--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อภิสิทธิ์ถอย ฝืน"ปรองดอง"

หลังจากลองผิดลองถูก แก้ไขปัญหาอย่างสะเปะสะปะ จนเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตผู้คน ทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ และผลกระทบต่างๆ

ในที่สุด รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยอมใช้แนวทางการเมือง เข้าแก้ปัญหาการชุมนุมของเสื้อแดง

การชุมนุมของเสื้อแดงยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม ข้ามเดือนเมษายนมาจนถึงเดือนพฤษภาคม

มีการปะทะ 3 ครั้ง ผู้เสียชีวิต 27 คน บาดเจ็บอีกร่วมพันคน

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ชูคำขวัญ "นิติรัฐ" ใช้กฎหมายจัดการกับผู้ชุมนุม ใช้กำลังเจ้าหน้าที่เข้าจัดการครั้งแล้วครั้งเล่า

ระดมกำลังเจ้าหน้าที่จากทั่วประเทศ จนเกิดการปะทะกับเสื้อแดงต่างจังหวัดที่ฮือกันออกมาตั้งด่านสกัดตำรวจทหารไม่ให้เข้ากรุงเทพฯ

ขยายสภาพวิกฤตไปทั่วประเทศ

ร้อนถึงฝ่ายทหาร คนถือปืนแท้ๆ ต้องเข้ามารับบทนักการทูต ท้าวมาลีวราช จัดการพบปะทางลับให้กับทั้งสองฝ่าย

ก่อนที่นายกฯ อภิสิทธิ์จะเกริ่นกับสื่อญี่ปุ่นที่เข้าสัมภาษณ์พิเศษว่า จะยอมลดเวลาในการยุบสภา ที่เคยยืนยันไว้ที่ 9 เดือนลง

และต่อมาวันที่ 3 พฤษภาคม นายกฯ อภิสิทธิ์ได้แถลงแผนการ ปรองดอง 5 ข้อ หรือ "โรดแม็ป" เพื่อให้บ้านเมืองคืนสู่ความสงบสุข

โรดแม็ป 5 ข้อของนายอภิสิทธิ์ก็คือ

1.ทุกฝ่ายจะต้องไม่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง

2.ให้มีการปฏิรูปประเทศ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในสังคมและในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นรากฐานของความขัดแย้งทางการเมือง

3.ต้องมีการปฏิรูปสื่อ ไม่ให้ละเมิดสิทธิ ไม่เสนอข่าวสารที่มุ่งสร้างความขัดแย้ง และนำไปสู่การใช้ความรุนแรง

4.ให้มีคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้ความจริงแก่สังคม

5.ระดมความเห็นเพื่อพิจารณาการนิรโทษกรรมคดีทางการเมือง

นายอภิสิทธิ์แถลงประโยคสำคัญว่า หากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย นำความปรองดองมาสู่สังคมได้ จะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน

คำแถลงในแนวทางปรองดองนี้ ช่วยลดอุณหภูมิที่ร้อนระอุลงทันที

ภายหลังคำแถลงของนายอภิสิทธิ์ เสียงตอบรับจากเวทีเสื้อแดงที่สี่แยกราชประสงค์ เต็มไปด้วยความยินดีปรีดา

ที่จริงบรรยากาศที่สี่แยกราชประสงค์เริ่มผ่อนคลายมาหลายชั่วโมงก่อนหน้านั้นแล้ว

ไฮไลต์ของโรดแม็ปที่ม็อบเสื้อแดงให้ความสนใจเป็นพิเศษ อยู่ที่การระบุถึงการยุบสภาและการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ในคำแถลงนายอภิสิทธิ์ไม่ยอมกล่าวถึงวันยุบสภา

แต่กลับระบุเฉพาะวันเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน

ทำให้แกนนำเสื้อแดงขึ้นเวที ประกาศขอความชัดเจน ให้นายอภิสิทธิ์ระบุวันยุบสภาให้ชัดเจน

ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยอมระบุวันทางเสื้อแดงก็จะสลายตัวในวันที่ 5 พฤษภาคม โดยได้ประสานงานกับกระทรวงคมนาคม ให้จัดรถส่งคนเสื้อแดงกลับภูมิลำเนาเดิม

อย่างไรก็ตาม ความพยายามง้างปากนายกฯ อภิสิทธิ์ให้ระบุวันยุบสภา ไม่ประสบความสำเร็จ

โดยพรรคประชาธิปัตย์ส่งคนออกมาชี้แจงแทนนายอภิสิทธิ์ ว่า การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจ กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา

ดังนั้น นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำหนดวัน แต่จะกำหนดได้เป็นช่วงเวลาเท่านั้น ซึ่งนายกฯ ได้ระบุชัดเจนแล้วว่าจะยุบสภาในช่วงวันที่ 15 ถึง 30 กันยายน

ตามมาด้วยเกมเล่นแง่ของพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อกลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มพรรคการเมืองใหม่ ตบเท้าออกมาประกาศว่า ไม่เห็นด้วยกับการยุบสภา

ถึงขนาดตั้งข้อหาว่า ทรยศ ยอมประนีประนอมกับกลุ่มที่จะสถาปนารัฐไทยใหม่

และเข้าพบนายกฯ ที่ทำเนียบรัฐบาลกันอย่างคึกคัก

ขณะที่นายกฯ อภิสิทธิ์ออกมาเปิดเผยว่า มีแฟนคลับโทรศัพท์และส่งเอสเอ็มเอสมาแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก

รายหนึ่งส่งเอสเอ็มเอสมาด่าว่า ไอ้เฮงซวย เสียดายที่เคยรัก

และนายกฯ ก็ยังอุตส่าห์แบ่งเวลาโทร.กลับไปชี้แจง เอสเอ็มเอสชี้แจงไป

ก็ต้องถือว่าเป็นเกมทิ้งทวนของพรรค ขยายภาพของฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลกันอย่างเต็มที่ เพื่อเรียกคะแนนนิยม ในยามเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง

หรือถ้ากลุ่มนี้ขยายตัวออกไปอีก ก็อาจจะใช้เป็นไพ่อีกใบ ในการต่อรองกับเสื้อแดงก็ได้

เบื้องหลังโรดแม็ปปรองดองในครั้งนี้ เกิดจาก "ความสุกงอม" ของหลายปัจจัย

ฐานของรัฐบาลได้แก่ ฝ่ายทหารตำรวจ กำลังหลักตามกฎหมายความมั่นคงและพ.ร.ก.ฉุกเฉิน หมดความอดทน และไม่ต้องการนำกองทัพมาเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมืองมากไปกว่านี้

พรรคร่วมรัฐบาลก็เห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นมากเกินไป ควรจะต้องประนีประนอม โดยแก้รัฐธรรมนูญ ยุบสภา เลือกตั้งใหม่

รวมถึงกระแสสังคมที่เห็นว่า รัฐบาลจัดการกับม็อบผิดพลาด จนเกิดการสูญเสียล้มตายจำนวนมาก

ภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ต้องเผชิญกับหลายปัญหา ทั้งปัญหาการนำของนายกฯ อภิสิทธิ์ ที่เกาะกลุ่มอยู่กับคนสนิท จนนำพรรคเข้าสู่วิกฤต

แต่เรื่องใหญ่ไม่แพ้กัน ก็คือความวิตกว่าจะเจอแจ๊กพอตจากคดีเงินอุดหนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท ที่กำลังเข้าสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

จนต้องปรับแผน หันมาทุ่มกำลังในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่

เพราะเกรงว่าคดีนี้อาจจะมีคำตัดสินออกมาอย่างรวดเร็ว และหากพรรคประชาธิปัตย์โดนยุบพรรคก่อนยุบสภา อาจส่งผลให้ดุลการเมืองเปลี่ยน

พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่อยู่ในฐานะพรรคที่มีส.ส.มากที่สุดในสภาอีกต่อไป หรืออาจหลุดจากการเป็นพรรครัฐบาล

ขณะที่คนเสื้อแดงสามารถรักษาจำนวนผู้ชุมนุมในระดับที่ทำให้รัฐบาลไม่สามารถใช้มาตรการสลายการชุมนุมได้ และบีบให้รัฐบาลต้องกลับมาใช้แนวทางการเมืองด้วยการปรองดองในที่สุด

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการปรองดองคงไม่ราบรื่น เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งจะต้องเป็นผู้สูญเสียอำนาจ ย่อมไม่อาจทำใจกับการสูญเสียได้โดยง่าย และต้องหาโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ตัวเอง

แต่ความล้มเหลวจากการแก้ปัญหาม็อบตลอดเวลาร่วมสองเดือนที่ผ่านมา และสถานะของพรรคที่อาจถูกยุบ จะทำให้อำนาจต่อรองของพรรคประชาธิปัตย์เหลือน้อยมาก

คาดหมายได้ว่า การเมืองหลังจากนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง

แม้จะมีกลุ่มอำนาจบางกลุ่มพยายามแทรกแซงและฝืนความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ก็ตาม

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ยุบสภา-ทางเลือกที่ต้องเลือก


นิธิ เอียวศรีวงศ์

กรอ.ประชุมกันแล้ว หาเหตุผลที่จะไม่ควรยุบสภาออกมาได้ว่า เพราะยังไม่มีความขัดแย้งระหว่างสภาและฝ่ายบริหาร จึงไม่มีเหตุจะยุบสภาได้

แต่ใครบอกเล่าว่า เงื่อนไขให้ยุบสภามีได้เพียงอย่างเดียว ยุบเพื่อทำให้ฝ่ายบริหารมีเสียงเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งใหม่ เพราะอยู่ในช่วงที่ฝ่ายบริหารกำลังได้รับความนิยม เขาก็ทำกันเป็นปกติในทุกประเทศที่ปกครองด้วยระบบรัฐสภา ยุบเพราะจะเสนอกฎหมายใหม่ที่ต้องการเสียงสนับสนุนแข็งจริง ทั้งๆ ที่เสียงฝ่ายบริหารยังเกินครึ่งในสภาก็ทำกันอยู่เสมอ ยุบเพราะรัฐบาลถูกโจมตีมาก เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจ ก็เป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองซึ่งที่ไหนๆ เขาก็ทำกัน

เพราะการยุบสภาเป็นกลไกทางการเมืองที่สำคัญ เอาไว้แก้ปัญหาทางการเมืองเฉพาะหน้า ที่ไหนๆ รวมทั้งเมืองไทยจึงให้อำนาจเด็ดขาดไว้ที่นายกรัฐมนตรี เพราะถึงอย่างไรก็เป็นอำนาจที่จำกัด กล่าวคือยุบแล้วก็ต้องกลับไปหาประชาชนใหม่ จึงไม่มีใครเขาทำประชามติเพื่อยุบสภา หากชอบที่จะปกครองกันด้วยประชาธิปไตยทางตรงอย่างนั้น ทำประชามติกันด้วยเรื่องแผนพลังงานไม่ดีกว่าหรือ

อีกบางฝ่ายออกมาคัดค้านการยุบสภาว่า ถึงยุบไปก็แก้ปัญหาไม่ได้ แต่ไม่ชัดว่าปัญหาที่ว่านั้นคืออะไร แต่ดังที่กล่าวแล้วว่าการยุบสภาเป็นกลไกการเมืองสำหรับแก้ปัญหาการเมือง ไม่ได้แก้ปัญหาได้ทั่วไป การที่มีคนจำนวนมากออกมายึดถนน และยังมีผู้สนับสนุนไปทั่วประเทศจนกระทั่งกลไกรัฐทำงานไม่ได้ คือปัญหาการเมืองเฉพาะหน้าที่ต้องแก้ก่อนอื่น

อย่างไรก็ตาม หากนิยามปัญหาที่ว่าแก้ไม่ได้ว่าคือสิ่งที่การชุมนุมเรียกร้อง ได้แก่ความไม่เท่าเทียม, สองมาตรฐาน, และความไม่สมานฉันท์ ถ้าอย่างนั้น ยิ่งไม่ยุบสภาก็ยิ่งแก้ไม่ได้ เพราะเวลาปีกว่าภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งตอกย้ำความไม่เท่าเทียม, สองมาตรฐาน และความแตกร้าวมากขึ้นไปอีก แม้ขณะนี้ก็กำลังคิดกันถึงการชดเชยช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผล กระทบจากการชุมนุม โดยไม่ได้แยกระหว่างผู้ประกอบการขนาดใหญ่และเล็ก มันจะเป็นตลกร้ายสักเพียงใด ที่วันหนึ่งเราจะต้องควักกระเป๋าไปอุดหนุนธนาคารกรุงเทพ, บริษัทซีพี และ ฯลฯ ในขณะที่ชาวนาและกรรมกรต้องแบกรับความเสี่ยงในความผันผวนทางเศรษฐกิจไปตาม ลำพัง

ส่วนปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำนั้น นายกฯพูดเองว่าเริ่มคลี่คลายลงแล้ว เพราะมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในเอเชียเริ่มฟื้นตัว ผลกระทบของความตกต่ำทางเศรษฐกิจโลกที่กระทบถึงไทยนั้น มาจากการที่เศรษฐกิจไทยผูกอยู่กับเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นแฟ้น แต่หนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้ทำให้ความผูกพันนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่จะบรรเทาผล กระทบแต่อย่างไร เช่นสร้างฐานการผลิตบางส่วนของไทยให้เข้าถึงตลาดโลกส่วนที่ได้รับผลกระทบ น้อย หรือเพิ่มผลิตภาพเพื่อแข่งขันได้ดีขึ้น เป็นต้น ประเทศไทยเคยอ่อนแอทางเศรษฐกิจอย่างไร ก็ยังอ่อนแออยู่เหมือนเดิม
ยิ่งประหลาดมากขึ้นที่กลุ่มคนซึ่งอ้างว่าเป็นตัวแทน ของ "ภาคประชาชน" ยกปัญหาเรื้อรังขึ้นมาว่า ปัญหาเหล่านี้ควรถูกนำมาถกกันในการตัดสินใจว่าจะยุบสภาหรือไม่

ปัญหาเหล่านี้สรุปรวมแล้วก็คือการจัดสรรแบ่งปัน ทรัพยากรนั้นเอง และนี่เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทยจริง แต่จะแก้ปัญหานี้ได้ไม่ใช่หวังพึ่งรัฐบาลใดๆ ทั้งสิ้น (ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร) รัฐบาลอภิสิทธิ์เองเพิ่งปล่อยให้ กฟผ.ลงนามในสัญญากับบริษัทจีนและพม่า เพื่อสร้างเขื่อนฮัตจี ทำลายวิถีชีวิตของผู้คนอีกหลายพันในลุ่มน้ำสาละวินตอนกลาง (หากนับรวมถึงประชาชนในพม่าด้วยก็หลายหมื่น) แต่ถึงแม้เป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ก็คงปล่อยให้ กฟผ.ลงนามเหมือนกัน

นี่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เรามีการเมืองที่ชนชั้นนำครอบงำ ดังนั้นจึงจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรโดยดึงเอามาบำเรอชนชั้นนำ และปล่อยปละละเลยประชาชนระดับล่างที่ได้เคยใช้ทรัพยากรนั้นมาอีกวิถีทาง หนึ่งไปตามยถากรรม

แต่เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไรได้ นอกจากเปิดพื้นที่ให้ประชาชนระดับล่างได้เข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ นักวิชาการและเอ็นจีโอที่เสนอเรื่องนี้ก็เคยเข้าไปร่วมเคลื่อนไหวกับประชาชน เช่นให้ข้อมูลที่ทำให้เห็นผลกระทบกว้างไกลกว่าความเดือดร้อนเฉพาะหน้าของ ประชาชนในท้องถิ่น ช่วยเปิดพื้นที่สื่อให้เสียงคัดค้านการแย่งชิงทรัพยากรเช่นนี้ดังไปถึงคน ชั้นกลางในเมือง และเคยแม้แต่ร่วมเดินขบวนหรือสนับสนุนการประท้วงของชาวบ้านมาแล้ว

ทั้งหมดนี้คือ "กระบวนการประชาธิปไตย" ซึ่งเป็นเครื่องมืออันเดียวที่จะทำให้การจัดสรรแบ่งปันทรัพยากรในประเทศของ เรามีความเป็นธรรมมากขึ้น และคงจะมีโอกาสพัฒนาต่อไปจนพ้นจากท้องถนนไปสู่พื้นที่อื่นๆ มากขึ้น (รวมถึงสภาผู้แทนราษฎรด้วย) ท่านเหล่านั้นฝันไปหรืออย่างไร จึงคิดว่าปัญหาเรื้อรังระดับโครงสร้างเช่นนี้ อาจแก้ได้ด้วยการเจรจาทุบโต๊ะเปรี้ยงเดียว แล้วทุกอย่างเข้าที่หมด

นอกจากนี้ มันแก้ปัญหาวิกฤตทางการเมืองเฉพาะหน้าได้อย่างไร

ควรเตือนไว้ด้วยว่า วิกฤตทางการเมืองที่เราเผชิญอยู่เวลานี้หนักหนาสาหัสมาก เพราะรัฐบาลไม่เหลือทางเลือกอะไรอีกแล้ว นอกจากสลายการชุมนุมด้วยวิธีรุนแรง ซึ่งจะทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างขนานใหญ่กว่าที่ประเทศไทยเคยเผชิญมา (แม้ใน 6 ตุลา และพฤษภาทมิฬ) ซ้ำถึงสลายได้ เรื่องก็ไม่ยุติ เพราะจะเกิดการต่อต้านรัฐในรูปแบบต่างๆ ไปทั่วประเทศ รวมทั้งการก่อวินาศกรรมด้วย

ชนชั้นนำอาจเลือกที่จะไม่เก็บอภิสิทธิ์เอาไว้ โดยยึดอำนาจด้วยกองทัพไปเสียเลย แต่นั่นยิ่งจะนองเลือดมากขึ้น และประเทศไทยจะโงหัวไม่ขึ้นไปอีกหลายปี

ทั้งหมดนี้ แลกกับการยุบสภาทันที อย่างไหนจะเป็นทางออกจากวิกฤตเฉพาะหน้าได้สงบสันติกว่ากัน

แม้กระนั้นก็ยังมีบางคนคัดค้านว่า ถึงยอมยุบสภา หลังการเลือกตั้ง หากได้รัฐบาลที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ชอบ ก็อาจออกมาประท้วงปิดถนนอีก จึงไม่ใช่ทางที่จะแก้ปัญหาได้จริง

ข้อคัดค้านนี้มีความเป็นไปได้ แต่ต้องเข้าใจการประท้วงให้ดี

หัวใจสำคัญของการประท้วงไม่ได้อยู่ที่ยึดถนนหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าได้รับการสนับสนุนจากผู้คนในสังคมกว้างขวางเพียงไร หากได้รับกว้างขวางหนักแน่น กฎหมายอะไรๆ ก็ไม่อาจเอาไว้อยู่ (เพราะความศักดิ์สิทธิ์ของกฎไม่ได้อยู่ที่กลไกรัฐเท่ากับความเห็นชอบของ ประชาชน) ไม่ว่า พ.ร.บ.ความมั่นคง, สถานการณ์ฉุกเฉิน หรือแม้แต่กฎอัยการศึก ฉะนั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งมีข้อเรียกร้องที่สังคมโดยรวมเห็นด้วย รัฐบาลใหม่ก็ต้องทำตาม เช่น ขอให้ยุบสภา ก็ต้องยุบสภา แต่หากขอให้ขอพระราชทานนายกฯ สังคมโดยรวมอาจไม่เอาด้วย ถึงตอนนั้นรัฐย่อมสามารถใช้กลไกของรัฐรักษากฎหมายได้

ข้อนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนสติให้ผู้จัดตั้งรัฐบาล ต้องคำนึงถึงการยอมรับของสังคมมากขึ้น ไม่ใช่นำเอาคนอันเป็นที่รังเกียจของคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ มาเป็นนายกฯ หรือคิดว่าตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร จึงยอมเอายี้มาเต็ม ครม. เพราะจากนี้ไป การกระทำเช่นนั้นจะเป็นผลให้รัฐบาลนั้นไม่สามารถบริหารงานได้เลย

ในระบบการเมืองที่การประท้วงไม่มีพื้นที่อื่นซึ่ง ได้ผลมากไปกว่าท้องถนน จะให้สังคมเข้ามากำกับรัฐได้อย่างไร สิ่งที่น่าคิดก็คือเราจะสร้างพื้นที่ให้สังคมมีพลังในการควบคุมรัฐนอกท้อง ถนนได้อย่างไรต่างหาก แต่การที่สังคมสามารถกำกับควบคุมรัฐได้มากขึ้นนั้น เป็นความก้าวหน้าของสังคมไทยไม่ใช่หรือ

บางคนอาจตั้งคำถามเชิงค้านว่า ถ้าอย่างนั้น เรามิต้องปกครองกันด้วย "ม็อบ" หรอกหรือ ใช่เลยที่เราต้องตกอยู่ในภาวะอย่างนั้น จนกว่าเราจะสามารถสร้างพื้นที่นอกถนนให้แก่สังคมได้ดังกล่าวข้างต้น พูดอย่างที่ผมเคยได้พูดมาหลายครั้งแล้วว่า เราต้องปรับระบบการเมืองของเราให้รองรับความเปลี่ยนแปลงของสังคมให้ได้ นั่นคือมีคนจำนวนมากที่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเมืองระดับชาติ ถ้าเราไม่มีพื้นที่ให้เขาในระบบ เขาก็ต้องใช้พื้นที่นอกระบบ ฉะนั้น หากไม่ปรับระบบการเมืองให้ทัน ก็บอกได้เลยว่า เราจะเผชิญกับความวุ่นวายทางการเมืองจนกลายเป็นจลาจลเช่นนี้ต่อไปอีกนาน

ทำไมการยุบสภาซึ่งเป็นการกระทำง่ายๆ และเป็นกลไกปกติทางการเมืองเช่นนี้ จึงทำได้ยากเย็นหนักหนาแก่นายกฯอภิสิทธิ์

โดยสรุปแล้ว อภิสิทธิ์เป็นทางออกเพียงอันเดียวของเครือข่ายอำนาจที่สลับซับซ้อนของสังคม ไทย หากไม่นับการรัฐประหารอย่างออกหน้า อันนับวันก็เป็นเครื่องมือที่ไม่คุ้มทุนมากขึ้น เพราะก่อให้เกิดการสึกหรอของสถาบันแห่งอำนาจมากเกินไป (เช่น กองทัพ, ตุลาการ ฯลฯ) แต่หนึ่งปีกว่าผ่านไป ก็ยังไม่มีทางเลือกอื่นให้ออกมากไปกว่าอภิสิทธิ์ ฉะนั้น การยุบสภาจึงหมายถึงการทิ้งไพ่จนเกือบหมดหน้าตัก เหลือไพ่ที่ใช้การไม่ดีอีกสองใบเท่านั้นคือ

1) สลายการชุมนุมอย่างเด็ดขาดรุนแรง แต่ก็รู้อยู่แล้วว่า จะทำให้ปัญหายิ่งขยายตัวและจัดการยากขึ้น

2) รัฐประหาร พร้อมทั้งให้อำนาจที่ไม่มีการตรวจสอบไว้ในมือของฝ่ายชนชั้นนำเต็มที่ ระบบอำนาจนิยมนี้จะสามารถสยบการต่อต้านอย่างรุนแรงได้ ก็โดยวิธีเดียวคือ เป็นผู้นำการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน ซึ่งจะมีผลลิดรอนผลประโยชน์และอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำเอง แม้อาจมีนักอุดมคติในฝ่ายชนชั้นนำที่คิดจะทำเช่นนี้ ก็ยังมีปัญหาว่าจะรักษาเอกภาพของชนชั้นนำไว้ได้อย่างไร มิฉะนั้นแล้ว นักอุดมคตินั้นก็จะถูกชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่ง หรือหลายกลุ่มร่วมมือกันโค่นล้มลงจนได้

ยุบสภาจึงเป็นทางออกเดียวที่เป็นไปได้มากที่สุด ทั้งแก่ชนชั้นนำเองและแก่สังคมไทยโดยรวม
.........................................................

นายกฯสั่ง ศอฉ.เข้ม หลังแดงขอนแก่นมาสมทบ

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ช่วงเย็น โดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศอฉ. พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวัน โดยเฉพาะกรณีคนร้ายได้ใช้ปืนเอ็ม16 และเอ็ม79 ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณย่านสีลม เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา โดย พล.ต.อ.ปทีป รายงานว่าอยู่ระหว่างการตรวจสอบของวิถีโค้งอาวุธสงครามเอ็ม 79 ว่ายิงมาจากบริเวณใด คาดว่าจะรู้ผลภายใน 1-2 วันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า นายอภิสิทธิ์ ได้สั่งการให้ ศอฉ.บังคับใช้กฎหมายดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่กระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะ 9 แกนนำที่ถูกออกหมายจับก่อนหน้านี้เกี่ยวกับคดีก่อการร้าย ตาม พรก.ฉุกเฉิน รวมถึงให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษเร่งดำเนินคดีทั้งคดีภัยความมั่นคงและคดียั่วยุปลุกปั่นล้มล้างสถาบัน ให้ปรากฎต่อสาธารณะชนโดยเร็วที่สุด ส่วนแนวทางการปรองดองแห่งชาติยังคงดำเนินการต่อไป เนื่องจากเป็นทางออกที่ดีที่สุด ซึ่งแนวทางทั้ง 2 อย่างจะต้องทำควบคุมกันไป คือการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มแข็ง และ การปรองดองแห่งชาติ

แหล่งข่าวในที่ประชุม ศอฉ.บอกด้วยว่า ที่ประชุมได้วิเคราะห์ถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงขอนแก่น ที่เข้ามาสมทบที่ราชประสงค์ โดยนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ พล.อ.อนุพงษ์ ในฐานะผู้รับผิดชอบในการใช้กำลัง พลเรือน ตำรวจ และ ทหาร ให้จัดเตรียมกำลังในการดูแลความสงบเรียบร้อย หลังคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อคืนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ให้จัดกำลังดูแลการเข้าออกของอาวุธสงคราม ไม่ให้ขนถ่ายได้อย่างสะดวก โดยเฉพาะเส้นทางน้ำย่านคลองแสนแสบให้กวดขันอย่างเข้มงวดเช่นกัน

นปช.แถลง ก่อน15พ.ค."รัฐ-แดง"สรุปแนวปรองดอง

นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงท่าทีการเคลื่อนไหว ว่า ที่ประชุม นปช.ได้หารือถึงข้อเสนอการปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดย 1-2 วันนี้ นปช.จะออกแถลงการณ์ ซึ่งบางประเด็นก็เห็นพ้องกับแนวทางของนายอภิสิทธิ์ สามารถเริ่มปฏิบัติได้ทันที แต่ประเด็นที่แตกต่างจะเสนอให้สังคมร่วมพิจารณาว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ แต่ไม่ถึงขั้นทำประชามติหรือประชาพิจารณ์ ทั้งนี้ข้อเสนอจะมีลักษณะยืดหยุ่น ไม่ตายตัวบีบบังคับให้รัฐบาลต้องเอาตาม

หรือถ้ารัฐบาลไม่ทำจะล้มเลิกการเจรจา เพราะ เข้าใจดีว่าการหาทางออกต้องยืดหยุ่นเพื่อความปรองดอง เราทราบว่าทั้งประเทศอยากเห็นบรรยากาศการปรองดองเกิดขึ้นโดยเร็ว เราจะไม่รอช้า อย่างเร็วที่สุดก็จบในวันพรุ่งนี้ อย่างช้าคือมะรืน ที่นายกฯเสนอมาว่าภายใน 15 พฤษภาคม เราเข้าใจ ต้องขอพื้นที่เวลาทำงานให้เรียบร้อยรัดกุม โดย นปช.จะลดเงื่อนไขการเผชิญหน้า ไม่เคลื่อนออกนอกที่ตั้งจนกว่าการปรองดองจะเสร็จเรียบร้อย นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงกรณี นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ว่า คนทั้งประเทศรอการปรองดอง แต่กลุ่มพันธมิตรฯกลับออกมาขัดขวางการปรองดองอย่างชัดเจน เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นเหมือนกับเป็นสิ่งที่นายสุริยะใสรอคอย ว่าจะเป็นกงดาบทำให้พันธมิตรฯขัดขวางการปรองดองลงได้ ทั้งที่ นปช.พยายามประคับประคอง แต่กลุ่มพันธมิตรฯแทนที่จะออกมายับยั้งความรุนแรง กลับหาประโยชน์จากเสียงปืนและเสียงระเบิด ขอเรียกร้องให้รัฐบาลจับกุมผู้ก่อเหตุมาลงโทษตามกฎหมาย ไม่ใช่มาเรียกร้องให้เรายุติการชุมนุม

ที่มา.เนชั่น
****************************************************

"เสื้อแดง"ชุมนุมต่อรับไม่ได้รัฐบาล-ศอฉ.เย้ยไม่มีทางลง

นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงและประธานชมรมคนรักอุดรฯให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้แกนนำจะได้ประชุมหารือกันถึงข้อเสนอโรดแม็ป 5 ข้อ สู่ความปรองดองและเสนอให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งแนวโน้มการหารือวันนี้ผลอาจออกมาว่าจะชุมนุมกดดันตามข้อเรียกร้องของเราต่อไป เพราะคำพูดต่าง ๆ ที่คนในศอฉ.หรือรัฐบาลออกมาพูด ทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายฯ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แม้กระทั่งนายกฯ แต่ละคนออกมาพูดในทำนองข่มขู่คุกคาม เยาะเย้ยว่าเราไม่มีทางลงแล้ว บอกว่ารัฐบาลได้เสนอทางลงให้แล้ว ให้เรารับข้อเสนอ ไม่มีสิทธิต่อรอง การมาพูดอย่างนี้จะสมานฉันท์ปรองดองได้อย่างไร สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ได้พูดออกมานั้น ก็เพื่อให้ตัวเองดูดี เพื่อเอาคะแนน ให้ได้รับการตอบรับจากสังคมเท่านั้นแต่ไม่ทำจริง ทั้งที่เราพยายามหาทางออกด้วยการเสนอจะยุติการชุมนุมในวันที่ 10 พ.ค. แต่ก็ถูกพูดตอกกลับมาอย่างนี้

เมื่อเป็นอย่างนี้เราควรที่จะอยู่ชุมนุมให้รัฐบาลยุบสภาทันทีต่อไป คนเสื้อแดงทุกคนพร้อมอยู่แล้ว เมื่อคืนก็เอาเข้ามาอีก 9 พันคน ทั้งจากจ.ขอนแก่น และจ.อุดรธานี และตอนนี้เราจะรักษาจำนวนคนในพื้นที่ชุมนุมให้ไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นคน โดยมีเป้าหมายให้มีคนจากต่างจั'หวัดมาอยู่ในพื้นที่ประมาณ 5 หมื่นคน และการชุมนุมต่อครั้งนี้จะกดดันรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น เนื่องจากมีคดียุบพรรคที่จะต้องพิจารณาในไม่ช้า อยากบอกว่าที่ศอฉ.ประเมินกันคนเสื้อแดงมีคนน้อยลงทุกวันเหลือ 3 พันคน 4 พันคน ก็ขอให้เข้ามาดู จะเอาปืน เอารถเกราะมา ก็ขอให้เอามา เพราะวันนี้คนเสื้อแดงไปไกลมาก พร้อมที่จะวิ่งเข้าหาลูกปืน เพราะเขารับไม่ได้จริงๆ และก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าคนเหล่านี้ไม่ได้รับจ้าง
ที่มา.เนชั่น
********************************************************

คิดเพื่อตัวเองไว้ก่อน ( มาร์คจอมหน้าด้าน )

ไม่สนปรองดอง ด้วย

ในอารมณ์ของ "คนที่รักมากจะโกรธมากที่สุด" ก็พอเข้าใจอาการที่ขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯ เฮี้ยวใส่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เล่นบทคัดค้านหัวชนฝา ไม่เอาด้วยกับโรดแม็ปสมานฉันท์กับคนเสื้อแดง

ถึงขั้นที่ "อภิสิทธิ์" เจอสบถด่าแรงๆ "ไอ้เฮงซวย"

ตามจังหวะตีปี๊บโหม กระแส "คนเคยรักมากก็เกลียดมาก" หันปลายกระบอกปืนเข้าใส่นายกฯอภิสิทธิ์ โทษฐานขัดอกขัดใจไปสมานฉันท์กับศัตรูร่วมทางการเมือง

ดูกันตามเกมก็เข้าทางแผนเบี้ยวเนียนๆ ของฝ่ายคุมเกมอำนาจ อ้างเป็นเหตุล้มกระดานโรดแม็ป "อภิสิทธิ์" ในจังหวะสุดท้าย

แต่ที่ลึกไปกว่านั้น โดยนัยแฝงที่หวังได้ คิวนี้แกนนำม็อบพันธมิตรฯในอีกคราบพรรคการเมืองใหม่ ก็ได้จังหวะ "ขย่มแต้ม" ฉวยกระแส "ตีกิน" พระเอกอย่างนายกฯอภิสิทธิ์

แย่งฐานเสียงที่ทับสัมปทานอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์

กระตุก คะแนนนิยม หลังปรากฏการณ์ "ม็อบไปเช้าเย็นกลับ" โดยการขยับทัพเสื้อเหลืองออกมาคำรามขู่ให้รัฐบาลและกองทัพจัดการขั้นเด็ดขาด กับม็อบเสื้อแดง พร้อมๆกับแตกเครือข่ายเป็นม็อบคนเสื้อหลากสีกระจายส่วนแบ่งการตลาด เพิ่มฐานระดมมวลชน

แต่ ไม่เป็นผล เสียงไม่พอกระตุ้นคิวลุยหักดิบม็อบแดง

ในอารมณ์ที่สังคม ยังคาใจภาพม็อบเสื้อเหลืองยึดสนามบินติดลบ ไม่มีใครดีกว่ากัน

ขณะ ที่พระเอกคนสำคัญอย่างนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำใหญ่ ในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ก็หายไปจากจอในห้วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

เรตติ้งฝ่อลงไปถนัดตา

เอาเป็นว่า โดยกระแสและความพร้อมที่จับอาการได้ ขืนเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ตามโรดแม็ปของนายกฯอภิสิทธิ์

ยี่ห้อ "พรรคการเมืองใหม่" มีหวัง "จั่วลม"

งานนี้เลยต้องโหม "กระแสหมั่นไส้อภิสิทธิ์" ชิงปั่นเรตติ้งกันอีกรอบ

แต่คิวนี้ ก็ไม่ง่ายเหมือนลุยกับผู้ร้ายหน้าเหลี่ยมยี่ห้อ "ทักษิณ" เพราะขาใหญ่ม็อบพันธมิตรฯ ต้องชนกับพระเอกรูปหล่อ พ่อยกแม่ยกเยอะยี่ห้อ "อภิสิทธิ์" ที่ลงทุนถึงขั้นต่อโทรศัพท์ สายตรงเคลียร์กับแฟนคลับแบบตัวต่อตัว

อ้อนกันแบบถึงลูกถึงคน

เจอมุกนี้เข้าไป พ่อยกแม่ยกไม่ใจอ่อนระทวยให้รู้ไป

แต่ทั้งหมดทั้งปวง มาถึงวันนี้ ในสภาพของ "อภิสิทธิ์" ที่มอมแมมกับคราบเลือด สะบักสะบอมจากบท "หนังหน้าไฟ" ของพวกโหนกระแสฝ่ายถืออำนาจ

หมดสภาพของ "คุณชายสะอาด"

คงต้องคิดเพื่อตัวเองและคนรอบข้าง มากกว่าคนอื่นแล้ว

เหนืออื่นใด ตามคิวที่นายพนิช วิกฤตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ สั่งเกาะติดกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ว่าจ้างบริษัทกฎหมายระดับโลกของประเทศเนเธอร์แลนด์ ในการช่วยกลุ่ม นปช.สู้คดีในระดับสากล

โยงกับคิวที่ "เดอะอ๋อย" นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงจองกฐิน ตั้งแท่นฟ้องนายกฯอภิสิทธิ์ต่อศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ ที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ต่อกรณีการปะทะระหว่างทหารกับม็อบ นปช.

ฐานเป็นผู้นำ พลเรือนที่สั่งทหารใช้อาวุธปราบปรามประชาชน จนมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นมนุษย์และขัดต่อหลักปฏิบัติสากล

"อภิสิทธิ์" ยังมีชนักปักคาอยู่

ไม่ ว่าจะโยนให้เป็นฝีมือไอ้โม่งชุดดำ โยงขบวนการก่อการร้ายแฝงในม็อบเสื้อแดง ยังต้องพิสูจน์กัน แต่กับฉากที่เห็นตรงหน้าปรากฏสู่สายตาทั่วโลก ทหารถืออาวุธปืนเอ็ม 16 พร้อมกระสุนจริง เปิดปฏิบัติการลุยสลายม็อบตอนกลางคืน

ไม่สนเสียงทัก คุมความเสียหายไม่ได้

ในฐานะของผู้นำเบอร์หนึ่งที่มีอำนาจสั่งการ สูงสุด "อภิสิทธิ์" ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความสูญเสียได้ ยิ่งขืนปล่อยให้ลากเกม "แลกเลือด" กันต่อไป ในจังหวะที่เห็นกันอยู่ว่า อาจมีคนบาดเจ็บล้มตายอีกนับไม่ถ้วน

ถึงขั้นนั้น วันที่ต้องขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ

ต่อให้คนรักมากยังไง ก็คงไม่มีใครยอมรับโทษกับ "อภิสิทธิ์" ด้วย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน
ไทยรัฐออนไลน์
*************************************************

ปรองดองหรือศพดอง

ไปๆ มาๆ ฝ่ายนปช.เริ่มมีข้อสงสัยแล้วว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์จะรอดพ้นคดียุบพรรค จะมีอายุยืนยาวไปจนถึงกลางเดือนก.ย.อันเป็นช่วงกำหนดวันยุบสภาหรือไม่

ถ้าหากไม่รอด มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยยังจับขั้วเดิมกันอยู่แล้วเปลี่ยนนายกฯใหม่

แผนปรองดองฉบับอภิสิทธิ์จะยังคงอยู่หรือเปล่า!?

ที่ตกลงกันเอาไว้ในวันนี้ ว่าจะมีเลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย.นั้น นายกฯคนใหม่จะเอาด้วยหรือไม่

นี่จึงเป็นเหตุให้ ฝ่ายม็อบต้องเน้นย้ำ รอคำพูดว่ายุบสภาวันไหนจากปากนายกฯ

จึงจะเป็นสัญญาต่อสาธารณชนที่เชื่อมั่นได้ แล้วจึงจะสลายตัว

เพราะการพูดแต่วันเลือกตั้ง เป็นการข้ามขั้นตอนอำนาจตามกฎหมายของนายกฯ

ยาวนานไปอีก 6 เดือน อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้

ชาวบ้านทั่วไป ที่เผลอดีอกดีใจ ตั้งแต่คืนที่นายกฯประกาศโรดแม็ปและเห็นนปช.ขานรับ อันบ่งบอกว่า ทั้งสองฝ่ายคงตกลงกันได้เรียบร้อยแล้ว เป็นอันยุติความขัดแย้งกันได้เสียที

พอรู้ว่ามาติดขัดกันที่คำพูดแค่ไม่กี่คำ แล้วทำให้ม็อบไม่ยอมเลิก เริ่มรู้สึกเหมือนทุกข์กลับมาทับอีก

โอกาสที่บ้านเมืองจะสงบ ไม่มีการปราบปรามเลือดนองแผ่นดินอยู่แค่เอื้อม

กลับจะห่างไกลออกไปอีกแล้วหรือ!?!

ยิ่งเห็นกองเชียร์รัฐบาล ที่มาในมาดขบวนการขวาจัดคืนชีพ เรียกร้องให้รัฐบาลอย่าไปยอมตามข้อเรียกร้องของประชาชนสีหนึ่ง ขอให้ปราบปรามเด็ดขาด

ออกมากดดันรัฐบาลกันยกใหญ่ ด้วยความไม่พอใจในแผนปรองดอง

คงชอบศพดองมากกว่า

ถ้าไม่เห็นม็อบเสื้อแดงถูกปราบ คงไม่มีความสุขสบายใจอะไรทำนองนั้น

ยิ่งน่าเป็นห่วงความเป็นไปในบ้านเมือง

แล้วยิ่งบรรดามือไม้รัฐบาล ในนามศอฉ. โดยเฉพาะเสธ.ไก่อูและอธิบดีดีเอสไอ ยังละเมอจะปราบปราม จะกวาดล้างจับกุมกันอยู่ทุกวัน

ยิ่งทำให้เกิดข้อสงสัยต่อแผนปรองดองของนายกฯ

จริงอยู่บรรดาข้าราชการ ต้องทำหน้าที่รักษากฎหมายต่อไปอย่างเคร่งครัด แต่ต้องจริงจังบนพื้นฐานพยานหลักฐานที่เป็นจริง ไม่ใช่เอาคดีมาใส่สีเพื่อเอาใจการเมือง

เดินไปตามข้อเท็จจริง อย่าถลำล้ำเส้น

เดี๋ยวการเมืองเปลี่ยนแปลง จะกลับตัวไม่ทัน!

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม(วงค์ ตาวัน)
*********************************************************

มะรุมมะตุ้ม

ทันทีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ประกาศแผนโรดแม็ปพร้อมวันเลือกตั้งใหม่ 14 พ.ย.

สังคมโดยองค์รวมก็ถอนหายใจกันเฮือกใหญ่ เพราะคาดว่าปัญหาต่างๆ น่าจะคลี่คลายไปได้ด้วยดี

แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น

ฝ่ายเสื้อแดงยังไม่ยอมก้าวลงจากเวทีแม้จะมีบันไดพาดรอไว้แล้ว

ทางหนึ่งเพราะรู้สึกว่านายอภิสิทธิ์ ไม่ยอมประกาศให้ชัดเจนเรื่องการยุบสภา และยังเกรงปัญหาเรื่องการตี ความคำพูดอันเป็นจุดแข็งของพรรคประชาธิปัตย์

ที่สามารถพลิกพลิ้วไปได้เรื่อยๆ หากพูดให้มันคลุม เครือเข้าไว้

จึงเป็นข้ออ้างให้เสื้อแดงปักหลักชุมนุมต่อไป ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะเป็นบวกหรือลบ เพราะท่าทีของรัฐบาลยามนี้ถือว่าถอยให้มากพอสมควรแล้ว

ขณะเดียวกันอีก 2 ม็อบที่ออกมาเคลื่อนไหวทันทีคือเสื้อเหลือง และเสื้อหลากสี

แสดงความไม่พอใจที่เห็นนายอภิสิทธิ์ ยอมอ่อนข้อให้เสื้อแดง

โดยเฉพาะพันธมิตรฯ แกนนำแต่ละคนแสดงออกอย่างกระหายเลือด เหมือนต้องการให้ทหารสาดกระสุนเข้าใส่ผู้ชุมนุมให้ตายหงส์ ตายห่าน เสียให้หมด

ไม่ได้นึกเลยว่าตัวเองก็เคยออกมาเคลื่อนไหวสร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมืองทั้งยึดทำเนียบฯ และยึดสนามบิน

มีคดีความมากมายจ่อหลังอยู่ แต่ทำเป็นหน้ามึนจี้ให้ตำรวจเร่งจัดการตามกฎหมายกับเสื้อแดง

ส่วนเสื้อหลากสีไม่ต้องพูดถึง จะว่าไปแล้วก็เหลือง อ่อนๆ นั่นแหละ

จุดมุ่งหมายก็ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้ยุบสภา

จึงมีคำถามตามมาในพลันว่า ทำไมเสื้อเหลืองและเสื้อหลากสี ถึงกลัวการเลือกตั้งใหม่ ทั้งๆ ที่นี่คือหนึ่งในองค์ประกอบของระบอบประชาธิปไตย

พันธมิตรฯ เองก็มีพรรคการเมือง ที่จริงน่าจะอยากให้มีการเลือกตั้งใหม่เร็วๆ จะได้เข้าไปชูคอในฐานะ ส.ส. หรือจับพลัดจับผลูได้เป็นรัฐมนตรีกับเขาอย่างถูกต้องตามขั้นตอน

การแสดงออกแบบนี้ อาจจะถูกกล่าวหาได้ว่า อยากมีอำนาจ อยากได้ผลประโยชน์ แต่ไม่อยากมาตามขั้นตอน

เหมือนอยากให้ลูกหลานเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่ไม่อยากสอบแข่งกับเด็กคนอื่น ใช้วิธีทวงบุญคุณ หรือข่มขู่เพื่อให้เข้าเรียนได้โดยไม่ต้องสอบ

อยู่ในระบอบประชาธิปไตยแต่กลัวการเลือกตั้ง เป็นเรื่องตลกแต่ขำไม่ออกจริงๆ

ตอนนี้เหมือนทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ฝ่ายเสื้อแดงที่ถูกกล่าวหาว่าต้องการเปลี่ยนระบอบการปกครองของไทย แต่กลับเรียกร้องให้เลือกตั้งใหม่

ขณะที่พันธมิตรฯ หรือเสื้อหลากสี ที่อ้างตัวว่ารักประชาธิปไตย และต้องการรักษาระบอบนี้ไว้ กลับกลัวการเลือกตั้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น

ตกลงว่าใครมีแนวคิดอยากเปลี่ยนระบอบการปก ครองของไทยกันแน่!?

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
******************************************************

เสื้อแดงประกาศร่วมปรองดอง-ยุติชุมนุม 10 พ.ค.ยังแค่แนวคิด

เมื่อ 18.10 น. วันที่ 7 พ.ค. ที่บริเวณด้านหลังเวทีราชประสงค์ แกนนำนปช. แถลงท่าทีต่อข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใจความสรุปว่า นปช.พร้อมจะร่วมแนวทางปรองดองกับรัฐบาล หรือหน่วยงานอื่น ที่จะใช้สันติวิธี ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะใช้เวลานานเท่าไร ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใด และมีแนวทางว่าหากร่วมปรองดองกับรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนไปสู้สันติวิธีไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตาย นปช. ไม่ถือว่าเป็นชัยชนะของใคร ไม่ใช่ของเสื้อแดง รัฐบาล แต่เป็นชัยชนะร่วมกันของคนไทยทั้งประเทศ นปช.ไม่ประสงค์ประกาศชัยชนะบนกองซากศพของประชาชน และตำรวจทหาร

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. กล่าวว่า มีการพิจารณาในข้อเสนอที่นายอภิสิทธิ์ เสนอมาพอสมควร ถือว่าการนับหนึ่งของอภิสิทธิ์เริ่มแล้ว เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมเห็นด้วยแล้ว การที่พันธมิตรฯและเสื้อหลากสีออกมาคัดค้าน เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาลต้องไปจัดการเอง ไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง

การประชุมวันนี้มีความเห็นคล้ายนายอภิสิทธิ์เสนอมา ทุกฝ่ายต้องยุติการนำสถาบันมากล่างอ้างทางการเมืองทุกกรณี และยืนยันไม่ขอนิรโทษกรรมข้อกล่าวหาที่รัฐบาลอ้างมา จะเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตามหลักฐานที่มี ขณะเดียวกัน ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับวันที่ 10 เม.ย. และ 28 เม.ย. ต้องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นทุกกลุ่มฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการทำงานเลือกตั้ง ทั้งพรรคการเมืองและประชาชนกลุ่มเคลื่อนไหวต้องยอมรับผลการเลือกตั้งที่จะมีมา ไม่จำเป็นต้องทำสัตยาบัน ประเพียงแค่ประกาศจุดยืน จะนำไปหารือกับรัฐบาลต่อไป เบื้องต้นมีมติเท่านี้ ส่วนเรื่องอื่นคงต้องรอการประชุมในนปช.วันที่ 8 พ.ค.

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงกรณีหยุดการชุมนุมในวันที่ 10 พ.ค.ว่า เป็นเพียงแนวคิดของนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำคนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่ประชุมยังไม่มีมติว่าจะเลิกชุมนุมเมื่อใด

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า จะไม่ยุติการชุมนุมต่อเมื่อประชาชนปลอดภัย ไม่มีการคุกคามจากทหาร ไม่มีการส่งเอสเอ็มเอส รบกวน ทหารต้องกลับกรมกอง ไม่ใช่นั้นต้องสู้กันต่อไป หากรัฐบาลอ้างว่าปรองดองแล้วต้องเหนือกว่า ไม่เท่าเทียมกัน เสมอภาค ไม่ต้องปรองดองกัน และไม่ขอนิรโทษกรรมข้อหาผู้ก่อการร้าย ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเข้าสู่ขบวนการยุติธรรมในกรณีฆ่าประชาชนด้วยเช่นกัน ส่วนเรื่องสัตยาบัน พรรคการเมืองทั้งหมด และกลุ่มการเมืองต้องประกาศต่อสาธารณะว่า ต้องยอมรับมติของประชาชนหลังจากเลือกตั้ง

สำหรับข้อเสนอของนายขวัญชัย ที่จะยุติการชุมนุมวันที่ 10 พ.ค. นั้น เนื่องจากเห็นด้วยวันดังกล่าวเป็นวันครบรอบ 1 เดือน เหตุการณ์ 10 เม.ย. ที่จะมีการทำบุญให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงที่ผ่านมา นอกจากนั้นยังเสนอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ระเบียบการบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
.........................................................

การเมืองไม่เสถียร ความเจริญเท่ากับศูนย์

ไทยแลนด์ไม่ได้ก้าวถอยหลัง...แต่ก็ไม่มีแรงก้าวไปข้างหน้าเวลานี้เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงต้องกอบโกย...แต่ไทยแลนด์ไม่มีเวลาไขว่คว้า...เพราะประเทศกำลังเจอปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไร? มาเลเซีย เป็นประเทศ “ตัวอย่าง” ที่เราหยิบยกขึ้นมาเพื่อกระตุ้นอะไรบางอย่างมาเลเซียกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและแซงหน้าไทยไปเกือบจะทุกภาคส่วน นายกรัฐมนตรีนาจิ๊บ ราซัค ประกาศโมเดลเศรษฐกิจใหม่ภายใต้วิสัยทัศน์ 2020 ที่จะนำ

มาเลเซียไปสู่สถานะของประเทศที่พัฒนาแล้วในปี 2563 หรืออีก 10 ปีข้างหน้า หากจะเทียบก็คงเทียบได้กับเกาหลีใต้ นาจิ๊บ ราซัคเปิดเผยแผนการเศรษฐกิจใหม่ที่จะเพิ่มรายได้ต่อหัวของประชากรในประเทศอีกเท่าตัว จาก 7,000 เหรียญสหรัฐต่อคน เป็น 15,000 เหรียญสหรัฐ และทำให้มาเลเซียเป็นประเทศที่ดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่น่าสนใจ คือ รัฐบาลนาจิ๊บ มีมาตรการลดอภิสิทธิ์แก่คนมาเลเซีย หลังจากที่เพิกเฉยละเลยปัญหาจนนำไปสู่ความ

รุนแรงเช่นปี 2512 ได้การลดอภิสิทธิ์แก่คนมาเลย์นั้น นอกจากเพื่อลดความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติในประเทศแล้ว ยังสามารถดึงนักลงทุนเข้าลงทุนจากต่างประเทศได้เป็นอย่างดี เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลกำหนดว่า นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในมาเลเซียต้องจัดสรรหุ้นร้อยละ 30 ให้กับคนมาเลย์ ซึ่งต่อไปนี้รัฐบาลจะยกเลิกมาตรการนี้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในมาเลเซีย และเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการจ้างงานมากที่สุด นอก

จากนั้นยังมีแผนจะลดการอุดหนุน โดยเฉพาะการอุดหนุนราคาน้ำมันในประเทศ และเก็บภาษีสินค้าและบริการเพิ่ม เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี หรือคิดเป็นร้อยละ 7.4 ของ จีดีพี และอ้างว่าจะเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยเหลือคนยากจนที่สุดของประเทศที่มีอยู่ร้อยละ 40ถ้ามาเลเซียทำได้ตามที่พูด!...เศรษฐกิจของมาเลเซียอาจจะขยายตัวถึงร้อยละ 6.5 จากที่ผ่านมาระหว่างปี 2541-2551 เศรษฐกิจมาเลเซียโตเฉลี่ยปีละ 5.5 แต่เศรษฐกิจของ

มาเลเซียก็พึ่งพาการค้าสูงเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย ดังนั้น การเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซียจึงผูกพันกับเศรษฐกิจโลกอย่างช่วยไม่ได้ ถ้าเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและพัฒนาไปด้วยดี เศรษฐกิจของมาเลเซียก็มีโอกาสจะขยายตัวตาม หากสามารถบริหารจัดการปัญหาภายในประเทศได้ การที่มาเลเซียพัฒนาเศรษฐกิจก้าวหน้าจนแซงไทยไปในหลายด้าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมาเลเซียมีเสถียรภาพทางการเมือง มีการต่อเนื่องในการดำเนินนโยบาย มีการทุจริต

คอร์รัปชั่นน้อย มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ทำให้นักลงทุนต่างประเทศสนใจที่จะเข้าไปลงทุน จุดอ่อนของมาเลเซียมีเพียงประการเดียว คือ ปัญหาเชื้อชาติภายในประเทศ หากรัฐบาลสามารถควบคุมปัญหานี้ได้ โมเดลเศรษฐกิจใหม่ของนาจิ๊บมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จแค่เอื้อมเพื่อนบ้านก้าวไกลแต่ไทยแลนด์ได้แค่ก้าวตามหากเสถียรภาพการเมืองยังไม่เสถียรสักที
ที่มา.บางกอกทูเดย์
......................................................

ป่วนแผนปรองดองยิงถล่มม็อบสีลม ตร.ดับ 1เจ็บระนาว

เมื่อเวลา 23.00 น.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.แทน ไชยแสง พนักงานสอบสวน สน.ทุ่งมหาเมฆ ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายไม่ทราบฝ่าย ยิงอาวุธปืนใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ที่บริเวณแยกศาลาแดง ถนนสีลม ฝั่งโรงแรมดุสิตธานี แขวงสีลม เขตบางรัก จึงไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 และพ.ต.อ.สมบัติ มิลินทจินดา ผกก.สส.น.5 พร้อมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน

ที่เกิดเหตุเป็นด้านหน้าธนาคารกรุงไทย สาขาย่อย อาคารซิลลิค เฮ้าส์ พบผู้บาดเจ็บ 4 คน เป็นตำรวจ 2 นาย และเป็นชาวบ้านกลุ่มชาวสีลมอีก 2 คน ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่ง รพ.จุฬาฯ คือ ด.ต.วิสูตร บุญยางมา ตำรวจ สน.บางนา ถูกยิงเข้าที่แขนซ้าย และ ส.ต.ท.จานุวัตร เลิศจันทร์เพ็ญ ตำรวจ สน.ทุ่งมหาเมฆ ถูกยิงเข้าที่ช่องท้อง ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว โดยทั้งคู่เป็นชุดปราบจลาจลของ บก.น.5 ส่วนชาวบ้านที่บาดเจ็บถูกนำตัวส่ง รพ.กรุงเทพคริสเตียน ทราบชื่อ นายสวัสดิ์ ชานุบรรณกร อายุประมาณ 60 ปีเถ้าแก่โรงน้ำแข็ง ถูกยิงเข้าต้นขาขวา 2 นัด และยังมีชาวบ้านอีก 2-3 ราย ถูกเศษกระจก ขณะวิ่งหลบหนีกระสุน

จากการสอบถามพยานที่เกิดเหตุทราบว่า ก่อนเกิดเหตุมีชาวสีลมรวมตัวกันประมาณ 30-40 คน ซึ่งจะเข้ามาอยู่ประจำบริเวณโรงแรมดุสิตธานี และส่งเสียงต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง โดยมีตำรวจชุดปราบจลาจลยืนเป็นแถวคอยรักษาการณ์ ดูแลความปลอดภัย กระทั่งเวลาประมาณ 22.45 น. มีเสียงพลุดังขึ้นจากฝั่งผู้ชุมนุมเสื้อแดง 3 ครั้ง ทำให้ตำรวจเกิดความสับสนว่าเสียงดังกล่าวเกิดจากอะไร จากนั้นมีเสียงปืนดังขึ้น กระสุนนัดแรกพุ่งเข้าประตูกระจกธนาคารกรุงไทยเสียงดัง ทำให้ตำรวจและชาวบ้านบริเวณดังกล่าาวต่างพากันหมอบและวิ่งหลบหนีกันจ้าละหวั่น โดยชาวบ้านที่สังเกตการณ์ได้ยินเสียงปืนยิงใส่ประมาณ 6 นัด ทำให้มีผู้บาดเจ็บดังกล่าว

พล.ต.ท.สัณฐาน กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังไม่ทราบว่ากลุ่มไหนเป็นคนลงมือก่อเหตุ น่าจะเป็นฝีมือกลุ่มคนไม่หวังดีพยายามสร้างสถานการณ์ให้วุ่นวายและรุนแรง แต่จากวิถีกระสุนที่พบในที่เกิดเหตุ น่าจะพุ่งตรงมาจากแยกศาลาแดง และน่าจะเป็นวิถีที่ยิงจากมุมสูง เนื่องจากเป็นแนวดิ่ง อย่างไรก็ตาม จะให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบย่างละเอียดอีกครั้ง และตรวจสอบจากภาพวงจรปิดที่อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ ซึ่งค่อนข้างจะสอดคล้องกับคำให้การของพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุว่า น่าจะมีการทำงานเป็นทีม มีคนชี้เป้าอย่างแน่นอน

ที่มา.เนชั่น
...........................................................

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตีขนดหาง อย่าได้หยุด!!!

ตีขนดหาง อย่าได้หยุด!!!
“๓ เกลอ” วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ต้องเหยียบคันเร่งเต็มสปีด ดึง “กองกำลังรักษาสันติภาพ” เข้ามาคุมสถานการณ์ ในเมืองไทย ทุกจุด???เหมือนการผุด“โรดแม็ป” ๕ ข้อ ๕ ประการ ที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ได้ความชอบธรรมจาก สิงคโปร์ มาเลเซีย นิตยสารไทม์ ยกให้เป็น “รัฐบุรุษ”..ทั้งที่เรื่องนี้ ยังเป็นแค่ “อากาศธาตุ” ลมฝีปาก “นายมาร์ค” เท่านั้นเอง...ไม่กำหนด “วันยุบสภาฯ”....ต้องบอกว่า นี่เป็น “โรดแมปเส็งเคร็ง”ฉะนั้น, เพื่อหายันต์เอาไว้กัน “แผนลับลวงพราง”...ปากอย่างใจอย่างของ “นายอภิสิทธิ์” ทาง “วีระ-จตุพร-ณัฐวุฒิ” ต้องสร้างความชอบธรรมให้โลกเช่นประจักษ์ ดึง “กองกำลังสันติภาพ” เข้ามาด่วนจี๋!!!มี “กองกำลังสันติภาพ” คุ้มครอง..... “มาร์ค” ไม่กล้าหยิ่งผยอง?....นึกลำพอง สลายม็อบหรอกพี่???
sssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
‘ความชอบธรรม’ มีเป็นกระตั่ก!!
พฤติการณ์ปากโป้ง ปากสว่าง ขู่ไม่ดูวันโกนวันพระ ของ “ไก่อู” พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ควรทำเรื่อง “ฟ้องทั่วโลก” ให้เป็นที่ประจักษ์???
ทำหนังสือเลสเตอร์ฉบับน้อยทุกๆ วัน แปลเป็นภาษาอังกฤษ ไปยัง “บัน คี มุน” เลขาธิการสหประชาชาติ, “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” แห่งสหรัฐอเมริกา ฟ้องความประพฤติข่มขู่เข้าสลายม็อบคนเสื้อแดง ใช้ทั้ง รถยานเกราะ อาวุธสงครามครบมือ เพื่อกวาดล้างแดงให้ตายเป็นเบือ ที่ราชประสงค์“ไก่อู” ก้าวร้าวเท่าไหร่!... “เสื้อแดง” ยิ่งได้รับความชอบธรรม โดยตรงฉะนั้น, ปล่อยให้ “โฆษก ศอฉ.” อย่าง “พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด” ฮึกเหิม ห้าวหาญ ระราน ในการ “ปราบม็อบเสื้อแดง” ต่อไปเหอะ!!!ยิ่ง “ไก่อู” พูดตอกย้ำ.... “เสื้อแดง” ยิ่งได้ความชอบธรรม?.....จากการกระทำ ของ “ศอฉ.”ที่เลอะเทอะ???
ssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
ทิ้งประโยคให้คนได้ยิน!!!
“ป๊ะป๋า” พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และ รัฐบุรุษ “ก่อนตายขอตอบแทนบุญแผ่นดิน”???อยากเห็น “จิ๋ว หวานเจี๊ยบ” พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย อดีตนายกรัฐมนตรี...เลิกเกรงใจใคร ทั้งที่ถูกเขาตามเหยียบย่ำ หยามเกียรติ จะจับตัวที่ โรงแรมจังหวัดปัตตานี และวันที่ไปยัง กรมทหารราบที่ ๑๑เขารุมกินโต๊ะ เอาถึงตาย....แต่ลูกผู้ชาย “บิ๊กจิ๋ว” นิ่งเฉย ไม่ปล่อยหมัดเด็ดฉะนั้น, “บิ๊กจิ๋ว” ต้องชูธงรบอย่างแข็งขัน และ คึกคะนอง ...อย่าได้พินอบพิเทา ลดราวาศอกให้แก่ใคร?...การใช้ “โซ่ข้อกลาง” เพื่อให้ชาติกลับมาสมานไมตรีเป็นเรื่องที่ดี...แต่บางคนไม่ซื่อ จ้องจะรวบตัว “บิ๊กจิ๋ว” จ้องที่จะจับ!!!“บิ๊กจิ๋ว” เล่นอยู่ในเกม......แต่บางคนใช้อำนาจหลุดเฟรม?.....เล่นนอกกติกาเต็มๆ ทนไปให้เสียเหลี่ยม ทำไมเล่าครับ???
sssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
ไดโนเสาร์เต่าล้านปี!!!
ชักใบให้เรือล่มกลางครัน...ก็การออกมา โก่งคอขัน ไม่เอา ไม่เล่นด้วย กับ “โรดแมป” ปรองดองเพื่อชาติ ของ รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ “สามสี ภูเขาทอง” นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี???แผ่นดินไทยอ่วม เลือดท่วมแผ่นดินไปหลายล้านซีซี แล้วนะ “ท่านรองนายกฯ ไตรรงค์” เจ้าคะ เจ้าขา....ค้านแผนสันติภาพ “นายกฯ อภิสิทธิ์”........คิดสะระตะอย่างไร ไอเดียท่านก็ไม่เข้าท่าท่านสำเร็จหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ มานานหลายปีมะโว้ เมื่อ ๓๐-๔๐ ปีก่อน .. ย่อมตามโลกไซเบอร์ ความรวดเร็วของข้อมูลข่าว เพียงลัดนิ้วมือเดียวไม่ทัน.. ชนิดจะพลิกกระดิกตัวค้านอะไรอย่าให้ก่งก๊งนักเลย!....อีกอย่างนับแต่ท่านนั่งเต๊ะจุ้ย เป็น “รองนายกรัฐมนตรี คุมฝ่ายเศรษฐกิจ” ไม่เห็นมีผลงานโชว์แต่การเป็น “ตลกบริโภค”...โดยทำงานอืดอาด เหมือน “คนโบราณหลงยุค” ที่หยำแหยะ!!!เป็น “รองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ”.....ไม่ปั่นไม่โม่ ผลงานสักนิด?.... “นายกฯ อภิสิทธิ์” ควรปลด ได้แล้วแหละ???
ssssssssssssssssssssssssssssssssssssssss
เป็นเรื่อง “มหัศจรรย์ธรรมชาติ”!!!
แต่หลายคนว่าเรื่องนี้ ธรรมด้า..ธรรมดา...มิใช่เรื่องประหลาด???การที่เก้าอี้สมัยเด็กๆ ของ “นายหัวชวน หลีกภัย” ที่ยกออกจากบ้านจังหวัดตรัง มาไว้ชานเรือน...แล้วเก้าอี้ตัวนั้น กับลอยขึ้น สูงขึ้น หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ ว่า “อดีตนายกฯ ชวน” จะรีเทิร์น เป็น “นายกรัฐมนตรี” รอบใหม่หากพิศดูให้ถ่องแท้....ที่แน่ ๆ “จอมปลอม” กินขาเก้าอี้ จึงทำให้ลอยขึ้นมาได้ไม่ได้เป็นเรื่องมหัศจรรย์พันลึก ..เป็นการ “ส่งสัญญาณพิเศษ” ถึงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี!“จอมปลอม” กินจนเก้าอี้ลอย...มิได้แปลกสักหน่อย?...อุ้ย, ฝอยกันอยู่ได้ ก็แปลกดี???

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...................................................