--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ออกลายมาเลย..ออกลายให้เห็น


ออกลายมาเลย..ออกลายให้เห็น
“คุณภาพ” ยังคงเต็มร้อยแน่นเอี๊ยด ไม่ลดดีกรีการ “แถ” สับปลับ ลิ้นหลายแฉก ตามประสาคน “ปากเหม็น”???“มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดประเด็น ก่อหวอด ต่อยอด เพื่อพังนั่งร้าน “โรดแมป” ปรองดองแห่งชาติ ที่ตัวเองสรรสร้าง “วิมานกลางอากาศ” ให้พังครืนรายชั่วโมงโยกโย้! ยึกยัก! ยอกแยก!....แหกตาจนคน เขาพากันสาปส่งอยู่ๆ ก็ “เม็คเรื่อง” ว่า “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” และ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ทะลุกลางแจ้ง ขึ้นมาขัดลำกล้อง ขวาง “โรปแมปปรองดอง”...จับกระแสได้ ล้วนเป็นความ “อ้อล้อ” เสกสรรปั้นวาจา ของ “นายอภิสิทธิ์” ทั้งเพ....พอจับได้ไล่ทัน ก็ปรู๊ดปร๊าด ฟาดงวงฟาดงาไปโน้น หาก “เดินสาย” ไปหาเสียงต่างจังหวัดแล้ว “ม็อบแดง” ต้าน ..จะยุติ “การยุบสภาฯ” และ เลือกตั้งในวันที่ “๑๔ พฤศจิกายน” ทันที!!!“โรดแมป” ที่ท่านผุด....ดูแล้วเป็นคำพูด?...สุดจอมปลอมสิ้นดี???
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ใช้ ‘บริการมาร์ค’ แล้ว..ไม่ประทับใจ
“โค่นแดง-แทงทักษิณไม่อยู่”.......ในเมื่อ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ล้างบาง เก็บกวาด เช็ดถู กลุ่มคนกลุ่มนี้ไม่ได้ แล้วจะเก็บ “เหงียนมาร์ค” เอาไว้ทำพันธุ์ กันทำไม??ในที่สุด นักการเมืองรุ่นพระเจ้าเหา “นายหัวชวน หลีกภัย” อดีตนายกรัฐมนตรี ๒ สมัย...โอกาสเป็น “เชนคัมแบ็ก” เดินตัวลิ่ว เจี๊ยะเต้ เปิบ หม่ำ ตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีรอบ ๓” ก็อยู่ใกล้แค่รักแร้เอื้อมเชื่อว่า ถ้า “ชวน” คุมทำเนียบ..ใครไม่กล้าเหยียบ “กลุ่มอำมาตย์” ให้เสื่อมอีกอย่าง “ชวน” เป็นผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ที่เอาตัวเข้าไถ เอาไหล่เข้าถู ในการปกป้อง “กลุ่มอำมาตย์” อย่างไม่คิดชีวิต... เป็นเอกลักษณ์แห่งเอกบุรุษ ที่ “กลุ่มอำมาตย์” ต้องการเชิด ต้องการชัก เป็นอันมากส์!!!“ชวน” เป็นพวกถวายหัว.....เดินหน้าเชียร์ “อำมาตย์” โดยไม่กลัว?..ชนิดหาตัว จับยากส์??
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้า ‘แดง’ ก้าวไปถึงดวงดาว!!!
คนที่ได้โควตา สัมปทาน กรรมสิทธิ์ เป็น “นายกรัฐมนตรี” คงไม่พ้นบั่นก้นงามๆ “อ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง นักประชาธิปไตย มือเก๋าส์???เข้าทั้งฟ้า เข้าทั้งดิน ได้แนบแน่น เป็นทองแผ่นเดียวกัน ..ไม่เป็นแผ่นเดียวตกร่อง ให้รำคาญ แก่มิตรรักแฟนเพลงคอการเมือง อีกด้วย“ลุงนันต์” อนันต์ ฉายแสง ผู้เป็นบิดาหัวคิด....ก็เป็น “มือประสานสิบทิศ” เป็นตัวช่วยมหาประชามวลชน “อีสานและเหนือ” ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ในการคอนโทรล ส.ส.ให้อยู่ในมือ..ก็ได้เพื่อนรักเพื่อนเลิฟ ที่เข้าไปอยู่ในพรรครุ่นเดียวกัน “อดิศร เพียงเกษ” เป็นทัพหลวงหนุนเต็มที่!..โดยมี “ปลอดประสพ สุรัสวดี” ญาติสนิท.... “ท่านผู้หญิงวิริยา ชวกุล” เป็นแบ็ก ทั้งหนุน ทั้งดัน!!!“พาทัวร์”เดินสายพบผู้ใหญ่......ทุกคนโอเค รับ “จาตุรนต์”ได้...โดยมั่นใจ “ไทย”จะพ้นวิกฤติ “ทางตัน”????
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘เสียของ’ ไร้ประโยชน์ ซะจริง!
ลุล่วง การแหวก แหกด่านม่านประเพณี เข้ามาเป็น “รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ” ของ “สามสี ภูเขาทอง” ไตรงค์ สุวรรณคีรี ..เข้าไปเดือนที่ ๖-๗ แล้ว “ภาพ” การทำงาน มีแต่กระรุ่งกระริ่ง???ผลงานนิ่ง! เป็นพวก “ลิงกระแห” ไม่บรรลุความสำเร็จ แม้เรื่องเดียว!....ยิ่งกว่านั้น เป็นมือเศรษฐกิจ มือเศรษฐศาสตร์ แบบ “หลงยุค” ตกรุ่น ตกเทรน หมดอนาคต ทางความคิดเห็นผลงานแล้วน่าห่วง...เป็นตัวถ่วง “รัฐบาลอภิสิทธิ์”ประสานเสียง ก็เป็นคนละโน้ต คนละคีย์ กับ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่คุมด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น “เจ๊วา” พรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์, “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” รมว.อุตสาหกรรม...กระทั่ง ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” และ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่เป็นคนพรรคเดียวกัน ยังสื่อความหมาย เข้ากันไม่ได้!!!“ท่านไตรรงค์ สุวรรณคีรี”.....กลายเป็น “มิสเตอร์ยี้”?...ที่รังเกลียดของคนทั่วไป??
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ไม่ใช่ ‘ตะเกียง’ ที่ไร้แสง!!!
มิเช่นนั้นหรือ?... จะทำ “ตัวเว่อร์” เกินมาตรฐานเช่นนี้...สำหรับ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” ผู้มีนิคเนมว่า “เสธ.แดง”???สวนหมัด “ชกข้ามรุ่น” ทั้ง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”“พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ตีรวน กันอย่างไม่ลดละแม้แต่คนสีเดียวกัน “วีระ มุสิกพงศ์”, “จตุพร พรหมพันธ์”, “ณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” ยังหักงวงไอยรา ฟาดหางจระเข้ บาทาลูกพักตร์ กวางเหลียวหลัง ...ล้วนโดน “เสธ.แดง” ถล่มด้วยแม่ไม้มวยไทย อย่างไม่ไว้หน้าเสร็จสรรพ!!!ถ้า “แบ็ก” ไม่แข็ง.......คนหนุนไม่แกร่ง?.... “เสธ.แดง” ม้วนเสื่อไปนาน แล้วล่ะครับ??
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
********************************************************

กระหายเลือด


ต้องดูท่าทีกันไป..ทันทีที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศเลือกตั้ง วันที่ 14 พฤศจิกา พร้อม เสนอ แนวทาง “ปรองดอง” และ “โรดแมป 5 ข้อ” ขึ้นมา
ซึ่งยังไม่รู้ว่ามันคือ “ยาพิษ”หรือ “น้ำผึ้ง”!!เป็นการปรุงยาขนานนี้ขึ้นมาเพื่อให้ นปช. และ “คนเสื้อแดง” นำไปเขี่ยๆ ดูว่า เมื่อหยิบเอามา กิน ดม ถู ทา แล้วจะ

พอเห็นลู่ทางเกิดสัมพันธ์ภาพกันได้หรือไม่??แน่นอน..เพราะ “ยาทุกขนาน” ที่ส่งออกมาจาก “รัฐบาลอภิสิทธิ์” แล้วหยิบยื่นให้ นปช.มันน่าจะเป็น “ยาพิษ” ซะมากกว่า “ยาถอนพิษ”!!จะให้ “คนเสื้อแดง” ยกซดอย่างกระหาย.. แล้ว “ยื่นมือออกมา” ให้จูงไปง่ายๆ น่ะ..มันไม่ใช่อยู่แล้วเพราะอะไร..ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แก่ใจ!!ไม่ว่าจะเป็น ลับ ลวง พราง /ลุย ถอน ราก /กระชาก ลงคู/ อย่าอยู่เลยพวกมึง/ดึงให้เป็นผู้ก่อการร้าย/ทำลายสถาบัน ฯลฯสิ่งต่างๆ เหล่านี้ อภิสิทธิ์ และ สุ

เทพ เทือกสุบรรณ หยิบยื่นมาให้ตลอดระยะเวลาที่ “คนเสื้อแดง” ฮันนีมูน อยู่ที่ ราชประสงค์ล่อยามาทุกขนานจนอิ่มแป้กลายเป็น “คนดื้อยา” ไปแล้ว??ดังนั้นแผน “โรดแมป” จึงทำได้แค่ ให้ “คนเสื้อแดง” หันมาเมียงมองเท่านั้นแต่ “พันธมิตร” น่ะซี!..กลับยกขึ้นมาซดเอง โฮก โฮก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องจากนั้นก็ด่า “อภิสิทธิ์” ว่า “ไอ้เฮงซวย” เพราะตั้งแต่ต้นปีไล่ดะมาจนถึงขณะนี้ “หล่อฮังก๊วย” ไม่ได้รับสิ่ง “เฮง” เลย.. มีแต่ “ซวย” ส่งมาให้ล้วนๆเริ่มจาก..มีก้อนขี้

ขว้างบ้าน ต้องหลบนอนในกรมทหาร และ ที่สำคัญ หนังเรื่อง “ทรราชรุ่นกระเตาะ”กำลังจะเตรียมลงโปรแกรมในเร็วๆ นี้อีกตระหากเท่านั้นยังไม่พอ พล.ตรี.จำลอง ศรีเมือง ลืมตัวดันสวมวิญญาณ ผบ.ทบ.สั่งทหารโดยพละการว่า สลายม็อบมันเลย ฆ่ามันเลย!!แทนที่จะสั่งฆ่า “อภิสิทธิ์” เพราะโกรธ “อภิสิทธิ์” แต่ดันสั่งทหารให้ไปฆ่าประชาชนคนเสื้อแดง...ไม่น่าเชื่อ “ผู้ทรงศีล” ในสายตาชาวบ้าน..แท้จริงคือ “ผู้กระหายเลือด” ตัวจริง..อามิตพุทธ!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

นายกฯ ของคนไทย

“ความเห็นพ้องต้องกันของกลุ่มคนส่วนใหญ่ คือ ยังต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...ดัชนี้บ่งชี้ว่าเราเป็นเพลสเตตหรือไม่ มันชี้ชัดว่าเราไม่ใช่ เราไม่ได้เป็นเพลสเตต เราเป็นเพลโกเวิร์นเมนท์เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว ไม่สามารถดูแลสถานการณ์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาได้ดีเท่าที่ควร”
คือ คำให้สัมภาษณ์ของ มรว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งมาจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเดียวกับนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

เป็นคำให้สัมภาษณ์ที่บอกอะไรหลายอย่างจากความคิดของคนในพรรคเดียวกัน จากนายกฯ เล็กพูดถึงนายกฯ ใหญ่ ของการทำงานในการบริหารประเทศ
เป็นการพูดแบบตรงไปตรงมาชัดเจน ท่ามกลางการเมือง วิปริต อาเพศของประชาธิปไตยประเทศไทย และท้าทายให้เกิดความรู้สึกกับคนทั่วไป ที่มีเพียงไม่กี่คนสามารถจะพูดความจริงแบบนี้ได้ อย่างตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม เพื่อการมองประเทศที่ถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนและเข้าข้างในฐานะที่อยู่พรรคเดียวกัน

คำพูดอย่างนี้จะมีประโยชน์และเป็นกระจกส่องให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ดูโดยไม่หลอกตัวเอง และจมปลักอยู่กับอำนาจและการอุ้มชูของคนรอบข้าง เพื่อทบทวนตัวเองเฉกเช่นเดียวกันความคิดความเห็นของนักวิชาการอย่าง สมชาย ปรีชาศิลปะกุล จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เรื่อง “นิติรัฐที่ไว้นิติธรรม” ใน นสพ.มติชน ฉบับ 10 พ.ค. 53 ในหน้า 6 ที่บอกว่าแม้กระทั่งในปัจจุบันก็ยังเห็นได้ชัดว่า มีการเลือกบังคับใช้กฎหมายเฉพาะกับ

บุคคลที่ยืนอยู่คนละข้างฝ่ายกับอำนาจรัฐ แต่หากเป็นการกระทำของบุคคลที่สนับสนุนรัฐบาล หรือต่อต้านผู้ชุมนุม ก็จะไม่มีการนำกฎหมายมาบังคับใช้ เช่น เมื่อมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การชุมนุมไม่ว่าของบุคคลใดหรือมีจุดยืนทางการเมืองแบบใดก็ล้วนเห็นสิ่งผิดกฎหมายทั้งสิ้นความหมายของการนำนิติรัฐกลับมาสู่สังคมไทย ซึ่งมิใช่จะมุ่งบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ชุมนุมเท่านั้น หากยังต้องตระหนักถึง นิติธรรมว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจขาดหายไปได้ถ้ามีเพียงบังคับใช้

กฎหมายอย่างจริงจัง แต่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า นิติธรรม ดำรงอยู่ก็อาจทำให้เป็นได้ชัดเจนว่า ทั้งหมดเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างเพื่ออยู่ในอำนาจต่อไป โดยไม่ได้มุ่งหวังจะนำสันติสุข กลับคือมาแต่อย่างใดทั้งหมดเป็นเรื่องที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องตระหนัก ต้องคิด และต้องแสดงให้ผู้คนทั่วไปเห็นความจริงใจมากกว่าสิ่งที่พูดผ่านปากออกมานายกรัฐมนตรีที่คนไทยจะยอมรับนับถือได้ต้องสง่างามกว่าที่ท่านเป็นอยู่ครับ

คอลัมน์ ปัญหาโลกแตกมดคันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................................................

“ผู้ไม่หวังดี”

-บางกอก Gossip ฉบับวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2553 วันที่ “เพชรฉกรรจ์” ตั้งความหวังไว้มากว่า...บ้านเมืองจะกลับสู่ “ภาวะปรกติ” แม้จะมีเหตุการณ์ไม่สงบอยู่บ้างที่เกิดจาก “ผู้ไม่หวังดี” ที่จะเห็นความปรองดอง...ภาวนาให้รัฐบาลโดยเฉพาะ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี และแกนนำ นปช.โดยเฉพาะ “วีระ มุสิกพงศ์” หนักแน่นเข้าไว้...และตั้งเป้าที่ประโยชน์และความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นหลักก่อนอย่างอื่น...ทำเป็นไม่ได้ยิน “เสียงนกเสียงกา” บ้างก็ได้ ไม่เห็นจะลำบากตรงไหน?!…

-ขณะเดียวกันนายกฯ ต้องปรามบรรดา “โฆษกฯ”ทั้งหลาย ทั้งโฆษกประจำตัว “เทพไท เสนพงศ์” สนุกนักใช่มั๊ยกับการตั้งแกนนำเสื้อแดงเป็น รัฐมนตรีกระทรวงโน้นกระทรวงนี้ ประชดประชันไม่ได้หยุดในบรรยากาศปรองดอง ขณะเดียวกัน ศอฉ.ศูนย์อำนวยการฉอดๆ ที่มี “ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ฉอดเป็นหลัก ดูจะเงียบลงไป ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ดี...แต่ตัวนายกฯ เองก็ต้อง “ไม่ท้าทาย” หรือ “ขีดเส้นตาย” อย่างที่พูดใน รายการเชื่อมั่นประเทศไทย เมื่อวันอาทิตย์ เพราะไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย!…

-ข้อกล่าวหาต่างๆ ก็ต้อง “แยกแยะให้ชัด” การชุมนุมที่ผิดกฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินก็ว่ากันไป...แต่อย่าไปเหมารวมว่าทุกคนเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ทั้ง วีระ มุสิกพงศ์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จตุพร พรหมพันธุ์ นายแพทย์เหวง โตจิราการ และอีกหลายคนที่ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงและยึด “หลักสันติ” มาโดยตลอด คนพวกนี้เป็นผู้ก่อการร้าย “ไม่ได้หรอก” ต้องหาตัวคนก่อความรุนแรงให้ได้ แล้วดำเนินการตามกฎหมาย...

-ถ้ากองกำลังของรัฐบาล “ไม่ขน” อาวุธยุทโธปกรณ์ เข้ามาห้ำหั่นผู้ชุมนุมเมื่อ วันที่ 10 เมษายน การบาดเจ็บล้มตายของทหารหลายคนคงไม่เกิดขึ้น...ดู “ประเทศกรีซ” เป็นตัวอย่างก็ได้ ประชาชนหลายแสนออกมาประท้วง “มาตรการรัดเข็มขัด” ของรัฐบาลตามกฎเหล็กของ “ไอเอ็มเอฟ” รัฐบาลกรีซทำเพียงแค่เอา กำลังตำรวจ พร้อม แก๊สน้ำตา เท่านั้นมา “สลายการชุมนุม” ไม่มีทหาร ไม่มีรถหุ้มเกราะ ไม่มีปืนเอ็ม 16 หรือ ปืนทราโวล จึงไม่มีความเสียหายร้ายแรงเหมือนประเทศไทย...

-สำหรับประเทศไทย...ถ้า “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ทำเหมือนกรีซ แล้วยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ ก็ไม่สมควรอยู่เป็นนายกรัฐมนตรี...จะ ลาออก หรือ ยุบสภาฯ ก็ทำซะ ไม่ควรมานั่งรับผิดชอบบ้านเมืองอีกต่อไป...ให้คนอื่นที่ “มีฝีมือ” มาทำแทนเถอะ แค่นี้ประเทศก็ “บอบช้ำ” มากแล้ว...อย่า “อ้างความชอบธรรม” ที่ขึ้นสู่อำนาจจากการเป็นพรรคการเมือง “เสียงข้างน้อย” เหมือนอังกฤษที่กำลังฟอร์มรัฐบาลจากการที่ไม่ได้เสียงข้างมากเด็ดขาดเป็นอันขาด...เพราะที่อังกฤษ “ไม่มีทหาร” หรือ “อำมาตย์ทะลึ่ง” เหมือนประเทศไทย เลือกตั้งเสร็จเขาตั้งรัฐบาลกันเองได้ ไม่ต้องให้ใครมา ส.ใส่เกือก ถ้าไม่สำเร็จเดี๋ยวเขาก็ “ยุบสภา” ให้ประชาชนตัดสินกันใหม่ได้!...

-สุดท้าย โลกกำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการล้มทางเศรษฐกิจอีกครั้งจากผล “วิกฤติโอลิมปิก” ในกรีซ บทเรียนที่กรีซใช้ “เงินยูโร” ที่ไม่สามารถลดค่าเงินเหมือนใช้เงินตัวเองได้ กำลังทำให้ทั้ง สเปน โปรตุเกส และ อิตาลี ที่ถือพันธบัตรกรีซไว้มหาศาลจะเป็น “โดมิโน่ล้มตาม” ติดตามหาอ่านการวิเคราะห์ของ “ดร.โกร่งวีรพงษ์ รามากูร” ได้ตามสื่อทั่วไป เพราะเป็นเรื่องน่าสนใจมาก...สวัสดี!
คอลัมน์.บางกอกกอสซิบเพชรฉกรรจ์
บางกอกทูเดย์
............................................................

ศัตรูเดียวกัน

เพราะกลัวการเลือกตั้ง จะนำ ทักษิณ ชินวัตร กลับมาสู่การเมือง ฝ่ายโค่นล้มทักษิณ จึงวางหมากวางกลไว้มากมาย ในรัฐธรรมนูญที่พวกเขาเขียนขึ้น
แต่ ทักษิณ ชินวัตร ก็กลับมาจนได้ขบวนการโค่นล้มกับพรรคการเมืองบางพรรค จึงใช้วิธีการนอกระบอบประชาธิปไตย โค่นล้มทำลาย ด้วยวิธีการต่างๆ แม้กระทั่งการติดสินบนให้กับพรรคเล็กพรรคน้อยได้เก้าอี้กระทรวงใหญ่แต่ในเมื่อประชาชนไม่เต็มใจ อะไรที่คิดว่าง่ายก็ยากดาบที่ใช้พิฆาตฟาดฟัน ทักษิณ ชินวัตร จึงคืนสนองกลับมาประหัตประหาร...รัฐบาลที่ถูกสร้างขึ้นมา..ประชาชนรวมตัวกันขึ้นมาต่อต้าน ไม่หวั่นไม่หวาด ไม่ว่ากับรถถังตีนตะขาบและความตายศพ

ยิ่งเพิ่ม การเผชิญหน้าก็ยิ่งขยาย…ความเกลียดชังกระจายวงกว้าง..ผู้ปราถนาประชาธิปไตยไม่เลือกฝักเลือกฝ่ายประชาธิปไตยให้คำตอบเพียงคำเดียว..และคำตอบนั้น..คือ การเลือกตั้งครั้งใหม่ประชาชนเชื่อว่า..เขามีเสียงมากพอที่จะสร้างรัฐบาลของเขาขึ้นมา..ไม่ว่าจะมี ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคหรือนายกรัฐมนตรีหรือไม่ประชาชนปฏิเสธ..ประชาธิปไตยอัปลักษณ์..ที่สรรสร้างกันขึ้นมาประชาชนไม่ได้ขอมากไปกว่าสิ่งที่ประชาธิปไตยกำหนด เขาขอเพียงคนที่เขา

อยากได้ คนที่ให้มากกว่าขอ คนที่ให้โดยไม่ต้องรอ…ประชาชนขอแค่ให้เป็นคนของเขาคนที่มีจิตใจเป็นธรรม คนที่มีพุทธในหัวใจ คนที่รักประชาธิปไตย..คือคนจำนวนมากในประเทศนี้..เขาเหล่านี้..คือสันหลังของชาติ..พวกเขาคือแกนหลักในการต่อสู้...จงเชื่อเถอะว่า..ผู้ก่อการร้าย ผู้จ้องทำลายสถาบัน ไม่ใช่คนพวกนี้…ผู้ที่ไม่ยอมรับอำนาจของประชาชน ผู้ผีที่สิงสู่อยู่กับประชาธิปไตยต่างหาก..ที่น่ากลัวกว่าประชาธิปไตยและสถาบันมีศัตรูเดียวกัน...นั่นคือ ทรราช
โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
.............................................................

มีศอฉ.ก็ไม่มีปรองดอง!


“โรดแมป” ความหวังในการปรองดอง เพื่อที่จะทำให้ประเทศชาติพ้นจากวิกฤติการเมืองเสียทีแต่โรดแมปก็เป็นเพียงสิ่งที่เขียน หรือสิ่งที่กำหนดขึ้นมา เพื่อหาจุดเริ่มต้นในการที่จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทาง แต่จะไปได้จริงหรือไม่ เป็นเรื่องของคน เรื่องของจิตใจ เรื่องของผลประโยชน์และเรื่องของตัณหาทางการเมืองของคนบางคน ที่อยู่ในเกมสร้างความวิกฤติให้เกิดขึ้นในขณะนี้นี่เองฉะนั้นแม้จะมีโรดแมป ที่ดูสวย ดูเลิศหรู แต่หากไร้ซึ่งความจริงใจที่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อร่วมมือกันแก้วิกฤติของชาติแล้ว โรดแมป ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรๆ ให้ดีขึ้นมาได้เลยภาพที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เลย โทษกันนัวไปหมด แถมหลายๆฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาลก็ยังยืนอยู่ในจุดที่ทำให้ยากต่อการเจรจา เพื่อที่จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างจริงๆ จังๆเหมือนคดีก่อเหตุด้วยอาวุธสงครามเกือบ 70 ครั้ง ทั้งในกทม.และ

ต่างจังหวัด รัฐบาลและศอฉ.ไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้เลย ถ้าไม่ใช่คนมีสีมีเส้น จะทำได้อย่างไร???วันนี้ภาพที่เกิดจึงโทษกันมั่วซั่วไปหมด เป็นเพราะคนนั้น คนโน้น หรือฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิมๆ ที่เป็นมาตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2549คือถ้ายังไม่รู้จะโทษใครก็โทษ “แม้ว” เอาไว้ก่อนเพราะเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แม้จะเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี แต่ก็ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ ย่อมไม่สามารถที่จะมาเถียงอะไรได้ถนัดนัก จึงง่าย

ต่อการที่จะโยนบาปไปให้กรณีโรดแมปไม่มีความคืบหน้าในครั้งนี้ จึงเป็นอีกครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันโยนกลองไปให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ว่าเป็นต้นตอขัดขวางแผนการปรองดองโดยที่ลูกกะโล่คอยประสานเสียงรับก็หนีไม่พ้นบรรดาแกนนำ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ที่สวมวิญญาณลูกขุนพลอยพยักกันโดยพร้อมเพรียงอดรนทนไม่ได้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เลยซัดตรงๆ ว่า

ความจริงไม่มีประเด็นอะไรที่จะไปเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ เพราะมีหลายเรื่องที่การเจรจานี้ไม่มีทางครอบคลุมไปถึงเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณแต่สิ่งที่ทำให้ค้างคา คือ บทบาทที่ก้าวร้าวของ ศอฉ. ที่ทำให้แกนนำเสื้อแดงไม่สบายใจ และมวลชนคิดว่าถูกข่มขู่มากเกินไป จึงไม่อยากยุติการชุมนุมในลักษณะของการถูกรุกไล่มากเกินไปและการจะยุติชุมนุมแบบไหนจะให้เดินไปโรงพักพร้อมตำรวจหรือจะไปมอบตัวภายหลัง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่ ศอฉ.ไม่ค่อยมีท่าทีที่จะ

อำนวยความสะดวก หรือให้เกียรติกันนายจาตุรนต์ มองว่าการเจรจาที่ผ่านมาก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ตอนหลัง แกนนำ นปช. อยากจะเสนอความเห็นของตัวเองต่อสาธารณะที่จะคู่ขนาน หรือเทียบเคียงกับข้อเสนอของนายกฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะบางเรื่องเป็นการแสดงเจตนาต่อสังคมให้สังคม และมวลชนสบายใจ เช่น เรื่องการตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเพราะประชาชนต้องการหาคนผิดที่สั่งสลายการชุมนุมมาลงโทษถ้าเรื่องเหล่านี้แกนนำ

นปช.ทำให้ชัดเจน ก็คิดว่าน่าจะสลายการชุมนุมได้ภายในวันสองวันนี้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน ทั้งๆ ที่การป้องกันการแทรกซ้อน ความจริงแล้วรัฐบาลควรจะให้ความสำคัญมากกว่านี้ เพราะถ้ายิ่งมีเรื่องแทรกซ้อนแล้วบานปลายจะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลเอง สิ่งที่รัฐบาลควรทำแต่ไม่ได้ทำคือสั่งให้ ศอฉ.ลดบทบาท แต่ศอฉ.ก็เลยยังมีบทบาทก้าวร้าวอยู่และเป็นอุปสรรคต่อการยุติการชุมนุมดังนั้นคำถามที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ก็คือ นายอภิสิทธิ์มีความจริงใจในการจะปรองดอง

อย่างแท้จริงมากน้อยแค่ไหน?!? ซึ่งนายจาตุรนต์ มองว่าถ้าดูจากสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ทำ และกระบวนการที่จะยุติการชุมนุม ไม่ค่อยสอดคล้องกัน ถ้าจะปรองดองกันควรจะมีการมาร่วมตกลงกันอย่างเปิดเผย แต่นายอภิสิทธิ์คงกลัวเสียท่า กลัวเสียหน้า ในการที่ต้องมาเจรจากับคนที่จะต้องไปเป็นผู้ต้องหา และอยากได้ภาพว่าเป็นผู้ริเริ่มการปรองดองทุกอย่างทั้งหมด ทั้งๆ ที่ความจริงแผนการปรองดองมาจากการผลักดันของหลายฝ่าย รวมทั้ง นปช.ด้วย “ปัญหาอยู่ที่ว่า

นายกฯ ยังปล่อยให้ศอฉ.เล่นบทเกเร ก้าวร้าวมาก ทำให้คนสงสัยในความจริงใจของนายกฯ และทำให้สงสัยถึงความเป็นไปได้ของแผนปรองดอง” ที่สำคัญในเนื้อหา 4-5 ข้อที่นายอภิสิทธิ์เสนอหลายเรื่องเป็นปัญหาของรัฐบาลเอง ที่พูดสวยหรูมา ความจริงก็เท่ากับกำลังจะบอกว่าสิ่งที่รัฐบาลทำมามันผิด และจะต้องแก้อย่างจริงจัง เช่น เรื่องการใช้สถาบันไปโจมตีหรือกลั่นแกล้งคน เรื่องการแทรกแซงสื่อ นายอภิสิทธิ์อาจจะต้องหักลำฝ่ายเดียวกันที่เป็นพวกที่ชอบใช้สถาบัน

มากลั่นแกล้งคน และต้องทบทวนหรือเปลี่ยนคนที่ดูแลสื่อของรัฐ แผนปรองดอง 5 ข้อดูแล้วทำได้ไม่ง่าย และจริงๆ ก็ไม่ใช่ความริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดีวิเศษอะไร แต่ เป็นแค่คำพูดหรูๆ เพื่อหาทางลงของตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาตราหน้าว่าเป็นคนผิดที่สั่งให้มีการสลายการชุมนุมจนมีคนตาย นายจาตุรนต์ ระบุว่า การตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้นจะมีปัญหามาก เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องรับไปเต็มๆ ในเหตุการณ์ 10 เม.ย. ที่เป็นเรื่องใหญ่มาก มีคนตายกว่า 20

คน บาดเจ็บ 900 คน ไม่มีทางที่จะให้มีคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นที่เชื่อถือ ถ้าหากการแต่งตั้งทำโดยนายอภิสิทธิ์“ถ้าว่ากันตามเนื้อผ้าแล้วนายกฯ จะต้องไม่ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ตั้งแต่เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.จนถึงวันยุบสภา นายกฯ ไม่มีความชอบธรรมในการปฏิบัติหน้าที่แล้ว แต่ที่กลุ่มแกนนำ นปช. ไม่เสนอให้นายกฯพักการปฏิบัติหน้าที่เพราะเขาไปติดกับข้อเสนอเรื่องการยุบสภา หลังวันที่ 10 เม.ย.เป็นต้นมาข้อเสนอควรเป็นการเสนอให้นายกฯ ออกไป แต่เขาก็

อาจจะรู้สึกว่าถ้านายกฯ ออกก็จะมีนายกฯ คนใหม่เข้ามาอีกแล้ว การยุบสภาก็เลื่อนออกไปอีกจึงยอมแลกไม่เสนอให้นายกฯ ออกไป” นายจาตุรนต์กล่าวปัญหาก็คือ สิ่งเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์ ศอฉ. และคนรอบข้างกายนายอภิสิทธิ์เห็นอย่างไร ยอมรับหรือไม่ว่าต้นตอปัญหาที่ทำให้การปรองดองล่าช้าเป็นเพราะรัฐบาลเองเพราะดูเหมือนวันนี้นายอภิสิทธิ์ ก็ยังมองว่าแกนนำ นปช. กลุ่มคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้แผนปรองดองไม่ราบรื่นในขณะที่ก็ไม่ได้รับฟังความไม่

เชื่อมั่นที่พุ่งย้อนเข้าใส่นายอภิสิทธิ์เอง ว่าเหตุการณ์วุ่นๆเวลานี้ เกิดขึ้นเพราะเป้าหมายทางการเมืองของกลุ่มนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางกลุ่ม นายทหารยศนายพลบางคนรวมถึงกลุ่มที่ไม่ต้องการให้ยุบสภา และต้องการสลายการชุมนุม โดยใช้มาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาดกับผู้ชุมนุม หากนายอภิสิทธิ์จะฉุกใจคิดสักนิดว่าการก่อเหตุของกลุ่มไอ้โม่ง ที่ขนอาวุธสงครามร้ายแรงเข้ามาใจกลางเมืองหลวง สามารถนำอาวุธสงครามเล็ดลอดผ่านด่านทั่วกทม.และปริมณฑล

กว่า 400 ด่านมาได้ถ้าไม่มีหนอนบ่อนไส้ในรัฐบาลหรือหน่วยความมั่นคง และเป็นเจ้าหน้าที่หรือพวกเดียวกับรัฐบาลแล้ว จะทำได้อย่างไร???เหมือนคดีก่อเหตุด้วยอาวุธสงครามเกือบ 70 ครั้ง ทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รัฐบาลและศอฉ.ไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้เลย ถ้าไม่ใช่คนมีสีมีเส้น จะทำได้อย่างไร???และทุกครั้งที่เกิดเหตุ ศอฉ. ผ่านกระบวนการกลไกสื่อของรัฐ โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ก็จะอ้างทันทีว่าเป็นฝีมือผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม

ตราบใดที่ ศอฉ. จะทำให้ผู้ชุมนุมระแวงว่า มีเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงเข้าไปปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม หากนปช.สลายการชุมนุม และยังไม่ยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แกนนำนปช. 24 คนจะถูกจับกุมทันที ผู้ชุมนุมบางรายจะถูกยัดเยียดอาวุธสงคราม ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้ายถ้ายังมีความหวาดระแวงกันเช่นนี้ นายอภิสิทธิ์คิดหรือว่าแผนปรองดอง ที่หวังให้เป็นผลงานสำคัญจะเกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น???ดังนั้น ณ วินาทีนี้ หากนายอภิสิทธิ์ต้องการการเดินตามแผน

ปรองดอง ก็ควรที่จะต้องเร่งยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินได้แล้ว เพราะวันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า กลุ่มคนเสื้อแดงขานรับแนวทางของนายอภิสิทธิ์ เพียงแต่รอความชัดเจนในรายละเอียดผิดกับกลุ่มพันธมิตรฯซึ่งประณามทั้งนายอภิสิทธิ์และแผนปรองดอง โดยขึงพืดที่จะไม่ให้ยุบสภา และต้องการให้ใช้ความเด็ดขาดรุนแรงในการสลายการชุมนุมเช่นเดียวกับกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งแกนนำอย่าง นพ.ตุลย์ สุทธิสมวงศ์ ซึ่งกลายร่างมาจากกลุ่มพันธมิตร รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ อย่างเช่น

นายบวร ยสินทร ล่าสุดก็ได้ไฮปาร์ค โจมตีนายอภิสิทธิ์ และคัดค้านการยุบสภาอย่างเต็มที่ฉะนั้นมาถึงวันนี้ นายอภิสิทธิ์ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า กลุ่มไหนกันแน่ที่ไม่ยอมรับแผนปรองดองส่วนการที่กลุ่มคนเสื้อแดงยืดเยื้อไม่ยอมสลายการชุมนุมทั้งๆที่เห็นพ้องในหลักการแล้ว เป็นเพราะต้องการความชัดเจนในรายละเอียดโดยเฉพาะประเด็นของการสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน จนทำให้มีผู้สูญเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมายเมื่อจะดำเนินคดีกับแกนนำนปช.และคน

เสื้อแดงก็ไม่เป็นไร แต่ต้องดำเนินกับคนที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมด้วย เพื่อจะได้ไม่มีข้อครหาเรื่อง 2 มาตรฐาน เพราะต้องไม่ลืมว่าการสั่งสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตนั้น เป็นการกระทำความผิดตามป.อาญา ม.288, 289, 82, 83 และ 84 วันนี้ก็อย่างที่นายอภิสิทธิ์ระบุนั่นแหละว่า บ้านเมืองบอบช้ำมามากแล้ว ดังนั้นกล้าๆ ยุบสภาเลือกตั้งใหม่แบบอังกฤษ เมืองที่ไปร่ำเรียนมา.. นั่นแหละคือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.......................................................................

เก็บตกคำสัมภาษณ์ ‘เทพเทือก’ แลกหมัด ‘มาร์ค’


การประกาศเสนอแนวทางแก้ไขปัญหา 5 ข้อหรือแผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 3 พฤษภาคม 2553 มีผลทำให้อุณหภูมิความขัดแย้งทางการเมืองลดลง แต่ยังคงมีคำถามจากสังคมถึง “ความโปร่งใส” ที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่ามันน่าจะมีการ “เกี๊ยเซี๊ยะ” กันเอง...ผลประโยชน์มิได้ตกกับประชาชนตัวละครเอกสำหรับเรื่องนี้ นอกจากนายอภิสิทธิ์และแกนนำเสื้อแดงแล้วยังมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะหัวหน้าศอฉ.ที่น่าจับตามอง...โดยเฉพาะเรื่องของความรู้สึก เพราะที่ผ่านมานายสุเทพมักจะแสดงอาการยืนคนละฝั่งกับนายอภิสิทธิ์และพรรคประ

ชาธิปัตย์ อาทิ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่นายสุเทพมักมีข่าวเห็นด้วยกับพรรคร่วมรัฐบาลสนับสนุนให้แก้ไข สวนทางกับจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์
กรณีการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจที่ยังคาราคาซังมาจนวันนี้ เนื่องจากกลุ่มคนที่มีข่าวว่า สนับสนุนพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 26 รุ่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นก้างขวางคอชิ้นสำคัญของรัฐบาลแล้ว นอกจากจะได้รับการสนับสนุน

จากฝ่ายพรรคภูมิใจไทย ยังปรากฏชื่อของนายสุเทพรวมอยู่ด้วย ทำให้หลายฝ่ายอดแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดนายสุเทพจึงแสดงอาการยืนอยู่คนละฝั่งกับนายอภิสิทธิ์ที่ยืนยันชัดเจนว่า สนับสนุน พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. รวมถึงหลายๆ กรณีที่นายสุเทพมีพฤติกรรมลอยตัวอยู่เหนือปัญหา โดยปล่อยให้นายอภิสิทธิ์ต้องเล่นเกมตอบโต้โดยตรงกับฝ่ายผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องเหล่านี้อาจเกี่ยวพันกับข้อแลกเปลี่ยน

บางอย่างทางการเมือง เพราะยี่ห้อการเมืองระดับนายสุเทพแล้ว ย่อมไม่คิดอะไรแค่ชั้นเดียวเป็นแน่ล่าสุด นายสุเทพได้ให้สัมภาษณ์ถึงพ.ต.ท.ทักษิณ ไว้อย่างน่าสนใจ โดยกล่าวถึงความขัดแย้งขอพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2553 ว่า “ผมได้ศึกษาการทำงานของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาโดยตลอด พบว่าคุณทักษิณยึดหลักการแบ่งแยกและปกครองซึ่งเป็นทฤษฎีหนึ่งในทางรัฐศาสตร์ ผู้นำหลายคนก็ใช้วิธีนั้น ดังนั้นคุณทักษิณจะมีคนที่จะใช้งานหลากหลาย

ปัญหา คือ เมื่ออยู่ในอำนาจก็สามารถเลือกใช้คนเหล่านี้ได้ แต่พอวันนี้ไม่มีอำนาจและกำลังอยู่ในช่วงที่คิดว่าตัวเองมีทางเลือกไม่มาก ฉะนั้นเวลาใครไปเสนอมาตรการใดๆ ที่จะล้มรัฐบาลหรือสู้กับรัฐบาล คุณทักษิณก็จะรับเอาไว้หมด จนเกิดปัญหาแต่สิ่งที่กังวลก็คือการขาดเอกภาพในการดำเนินการมันก็อาจทำให้เกิดความวุ่นวายได้ สำหรับผมถ้าคุณทักษิณ จะต่อสู้ในทางการเมือง ตามกฏเกณฑ์กติกา ตามกฎหมายและวิถีทางประชาธิปไตยสู้อย่างไรผมก็ยินดี แต่เมื่อไป

ใช้คนบางกลุ่มบางพวก และมีเป้าหมายที่จะดำเนินการโดยไม่ถูกกฎหมาย เช่นการมุ่งสร้างความวุ่นวายและรุนแรง ก่อจลาจล อย่างที่เคยประกาศจะสร้างกองทัพประชาชน อย่างนี้เราก็ต้องตั้งหลักให้ดี แต่เมื่อเขาประกาศถอยเรื่องนี้ไปแล้วก็ถือเป็นสิ่งที่ดี”16 มีนาคม 2553 นายสุเทพในฐานะผอ.ศอฉ.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพ.ต.ท.ทักษิณโฟนอินปลุกระดมกลุ่มคนเสื้อแดงต่อต้านรัฐบาล ว่า “ตอนนี้คุณทักษิณยังไม่เข้าข่ายโทษความผิดภัยความมั่นคง แต่เฉียดเข้ามาใกล้แล้ว

คิดว่าคนส่วนใหญ่ของเขาน่าจะยึดแนวสันติวิธี ทำคะแนนอะไรก็ว่าไป หากพ.ต.ท.ทักษิณ อดทนได้ ไม่ต้องทรัพย์สินคืนภายในวันนี้ ไม่ต้องรอดพ้นคุกวันนี้ แล้วยอมไปสู้กันในศาล จัดกระบวนการให้พร้อมแล้วทำบรรยากาศบ้านเมืองให้สงบลง แล้วไปสู้กระบวนการประชาธิปไตย พวกผมก็เสียเปรียบอยู่แล้วซึ่งมีความเป็นไปได้ หากชนะการเลือกตั้งแล้วรัฐบาลจะแก้กฎหมายก็ว่าไป”
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.......................................................................

‘โรดแมป’ เจอตอ!

ผ่านไป 1 สัปดาห์...หลังจากนายกรัฐมนตรี ออกมาเสนอแผนปรองดอง หรือ “โรดแมป 5 ข้อ” เพื่อนำความสงบทางการเมืองกลับคืนมา แต่ดูเหมือน เวลาที่ผ่านไปจะยังไม่มีความคืบหน้า...แม้ว่าทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายนปช.จะมีการเจรจากันตลอดเวลา แต่การเจรจาทางลับแต่ละครั้งยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้จากทั้ง 2

ฝ่าย ไม่แปลกที่การชุมนุมต้องยืดเยื้อออกไปอีก 1 สัปดาห์ ทั้งที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายต่างมั่นใจว่าหลังนายกฯ ประกาศโรดแมปสถานการณ์ทางการเมืองจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ นปช.จะยุติการชุมนุม สุดท้ายงานนี้ยังมี “ตอ” ที่ไม่สามารถก้าวไปได้! เรื่องนี้ฝ่ายรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศต่อสาธารณะชนในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา...ถึงบุคคลที่ไม่ต้องการให้เกิดความปรองดอง “เมื่อคืนวันที่ 7 พ.ค. เกิด

เหตุยิงเจ้าหน้าที่ ทำให้หลายคนพูดว่าคือความล้มเหลวของแผนสร้างความปรองดอง (โรดแมป) 5 ข้อ ดังนั้นต้องยกเลิก แต่ตนเชื่อว่าพวกเราทุกคนต่างรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” คนที่แสดงตัวชัดเจนนั้น...ตนระบุเลยก็ได้ คือ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล” หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มีความพยายามไม่ให้การชุมนุมยุติ โดยเสธ.แดงได้พูดชัดเจน และมีความพยายามประสานกับแกนนำภูมิภาค “ที่สำคัญเสธ. แดงบอกด้วยว่าเขาก็จะฟังจากคุณ

ทักษิณ (อดีตนายกรัฐมนตรี) ซึ่งผมก็กล้าพูดเช่นเดียวกันว่าคุณทักษิณนั้นไม่พอใจแผนปรองดอง เพราะในแผนปรองดองไม่มีอะไรที่เป็นคำตอบในเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของคุณทักษิณเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคดีความ และเรื่องอื่นๆ ถ้าจริงใจ อยากร่วมแผนปรองดอง อย่ารอช้า ถ้าช้าไป รัฐบาลเองก็ไม่สามารถตอบคำถามกับสังคมได้ วันนี้พรุ่งนี้ควรมีคำตอบชัดเจน” นายกรัฐมนตรี กล่าว ไม่บ่อยครั้งนักที่จะลีลาที่ดุเดือดของนายกฯ รูปหล่อผู้นี้ที่ออกมา “แฉแต่เช้า” ให้

เห็นว่ามีใครอยู่เบื้องหลังคัดค้านแผนปรองดองที่ว่านี้ แต่การออกมาแฉของนายกฯ กลับกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่อาจส่งผลต่อแผนปรองดองที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะแกนนำนปช. หลายคนยังมองว่าแผนปรองดอง เป็นแผนที่เข้าทางรัฐบาลฝ่ายเดียว ในเรื่องนี้ แกนนำนปช. อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ท่าทีของนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาเปิด “ตอ” ที่กำลังจะสกัดแผนปรองดอง นายณัฐวุฒิ ระบุว่า การที่นายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า คนที่ไม่

เห็นด้วยทางการปรองดองคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกนั้น นายอภิสิทธิ์จะชี้นิ้วใส่ว่า...เมื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เห็นด้วยก็เดินต่อไปไม่ได้ หากเดินต่อไปจะบอกว่า...รัฐบาลดำเนินการถูกต้องและสวยงาม ถ้าเป็นเช่นนี้รัฐบาลจะกินทั้งหน้าและหลัง อีกทั้ง เสธ.แดง เป็นอิสระชนมีแนวทางการเคลื่อนไหวเป็นของคนเอง เราเคยประกาศไปแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง“สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณก็เป็น

เสื้อแดงคนหนึ่ง ไม่มีส่วนรู้เห็น และผมขอยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องการปรองดอง ทั้งนี้ผมขอให้ประชาชนทั่วประเทศร่วมกันพิจารณาว่าหลังจากนี้บ้านเมืองจะเดินหน้าไปอย่างไร นายอภิสิทธิ์ไม่ควรเร่งรัดคนเสื้อแดงเหมือนเป็นลูกน้องในรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ขอให้รัฐบาลให้เวลา 1-2 วัน เพื่อให้แกนนำนปช.ได้คิดอย่างรอบคอบโดยละเอียด อย่ามาเร่งรัด” นายณัฐวุฒิ กล่าวนายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า...ขอถามนายอภิสิทธิ์ว่า คนที่ไม่เห็นด้วยชัดเจนกับ

แผนปรองดองคือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” และ “กลุ่มพันธมิตรฯ” หากรัฐบาลทำไม่สำเร็จ...ก็เป็นเพราะกลุ่มคนเหล่านี้ ซึ่งตนก็ไม่อยากพูดเพราะไม่มีประโยชน์ในการพูดตอบโต้นี่เป็นเพียงบางส่วนของการตอบโต้ทางการเมืองของทั้ง 2 ฝ่ายแต่ถึงอย่างไร หากทั้ง 2 ฝ่ายยึดถือประโยชน์บ้านเมืองเป็นหลัก “ตอ” ที่ว่านี้อาจไม่สามารถทัดทานความตั้งใจที่จะ “ปรองดองเพื่อชาติ” อย่างแน่นอน!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...................................................................

ปณิธาน "ไพร่"


เกิดอย่างไพร่ - เราจึงตายอย่างไพร่?
ตายบนแดนศิวิไลซ์อันขื่นขม
เกิดบนดิน - ตายบนดินทุกข์ระทม
ทับถมอยู่กับดินทั้งวิญญาณ

เกิดอย่างไพร่จึงเข้าใจใดคือทุกข์
ใดคือสุขใครสร้างไว้ - ใครล้างผลาญ
ใครสู้พลีตัวเป็นงัวงาน
สร้างทิพย์วิมานเปรอปรนใคร

เกิดอย่างไพร่ - เป็นไพร่ทั้งโคตรเหง้า
หาค่ำกินเช้ามายาไส้
หาเดือนชนเดือนตะบันไป
ยังต้องหาเลี้ยงนายอีกหลายคน

เกิดเป็นไพร่ - ไม่ได้เกิดเป็นข้า
ลงแรงหาเลี้ยงมาจนปี้ป่น
ก้มหัวกลัวเกรงมากี่ชั่วคน
เหลือจะทุกข์เหลือจะทนให้หยามใจ

เกิดเป็นไพร่ - ไม่ได้เกิดเป็นทาส
เพียงสองมือจึงประกาศความฝันใฝ่
เพียงสองตีนจึงทวงหาอธิปไตย
กลับคืนเป็นของไพร่ทั้งยากดี

เกิดเป็นไพร่ - ไม่ได้เกิดเป็นทาส
จะทายท้าทุกอำนาจเคยกดขี่
กี่กระบอกปืนมาจะต่อตี
จะพลิกดินผืนนี้ให้ไพร่เดิน


เกิดเป็นไพร่ - จะขอตายอย่างไพร่
ไม่ร้องขอเกียรติ-ยศใดมาสรรเสริญ
เกิดอย่างไพร่ - ตายให้ไพร่ได้ก้าวเดิน
เป็นเชิงเทินทัพหน้าประชาชน

เกิดอย่างไพร่ - พี่น้องจึงตายเพื่อไพร่
อีกแสนล้านอสงไขยทุกแห่งหน
ตายปลุกไพร่ขึ้นเป็นไททุกผู้คน
ลุกราวีอภิชนทุกชั้นไป

ขอเดินตามปณิธานวีรชน
จะราวีอภิชนทุกชาติไป!
****************************************************

10เมษายน บทเรียนเลือด..!!!!


ที่มา VOICE TV
***************************************************

"สมชาย"อุ้ม"ทักษิณ" ระบุพี่เมียอยากปรองดอง

นายสมชาย วงสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่เหตุการณ์ค่ำคืนวันที่ 7 พ.ค. ที่มีคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเหตุการณ์เกิดขึ้นระหว่างการผลักดันแผนปรองดอง จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งดำเนินการหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษโดยเร็ว เพราะจะทำให้ทั้งรัฐบาลและ กลุ่ม นปช. หายแคลงใจกัน เป็นผลดีของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ขอฝากถึงรัฐบาลว่าจะต้องมีความเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองควรจัดการดูแลปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่ผลักภาระฝ่ายอื่น และขอให้ฝ่ายต่างๆ ควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ควรใช้อำนาจข่มขู่ซึ่งกันและกัน รวมถึงควรเสียสละเพื่อบ้านเมือง ขณะนี้แนวโน้มของสถานการณ์กำลังจะดีขึ้น แต่กลับบุคคลผู้ไม่หวังดีไม่ควรฉวยโอกาสในการสร้างสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้หารือกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถึงแผนปรองดองของรัฐบาลหรือยัง นายสมชายตอบว่า ส่วนตัวเห็นด้วย และเชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณก็เห็นด้วยและอยากให้เกิดกระบวนการปรองดองขึ้น เพราะไม่มีใครอยากเห็นความขัดแย้งเกิดขึ้นในบ้านเมือง

ที่มา.เนชั่น
***************************************************

เปิดแนวคิด"แดง" เป้าหมาย-สู้เพื่อใคร

รายงานพิเศษ

การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ปักหลักขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จนมาถึงสี่แยกราชประสงค์ ยาวนานกว่า 50 วัน โดยถูกจับตามองตั้งแต่ต้นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อคนๆ เดียว นั่นคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

แนวคิดของแกนนำต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้นนั้นเพื่อสิ่งใด และจะนำไปสู่จุดสุดท้ายอย่างไร พวกเขาได้อะไรบ้าง คุ้มหรือไม่คุ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียชีวิต บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 22 เม.ย.และ 28 เม.ย. และนับจากเสร็จสิ้นการชุมนุมในครั้งนี้ ชีวิตของพวกเขาจะดำเนินการไปอย่างไร มีคำตอบดังนี้

จตุพร พรหมพันธุ์
รองประธาน นปช.

การชุมนุมของนปช.แดงทั้งแผ่นดินครั้งนี้เป็นการรวบรวมบทเรียนจากการชุมนุมครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะสงกรานต์เลือด ปี 2552 ที่เราถูกรัฐบาลใช้กำลังปิดล้อม ปิดช่องทางการสื่อสาร บิดเบือนข้อมูลต่างๆ ทำให้เราต้องยุติการชุมนุม

พอมาครั้งนี้ จากประสบการณ์ที่มี เราจึงจัดตั้งมวลชนกว่า 400 กลุ่ม ผ่านโรงเรียนผู้ปฏิบัติการนปช. ย้ำถึงจุดมุ่งหมายเพื่อขับไล่รัฐบาลชุดนี้ซึ่งไม่ได้มาจากฉันทามติของประชาชน แต่มาจากระบอบอำมาตย์เกื้อหนุน

ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมมาด้วยใจจริงๆ หากจะบอกว่าเป็นม็อบว่าจ้าง หลังเกิดเหตุวันที่ 10 เม.ย.คงหายไปหมดแล้ว แต่ประชาชนไม่กลัว และพร้อมต่อสู้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยกลับมา

ตอนแรกคิดว่าด้วยจำนวนคนที่มากขนาดนี้ ไม่น่าเกิน 2 สัปดาห์ รัฐบาลต้องไปแน่นอน เพราะเป็นการชุมนุมที่มีคนมาเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย แต่ด้วยอำนาจพิเศษที่คอยหนุนหลังทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังอยู่ได้

ข้อเสนอแผน ปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เปรียบเสมือนการหาทาง ออกให้กับตัวเองมากกว่า ไม่ใช่ทางออกของคนเสื้อแดง ผมบอกกับพรรคพวกเสมอว่าเรื่องนี้ต้องระวัง อย่าผลีผลาม เราไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียอีก แต่การเจรจาที่จะเกิดขึ้น ต้องทำด้วยความรอบคอบ ไม่ให้นายอภิสิทธิ์เอาเป็นช่องทางออกให้กับตัวเอง ต้องดูแลคนที่สูญเสียทั้งบาดเจ็บ ทั้งเสียชีวิต และคนที่สั่งการทั้งนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และผู้ที่อยู่ร่วมขบวนการสังหารประชาชนจะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายให้ได้

ดังนั้น เรื่องการเจรจาร่วมกันต้องค่อยเป็นค่อยไป รีบไม่ได้ เพราะถ้ายังจำช่วงสงกรานต์เลือดได้ นายอภิสิทธิ์ เสนอคณะกรรม การตรวจสอบข้อเท็จจริง และคณะกรรมการสมานฉันท์ ซึ่งคณะกรรมการก็มีข้อสรุปให้แก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็น แต่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรให้คืบหน้าเป็นรูปธรรม พอมาครั้งนี้เรื่องเก่าทั้ง 2 เรื่อง ก็เป็น 2 ใน 5 เรื่องที่นายอภิสิทธิ์ เสนอมา ดังนั้น ต้องดูว่าเป็นอย่างไรต่อไป

นี่คือเหตุผลที่เราต้องรอดูท่าทีของนายอภิสิทธิ์ให้ชัดเจน ไม่ใช่เรื่องนิรโทษกรรม เพราะพวกผมไม่เคยกลัว การสูญเสียครั้งนี้มากเสียจนเรื่องคดีความของแกนนำเป็นเรื่องเล็กน้อย อีกทั้งคดีความทุกอย่างไม่ว่าเรื่องล้มสถาบัน เรื่องก่อการร้าย พวกเราพร้อมชี้แจงและต่อสู้คดีอยู่แล้ว

หากหาทางออกได้ด้วยการยุบสภา ประชาชนจะได้ประชาธิปไตยโดยตรงจากการเลือกตั้ง ผมพูดมาหลายครั้งแล้วว่า พอยุบสภา ทุกฝ่ายที่เป็นผู้ขัดแย้งก็มาทำสัตยาบันต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ให้ถือว่าเป็นสิ่งที่ประชาชนเลือกแล้ว ไม่มีตีรวนซึ่งกันและกัน เพื่อให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้

รวมถึงกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องทำสัตยาบันด้วยว่าจะไม่ออกมาใช้พลังนอกระบบอีก หากใครไม่ทำตามข้อตกลง เชื่อผมเถอะว่าประชาชนจะจัดการเอง

ถ้าหากพรรคเพื่อไทยชนะ เราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในประเด็นต่างๆ รวมทั้งเรื่องใช้อำนาจแฝงต่างๆ ต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อควบคุมอำนาจ อำนาจหน้าที่ต้องอยู่ในขอบเขต เชื่อว่าทำอย่างนั้นแล้วเรื่องอำมาตยาธิปไตยจะหมดลง

แต่ถ้าเลือกตั้งแพ้ ก็ทำหน้าที่ตามหน้าที่คนแพ้ การลงสัตยาบันไม่ใช่ว่าจะยุบหรือเลิกนปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพียงแต่เรายอมรับผลการเลือกตั้ง ยังมีช่องทางตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญในช่องทางของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเข้าชื่อ 5 หมื่นชื่อ หรือการตรวจสอบทางสภา หากได้รับเลือกต้องทำหน้าที่ตรงนั้น

คดีความที่มีอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป แต่ไม่ใช่แค่พวกผมที่มีคดี นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ หรือแกนนำพันธมิตรฯ พวกนี้มีคดีกันทั้งนั้น ไม่มีปัญหา

หลังการเลือกตั้ง องค์กรนปช.จะยังอยู่ โดยรวบรวมเครือข่ายประชาชนไว้ การจัดระบบเรื่องโรงเรียน ผู้ปฏิบัติการนปช.ยังต้องคงอยู่ ทำหน้าที่ของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้หนีหายไปไหน

น.พ.เหวง โตจิราการ
แกนนำ นปช.

การชุมนุมที่เกิดขึ้นครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขสูงมาก ดูได้จากจำนวนผู้มาร่วมชุมนุมไม่ลดลง รวมถึงคนกทม.มาร่วมมากขึ้น ทำให้เรามั่นใจว่าโอกาสที่กลุ่มอำมาตย์จะมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญน้อยลงทุกที และแสดงให้เห็นว่าแนวทางสันติวิธีที่เรายึดมั่น ทำให้เกิดเสียงตอบรับจากประชาชนมากขึ้นทุกที

การที่บอกว่านปช.ว่าจ้างคนมาร่วมชุมนุนนั้นถือว่าโกหก เป็นสิ่งที่รัฐบาลพยายามนำมาใช้เป็นอาวุธทางการเมือง เพื่อดิสเครดิตการชุมนุมของนปช. แต่ไม่มีผลอะไร จะเห็นได้ว่าเขาพยายามโยนข้อกล่าวหาให้เราตลอด ทั้งการว่าจ้างคนมาชุมนุม เราต่อสู้เพื่อคนๆ เดียว เราเป็นลิ่วล้อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เรื่องพวกนี้จุดไม่ติด จึงพยายามเอาเรื่องที่ใหญ่กว่า อย่างก่อการร้าย หรือล้มเจ้ามาเป็นอาวุธทางการเมือง ทั้งที่ทั้งหมดเป็นการใส่ร้ายป้ายสี

อย่างไรก็ตาม การสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ มันไม่ใช่เรื่องคุ้มหรือไม่คุ้ม เราไม่เคยต้องการให้เกิดความสูญเสีย แต่มีจุดมุ่งหมายต้องการให้อำนาจการเลือกตั้งกลับมาอยู่ในมือของประชาชน ความสูญเสียที่เกิดขึ้น มีการสอบสวนและดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา

ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งล้มอำมาตย์ได้ และการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 จะเป็นช่องทางสำคัญ หากแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้ อำนาจการแทรก แซงของอำมาตย์จะหมดลง ผมเชื่อว่าในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จะมีพรรคการ เมืองนำเสนอแนว ทางเอารัฐธรรมนูญปี 2540 กลับมา ซึ่งเราต้องสนับสนุนรัฐ ธรรมนูญฉบับของประชาชนฉบับนี้ และจะเหมือนการลงประชามติอีกครั้งว่าจะเอารัฐธรรมนูญ ปี 2540 หรือ 2550 ผมมั่นใจว่าจะมีประชาชนไม่ต่ำกว่า 25 ล้านคนสนับสนุนแนวคิดนี้

แต่หากหลังเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ชนะ ก็ต้องปล่อยให้เขาบริหารประเทศไป ต้องยอมรับผลการเลือกตั้ง แต่นปช.ไม่ได้ล้มเลิกไป ยังมีการรวมกลุ่มกันอยู่ มีการตรวจสอบตามช่องทางที่เปิดไว้ให้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ไม่ใช่แค่กรณีพรรคประชาธิปัตย์ หากพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลก็ต้องตรวจสอบ

หลังจากนี้ผมไม่ได้เล่นการเมืองในระบอบผู้แทนฯ แต่จะทำหน้าที่ในองค์กรภาคประชาชนอยู่ตลอด ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรม ชีวิตส่วนตัวผมยังเหมือนเดิม ถ้าเจอใครไม่ชอบ เอาหินขว้างหรือเอาปืนยิง ถ้าหลบได้ก็หลบ ถ้าหลบไม่ได้ บาดเจ็บก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล ถ้าตายก็ต้องตาย ไม่ได้กลัวอะไร ไปไหนก็ยังไปคนเดียว

ส่วนแนวทางปรองดองของนายกฯ นั้นเป็นเพราะนายกฯ จนแต้ม จึงต้องเปิดช่องทางลงเพื่อตัวเอง ไม่เช่นนั้นความรุนแรงจะขยายตัวไปทั่วประเทศ เป็นสงครามกลาง เมือง เราไม่ปฏิเสธที่จะจับมือกับรัฐบาลเพื่อหาทาง ออก แต่ขอให้ฝั่งรัฐบาลมีความชัดเจนเสียก่อน

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เลขาธิการ นปช.

หลังจากการชุมนุมครั้งนี้ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบโครงสร้างสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน คือต่อจากนี้ประชาชนจะมาทวงสิทธิ์ของเขากลับคืนมา และแสดงให้เห็นว่าพลังของเขามีอยู่จริง

นอกจากนี้ยังอธิบายให้เห็นว่าการต่อสู้มากว่า 4 ปี ดอกผลออกมามากมาย เราเริ่มจากขบวนการต่อต้านรัฐประหารกลุ่มเล็กๆ เผชิญข้อกล่าวหาเป็นม็อบรับจ้าง เป็นพวกรากหญ้าไร้การศึกษา แต่วันนี้คนทั้งโลกให้ความสนใจกับพลังของคนกลุ่มนี้ สังคมให้การยอมรับ ต้องบอกว่าเราเติบโตมากกว่าพันธมิตรฯ มีฐานรากที่เข้มแข็งกว่าหลายเท่า

สิ่งสำคัญคือหลายเรื่องที่เราพูดมา 3-4 ปี คนยอมรับว่ามีปัญหาจริงๆ ไม่ว่าเรื่องอำมาตยาธิปไตย ระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน อำนาจนอกระบบ ความไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศนี้ เราจึงพร้อมเดินไปข้างหน้าเพื่อสร้างรัฐไทยใหม่ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แม้วาทกรรมเรื่องรัฐไทยใหม่จะถูกวิจารณ์มาก ยึดโยงถึงเรื่องล้มสถาบัน แต่ผมมองเป็นเรื่องปกติ ที่ฝ่ายตรงข้ามจะสร้างภาพว่าเราไม่ใช่ขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย การถูกโจมตีเรื่องเหล่านี้ผมไม่ได้ใส่ใจ

หากจะเปรียบเทียบแล้ว พันธมิตรฯ เสนอเรื่องการเมืองใหม่ สัดส่วน 70-30 ผมเสนอเรื่องรัฐไทยใหม่ คือประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตย อย่างแท้จริง มีความเป็นธรรม ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อยากถามว่าข้อเสนอของใครส่งผลเสียหายกับระบอบประชาธิปไตย มากกว่ากัน

ต้องยอมรับว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ ถือเป็นความปวดร้าว ไม่คิดว่าการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของตัวเองจะต้องบาดเจ็บล้มตายจากฝีมือของรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาชน เรื่องนี้จะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเต็มที่ รวมถึงส่งเรื่องให้ศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย

ขณะที่แนวคิดปรองดองของรัฐบาลนั้น ผมมองว่าเป็นการหาทางออกให้ตัวนายอภิสิทธิ์เอง แต่เมื่อข้อเสนอเดินทางตามแนวทางสันติที่เรายึดถือ ก็พร้อมร่วมดำเนินการ นายอภิสิทธิ์อาจจะได้ประโยชน์ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยประเทศก็ได้ด้วย เพราะความสูญเสียเป็นสิ่งที่เรารับไม่ได้อีกแล้ว

ถ้าถามว่าเรื่องยุบสภาถือเป็นชัยชนะของเสื้อแดงหรือไม่ ผมบอกเลยว่าผู้ชนะที่แท้จริงคงเป็นประเทศไทย ยุติความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เป็นชัยชนะของคนไทยทั้งหมดที่ไม่ทำให้ความรุนแรงลุกลามออกไป

นอกจากนี้คนเสื้อแดงไม่ได้สู้เพื่อประกาศชัยชนะรายวัน เราสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง ความเท่าเทียม และความเสมอภาค การต่อสู้ครั้งนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นล่างและชนชั้นสูง การเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาถือเป็นศึกย่อยครั้งหนึ่ง ศึกต่อไปของเราคือการเลือกตั้ง การสร้างสังคมให้เกิดความเป็นธรรม การแก้รัฐธรรมนูญก็ถือเป็นศึกครั้งหนึ่ง ทุกอย่างต้องดำเนินการต่อไป

หากเปรียบเทียบอำมาตย์คือมะม่วงสุก เราต้องการเด็ดผลมะม่วง แต่ระหว่างทางเจอกิ่งก้านหรือรังมดแดง ก็ต้องเสียเวลาจัดการกับอุปสรรคเหล่านี้ก่อน โครงสร้างที่อำมาตย์สร้างขึ้นมาไม่ว่าองค์กรอิสระ กองทัพ ทุกอย่างยังเป็นเส้นทางที่เราต้องผ่านไป จนถึงศึกสุดท้ายในการโค่นล้มอำมาตย์ ซึ่งผมมั่นใจว่าเราทำได้

ทั้งนี้ หลังยุบสภา ผมคงสมัครส.ส. ถ้าได้รับเลือกก็ทำหน้าที่ ไม่ได้รับเลือกก็คือไม่ได้ ส่วนคดีความก็สู้กันตามกระบวนการ ชีวิตส่วนตัวผมไม่มีเปลี่ยนแปลง วันหยุดพาภรรยาลูกไปเที่ยว ชีวิตไม่ต้องมีการ์ดมาคอยห้อมล้อม ก่อนนี้เป็นยังไง หลังจากนี้ก็เป็นอย่างนั้น

ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมก็ต้องปกป้องครอบครัวผมอย่างเต็มที่ ซึ่งผมมั่นใจว่าผมทำได้
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*********************************************************