใช้สีไปป้ายให้ใครต่อใครเขา-ก็เท่านั้น!
ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย ปิยมิตร ปัญญา
.......................................
อย่างเช่นเมื่อหลายคนอยากรู้ให้มากขึ้นเกี่ยวกับ"คนชุดดำ"เอโอแอลก็มีข้อเขียนของ เคนเนธ ท็อดด์ รุยซ์ และ โอลิวิเยร์ ซาบิล สองผู้สื่อข่าวและช่างภาพอิสระ มาเขียนบอกเล่าถึง"เม็น อิน แบล็ค"เต็มๆ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมา
รวมทั้งข้อเขียนชวนให้ขบคิดใคร่ครวญอย่างยิ่งของ แดนนี่ อังเกอร์ ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัย นอร์เธิร์น อิลลินอยส์ ในสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็พอเหมาะพอดีกับสถานการณ์แวดล้อมของการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง
เรื่องแรกนั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หยิบยกไปพูดถึงไว้ในการตอบคำอภิปรายในญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากมายนัก เพราะคงคิดอย่างเดียวกับที่ผมคิดว่า เรื่องอย่างนี้"อ่านเอาเอง-คิดเอาเอง"จะดีกว่าเป็นไหนๆ
แต่ในด้านหนึ่ง คำบอกเล่าของ เอโอแอล เรื่องคนชุดดำ ก็ไม่ได้มีอะไรใหม่เพิ่มเติมมากมาย อาจเป็นเพราะ แม้จะได้รับการต้อนรับอย่างดี แต่ก็อยู่ภายใต้เงื่อนไขง่ายๆ ประการหนึ่งก็คือ พูดคุยด้วยได้ แต่ห้ามถ่ายภาพ-ถ้าถ่ายแม้แต่ช็อตเดียว"ผมจะฆ่าคุณ"
คำบอกเล่าของเอโอแอลเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้จึงเป็นเพียงการแสดงให้เห็นว่า"คนชุดดำ"ที่เรียกตัวเองว่า"แบล็ค แองเจิล"ผู้ทำหน้าที่"พิทักษ์"ผู้ชุมนุม-มีอยู่จริง มีอยู่ด้วยกันจำนวนทั้งสิ้น 27 คน จัดตั้งแบบเดียวกับหน่วยทหารในยามศึก มีทั้งผู้รับผิดชอบด้านสื่อสาร และผู้ที่รับผิดชอบด้านเสนารักษ์ ส่วนใหญ่เป็น"พลร่ม"
มีหนึ่งรายที่บอกว่ามาจาก"กองทัพเรือ"ทั้งหมดมีอาวุธสงครามเป็นอาวุธประจำกาย ทั้ง เอ็ม 16, ทาร์ 21 (ที่มักคุ้นกันมากกว่าในชื่อ ทาร์โว่) ผลิตในอิสราเอล ที่ยึดมาจากทหารที่สี่แยกคอกวัว, เออาร์-15 ไรเฟิล เป็นอาทิ ผู้สื่อข่าวของ เอโอแอล ไม่เห็น เครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 แต่เชื่อว่า มีอยู่ในครอบครอง พิเคราะห์จากการจัดการกับระเบิดพลาสติค และการจัดวางระเบิดรอบพื้นที่ที่เป็นค่าย ทำให้รุยซ์และซาบิลสรุปว่า ทั้งหมดน่าจะผ่านการฝึกด้านวัตถุระเบิดมา เช่นเดียวกับยุทธวิธีด้านการทหารอื่น
คนทั้งหมดอยู่ในวัยยี่สิบเศษ อ่อนเยาว์เกินกว่าที่จะเป็น"คอมมานโด จากยุคต่อต้านคอมมิวนิสต์"อย่างที่สื่อเคยพูดถึงกันไว้ ทุกคนมีพื้นเพมาจากดินแดนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกว่า"บ้าน"
รุยซ์ และ ซาบิล ยืนยันว่า ค่ายพักของคนชุดดำอยู่ในส่วนที่เป็น"หัวใจ"ของพื้นที่ชุมนุมนั่นเอง ทั้งคู่ระบุด้วยว่า ได้เห็น"คนชุดดำ"ออกปฏิบัติการ 2 ครั้ง หนึ่งนั้นเป็นการจัดชุดเล็กออกไป"ปฏิบัติการ"ในพื้นที่"ประตูน้ำ"เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม
อีกครั้งเป็นการปฏิบัติการ"เผา"ในวันที่ 19 พฤษภาคมนั่นเอง!
*****
ผมครุ่นคิดถึงข้อเขียนเรื่องคนชุดดำอย่างมาก เมื่อครั้งที่ได้ผ่านตาคำให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านการจัดการของทีมทนายความประจำตัว ต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่เป็นตัวแทนสื่อในหลายประเทศ ตั้งแต่สหรัฐอเมริกาไปจนถึงออสเตรเลีย
ตอนหนึ่งในการให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวเอาไว้เป็นการให้ข้อมูลว่า ในฐานะเป็นตำรวจเก่า การันตีได้เลยว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เผากรุงเทพฯในวันนั้น หากแต่เป็นการ"จัดฉาก"ที่เกิดขึ้นเพื่อใส่ใคล้ผู้ชุมนุม เหตุผลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ การเผาดังกล่าวเป็นไปอย่างมี"แบบแผน"มากเกินไป ไม่ใช่เกิดขึ้นจากอารมณ์ หากแต่เป็นการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าเป็นอย่างดี
แม้ตรรกะของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะฟังดูแปร่ง-แปลกหู แต่ประเด็นที่น่าสนใจกว่า ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น หากแต่อยู่ตรงที่ ข้อมูลที่ออกจากปากของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับข้อมูลที่ผู้สื่อข่าวเอโอแอลบอกเล่าออกมา
ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีกก็คือ สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด คล้ายคลึงแทบจะเป็นข้อมูลเดียวกันกับที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่า การเผาครั้งนั้น ไม่ใช่เรื่อง"บังเอิญ"หรือ เพราะ"อารมณ์ชั่ววูบ"หากแต่เป็นการเผาที่ผ่านการตระเตรียม และวางแผนการมาเป็นอย่างดี
ข้อมูล 2 ชุด แทบจะเป็นอย่างเดียวกัน ต่างกันที่ข้อสรุปเท่านั้นเองว่า"มึงทำ-ไม่ใช่กู"
นี่คือข้อที่ชวนให้สังเกตอย่างยิ่ง เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิด"ข้อมูล"แบบเดียวกันนี้ แต่ถูก"ตีความ"แตกต่างออกไปเกิดขึ้นภายในปริมณฑลแห่งความขัดแย้งทางการเมืองยืดเยื้อของไทยหนนี้
เป็นข้อมูลที่ยากอย่างยิ่งที่คนธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยากอย่างยิ่งที่จะหาข้อพิสูจน์ได้ว่าอันไหนจริง อันไหนเท็จ อันไหนถูกและผิด
เมื่อไม่อาจพิสูจน์จริงเท็จด้วยตัวเอง และขาดความระมัดระวังใคร่ครวญเพียงพอ ใส่ใจอยู่แต่ว่า"อะไร"เกิดขึ้น ไม่ได้ให้ความสำคัญมากพอว่า"ทำไม"มันถึงได้เกิดขึ้น เป็นธรรมดาอยู่เองที่คนทั่วไปจะเลือกใช้วิธีการ"เชื่อ"จากตัวบุคคลที่พวกเขา"คิดเอาว่า"หรือ"ศรัทธา"ว่า เชื่อถือได้
จึงเกิดความ"เชื่อ"เพราะนี่คือสิ่งที่"ทักษิณ"พูด และความ"เชื่อ"เพราะนี่คือสิ่งที่"อภิสิทธิ์"พูด
ไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนจากกรณีนี้ว่า จำต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด"เล่นกล"กับข้อเท็จจริง เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนและพวกพ้อง
เพราะนั่นนไปสู่ปัญหาสำคัญที่ไม่อาจหาคำตอบได้ นั่นคือ ใครกันที่เล่นแร่แปรธาตุ หยิบความจริงผสมความเทืจออกมาบอกเล่า!
มีใครบอกได้ไหมครับว่า ใครกันชอบใช้วิธีการเช่นนี้?
แดนนี่ อังเกอร์ พูดถึงเรื่อง"เส้นทางสู่ความเป็นจริง"ในเมืองไทย ไว้น่ารับฟังอย่างมาก เขาเริ่มต้นจากการชี้ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์การเมืองร่วมสมัยของไทย เต็มไปด้วยการนิรโทษ ให้อภัย และความอดทนอดกลั้น
ในทางหนึ่ง การกำหนดแนวทางเช่นนั้น ถือเป็นการให้ความสำคัญสูงสุดแก่คุณสมบัติความเป็น"คน"แต่ในอีกทางหนึ่งการกำหนดเช่นนั้นอาจนำมาซึ่งสภาวะ"พ้นจากความรับผิดตามกฎหมาย"และกระตุ้นให้เกิดอาการ"ขาดความรับผิดชอบ"ต่ออาชญากรรมและการใช้อำนาจอย่างบิดเบือน
พูดง่ายๆ ก็คือ การให้อภัยหรือนิรโทษฯครอบคลุมไปทั้งหมด"รีเซ็ต"สังคมไทยใหม่ได้หลายต่อหลายครั้งก็จริง แต่ทุกครั้ง เป็นเหมือนการ"กวาดขยะ"เข้าไปซุกไว้ใต้พรม-ใช่หรือไม่!
อย่างไรก็ตาม อังเกอร์เชื่อว่า นั่นเป็นทางหนึ่งที่เป็นไปได้ในอันที่จะทำให้เมืองไทยของเราบรรลุถึง"ความสงบสันติในสังคม"ซึ่งสังคมไทยกำลังต้องการมากเหลือเกินในเวลานี้
อีกทางหนึ่งที่เป็นไปได้ นั่นคือ การกำหนดให้ทั้งสังคม ยึดมั่นในพันธะแห่ง"นิติรัฐ"และสร้างกรอบขึ้นมาอันหนึ่งสำหรับใช้ในการ"แก้ปัญหาความขัดแย้ง"ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นหมายความว่า ใครจะทำอะไร ต้องแบกรับความรับผิดชอบตามกฎหมายเอาไว้ด้วย ใครผิดต้องว่าไปตามผิด ไม่มีการยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง รัฐบาลหรือทหารก็ตามที
ถ้าถาม แดนนี่ อังเกอร์ ความเห็นของเขาที่ให้ไว้เป็นการส่วนตัวก็คือ เขาเชื่อว่าเมืองไทยเรากำลังต้องการอย่างหลังมากกว่าอย่างแรก เหตุผลประการสำคัญเพราะเขาเกิดกังขาขึ้นมาแล้วว่า วิกฤตการณ์ทางการเมืองหนนี้ได้ปั่นความขัดแย้งในสังคมไทยให้ทะยานขึ้นสู่ระดับที่"การให้อภัย-นิรโทษฯ"สามารถทำให้ทุกฝ่ายเลิกรา และหันหน้าเข้าหากันในฐานะคนไทยด้วยกันเพื่อสร้างสันติสุขขึ้นในสังคมอีกครั้งหนึ่งสำเร็จได้
แต่ แดนนี่ อังเกอร์ รู้เรื่องเมืองไทยดีพอที่จะซึมซับได้ว่า แม้เลือกใช้หนทางแรก การสร้าง"ข้อเท็จจริง"ให้ปรากฏและเป็นที่ยอมรับของทุกคน ทุกกลุ่ม ก็ยากเย็นเหลือหลาย
เขาบอกไว้ตอนหนึ่งว่า ณ วันนี้ ดูเหมือนคนไทยจะยึดกุมเอาแนวความคิดรวบยอดทางการเมืองอีกอย่างหนึ่งไว้อย่างเต็มที่แล้ว เขาอธิบายแนวความคิดรวบยอดที่ว่านี้เอาไว้ด้วยการอุปมาถึง"ต้นกำเนิดแห่งความผิดบาป"เหมือนกับที่ระบุเอาไว้ใน พระคริสต์ธรรมคัมภีร์
"ต้นกำเนิดแห่งความผิดบาป"คือความคิดแบบเหมารวม โดยปราศจากการจำแนกแยกแยะข้อเท็จจริงและสภาวะแวดล้อมจำเพาะที่แตกต่างออกไป ในทำนองเดียวกับทรรศนะที่ชาวปาเลสไตน์มีต่อชาวอิสราเอลและผู้คนในอิสราเอลมีต่อปาเลสไตน์
ความขัดแย้งในปัจจุบัน เกิดขึ้นเพราะเราไม่อาจยอมรับซึ่งกันและกันได้ เพียงเพราะเหตุการณ์ในอดีต
เขาบอกว่า เพราะเช่นนี้ ไม่ว่าจะมีข้อเท็จจริงกี่ชุด แต่ละฝ่ายสามารถตีความข้อเท็จจริงเหล่านั้นให้แตกต่าง และกลายเป็นความขัดแย้งใหม่ได้ทุกครั้ง ทุกที
เช่นเดียวกับการ"สรรหา"ผู้คนหรือกลุ่มคนอันหนึ่งอันใด ขึ้นมาทำหน้าที่รับผิดชอบในการแสวงหาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ก็อาจเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งใหม่ได้แทบจะในพริบตา
นั่นทำให้ แดนนี่ อังเกอร์ เสนอให้รัฐบาลใช้บริการของคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสหประชาชาติ
ทั้งๆ ที่เขารู้ดีว่า คนไทยเป็นจำนวนมากยากที่จะทำใจยอมรับได้ในเรื่องนี้
"คนเรามีสีติดตัวเมื่อไหร่กัน?"เพื่อนฝรั่งของผมถามขึ้นมาลอยๆ แบบไม่ต้องการคำตอบ
ดำ เหลือง แดง หรือเขียว ไม่ใช่สีที่ติดมากับตัวตั้งแต่เกิดอย่างแน่นอน บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าตัวเองสีอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนมายัดเยียดให้ด้วยคำพูดในทำนองที่ว่า"เฮ้ย พูดอย่างนี้ต้องเป็น-นี่หว่า"
การยัดเยียดของคนเพียงลำพังไม่ได้ทำให้คนมีสีสันติดตัว แต่ถ้าหลายคนและหลายครั้งเข้า แม้เจ้าตัวจะไม่รู้สึก หรือไม่ยอมรับ ผู้คนก็มีสีเข้าจนได้
"ทำอย่างไร สีถึงหมดไปในเมืองไทย?"
ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป หรือจริงๆ ก็คือ ไม่มีใครรู้ว่าทำอย่างไร
ผมเองรู้แต่ว่า ถ้าไม่อยากมีสี ก็ต้องเลิกใช้สีไปป้ายให้ใครต่อใครเขา-ก็เท่านั้น!
ที่มา.มติชนออนไลน์
โดย ปิยมิตร ปัญญา
.......................................
เบื้องหลัง แช่แข็งเงิน"แดง"หมื่นล้าน เหยียนปิน-ไพวงษ์-ประยุทธ-สุริยะ-scแอสเสท
กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน มีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมทางการเงินของนักการเมืองและนักธุรกิจ 3 ครั้งกว่า 145 ราย เกิดคำถามมากมายว่า ชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม !!!
เป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมทางการเงินของนักการเมืองและนักธุรกิจ 3 ครั้งกว่า 145 ราย ในจำนวนนี้มีบริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนนักธุรกิจดังหลายคน อาทิ นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทย นายประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือ เหยียน ปิน นักธุรกิจ 2 สัญชาติ ฯลฯ
ประเด็นสงสัยก็คือ คำสั่งแช่แข็งทางการเงินดังกล่าวมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่?
เพราะมีเสียงร่ำลือถึงขนาดที่ว่า มีการทะเลาะกันในที่ประชุม ระหว่าง "บุคคลในรัฐบาล" กับ "ทหาร" ก่อนมีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมในครั้งที่ 3
ฉะนั้น ก่อนตอบข้อสังสัย ต้องมาดูบทบาท คอนเนกชัน ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเสียก่อน
เริ่มจาก "เหยียน ปิน" หรือ นายชาญชัย เป็นเพื่อนรักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสาขาพรรคไทยรักไทยในประเทศจีน และเป็นปรึกษานายกรัฐมนตรีในช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจ
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว "เหยียน ปิน" ถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ออกมาเปิดโปงผ่านรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9" เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 ว่า มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ และเกี่ยวพันการรับเหมาก่อสร้างโรงงานยาสูบใน จ.เชียงใหม่มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าปกติ
และบอกอีกว่า "เหยียน ปิน" เป็นบุคคล 2 สัญชาติ เกิดที่มณฑลชานตุง เคยทำงานในคณะงิ้วที่ตำบลเหอหนาน ปัจจุบัน อายุ 51 ปี (ขณะนั้น) เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 30 มีทรัพย์สินรวมถึง 3,500 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 17,500 ล้านบาท
ต่อมาพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมายอมรับว่านายชาญชัยเป็นที่ปรึกษาจริงแต่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ขณะที่นายโภคิน พลกุล ออกมายอมรับด้วยว่าแต่งตั้งนายเหยียน ปิน เป็นที่ปรึกษาด้านต่างประเทศของประธานรัฐสภา
หลังจากนั้นเรื่องราวและความเคลื่อนไหวของ "เหยียน ปิน" ก็เงียบหายไป แต่มีก็มีข้อมูลเชิงลึกว่าเดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง
ในทางธุรกิจนายชาญชัยทำธุรกิจในประเทศไทยถึง 22 บริษัท เปิดดำเนินการปัจจุบัน 9 บริษัท แบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจให้คำปรึกษา ธุรกิจบริการท่องเที่ยวและตัวแทนขายเครื่องดื่มกระทิงแดง(ร่วมกับนายสราวุฒิ อยู่วิทยา อดีตนายทุนพรรคประชาธิปัตย์) รวมทุนจดทะเบียน 1,514 ล้านบาท
แม้ไม่มีกระแสข่าวว่านายชาญชัยสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงมาก่อน แต่ถ้าดูจากคอนเนกชั่นลึก โดยเฉพาะให้ที่พักพิงในประเทศจีนแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว การถูกขึ้นบัญชีดำก็ไม่เหนือความคาดหมาย
ถัดมา นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) และ โบนันซ่ารีสอร์ท และสนามกอลฟ์ในเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีบริษัทในเครือข่าย 20 บริษัท สินทรัพย์หลายพันล้านบาท ในจำนวนนี้ทำธุรกิจร่วมกับนายคฤกพล ยงใจยุทธ บุตรชาย บิ๊กจิ๋วมาตั้งแต่ปี 2529 ในชื่อ บริษัท เพื่อน จำกัด
นายไพวงษ์มีความใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (ซึ่งถูกศอฉ.สั่งระงับการทำธุรกรรมในรอบที่ 2 ) เคยเป็นรองเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ นอกจากนักการเมืองหลายคนเป็นลูกค้าในโบนันซ่า ยังเปิดไร่โบนันซ่าให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ ขณะที่สื่อในเครือข่ายก็เปิดหน้าชกรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างเต็มเหนี่ยว โดยมีบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) ซึ่งในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้งานรับเหมาติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ให้หน่วยงานรัฐมากกว่า 500 ล้านบาท เป็นถุงเงินหลัก
กับ "เจ๊แดง" นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าจำกันได้ในช่วงปี 2547 ที่มีปัญหาถูกฝ่ายค้านโจมตีกรณีถือครองหุ้นหมู่บ้านหรู "ชินณิชาวิลล์" ย่านถนนแจ้งวัฒนะ กลุ่มนายไพวงษ์ได้เข้าไปรับซื้อไว้ ท่ามกลางข้อสงสัยเป็นดีลเป็นกลเกมการเมืองหรือไม่?
เมื่อ "แทงหวยผิด" ก็เลยเจ๊งไปตามระเบียบ
เสี่ยเป้า นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของธุรกิจผลิตทองแดงหมื่นล้าน มีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งการเมืองและธุรกิจ
นอกจากเป็นเพื่อนก๊วนกอล์ฟกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หนุ่มกึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ บุตรชาย ทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือร่วมกับ โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร และได้รับเก้าอี้รองโฆษกรัฐบาลในยุคนายสมัคร สุนทรเวช อีกด้วย
นายสุริยะ จึงรุงเรืองกิจ เจ้าของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์"ซัมมิทกรุ๊ป" หลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ถูกคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) เช็กบิลหลายคดี แต่ทว่ายังไม่มีคดีใดที่นายสุริยะตกเป็นจำเลยในชั้นศาล และในช่วงเคลื่อนไหวล้มของ นปช. นายสุริยะไม่ได้ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ต่างจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลานชายที่ประกาศตัวเป็นนายทุนไพร่อย่างชัดเจน
ขณะที่ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้น 29.9 % น.ส.พินทองทา ชินวัตร 28.9% นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.9% คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 2.8% แม้ทางผู้บริหารแจ้งว่าไม่เคยนำเงินสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่การที่ ศอฉ.ทำหนังสือยืนยันระงับการทำธุรกรรมทางการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในข้อมูลอยู่เหมือนกัน
สำหรับบุคคลอื่นๆ มีนักการเมืองพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับม็อบแดงโดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสาน อาทิ การปรากฏตัวของ นายพงศกร อรรณนพพร อดีต ส.ส.ขอนแก่น นางดวงพร อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น พร้อมๆกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในการปิดถนนหลายครั้งใน จ.ขอนแก่น ทำให้เชื่อมโยงถึงกันได้
กระนั้น ไม่มีชื่อนักการเมืองตระกูลฉายแสงอย่างนายจาตุรนต์ และนางฐิติมา โดยเฉพาะรายหลังเคลื่อนไหวดุเดือดเดือด แม้กระทั่งบางคนใน จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย ทำให้เห็นถึงข้อสังเกตด้วยเหมือนกัน
ประกอบกับมีเสียงร้องเรียนว่า คำสั่ง "แช่แข็ง" เกิดขึ้นในห่วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย โดยฝ่ายหลังมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ซึ่งถูกแบล็คลิสต์) เป็นแบ็คอัพ เป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของฝ่ายตรงข้ามไปในตัว
ถ้าเป็นอย่างนั้นคงโดนเชือดกันค่อนพรรค
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากผู้ลงนามคำสั่งระงับการทำธุรกรรม ซึ่งเซ็นโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงที่ผ่านมามีความระมัดระวังในการใช้กำลังจัดการกับกลุ่มเสื้อแดงจนถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่า "หน่อมแน้ม" หรือ "ทหารแตงโม" เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวอยู่ในรายชื่อถูกระงับการทำธุรกรรมชนิดยกโขยง
ย่อมแสดงให้เห็นว่า "บิ๊กป๊อก" ไม่อาจปฏิเสธข้อมูลจากการตรวจสอบของสำนักป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ชงขึ้นไปได้
จึงเป็นที่มาของการตัดธุรกรรม น้ำเลี้ยงของกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 145 ราย
ถึงที่สุดเป็นไปว่างานนี้คงได้แค่ "ปราม" ?
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
........................................................
เป็นหัวข้อวิพากษ์วิจารณ์กันไม่น้อย กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมทางการเงินของนักการเมืองและนักธุรกิจ 3 ครั้งกว่า 145 ราย ในจำนวนนี้มีบริษัท เอสซีแอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดจนนักธุรกิจดังหลายคน อาทิ นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เลขาธิการพรรคไทยรักไทย นายประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย นายชาญชัย รวยรุ่งเรือง หรือ เหยียน ปิน นักธุรกิจ 2 สัญชาติ ฯลฯ
ประเด็นสงสัยก็คือ คำสั่งแช่แข็งทางการเงินดังกล่าวมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่?
เพราะมีเสียงร่ำลือถึงขนาดที่ว่า มีการทะเลาะกันในที่ประชุม ระหว่าง "บุคคลในรัฐบาล" กับ "ทหาร" ก่อนมีคำสั่งระงับการทำธุรกรรมในครั้งที่ 3
ฉะนั้น ก่อนตอบข้อสังสัย ต้องมาดูบทบาท คอนเนกชัน ของกลุ่มบุคคลดังกล่าวเสียก่อน
เริ่มจาก "เหยียน ปิน" หรือ นายชาญชัย เป็นเพื่อนรักของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับแต่งตั้งเป็นประธานสาขาพรรคไทยรักไทยในประเทศจีน และเป็นปรึกษานายกรัฐมนตรีในช่วง พ.ต.ท.ทักษิณ เรืองอำนาจ
เมื่อ 5 ปีที่แล้ว "เหยียน ปิน" ถูกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ออกมาเปิดโปงผ่านรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ครั้งที่ 9" เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2548 ว่า มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมหลายประการ และเกี่ยวพันการรับเหมาก่อสร้างโรงงานยาสูบใน จ.เชียงใหม่มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าปกติ
และบอกอีกว่า "เหยียน ปิน" เป็นบุคคล 2 สัญชาติ เกิดที่มณฑลชานตุง เคยทำงานในคณะงิ้วที่ตำบลเหอหนาน ปัจจุบัน อายุ 51 ปี (ขณะนั้น) เป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 30 มีทรัพย์สินรวมถึง 3,500 ล้านหยวน หรือ ประมาณ 17,500 ล้านบาท
ต่อมาพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกมายอมรับว่านายชาญชัยเป็นที่ปรึกษาจริงแต่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ขณะที่นายโภคิน พลกุล ออกมายอมรับด้วยว่าแต่งตั้งนายเหยียน ปิน เป็นที่ปรึกษาด้านต่างประเทศของประธานรัฐสภา
หลังจากนั้นเรื่องราวและความเคลื่อนไหวของ "เหยียน ปิน" ก็เงียบหายไป แต่มีก็มีข้อมูลเชิงลึกว่าเดินทางเข้าออกประเทศไทยหลายครั้ง
ในทางธุรกิจนายชาญชัยทำธุรกิจในประเทศไทยถึง 22 บริษัท เปิดดำเนินการปัจจุบัน 9 บริษัท แบ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจให้คำปรึกษา ธุรกิจบริการท่องเที่ยวและตัวแทนขายเครื่องดื่มกระทิงแดง(ร่วมกับนายสราวุฒิ อยู่วิทยา อดีตนายทุนพรรคประชาธิปัตย์) รวมทุนจดทะเบียน 1,514 ล้านบาท
แม้ไม่มีกระแสข่าวว่านายชาญชัยสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงมาก่อน แต่ถ้าดูจากคอนเนกชั่นลึก โดยเฉพาะให้ที่พักพิงในประเทศจีนแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว การถูกขึ้นบัญชีดำก็ไม่เหนือความคาดหมาย
ถัดมา นายไพวงษ์ เตชะณรงค์ เจ้าของบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) และ โบนันซ่ารีสอร์ท และสนามกอลฟ์ในเขาใหญ่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา มีบริษัทในเครือข่าย 20 บริษัท สินทรัพย์หลายพันล้านบาท ในจำนวนนี้ทำธุรกิจร่วมกับนายคฤกพล ยงใจยุทธ บุตรชาย บิ๊กจิ๋วมาตั้งแต่ปี 2529 ในชื่อ บริษัท เพื่อน จำกัด
นายไพวงษ์มีความใกล้ชิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ (ซึ่งถูกศอฉ.สั่งระงับการทำธุรกรรมในรอบที่ 2 ) เคยเป็นรองเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ นอกจากนักการเมืองหลายคนเป็นลูกค้าในโบนันซ่า ยังเปิดไร่โบนันซ่าให้กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปจัดกิจกรรมเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่ ขณะที่สื่อในเครือข่ายก็เปิดหน้าชกรัฐบาลประชาธิปัตย์อย่างเต็มเหนี่ยว โดยมีบริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) ซึ่งในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ได้งานรับเหมาติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์ให้หน่วยงานรัฐมากกว่า 500 ล้านบาท เป็นถุงเงินหลัก
กับ "เจ๊แดง" นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าจำกันได้ในช่วงปี 2547 ที่มีปัญหาถูกฝ่ายค้านโจมตีกรณีถือครองหุ้นหมู่บ้านหรู "ชินณิชาวิลล์" ย่านถนนแจ้งวัฒนะ กลุ่มนายไพวงษ์ได้เข้าไปรับซื้อไว้ ท่ามกลางข้อสงสัยเป็นดีลเป็นกลเกมการเมืองหรือไม่?
เมื่อ "แทงหวยผิด" ก็เลยเจ๊งไปตามระเบียบ
เสี่ยเป้า นายประยุทธ มหากิจศิริ เจ้าของธุรกิจผลิตทองแดงหมื่นล้าน มีความสัมพันธ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งการเมืองและธุรกิจ
นอกจากเป็นเพื่อนก๊วนกอล์ฟกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หนุ่มกึ้ง-เฉลิมชัย มหากิจศิริ บุตรชาย ทำธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือร่วมกับ โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร และได้รับเก้าอี้รองโฆษกรัฐบาลในยุคนายสมัคร สุนทรเวช อีกด้วย
นายสุริยะ จึงรุงเรืองกิจ เจ้าของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์"ซัมมิทกรุ๊ป" หลังรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ถูกคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สิน (คตส.) เช็กบิลหลายคดี แต่ทว่ายังไม่มีคดีใดที่นายสุริยะตกเป็นจำเลยในชั้นศาล และในช่วงเคลื่อนไหวล้มของ นปช. นายสุริยะไม่ได้ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผย ต่างจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หลานชายที่ประกาศตัวเป็นนายทุนไพร่อย่างชัดเจน
ขณะที่ บมจ. เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีน.ส.แพทองธาร ชินวัตร ถือหุ้น 29.9 % น.ส.พินทองทา ชินวัตร 28.9% นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.9% คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ 2.8% แม้ทางผู้บริหารแจ้งว่าไม่เคยนำเงินสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่การที่ ศอฉ.ทำหนังสือยืนยันระงับการทำธุรกรรมทางการเงินต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าเชื่อมั่นในข้อมูลอยู่เหมือนกัน
สำหรับบุคคลอื่นๆ มีนักการเมืองพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับม็อบแดงโดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสาน อาทิ การปรากฏตัวของ นายพงศกร อรรณนพพร อดีต ส.ส.ขอนแก่น นางดวงพร อรรณนพพร ส.ส.ขอนแก่น พร้อมๆกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในการปิดถนนหลายครั้งใน จ.ขอนแก่น ทำให้เชื่อมโยงถึงกันได้
กระนั้น ไม่มีชื่อนักการเมืองตระกูลฉายแสงอย่างนายจาตุรนต์ และนางฐิติมา โดยเฉพาะรายหลังเคลื่อนไหวดุเดือดเดือด แม้กระทั่งบางคนใน จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย ทำให้เห็นถึงข้อสังเกตด้วยเหมือนกัน
ประกอบกับมีเสียงร้องเรียนว่า คำสั่ง "แช่แข็ง" เกิดขึ้นในห่วงก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย โดยฝ่ายหลังมีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (ซึ่งถูกแบล็คลิสต์) เป็นแบ็คอัพ เป็นการตัดท่อน้ำเลี้ยงของฝ่ายตรงข้ามไปในตัว
ถ้าเป็นอย่างนั้นคงโดนเชือดกันค่อนพรรค
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากผู้ลงนามคำสั่งระงับการทำธุรกรรม ซึ่งเซ็นโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในช่วงที่ผ่านมามีความระมัดระวังในการใช้กำลังจัดการกับกลุ่มเสื้อแดงจนถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่า "หน่อมแน้ม" หรือ "ทหารแตงโม" เป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนเตรียมทหารกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวอยู่ในรายชื่อถูกระงับการทำธุรกรรมชนิดยกโขยง
ย่อมแสดงให้เห็นว่า "บิ๊กป๊อก" ไม่อาจปฏิเสธข้อมูลจากการตรวจสอบของสำนักป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ชงขึ้นไปได้
จึงเป็นที่มาของการตัดธุรกรรม น้ำเลี้ยงของกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 145 ราย
ถึงที่สุดเป็นไปว่างานนี้คงได้แค่ "ปราม" ?
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
........................................................
ศาลวินิจฉัยยืนไล่ออก“วีรพล”ทุจริตเช่าซื้อคอมพ
ศาลปกครอง : ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยยืนไล่ออก “วีรพล” ทุจริตเช่าซื้อคอมพิวเตอร์กรมประชาสัมพันธ์ ระบุการไต่สวนของ ป.ป.ช. ชอบด้วยกฎหมาย และคำอุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่มีนายนพดล เฮงเจริญ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น เห็นว่าคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลับที่ 200/2546 ลงวันที่ 10 ก.ย. 2546 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายกรัฐมนตรีที่สั่งลงโทษปลดนายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกจากราชการกรณีทุจริตโครงการประมูลเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนควบในปีงบประมาณ 2542 ของกรมประชาสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายวีรพลได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ตนเองมาฟ้องคดี เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคำสั่งลงโทษต่างๆไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขอให้มีศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอนมติ ป.ป.ช. ที่วินิจฉัยว่าตนกระทำผิดวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง รวมทั้งขอให้สั่งให้สำนักนายกรัฐมนตรีเพิกถอนคำสั่งลงโทษทั้งปวง รวมถึงคำสั่งที่ 200/2546 ลงวันที่ 10 ก.ย. 2546 ที่ปลดตนออกจากราชการ และให้สั่งให้สำนักนายกรัฐมนตรีรับตนกลับเข้ารับราชการ
สำหรับเหตุที่ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องกับคำสั่งของศาลปกครองกลางระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงอำนาจและกระบวนการไต่สวนวินิจฉัยคดีของ ป.ป.ช. เห็นว่า ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวที่มีการร้องเรียนตามบทบัญญัติ 301 ของรัฐธรรมนูญ 2540 อีกทั้งขั้นตอนและวิธีการสอบสวนของอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ดำเนินการไปตามบทบัญญัติมาตรา 8 และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2542 โดยชอบแล้ว ดังนั้น ที่นายวีรพลอุทธรณ์ว่าสำนวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. เป็นการกล่าวโทษโดยมิได้ให้โอกาสตนเองนำสืบแก้ข้อกล่าวหาจึงไม่อาจรับฟังได้
สำหรับประเด็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงของนายวีรพลนั้น จากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาพิจารณาเบื้องต้น และมีมติให้ยกเลิกการประกวดราคาเพื่อให้มีการประกวดราคาใหม่ นายวีรพลได้เรียกคณะกรรมการมาประชุมที่ห้องทำงานของตนเอง และขอให้ทบทวนข้อเสนอที่ให้ยกเลิกการประกวดราคา เพื่อให้มีทางเลือกที่จะเสนออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เช่น อาจเสนอให้เป็นไปตามเดิมคือ เห็นควรให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่คัดค้าน มีเพียง น.ส.กนกพร ณ พิกุล ไม่เห็นด้วยและบอกจะไม่ลงนาม จากนั้นนายวีรพลได้ให้เจ้าหน้าที่แก้ไขข้อความจากเดิมที่จะเสนอให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ยกเลิกการประกวดราคาเป็นขออนุมัติให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วนำเอกสารหน้าที่มีลายมือชื่อกรรมการทั้ง 5 คนมาประกอบ ก่อนเสนออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ลงนาม
การแก้ไขข้อความในบันทึกโดยไม่ได้ให้กรรมการตรวจสอบใหม่จึงไม่ถูกต้อง ประกอบกับปรากฏชัดแจ้งว่า น.ส.กนกพรไม่เห็นด้วย แต่นายวีรพลยังนำชื่อของบุคคลดังกล่าวไปประกอบในบันทึก พฤติการณ์ของนายวีรพลจึงมีลักษณะไม่โปร่งใส ส่อไปในทางทุจริต แสดงให้เห็นว่าจงใจหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนทางราชการ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ลงโทษปลดไล่นายวีรพลออกจากราชการจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายวีรพลเห็นควรให้ลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการ คำวินิจฉัยของนายกฯก็ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน คำอุทธรณ์ของนายวีรพลจึงฟังไม่ขึ้น ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายืน
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
องค์คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่มีนายนพดล เฮงเจริญ ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นตุลาการเจ้าของสำนวนมีคำพิพากษายืนตามศาลปกครองชั้นต้น เห็นว่าคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ลับที่ 200/2546 ลงวันที่ 10 ก.ย. 2546 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายกรัฐมนตรีที่สั่งลงโทษปลดนายวีรพล ดวงสูงเนิน อดีตรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ออกจากราชการกรณีทุจริตโครงการประมูลเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ส่วนควบในปีงบประมาณ 2542 ของกรมประชาสัมพันธ์ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ คดีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายวีรพลได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลปกครองกลางที่ตนเองมาฟ้องคดี เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคำสั่งลงโทษต่างๆไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยขอให้มีศาลปกครองมีคำสั่งเพิกถอนมติ ป.ป.ช. ที่วินิจฉัยว่าตนกระทำผิดวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง รวมทั้งขอให้สั่งให้สำนักนายกรัฐมนตรีเพิกถอนคำสั่งลงโทษทั้งปวง รวมถึงคำสั่งที่ 200/2546 ลงวันที่ 10 ก.ย. 2546 ที่ปลดตนออกจากราชการ และให้สั่งให้สำนักนายกรัฐมนตรีรับตนกลับเข้ารับราชการ
สำหรับเหตุที่ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องกับคำสั่งของศาลปกครองกลางระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงอำนาจและกระบวนการไต่สวนวินิจฉัยคดีของ ป.ป.ช. เห็นว่า ป.ป.ช. มีอำนาจในการไต่สวนและวินิจฉัยเรื่องดังกล่าวที่มีการร้องเรียนตามบทบัญญัติ 301 ของรัฐธรรมนูญ 2540 อีกทั้งขั้นตอนและวิธีการสอบสวนของอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ดำเนินการไปตามบทบัญญัติมาตรา 8 และมาตรา 92 วรรคหนึ่ง แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช. 2542 โดยชอบแล้ว ดังนั้น ที่นายวีรพลอุทธรณ์ว่าสำนวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. เป็นการกล่าวโทษโดยมิได้ให้โอกาสตนเองนำสืบแก้ข้อกล่าวหาจึงไม่อาจรับฟังได้
สำหรับประเด็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงของนายวีรพลนั้น จากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเมื่อคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาพิจารณาเบื้องต้น และมีมติให้ยกเลิกการประกวดราคาเพื่อให้มีการประกวดราคาใหม่ นายวีรพลได้เรียกคณะกรรมการมาประชุมที่ห้องทำงานของตนเอง และขอให้ทบทวนข้อเสนอที่ให้ยกเลิกการประกวดราคา เพื่อให้มีทางเลือกที่จะเสนออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เช่น อาจเสนอให้เป็นไปตามเดิมคือ เห็นควรให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยคณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่คัดค้าน มีเพียง น.ส.กนกพร ณ พิกุล ไม่เห็นด้วยและบอกจะไม่ลงนาม จากนั้นนายวีรพลได้ให้เจ้าหน้าที่แก้ไขข้อความจากเดิมที่จะเสนอให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ยกเลิกการประกวดราคาเป็นขออนุมัติให้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์ แล้วนำเอกสารหน้าที่มีลายมือชื่อกรรมการทั้ง 5 คนมาประกอบ ก่อนเสนออธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ลงนาม
การแก้ไขข้อความในบันทึกโดยไม่ได้ให้กรรมการตรวจสอบใหม่จึงไม่ถูกต้อง ประกอบกับปรากฏชัดแจ้งว่า น.ส.กนกพรไม่เห็นด้วย แต่นายวีรพลยังนำชื่อของบุคคลดังกล่าวไปประกอบในบันทึก พฤติการณ์ของนายวีรพลจึงมีลักษณะไม่โปร่งใส ส่อไปในทางทุจริต แสดงให้เห็นว่าจงใจหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนทางราชการ คำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่ลงโทษปลดไล่นายวีรพลออกจากราชการจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว แต่เมื่อนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์ของนายวีรพลเห็นควรให้ลดโทษจากไล่ออกเป็นปลดออกจากราชการ คำวินิจฉัยของนายกฯก็ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน คำอุทธรณ์ของนายวีรพลจึงฟังไม่ขึ้น ศาลปกครองสูงสุดจึงพิพากษายืน
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
เลวยกกำลังสอง
โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นมะเร็งร้ายของบ้านเมือง เพราะทำให้บ้านเมืองไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังก่อปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย หากไม่สามารถแก้ปัญหาหรือกำจัดการทุจริตคอร์รัปชันได้ คนชั่วก็จะปกครองบ้านเมือง
ไม่ว่าจะเป็นในระบบราชการ ฝ่ายการเมือง หรือภาคประชาชน จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เพราะการทุจริตคอร์รัปชันจะเกิดไม่ได้หากไม่มีผู้ให้และผู้รับ
ที่น่าวิตกอย่างยิ่งคือไม่เพียงสังคมไทยทุกวันนี้จะมองปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องปรกติแล้ว ยังไม่ร่วมกันแก้ปัญหาอีกด้วย ปล่อยให้คนชั่วลอยตัวแล้วยังเชิดชูยกย่องอีก
วิกฤตบ้านเมืองจึงเกิดขึ้นทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงระดับท้องถิ่น ไม่ว่าผู้นำแต่ละระดับจะรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นความบกพร่องและความหายนะที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะนักการเมืองที่ถูกมองเหมือนพาหะนำโรคที่ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็จะมีแต่ข่าวทุจริตคอร์รัปชัน แต่แทบไม่เคยมีการเอาผิดหรือลงโทษคนชั่วเหล่านี้ได้เลย เพราะคำว่าไม่มีหลักฐานหรือใบเสร็จชัดเจนก็ไม่อาจเอาผิดได้ ทั้งที่เห็นว่านักการเมืองเหล่านั้นประพฤติชั่วชัดเจน หรือส่อว่าประพฤติชั่ว
อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยจะเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายค้านไม่เคยชนะฝ่ายรัฐบาลได้เลย เพราะใช้เสียงข้างมากเป็นตัวตัดสิน แม้ว่ารัฐบาลที่ถูกอภิปรายจะไม่สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้อย่างชัดเจนก็ตาม
แม้ผู้นำรัฐบาลจะไม่ได้ทุจริตคอร์รัปชัน แต่หากเพิกเฉยหรือปกป้องรัฐมนตรีที่ทุจริตคอร์รัปชัน ก็ต้องถือว่าผู้นำรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันหรือชั่วเช่นกัน แต่ผู้นำหรือผู้ปกครองต้องถือว่าชั่วกว่า หรือชั่วยกกำลังสอง
เพราะเสียงข้างมากในระบบนิติรัฐไม่ได้ประทับตราว่านักการเมืองหรือบุคคลนั้นจะเป็นคนดีหรือซื่อสัตย์เสมอไป
เช่นเดียวกับบุคคลใดก็ตามที่ฆ่าคนตาย หากไม่ใช่ในสงครามหรือเป็นการทำหน้าที่ในทางกฎหมายหรือนิติรัฐ ก็ถือว่ามีความผิดฐานฆ่าคน และหากมีคนจ้างวานหรือคนสั่ง คนจ้างวานหรือคนสั่งก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายเช่นกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีตำแหน่งหน้าที่ใด
ดังนั้น หากสังคมไทยยังเป็นลักษณะหัวมงกุฎท้ายมังกรบ้านเมืองก็มีแต่หายนะและล่มจมแน่นอน
เพราะคนชั่วไม่เคยคิดว่าตัวเองชั่วหรือคิดว่าตัวเองผิด คนชั่วจึงต้องพยายามเข้ามามีอำนาจหรือให้การสนับสนุนผู้มีอำนาจ
**********************************************************************
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันถือเป็นมะเร็งร้ายของบ้านเมือง เพราะทำให้บ้านเมืองไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้าได้อย่างเต็มที่แล้ว ยังก่อปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย หากไม่สามารถแก้ปัญหาหรือกำจัดการทุจริตคอร์รัปชันได้ คนชั่วก็จะปกครองบ้านเมือง
ไม่ว่าจะเป็นในระบบราชการ ฝ่ายการเมือง หรือภาคประชาชน จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา เพราะการทุจริตคอร์รัปชันจะเกิดไม่ได้หากไม่มีผู้ให้และผู้รับ
ที่น่าวิตกอย่างยิ่งคือไม่เพียงสังคมไทยทุกวันนี้จะมองปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องปรกติแล้ว ยังไม่ร่วมกันแก้ปัญหาอีกด้วย ปล่อยให้คนชั่วลอยตัวแล้วยังเชิดชูยกย่องอีก
วิกฤตบ้านเมืองจึงเกิดขึ้นทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประเทศไปจนถึงระดับท้องถิ่น ไม่ว่าผู้นำแต่ละระดับจะรู้เห็นหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นความบกพร่องและความหายนะที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยมาอย่างยาวนาน
โดยเฉพาะนักการเมืองที่ถูกมองเหมือนพาหะนำโรคที่ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็จะมีแต่ข่าวทุจริตคอร์รัปชัน แต่แทบไม่เคยมีการเอาผิดหรือลงโทษคนชั่วเหล่านี้ได้เลย เพราะคำว่าไม่มีหลักฐานหรือใบเสร็จชัดเจนก็ไม่อาจเอาผิดได้ ทั้งที่เห็นว่านักการเมืองเหล่านั้นประพฤติชั่วชัดเจน หรือส่อว่าประพฤติชั่ว
อย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลและรัฐมนตรีทุกยุคทุกสมัยจะเห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายค้านไม่เคยชนะฝ่ายรัฐบาลได้เลย เพราะใช้เสียงข้างมากเป็นตัวตัดสิน แม้ว่ารัฐบาลที่ถูกอภิปรายจะไม่สามารถชี้แจงข้อกล่าวหาได้อย่างชัดเจนก็ตาม
แม้ผู้นำรัฐบาลจะไม่ได้ทุจริตคอร์รัปชัน แต่หากเพิกเฉยหรือปกป้องรัฐมนตรีที่ทุจริตคอร์รัปชัน ก็ต้องถือว่าผู้นำรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันหรือชั่วเช่นกัน แต่ผู้นำหรือผู้ปกครองต้องถือว่าชั่วกว่า หรือชั่วยกกำลังสอง
เพราะเสียงข้างมากในระบบนิติรัฐไม่ได้ประทับตราว่านักการเมืองหรือบุคคลนั้นจะเป็นคนดีหรือซื่อสัตย์เสมอไป
เช่นเดียวกับบุคคลใดก็ตามที่ฆ่าคนตาย หากไม่ใช่ในสงครามหรือเป็นการทำหน้าที่ในทางกฎหมายหรือนิติรัฐ ก็ถือว่ามีความผิดฐานฆ่าคน และหากมีคนจ้างวานหรือคนสั่ง คนจ้างวานหรือคนสั่งก็มีความผิดฐานฆ่าคนตายเช่นกัน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีตำแหน่งหน้าที่ใด
ดังนั้น หากสังคมไทยยังเป็นลักษณะหัวมงกุฎท้ายมังกรบ้านเมืองก็มีแต่หายนะและล่มจมแน่นอน
เพราะคนชั่วไม่เคยคิดว่าตัวเองชั่วหรือคิดว่าตัวเองผิด คนชั่วจึงต้องพยายามเข้ามามีอำนาจหรือให้การสนับสนุนผู้มีอำนาจ
**********************************************************************
รายงานจาก3จังหวัด:ว่าด้วย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก่อการร้าย และปริศนาการตายของ “สุไลมาน แนซา”
ถึงวันนี้คำว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ” ซึ่งหมายถึงพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กลายเป็นคำคุ้นหูและติดปากคนไทยไปเสียแล้ว เพราะมีถึง 24 จังหวัดทั่วประเทศที่รัฐบาลประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายฉบับนี้ ไม่นับรวมสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ประกาศมาก่อนล่วงหน้าถึง 5 ปี
การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ใน 24 จังหวัดทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ และอีสาน นำไปสู่การจับและประกาศจับบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ (บาล) ทั้งแนวคิดและการกระทำ กระทั่งคลี่คลายเป็นหมายจับในข้อหา “ก่อการร้าย”
ขณะที่สถานการณ์ฉุกเฉินที่ชายแดนภาคใต้ เป็นการใช้อำนาจผ่านชุดความคิดความเข้าใจของรัฐต่อขบวนการที่ว่าคนเหล่านั้น มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐไทย โดยไล่เรียงมาตั้งแต่ “แผนปฎิบัต ิการ 7 ขั้น” ของกลุ่มองค์กรที่รัฐเชื่อว่าเป็น "บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต" โดยเรียกขานกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "กลุ่ม ก่อความไม่สงบ" หรือ "กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง"
แต่ไม่ว่าจะเป็นการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดต่างๆ หรือที่ชายแดนใต้ ผลของมันดูจะไม่ต่างกัน คือการมุ่งจับกุมบุคคลที่มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ (บาล) เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ซักถาม สอบเค้น และมีบุคคลทั้งที่เป็น “ตัวจริง” และ “ไม่รู้อิโหน่อิเหน่” ต้องสิ้นอิสรภาพ
ทว่าที่ชายแดนใต้ ณ วันนี้ดูจะรุดหน้าไปกว่าจังหวัดอื่นๆ เพราะมีการตายเกิดขึ้นระหว่างการคุม ขังผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว ซ้ำยังเป็นการตายถึงใน "ค่ายทหาร" อย่างค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ด้วย
เขาคือ นายสุไลมาน แนซา เด็กหนุ่มวัย 25 ปี
สุไลมานถูกพบกลายเป็นศพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ค.2553 ในสภาพมีผ้าขนหนูผูกคอติดกับเหล็กดัดหน้าต่าง ในห้องควบคุมตัวภายในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงยุทธบริหาร จากการชันสูตรศพเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ สรุปว่าสุไลมานฆ่าตัวตายเอง โดยใช้ผ้าเช็ดตัวที่ญาติฝากมาให้ใช้เป็นอุปกรณ์ในการปลิดชีพ ซึ่งได้สร้างความสงสัยและความคลางแคลงให้กับบรรดาญาติพี่น้องและองค์กรภาค ประชาสังคมในพื้นที่ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง
หลังจากเพื่อนพ้องกลุ่มสื่อทางเลือกในพื้นที่ได้เก็บภาพการเสียชีวิตของสุไล มานและส่งกระจายไปทั่ว ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตอย่าง “ไม่แน่ใจ” และ “ไม่เชื่อ” ว่าสุไลมานฆ่าตัวตายเอง เช่น ศพมีรอยช้ำหลายจุด ลิ้นของสุไลมานก็ไม่ได้จุกปากเหมือนคนที่ผูกคอตาย ที่อวัยวะเพศมีคราบเลือด ที่คอและต้นขามีร่องรอยบางอย่าง และที่สำคัญคือขาของนายสุไลมานติดพื้น ไม่ได้ลอยเหนือพื้นอย่างที่น่าจะเป็น
ยิ่งไปกว่านั้น การฆ่าตัวตายของคนมุสลิมถือว่าเป็นการ “บาป ใหญ่” และจะไม่ได้กลิ่นอายของสรวงสวรรค์ตามความเชื่อทางศาสนา น่าสังเกตว่า หากสุไลมานเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ (ญิฮาด) ที่ยอมทุ่มเทพลังกายและพลังใจให้กับขบวนการถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตของตนเอง เพื่อความเป็นธรรม (ในสายตาของขบวนการ) ก็ยิ่งทำให้เหตุผลของการฆ่าตัวตายแทบจะไม่มีเลย
เพราะหลักการที่เชื่อกันของขบวนการฮิญาดทั่วโลก ถือว่าการตายจากการกระทำของฝ่ายศัตรูย่อมเป็นส่วนหนึ่งของการตายในหนทาง ศาสนา (ชาฮีด)
ด้วยเหตุนี้ในทัศนะของหลายคนๆ ในพื้นที่จึงยังไม่ตัดทิ้งประเด็นเรื่อง "การซ้อมทรมาน" ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว กรณีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ การเสียชีวิตของ อิหม่ามยะผา กาเซ็ง (มี.ค.2551) อิหม่ามประจำมัสยิดบ้านกอตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ที่เจ้าหน้าที่อ้างในเบื้องต้นว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว แต่ภายหลังผลชันสูตรทางการแพทย์ก็ชัดเจนว่า อิหม่ามยะผาถูกทำร้ายจนตาย
หากมองสาเหตุการฆ่าตัวตายของสุไลมาน ผ่านทฤษฎีของ อี มิล เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ทำการศึกษาเรื่องการฆ่าตัวตาย จะพบว่า เดอร์ไคม์เชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นผลจากสาเหตุรวม ไม่ใช่สาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว แต่ทั้งหมดมีสาเหตุหนึ่งที่เหมือนกัน คือความรู้สึกเป็นคนแปลกถิ่น เป็นคนนอกสังคม และความรู้สึกเป็นคนละพวกกับคนกลุ่มใหญ่
เดอร์ไคม์ แบ่งการฆ่าตัวยตายออกเป็น 3 กลุ่ม กล่าวคือ
1. Egoistic Suicide หมายถึงการฆ่าตัวตายที่เกิดจากบุคคลรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ สังคม เป็นคนนอกกลุ่ม มีความสัมพันธ์และผูกพันกับคนในสังคมน้อย เป็นผู้ที่ถูกตัดขาดจากกลุ่ม
2. Altruistic Suicide เป็นการฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก คือจะมีความผูกพันกับกลุ่มมากเกินไปจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถแยกตัวออกจากกลุ่มได้ การฆ่าตัวตายจึงเป็นการเสียสละเพื่อกลุ่มและสังคม เช่น การอดอาหารประท้วง การระเบิดพลีชีพของนักรบชาวตอลีบัน หรือซามูไรที่ทำฮาราคีรี เป็นต้น
3. Anomic Suicide หมายถึงการฆ่าตัวตายที่เกิดจากการตัดขาดจากกลุ่มที่ตนเองอยู่ร่วมด้วย มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอ่อนแอลง เช่น นักธุรกิจผู้เคยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเกิดภาวะขาดทุน ทำให้สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมตกต่ำ เขาจึงแยกและถอนตัวออกจากกลุ่มหรือสังคมเดิม แล้วการฆ่าตัวตายจะเกิดภายหลังการแยกตัว
คำอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดการฆ่าตัวตายของ อีมิล เดอร์ไคม์ หากพิจารณาเทียบกับกรณีของสุไลมานแล้ว จะพบข้อมูลที่ลักลั่นพอสมควร โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างว่า สุไลมานเป็นแกนนำที่เคลื่อนไหวอยู่ใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เคยร่วมก่อเหตุรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง หากพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าสุไลมานเลือกที่จะตายจริงๆ ก็น่าจะมีสาเหตุตามข้อ 2 ในทฤษฎีของเดอร์ไคม์ คือต้องการตอบสนองทั้งตนเองและศาสนา จึงน่าจะเลือกต่อสู้อย่างถึงที่สุดมากกว่าการยอมให้จับกุม หรือพาเจ้าหน้าที่กลับไปค้นวัตถุพยานในหมู่บ้านของตนเอง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พิจารณาประกอบกับทฤษฎีและข้อมูลต่างๆ จึงชวนให้เราขบคิดและเกิดคำถามที่หนักแน่นขึ้นว่า ทำไมสุไลมานจึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย?
โดย.เอกรินทร์ ต่วนศิริ
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------
การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ใน 24 จังหวัดทั้งภาคกลาง ภาคเหนือ และอีสาน นำไปสู่การจับและประกาศจับบุคคลต้องสงสัยว่าเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ (บาล) ทั้งแนวคิดและการกระทำ กระทั่งคลี่คลายเป็นหมายจับในข้อหา “ก่อการร้าย”
ขณะที่สถานการณ์ฉุกเฉินที่ชายแดนภาคใต้ เป็นการใช้อำนาจผ่านชุดความคิดความเข้าใจของรัฐต่อขบวนการที่ว่าคนเหล่านั้น มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐไทย โดยไล่เรียงมาตั้งแต่ “แผนปฎิบัต ิการ 7 ขั้น” ของกลุ่มองค์กรที่รัฐเชื่อว่าเป็น "บีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต" โดยเรียกขานกลุ่มคนเหล่านี้ว่า "กลุ่ม ก่อความไม่สงบ" หรือ "กลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง"
แต่ไม่ว่าจะเป็นการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในจังหวัดต่างๆ หรือที่ชายแดนใต้ ผลของมันดูจะไม่ต่างกัน คือการมุ่งจับกุมบุคคลที่มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์กับรัฐ (บาล) เพื่อนำเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ซักถาม สอบเค้น และมีบุคคลทั้งที่เป็น “ตัวจริง” และ “ไม่รู้อิโหน่อิเหน่” ต้องสิ้นอิสรภาพ
ทว่าที่ชายแดนใต้ ณ วันนี้ดูจะรุดหน้าไปกว่าจังหวัดอื่นๆ เพราะมีการตายเกิดขึ้นระหว่างการคุม ขังผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้ว ซ้ำยังเป็นการตายถึงใน "ค่ายทหาร" อย่างค่ายอิงคยุทธบริหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ด้วย
เขาคือ นายสุไลมาน แนซา เด็กหนุ่มวัย 25 ปี
สุไลมานถูกพบกลายเป็นศพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พ.ค.2553 ในสภาพมีผ้าขนหนูผูกคอติดกับเหล็กดัดหน้าต่าง ในห้องควบคุมตัวภายในศูนย์เสริมสร้างความสมานฉันท์ ค่ายอิงยุทธบริหาร จากการชันสูตรศพเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ สรุปว่าสุไลมานฆ่าตัวตายเอง โดยใช้ผ้าเช็ดตัวที่ญาติฝากมาให้ใช้เป็นอุปกรณ์ในการปลิดชีพ ซึ่งได้สร้างความสงสัยและความคลางแคลงให้กับบรรดาญาติพี่น้องและองค์กรภาค ประชาสังคมในพื้นที่ที่ติดตามเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง
หลังจากเพื่อนพ้องกลุ่มสื่อทางเลือกในพื้นที่ได้เก็บภาพการเสียชีวิตของสุไล มานและส่งกระจายไปทั่ว ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตอย่าง “ไม่แน่ใจ” และ “ไม่เชื่อ” ว่าสุไลมานฆ่าตัวตายเอง เช่น ศพมีรอยช้ำหลายจุด ลิ้นของสุไลมานก็ไม่ได้จุกปากเหมือนคนที่ผูกคอตาย ที่อวัยวะเพศมีคราบเลือด ที่คอและต้นขามีร่องรอยบางอย่าง และที่สำคัญคือขาของนายสุไลมานติดพื้น ไม่ได้ลอยเหนือพื้นอย่างที่น่าจะเป็น
ยิ่งไปกว่านั้น การฆ่าตัวตายของคนมุสลิมถือว่าเป็นการ “บาป ใหญ่” และจะไม่ได้กลิ่นอายของสรวงสวรรค์ตามความเชื่อทางศาสนา น่าสังเกตว่า หากสุไลมานเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ (ญิฮาด) ที่ยอมทุ่มเทพลังกายและพลังใจให้กับขบวนการถึงขั้นยอมเสี่ยงชีวิตของตนเอง เพื่อความเป็นธรรม (ในสายตาของขบวนการ) ก็ยิ่งทำให้เหตุผลของการฆ่าตัวตายแทบจะไม่มีเลย
เพราะหลักการที่เชื่อกันของขบวนการฮิญาดทั่วโลก ถือว่าการตายจากการกระทำของฝ่ายศัตรูย่อมเป็นส่วนหนึ่งของการตายในหนทาง ศาสนา (ชาฮีด)
ด้วยเหตุนี้ในทัศนะของหลายคนๆ ในพื้นที่จึงยังไม่ตัดทิ้งประเด็นเรื่อง "การซ้อมทรมาน" ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว กรณีตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดคือ การเสียชีวิตของ อิหม่ามยะผา กาเซ็ง (มี.ค.2551) อิหม่ามประจำมัสยิดบ้านกอตอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ที่เจ้าหน้าที่อ้างในเบื้องต้นว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว แต่ภายหลังผลชันสูตรทางการแพทย์ก็ชัดเจนว่า อิหม่ามยะผาถูกทำร้ายจนตาย
หากมองสาเหตุการฆ่าตัวตายของสุไลมาน ผ่านทฤษฎีของ อี มิล เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ทำการศึกษาเรื่องการฆ่าตัวตาย จะพบว่า เดอร์ไคม์เชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นผลจากสาเหตุรวม ไม่ใช่สาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงสาเหตุเดียว แต่ทั้งหมดมีสาเหตุหนึ่งที่เหมือนกัน คือความรู้สึกเป็นคนแปลกถิ่น เป็นคนนอกสังคม และความรู้สึกเป็นคนละพวกกับคนกลุ่มใหญ่
เดอร์ไคม์ แบ่งการฆ่าตัวยตายออกเป็น 3 กลุ่ม กล่าวคือ
1. Egoistic Suicide หมายถึงการฆ่าตัวตายที่เกิดจากบุคคลรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ สังคม เป็นคนนอกกลุ่ม มีความสัมพันธ์และผูกพันกับคนในสังคมน้อย เป็นผู้ที่ถูกตัดขาดจากกลุ่ม
2. Altruistic Suicide เป็นการฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุตรงกันข้ามกับกลุ่มแรก คือจะมีความผูกพันกับกลุ่มมากเกินไปจนขาดความเป็นตัวของตัวเอง ไม่สามารถแยกตัวออกจากกลุ่มได้ การฆ่าตัวตายจึงเป็นการเสียสละเพื่อกลุ่มและสังคม เช่น การอดอาหารประท้วง การระเบิดพลีชีพของนักรบชาวตอลีบัน หรือซามูไรที่ทำฮาราคีรี เป็นต้น
3. Anomic Suicide หมายถึงการฆ่าตัวตายที่เกิดจากการตัดขาดจากกลุ่มที่ตนเองอยู่ร่วมด้วย มีความสัมพันธ์กับกลุ่มอ่อนแอลง เช่น นักธุรกิจผู้เคยประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเกิดภาวะขาดทุน ทำให้สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมตกต่ำ เขาจึงแยกและถอนตัวออกจากกลุ่มหรือสังคมเดิม แล้วการฆ่าตัวตายจะเกิดภายหลังการแยกตัว
คำอธิบายเกี่ยวกับแนวคิดการฆ่าตัวตายของ อีมิล เดอร์ไคม์ หากพิจารณาเทียบกับกรณีของสุไลมานแล้ว จะพบข้อมูลที่ลักลั่นพอสมควร โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอ้างว่า สุไลมานเป็นแกนนำที่เคลื่อนไหวอยู่ใน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เคยร่วมก่อเหตุรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง หากพิจารณาจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวนี้ ถ้าสุไลมานเลือกที่จะตายจริงๆ ก็น่าจะมีสาเหตุตามข้อ 2 ในทฤษฎีของเดอร์ไคม์ คือต้องการตอบสนองทั้งตนเองและศาสนา จึงน่าจะเลือกต่อสู้อย่างถึงที่สุดมากกว่าการยอมให้จับกุม หรือพาเจ้าหน้าที่กลับไปค้นวัตถุพยานในหมู่บ้านของตนเอง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พิจารณาประกอบกับทฤษฎีและข้อมูลต่างๆ จึงชวนให้เราขบคิดและเกิดคำถามที่หนักแน่นขึ้นว่า ทำไมสุไลมานจึงเลือกที่จะฆ่าตัวตาย?
โดย.เอกรินทร์ ต่วนศิริ
ที่มา.ประชาไท
------------------------------------------------------
ตรวจพบลูก"สุเทพ"3คนครองที่เกาะสมุย7แปลง173ไร่ อธิบดีรอข้อมูลก่อนเคาะตั้งคกก.สอบข้อเท็จจริงหรือไม่
ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ถูกพรรคเพื่อไทยอภิปรายไม่ไว้วางใจ กล่าวหาครอบครองที่ดินเขาแพง 62 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา บริเวณหมู่ 6 ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ผ่านนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชาย โดยมิชอบด้วยกฎหมายว่า จากการตรวจสอบไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย พบว่ามีหลักฐานที่ปรากฏว่าลูกชายและลูกสาวของนายสุเทพ 3 คน คือ นายแทน, น.ส.น้ำตาล และ น.ส.น้ำทิพย์ ถือครองที่ดินบนเกาะสมุยรวมพื้นที่ 173 ไร่ 1 งาน 50.8 ตารางวา
ในเอกสารระบุว่า นายแทนถือครองเอกสารซึ่งเป็นโฉนดที่ดินคนเดียว 5 แปลง รวมพื้นที่ 157 ไร่ 2 งาน 87.6 ตารางวา ส่วนอีก 2 แปลง นายแทนได้ถือครองโฉนดที่ดินร่วมกับน.ส.น้ำตาล และ น.ส.น้ำทิพย์ รวม 15 ไร่ 2 งาน 66.2 ตารางวา โดยที่ดินทั้งหมด 7 แปลง เป็นที่ดินที่มีพื้นที่ติดกัน ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง ต.อ่างทอง และ ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย
นอกจากนั้นข้อมูลจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ยังปรากฏหลักฐานดด้วยว่าที่ดินทั้งหมด 7 แปลง ทำการซื้อ น.ส.3 ก. มาทำการออกโฉนดจำนวน 5 แปลง และซื้อเมื่อเป็นโฉนดที่ดินที่สมบูรณ์แล้ว 2 แปลง ประกอบด้วย 1. ซื้อ น.ส.3 ก. มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28109 เนื้อที่ 62 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2548 ซึ่งพรรคเพื่อไทยนำมาเป็นข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายแทนซื้อมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 ต่อมานายแทนได้แยกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2550 เป็นโฉนดเลขที่ 37345 จำนวน 4 ไร่ 7 ตารางวา มอบให้นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภริยานายสุเทพ ทำให้เหลือเนื้อที่ 58 ไร่ 1 งาน 90ตารางวา
แปลงที่ 2 ซื้อ นส.3 ก.มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28027 เนื้อที่ 30 ไร่ 3 งาน 57.7 ตารางวา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2548 โดยนายแทนซื้อมาจากบริษัท พุนพินลิสซิ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2547 แปลงที่ 3 ซื้อ น.ส.3 ก.มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28028 เนื้อที่ 52 ไร่ 1 งาน 40.1 ตารางวา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 โดยนายแทนซื้อมาจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แปลงที่ 4 ซื้อ น.ส.3 ก.มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28476 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 9.2 ตารางวา เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 โดยนายแทนซื้อมาจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แปลงที่ 5 ซื้อน.ส.3 ก.ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40142 เนื้อที่ 8 ไร่ 0 งาน 497.6 ตารางวา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ซึ่งนายแทนซื้อมาจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2544
แปลงที่ 6 โฉนดที่ดินเลขที่ 36178 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา นายแทน น.ส.น้ำทิพย์และ น.ส.น้ำตาลซื้อมาจากนายสามารถ เรืองศรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2543 ซึ่งนายสามารถ เรืองศรี เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และแปลงที่ 7 โฉนดที่ดินเลขที่ 39941 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 68.2 ตารางวา โดยนายแทน, น.ส.น้ำทิพย์และ น.ส.น้ำตาลซื้อมาจากนางวนิดา วิชัยดิษฐ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2551
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันที่ดินใน อ.เกาะสมุย ซึ่งมีเอกสารปรากฏในสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ระบุว่ามีการออกเอกสารสิทธิไปแล้วทั้งสิ้น 55,028 แปลง รวมเนื้อที่ 97,152 ไร่ 0 งาน 34.3 ตารางวา โดยสามารถจำแนกได้เป็นเอกสารสิทธิประเภท "โฉนดที่ดิน" จำนวน 42,073 แปลง รวมเนื้อที่ 68,877 ไร่ 3 งาน 52.9 ตารางวา เอกสารสิทธิประเภท "น.ส.3 ก." จำนวน 11,057 แปลง รวมเนื้อที่ 21,660 ไร่ 1 งาน 5.1 ตารางวา และเอกสารสิทธิประเภท "น.ส.3" จำนวน 1,898 แปลง รวมเนื้อที่ 6,602 ไร่ 3 งาน 34.3 ตารางวา ในจำนวนที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิไปแล้วนั้น เป็นเอกสารสิทธิของที่ดินที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ 35,370 แปลง หรือคิดเป็นร้อยละ 64.30 และเอกสารสิทธิของที่ดินตั้งอยู่บนพื้นที่เขาถึง 19,658 แปลง หรือร้อยละ 35.7
นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวถึงข้อมูลที่ฝ่ายค้านอภิปรายว่า คงต้องรอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย รวบรวมรายละเอียดและส่งข้อมูลมายังกรมที่ดิน เพื่อจะได้ตรวจสอบอีกครั้งว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หาพบความผิดปกติในการออกโฉนด ตนก็อาจให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่า การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวถือว่าขัดต่อคำสั่งของอดีตอธิบดีกรมที่ดิน ในปี 2541 และ 2542 หรือไม่ นายอนุวัฒน์กล่าวว่า ไม่ได้ขัดคำสั่ง เพราะคำสั่งเดิมระบุว่าให้ออกได้แต่ต้องส่งให้กรมที่ดินตรวจสอบ หากตรวจสอบแล้วไม่พบว่าผิด ก็ถือว่าเป็นการออกโฉนดโดยชอบ ซึ่งเรื่องนี้ดูเผินๆ ก็เหมือนไม่มีอะไร อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ที่ดินจังหวัดตรวจสอบว่าเรื่องนี้เป็นไปตามขั้นตอน และมีการส่งให้กรมที่ดินพิจารณาตามคำสั่งหรือไม่ ซึ่งการรวบรวมข้อมูลส่งมาคงใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน
ที่มา.มติชนออนไลน์
........................................................
ในเอกสารระบุว่า นายแทนถือครองเอกสารซึ่งเป็นโฉนดที่ดินคนเดียว 5 แปลง รวมพื้นที่ 157 ไร่ 2 งาน 87.6 ตารางวา ส่วนอีก 2 แปลง นายแทนได้ถือครองโฉนดที่ดินร่วมกับน.ส.น้ำตาล และ น.ส.น้ำทิพย์ รวม 15 ไร่ 2 งาน 66.2 ตารางวา โดยที่ดินทั้งหมด 7 แปลง เป็นที่ดินที่มีพื้นที่ติดกัน ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง ต.อ่างทอง และ ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย
นอกจากนั้นข้อมูลจากสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ยังปรากฏหลักฐานดด้วยว่าที่ดินทั้งหมด 7 แปลง ทำการซื้อ น.ส.3 ก. มาทำการออกโฉนดจำนวน 5 แปลง และซื้อเมื่อเป็นโฉนดที่ดินที่สมบูรณ์แล้ว 2 แปลง ประกอบด้วย 1. ซื้อ น.ส.3 ก. มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28109 เนื้อที่ 62 ไร่ 1 งาน 97 ตารางวา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2548 ซึ่งพรรคเพื่อไทยนำมาเป็นข้อมูลในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายแทนซื้อมาจากห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.)เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 ต่อมานายแทนได้แยกโฉนดที่ดินเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2550 เป็นโฉนดเลขที่ 37345 จำนวน 4 ไร่ 7 ตารางวา มอบให้นางศรีสกุล พร้อมพันธุ์ ภริยานายสุเทพ ทำให้เหลือเนื้อที่ 58 ไร่ 1 งาน 90ตารางวา
แปลงที่ 2 ซื้อ นส.3 ก.มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28027 เนื้อที่ 30 ไร่ 3 งาน 57.7 ตารางวา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2548 โดยนายแทนซื้อมาจากบริษัท พุนพินลิสซิ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2547 แปลงที่ 3 ซื้อ น.ส.3 ก.มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28028 เนื้อที่ 52 ไร่ 1 งาน 40.1 ตารางวา เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2548 โดยนายแทนซื้อมาจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แปลงที่ 4 ซื้อ น.ส.3 ก.มาออกโฉนดที่ดินเลขที่ 28476 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 9.2 ตารางวา เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 โดยนายแทนซื้อมาจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2544 แปลงที่ 5 ซื้อน.ส.3 ก.ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 40142 เนื้อที่ 8 ไร่ 0 งาน 497.6 ตารางวา เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ซึ่งนายแทนซื้อมาจาก หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2544
แปลงที่ 6 โฉนดที่ดินเลขที่ 36178 เนื้อที่ 7 ไร่ 2 งาน 98 ตารางวา นายแทน น.ส.น้ำทิพย์และ น.ส.น้ำตาลซื้อมาจากนายสามารถ เรืองศรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2543 ซึ่งนายสามารถ เรืองศรี เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และแปลงที่ 7 โฉนดที่ดินเลขที่ 39941 เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 68.2 ตารางวา โดยนายแทน, น.ส.น้ำทิพย์และ น.ส.น้ำตาลซื้อมาจากนางวนิดา วิชัยดิษฐ เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2551
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันที่ดินใน อ.เกาะสมุย ซึ่งมีเอกสารปรากฏในสำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย ระบุว่ามีการออกเอกสารสิทธิไปแล้วทั้งสิ้น 55,028 แปลง รวมเนื้อที่ 97,152 ไร่ 0 งาน 34.3 ตารางวา โดยสามารถจำแนกได้เป็นเอกสารสิทธิประเภท "โฉนดที่ดิน" จำนวน 42,073 แปลง รวมเนื้อที่ 68,877 ไร่ 3 งาน 52.9 ตารางวา เอกสารสิทธิประเภท "น.ส.3 ก." จำนวน 11,057 แปลง รวมเนื้อที่ 21,660 ไร่ 1 งาน 5.1 ตารางวา และเอกสารสิทธิประเภท "น.ส.3" จำนวน 1,898 แปลง รวมเนื้อที่ 6,602 ไร่ 3 งาน 34.3 ตารางวา ในจำนวนที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิไปแล้วนั้น เป็นเอกสารสิทธิของที่ดินที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบ 35,370 แปลง หรือคิดเป็นร้อยละ 64.30 และเอกสารสิทธิของที่ดินตั้งอยู่บนพื้นที่เขาถึง 19,658 แปลง หรือร้อยละ 35.7
นายอนุวัฒน์ เมธีวิบูลวุฒิ อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวถึงข้อมูลที่ฝ่ายค้านอภิปรายว่า คงต้องรอให้สำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี สาขาเกาะสมุย รวบรวมรายละเอียดและส่งข้อมูลมายังกรมที่ดิน เพื่อจะได้ตรวจสอบอีกครั้งว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร หาพบความผิดปกติในการออกโฉนด ตนก็อาจให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
เมื่อถามว่า การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวถือว่าขัดต่อคำสั่งของอดีตอธิบดีกรมที่ดิน ในปี 2541 และ 2542 หรือไม่ นายอนุวัฒน์กล่าวว่า ไม่ได้ขัดคำสั่ง เพราะคำสั่งเดิมระบุว่าให้ออกได้แต่ต้องส่งให้กรมที่ดินตรวจสอบ หากตรวจสอบแล้วไม่พบว่าผิด ก็ถือว่าเป็นการออกโฉนดโดยชอบ ซึ่งเรื่องนี้ดูเผินๆ ก็เหมือนไม่มีอะไร อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการไปแล้วว่าให้ที่ดินจังหวัดตรวจสอบว่าเรื่องนี้เป็นไปตามขั้นตอน และมีการส่งให้กรมที่ดินพิจารณาตามคำสั่งหรือไม่ ซึ่งการรวบรวมข้อมูลส่งมาคงใช้เวลาไม่เกิน 1 เดือน
ที่มา.มติชนออนไลน์
........................................................
วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เสวนาภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน: จี้ยกเลิก "ภาวะฉุกเฉิน" คืนพื้นที่เสรีภาพ
นักวิชาการเมิน "ปฎิรูปประเทศไทย" ที่ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง ภาค ปชช.เตรียมรวบรวมประเด็นละเมิดสิทธิฯ กังขาปราบ "ก่อการร้ายมือเปล่า" นัก กม.ย้ำ "ศาล" ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชนจากอำนาจรัฐ จวกนิติรัฐกลายเป็น "นิติลวง" นศ.เรียกร้อง "อภิสิทธิ์" ลาออกแสดงความรับผิดชอบ สร้างบรรทัดฐาน
กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ และกลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน จัดงานเสวนาเรื่อง “ขอพื้นที่พวกเราคืน” : งานเสวนาว่าด้วยพื้นที่ทางสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ ภายใต้นิติรัฐแห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้อง ศ. 201 คณะศิลปศาสตร์ ชั้น 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ดำเนินรายการโดย ประกีรติ สัตสุต นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิิสัน
จี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คืนพื้นที่เสรีภาพ
เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กลุ่มสันติประชาธรรม กล่าวว่า เมื่อดูสิ่งที่รัฐบาลกระทำต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่เคยพูดว่า "สลายม็อบ" "ล้อมปราบ" "ล้อมฆ่า" แต่พูดในลักษณะ "ขอพื้นที่คืน" "กระชับพื้นที่" "Big Cleaning day" เพื่อตอบโจทย์พื้นที่ทางกายภาพของคนเมือง โดยทำให้เห็นว่าคนที่มาชุมนุมไม่มีตัวตนอยู่ในทางสังคมและทางการเมือง แม้ว่าจะพวกเขาจะชุมนุมจริงอยู่ที่ผ่านฟ้าและแยกราชประสงค์
"มันยุติธรรมแล้วหรือที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ได้พื้นที่ในเชิงกายภาพคืน แต่ในทางกลับกันเราไม่มีพื้นที่ทางเสรีภาพ" เกษมตั้งคำถามและว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้หน้าตาดีกว่ากฎอัยการศึกหรือการประกาศเคอร์ฟิวซึ่งจำกัดพื้นที่ทั้งทางกายภาพและเสรีภาพ เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำกัดพื้นที่ทางเสรีภาพ แต่ให้คนใช้ชีวิตตามปกติผ่านพื้นที่ทางกายภาพ
นอกจากนี้ เกษมกล่าวถึงพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่แสดงออกสิทธิเสรีภาพ สิทธิการเป็นพลเมือง ที่ทุกคนสามารถสร้างวิวาทะทางสังคมต่อกันว่า ช่วงที่ผ่านมามีสองกลุ่มที่ถูกปิดกั้นตลอดเวลา กลุ่มแรก คือกลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาล กลุ่มที่สอง คือพื้นที่ส่วนกลาง ที่พยายามเปิดข้อวิวาทะ นำเสนอข้อคิดเห็นที่หลากหลายและแตกต่าง การปิดกั้นพื้นที่เหล่านี้เป็นการผลักให้เป็นการเมืองขั้วตรงข้าม ถ้าไม่เหลืองก็ต้องแดง ทั้งที่มันมีเฉดจากเหลืองถึงแดง หรือแม้แต่ภายในแดงหรือเหลืองเอง ทุกคนสามารถเห็นด้วยและแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อย อย่างไรก็ตาม เขามองว่า การจัดการแบบนี้บีบให้คนยิ่งพยายามแสดงออก และพยายามหาทางเลือกใหม่ผ่านพื้นที่ต่างๆ เช่น การเขียนข้อความ-วาดภาพตามกำแพง ในที่ชุมนุม หรือกระทั่งบนตัวสุนัข
สิ่งที่สำคัญคือ การคิดพื้นที่ใหม่เพื่อใช้ปะทะกับวาทกรรมของรัฐอย่างการขอพื้นที่ทางกายภาพ การมีพื้นที่ทางสังคมหรือปริมณฑลที่มีความเป็นสาธารณะนั้นสำคัญเพราะเป็นพื้นที่สร้างวิวาทะทางสังคม ให้คนสามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ซึ่งการขอคืนพื้นที่ดังกล่าวนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกยกเลิก
ปฎิรูปประเทศไทย?
นอกจากนี้ เกษมวิจารณ์แนวคิดการปฎิรูปประเทศไทยในภาวะประกาศใช้สภาวะฉุกเฉินด้วยว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยเพราะเป็นการดึงอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยมาสู่เครื่องมือหรือกลไกของรัฐ ที่คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาสนับสนุน โดยเพิกเฉยต่อสิทธิทางพลเมืองของรัฐภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
"เรากำลังถูกผลักออกจากระบอบประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไขประชาธิปไตย" เกษมกล่าวและว่า แนวคิดปฎิรูปประเทศไทยเป็นการกล่าวโทษกลไกประชาธิปไตยแบบตัวแทน กระบวนการเลือกตั้ง โดยพยายามหารูปแบบใหม่ของสิ่งที่เรียกว่า "ประชาธิปไตยทางตรง" "ภาคประชาชน" ซึ่งเขามองว่า ไม่มีจริง เพราะทุกคนต่างเป็นตัวแทนในกระบวนการประชาธิปไตยทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง
ภาค ปชช.รวมประเด็นละเมิดสิทธิฯ กังขาปราบ "ก่อการร้ายมือเปล่า"
ศราวุธ ประทุมราช นักสิทธิมนุษยชนอิสระ ตั้งคำถามถึงการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลจำกัดสิทธิหลายด้าน รวมถึงปิดกั้นการนำเสนอของสื่อมวลชนว่า มีความจำเป็นที่จะต้องทำหรือไม่ โดยเขามองว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 29 ที่ระบุว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญ รับรองไว้จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นเท่านั้นและจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
โดยนอกจากการจำกัดสิทธิในการชุมนุมเกิน 5 คนแล้ว ยังมีการจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง ห้ามเข้าพื้นที่ชุมนุม มีเคอร์ฟิว รวมถึงจำกัดสิทธิในชีวิตและร่างกาย เรียกบุคคลมาให้ข้อมูลโดยห้ามไม่ให้มีทนาย ทั้งที่ยังไม่เป็นผู้ต้องหา การจับกุมผู้ชุมนุมโดยใช้ผ้าผูกตา มัดข้อมือไพล่หลัง และนอนคว่ำกับพื้นคล้ายกรณีตากใบ
รวมถึงกรณีคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ชุมนุม เมื่อสลายชุมนุมจึงเดินออกมา ก็เจอตำรวจกักตัวไว้และส่งฟ้องศาลในสองวัน ศาลพิพากษาว่ามาชุมนุมขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้จำคุกสองปี แต่ไม่เคยทำความผิดจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คำถามคือ ทำถูกต้องไหม ผู้ต้องหาเข้าใจข้อหาไหม นี่เป็นปัญหาทางข้อกฎหมาย
นอกจากนี้ เขาเล่าถึงกรณีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกคุมขังจะครบเจ็ดวันด้วยว่า ตอนแรกมีหมายเรียกมาที่บ้าน เมื่อบริสุทธิ์ใจมารายงานตัว ก็ถูกแจ้งหมายจับ และถูกคุมตัวไว้ โดยเมื่อเขาไปเยี่ยม พบว่า นายสมยศถูกให้นอนในเต๊นท์ ขณะที่บ่ายวันเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปเยี่ยม ปรากฎว่า นายสมยศถูกย้ายไปนอนห้องติดแอร์
ศราวุธ กล่าวว่า ที่เป็นปัญหามาก คือ การใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ โดยอ้างว่ามีผู้ก่อการร้าย ทั้งที่คนที่เสียชีวิต 80 กว่าคนไม่มีอาวุธในมือเลยซึ่งตามปกติถ้ามีการตายโดยเจ้าหน้าที่ ต้องมีการไต่สวนการตายโดยศาล อย่างไรก็ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินระบุให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง อาญา หรือทางวินัย ขณะที่กระทรวงต่างประเทศเองก็ออกประกาศว่าทำตามกฎหมายสากลอย่างโดยเคร่งครัด ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ภาคประชาชนกำลังรวบรวมข้อมูลการปฎิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล เพราะการฆ่ากลางเมืองโดยอ้างการก่อการร้าย แต่จับผู้ก่อการร้ายไม่ได้สักคน แม้จะมีอาวุธมากมาย เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ
ย้ำ "ศาล" ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชนจากอำนาจรัฐ
ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวถึงบทบาทของศาลว่า จะต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐ ศาลไม่อาจสงวนตัวเองไม่ควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินได้ โดยยกตัวอย่างกรณีเว็บประชาไทฟ้องศาลแพ่งให้ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลในการสั่งปิดเว็บ หรือกรณีนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ฟ้องนายกฯ และศอฉ.หมิ่นประมาทจากการระบุว่าเขาอยู่ในผังล้มเจ้าว่าทั้งสองกรณี ศาลไทยไม่รับฟ้อง โดยพิจารณาว่า ในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลมีอำนาจ
เขาตั้งคำถามว่า จะไม่มีอำนาจใดถ่วงดุลรัฐบาลเลยหรือ เมื่อแถลงการณ์ของนักวิชาการเป็นเศษกระดาษ สื่อ-เอ็นจีโอไม่ทำงาน ศาลไม่ลงมาช่วย จะไปพึ่งใคร และว่า แม้ในยามสงคราม ศาลก็ต้องทำหน้าที่ ความผิดพลาดของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยังร้ายแรงไม่เท่าความผิดพลาดของฝ่ายตุลาการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมจะถูกจารึกเอาไว้ว่าช่วงหนึ่งศาลยอมหรี่ตาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง
"ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศาลควรอยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเอง พ.ร.ก.ที่ห่วยๆ ศาลช่วยบรรเทาความห่วยลงได้ด้วยการรับฟ้อง การใช้อำนาจของ พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้วดูว่าเหมาะสมหรือไม่"
ปิยบุตรมองว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกวันนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะการทำงานของ State of Exception ทำให้คนรู้สึกชินชา ไม่รู้สึกกระทบกับชีวิต ออกไปกินข้าวได้เหมือนเดิม รัฐก็จะบอกว่า สถานการณ์ฉุกเฉินจะกระทบกับคนที่เป็นแดง ฉะนั้นอย่าเป็นแดง หรือถ้าเป็นก็กลับใจเสีย
ที่น่าเศร้าคือ นักสิทธิมนุษยชนขาประจำที่ออกมาคัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในภาคใต้เมื่อปี 2548 อย่างแข็งขัน แต่กลับไม่คัดค้านการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน มาตรฐานจริยธรรม-สิทธิมนุษยชนของนักวิชาการ เอ็นจีโอ ใช้กับกรณีทนายสมชาย คนชายขอบ คนสามจังหวัด คดีฆ่าตัดตอนยาเสพติด แต่เมื่อนำมาเทียบกับกรณีคนเสื้อแดงแล้วมีแต่ความเงียบ
"นิติรัฐ-นิติลวง"
ปิยบุตรวิจารณ์หลักนิติรัฐที่แพร่หลายในสังคมไทยว่ากลวงมาก โดยเป็นนิติรัฐที่แปลงร่างเป็น "นิติลวง" คือลวงว่ามีนิติรัฐ เป็นคำใหญ่ที่โก้เก๋ ใช้สร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมักอ้างนิติรัฐตลอด โดยที่ไม่ทราบว่าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่า นิติรัฐในสากลนำมาเพื่อใช้จำกัดอำนาจรัฐ ไม่ใช่เพื่อให้รัฐไปทำคนนู้นคนนี้ได้
เขากล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าการสั่งสลายการชุมนุมเป็นนิติรัฐ เป็นการบังคับใช้กฎหมายด้วยว่าเป็นพาราด็อกซ์อย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้วการสลายการชุมนุมในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นข้อยกเว้นของนิติรัฐ
สุดท้าย เขาเตือนว่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว เมื่อไหร่ที่ฟ้าเปิด อภิสิทธิ์และพวกก็อาจจะถูกนำไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ พลังทั้งหลายที่หนุนอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นนิรันดร มันมีอานุภาพอยู่แค่อาณาเขตเดียวเท่านั้น
เรียกร้อง "อภิสิทธิ์" ลาออกแสดงความรับผิดชอบ สร้างบรรทัดฐาน
อับดุลเราะมัน มอลอ โฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าถึงประสบการณ์ภายใต้ภาวะฉุกเฉินจากประสบการณ์ในปัตตานี โดยระบุว่า สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสภาวะฉุกเฉินของ "รัฐบาล" โดยรัฐบาลไหนก็ตามที่มีประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐเป็นแสนคน รัฐบาลย่อมมองว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน
ต่อการขอคืนพื้นที่นั้น เขามองว่า ประชาชนขอพื้นที่ทางการเมืองคืนเพื่อตัดสินใจเลือกผู้มีอำนาจขึ้นมาใหม่ แต่รัฐบาลต้องการขอพื้นที่ขยายเวลาบริหารราชการต่อไป จึงเกิดคำถามว่า อำนาจที่แท้จริงในประเทศเป็นของใครกันแน่ อยู่ที่ประชาชน รัฐบาล หรือใครคนอื่น
อับดุลเราะมันกล่าวว่า การก่อเหตุที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีการใช้ M79 รัฐบาลประกาศว่าเป็น "การก่อการร้าย" ขณะที่ที่ภาคใต้ มีทั้งการวางระเบิดและมีอาวุธสงคราม ถูกรัฐบาลเรียกว่าเป็น "ผู้ก่อการไม่สงบ" เขามองว่านี่เป็นการใช้วาทกรรมของรัฐเพื่อยกระดับความไม่ชอบธรรมของการชุมนุม และเพื่อยกระดับความชอบธรรมในการปราบปรามกลุ่มที่ต่อต้าน
เขามองว่า การเมืองไทยกำลังมาถึงจุดที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่รัฐบาลปราบปรามประชาชน มีผู้เสียชีวิต แล้วรัฐยังอยู่ได้ ซึ่งนี่อันตราย ต่อไปเมื่อมีการชุมนุม รัฐบาลจะอ้างความชอบธรรมเหมือนที่ผ่านมา และสร้างสถานการณ์ "ก่อการร้าย" ในการชุมนุมอีก ดังนั้น เขาจึงเห็นว่า นายกฯ ควรสร้างบรรทัดฐานให้ดีที่สุด โดยลาออกเพื่อรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้จะเป็นการออกจากอำนาจเพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสามารถตรวจสอบตนเองได้ในฐานะที่ไม่มีอำนาจด้วย
โฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทิ้งท้ายถึงเรื่องสองมาตรฐานด้วยว่า "วันหนึ่งที่ทุกท่านในที่นี้ไปอยู่ในจุดที่พอใจแล้ว รู้สึกว่านี่คือมาตรฐานเดียวกันแล้ว ขออย่าลืมคนสามจังหวัดก็อยากได้ตรงนี้เหมือนกัน"
ที่มา.ประชาไทย
.......................................................
กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ และกลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน จัดงานเสวนาเรื่อง “ขอพื้นที่พวกเราคืน” : งานเสวนาว่าด้วยพื้นที่ทางสิทธิ เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ ภายใต้นิติรัฐแห่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ห้อง ศ. 201 คณะศิลปศาสตร์ ชั้น 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ดำเนินรายการโดย ประกีรติ สัตสุต นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิิสัน
จี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คืนพื้นที่เสรีภาพ
เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กลุ่มสันติประชาธรรม กล่าวว่า เมื่อดูสิ่งที่รัฐบาลกระทำต่อการชุมนุมของคนเสื้อแดง รัฐบาลไม่เคยพูดว่า "สลายม็อบ" "ล้อมปราบ" "ล้อมฆ่า" แต่พูดในลักษณะ "ขอพื้นที่คืน" "กระชับพื้นที่" "Big Cleaning day" เพื่อตอบโจทย์พื้นที่ทางกายภาพของคนเมือง โดยทำให้เห็นว่าคนที่มาชุมนุมไม่มีตัวตนอยู่ในทางสังคมและทางการเมือง แม้ว่าจะพวกเขาจะชุมนุมจริงอยู่ที่ผ่านฟ้าและแยกราชประสงค์
"มันยุติธรรมแล้วหรือที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ได้พื้นที่ในเชิงกายภาพคืน แต่ในทางกลับกันเราไม่มีพื้นที่ทางเสรีภาพ" เกษมตั้งคำถามและว่า พ.ร.ก.ฉบับนี้หน้าตาดีกว่ากฎอัยการศึกหรือการประกาศเคอร์ฟิวซึ่งจำกัดพื้นที่ทั้งทางกายภาพและเสรีภาพ เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินจำกัดพื้นที่ทางเสรีภาพ แต่ให้คนใช้ชีวิตตามปกติผ่านพื้นที่ทางกายภาพ
นอกจากนี้ เกษมกล่าวถึงพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่แสดงออกสิทธิเสรีภาพ สิทธิการเป็นพลเมือง ที่ทุกคนสามารถสร้างวิวาทะทางสังคมต่อกันว่า ช่วงที่ผ่านมามีสองกลุ่มที่ถูกปิดกั้นตลอดเวลา กลุ่มแรก คือกลุ่มตรงข้ามกับรัฐบาล กลุ่มที่สอง คือพื้นที่ส่วนกลาง ที่พยายามเปิดข้อวิวาทะ นำเสนอข้อคิดเห็นที่หลากหลายและแตกต่าง การปิดกั้นพื้นที่เหล่านี้เป็นการผลักให้เป็นการเมืองขั้วตรงข้าม ถ้าไม่เหลืองก็ต้องแดง ทั้งที่มันมีเฉดจากเหลืองถึงแดง หรือแม้แต่ภายในแดงหรือเหลืองเอง ทุกคนสามารถเห็นด้วยและแตกต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อย อย่างไรก็ตาม เขามองว่า การจัดการแบบนี้บีบให้คนยิ่งพยายามแสดงออก และพยายามหาทางเลือกใหม่ผ่านพื้นที่ต่างๆ เช่น การเขียนข้อความ-วาดภาพตามกำแพง ในที่ชุมนุม หรือกระทั่งบนตัวสุนัข
สิ่งที่สำคัญคือ การคิดพื้นที่ใหม่เพื่อใช้ปะทะกับวาทกรรมของรัฐอย่างการขอพื้นที่ทางกายภาพ การมีพื้นที่ทางสังคมหรือปริมณฑลที่มีความเป็นสาธารณะนั้นสำคัญเพราะเป็นพื้นที่สร้างวิวาทะทางสังคม ให้คนสามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดกันได้ ซึ่งการขอคืนพื้นที่ดังกล่าวนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถูกยกเลิก
ปฎิรูปประเทศไทย?
นอกจากนี้ เกษมวิจารณ์แนวคิดการปฎิรูปประเทศไทยในภาวะประกาศใช้สภาวะฉุกเฉินด้วยว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยเพราะเป็นการดึงอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทยมาสู่เครื่องมือหรือกลไกของรัฐ ที่คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาสนับสนุน โดยเพิกเฉยต่อสิทธิทางพลเมืองของรัฐภายใต้ระบอบประชาธิปไตย
"เรากำลังถูกผลักออกจากระบอบประชาธิปไตยภายใต้เงื่อนไขประชาธิปไตย" เกษมกล่าวและว่า แนวคิดปฎิรูปประเทศไทยเป็นการกล่าวโทษกลไกประชาธิปไตยแบบตัวแทน กระบวนการเลือกตั้ง โดยพยายามหารูปแบบใหม่ของสิ่งที่เรียกว่า "ประชาธิปไตยทางตรง" "ภาคประชาชน" ซึ่งเขามองว่า ไม่มีจริง เพราะทุกคนต่างเป็นตัวแทนในกระบวนการประชาธิปไตยทั้งสิ้น เพียงแต่ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง
ภาค ปชช.รวมประเด็นละเมิดสิทธิฯ กังขาปราบ "ก่อการร้ายมือเปล่า"
ศราวุธ ประทุมราช นักสิทธิมนุษยชนอิสระ ตั้งคำถามถึงการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลจำกัดสิทธิหลายด้าน รวมถึงปิดกั้นการนำเสนอของสื่อมวลชนว่า มีความจำเป็นที่จะต้องทำหรือไม่ โดยเขามองว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉิน อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา โดยเฉพาะมาตรา 29 ที่ระบุว่า การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญ รับรองไว้จะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นเท่านั้นและจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้
โดยนอกจากการจำกัดสิทธิในการชุมนุมเกิน 5 คนแล้ว ยังมีการจำกัดเสรีภาพในการเดินทาง ห้ามเข้าพื้นที่ชุมนุม มีเคอร์ฟิว รวมถึงจำกัดสิทธิในชีวิตและร่างกาย เรียกบุคคลมาให้ข้อมูลโดยห้ามไม่ให้มีทนาย ทั้งที่ยังไม่เป็นผู้ต้องหา การจับกุมผู้ชุมนุมโดยใช้ผ้าผูกตา มัดข้อมือไพล่หลัง และนอนคว่ำกับพื้นคล้ายกรณีตากใบ
รวมถึงกรณีคนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้างในพื้นที่ชุมนุม เมื่อสลายชุมนุมจึงเดินออกมา ก็เจอตำรวจกักตัวไว้และส่งฟ้องศาลในสองวัน ศาลพิพากษาว่ามาชุมนุมขัด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ให้จำคุกสองปี แต่ไม่เคยทำความผิดจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คำถามคือ ทำถูกต้องไหม ผู้ต้องหาเข้าใจข้อหาไหม นี่เป็นปัญหาทางข้อกฎหมาย
นอกจากนี้ เขาเล่าถึงกรณีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ซึ่งถูกคุมขังจะครบเจ็ดวันด้วยว่า ตอนแรกมีหมายเรียกมาที่บ้าน เมื่อบริสุทธิ์ใจมารายงานตัว ก็ถูกแจ้งหมายจับ และถูกคุมตัวไว้ โดยเมื่อเขาไปเยี่ยม พบว่า นายสมยศถูกให้นอนในเต๊นท์ ขณะที่บ่ายวันเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปเยี่ยม ปรากฎว่า นายสมยศถูกย้ายไปนอนห้องติดแอร์
ศราวุธ กล่าวว่า ที่เป็นปัญหามาก คือ การใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ โดยอ้างว่ามีผู้ก่อการร้าย ทั้งที่คนที่เสียชีวิต 80 กว่าคนไม่มีอาวุธในมือเลยซึ่งตามปกติถ้ามีการตายโดยเจ้าหน้าที่ ต้องมีการไต่สวนการตายโดยศาล อย่างไรก็ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินระบุให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดทางแพ่ง อาญา หรือทางวินัย ขณะที่กระทรวงต่างประเทศเองก็ออกประกาศว่าทำตามกฎหมายสากลอย่างโดยเคร่งครัด ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ ภาคประชาชนกำลังรวบรวมข้อมูลการปฎิบัติที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล เพราะการฆ่ากลางเมืองโดยอ้างการก่อการร้าย แต่จับผู้ก่อการร้ายไม่ได้สักคน แม้จะมีอาวุธมากมาย เรื่องนี้ต้องมีคำตอบ
ย้ำ "ศาล" ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชนจากอำนาจรัฐ
ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวถึงบทบาทของศาลว่า จะต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจรัฐ ศาลไม่อาจสงวนตัวเองไม่ควบคุมสถานการณ์ฉุกเฉินได้ โดยยกตัวอย่างกรณีเว็บประชาไทฟ้องศาลแพ่งให้ตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลในการสั่งปิดเว็บ หรือกรณีนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ฟ้องนายกฯ และศอฉ.หมิ่นประมาทจากการระบุว่าเขาอยู่ในผังล้มเจ้าว่าทั้งสองกรณี ศาลไทยไม่รับฟ้อง โดยพิจารณาว่า ในสถานการณ์ฉุกเฉิน รัฐบาลมีอำนาจ
เขาตั้งคำถามว่า จะไม่มีอำนาจใดถ่วงดุลรัฐบาลเลยหรือ เมื่อแถลงการณ์ของนักวิชาการเป็นเศษกระดาษ สื่อ-เอ็นจีโอไม่ทำงาน ศาลไม่ลงมาช่วย จะไปพึ่งใคร และว่า แม้ในยามสงคราม ศาลก็ต้องทำหน้าที่ ความผิดพลาดของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยังร้ายแรงไม่เท่าความผิดพลาดของฝ่ายตุลาการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมจะถูกจารึกเอาไว้ว่าช่วงหนึ่งศาลยอมหรี่ตาเพื่อวัตถุประสงค์อะไรบางอย่าง
"ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ศาลควรอยู่ข้างนอก ไม่ใช่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉินเอง พ.ร.ก.ที่ห่วยๆ ศาลช่วยบรรเทาความห่วยลงได้ด้วยการรับฟ้อง การใช้อำนาจของ พ.ร.ก.ฉบับนี้แล้วดูว่าเหมาะสมหรือไม่"
ปิยบุตรมองว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกวันนี้จะอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะการทำงานของ State of Exception ทำให้คนรู้สึกชินชา ไม่รู้สึกกระทบกับชีวิต ออกไปกินข้าวได้เหมือนเดิม รัฐก็จะบอกว่า สถานการณ์ฉุกเฉินจะกระทบกับคนที่เป็นแดง ฉะนั้นอย่าเป็นแดง หรือถ้าเป็นก็กลับใจเสีย
ที่น่าเศร้าคือ นักสิทธิมนุษยชนขาประจำที่ออกมาคัดค้านการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในภาคใต้เมื่อปี 2548 อย่างแข็งขัน แต่กลับไม่คัดค้านการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน มาตรฐานจริยธรรม-สิทธิมนุษยชนของนักวิชาการ เอ็นจีโอ ใช้กับกรณีทนายสมชาย คนชายขอบ คนสามจังหวัด คดีฆ่าตัดตอนยาเสพติด แต่เมื่อนำมาเทียบกับกรณีคนเสื้อแดงแล้วมีแต่ความเงียบ
"นิติรัฐ-นิติลวง"
ปิยบุตรวิจารณ์หลักนิติรัฐที่แพร่หลายในสังคมไทยว่ากลวงมาก โดยเป็นนิติรัฐที่แปลงร่างเป็น "นิติลวง" คือลวงว่ามีนิติรัฐ เป็นคำใหญ่ที่โก้เก๋ ใช้สร้างความชอบธรรมให้กับการกระทำของตัวเอง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีมักอ้างนิติรัฐตลอด โดยที่ไม่ทราบว่าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่า นิติรัฐในสากลนำมาเพื่อใช้จำกัดอำนาจรัฐ ไม่ใช่เพื่อให้รัฐไปทำคนนู้นคนนี้ได้
เขากล่าวถึงการที่นายอภิสิทธิ์ระบุว่าการสั่งสลายการชุมนุมเป็นนิติรัฐ เป็นการบังคับใช้กฎหมายด้วยว่าเป็นพาราด็อกซ์อย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้วการสลายการชุมนุมในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นข้อยกเว้นของนิติรัฐ
สุดท้าย เขาเตือนว่า วันพระไม่ได้มีหนเดียว เมื่อไหร่ที่ฟ้าเปิด อภิสิทธิ์และพวกก็อาจจะถูกนำไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ พลังทั้งหลายที่หนุนอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นนิรันดร มันมีอานุภาพอยู่แค่อาณาเขตเดียวเท่านั้น
เรียกร้อง "อภิสิทธิ์" ลาออกแสดงความรับผิดชอบ สร้างบรรทัดฐาน
อับดุลเราะมัน มอลอ โฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เล่าถึงประสบการณ์ภายใต้ภาวะฉุกเฉินจากประสบการณ์ในปัตตานี โดยระบุว่า สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นสภาวะฉุกเฉินของ "รัฐบาล" โดยรัฐบาลไหนก็ตามที่มีประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอำนาจรัฐเป็นแสนคน รัฐบาลย่อมมองว่าเป็นเรื่องฉุกเฉิน
ต่อการขอคืนพื้นที่นั้น เขามองว่า ประชาชนขอพื้นที่ทางการเมืองคืนเพื่อตัดสินใจเลือกผู้มีอำนาจขึ้นมาใหม่ แต่รัฐบาลต้องการขอพื้นที่ขยายเวลาบริหารราชการต่อไป จึงเกิดคำถามว่า อำนาจที่แท้จริงในประเทศเป็นของใครกันแน่ อยู่ที่ประชาชน รัฐบาล หรือใครคนอื่น
อับดุลเราะมันกล่าวว่า การก่อเหตุที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีการใช้ M79 รัฐบาลประกาศว่าเป็น "การก่อการร้าย" ขณะที่ที่ภาคใต้ มีทั้งการวางระเบิดและมีอาวุธสงคราม ถูกรัฐบาลเรียกว่าเป็น "ผู้ก่อการไม่สงบ" เขามองว่านี่เป็นการใช้วาทกรรมของรัฐเพื่อยกระดับความไม่ชอบธรรมของการชุมนุม และเพื่อยกระดับความชอบธรรมในการปราบปรามกลุ่มที่ต่อต้าน
เขามองว่า การเมืองไทยกำลังมาถึงจุดที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ที่รัฐบาลปราบปรามประชาชน มีผู้เสียชีวิต แล้วรัฐยังอยู่ได้ ซึ่งนี่อันตราย ต่อไปเมื่อมีการชุมนุม รัฐบาลจะอ้างความชอบธรรมเหมือนที่ผ่านมา และสร้างสถานการณ์ "ก่อการร้าย" ในการชุมนุมอีก ดังนั้น เขาจึงเห็นว่า นายกฯ ควรสร้างบรรทัดฐานให้ดีที่สุด โดยลาออกเพื่อรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้จะเป็นการออกจากอำนาจเพื่อให้กระบวนการตรวจสอบสามารถตรวจสอบตนเองได้ในฐานะที่ไม่มีอำนาจด้วย
โฆษกสหพันธ์นิสิตนักศึกษาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทิ้งท้ายถึงเรื่องสองมาตรฐานด้วยว่า "วันหนึ่งที่ทุกท่านในที่นี้ไปอยู่ในจุดที่พอใจแล้ว รู้สึกว่านี่คือมาตรฐานเดียวกันแล้ว ขออย่าลืมคนสามจังหวัดก็อยากได้ตรงนี้เหมือนกัน"
ที่มา.ประชาไทย
.......................................................
“มาร์ค”ผิดพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขังแนวร่วมเสื้อแดง133ในเรือนจำ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
นักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน ส.ว. จี้รัฐบาลเปิดเผยรายชื่อ จำนวน และสถานที่คุมขังคนเสื้อแดงที่ถูกจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และต้องเปิดให้สื่อ องค์กรต่างๆเข้าตรวจสอบความเป็นอยู่ ย้ำผู้ถูกคุมตัวมีสิทธิไม่ให้การ และมีสิทธิพบทนาย แฉรัฐบาลทำผิดกฎหมายส่งผู้ชุมนุม 133 คนเข้าเรือนจำทั้งที่กฎหมายห้าม อัดรัฐบาลไม่จริงใจปรองดอง จับผู้ชุมนุมที่ต้องการกลับบ้านทั้งที่ประกาศชัดใครยอมออกจากพื้นที่ราชประสงค์ไม่มีความผิด ประธานวุฒิฯจี้ทำโรดแม็พให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าจะทำอะไร เมื่อไร อย่างไร อย่าดีแต่พูด
วันที่ 3 มิ.ย. 2553 กลุ่มนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร้องขอให้เปิดเผยรายชื่อและสถานที่ควบคุมตัวผู้ที่ถูกจับตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
จดหมายระบุว่า หลังรัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยถูกประณามและมีข้อห่วงใยจากประชาคมโลกเป็นจำนวนมาก
จี้เปิดรายชื่อ-จำนวน-สถานที่ขัง
รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกหมายจับและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเว็บไซต์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางรายงานว่ามีหมายจับภายในพื้นที่กรุงเทพมหานครและในพื้นที่ตำรวจภาค 1 จำนวน 99 หมาย แต่ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถูกจับ และไม่ระบุสถานที่ควบคุมบุคคลดังกล่าว ตลอดจนไม่มีรายงานของสำนักงานตำรวจภาคอื่นๆที่อยู่ในเขตท้องที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่ามีจำนวนผู้ถูกจับตามหมายเท่าไร และถูกควบคุมอยู่ที่ใด การไม่ทราบรายชื่อผู้ถูกจับและการไม่แจ้งสถานที่ควบคุมผู้ถูกจับถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนแก่ผู้ถูกจับและญาติมิตร ที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ถูกจับมีชีวิตอยู่หรือไม่ และไม่ทราบสภาพความเป็นอยู่
รัฐบาลต้องยึดตามกติกาสากล
กลุ่มนักสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย นักกฎหมาย ทนายความ และบุคคลที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผู้มีชื่อท้ายจดหมายนี้ขอแสดงความห่วงใยต่อผู้ถูกจับกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมในลักษณะที่อาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และต้องได้รับความคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ที่ประเทศไทยมีพันธกรณี โดยเฉพาะมีสิทธิได้รับหลักประกันขั้นต่ำดังนี้
ข้อ 7 ห้ามการซ้อม ทรมาน หรือปฏิบัติใดๆอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรม
ข้อ 9 ข้อ 2 ย่อย ต้องได้รับแจ้งถึงเหตุผลในการจับกุมในขณะถูกจับกุม และจะต้องได้รับแจ้งถึงข้อหาที่ถูกจับกุมโดยพลัน
ข้อ 3 ย่อย มีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีภายในเวลาอันสมควร หรือได้รับการปล่อยตัวไป มิให้ถือเป็นหลักทั่วไปว่าจะต้องควบคุมบุคคลที่รอการพิจารณาคดี
ข้อ 14 มีสิทธิมีทนายความที่เลือกเอง หากไม่มีรัฐต้องจัดหาให้ ต้องได้รับการสันนิษฐานว่าไม่มีความผิด และมีสิทธิให้การหรือไม่ให้การด้วยความสมัครใจ ต้องได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย รวดเร็ว โดยสื่อมวลชนสามารถเข้าสังเกตการณ์ได้
สิทธิมนุษยชนตามหลักการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ให้เยี่ยมป้องกันครหาซ้อมนักโทษ
จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนจึงขอเรียกร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศรายชื่อผู้ถูกจับกุมและสถานที่คุมขังต่อสาธารณะ ที่อยู่ในอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกพื้นที่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ญาติและทนายความสามารถติดต่อได้ทันที และเพื่อป้องกันข้อครหาว่ารัฐบาลซ้อมทรมานผู้ถูกจับ หากผู้ถูกจับเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสม
จดหมายดังกล่าวมีผู้ร่วมลงนาม ประกอบด้วย น.ส.เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ, นายพิทักษ์ เกิดหอม นักกฎหมาย, นายศราวุฒิ ประทุมราช ทนายความ, น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความ, น.ส.ปรานม สมวงศ์ นักกฎหมาย และนายนรินทร์ พรหมมา นักกฎหมาย
นำเด็ก 2 ขวบร้องเรียนแม่ถูกจับ
ที่รัฐสภา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นำตัว ด.ช.เกรียงศักดิ์ หอมชื่น หรือน้องอ้ำ อายุ 2 ขวบ มาร้องเรียนต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เนื่องจาก น.ส.พรนภา ทนุวรรณ์ อายุ 19 ปี มารดา ด.ช.เกรียงศักดิ์ ถูกจับกุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่แยกราชประสงค์ โดยมีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กลุ่ม ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย เช่น นางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา, นางเปร่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย, นางปานหทัย เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่ เป็นผู้รับเรื่อง
แฉไม่จริงใจจับขณะจะกลับบ้าน
“ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมแม่น้องอ้ำที่ทัณฑสถานหญิง เรือนจำกลางคลองเปรม ทราบว่าวันที่ 19 พ.ค. หลังจากรัฐบาลประกาศให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับจะไม่มีโทษ แม่ของน้ำอ้ำก็ซ้อนรถจักรยานยนต์ของเพื่อนที่มาด้วยกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่ไปเจอทหารบริเวณสวนลุมพินีกักตัวไว้บอกให้รอก่อน รอให้คนเยอะค่อยกลับพร้อมกันทีเดียว แต่กลับถูกนำตัวส่งสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี และถูกนำไปควบคุมที่ค่ายนเรศวร 1 คืน ก่อนถูกส่งมาที่ทัณฑสถานหญิงคลองเปรมและถูกคุมขังอยู่จนปัจจุบัน ทั้งที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำหนดชัดเจนว่าห้ามคุมขังที่สถานีตำรวจหรือเรือนจำ แต่ขณะนี้ที่เรือนจำกลางคลองเปรมมีผู้ถูกคุมขังหลายร้อยคน”
ปรองดองพูดแต่ปากไม่ได้
นพ.ทศพรกล่าวอีกว่า รัฐบาลและ ศอฉ. ประกาศตลอดเวลาว่าทำเพื่อรักษากฎหมาย แต่กลับทำผิดกฎหมายเสียเอง อยากให้นายกรัฐมนตรีมาเห็นภาพเด็กเกาะลูกกรงร้องหาแม่ อยากรู้ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร นายกฯบอกว่าผู้ที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ไม่มีอาวุธจะไม่มีความผิด แต่ข้อเท็จจริงคือมีผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงจำนวนมากถูกควบคุมตัวอยู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปากบอกว่าอยากปรองดองแต่เท้าไปเหยียบอกเขาไว้ข้างหนึ่ง แล้วจะปรองดองได้อย่างไร หลังจากนี้จะพาน้องอ้ำไปพบนายกฯที่ทำเนียบรัฐบาล และจะไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย
เสื้อแดง 133 คนถูกขังในเรือนจำ
ด้านนายเรืองไกรระบุว่า เท่าที่ทราบข้อมูลผู้ชุมนุมที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำเป็นผู้หญิง 17 คน ผู้ชาย 116 คน ไม่ทราบว่ายังมีที่ถูกคุมขังไว้ในสถานที่อื่นอีกหรือไม่ อยากเรียกร้องไปยังนายกฯหากมีความจริงใจและกล้าหาญจะต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ โดยต้องให้สื่อและตัวแทนองค์กรต่างๆเข้าไปตรวจสอบ
ที่รัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ประกาศแผนงานสร้างความปรองดองให้ชัดเจนว่ามีกระบวนการดำเนินการอย่างไร
จี้นายกฯทำโรดแม็พให้ชัดเจน
“นายกฯต้องบอกให้ชัดว่าโรดแม็พ 5 ข้อที่พูดไว้จะทำอย่างไร เมื่อไร เพราะต่างชาติมีความเป็นห่วงสถานการณ์ในไทย อย่างญี่ปุ่นจะมาลงทุนก็เป็นห่วงสถานการณ์เพราะยังไม่มีความชัดเจน เขาไม่แน่ใจว่าประเทศไทยจะถูกแบ่งแยกเป็นส่วนๆหรือเปล่า” นายประสพสุขกล่าวและว่า นายกรัฐมนตรีต้องทำเรื่องปรองดองให้เป็นรูปธรรม ส่วนการทำงานของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์การเมืองของวุฒิสภามีการประชุมกัน 2 ครั้งแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสที่วุฒิสภาจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างความสมานฉันท์
**********************************************************************
นักกฎหมาย นักสิทธิมนุษยชน ส.ว. จี้รัฐบาลเปิดเผยรายชื่อ จำนวน และสถานที่คุมขังคนเสื้อแดงที่ถูกจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และต้องเปิดให้สื่อ องค์กรต่างๆเข้าตรวจสอบความเป็นอยู่ ย้ำผู้ถูกคุมตัวมีสิทธิไม่ให้การ และมีสิทธิพบทนาย แฉรัฐบาลทำผิดกฎหมายส่งผู้ชุมนุม 133 คนเข้าเรือนจำทั้งที่กฎหมายห้าม อัดรัฐบาลไม่จริงใจปรองดอง จับผู้ชุมนุมที่ต้องการกลับบ้านทั้งที่ประกาศชัดใครยอมออกจากพื้นที่ราชประสงค์ไม่มีความผิด ประธานวุฒิฯจี้ทำโรดแม็พให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าจะทำอะไร เมื่อไร อย่างไร อย่าดีแต่พูด
วันที่ 3 มิ.ย. 2553 กลุ่มนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนเขียนจดหมายเปิดผนึกถึง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร้องขอให้เปิดเผยรายชื่อและสถานที่ควบคุมตัวผู้ที่ถูกจับตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548
จดหมายระบุว่า หลังรัฐบาลใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดยถูกประณามและมีข้อห่วงใยจากประชาคมโลกเป็นจำนวนมาก
จี้เปิดรายชื่อ-จำนวน-สถานที่ขัง
รัฐบาลโดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติออกหมายจับและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเว็บไซต์ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางรายงานว่ามีหมายจับภายในพื้นที่กรุงเทพมหานครและในพื้นที่ตำรวจภาค 1 จำนวน 99 หมาย แต่ไม่ปรากฏรายชื่อผู้ถูกจับ และไม่ระบุสถานที่ควบคุมบุคคลดังกล่าว ตลอดจนไม่มีรายงานของสำนักงานตำรวจภาคอื่นๆที่อยู่ในเขตท้องที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินว่ามีจำนวนผู้ถูกจับตามหมายเท่าไร และถูกควบคุมอยู่ที่ใด การไม่ทราบรายชื่อผู้ถูกจับและการไม่แจ้งสถานที่ควบคุมผู้ถูกจับถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนแก่ผู้ถูกจับและญาติมิตร ที่ไม่อาจทราบได้ว่าผู้ถูกจับมีชีวิตอยู่หรือไม่ และไม่ทราบสภาพความเป็นอยู่
รัฐบาลต้องยึดตามกติกาสากล
กลุ่มนักสิทธิมนุษยชน ประกอบด้วย นักกฎหมาย ทนายความ และบุคคลที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผู้มีชื่อท้ายจดหมายนี้ขอแสดงความห่วงใยต่อผู้ถูกจับกุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติต่อผู้ถูกจับกุมในลักษณะที่อาจมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และต้องได้รับความคุ้มครองตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights) ที่ประเทศไทยมีพันธกรณี โดยเฉพาะมีสิทธิได้รับหลักประกันขั้นต่ำดังนี้
ข้อ 7 ห้ามการซ้อม ทรมาน หรือปฏิบัติใดๆอย่างโหดร้ายไร้มนุษยธรรม
ข้อ 9 ข้อ 2 ย่อย ต้องได้รับแจ้งถึงเหตุผลในการจับกุมในขณะถูกจับกุม และจะต้องได้รับแจ้งถึงข้อหาที่ถูกจับกุมโดยพลัน
ข้อ 3 ย่อย มีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีภายในเวลาอันสมควร หรือได้รับการปล่อยตัวไป มิให้ถือเป็นหลักทั่วไปว่าจะต้องควบคุมบุคคลที่รอการพิจารณาคดี
ข้อ 14 มีสิทธิมีทนายความที่เลือกเอง หากไม่มีรัฐต้องจัดหาให้ ต้องได้รับการสันนิษฐานว่าไม่มีความผิด และมีสิทธิให้การหรือไม่ให้การด้วยความสมัครใจ ต้องได้รับการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย รวดเร็ว โดยสื่อมวลชนสามารถเข้าสังเกตการณ์ได้
สิทธิมนุษยชนตามหลักการดังกล่าวสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ให้เยี่ยมป้องกันครหาซ้อมนักโทษ
จากหลักการและเหตุผลดังกล่าว กลุ่มนักสิทธิมนุษยชนจึงขอเรียกร้องต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติประกาศรายชื่อผู้ถูกจับกุมและสถานที่คุมขังต่อสาธารณะ ที่อยู่ในอำนาจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทุกพื้นที่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อให้ญาติและทนายความสามารถติดต่อได้ทันที และเพื่อป้องกันข้อครหาว่ารัฐบาลซ้อมทรมานผู้ถูกจับ หากผู้ถูกจับเจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บต้องได้รับการรักษาพยาบาลอย่างเหมาะสม
จดหมายดังกล่าวมีผู้ร่วมลงนาม ประกอบด้วย น.ส.เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ, นายพิทักษ์ เกิดหอม นักกฎหมาย, นายศราวุฒิ ประทุมราช ทนายความ, น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความ, น.ส.ปรานม สมวงศ์ นักกฎหมาย และนายนรินทร์ พรหมมา นักกฎหมาย
นำเด็ก 2 ขวบร้องเรียนแม่ถูกจับ
ที่รัฐสภา นพ.ทศพร เสรีรักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นำตัว ด.ช.เกรียงศักดิ์ หอมชื่น หรือน้องอ้ำ อายุ 2 ขวบ มาร้องเรียนต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เนื่องจาก น.ส.พรนภา ทนุวรรณ์ อายุ 19 ปี มารดา ด.ช.เกรียงศักดิ์ ถูกจับกุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่แยกราชประสงค์ โดยมีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กลุ่ม ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย เช่น นางอรุณี ชำนาญยา ส.ส.พะเยา, นางเปร่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย, นางปานหทัย เสรีรักษ์ ส.ส.แพร่ เป็นผู้รับเรื่อง
แฉไม่จริงใจจับขณะจะกลับบ้าน
“ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมแม่น้องอ้ำที่ทัณฑสถานหญิง เรือนจำกลางคลองเปรม ทราบว่าวันที่ 19 พ.ค. หลังจากรัฐบาลประกาศให้ผู้ชุมนุมเดินทางกลับจะไม่มีโทษ แม่ของน้ำอ้ำก็ซ้อนรถจักรยานยนต์ของเพื่อนที่มาด้วยกันเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่ไปเจอทหารบริเวณสวนลุมพินีกักตัวไว้บอกให้รอก่อน รอให้คนเยอะค่อยกลับพร้อมกันทีเดียว แต่กลับถูกนำตัวส่งสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี และถูกนำไปควบคุมที่ค่ายนเรศวร 1 คืน ก่อนถูกส่งมาที่ทัณฑสถานหญิงคลองเปรมและถูกคุมขังอยู่จนปัจจุบัน ทั้งที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำหนดชัดเจนว่าห้ามคุมขังที่สถานีตำรวจหรือเรือนจำ แต่ขณะนี้ที่เรือนจำกลางคลองเปรมมีผู้ถูกคุมขังหลายร้อยคน”
ปรองดองพูดแต่ปากไม่ได้
นพ.ทศพรกล่าวอีกว่า รัฐบาลและ ศอฉ. ประกาศตลอดเวลาว่าทำเพื่อรักษากฎหมาย แต่กลับทำผิดกฎหมายเสียเอง อยากให้นายกรัฐมนตรีมาเห็นภาพเด็กเกาะลูกกรงร้องหาแม่ อยากรู้ว่าท่านจะรู้สึกอย่างไร นายกฯบอกว่าผู้ที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ไม่มีอาวุธจะไม่มีความผิด แต่ข้อเท็จจริงคือมีผู้ชุมนุมที่บริสุทธิ์ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงจำนวนมากถูกควบคุมตัวอยู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปากบอกว่าอยากปรองดองแต่เท้าไปเหยียบอกเขาไว้ข้างหนึ่ง แล้วจะปรองดองได้อย่างไร หลังจากนี้จะพาน้องอ้ำไปพบนายกฯที่ทำเนียบรัฐบาล และจะไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย
เสื้อแดง 133 คนถูกขังในเรือนจำ
ด้านนายเรืองไกรระบุว่า เท่าที่ทราบข้อมูลผู้ชุมนุมที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำเป็นผู้หญิง 17 คน ผู้ชาย 116 คน ไม่ทราบว่ายังมีที่ถูกคุมขังไว้ในสถานที่อื่นอีกหรือไม่ อยากเรียกร้องไปยังนายกฯหากมีความจริงใจและกล้าหาญจะต้องเปิดเผยข้อมูลนี้ โดยต้องให้สื่อและตัวแทนองค์กรต่างๆเข้าไปตรวจสอบ
ที่รัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ประกาศแผนงานสร้างความปรองดองให้ชัดเจนว่ามีกระบวนการดำเนินการอย่างไร
จี้นายกฯทำโรดแม็พให้ชัดเจน
“นายกฯต้องบอกให้ชัดว่าโรดแม็พ 5 ข้อที่พูดไว้จะทำอย่างไร เมื่อไร เพราะต่างชาติมีความเป็นห่วงสถานการณ์ในไทย อย่างญี่ปุ่นจะมาลงทุนก็เป็นห่วงสถานการณ์เพราะยังไม่มีความชัดเจน เขาไม่แน่ใจว่าประเทศไทยจะถูกแบ่งแยกเป็นส่วนๆหรือเปล่า” นายประสพสุขกล่าวและว่า นายกรัฐมนตรีต้องทำเรื่องปรองดองให้เป็นรูปธรรม ส่วนการทำงานของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์การเมืองของวุฒิสภามีการประชุมกัน 2 ครั้งแล้ว ซึ่งถือเป็นโอกาสที่วุฒิสภาจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างความสมานฉันท์
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)