--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผิดไหม ถ้าผมจะไม่รัก “สยาม”

“ทางเท้า”

ก่อนอื่นผมขอออกตัวก่อนเลยนะครับ ว่าบันทึกนี้ผมไม่ได้มีเจตนาจะกระทบ เสียดสี หรือมีเจตนาใน แง่ร้ายหรือแง่ลบต่อกิจกรรม "ฟื้นฟูกรุงเทพ" ที่หลายคนได้ร่วมจิตอาสากันไปเก็บกวาดทำความสะอาด "พื้นที่ของพวกเค้า" ด้วยความรักและผูกพัน

ผมเป็นเด็กบ้านนอกครับ แต่ได้เข้ามาอยู่อาศัยในกรุงเทพได้สิบกว่าปีแล้ว แต่ถ้าถามว่าผมรักกรุงเทพหรือเปล่า ผมก็คงตอบได้ไม่เต็มปากนัก

ผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ เพราะที่ต่างจังหวัดบ้านผมไม่มีมหาวิทยาลัยดีดีให้ผมเรียน ตอนนี้ผมทำงานอยู่ที่กรุงเทพ เพราะที่ต่างจังหวัดบ้านผมไม่ได้มีงานมากพอที่จะให้ผม "เลือก" ทำ

นั่นคือเหตุผล ที่วันนี้ผมยังคงยืนอยู่ในเมืองหลวงของประเทศไทยที่ชื่อกรุงเทพมหานคร

ในหลายวันที่ผ่านมา กรุงเทพต้องเผชิญกับความเลวร้าย การวางระเบิด การเผาทำลายสถานที่ต่าง ๆ อันสืบเนื่องมาจากการสลายการชุมนุมของ นปช. ที่ราชประสงค์

ภายหลังเหตุการณ์เลวร้ายและควันไฟเริ่มจางลง..

หลายๆ คนบอกว่าเจ็บปวดเหลือเกินที่เห็นโรงหนังสยาม ลิโด้ ถูกเผาทำลาย เพราะมีความผูกพันกันอย่างยิ่งยวดในฐานะที่เป็นโรงหนังเก่าแก่ที่ฉายหนังนอกกระแสแห่งหนึ่งของกรุงเทพ (หรืออาจจะของประเทศไทย)
หลาย ๆ คนบอกว่าสะเทือนใจที่เห็นห้างสรรพสินค้าเซนทรัลเวิลด์อันเพียบพร้อมไปด้วยความทันสมัย เป็นที่จับจ่ายซื้อของสุดฮิป เป็นจุดพบปะกันโดยเฉพาะลานเบียร์ในฤดูหนาวและช่วงที่มีการแข่งขันฟุตบอลต่างประเทศ กลายเป็นเพียงเศษซากจากกองเพลิงแห่งความเกลียดชัง ถึงขนาดประจานสาปแช่งเหล่า "ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง" ที่กระทำการดังกล่าว

บางสิ่งบางอย่างที่เค้าผูกพัน คุ้นเคย มันถูกทำลายลงไปในชั่วพริบตา จากน้ำมือของ "ผู้ก่อการร้ายเสื้อแดง" ที่ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ในเมืองอันเป็นที่รักของพวกเขา

ผม..ก็รู้สึกเสียใจและรู้สึกสลดหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นเดียวกันครับ
ผมเสียใจ..ที่การเคลื่อนไหวภาคประชาชนได้ถูกผลักออกไปจากแนวทางสันติวิถี

ผมเสียใจ..ที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีการใช้กำลังทางทหารและอาวุธในการสลายการชุมนุม
ผมเสียใจ..ที่ชีวิตของผู้คนได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ต่อรองทางการเมือง
ผมเสียใจ..กับหลายคนที่ต้องเสียหายเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน และได้รับผลกระทบถึงการประกอบอาชีพการงานจากเหตุจลาจลในวันนั้น

ผมเสียใจ..กับผู้บริสุทธิ์ที่ต้องสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุแห่งความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้
ผมเสียใจ..กับหลายต่อหลายครอบครัวที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก..ญาติพี่น้อง..

และยิ่งไปกว่านั้น..ผมเสียใจ..ที่เห็นผู้คนจำนวนมากในสังคมเมืองศิวิไลซ์ที่ผมอยู่ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง การดูถูกเหยียดหยาม และเปล่งเสียงถึงผู้คนที่มาจากต่างถิ่นต่างที่ ด้วยถ้อยสรรพนำเนียงว่า ไอ้โง่ ไอ้ควายแดง ไอ้พวกไพร่สถุล ฆ่ามันให้หมด ฆ่ามันให้ตายซะ ฯลฯ

"ผมไม่เชื่อ..ว่าทุกคนที่ตายเป็นผู้ก่อการร้าย..ว่าทุกคนที่ตายสมควรตาย"

ผมไม่ได้อยากตะโกนโหวกเหวกโวยวายว่า เฮ้ยย..นี่มันมีคนตายนะ มีผู้บริสุทธิ์ที่ตาย และสมควรที่จะต้องมีใครซักคนที่รับผิดชอบนะเว้ยย..

ถ้าเพียงแต่เสียงนั้นมันดังขึ้นซักหน่อย..ดังกว่าเสียงที่พร่ำบอกว่า มารักกันเถอะ มาปรองดองกันเถอะ มากวาดถนนกันเถอะ คิดถึงสยาม คิดถึงเซนทรัลเวิลด์ ก็คงไม่เกิดบทความนี้ขึ้นบนโลกแล้ว

ผมเพียงอยากจะบอกว่า บางครั้ง..พวกเราหลงลืมอะไรไปรึเปล่า..

เสียงเรียกร้องอะไรบางอย่าง ดังก้องสะท้านราชประสงค์ แต่กลับแผ่วเบาเหลือเกินในใจของผู้คนหลายคนในเมืองที่ผมอยู่

เสียงที่เรียกร้องความไม่เป็นธรรม เสียงที่เรียกร้องโอกาส เสียงที่เรียกร้องความเสมอภาคและเท่าเทียม ดังก้องอยู่ในพื้นที่ที่พวกเค้าไม่คุ้นเคย เมืองที่เค้าไม่รู้จัก ความหรูหราทันสมัยที่พวกเค้าไม่อาจฝันใฝ่

แต่น่าแปลกใจ ที่เสียงเรียกร้องนั้นไม่ได้ดังเข้าไปในใจของบรรดาผู้คนในเมืองที่เค้าคิดว่าน่าจะช่วยเหลือเค้าได้..ไม่แม้แต่จะเสียเวลาที่จะรับฟัง

แม้กระทั่ง..เสียงแห่งความตายของพวกเค้า..ก็ยังแผ่วเบาและเลือนลาง...
..เสมือนไม่เคยเกิดขึ้น..เสมือนเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้น..

...............

ผมขอสารภาพตรง ๆ ว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่นักที่กับโรงหนังสยาม ลิโด้ สยามสแควร์ ก้อผมไม่เคยได้ไปดูหนังที่นั่นซักเท่าไหร่นี่นา ส่วนใหญ่ถ้าอยากดูหนังดีดีซักเรื่อง ผมคงจะไปหาซื้อดีวีดีหรือโหลดมาดูที่บ้านมากกว่า ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปซื้อที่สยามอีกนั่นล่ะ (ถ้าไปเผา House RCA ผมอาจจะเสียใจมากกว่านี้นิดนึง ฮา.. )

สิบกว่าปีที่อยู่ที่กรุงเทพ ผมไปที่นั่นทุกครั้งผมก้อยังเป็นไอ้บ้านนอกแปลกหน้าอยู่ทุกครั้ง..

ผมยิ่งแทบจะไม่เสียใจเลยที่ CTW ถูกเผา เพราะผมไม่ได้ไปซื้อของอะไรที่นั่น อย่างมากก็นัดเพื่อนเดินเล่น ถ่ายรูป หาเบียร์กิน แล้วก้อเป็นความผิดของผมเองที่บรรดาราคาข้าวของในทำให้นั้นผมก็ไม่มีปัญญาจะซื้อซะด้วย..

ก็ผมไม่มีความผูกพันกับมันเท่าไหร่นัก..

เช่นเดียวกันกับหลายๆ คน ในสังคมเมืองนี้ ที่ไม่ได้ผูกพันเอากับความทุกข์ยากของผู้คน ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมที่ดำรงอยู่

"ความแตกต่าง" ไม่มีอะไรมากไปกว่าการไปชื่นชมความสวยงามและวิถีชีวิตหลอกๆ ของปายและ อัมพวา การเปิดคาราวานนำของไปบริจาคให้กับเด็กๆ ชาวเขาในดินแดนทุรกันดาร การออกบริจาคทานแก่ผู้ด้อยโอกาสเพื่อความอิ่มใจของตน โดยละเลยการมองถึงสาเหตุที่มาจริงๆ ของปัญหาในระดับโครงสร้าง

ผมเข้าใจครับ..นั่นเพราะเราอาจเกิดมาในเมืองที่แตกต่างกัน..ในสถานะที่แตกต่างกัน..

แต่ที่ผมไม่เข้าใจ..คือ..แม้กระทั่งความตายของเพื่อนมนุษย์..มันก็ยังมีเส้นแบ่งแห่ง "ความต่าง"

..คุณค่าของชีวิตมนุษย์..มันมีความต่างกันได้อย่างไร..มันไร้ค่ากันได้อย่างไร..
............

..ผมคงไม่ได้ไปร่วมกิจกรรมเก็บกวาดถนน..
เพราะผมสำนึกได้แล้วว่าผมไม่ได้รัก "สยาม" และ "สยาม" เองก็คงไม่ได้รักผมเช่นกัน

...........

ปล. โปรดอย่าขับไล่ผมออกจากกรุงเทพเลยนะครับ เพราะผมก็ไม่ได้อยากอยู่หรอก เพียงแต่ผมยังไม่มีที่ไป..
แค่นั้นเอง..

ที่มา.ประชาไท
***************************************************

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จากตากใบถึง..ราชประสงค์

ภารกิจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากการสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ราชประสงค์ซึ่งปรากฏเป็นข่าวครึกโครมต่อเนื่องกันมานานนับสัปดาห์มีอยู่ด้วยกัน 2 เรื่องหลัก

หนึ่ง การฟื้นฟูเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์การการชุมนุมและภายหลังการก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองซึ่งรัฐบาลได้พยายามทุ่มงบประมาณและออกมาตรการต่างๆขึ้นมาช่วยเหลือนักธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้ารายย่อย ตลอดจนพนักงานของบริษัทห้างร้านที่มีจำนวนมากซึ่งไม่อาจปฏิเสธว่า เป็นเรื่องเร่งด่วน มิเช่นนั้นแล้วอาจส่งผลรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมอย่างกว้างขวาง

สอง การดำเนินคดีกลับกลุ่มแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มเสื้อแดงและการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่รัฐบาลตั้งข้อหา"ก่อการร้าย"ในฐานะผู้บงการเผากรุงทเพมหานครจนราบพนาสูร

ในส่วนนี้ยังรวมถึงการไล่าล่าแกนนำ นปช.ที่ยังหลบหนีอยู่และกลุ่ม"คนชุดดำ"ที่รัฐบาลอ้างว่า อยู่เบื้องหลังในการต่อสู้กับกองกำลังทหารจนเกิดความสูญเสียอย่างมาก

แต่ประเด็นที่สาธารณชนยังตั้งเป็นคำถามอยู่คือ ภายหลังการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช.แล้ว "คนชุดดำ"ล่องหนหายตัวไปไหนหมด เพราะตราบใดถ้ารัฐบาลยังไม่สามารถจับตัวคนชุดดำมาแถลงให้ประชาชนเห็นกันอย่างจะจะแล้ว จะกลายเป็นว่า รัฐบาลกุเรื่อง"คนชุดดำ"ขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง

เรื่องที่เร่งด่วนและใหญ่ไม่แพ้ 2 เรื่องดังกล่าวข้างต้น แต่ไม่ปรากฏบเป็นข่าวว่า ที่แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลได้ดำเนินการใดๆในการฟื้นฟูเยียวยาอย่างจริงจังคือ การที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์การชุมนุมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม-20 พฤาภาคม จำนวน 86 ศพ บาดเจ็บ 1,407 คน(ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ)

ในจำนวนผู้เสียชีวิต 86 ศพนั้น แบ่งเป็นพลเรือน 75 ศพ ทหาร/ตำรวจ 11 ศพ ผู้บาดเจ็บ 1,407 คน แบ่งเป็นพลเรือน 994 คน ทหาร/ตำรวจ 413 คน

ก่อนอื่นต้องยอมรับกันว่า แม้เสื้อแดงได้สลายการชุมนุมไปแล้วก็ตาม แต่กลุ่มเสื้อแดงจำนวนมากเ(ไม่ใช่กลุ่มแกนนำ)ซึ่งเป็นชาวบ้านในต่างจังหวัดต่างกลับบ้านดวยจิตใจที่พ่ายแพ้ บอบช้ำ เคียดแค้น ชิงชัง รวมถึงญาติพี่น้องของผู้สูญเสียชีวิตอีกเป็นจำนวนมากที่น่าจะมีความรู้สึกที่ไม่แตกต่างกัน(ตัวอย่างดูจากการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆและการพูดคุยโดยตรง)

ในการฟื้นฟูเยียวยาคนกลุ่มนี้ต้องแยกแยะเป็นกลุ่มๆด้วยวิธีการที่หลากหลาย เริ่มจากผู้เสียชีวิต 86 ศพ ในจำนวนนี้เป็นทหาร/ตำรวจ 11 ศพ ซึ่งหน่วยงานต้นสังกัดดูแลอยู่แล้ว แต่รัฐบาลอาจต้องให้สิทธิพิเศษเพิ่มเติม

ในขณะที่อีก 75 ศพซึ่งเป็นพลเรือน นอกจากการช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตในทางเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ในด้านกฎหมายต้องมีการสอบสวนให้กระจ่างว่า แต่ละศพเสียชีวิตอย่างไร และดำเนินการตามกฎหมายอย่างจริงจังเพื่อคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้เสียชีวิตเพราะต้องยอมรับว่า ในจำนวนนี้ผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ พวกที่โดนลูกหลง รวมถึงที่มีการอ้างว่า เป็นฝีมือของ"คนชุดดำ"

อย่าให้เรื่องนี้เงียบหายไป และทำให้สังคมเข้าใจว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็น"ผู้ก่อการร้าย" เช่นเดียวกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่ อำเภอตากใบ จังหวัดนคราธิวาส 78 ศพในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งๆที่บุคคลเหล่านี้อยู่ในการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะจะกลายเป็นแผลที่บาดลึกยากที่เยียวยาและทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น

ความจริงในเรื่องดังกล่าว มีองค์กรช่วยเหลืออยู่แล้ว เช่น ศูนย์รับแจ้งเหตุและการช่วยเหลือทางกฎหมายแก่กลุ่มชาวบ้านที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา กระทรวงสาธารณสุขมีศูนย์ช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิต, ผู้บาดเจ็บ และผู้สูญหาย เพียงแต่รัฐบาลสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้อย่างจริงจังเท่านั้นก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก

นอกจากนั้นแล้ว ต้องเข้าไปฟื้นฟูเยียวยาผู้บาดเจ็บและชาวบ้านที่ถูกส่งตัวกลับ 3,650 คนมิให้เกิดความระแวงหรือเกิดความหวาดกลัวว่า จะถูกเหวี่ยงแหดำเนินคดีเพราะยิ่งจะเป็นการผลักให้ชาวบ้านกลุ่มนี้โกรธแค้นและเกลียดชังรัฐบาลมากยิ่งขึ้น และอาจเป็นชนวนเหตุรุนแรงขึ้นอีกได้

ขณะเดียวกันในภาพรวม รัฐบาลต้องแสดงให้เห็นความจริงใจในการผลักดันให้เป็นไปตามแผนปรองดองด้วย เช่น การแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระซึ่งเป็นที่ยอมรับขึ้นมาสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด(นายกรัฐมนตรีพูดในทำนองว่า ได้ตัวประธานคณะกรรมการแล้ว) ไม่ปล่อยให้คนบางกลุ่มใช้สื่อของรัฐยุยงให้เกิดความเกลียดชังมากยิ่งขึ้น การดำเนินการเพื่อปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆโดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยซ้ำเติมปัญหาให้ร้ายแรงมากยิ่งขึ้น
โดย ประสงค์ วิสุทธิ์
ที่มา.มติชนออนไลน์
.........................................................

“เทพ”กับ“มาร”

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

เห็นหัวเรื่องแล้วอย่าเพิ่งตกใจนึกว่าจะเอานิยายจีนมาเล่าสู่กันฟัง คำว่าพรรคเทพ พรรคมาร ที่จะกล่าวถึงในที่นี้เป็นเรื่องการเมือง พรรคการเมืองในประเทศไทยของเรานี่แหละ

ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2534 วันที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติหรือ รสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร ผู้บัญชาการทหารบก เข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ด้วยข้อกล่าวหาสุดคลาสสิกตลอดกาลของการเข้ายึดอำนาจคือ มีการทุจริตคอร์รัปชันอย่างกว้าขวางในรัฐบาล ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์บางอย่างทางการเมืองขึ้นมา

หลังการเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม 2535 พรรคสามัคคีธรรมชนะเลือกตั้งได้ ส.ส. 79 เสียง แต่นายณรงค์ วงศ์วรรณ หัวหน้าพรรค ถูกเตะตัดขาด้วยข้อกล่าวหาติดแบล็กลิสต์ของสหรัฐ ที่หาว่าเกี่ยวโยงกับขบวนการค้ายาเสพติด จนทำให้เกิดการ “เสียสัตย์เพื่อชาติ” ขึ้น เมื่อ พล.อ.สุจินดาซึ่งไม่ได้ลงเลือกตั้งกลับคำพูดสมัยเข้ายึดอำนาจตอบรับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การสนับสนุนของพรรคสามัคคีธรรม (79 เสียง) พรรคชาติไทย (74 เสียง) พรรคกิจสังคม (31 เสียง) พรรคประชากรไทย (7 เสียง) และพรรคราษฎร (4 เสียง) ซึ่งทุกพรรคเคยประกาศสนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อกำหนดให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง

พรรคการเมืองเหล่านี้จึงได้ชื่อว่าเป็น “พรรคมาร”

ขณะที่พรรคความหวังใหม่ (72 เสียง) พรรคประชาธิปัตย์ (44 เสียง) พรรคพลังธรรม (41 เสียง) และพรรคเอกภาพ (6 เสียง) เรียกร้องว่านายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง

ถูกยกให้เป็น “พรรคเทพ”

เมื่อวันเวลาผ่านไป พรรคการเมืองที่มีบทบาทอยู่ในขณะนั้นได้ล้มหายตายจากไปทีละพรรคสองพรรค เลิกกิจการบ้าง ยุบไปรวมกับพรรคอื่นบ้าง ถูกสั่งยุบไปบ้าง แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังอยู่ยงคงกระพันเรื่อยมา

วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีหัวหน้าพรรคที่ชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นคนเดียวกับที่สั่งการให้กระชับพื้นที่ ขอพื้นที่คืน จนมีผู้คนล้มตาย 88 คน บาดเจ็บอีกกว่า 2,000 คน

จึงไม่รู้ว่ายังคู่ควรกับคำยกย่องสรรเสริญให้เป็น “พรรคเทพ” อยู่หรือไม่?

อีกประเด็นที่ไม่อยากให้ลืมคือ องค์ประกอบของรัฐบาลปัจจุบันที่ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคเพื่อแผ่นดิน บุคลากรส่วนใหญ่ของพรรคการเมืองเหล่านี้ล้วนเป็นแม่ทัพนายกองที่แตกมาจากพรรคสามัคคีธรรมและพรรคชาติไทยที่เคยได้ชื่อว่าเป็น “พรรคมาร” เกือบทั้งสิ้น

รัฐบาลปัจจุบันจึงเกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่าง “เทพกับมาร” ใจคอจึงอำมหิตอย่างที่เห็น

สำคัญที่สุดคือ ในอดีตแค่ตระบัดสัตย์กลับคำไปสนับสนุนคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถูกตราหน้าว่าเป็น “มาร” แล้ว

แล้ว “อภิสิทธิ์” ที่สั่งกระชับพื้นที่ควรจะถูกเรียกว่าอะไรดี!!!

**********************************************************************

"เหยื่อปืน"ยืนยัน ทหารยิงวัด

แฉโหดจากเตียงรพ. สส.จี้ออกรับผิดชอบ องค์กรโลกขอร่วมสอบ

เหยื่อปืนรุมยันทหารยิงเข้าไปในวัดปทุมวนา ราม จนเป็นเหตุให้ตายหมู่ 6 ศพ เผยนาทีเหี้ยม ไล่ล่าบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอสตั้งแต่ราชประสงค์จนถึงหน้าวัด ยืนยันทหารแน่ๆ ไม่ใช่โจรผู้ร้าย สลดเหยื่อบัณฑิตรามคำแหงโดนส่องขณะพาผู้หญิง คนชรา และเด็กเข้าไปหลบภัยในวัด ขณะที่ผู้บาดเจ็บอีกรายระบุถูกยิงหน้าประตูวัด แล้วพยาบาลอาสาเข้าไปช่วย พอฟื้นคืนสติอีกก็ทราบข่าวว่าคนที่เข้าไปช่วยถูกยิงเสียชีวิต ส.ส.เพื่อไทยจี้อภิสิทธิ์แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง เพราะเป็นต้นเหตุให้มีการสูญเสียถึง 88 ศพ

จี้มาร์คออก-รับผิดชอบ88ศพ

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่รัฐสภา นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อภิปรายระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ วันที่สอง เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 โดยหยิบยกคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายรัฐมนตรี ต่อกรณีวันที่ 7 ต.ค.2551 ว่า รัฐบาลขณะนั้นต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองขึ้นมาอ้างถึงพร้อมกับระบุว่าการชุมนุมในสมัยรัฐบาลนี้มีคนตาย 88 ราย บาดเจ็บกว่าสองพันคน สูญหายอีกจำนวนมาก ทราบว่าเบื้องต้นหาย 25 รายแล้ว ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตต้องได้รับการพิสูจน์ว่าคนตายมีอาชีพอะไร จะไปเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายได้หรือไม่ จะได้พิสูจน์กันให้ชัด นอกจากนี้ นายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองเพื่อลดอุณหภูมิ นายกฯ เป็นคนเดียวที่จะถอดสลักได้ ในพรรคประชาธิปัตย์ก็มีผู้ใหญ่หลายคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นที่เคารพ สามารถเข้ามาทำหน้าที่แทนได้ ถ้านายกฯ ถอยออกมา จะทำให้กรรมการที่ฝ่ายต่างๆ ตั้งขึ้น ทำงานได้อย่างอิสระและสบายใจ

นายชวลิต กล่าวว่า กรณีวัดปทุมวนาราม ตนมีพยานยืนยันคือนายเพิ่มสุข ใจเย็น ชาวเทศบาลเมืองนครพนม ซึ่งอยู่ในวัดตอนเกิดเหตุ นายเพิ่มสุข ระบุว่าถูกจ้องยิง จึงต้องหนีสุดชีวิต สุดท้ายกระสุนโดนขา ต่อมาจึงได้ยินเสียงว่ามีการยิงพยาบาลที่เข้าไปช่วยคนเจ็บ นายเพิ่มสุข ยังระบุว่า บิดาเป็นทหารยศร้อยเอกอยู่ที่ค่ายสระบุรี จึงเห็นทหารตั้งแต่เด็ก และยืนยันกับตนว่าปืนที่ยิงมาเป็นฝ่ายทหาร พยานคนนี้ก็จะต้องไปให้การกับกรรมการอิสระที่นายกฯ จะตั้งขึ้นมา

เจ้าตัวโต้-รัฐบาลไม่เคยสั่งฆ่า

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การยกคำพูดของตนกรณี 7 ต.ค.2551 มาเทียบกับกรณีนี้ ความจริงมีเงื่อนไขต่างกัน กรณีนี้มีบางกลุ่มแทรกแซงโดยใช้อาวุธ รัฐบาลคิดถึงการดำเนินการให้สูญเสียน้อยที่สุดก็ต้องมีการตรวจสอบต่อไป และตอนนี้กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ได้ร่วมตรวจสอบ ป.ป.ช.ก็ต้องพิจารณาที่ส.ส.เพื่อไทย ยื่นถอดถอนตนและหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่มีการแทรกแซง ส่วนที่ผู้ชุมนุมกลับบ้านไปและให้ข้อมูลก็ต้องเข้าใจว่าเขามีอารมณ์ความรู้สึก ข้อมูลที่เขาได้รับก็ได้รับจากเวทีมาตลอด 2 เดือน ดังนั้น ไม่แปลกว่าจะมีความเชื่อว่าน่าจะเป็นทหารยิง แต่ขอยืนยันว่าภาครัฐไม่เคยมีแนวคิดแบบนั้นเลย

นายกฯ กล่าวว่า ตอนนั้นที่องค์กรเอกชนเสนอเขตอภัยโทษ รัฐบาลก็เห็นด้วย แต่เสนอให้อยู่ห่างจากพื้นที่ชุมนุม เพราะเกรงว่าจะมีคนอื่นปะปนกับเด็ก สตรี คนชรา ผู้บริสุทธิ์ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามนั้น ดังนั้น ความรับผิดชอบของรัฐบาลและภาครัฐ ก็ต้องดำเนินการตามความเหมาะสม ซึ่งต้องดูตามข้อเท็จจริงด้วยว่าเป็นอย่างไร และภาครัฐได้ตัดสินใจไปอย่างไร อย่างไรก็ดี ตนจะขอตอบเรื่องนี้พร้อมกันระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในสัปดาห์หน้า

อ้างมีแจ้งมา-แต่เข้าในวัดไม่ได้

ด้านพล.ต.อ.วิรุฬ ฟื้นแสน ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ อภิปรายว่า การสลายการชุมนุมที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยเฉพาะการมีผู้เสียชีวิตจำนวน 6 ศพ ภายในวัดปทุมวนาราม เป็นสิ่งที่รัฐบาลควรแสดงความรับผิดชอบ

จากนั้น นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงว่า การชุมนุมที่ส.ส.อภิปรายว่า ชีวิตมีความสำคัญมากกว่าทรัพย์ ตนเห็นด้วย การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์หน้า รัฐบาลจะชี้แจงว่าใช้หลักอย่างไรในการบริหารสถานการณ์ ส่วนที่มีคนโดนยิงในวัดปทุมวนาราม กำลังอยู่ในการตรวจสอบ แต่กรณีที่มีสื่อต่างประเทศรายหนึ่งเสียชีวิตและชาวต่างประเทศอีกรายหนึ่งได้รับบาดเจ็บและติดอยู่ในวัดปทุมวนารามนั้น ค่ำวันนั้นตนได้รับการติดต่อมาจากองค์กรเอกชนว่า จะทำอย่างไรให้เอาคนเจ็บออกจากวัดได้ ตนและรัฐมนตรีบางคน พยายามประสานงาน แต่เป็นไปอย่างลำบาก เพราะไม่สามารถส่งรถคุ้มกันเข้าไปได้ เนื่องจากตอนนั้นมีกลุ่มใช้อาวุธยิงไม่หยุด แต่แม้ใช้เวลานานสุดท้ายก็เข้าไปได้ เหตุที่เกิดขึ้นในวัดกำลังตรวจสอบทุกกรณี ตอนนี้ไม่สามารถยืนยันได้ว่าเหตุเกิดขึ้นอย่างไร เพราะช่วงที่เกิดเหตุขณะนั้นไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

"จาตุรนต์"บี้รัฐตกที่นั่งลำบาก

ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 08.40 น. ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ ได้ตอบคำถามถึงประเด็นของผู้เสียชีวิต 6 ศพ ในวัดปทุมวนารามว่า ข้อเท็จจริงก็จะปรากฏออกมาจากการตรวจสอบ เบื้องต้นคิดว่าผลของการชันสูตรและผลของนิติเวชน่าจะเป็นตัวที่บ่งบอกอะไรได้พอสมควร เมื่อถามว่าก่อนหน้านี้ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่ามีเขม่าควันติดอยู่ที่บริเวณท้องของผู้เสียชีวิต นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าทางนิติเวชน่าจะเป็นผู้ให้ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยเร็ว

เมื่อถามว่ามั่นใจแค่ไหนกับข้อมูลที่จะนำเสนอ จนทำให้ประชาชนมองเห็นว่ารัฐบาลทำทุกอย่างตามข้อกฎหมาย นายกฯ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าไม่มีใครหนีความจริงพ้น ยอมรับว่ามันอาจจะมีข่าวสารที่มีการนำเสนอเพียงบางแง่มุม แต่ยังเชื่อว่าถ้าเรามองภาพรวมของเหตุการณ์ดูด้วยเหตุด้วยผล และดูให้ชัดว่าแต่ละคนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มีประวัติความเป็นมา และพฤติกรรมอย่างไร ก็จะมีความเข้าใจเหตุ การณ์ที่แท้จริงได้

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า รัฐบาลกำลังตกที่นั่งลำบากในสายตาของสื่อต่างประเทศและชาวต่างประเทศ จากกรณีการสังหารประชาชนในวัดปทุมวนาราม เรื่องนี้ตนมีโอกาสพูดคุยกับผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ ที่เฝ้าศพผู้ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดอยู่ตลอดทั้งคืน เล่าให้ฟังว่าผู้ที่อยู่ในวัดส่วนใหญ่จะปักใจเชื่อว่าทหารยิงประชาชน

สลดเหยื่อศพที่ 3 ถูกยิงในวัด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 1 ใน 6 ศพ ที่ถูกยิงตายในวัดปทุมวนาราม นอกจากอาสาสมัคร และพยาบาลอาสาที่ "ข่าวสด" นำเสนอไปตามลำดับแล้วนั้น ศพที่สาม คือนายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี ชาวจังหวัดจันทบุรี ถูกทหารยิงตายในวัดปทุมวนาราม เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค. ขณะเข้าช่วยเหลือพาผู้สูงอายุหลบภัยในวัด แล้วเดินออกนอกประตูรั้ววัด จะมุ่งหน้าไปที่สำนัก งานตำรวจแห่งชาตินั้น

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักเลขที่ 151/3 หมู่บ้านรัตนะทรัพย์การ์เด้น ถ.ราชกิจ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อสอบถามความเป็นมาของเหยื่อที่ถูกยิงโหดในวัด ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ ชุมจันทร์ พนักงานสอบ สวน (สบ 2) สภ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า นายอัฐชัย เป็นน้องชาย เสียชีวิตเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. ขณะเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม ที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้าย กระสุนทะลุปอด เสียชีวิตขณะเพื่อนนปช.ช่วยนำเข้าไปปฐมพยาบาลในเต็นท์ ภายในวัดปทุมวนาราม

เผยพาคนชรา-ผู้หญิงไปหลบภัย

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า นายอัฐชัย ย้ายมาพักอาศัยที่จันทบุรี เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ หลังจากที่นายอัฐชัย เรียนจบชั้นมัธยมตอนปลายจาก อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตนและพี่สาวช่วยกันส่งเสียให้เล่าเรียน เขาชอบกิจกรรมจึงเรียนช้า และหางานทำไปด้วย ตนจึงขอร้องให้เขาตั้งใจเรียนให้จบ เป็นความหวังของแม่ นิสัยใจคอของน้อง ชอบช่วยเหลือผู้สูงอายุ และรักประชาธิปไตย น้องชายไม่ใช่การ์ดนปช. แต่ร่วมชุมนุมทำหน้าที่ช่วยดูแลแจกอาหาร ประจำหน้าเวทีราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. หลังจากที่แกนนำยอมมอบตัว วัดปทุมวนารามได้เปิดให้ผู้ร่วมชุมนุมเข้าไปหลบอยู่ในวัด น้องชายก็เข้าไปทำหน้าที่ช่วยนำพาชาวบ้าน คนแก่ ชายหญิง หลบภัย

"จากนั้นในช่วงค่ำเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 19 พ.ค. น้องชายเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม เพื่อเตรียมเดินทางต่อ จะเข้าไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถูกยิงด้วยกระสุนสงครามที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้ายทะลุปอด ทราบว่ายิงมาจากที่สูง เพื่อนของเขาก็ช่วยนำร่างเข้าไปเพื่อปฐมพยาบาลในเต็นท์พยาบาลภายในวัด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผมทราบเหตุเมื่อเวลา 19.00 น. มีคนโทรศัพท์มาบอก" พ.ต.ต.ธีระวัฒน์กล่าว

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงน้อง แต่เขารักประชาธิปไตย ทำได้แค่เตือนเขาให้ระวังตัว หลบให้ดี ไม่นึกว่าเหตุการณ์แค่ไปชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยแบบทั่วไป ธรรมดา มีคนไปจำนวนมาก ไม่น่าจะมีการยิงคนในวัด หรือหน้าวัด ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน ท่านเจ้าอาวาสวัดก็ประกาศขึ้นป้ายเขตขออภัยทานไว้แล้ว เคยโทร.คุยกับเขาเสมอ และเตือนว่าให้หลบภัยอยู่ภายในเวทีชุมนุม หรือให้อยู่ภายในวัดปทุมวนาราม แต่สุดท้ายเขาก็มาถูกยิงเสียชีวิต

ลางสุดท้าย-สายรัดข้อมือ 3 สี

ด้านนางอัญชลี สาริกานนท์ พี่สาว กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุน้องชายไปหาตนที่บ้านพักในกรุงเทพฯ แล้วเขาถอดสายรัดข้อมือสามสีรูปธงชาติจากข้อมือข้างขวายื่นส่งให้แล้วพูดว่าจะให้พี่ไว้เป็นที่ระลึก ตนไม่นึกว่าจะเป็นลางครั้งสุดท้าย "วันนั้นน้องยังพูดอธิบายด้วยอารมณ์ และสีหน้าจริงจัง ว่า สีน้ำเงิน หมายถึงพระเจ้าอยู่หัว ที่เขาเทิดทูน ปกป้องสุดชีวิต สีแดงหมายถึงชาติไทย เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา เขาบอกว่าเขาจะปกป้อง เขายอมตายได้ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

นางอัญชลี กล่าวต่อว่า หลังจากน้องชายเสียชีวิต ตนและญาติ นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดประทุมทอง ในหมู่บ้านโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. และฌาปนกิจเมื่อวันที่ 23 พ.ค. ท่ามกลางญาติมิตร เพื่อนบ้าน และมีกลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย ชาวนปช. ประมาณพันคน "การตายของน้องชาย การช่วยเหลือจากราชการ มาทดแทนกันไม่ได้ เราพี่น้องรักผูกพันกันมาก อยากให้เขามาอยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเดิม"

นางอัญชลี ยังเปิดเผยว่า น้องชายเรียนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว กำลังสมัครสอบเพื่อทำงานหลายแห่ง สมัครสอบตำรวจ ยังไม่ทราบผล เขาเป็นความหวังของแม่ การตายของเขาทำให้แม่ ซึมเศร้าเสียใจอย่างมาก ส่วนคุณพ่อเสียชีวิตนานแล้ว

แม่เป็นชาวนาเมืองร้อยเอ็ด

ด้านนางสุนันทา ชุมจันทร์ อายุ 53 ปี มารดา กล่าวว่า ตนมีอาชีพทำนาอยู่ที่บ้านโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด นายอัฐชัย เรียนจบชั้นมัธยมจากหมู่บ้านแล้ว เขาย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อเรียนต่อที่รามคำแหง เขาเรียนจบแล้ว กำลังสมัครหางานทำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอัฐชัย เกิดเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2524 เป็นบุตรของนายนิคม (เสียชีวิต) กับนางสุนันทา ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 11 ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด หลังเรียนจบชั้นม.ปลายจากโรงเรียนบ้านโพนทราย แล้วย้ายไปพักอยู่กับพ.ต.ต.ธีระวัฒน์ พี่ชาย ที่อำเภอท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อเรียนหนังสือที่รามคำแหง โดยพี่ชายพี่สาวส่งเสียเรียน และนายอัฐชัย ทำงานรับจ้างไปด้วย เรียนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ รับพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อปี 2552 อยู่ระหว่างสมัครสอบรับราชการตำรวจ และสมัครสอบเข้ารับราชการหลายแห่ง

แฉนาทียิงหน้าวัดค่ำวันที่19พ.ค.

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สําหรับผู้บาดเจ็บที่ถูกยิงภายในวัดปทุมวนารามในช่วงค่ำของวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมานั้น ขณะนี้พบว่ายังคงนอนรักษาตัวอยู่ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อีกจํานวน 1 ราย เป็นชาย อายุประมาณ 45 ปี ซึ่งยังคงอยู่ในอาการหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมากและยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยข้อมูล ส่วนผู้บาดเจ็บอีก 4 ราย แพทย์ได้อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลเช่นกัน

รายงานข่าวเปิดเผยว่า สําหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงหัวค่ำของวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่าขณะเกิดเหตุมีผู้บันทึกภาพเหตุการณ์ต่างๆ ไว้ได้อย่างละเอียด แต่ไม่สามารถที่จะนําออกมาเปิดเผยได้ และขณะนี้พบว่าได้หลบไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ซึ่งภาพดังกล่าวเริ่มบันทึกตั้งแต่เวลา 18.30 น. วันที่ 19 พ.ค. ในเวลา 18.30 น. พบมีกลุ่มคนแต่งกายคล้ายทหาร สวมหมวกสนาม กว่า 10 คน ยืนเรียงรายอยู่บนรถไฟฟ้าบีทีเอสบริเวณหน้าวัด ทุกคนหันหน้าไปทางวัด ในมือมีอาวุธสงครามลักษณะเหมือนปืนยาวเล็งเข้าไปในวัดทุกคน และมีบางคนนั่งยองๆ แบบคุกเข่า ลักษณะกำลังเล็งปืนเข้าไปในวัด จากนั้นไม่กี่นาทีก็มีเสียงปืนดังขึ้น 1 ชุด ลักษณะเสียงคล้ายปืนกล นานประมาณ 5 นาที และในภาพยังเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่บริเวณอุโบสถภายในวัดประมาณ 20-30 คนวิ่งชุลมุนอยู่ บางคนนอนราบกับพื้น บางคนหลบอยู่ด้านหลังเสา และหันหน้ามองไปยังหน้าวัดลักษณะกำลังมองหาต้นตอของเสียงปืนดังกล่าว จากนั้นผู้ชุมนุมก็พากันหลบเข้าไปในวัดจนกระทั่งเช้าของวันที่ 20 พ.ค. มีเจ้าหน้าที่ตํารวจเข้ามาเคลียร์ให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่และส่งกลับบ้าน

ส.ส.ย้ำพยานยืนยันทหารยิง

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ตนอภิปรายเกี่ยวกับนายเพิ่มสุขนั้นเป็นข้อเท็จจริง เพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ตอนเกิดการยิงประชาชนภายในวัดปทุมวนาราม ซึ่งนายเพิ่มสุข ใจเย็น ในฐานะชาวนครพนมอยู่ในพื้นที่เลือกตั้งของตนได้ยืนยันว่า ช่วงเกิดเหตุการณ์ยิงประชาชนเวลา 18.00 น. วันที่ 19 พ.ค. นายเพิ่มสุขบอกว่าเข้าไปหลบภายในวัด พอได้ยินเสียงปืนดังขึ้นจึงมองขึ้นไปบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส เห็นทหารถือปืนและยิงเข้ามาในวัด จนต้องหลบ แต่ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บที่ขา ต่อมาได้เข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการที่โรงพยาบาลตำรวจ แต่นายเพิ่มสุขยืนยันว่ามีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดแน่นอน และเห็นว่าผู้ที่ถูกยิงคนหนึ่งคือ น.ส.กมนเกด อัคฮาด อาสาพยาบาล ที่ถูกยิงล้มลงบริเวณใกล้เคียงกัน นายเพิ่มสุขยืนยันว่าในฐานะลูกนายทหารเก่า พ่อยศร.อ. สามารถแยกแยะได้ระ หว่างทหารกับพลเรือน

นายชวลิต กล่าวว่า ส่วนเรื่องการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐและรัฐบาล นายเพิ่มสุข ยังไม่มีความคิดนี้ เพราะยังติดเรื่อง พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่

ให้ญาติ6ศพวัดปทุมฯร้องเรียน

ที่กระทรวงยุติธรรม นางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กล่าวถึงการช่วยเหลือด้านกฎหมายและการเยียวยาด้านการเงินให้กับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุมเสื้อแดงว่า ขณะนี้กรมคุ้มครองสิทธิฯ อยู่ระหว่างการประสานขอข้อมูลรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากศูนย์เอราวัณที่จัดทำไว้ตั้งแต่ต้น ซึ่งยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการกระชับพื้นที่ของศอฉ.ทุกรายสามารถยื่นเรื่องขอความช่วยเหลือและขอคําปรึกษาด้านกฎหมายต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ ได้ ทั้งนี้ ผู้เสียหายที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ยื่นเรื่องได้ที่กรมคุ้มครองสิทธิฯ ส่วนต่างจังหวัดยื่นได้ที่ยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ และขณะนี้มีผู้ได้รับผลกระทบยื่นเรื่องแล้วกว่า 10 ราย และอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูลในแต่ละรายอยู่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ชุมนุมและก่อการจลาจลหรือไม่

นางสุวณา กล่าวว่า ส่วนผู้เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม 6 ศพ ขณะนี้ยังไม่มีทายาทผู้เสียชีวิตเข้ามายื่นเรื่องร้องเรียน หากญาติผู้ตายต้องการขอความช่วยเหลือด้านกฎหมายก็สามารถมายื่นเรื่องได้ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เพื่อจะให้การช่วยเหลือต่อไป

พยานที่บาดเจ็บยัน-ทหารยิง

วันเดียวกัน นายเพิ่มสุข ใจเย็น อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/1 ถ.ราชทัณฑ์ อ.เมือง จ.นครพนม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ทหารกราดยิงจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอสใส่ผู้ชุมนุมในวัดปทุมวนาราม เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 พ.ค. เปิดเผยถึงเหตุการณ์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเฉียดตายว่า วันเกิดเหตุตนอยู่หน้า รร.โฟร์ซีซั่นส์ กำลังเก็บข้าวของในเต็นท์นครพนม 52 ได้ยินเสียงปืนไล่หลังมาจึงขับรถกระบะโตโยต้า สีน้ำเงิน ของตน ทะเบียน บน 3862 ร้อยเอ็ด เลี้ยวเข้าวัดปทุมวนาราม จอดอยู่ในวัดห่างประตู 6-7 เมตร ขณะเข้าวัดเวลาประมาณ 16.30.-17.00 น. วันที่ 19 พ.ค. ก็ได้ยินเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงนำรถมาจอดใกล้รถตู้สีขาว ของร.พ.วชิรพยาบาล และมีคนแอบรวมอยู่ด้วยประมาณ 3-4 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะมุดเข้าใต้ท้องรถ ส่วนตนชะเง้อมองดูพบว่าที่สะพานรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นและเห็นทหาร 1 นายส่องปืนลงมา ก่อนยิงมาที่ตน กระสุนถูกโคนขาด้านขวา 1 นัด และก้นด้านขวา 1 นัด ได้รับบาดเจ็บ จึงล้มตัวนอนกลิ้งเข้าไปหลบใกล้รถเข็น

เผยนาทีเหยื่อถูกยิงดับหน้าวัด

นายเพิ่มสุข กล่าวระบุว่า คนที่ยิงใส่ชุดทหาร คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงไล่หลัง 4-5 นัด ถ้าตนโผล่อาจจะถูกยิงซ้ำจนตาย พอพลบค่ำเสียงปืนจึงสงบ มีพระภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างเข้าที่กำบังในวัด ก่อนนำไปทำแผลกับหน่วยพยาบาลในวัด แล้วส่งไปรักษาต่อที่ร.พ.ตำรวจ

นายเพิ่มสุข กล่าวต่อว่า ขณะถูกซุ่มยิงบนสะพานรางรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น ตนยังเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังวิ่งเข้ามาบริเวณหน้าวัด เป็นชาย ถูกยิงที่หน้าอก 1 นัด และลำคอ 1 นัด ผู้เห็นเหตุการณ์จึงช่วยอุ้มผู้บาดเจ็บเข้ามาในวัด พยาบาลอาสาพยายามปั๊มหัวใจไม่ถึง 5 นาที ชายคนดังกล่าวจึงเสียชีวิต

"ยืนยันว่าคนที่ยิงเป็นทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบิดาตนคือ ร.อ.สุชาติ ใจเย็น เคยรับราช การที่ ม.พัน.11 ค่ายอดิศร จ.สระบุรี ก่อนย้ายมา ม.2 พัน.6 จ.ขอนแก่น ผมพบเห็นทหารและคลุกคลีมาแต่เด็กๆ หลังเกิดเหตุวันที่ 20 พ.ค. นอนรักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจแล้วจึงถูกส่งตัวกลับ แล้วขับรถกระบะคู่ชีพกลับบ้านที่จ.นคร พนม แต่จนถึงขณะนี้ยังนอนไม่หลับ เกรงจะมีคน ตามมายิงซ้ำอีก

เผยแดงสุรินทร์ถูกยิงตาย5ศพ

ที่จ.สุรินทร์ นายตี๋ใหญ่ พูนศรีธนากูล อดีต ส.ส.สุรินทร์ พรรคไทยรักไทย ประธานที่ปรึกษากลุ่มเสื้อแดงสุรินทร์ เปิดเผยว่า มีคนเสื้อแดงสุรินทร์เสียชีวิตจากการชุมนุมที่กทม.ระหว่าง 10 เม.ย.-19 พ.ค. จำนวน 5 ราย คือนายสมพาน หลวงชม ราษฎรบ้านจาน ต.ทับใหญ่ อ.รัตนบุรี นายกิตติพงษ์ สมสุข ราษฎรต.หนองหลวง อ.โนนนารายณ์ นายสวาท วางาม ราษฎรอ.ชุม พลบุรี นายประจวบ ประจวบสุข ราษฎรบ้านกรูด ต.เมืองลิง อ.จอมพระ และนายชาติชาย ชาเหลา ราษฎรบ้านเจ้าคุณ ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ เฉพาะนายชาติชาย จะฌาปนกิจศพในวันที่ 31 พ.ค.นี้ ที่เมรุวัดบ้านเจ้าคุณ ผู้เสียชีวิตทุกราย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ช่วยค่าปลงศพ รายละ 100,000 บาท มูลนิธิไทยคม ช่วยค่าเคลื่อนย้ายศพรายละ 20,000 บาท ผู้เสียชีวิตรายใดที่มีบุตร มูลนิธิไทยคมจะให้ทุนเรียนจนจบปริญญาตรีทุกราย และในวันเสาร์ที่ 29 พ.ค.นี้ เวลา 15.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงสุรินทร์ทั้งจังหวัด จัดงานทำบุญมหาบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตทุกรายทั้งทหาร ตำรวจ นักข่าว และพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกคน ที่บ้านสำโรง-หนองกา ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ โดยนิมนต์พระสงฆ์ จำนวน 99 รูป มาประกอบพิธี ขอเชิญชวนชาวเสื้อแดงสุรินทร์ทุกท่าน มาร่วมงานโดยทั่วกัน

คนเจ็บสุดท้ายของ"น้องหมู"แฉ

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่โรงพยาบาลกลาง ชั้น 9 แผนกผู้ป่วยศัลยกรรมชายสามัญ นายกิติชัย แข็งขัน อายุ 40 ปี เหยื่อคมกระสุนจากเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. นายกิติชัย อยู่ในสภาพเหนื่อยและอิดโรยเจ็บบาดแผลอยู่บนเตียงคนไข้ พร้อมเล่าถึงนาทีชีวิตที่รอดตายมาได้ว่า ตนมีอาชีพทำงานก่อสร้าง ทำงานก่อสร้างอยู่ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังเลิกงานตนจะลงมาหาเพื่อนที่เดินทางมาร่วมชุมนุม ตั้งเต็นท์จังหวัดขอนแก่น เพื่อมาพูดคุยกินข้าวกันตามปกติ หลังจากนั้นตนก็จะกลับไปนอนในแคมป์ที่พักคนงาน ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 19 พ.ค. นั้นตนก็ทราบว่าจะมีทหารเข้ามาบุกขอพื้นที่คืน และก็ได้ยินเสียงระเบิดและยิงปืนกันทั้งวัน จนกระทั่งได้ยินเสียงแกนนำออกประกาศว่าขอสลายการชุมนุม จนเย็นตนคิดว่าเรื่องต่างๆ คงจบไปแล้วไม่มีเหตุอะไรบานปลาย จึงได้เดินไปหาเพื่อน ทั้งนี้ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อตนเดินมาถึงจวนใกล้ถึงวัดปทุมวนาราม ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ตนรู้สึกตกใจกลัวมากและยังมีประชาชนคนอื่นๆ อีกหลายคนต่างก็วิ่งเข้าไปหลบในวัดปทุมวนาราม ตนรีบเข้าหาที่กำบังนอนราบหมอบกับพื้นใต้รถกระบะคันหนึ่งที่จอดอยู่ในวัด แต่เสียงปืนก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีกระสุนนัดหนึ่งมาโดนที่บริเวณหลังขวา ขณะที่ตนนอนหมอบอยู่รู้สึกทันทีว่าเจ็บบริเวณดังกล่าว ตนจึงได้ยกมือขวาร้องตะโกนบอกว่ายอมแล้ว แต่ก็ถูกยิงเข้าที่มือขวาอีกหนึ่งนัด และก็ได้ยินเสียงทหารบอกว่า ให้ออกมา ออกมา ตนจึงกัดฟันวิ่งไปหาทหาร และถูกทหารสั่งให้ถอดเสื้อออกและให้ยกมือขึ้น ก่อนจะสั่งให้วิ่งเข้าไปในวัดปทุมวนารามทั้งที่ตนถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ตนตกใจกลัวมาก จึงรีบวิ่งไม่คิดชีวิตจนไปพบกับเต็นท์พยาบาล และมีพยาบาลหญิงคนหนึ่ง ได้ให้ความช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนที่ตนจะสลบไป และเพิ่งจะมาทราบภายหลังว่า พยาบาลดังกล่าวที่ช่วยเหลือตนมาถูกยิงเสียชีวิตไป ตนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แฉอีก-นาทีการ์ดถูกยิงล้มทั้งยืน

นอกจากนี้ นายภัสพล ไชยพงษ์ อายุ 40 ปี อาชีพค้าขายและอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมในวันสลายการชุมนุมด้วยและถูกยิงได้รับบาดเจ็บ กล่าวว่า ตนขายของอยู่บริเวณใต้รถไฟฟ้าราชดำริ ขณะนั้นกำลังเก็บร้านอยู่ แต่ได้มีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกยิง 2 ราย และมีหน่วยกู้ภัยบอกให้ตนช่วยเหลือ ขับรถจักรยานยนต์กุยทางเพื่อนำคนเจ็บไปส่งที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งตนได้ขับรถพาไปส่งแล้วถึง 3 เที่ยว จากนั้นก็ได้มาจอดรถอยู่ที่เดิม ขณะนั้นตนได้ยินเสียงปืนดังขึ้นเป็นระยะๆ โดยที่บริเวณที่ตนอยู่นั้นมีการ์ดนปช.คนหนึ่งยืนอยู่กับตนด้วย ก่อนได้ยินเสียงกระสุนดังขึ้นหนึ่งนัด ก่อนที่การ์ดนปช.คนดังกล่าวจะล้มทั้งยืนลงมาทับร่างตน และพบว่าการ์ดนปช.คนดังกล่าว ถูกยิงเข้าหน้าผากกระสุนทะลุท้ายทอยด้านซ้าย และลูกกระสุนยังทะลุมาถูกลำคอของตน กระสุนฝังในก่อนจะหมดสติไป และมารู้สึกตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ เบื้องต้นแพทย์ไม่สามารถผ่าเอาหัวกระสุนออกได้ เพราะฝังอยู่ในกล้ามเนื้อ ใกล้กับเส้นประสาท คงต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจอีกหลายวัน

เผยชีวิตเหยื่อปืนชาวยโสฯ

ที่ จ.ยโสธร ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปบ้านมัน ปลา เลขที่ 223 ม.5 ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ซึ่งเป็นบ้านของนายพัน คำกอง อายุ 44 ปี เหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. พบเพียงนางฉัตร สุวเพ็ชร อายุ 63 ปี อยู่เลขที่ 140 ม.5 ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นแม่ยายของนายพัน ซึ่งปลูกบ้านอยู่คู่กับบ้านลูกเขยลูกสาว ลักษณะเป็นบ้านแบบชั้นเดียว ติดทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน

นางฉัตร กล่าวว่า ลูกสาวคือนางหนูชิด คำกอง พร้อมลูกๆ 4 คน และญาติพี่น้องทราบข่าวนายพันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค. จึงได้ประกอบพิธีเผาศพนายพัน ที่วัดในกทม. จะเป็นวัดอะไรนั้น ตนจำไม่ได้ และได้นำกระ ดูกนายพันกลับมาประกอบพิธีอุทิศส่วนกุศลที่บ้านเกิดในเช้าวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งตนและญาติพี่น้องได้นำกระดูกนายพันไปบรรจุอัฐิที่วัดป่าบ้านมันปลา ส่วนนางหนูชิด คำกอง ลูกสาวได้หอบเอกสารหลักฐานเดินทางไปติดต่อขอความเป็นธรรมจากรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลที่ กทม. เมื่อวันที่ 26 พ.ค. จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา

ทิ้งลูก4คนเผชิญชะตากรรม

นางฉัตร กล่าวว่า ที่บ้านยึดอาชีพทำนาปีละครั้ง และเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา หลังนายพันแต่งงานกับลูกสาวตนแล้ว ก็ได้อพยพไปทำงานที่ กทม. เพื่อหนีความแห้งแล้ง นางหนูชิด ลูกสาวทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม. ส่วนนายพันลูกเขยเช่ารถแท็กซี่ หลายปีผ่านไปลูกเขยลูกสาวเก็บออมเงินมาสร้างบ้านให้ตน และบ้านเขาเองเพื่อให้ลูกเขา ซึ่งมีด้วยกัน 4 คน หญิง 1 คน ผู้ชาย 3 คน ได้อยู่เพื่อเรียนหนังสือ ปัจจุบันลูกชายคนโตเรียนที่วิทยาลัยโปลี จ.อำนาจเจริญ ลูกสาวคนรองเรียนชั้น ม.3 ที่โรงเรียนบ้านกุดแห่วิทยา ลูกชายเล็กอีก 2 คน เรียนชั้น ป.4 และชั้น ป.1 ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ทุกวันหลานๆ ทั้ง 4 คน ต้องใช้เงินค่ารถค่าอาหารขณะไปเรียนหนังสืออย่างน้อยวันละ 60 บาท เมื่อลูกเขยซึ่งเป็นเสาหลักในการหาเงินจุนเจือครอบครัว มาเสียชีวิตลงลูกชายลูกสาวเขาที่กำลังเรียน คงเดือดร้อนแน่ ยิ่งเด็กชายสุพจน์ คำกอง อายุ 10 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.4 ป่วยมีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคหืดหอบ ต้องไปหาหมอประจำใช้เงินมากคงเดือดร้อนอย่างหนัก ลำพังตนทำนาปีละครั้งคงไม่มีเงินพอจะพาหลานไปหาหมอบ่อยๆ

นางฉัตร ยังกล่าวถึงวันที่ลูกเขยเสียชีวิตโดยได้ฟังจากปากของนางหนูชิด ลูกสาวว่า ก่อนเกิดเหตุในวันที่ 15 พ.ค. นายพันนำรถแท็กซี่ไปจอดอู่เพื่อตรวจก่อนจะเดินทางไกลมาที่ยโสธร เพื่อมาส่งลูกๆ ทั้ง 4 คน ในช่วงเช้าของวันที่ 16 พ.ค. เพื่อเรียนหนังสือหลังลูกเขยลูกสาวมารับลูกไปอยู่ที่ กทม. ช่วงปิดเทอม ก่อนลูกเขยจะขับรถมาจอดที่อู่ นางหนูชิด ลูกสาวบอกว่านายพันได้ร้องบอกนายคมกริช คำกอง อายุ 18 ปี ลูกชายคนโตให้บอกน้องๆ ให้รอกินข้าวด้วยกันพ่อจะซื้อกลับข้าวมาด้วย และนางหนูชิดลูกสาวมาทราบจาก ร.พ.อีกทีว่าสามีเสียชีวิตแล้ว

องค์การนิรโทษฯขอร่วมสอบ

เมื่อวันที่ 27 พ.ค. องค์การนิรโทษกรรมสากล ในกรุงลอนดอน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดทางให้ทีมสอบสวนนานาชาติเข้าไปช่วยสอบสวนพิสูจน์ความจริงกรณีที่ทหารใช้กำลังต่อผู้ชุมนุม เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

เคลาดิโอ คอร์ดัน รักษาการเลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า ทางองค์การ วิตกถึงสถานการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และก่อนหน้านั้นทหารเผชิญกับผู้ชุมนุมที่ใช้อาวุธ แต่การตอบโต้ที่เราเห็นก็คือ กองทัพยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบไม่เลือกหน้าในกลุ่มผู้ชุมนุม และมีบางกรณีที่เล็งเป้าหมายใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ นอกจากนี้ ยังไม่ทราบว่า มีผู้ชุมนุมจำนวนเท่าใดที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเสี่ยงต่อให้เกิดสภาพการละเมิดสิทธิ์ไม่ถูกลงโทษ ดังนั้นขั้นแรก รัฐบาลไทยต้องเปิดเผยว่า มีจำนวนคนเท่าใดกันแน่ที่ถูกควบคุมตัวอยู่ และจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเหมาะสม รัฐบาลไทยอาจต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ช่วยนานาชาติ เพื่อให้การสอบสวนเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**********************************************

นิรโทษกรรมสากลจี้ไทยเปิดทางทีมต่างชาติสอบสวน

เหตุสลายผู้ชุมนุม

เอเอฟพีรายงานเมื่อ 27 พ.ค. องค์การนิรโทษกรรมสากล ในกรุงลอนดอน ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเปิดทางให้ทีมสอบสวนนานาชาติเเข้าไปช่วยสอบสวนพิสูจน์ความจริงกรณีที่ทหารใช้กำลังต่อผู้ชุมนุม เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

เคลาดิโอ คอร์ดัน รักษาการเลขาธิการองค์การนิรโทษกรรมสากล กล่าวว่า ทางองค์การฯ วิตกถึงสถานการณ์จลาจลที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และก่อนหน้านั้นทหารเผชิญกับผู้ชุมนุมที่ใช้อาวุธ แต่การตอบโต้ที่เราเห็นก็คือ กองทัพยิงใส่ผู้ชุมนุมแบบไม่เลือกหน้าในกลุ่มผู้ชุมนุม และมีบางกรณีที่เล็งเป้าหมายใส่ผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ นอกจากนี้ ยังไม่ทราบว่า มีผู้ชมนุมจำนวนเท่าใดที่ถูกคุมขังอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเสี่ยงต่อให้เกิดสภาพที่การละเมิดสิทธิ์ไม่ถูกลงโทษ ดังนั้นขั้นแรก รัฐบาลต้องเปิดเผยว่า มีจำนวนคนเท่าใดกันแน่ที่ถูกควบคุมตัวอยุ่ และจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างเหมาะสม รัฐบาลไทยอาจต้องขอความช่วยเหลือจากผู้ช่วยนานาชาติเพื่อให้การสอบสวนเป็นอิสระและน่าเชื่อถือ

ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
***********************************************

'สมชาย' ซัด กองทัพแกล้งลูกเสธ.แดง


พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ

เป็น นายทหารเคยทำคุณความดี แต่ญาติพี่น้องไปขอเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทัพ กลับถูกปฏิเสธ บอกว่ากำลังสอบสวนวินัย ติงนายกฯ ควรเด็ดขาดในการดูแลงบประมาณกองทัพ...

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าววันนี้ (27 พ.ค.) ในการอภิปรายพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2554 ว่า การใช้งบของกองทัพที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบ ทั้งการจัดซื้อเรือเหาะ 350 ล้านบาท โดยวิธีพิเศษ หรือรถหุ้มเกราะจากประเทศยูเครน ที่ควรได้รับมอบรถตั้งแต่ปี 2552 จำนวน 54 คัน ด้วยงบประมาณทั้งหมด 4 พันล้านบาท จ่ายไปแล้ว 350 ล้านบาท จนถึงวันนี้ยังไม่ส่งมาสักคัน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องบินกริพเพน จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพอากาศ เพราะเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 ยังใช้การได้ดี ไม่ทราบว่าเป็นเพราะมีการรับเงินใต้โต๊ะมโหฬารหรือไม่

ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวต่อว่า อยากถามนายกฯว่าปล่อยให้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นเพราะทหารกลุ่มหนึ่งขีดเส้นให้นักการเมืองเดินตาม โดยส.ส.ต้องทำให้ถูกต้องไม่ใช่หวังจะอยู่ในเก้าอี้เท่านั้นวันนี้กองทัพ ต้องเป็นหลักไม่ใช่มาซุ่มยิงประชาชน เพราะในช่วงการชุมนุมที่ผ่านมามีข่าวว่า กองทัพอากาศเบิกกระสุนปืนไรเฟิล 500 นัด และกระสุนเอ็ม 16 นัด ที่ควรเอาไปใช้กับผู้ก่อการร้ายภาคใต้ และนายกฯควรมีความเด็ดขาดในการดูแลงบประมาณของพรรคร่วมรัฐบาลด้วย โดยที่ผ่านมาเคยยื่นเรื่องให้สอบการซื้อปืน เอเค 102 ของกระทรวงมหาดไทย ราคากระบอกละ 8.5 หมื่นบาท แต่นายกฯกลับเพิกเฉย

พ.ต.ท.สมชาย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ยังทราบว่ากรณี พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ถูกสไนปอร์ซุ่มยิงหัวจนเสียชีวิต เป็นนายทหารที่เคยสร้างคุณความดีบ้านเมือง และได้รับไว้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์ แต่ญาติพี่น้องไปขอเบิกค่ารักษาพยาบาลจากกองทัพ กลับถูกปฏิเสธ บอกว่าอยู่ระหว่างตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอยู่ แสดงให้เห็นถึงความอำมหิต โหดร้าย ไม่ใช่คนไทยด้วยกัน ขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงไปดูด้วย
**************************************************

หยุดเหวี่ยงแห

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้อำนาจในการออกหมายจับบุคคลต่างๆในข้อหาผู้ก่อการร้าย รวมถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลอาญาได้มีคำสั่งอนุมัติหมายจับตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้ยื่นคำร้อง แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ถูกกล่าวหาจะเป็น “ผู้ก่อการร้าย” หรือกระทำผิดจริง

ดังนั้น การดำเนินการของดีเอสไอหรือกระบวนการยุติธรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องก็ต้องคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพและสิทธิความเป็นมนุษย์ของผู้ถูกกล่าวหาด้วยว่ายังไม่ใช่ผู้กระทำผิดหรือเป็นผู้ก่อการร้าย จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลซึ่งถือเป็นที่สุด

ขณะที่หลายฝ่ายก็ตั้งคำถามว่า การกระทำของรัฐบาลและหน่วยงานรัฐในการกล่าวหาหรือใช้อำนาจในการจับกุมและกวาดล้างผู้ที่มีความคิดเห็นแตกต่างนั้นเป็นไปด้วยความยุติธรรมและชอบธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะการออกหมายจับตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 มาตรา 11 (1) ที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจจับกุมและควบคุมตัวบุคคลที่สงสัยว่าจะเป็นผู้ร่วมกระทำการให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือเป็นผู้ใช้ ผู้โฆษณา ผู้สนับสนุนการกระทำดังกล่าว หรือปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำให้เกิดสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินขอบเขตตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีข้อสงสัยว่า แม้รัฐบาลจะมีอำนาจดำเนินการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่มีและไม่เคยเปิดเผยหลักฐานชัดเจนที่เป็นองค์ประกอบของฐานความผิดดังกล่าวให้ผู้ถูกกล่าวหาและสาธารณชนได้รับรู้เลย อย่างที่คณาจารย์และนักวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยออกแถลงการณ์กรณีการจับกุมผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าเป็นข้อกล่าวหารุนแรงและเป็นการลิดรอนคุกคามเสรีภาพของบุคคลหรือไม่ โดยเฉพาะกรณี ดร.สุธาชัยยังถือเป็นการคุกคามเสรีภาพทางวิชาการอีกด้วย

แม้การใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความมั่นคงและความสงบสุขได้ แต่ก็อาจเป็นแค่ระยะสั้น เพราะหากรัฐบาลไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุและยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรมอย่างยุติธรรมและเป็นธรรม แต่กลับใช้อำนาจอย่างครอบคลุม ไม่แยกแยะ และปราศจากหลักฐานความผิดที่หนักแน่นชัดเจน โดยเฉพาะการถือโอกาสกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามทั้งทางการเมืองและกลุ่มบุคคลที่มีความคิดเห็นที่ขัดแย้งแล้ว

รัฐบาลก็ไม่อาจสร้างสังคมแห่งการปรองดองสมานฉันท์ได้ แต่จะยิ่งเพิ่มความหวาดระแวง ความกลัว ความโกรธ ซึ่งเป็นการปลูกฝังความขัดแย้งและเกลียดชัง ก็จะยิ่งทำให้สังคมไทยมีความขัดแย้งที่ขยายวงกว้างและรุนแรงมากยิ่งขึ้น

**********************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์วิพากษ์รัฐบาล อ้างปรองดอง แต่กลับเข่นฆ่าประชาชน

นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย กล่าวถึงการแสดงความคิดเห็นจากฝ่ายต่างๆเพื่อให้ประเทศผ่านวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้ว่า

"ผมเห็นด้วยที่หลายฝ่ายได้เสนอความเห็นสนับสนุนการปรองดอง เพราะการปรองดองสมานฉันท์เท่านั้น ที่จะป้องกันไม่ให้สังคมมีความขัดแย้งรุนแรงบานปลายต่อไป และสามารถกลับคืนสู่ความสงบสุขได้

แต่ปัญหาขณะนี้ คำว่าปรองดองได้ถูกทำให้สูญเสียความหมายไปหมดแล้วจากการกระทำของรัฐบาลทั้งในระหว่างการชุมนุมและในปัจจุบัน สังคมไทยจึงจำเป็นต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่าปรองดองกันใหม่เสียก่อน

นายกรัฐมนตรีได้ยกเรื่องปรองดองขึ้นมาหลังการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าที่ทำให้มีคนตาย 20 กว่าคนและบาดเจ็บ 900 กว่าคน แต่หลังจากนายกฯเสนอแผนปรองดองเป็นต้นมา กลับทำให้มีคนตายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70 คนและบาดเจ็บมากกว่าเดิม ทำให้การปรองดองมีความหมายเป็นการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนไป

และหลังจากการชุมนุมยุติลงแล้ว รัฐบาลก็พร่ำพูดแต่คำว่าปรองดอง แต่กลับมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนจำนวนมากอยู่ในสภาพหวาดกลัว หวาดระแวง โกรธแค้น เกลียดชัง ทำให้สังคมมีแนวโน้มที่จะแตกแยกมากขึ้นทุกที หากรัฐบาลยังมุ่งทำลายล้างประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาลต่อไป สังคมไทยอาจจะก้าวไปสู่ความรุนแรงยิ่งกว่าที่เคยมีมาแล้วในอดีต

ขณะนี้รัฐบาลและศอฉ.กำลังใช้พรก.สถานการณ์ฉุกเฉินฯอย่างเกินขอบเขต ขัดต่อกฎหมายและรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน การปิดกั้นเสรีภาพในการสื่อสาร เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางวิชาการ รวมทั้งการปิดกั้นแทรกแซงสื่อมวลชนยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดนี้ไม่ได้อาศัยข้อมูลหลักฐานเกี่ยวกับการทำผิดกฎหมายมาเป็นสาเหตุ แต่กลับใช้ดุลยพินิจบนพื้นฐานความคิดความเห็นทางการเมืองที่แตกต่างหรือตรงข้ามกับรัฐบาล ที่สำคัญการบัญชาการสั่งการทั้งหมด ทำไปโดยผู้ที่เป็นหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคการเมืองที่เป็นคู่กรณีกับประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล

การสั่งให้จับกุมดำเนินคดี รวมทั้งการระงับธุรกรรมการเงินของบุคคลและบริษัทเป็นไปแบบตามอำเภอใจและเห็นได้ชัดว่าเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล ทั้งในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง แก้ต่างข้อหาที่รัฐบาลถูกกล่าวหาว่าสั่งฆ่าประชาชนและทำลายเครือข่ายของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งย่อมจะเป็นประโยชน์ต่อพรรครัฐบาลในการเลือกตั้งในอนาคต

ขณะนี้รัฐบาลและศอฉ.กำลังข่มขู่ประชาชนผู้ร่วมชุมนุมโดยเฉพาะผู้ที่บาดเจ็บจำนวนมาก ต้องให้ปากคำในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล โดยขู่ว่าหากไม่ให้ความร่วมมือก็อาจจะตั้งข้อหาดำเนินคดี เพราะผู้ร่วมชุมนุมทุกคนอาจถูกข้อหาฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉินฯเสียเมื่อไหร่ก็ได้ ขึ้นกับดุลยพินิจของศอฉ.จะสั่งดำเนินคดีหรือไม่ การข่มขู่ลักษณะนี้ จะทำให้การที่จะให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเป็นไปไม่ได้เลย

รัฐบาลกำลังตกที่นั่งลำบาก โดยเฉพาะในสายตาของสื่อต่างประเทศและชาวต่างประเทศ ในกรณีการสังหารประชาชนในวัดปทุมวนาราม ผมได้มีโอกาสคุยกับผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ ซึ่งอยู่กับผู้ถูกยิงเสียชีวิตและเฝ้าศพตลอดทั้งคืน เล่าให้ฟังว่า ผู้ที่อยู่ในวัดปทุมวนารามส่วนใหญ่จะปักใจเชื่อว่าทหารยิงประชาชน และในกรณีนี้หากรัฐบาลยังแก้ตัวให้ทหารอย่างออกนอกหน้าอย่างที่ทำอยู่ ความโกรธแค้นเกลียดชังจะรุนแรงยิ่งขึ้น รัฐบาลอาจต้องประสบกับวิกฤตความชอบธรรมเร็วกว่าที่คาดไว้ แม้ว่าจะควบคุมสื่อทั้งหมดได้จนคนส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้ความจริงแล้วก็ตาม"
ที่มา.ประชาไท
.......................................................

ทักษิณให้สัมภาษณ์รายการวิเคราะห์ข่าวของ ABC ปฏิเสธข้อกล่าวหาก่อการร้าย

รายการ Lateline ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์ข่าวของ ABC ออสเตรเลีย ได้รับเชิญให้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ร่วมรายการด้วยการสัมภาษณ์ผ่านทางโทรศัพท์ และมีการนำเสนอถอดเทปสัมภาษณ์ฉบับตัวอักษรทางเว็บไซต์ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

........................

โทนี่ โจนส์ ผู้ดำเนินรายการ
ทักษิณ ชินวัตร ผู้ร่วมรายการ

โทนี่ โจนส์ : นี่คือการสัมภาษณ์อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ทักษิณ ชินวัตร ครั้งแรกสุดของโลกหลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในกรุงเทพ

คุณทักษิณ ถูกกองทัพรัฐประหารล้มอำนาจไปเมื่อปี 2549 ที่ผ่านมา และกำลังอพยพหนีทางการไทยไปยังประเทศต่าง ๆ ซึ่งทางการไทยได้ออกหมายจับเขาในข้อหาการก่อการร้ายเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดงซึ่งสนับสนุนเขา

ทางรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยได้เรียกร้องให้ตำรวจสากลจับกุมตัวและส่งมอบตัวเขาไปยังประเทศไทย

ในคืนนี้ทักษิณเป็นผู้ร่วมรายการที่จะมาพูดคุยกับเราเป็นเวลาสั้นทางโทรศัพท์

ขอบคุณคุณทักษิณ ชินวัตรที่มาร่วมพูดคุยกับเราครับ

ทักษิณ : ขอบคุณครับ ขอบคุณที่ชวนมาร่วมรายการ

โทนี่ : คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยังที่จะกลับไปยังประเทศไทยเพื่อเผชิญหน้ากับข้อหาก่อการร้าย ซึ่งพวกเขายกระดับข้อหาให้กับคุณ

ทักษิณ : ก่อนอื่น ขอผมแสดงความเห็นใจต่อการจับกุมตัวชาวออสเตรเลียที่เคยขึ้นเวทีเสื้อแดงก่อน จากการใช้ พรก. ฉุกเฉิน ที่ไม่โปร่งใสของพวกเรา ทำให้ผมเห็นใจเขามาก

แต่อย่างไรก็ตามการจะกลับไปหรือไม่นั้นยังไม่ใช่เหตุที่ต้องพิจารณาโดยเร่งด่วน

สิ่งที่เร่งด่วนในตอนนี้คือเราจะเห็นประเทศไทยกลับมาปรองดอง ซึ่งหมายถึงการปรองดองกันจริง ๆ ได้อย่างไร ถ้าหากผม หากว่าอะไรก็ตาม หากการเผชิญหน้ายังคงดำเนินต่อไป มันไม่เป็นเรื่องดีเลยสำหรับประเทศนี้ พวกเราต้องการเห็นความปรองดองกันเพราะว่ารัฐบาลมักจะพูดเรื่องการปรองดองอยู่เสมอ แต่พวกเขากลับใช้มาตรการเบ็ดเสร็จ (ironfist -- แปลตรงตัวว่ากำปั้นเหล็ก) พวกเขาไม่ได้ใช้วิธีการละมุนละม่อม (velvet glove -- แปลตรงตัวว่าถุงมืออ่อน ๆ ) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาใช้วิธีการเผชิญหน้ามากกว่าการปรองดอง

โทนี่ : แต่คุณทักษิณ มันมีข้อกล่าวหารุนแรง เรื่องการก่อการร้าย พวกเขาอาจใช้วิธีการประหารชีวิต คุณเป็นห่วงเรื่องตำรวจสากลจะ...

ทักษิณ : ครับ...

โทนี่ : ...จะ ตามตัวคุณ และจับตัวคุณไหม

ทักษิณ : ไม่ ผม...ผม...

โทนี่ : แล้วก็ส่งตัวคุณกลับไปไทยเพื่อดำเนินคดีในศาล?

ทักษิณ : ผมมั่นใจว่านี่ต้องเป็นคดีและข้อกล่าวหาที่มีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างแน่นอน มันไม่มีพื้นอะไรเลย ในใจของผมสละให้กับการชุมนุมอย่างสงบ เท่านั้น ผมสนับสนุนประชาชนของผม ที่พวกเรา ประเทศไทย ต้องการปรองดอง ผมบอกเสมอมาว่าผมต้องการเช่นนี้ คือมีความปรารถนาที่จะให้เกิดการปรองดอง

ผมไม่เคย ไม่เคยที่จะสนับสนุนความรุนแรง และทุกคนที่รู้จักผม และประเทศต่าง ๆ พวกเขาก็รู้ดีว่าไม่มีใคร ที่ไหนเลย ที่อดีตนายกฯ ผู้นี้จะกลายเป็นผู้ก่อการร้ายและทำร้ายประเทศของตนเอง ไม่มีทาง

โทนี่ : ข้อหล่าวหาที่มีอยู่จำเพาะเจาะจงมากว่า คุณเป็นคนจัดตั้งให้เกิดความวุ่นวายนี้ และคุณก็ให้เงินสนับสนุนเป็นไปได้ว่าจะมีการกำกับปฏิบัติการหรือมีลูกน้องที่คอยเป็นตัวแทนทำงานให้

ทักษิณ : หากกระบวนการนี้เป็นไปตามหลักนิติธรรม ข้อกล่าวหานี้ก็ไม่เป็นจริงเลย เพราะว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ เลยในเรื่องนี้ มันเป็นแค่ข้อกล่าวหาจากฝ่ายเดียว และในวันนี้ทางศาลก็ยอมรับข้อเสนอจากทนายของผมให้มีการระงับหมายจับเพื่อทบทวนในเรื่องนี้อีกครั้ง

โทนี่ : คุณเป็นห่วงเรื่องตำรวจสากลไหม หลังจากที่กระทรวงต่างประเทศของไทยเรียกร้องให้จับตัวคุณ พวกขาจะทำตามไหม

ทักษิณ : พวกเขาจะปฏิบัติตามอย่างแน่นอน แต่ตำรวจสากลมีบรรทัดฐานการตัดสินใจของตนเอง นั่นคือจะไม่ปฏิบัติตามอะไรที่มาจากแรงจูงใจทางการเมือง เรื่องนี้มีแรงจูงใจทางการเมืองอย่างชัดเจน และเป็นการอ้างที่ไม่มีอะไรรองรับ คุณรู้ไหมว่าบางครั้งรัฐบาลไทยก็เรียกร้องให้ตำรวจสากลออกหมายจับผม และตำรวจสากลก็พบทุกครั้งว่าข้อมูลของรัฐบาลไทยนั้นไว้ใจไม่ได้ และมีแรงจูงใจทางการเมือง

โทนี่ : อย่างน้อยก็มีนายพลคนหนึ่ง ที่อยู่ในหมูเสื้อแดงคอยสนับสนุนตุณอยู่ แล้วเขาถูกยิงเสียชีวิตในช่วงที่เกิดความวุ่นวาย คุณยังคงมีคนที่สนับสนุนคุณอยู่ในหมู่ทหารอยู่ไหม

ทักษิณ : คุณรู้ไหมว่ากองทัพนั้นอยู่ภายใต้ระเบียบเคร่งครัด พวกเขาจึงแค่ทำตามคำสั่งของเจ้านาย อย่างไรก็ตามหลายคนก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่กองทัพสังหารประชาชนของตนเอง

สิ่งที่คุณควรเป็นห่วงคือชีวิตของผู้บริสุทธิ์ 88 รายที่เสียชีวิตไป และอีกร้อยแปด อีกพันแปดคนที่ได้รับบาดเจ็บ คุณควรตรวจสอบในเรื่องนี้และการตรวจสอบจะต้องเป็นไปอย่างยุติธรรมด้วย แล้วตอนนี้ผู้ประท้วงที่บริสุทธิ์กว่า 300 รายก็ถูกจับกุมตัวภายใต้ พรก. ฉุกเฉิน ดังนั้น...ดังนั้น...

โทนี่ : คุณปฏิเสธเรื่องนี้หรือไม่ เรื่องที่ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกระทำไปในนามของคุณด้วย

ทักษิณ : ไม่มีทาง พวกเรา....

โทนี่ : ความรุนแรงกระทำโดยทหาร

ทักษิณ : พวกเราไม่เคย ไม่เคยเลยที่จะก่อความรุนแรง หากคุณมองในวิธีการที่ทหารกดดัน พวกเขาใช้รถถัง ใช้สไนเปอร์ พวกเขายิงทหารนายพลด้วยสไนเปอร์ พวกเขายิงประชาชนจำนวนมากด้วยสไนเปอร์ แม้กระทั่งที่วัดในวันสุดท้ายก่อนพวกเขาจะกลับบ้าน มีการสังหารหมู่ในวัด นี่คือสิ่งที่นานาชาติควรให้ความสำคัญ

โทนี่ : ในหมู๋ผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่สันติ มีพวกหน่วยติดอาวุธฮาร์ดคอร์รวมอยู่ด้วย เป็นคนกลุ่มเดียวกับที่โจมตีสิ่งก่อสร้างหลาย ๆ จุดในกรุงเทพฯ ...

ทักษิณ : ไม่...ผมคิดว่า...

โทนี่ : ...และที่อื่น ๆ หลังจากที่ทหารเข้าสลายการชุมนุม คนพวกนี้เป็นใคร คุณจะบอกว่าคนพวกนี้เป็นใคร

ทักษิณ : ถ้าคุณลองดูคุณจะรู้ว่าทำไมเสื้อแดงถึงเผาเซ็นทรัล ทำไมไม่เผาที่อื่น ต้องเป็นที่เซ็นทรัล ถ้าคุณดูการวิเคราะห์ในไทยคุณจะเข้าใจว่าเสื้อแดงนั้น พวกเขาไม่ได้มีความสามารถมากพอจะเผาสิ่งก่อสร้างทั้งหมดลงได้

พวกเขาอาจจุดไฟขึ้นมาด้วยความโกรธตามที่ต่าง ๆ แต่ก็เป็นแค่ไฟกองเล็ก ๆ ไม่ใช่ไฟกองใหญ่ ๆ การจุดไฟกองใหญ่ขนาดนั้นได้ต้องเป็นผลงานของคนที่เชี่ยวชาญเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่ฝีมือเสื้อแดงแน่และมันต้องมีการวางแผนไว้ก่อนล่วงหน้า ผมบอกคุณได้เลยว่าในฐานะที่เคยบวชมาก่อน (ในต้นฉบับใช้คำว่า as an ex-priest) ผมบอกเลยว่ามันวางแผนมาก่อนแล้วและกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ผมบอกได้เลยว่ามันเป็นการสร้างสถานการณ์

แม้แต่อาวุธที่พวกเขาเอามาแสดงให้ดู ก็เป็นอาวุธใหม่เอี่ยมที่ไม่ให้ใครแตะต้อง ความจริงคือไม่มีใครใช้อาวุธพวกนี้เลย หากเสื้อแดงมีอาวุธจริงทำไมไม่มีใครในฝ่ายทหารที่ได้รับบาดเจ็บเลยล่ะ (หัวเราะ)

โทนี่ : ดังนั้นคุณก็เข้าใจแล้วว่าข้อกล่าวหาคือบอกว่าคุณเป็นคนให้งบจำนวนมากให้พวกเขาซื้ออาวุธเพื่อจัดตั้งกลุ่มเสื้อแดง นี่จะกลายเป็นข้อกล่าวหาของคุณ

ทักษิณ : ไม่มีทาง พวกเราจะซื้ออาวุธพวกนี้มาจากไหนล่ะ พวกเราไม่ใช่กองทัพ แล้วเราจะซื้อได้อย่างไร แล้วก็ หากพวกเขามีอาวุธจริง ๆ ทำไมพวกเขาถึงยอมแพ้อย่างง่ายดาย ทำไมพวกเขาถึงไม่ยิงตอบทหาร ทำไมไม่มีการเสียชีวิตจากฝ่ายทหารเลย ดังนั้นคุณจะต้องมีเหตุผลมาก ๆ ในการเข้าใจสถานการณ์

โทนี่ : การประท้วงของกลุ่มเสื้อแดงจบลงแล้ว มันถือว่าเสร็จสิ้นไปหรือยัง มันจะเกิดขึ้นอีกไหม

ทักษิณ : ผมไม่ทราบ ไม่ทราบ พวกเขาถูกกลบไปแล้วตอนนี้ พวกเขาถูกตามล่าไปทั่วประเทศไทย พวกเขากำลังลำบาก พวกเขาถูกล่า นี่คือวิธีการที่รัฐบาลเรียกว่าปรองดอง โอเค ขอบคุณมาก ขอบคุณ

โทนี่ : ทักษิณ ชินวัตร ผมคิดว่าการคุยกันของเราจะจบลงตรงนี้ เอ่อยังไงก็ดูเหมือนคุณไปก่อนแล้ว ขอบคุณมากที่ร่วมรายการ

ที่มา
Thaksin Shinawatra speaks to Lateline, ABC
........................................................

ธาตุแท้ ‘เติ้ง’ ยุเลื่อนเลือกตั้งยาว!


แน่นอนว่าหากเป็นคนปกติ เป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ได้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือมีวัตถุประสงค์ใดๆ แอบแฝงแล้ว กรณีที่เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมจนมีทั้งผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก...คนที่ได้รับรู้ก็ย่อมจะต้องเศร้าใจ สลดใจเป็นธรรมดา ยิ่งถ้าเป็นคนประเภทใจอ่อน บ่อน้ำตาตื้น ยิ่งหนีไม่พ้นที่จะต้องมีน้ำตาคลอตา หรือมีคราบหยาดน้ำตาให้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ในการประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญเป็นพิเศษนัดแรก นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ซึ่งเป็นประธานการประชุม ได้ขอให้

ส.ว.ทุกคนยืนไว้อาลัยเป็นเวลา 1 นาที แก่ผู้เสียชีวิต 53 ราย และบาดเจ็บจำนวน 415 ราย จากมาตรการกระชับพื้นที่ และกระชับพื้นที่เพิ่มเติมของรัฐบาลที่แยกราชประสงค์ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. 2553 และไม่แปลกที่ นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา 1 ใน กลุ่ม 64 ส.ว. ที่ได้เสนอให้วุฒิสภาพิจารณาวาระตั้ง

คณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาและสอบสวนเหตุการณ์ที่รัฐบาลขอคืนพื้นที่ถนนราชดำเนิน อันเป็นเหตุให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่และประชาชนเป็นจำนวนมาก เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ก่อนเป็นวาระแรก โดยระบุว่ากรณีดังกล่าวทำให้มีเหตุต่อเนื่องมาจนถึงการปราบปรามที่แยกราชประสงค์วันที่ 14–19 พ.

ค. นำมาซึ่งเหตุการณ์จลาจล เกิดความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทุกฝ่าย รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศ ดังนั้นเพื่อให้สาธารณะได้ทราบพัฒนาการของเหตุการณ์อย่างครบถ้วน โดยเฉพาะกรณีวันที่ 19 พ.ค. ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะวันที่ 18 พ.ค. ประธานวุฒิสภาได้มอบให้ตัวแทน ส.ว. ไปเจรจาเพื่อไม่ให้

เกิดการเสียเลือดเนื้อ แต่ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นรัฐบาลกลับสั่งทหารใช้กำลังขอพื้นที่คืนนำมาซึ่งความเสียหาย จึงควรมีคณะกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา ซึ่งสุดท้ายแม้ว่าจะมีคนในกลุ่ม 40 ส.ว.สรรหา อย่างเช่น นายสุพจน์ โพธิ์ทองคำ นายสมชาย แสวงการ นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา จะคัดค้านการขอเลื่อนขึ้นมาเป็นวาระ

แรก แต่ขนาดนั้น กลุ่ม 40 สว.สรรหา และ ส.ว.อื่นๆ อีกส่วนหนึ่งก็ได้เข้าชื่อยื่นต่อนายประสพสุข เพื่อขอเสนอญัตติเปิดอภิปรายทั่วในวุฒิสภา ให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริง หรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161 เนื่องจากเห็นว่าสถานการณ์ทางการ

เมืองตอนนี้แม้การชุมนุมจะยุติไปแล้ว แต่ปัญหาความขัดแย้งยังมีคงหยั่งรากลึกอยู่มีการกระทำความผิดกฎหมายทั่วประเทศ กลุ่ม 40 ส.ว. ระบุว่า แม้รัฐบาลจะมีการประกาศแผนปรองดองออกมา แต่สถานการณ์ ณ วันที่ประกาศแผนออกมากับสถานการณ์ในวันนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วุฒิสภาจึงเล็งเห็น

ความสำคัญที่จะให้คณะรัฐมนตรีเข้ามาชี้แจงถึงสถานการณ์ ที่เกิดขึ้น โดยจะเป็นโอกาสที่ดีของรัฐบาลในการชี้แจงต่อวุฒิสภา ที่ผ่านมาแม้วุฒิสภาจะเคยขอเปิดอภิปรายไปแล้ว แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุรุนแรงเช่นนี้ วันนี้จึงต้องระดมความเห็นหาทางออกไม่ใช่วิกฤติถูกกวาดเก็บไว้ใต้พรม รอวันปะทุขึ้นมาอีก

เช่นเดียวกับนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และเพื่อน ส.ว. จำนวน54 คน ก็ได้ร่วมกันเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ 50 มาตรา 161 ยื่นญัตติของเปิดอภิปรายทั่วไปรัฐบาลโดยไม่ลงมติ เพื่อให้รัฐบาลมาชี้แจงต่อวุฒิสภาในการประชุมสภาสมัยวิสามัญนี้โดยเร็ว ในประเด็นเหล่านี้

1. รัฐบาลได้อำนาจมาโดยไม่ชอบอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่
2. การสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ รัฐบาลใช้วิธีการใดทำให้มีคนถูกยิงตายหลายสิบคนและบาดเจ็บจำนวนมาก
3. ความสูญเสียในทรัพย์สินเอกชนซึ่งมีสาเหตุส่วนหนึ่งเกิดขึ้นมาจากการเข้า สลายการชุมนุม รัฐบาลจะชดใช้อย่างไร
4. คนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ รัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างไร
5. ทำไมรัฐบาลจึงหลีกเลี่ยงแนวทางที่ส.ว.กว่า 60 คนเสนอด้วยการให้มีการเจรจาแทนการเข้าสลายการชุมนุม รัฐบาลเล็งเห็นผลหรือไม่ว่า จะมีการบาดเจ็บล้มตายและสุ่มเสี่ยงต่อการลอบวางเพลิง
6. รัฐบาลใช้แผนการใดในการเข้าสลายการชุมนุม มีการใช้กองกำลังทหารและเจ้าหน้าที่รัฐจากหน่วยใด ใช้งบประมาณเท่าไร
7. รัฐบาลจะแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองอย่างไร และในทางกฎหมายจะตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลในทางใดบ้าง
8. การชุมนุมเกิดความสูญเสียต่อสื่อ ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการใช้อำนาจรัฐปิดกั้นสื่อที่เป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาล และใช้สื่อที่เข้าข้างรัฐบาลออกมาให้ข้อมูลที่บิดเบือน รัฐบาลแก้ปัญหาการปิดกั้นสื่ออย่างไร
9. พรรคร่วมรัฐบาลมีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินใจในสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ และจะร่วมรับผิดชอบต่อความรู้สึกและความสูญเสียจำนวนมากของประชาชนอย่างไร
10. ปัญหาและข้อเท็จจริงอื่น

กรณีเหล่านี้คือความรู้สึกของประธานวุฒิสภา และ กลุ่มส.ว. ที่เห็นว่าเรื่องนี้คือการสูญเสียที่สมควรจะต้องมีการตรวจสอบ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ในขณะที่ วุฒิสภา ซึ่งไม่ใช่นักการเมืองมืออาชีพ ยังรู้สึกสลดใจเศร้าใจ แต่กลายเป็นว่านักการเมืองมืออาชีพ ทั้งๆ ที่ได้ขึ้นมาเพราะประชาชน คนช่วยกันเลือกนั้น บางคนกลับไม่

ได้มีการแสดงออกซึ่งความเสียใจ เศร้าใจกับผู้สูญเสียเลย ที่ผิดคาด และเป็นที่น่าผิดหวังอย่างยิ่งคือ กรณีของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังเกาะหนึบในการเป็นรัฐบาลอย่างไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร กับการมีมติให้ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการขอคืนพื้นที่และสลายการชุมนุม ทั้งๆ ที่มติในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าอย่างไรพรรค

ร่วมรัฐบาลทุกพรรค ก็ย่อมจะต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด... ซึ่งแน่นอนว่าระดับนักการเมืองมืออาชีพ แถมเขี้ยวโง้งระดับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล หรือผู้อาวุโสของพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ย่อมจะต้องรู้ดีโดยปฏิเสธไม่ได้ แต่ใครจะคิดว่า มาจนถึง พ.ศ. 2553 อย่างนี้แล้ว นายบรรหาร ศิลปอาชา ตัวจริงเสียงจริงเจ้า

ของพรรคชาติไทยพัฒนา จะฉวยโอกาสเล่นบทปลาไหลใส่สเก๊ตอีกครั้งหนึ่ง ให้อ้าปากค้างตกตะลึงพรึดเพริดไปตามๆ กัน อานุภาพในการอยากเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะมากมายขนาดนี้เชียวหรือ?? ถึงได้ทำให้นายบรรหาร กลายเป็นนักการเมืองเลือกตั้งที่ไม่อยากให้มีการ

เลือกตั้งเกิดขึ้นโดยเร็ว จนถึงขนาดออกโรง วอนให้นายอภิสิทธิ์เลื่อนวันเลือกตั้งออกไปจากวันที่ 14 พฤศจิกายน... ชนิดยิ่งยืดออกไปได้นานมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น นายบรรหารผู้ไม่เคยพูดถึงการแสดงความรับผิดชอบของรัฐบาลและพรรคร่วม เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมแล้วเกิดคนตาย บาดเจ็บ และบานปลาย

ไปจนถึงการเผาประท้วงกันวุ่นวายหลายจุด ทั้งๆที่เสียงสะท้อนระงมไปหมดในเรื่องนี้ แต่ใครจะคิดว่า นักการเมืองอาวุโสอย่างนายบรรหาร ซึ่งได้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดในชีวิตบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี เพราะผลการเลือกตั้งจากประชาชนมาแล้ว กลับทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สมที่มีคนสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ จากการตัดสินใจ

ของรัฐบาล ทำให้มีการวิเคราะห์กันวุ่นไปหมดว่า ยอมเปลืองตัวถูกคนด่ากันอื้ออึงเช่นนี้ มังกรเติ้งดีดลูกคิดในรางแก้ว หวังผลอะไรอยู่ลึกๆ กันแน่ การที่นายบรรหาร หลงจู๊ใหญ่ตัวจริงเสียงจริงของพรรคชาติไทยพัฒนา ต้องรีบออกมาปูทางให้รัฐบาลลากเกมยาวต่อไป ชนิดไม่เห็นด้วยกับวันที่ 14 พฤศจิกายน ปลายปี

นี้ ทั้งๆที่ทุกพรรคก็ถูกยุบสภาพร้อมกัน และต้องเลือกตั้งพร้อมกัน จึงไม่ควรจะมีใครได้เปรียบเสียเปรียบในการหาเสียงไปมากกว่ากันทั้งนั้น ฉะนั้นเป้าจึงเพ่งเล็งใส่นายบรรหารเต็มๆ ว่า เป้าใหญ่ไม่น่าจะเพราะกลัวการเลือกตั้ง แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง งบประมาณประจำปี 2554 เสียมากกว่า เพราะมีทั้งงบปกติ งบลงทุน

ที่เพิ่มขึ้นจากแผนไทยเข้มแข็ง งบชดเชยความเสียหายต่างๆนาๆ จากเหตุวิปโยค คนเสื้อแดงและประชาชน ผู้ประกอบการธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติการชุมนุมของม็อบ นปช. แม้ลึกๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่านายบรรหาร นักเลือกตั้งมืออาชีพจะคิดอย่างนั้นจริงๆ จะสนใจแต่เรื่องผลประโยชน์จนลืมประชาธิปไตยจริงๆ???

เกมนี้ต้องบอกว่า ถ้าเป็นเรื่องจริง นายบรรหารก็เสี่ยงอย่างมากกับอนาคตการเมือง แต่ถ้าไม่ใช่ เพียงแค่ต้องการให้นายอภิสิทธิ์งับเหยื่อแล้วตกเป็นจำเลยประชาชน เพราะไปเลื่อนการเลือกตั้งจากวันที่ 14 พฤศจิกายนออกไป... เพราะนายอภิสิทธิ์จะได้มีแต่เสียกับเสีย ถึงขั้นประ

ชาธิปัตย์ อาจจะต้องชวดการเป็นรัฐบาลไปเลยก็ได้... ทั้งๆที่หากเลือกตั้งเร็วที่สุดในช่วงพลังหนุนหนักแน่นเช่นนี้ ควรจะกวาดเก้าอี้ได้มหาศาลด้วยซ้ำ งานนี้ แสบไม่แสบ ลึกไม่ลึก ต้องคอยดูผลลัพธ์จากนายบรรหารนั่นแหละเป็นคำตอบ ปลาไหลใส่สเก็ตจริงๆ เติ้ง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************

ประชาชนคือประชาธิปไตย

มีหลายคำถาม..ที่เมื่อถามไปแล้วไม่มีใครอยากตอบ...หรือเมื่อตอบไปแล้ว..มันก็ยังเป็นคำถาม..อย่างภริยาถามสามีว่า...คุณรักฉันไหม...มันเป็นคำถาม..ที่รู้คำตอบล่วงหน้า..และถึงจะรู้คำตอบล่วงหน้าไปแล้ว ก็ยังอยากจะถามอีก เหมือนคำถามที่ว่า..ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบอะไร...คำตอบก็คือ...ประชาธิปไตย..แต่คนที่ตอบไป...แน่ใจในคำตอบนั้นหรือ...การเลือกตั้ง..เป็นชีวิตและลมหายใจของ

ประชาธิปไตย..แต่สิ่งที่ได้มาจากการเลือกตั้งต่างหาก ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย… แขวนป้าย ชวน หลีกภัย...คือชัยชนะของการเลือกตั้งส่วนใหญ่ในภาคใต้...เขาเลือกใครก็ได้เพราะเขาเลือก ชวน หลีกภัย ชวน หลีกภัย เป็นตำนานมานานแสนนาน..มันเป็นประชาธิปไตยแบบมีอัตตา..หรืออัตตาธิปไตย.. ทักษิณ ชินวัตร

เกิดขึ้นมา...ไม่แตกต่างจาก ชวน หลีกภัย ในภาคใต้..เพียงแต่ว่าภาคอีสานมันโตกว่า มันมโหฬารกว่า… ใครก็ได้ถ้าแขวนป้ายทักษิณ… ประชาธิปไตยคือการเลือกตั้ง..มี ชวน หลีกภัย กับ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น..ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดบนการเลือกตั้ง...เราดูแคลนว่า..ประชาชนคนไทย ยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง...

แต่มีแค่ 2 คนเท่านั้น..ที่ประชาชนเลือกก่อนวันสมัคร..และรักที่จะเลือกใครก็ได้..ที่ ชวน หลีกภัย และ ทักษิณ ชินวัตร ส่งมา… ประชาชนเดินหน้าไปไกลกว่าองคาพยพทั้งหลาย..ไปไกลและเป็นประชาธิปไตยกว่า..ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย… ถ้าจะให้ประชาธิปไตยเติบใหญ่..ถ้าจะให้วงจรอุบาทว์พ้นไปจาก

ประเทศนี้....จงมอบประเทศนี้ให้กับประชาชน..บนการเลือกตั้งตำแหน่งเดียวคือ....นายกรัฐมนตรี..จากบัญชีปาร์ตี้ลิสต์… ให้นายกรัฐมนตรีมาจากประชาชน..ไม่ใช่จากการเมืองฉ้อฉลในรัฐสภา ให้นายกรัฐมนตรีมาจากประชาชน...เขาถึงจะไม่ถูกโค่นล้มจากวงจรอุบาทว์..เขาจึงจะสร้างคณะรัฐมนตรีที่ดีที่สุดขึ้นมาได้

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

เมื่อในประเทศเซ็นเซอร์ก็ต้องดูของต่างประเทศ