--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สมบัติของประชาชน..

หน้าเห็นใจ...พันธมิตร...ทันทีที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ใช้ความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหา...โดยยึดเอาความเป็นจริงเป็นหลักไม่เอาอนาคตของชาติมาเสี่ยง
ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น...ไม่สำคัญเท่ากับว่า เมื่อก่อนหน้าที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น...เขาคือ...นักการเมือง

หนุ่มที่มีอนาคตอันสุกใส...เขาเป็นนักการเมืองที่ไปไหนมาไหนในแผ่นดินไทยได้...ท่ามกลางการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากมวลชนในทุกภาคส่วนของประเทศ
ในประเทศนี้ เมื่อก่อนหน้า...รู้ว่านี่คือว่าที่ นายกรัฐมนตรี ในไม่วันใดก็วันหนึ่งอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปไหนมาไหนกับรถไฟใต้ดินและรถไฟบนดิน...ประชาชนที่พบปะกับเขา ยิ้มให้ด้วยหัวใจที่ปีติและไมตรีที่อบอุ่น...สิ่งที่มีค่าที่สุดของคนไทยคนหนึ่ง สิ่งที่มีค่าควรแก่การรักษา...นั่นคือ การนั่งอยู่ในหัวใจของคนไทยทั้ง

ชาติ...สำหรับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...เมื่อก่อนหน้า...ไม่มีใครคิดว่าเขาคือประชาธิปัตย์...แต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะคือ...ผู้แทนปวงชนของคนไทยทั้งผอง...ทุกๆ คนเชื่อในความเป็นนักการเมืองของเขา...เท่าๆ กับที่เคยเชื่อและศรัทธาใน ชวน หลีกภัย...ชวน หลีกภัย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็น 2 ในจำนวนนักการเมืองนับพัน...ที่ประชาชนสามารถให้คำตอบแทนได้ว่า...เขาจะปฏิเสธในสิ่งใดเรื่องใดและจะรับในสิ่งใดเรื่องใดเพราะในทุกๆ โจทย์ในทุกๆ เรื่องราวนั้น...ความถูก

ต้องที่สมบูรณ์ที่สุดมีเพียงหนึ่งเดียวหลังนั่งบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรี...ที่เหล่ามารการเมืองได้ลำเลียงมามอบให้...มันทั้งหลาย...ประเมินพลาด...ในกำมือมารนั้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่ลูกไก่...แต่มันเป็น...เหยี่ยวหนุ่ม...ที่มีปากแกร่งและกรงเล็บที่แหลมคมทรงพลัง...ประโยชน์ชาติมาก่อนประโยชน์พรรคและพวก...เก้าอี้เขาเริ่มมีปัญหา...เก้าอี้นายกรัฐมนตรี ฝีมือมาร...ทำให้เขาเริ่มได้รับการปฏิเสธจากประชาชน...จากน้อยและเพิ่มพูนขึ้นทุกวี่วัน...อำนาจแบบนั้นไม่ใช่

อำนาจในฝันของ...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...แต่เมื่อมันเป็นหน้าที่...มันก็เป็นบาปกรรมจนเมื่อ 10 เมษายน 2553 สงครามระหว่าง...อำนาจกับอำนาจ...ที่ใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์...เป็นเบี้ยสู้กัน...และจะนำไปสู่การ...เข่นฆ่าที่มากกว่าและกองศพที่ใหญ่กว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดว่า...ประชาชนต้องมาก่อน และ ถึงวันนี้...เขาทำ...ในสิ่งที่เขาพูดประเทศไทยกำลังได้...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ที่เป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมา...
คอลัมน์.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
******************************************************

จบยาก!

ผ่านไปเกือบ 1 สัปดาห์ ที่นายกรัฐมนตรี ประกาศโรดแมป “ปรองดองเพื่อชาติ” แต่ยังไม่มีทีท่าว่า...ความปรองดองจะเกิดขึ้นจริง แม้ว่าแกนนำ นปช. จะยอมรับข้อเสนอนี้แล้วก็ตาม แต่เวลานี้เงื่อนไขและปัญหาของการขับเคลื่อนโรดแมปกลับกลายเป็นฟากฝั่งรัฐบาล ที่ยังไม่สามารถเคลียร์กับคนของตนเองให้ลงตัวได้โดยเฉพาะ “พันธมิตรฯ” ดูเหมือนจะไม่แฮปปี้กับโรดแมปที่นายกฯ เสนอ เพราะพันธมิตรฯ คิดว่า “โรดแมปรองดองเพื่อชาติ” กำลังเป็น “เรดแมป” ที่เข้าทาง

คนเสื้อแดง เพราะ 1 ใน 5 ข้อรัฐบาลประกาศจะยุบสภา หากทุกฝ่ายกลับเข้าสู่ความปรองดอง รวมทั้งประกาศวันเลือกตั้งออกมาอย่างชัดเจน งานนี้ผู้เจนจัดเกมการเมืองอย่าง “พันธมิตรฯ” เลยต้องออกมาแสดงบทบาทคัดค้านรัฐบาลยุบสภา พร้อมออกแถลงการณ์ประณามไอเดียปรองดองเพื่อชาติ เท่านั้นยังไม่พอ...พันธมิตรฯ ยังระบุในแถลงการณ์ด้วยว่า หากนายกฯ ไม่สามารถแก้ปัญหาทางการเมือง และปากท้องของประชาชนได้ ก็ขอให้ “ลาออก”เอาหล่ะซิ! คนกัน

เองเล่นกันเองแบบนี้ ก็ต้องวุ่นถึงนายกรัฐมนตรี เจ้าโปรเจ็กต์โรดแมป ต้องออกมาเคลียร์กับพันธมิตรฯ อีก เพราะปัญหายังไม่จบ แต่พันธมิตรฯ กลับไม่ให้ความสำคัญกับการพูดคุยทำความเข้าใจถึงแนวทางปรองดองที่นายกรัฐมนตรีเสนอแต่อย่างใด เพราะการหารือเมื่อวันที่ 6 พ.ค. ที่รัฐสภา พันธมิตรฯ ส่งนาย พิภพ ธงไชย ซึ่งเป็นแกนนำ และ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกฯ มาคุยกันนายกฯ ส่วนแกนนำคนสำคัญที่สามารถตัดสินใจได้อย่าง “สนธิ ลิ้มทองกุล” ไม่ได้เดิน

ทางมาด้วย เพียงแต่ฝากข้อคิดมาให้นายกฯ เท่านั้น ภายหลังการเจรจา พันธมิตรฯ ยังยืนกระต่ายขาเดียวว่า “ค้านยุบสภา” ไม่เอาโรดแมปนี้ เพราะเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มนึ่งเท่านั้น แถมเวลายุบสภาอีก 4 เดือนนั้นยังน้อยไปสำหรับการเตรียมการและแก้ปัญหาที่ค้างคา ดังนั้น พันธมิตรฯ จึงไม่เห็นด้วยกับการแผนปรองดองนี้ขณะที่นายกรัฐมนตรี ยังมองในมุมบวกนิดๆ แต่ยังแฝงความน้อยใจนิดๆ ด้วยเช่นกับท่าทีของแกนนำพันธมิตรฯ มาหารือกัน“ผมคิด

ว่าพันธมิตรฯ น่าจะมีความเข้าใจมากขึ้น เพราะบางทีก็ไปกล่าวหากันรุนแรง เช่นที่กล่าวว่าผมทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง หรือไปสมคบหรือไปตกลงกับใคร ซึ่งไม่เป็นความจริง”นายกรัฐมนตรีกล่าวอย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ปรองดองเพื่อชาติของรัฐบาลได้สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก เพราะล่าสุด นิตยสารไทม์ ได้เขียนบทความถึงแนวคิดนี้ด้วยเช่นกัน ในบทความเรื่อง “Thailand PM Gains Upper Hand in Protest Crisis” นิตยสารไทม์ส โดยนายโรเบิร์ต ฮอร์น ระบุตอน

หนึ่งของบทความว่า “แม้นายอภิสิทธิ์ ยังไม่สามารถออกจากป่าได้เสียทีเดียว แต่ก็ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเขาถือไพ่เหนือกว่า จากที่เคยถูกเย้ยหยันถึงความอ่อนแอและถูกตั้งคำถามถึงความสามารถในการบัญชาการตำรวจและทหารของไทย ท้ายที่สุดแล้วนายอภิสิทธิ์ ก็แสดงถึงความเป็นผู้นำมากกว่าที่จะตอบโต้ผู้ประท้วง และหากกระแสเปลี่ยนไปในทิศทางตรงข้ามกับผู้ชุมนุม ไหวพริบทางการเมืองของนายรัฐมนตรีก็คงรู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไรกับคนเสื้อแดง”ขณะเดียว

ท่าทีนายกรัฐมนตรี ต่อปัญหาการเมืองที่ไม่ได้ข้อสรุปเช่นนี้ ยังระบุด้วยว่า “ถ้ากลุ่มเสื้อแดงยังติดขัดเรื่องบริหารจัดการก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อไรมีความชัดเจนว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะร่วมกระบวนการปรองดอง ผมก็ถือว่าคำเสนอเรื่องการยุบสภาต้องเป็นอันยกเลิกไป ผมต้องทำในส่วนอื่นใน 5 ข้อนี้ และการบังคับใช้กฎหมายก็ต้องเดินต่อไป”งานนี้จึง “จบยาก”หากยังย้ำอยู่กับที่เช่นนี้!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.............................................................

‘สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ’ ฟ้องหมิ่นประมาท ศอฉ. ฐานเผยแพร่แผนผังเครือข่ายล้มสถาบัน


7 พ.ค.53 เวลาประมาณ 9.30 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดา นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทนายความได้ยื่นฟ้อง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำเลยที่1 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. จำเลยที่2 และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 157, 328 กรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เผยแพร่แผนผังเครือข่ายล้มเจ้า ซึ่งมีชื่อของนายสุธาชัยปรากฏอยู่ นอกจากนี้ยังได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งในข้อหาละเมิด ให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,554.80 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และขอให้ศาลเปิดการไต่สวนฉุกเฉินเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราว ต่อมาเวลาประมาณ 15.30 น. ศาลไต่สวนฉุกเฉินโดยไต่สวนโจทก์เพียงปากเดียวพร้อมพยานเอกสารอีก 5 ชิ้น และนัดฟังคำสั่งในวันจันทร์ที่ 10 พ.ค.นี้

ทั้งนี้ เนื้อหาในคำฟ้องฐานความผิดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาระบุว่า สืบเนื่องจากที่นายอภิสิทธิ์ (จำเลยที่ 1) ใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และมอบหมายให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ (จำเลยที่ 2) เป็นประธานกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ในฐานะ ผอ.ศอฉ. โดยมี พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ทำหน้าที่เป็นโฆษก ศอฉ.

จำเลยทั้งสามที่มีอำนาจหน้าที่ใน ศอฉ.ได้กระทำผิดกฎหมาย โดยการร่วมกันจัดทำแผ่นปลิวโฆษณาระบุว่า แผ่นปลิวดังกล่าวเป็นแผนผังของ ศอฉ. ซึ่งแสดงเครือข่ายที่มีพฤติการณ์ส่อล้มสถาบัน โดยมีรายชื่อของโจทก์ปรากฏอยู่ในเครือข่ายนั้นด้วย ทั้งที่จำเลยทั้งสามก็ทราบดีอยู่แล้วว่า โจทก์มิได้เป็นเครือข่ายขบวนการดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริต ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และปฏิบัติโดยทุจริตทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

นอกจากนี้ จำเลยทั้งสามยังได้ทำการโฆษณาแจกจ่ายแผ่นปลิวดังกล่าวให้กับผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมวลชนทั่วไป ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจากประชาชนทั่วไป ซึ่งตามความจริงแล้ว โจทก์ไม่ได้เป็นบุคคลที่มีพฤติการณ์ต้องการจาบจ้วง และล้มล้างสถาบันแต่อย่างใด ทั้งนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสาม ไม่ได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับ หรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย แต่เป็นการทุจริต เลือกปฏิบัติเกินสมควรแก่เหตุ และไม่ใช่กรณีที่จำเป็น ดังนั้นจำเลยทั้งสามจึงไม่ควรได้รับความคุ้มครองใดๆ ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

นายสุธาชัย ให้สัมภาษณ์ถึงการยื่นฟ้องร้องต่อศาลในครั้งนี้ว่า จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสิทธิของตัวเอง เนื่องจากไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ตามที่ถูกกล่าวหาตามแผนผังของ ศอฉ. และโดยส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าจะ มีขบวนการนี้อยู่จริง เป็นเพียงการใส่ร้ายป้ายสีระหว่างที่รัฐพยายามจะสลายการชุมนุม อีกทั้ง เพื่อเป็นการระงับการกระทำดังกล่าวของรัฐซึ่งอาจเกิดขึ้นได้อีก

ส่วนการโยงใยว่าเป็นเครือข่ายฯ โดยอ้างหลักฐานเรื่องการเป็นนาย ประกันให้ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโดนั้น นายสุธาชัย กล่าวว่า เป็นเรื่องไม่มีเหตุผล เพราะในขณะนั้นดารณีเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ ซึ่งจะต้องให้ศาลตัดสินว่าผิดจริง หรือไม่ และไม่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่ามีกระบวนการล้มเจ้าอยู่จริง ทั้งนี้ การเป็นนายประกันไม่ได้หมายความว่า ต้องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วย เพียงแต่ตนไม่เห็นด้วยกับการนำข้อหาดังกล่าวมาทำลายกัน ในประเด็นทางการเมือง อีกทั้ง เห็นว่าดารณีควรมีสิทธิที่จะออกมานอกคุกเพื่อต่อสู้คดีเหมือนคนทั่วไป สำหรับกรณีที่เป็นที่ปรึกษาหนังสือพิมพ์ Thai Red News และ Voice of Taksin นั้นก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ปรึกษาของสื่อมวลชนอย่างที่หลายคนเป็นและตนก็ได้ส่งบทความไปลงบ้างเพียงเท่านั้น

นายสุธาชัยกล่าวแสดงความคิดเห็นด้วยว่า ส่วนตัวคิดว่า ศอฉ.ถูกตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ในการการระงับ หรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมายใน การชุมนุมของคนเสื้อแดง ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ดังนั้น การทำแผนผังเครือข่ายขบวนการล้มเจ้าและเผยแพร่ต่อสื่อต่างๆ น่าจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าอำนาจหน้าที่ของ ศอฉ.
ที่มา.ประชาไท
............................................................

ศาลอาญา ระหว่างประเทศ

สัปดาห์ที่ผ่านมา "ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย" (เอซีเอชอาร์) ออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลไทย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า

แม้รัฐบาลไทยยังไม่ได้ให้ "สัตยาบัน" ใน "ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ" (ไอซีซี)

แต่กลไกสิทธิมนุษยชนทั้งระดับในประเทศและนานาชาติสามารถยื่นเรื่องต่อไอซีซี ขอให้เปิดการพิจารณาคดีรัฐบาลใช้กำลังทหารยิงปราบปรามประชาชนได้เช่นกัน

ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ "ไอซีซี" (International Criminal Court) มีสถานะเป็น "องค์การระหว่างประเทศ" ที่ถือกำเนิดขึ้นโดยธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2545 ตั้งอยู่ ณ นครเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

โดยมีเจตนารมณ์ตั้งขึ้นเพื่อจะนำตัว "ผู้กระทำความผิดทางอาญาระหว่างประเทศมาลงโทษ" ด้วยความร่วมมือกันของประชาคมระหว่างประเทศ

ซึ่งไทยได้ลงนามรับรองธรรมนูญกรุงโรมฯ ดังกล่าวแล้ว แต่ยังไม่ได้ให้ "สัตยาบัน" เพื่อผูกพันเป็นภาคีอย่างเป็นทางการ

เกรียงศักดิ์ แจ้งสว่าง นบ.นม. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขากฎหมายระหว่างประเทศ อธิบายถึงหลักการสำคัญของไอซีซี ว่า

ไอซีซีมีอำนาจพิจารณาคดีเฉพาะปัจเจกบุคคลกระทำความผิด ซึ่งไม่ใช่การกระทำของรัฐ ได้แก่ อาชญากรรมร้ายแรงที่สุดที่สังคมระหว่างประเทศได้กำหนดห้ามไว้ และเกิดขึ้นภายหลังวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ.2545 เป็นต้นไป อันได้แก่

- การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หมายถึง การกระทำที่มีเจตนาทำ ลายล้างทั้งหมด หรือบางส่วนของกลุ่มชนชาติ ชาติพันธุ์ เชื้อชาติ หรือกลุ่มทางศาสนา

- อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ หมายถึง การกระทำใดๆ ที่เป็นการโจมตีอย่างกว้างขวาง หรือเป็นระบบที่มีเป้าหมายโดยตรงต่อประชาชนพลเรือน เช่น การฆาตกรรม การทำลายล้าง การเนรเทศ หรือการบังคับพลเรือนให้โยกย้าย การทรมาน ข่มขืนกระชำเรา ฯลฯ

- อาชญากรรมสงคราม ได้แก่ ทั้งสงครามระหว่างประเทศและสงครามกลางเมือง รวมถึงการดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนร่วมในการวางแผน หรือการกระทำที่ส่งผลต่อทหารและพลเรือนจำนวนมาก เช่น การปฏิบัติอย่างไร้มนุษย ธรรมต่อเชลยศึก การใช้แก๊สพิษ การโจมตีเป้าหมายพลเรือน เป็นต้น

- ความผิดฐานการรุกราน ซึ่งหลายประเทศคัดค้าน รวมถึงรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เพราะเกรงว่าจะไปผูกโยงกับปฏิบัติการทางทหารในต่างประเทศของตน

อำนาจของไอซีซีข้างต้นต้องตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐาน 3 ประการคือ

1.ไม่มีผลย้อนหลังของความผิด

2.ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำความผิดลอยนวล เพราะหลายต่อหลายเหตุการณ์ที่ผู้กระทำความผิดต่อมวลมนุษยชาติไม่ได้รับการลงโทษ เช่น กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา หรือการเข่นฆ่าประชาชนในภาวะความขัดแย้งทางการเมือง

3.การพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

ธรรมนูญกรุงโรมฯ กำหนดเงื่อนไขในการที่ไอซีซีจะพิจารณาคดีเบื้องต้น คือ รัฐนั้นๆ ต้องให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญศาล นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เช่น คู่กรณีที่เกี่ยวข้องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นรัฐคู่สัญญา ผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้มีสัญชาติของรัฐคู่สัญญา อาชญากรรมได้กระทำบนดินแดนของรัฐคู่สัญญา เป็นต้น

นอกจากนี้ รัฐที่ไม่ใช่รัฐคู่สัญญา อาจตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลในคดีอาชญากรรมที่กระทำบนดินแดนของตน หรือโดยคนสัญชาติตนก็ได้

รัฐบาลไทยเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่ายกับหลักเกณฑ์ใดบ้าง?

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
*****************************************************

อาถรรพ์ ณ ป้อมเพชร

ไม่น่าเชื่อ ว่า สามสตรีหลังบ้านผู้นำประเทศไทย 3 คน จะเกี่ยวดองหนองยุ่ง(สำนวนคุณหมู นิติภูมิ) กันได้ แถมบุคลิกใกล้เคียงกันเสียอีก ต่างกันที่ว่า 2 คนแรกนั้น หนักแน่นมั่นคงในระบอบประชาธิปไตย ส่วนคนล่าสุดกลับหนักแน่นมั่นคงในระบอบอำมาตย์ทราราชย์แผ่นดิน

***********************

สตรีแกร่งแห่ง 'ณ ป้อมเพชร'

เปิดหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในทำเนียบภริยานายกรัฐมนตรี มี “หลังบ้านผู้นำ” และ “อดีตหลังบ้านผู้นำ” ผู้ซึ่งเดินเคียงข้างและอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมาถึง 3 ยุค 3 สมัย ที่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวพันกันทางเชื้อสายสกุลนั่นคือ สกุล “ณ ป้อมเพชร”

ท่านแรกคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (สกุลเดิม ณ ป้อมเพชร) ภริยา ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรือ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม รัฐบุรุษอาวุโสและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 7 ของประเทศไทย ในช่วงยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

ท่านผู้หญิงพูนศุข เกิดเมื่อวันที่ 2 ม.ค. พ.ศ. 2455 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นธิดาคนที่ 5 ในบรรดาบุตร-ธิดา 12 คน ของ มหาอำมาตย์ตรี พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (พระสมุทบุรานุรักษ์ หรือ ขำ ณ ป้อมเพชร) อธิบดีกรมราชทัณฑ์คนแรกของประเทศ และ คุณหญิงชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา (เพ็ง สุวรรณศร) และหนึ่งในจำนวนน้องสาวคนถัดมาของท่านผู้หญิงพูนศุข คือ นางอัมพา สุวรรณศร (สมรสกับ ศ.ประมูล สุวรรณศร) มีสถานภาพเป็นยายแท้ ๆ ของ ผศ.ดร. พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันนั่นเอง

ชีวิตสมรสระหว่างท่านผู้หญิงพูนศุขและศ.ดร. ปรีดี เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2471 หลังจากสมรสได้ 4 ปี ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย มรสุมทางการเมืองจึงทำให้ทั้งสองถูกพลัดพรากออกจากกัน ศ.ดร.ปรีดีลี้ภัยทางการเมืองไปพำนักอยู่ต่างประเทศ ขณะที่ท่านผู้หญิงพูนศุขเป็นสตรีที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ไปพร้อม ๆ กัน เมื่อ ศ.ดร.ปรีดีเดินทางกลับมาได้ทำหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่สามีจนเกิดมรสุมครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2490 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ศ.ดร.ปรีดีหนีตายไปต่างประเทศจากพิษการเมือง กระทั่งปี พ.ศ. 2495 ท่านผู้หญิงพูนศุขและบุตรชาย (ปาล พนมยงค์) ถูกจับคุมขังในฐานะกบฏอยู่นาน 84 วัน

เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมา ท่านผู้หญิงพูนศุขได้ตามสามีไปอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีน จากนั้นจึงย้ายไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสและใช้ชีวิตที่บ้านอองโตนีเป็นบ้านหลังสุดท้ายสำหรับชีวิตคู่ร่วมกัน ท่านผู้หญิงพูนศุขใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายเคียงข้างสามีอันเป็นที่รักยิ่ง ที่ชานกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของ ศ.ดร.ปรีดี พนมยงค์ ในปี พ.ศ. 2526 ท่านผู้หญิงพูนศุขเดินทางกลับสู่มาตุภูมิอีกครั้งพร้อมด้วยอัฐิของสามีในปี พ.ศ. 2530 และได้ใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลาย สุดท้ายที่บ้านเกิดเมืองนอน กระทั่งวันที่ 12 พ.ค. พ.ศ. 2550 ถึงแก่อนิจกรรมโดยสงบสิริอายุรวม 95 ปี 4 เดือน 9 วัน

ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ท่านผู้หญิงพูนศุขชื่นชอบการทำอาหารฝรั่ง ทำเค้ก ขณะเดียวกันมีคุณงามความดีที่ลือลั่นว่าเป็นสตรีที่รักประชาธิปไตย รักความสมถะและเรียบง่าย เป็นศรีภรรยาที่เสียสละทุกอย่างเพื่อสามี เรียนรู้เรื่องการเมืองจากสามีจนกลายเป็นสตรีที่รักประชาธิปไตย และต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเคียงบ่าเคียงไหล่สามี แม้ได้รับมรสุมทางการเมืองพัดกระหน่ำอยู่หลายต่อหลายครั้ง

หนึ่งในสาย ณ ป้อมเพชร ที่มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในเวลาต่อมาคือ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร หรือ “คุณหญิงอ้อ” สมรสกับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของประเทศไทย มีบุตร-ธิดา 3 คน คือ นายพานทองแท้-น.ส.แพทองธาร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ปัจจุบันคุณหญิงพจมานเลือกกลับมาใช้นามสกุล “ณ ป้อมเพชร” ของมารดา (นางพจนีย์ ณ ป้อมเพชร) แทนการใช้นามสกุล “ดามาพงศ์” ของฝ่ายบิดา (พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์) หลังจากหย่าขาดจาก พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ในปี พ.ศ. 2551

เมื่อครั้งเดินเคียงข้าง (อดีต) สามี คุณหญิงพจมานไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิงที่มีอิทธิพลต่ออดีตผู้นำประเทศเท่านั้น นับตั้งแต่การวางรากฐานทางการเมืองให้แก่ (อดีต) สามีตั้งแต่เริ่มสร้าง พรรคไทยรักไทย แต่ยังเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาตั้งแต่สมัยก่อร่างสร้างธุรกิจด้วยกันมา จึงเรียกได้ว่าทรงอิทธิพลในแง่ธุรกิจของครอบครัวตระกูล ชินวัตรเป็นอย่างมาก

บุคลิกลักษณะอันโดดเด่นของคุณหญิงพจมานเป็นที่รู้กันดีในเรื่องของความเงียบขรึม ไม่มีคำเอื้อนเอ่ยใดหรืออาจมีเพียงคำตอบชนิดถามคำตอบครึ่งคำ พร้อมรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้ายามที่ถูกสัมภาษณ์ เป็นคนมีระเบียบ ใจกว้าง ใจนักเลง และเป็นนักวางแผนที่ลึกล้ำที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ของผู้เป็นแม่ได้อย่างไม่มีที่ติในการเลี้ยงดูลูก ๆ ทั้งสามคน

และหนึ่งในสตรีเชื้อสายสกุล ณ ป้อมเพชร ที่เป็นหลังบ้านนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทยในปัจจุบันคือ ผศ.ดร.ทพญ.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ (ศกุนตาภัย) หรือ “คุณแตง” ที่เรียกสั้น ๆ มาจาก“แตงโม” เป็นบุตรสาวของ ศ.(พิเศษ)พงศ์เพ็ญ-นางประพาพิมพ์ ศกุนตาภัย (สุวรรณศร) อดีตผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ความเกี่ยวโยงกับสายสกุล ณ ป้อมเพชร สืบเนื่องจากคุณยายของคุณแตงโมคือน้องสาวแท้ ๆ ของท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ (ณ ป้อมเพชร)
สตรีหมายเลข 1 คนปัจจุบันของประเทศไทย มีบทบาทแนวหน้าและโดดเด่นในฐานะนักวิชาการ ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สาขาคณิตศาสตร์ ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แม้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาฯ แต่ใจรักวิชาคณิตศาสตร์เป็นอย่างมาก จึงเข้าศึกษาต่อปริญญาโทและเอกจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ จากจุฬาฯ สถาบัน ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาสถาบันเดิม ภายหลังสมรสแล้วมีธิดาและบุตร 2 คน คือ น.ส.ปราง และ นายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ในฐานะภริยาของ ฯพณฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คุณแตงโมเป็นหลังบ้านที่สุขุม จริงจัง ตามลักษณะอาจารย์นักวิชาการ ไม่ใช่ผู้หญิงหวาน ไม่นิยมออกสื่อใด ๆ หากไม่จำเป็น เพราะต้องการใช้ชีวิตครอบครัวด้วยความเป็นส่วนตัว แต่เป็นที่รู้กันว่านายกฯ อภิสิทธิ์ รักและเคารพศรีภริยามาก ขณะเดียวกันคุณแตงโมคอยเป็นกำลังใจให้แก่สามีอยู่ไม่ห่างอย่างเงียบ ๆ และเป็นศรีภริยาคู่คิดที่มีแนวคิดและมุมมองในเรื่องต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน

นอกจากมาจากสายสกุลเดียวกัน สิ่งที่เหมือนกันของนางพญาทั้งสามคน คือ ความเยือกเย็น สุขุม และอยู่ข้างหลังบัลลังก์ผู้นำ ซึ่งเป็นจุดเด่นสายสกุลนี้มาเนิ่นนาน.

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม สกุล “ณ ป้อมเพชร” ให้แก่ พระสมุทบุรานุรักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองสมุทรปราการ ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็น “พระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา”( ขำ ณ ป้อมเพชร) โดยสกุล ณ ป้อมเพชร นับว่าได้สร้างสตรีหมายเลข 1 ที่เปรียบเสมือนหลังบ้านผู้ซึ่งเดินเคียงข้างอดีตนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีไทยถึง 3 คน ใน 3 ยุค 3 สมัย ซึ่งแต่ละยุคสมัยเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของการเมืองไทย
**************************************************

กาชาดวันนี้เป็นสีดำ

เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ น่าจะถูกจำจารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองของไทยใหม่ เพราะนอกจากเหตุการณ์ที่มีลักษณะพิเศษ ณ สี่แยกคอกวัวเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๐ และเหตุยิงระเบิดที่แยกศาลาแดงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนแล้ว ยังมีละครโรงใหญ่เรื่องโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ให้ชมกันทั่วประเทศอีกด้วย

สองเหตุการณ์แรกมีคนตายและบาดเจ็บ จึงไม่ใช่เหตุแห่งความปีติอย่างใดทั้งสิ้น แต่เหตุการณ์นั้นเองที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจรัฐในระบอบเผด็จการไทยเดิมตระหนักรู้เป็นครั้งแรกว่าฝ่ายตนมิได้เป็นผู้ผูกขาดการใช้กำลังอาวุธอย่างที่เป็นมาหลายสิบปีอีกต่อไป และฝ่ายต่อต้านอำนาจเผด็จการที่ซ่อนรูปอยู่หลังรัฐบาล “ประชาธิปไตย” เริ่มจะก่อตัวขึ้นเป็นรูปธรรมและขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน เพราะสังคมไทยที่ขาดแคลนความยุติธรรมและอยู่ในภาวะสองมาตรฐานจนถึงขนาด

ถ้าไม่มีเหตุการณ์ในวันที่ ๑๐ และ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๓ คงจะปราบปรามประชาชนทั้งที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์จนเลือดท่วมท้องช้างไปเสียนานแล้ว การสาดกระสุนจริงและใช้อาวุธสงครามเพื่อกำจัดประชาชนที่ไม่มีอาวุธใดๆ ในมือ เว้นแต่ข้าวของที่คว้าได้จากแถวนั้นเพื่อป้องกันตัว เป็นสิ่งบ่งชี้ว่าความเมตตาปรานีไม่มีอยู่ในระบบความคิดของอ้ายอีที่สั่งการ ชีวิตผู้บริสุทธิ์จะถูกคร่าไปอีกกี่ศพก็ไม่อาจรู้ได้ หากฝ่ายเขาไม่โดน “หยุด” ด้วยการต่อต้านอันเป็นประวัติศาสตร์นั้น

แต่สองเหตุนั้นบวกกันก็ยังไม่เท่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพราะชี้อะไรได้ชัดเจนกว่า

กรณีนี้เริ่มต้นด้วยการถกเถียงกันมานานหลายสัปดาห์ว่า บนตึกสูงหลายหลังของโรงพยาบาลจุฬาฯ ได้ถูกใช้เป็นที่ซุ่มซ่อนตัวของมือปืนในและนอกเครื่องแบบที่ฝ่ายตรงข้ามกับเวทีประชาธิปไตยหรือไม่ จนในที่สุดก็มีการแสดงหลักฐานสาธารณะว่ามีผู้ถืออาวุธสงครามอยู่จริง โดยซ่อนตัวอยู่ในที่จอดรถของตึก สื่อมวลชนทั่วไปก็ตีพิมพ์ภาพเหล่านั้นกันอย่างแพร่หลาย

แกนนำเสื้อแดงโดยอดีต ส.ส.พายัพ ปั้นเกตุ ก็นำกำลังจำนวนหนึ่งไปยังโรงพยาบาลจุฬาฯ จุดประสงค์คือต้องการข้อเท็จจริงว่าคนในเครื่องแบบพร้อมอาวุธสงครามเหล่านี้มีอยู่จริงหรือไม่

ก็เข้าทางเขา สื่อมวลชนและกลไกโฆษณาชวนเชื่อที่เตรียมไว้แล้วก็ออกข่าวอย่างครึกโครมในทันทีว่าโรงพยาบาลถูกบุกจู่โจมโดยแกนนำ นปช.ฯ เข้าแล้ว

ผู้อำนวยการโรงพยาบาล นายแพทย์อดิศร ภัทราดูลย์ เปิดแถลงข่าวเรื่องย้ายผู้ป่วยออกจากตึกทุกตึกที่อยู่ใกล้ชิดที่ชุมนุม โดยแสดงสุ้มเสียงประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงจะยกพวกเข้ามาถล่มโรงพยาบาลเหมือนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน

ประกาศหยุดบริการทั้งหมดของโรงพยาบาล โดยบอกเสียด้วยว่า ตั้งมาเก้าสิบปีไม่เคยหยุดให้บริการจนมาคราวนี้ ตามด้วยรายงานข่าวยาวๆ เกี่ยวกับเกียรติคุณของโรงพยาบาลจุฬาฯ และความรันทดใจที่ต้องหยุดให้บริการประชาชน ทั้งที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับการเข้าไปคนเสื้อแดงในวันนั้น

ต่อมาก็แถลงว่าได้เชิญเสด็จสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ประทับรักษาพระองค์อยู่ที่นั่นไปยังโรงพยาบาลศิริราชแทน โทรทัศน์ของรัฐก็แสดงภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรถเข็นทรงและรถพระประเทียบที่นำพระองค์ออกไป อย่างโกลาหลเหมือนระเบิดลง โดยที่เราไม่ได้เห็นพระพักตร์แม้แต่เพียงแวบเดียวของประมุขสงฆ์ เพราะกลัวว่าเห็นแล้วจะรู้ว่าโดยพระสังขารนั้นก็ชัดเจนว่าไม่รู้พระองค์อีกต่อไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

ตามด้วยคำให้สัมภาษณ์ของ นายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ พ่อของอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ตอกย้ำหัวตะปูว่า เหตุการณ์นี้เสียหายร้ายแรงมาก

ท้ายที่สุดคือการเสด็จพระราชดำเนินมายังโรงพยาบาลจุฬาฯ ของสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ ซึ่งตามข่าวแล้วเสด็จฯ แบบมีหมายกำหนดการและแบบส่วนพระองค์หลายครั้งในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โทรทัศน์ก็อัญเชิญพระราชกระแสมาว่าทรงห่วงใยคณะแพทย์ พยาบาล บุคลากร และผู้ป่วยของโรงพยาบาล ซึ่งได้กลายเป็นข่าวทางสื่อต่างๆ ของรัฐเป็นปริมาณมากและยาวนานหลายวัน
แล้วนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ. ก็ให้สัมภาษณ์ในท่อนท้ายของฉากแรกนี้ว่า จากนี้ไปจะปราบปรามอย่างเต็มที่ ถ้าแกนนำหรือผู้ชุมนุมจะต้องล้มตายกันบ้างในกระบวนการนั้น ก็ถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

ชัดเจน เป็นระบบ ได้อารมณ์

หากเป็นบทละครหรือบทภาพยนตร์ก็ควรได้รับรางวัลจากผู้มีวิชาชีพนี้ โดยกรรมการตัดสินคงจะเห็นเป็นเอกฉันท์

ลำดับความมาทั้งหมดนี้เพื่อจะบอกนิดเดียวล่ะครับว่า กาชาดไทยซึ่งมีความผูกพันใกล้ชิดอยู่กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นั้น ควรเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่วางตัวเหนือความขัดแย้งทางการเมืองใดๆ และไม่ควรอย่างเด็ดขาดที่จะให้ใครเขาค่อนได้ว่าเล่นการเมือง

การชุมนุมของคนเสื้อแดงนั้นอยู่แนบข้างโรงพยาบาลจุฬาฯ มานานหลายสัปดาห์ และการเข้าไปในพื้นที่โรงพยาบาลเพื่อขอทราบความจริงว่ามีอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อคนที่มาชุมนุมโดยสงบบ้างหรือไม่นั้นก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เหตุไฉนจึงถือโอกาสนี้ส่งเสียงร้องกรีดดังและไม่ยอมหยุดส่งเสียงจนกว่ามือปืนประจำตัวจะมาถึง

ละครเรื่องนี้มีความจำเป็นขึ้นมา เพราะข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย ขบวนการล้มเจ้า ที่ระดมใส่ขบวนประชาธิปไตยกันตลอดมาสองสามสัปดาห์นี้ล้มเหลวในการโน้มน้าวมติมหาชนและไม่อาจเร้าความสนใจของประชาคมระหว่างประเทศได้ใช่ไหม?

นี่ยังไม่รวมข้อสงสัยที่ไม่เคยมีใครแถลงตอบเป็นทางการว่า รถของกาชาดไทยถูกใช้เป็นพาหนะย้ายทหารและอาวุธสงครามในระหว่างการปราบปรามประชาชนก่อนหน้านี้ แม้ปลอกแขนกาชาดไทยยังถูกนำมาใช้คล้องแขนทหารที่เข้าปราบปรามประชาชนมือเปล่าใช่ไหม?

ครับ คำถามเหล่านี้ควรจะมีคนตอบ แต่เมื่อเห็นชัดว่าไม่ตอบ มวลชนที่ก้าวหน้าเขาก็แสวงหาคำตอบของเขากันเอง

จะเป็นกาชาด หรือกาทมิฬ เขาตอบของเขาอยู่ในใจได้ครับ.


โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
-------------------------------

เอ็นจีโอแถลงประณามรัฐ สอดไส้กฎหมายห้ามชุมนุม

คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนา เอกชน (กป.อพช.) ภาคอีสาน เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ประเทศไทย ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ(ศสส.) อีสาน กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา โครงการทามมูน และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี ร่วมกันออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ระบุตีสองหน้า ทางหนึ่งบอกปฏิรูปสังคม อีกทางออกกฎหมายห้ามชุมนุม กระทบสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม อันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรองรับ โดยในแถลงการณ์มีรายละเอียด ดังนี้

******
แถลงการณ์ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์
หยุดปฏิรูปประเทศไทยด้วยการสอดไส้ผลักดันร่างกฎหมายห้ามการชุมนุม

ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศวาระทำการปฏิรูปสังคมและการเมืองของประเทศชาติเพื่อกอบกู้ประเทศ จากวิกฤติความขัดแย้งทางด้านการเมืองและความไม่เท่าเทียมกันในสังคม แต่อีกด้านหนึ่งกลับให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นำเสนอร่างกฎหมายห้ามการชุมนุมเพื่อขอความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรี จึงเสมือนเป็นการตีสองหน้า และเล่นละครตบตาประชาชนทั้งประเทศ เรียกคะแนนนิยมด้วยการแสดงท่าทีที่จริงใจว่า จะร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในสังคมทำการปฏิรูปสังคมและการเมืองร่วมกัน

จากการที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบผ่าน ‘ร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ....’ เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญกำหนดให้การชุมนุมสาธารณะต้องเป็นไปโดยสงบและปราศจากอาวุธ และต้องไม่กีดขวางทางเข้า-ออกสถานที่ที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระรัชทายาท และสถานที่พำนักของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ รัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล ศาล และหน่วยงานของรัฐ ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟหรือสถานีขนส่งสาธารณะ โรงพยาบาล สถานศึกษา และศาสนสถาน ตลอดจนสถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ ทางเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนจึงมีข้อเสนอดังนี้

๑.รัฐบาลต้องยุติการออกพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... เนื่องจากร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.... ดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา ๖๓ และเป็นการละเมิดสิทธิประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ

๒.ร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวเป็นการห้ามการชุมนุมเพื่อหวังปิดกั้น เสรีภาพการชุมนุมฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง ที่ทำลายเสถียรภาพความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลซึ่งรัฐบาลมีกฎหมายหลาย ฉบับที่สามารถใช้ควบคุมการชุมนุมอยู่แล้ว การออกกฎหมายคุมการชุมนุมเช่นนี้ กลับเป็นการปิดกั้นสิทฺธิ เสรีภาพและจะไม่สามารถสร้างความเป็นธรรมทางสังคมได้ รัฐบาลต้องสร้างการมีส่วนร่วมและเปิดการรับฟังความคิดเห็น กับประชาชนในวงกว้างให้เข้าไปมีส่วนร่วมต่อการร่าง พรบ.การชุมนุมสาธารณะพ.ศ...... ดังกล่าว

๓.เครือข่ายฯ จึงขอเรียกร้องภาคประชาสังคม นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรประชาชน องค์กรอิสระ สื่อมวลชน และกลุ่มเสื้อสีใดก็ตามประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่พยายามผลักดันร่างพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ....

เครือข่ายองค์กรภาคประชาชน มีความเห็นว่ารัฐบาลต้องสร้างความจริงใจในการสร้างความปรองดองและลดช่องว่าง ทางอำนาจของภาครัฐลงเพื่อเป็นการสร้างโอกาสของกลุ่มผู้ที่เข้าไม่ถึงการใช้ ทรัพยากรให้มีสิทธิ มีเสียงบนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตยและยึดมั่นการมีส่วนร่วมในทุกระดับ


ด้วยจิตคารวะ
๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓

๑.คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน(กป.อพช.)ภาคอีสาน
๒.เครือข่ายประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ ประเทศไทย
๓.ศูนย์ข้อมูลสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ(ศสส.) อีสาน
๔.กลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา
๕.โครงการทามมูน
๖.กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอุดรธานี
ที่มา.ประชาไท
**************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

30 องค์กรขอนายกฯเอาให้ชัด แนะเปิดทางศาลโลกตรวจสอบเหตุนองเลือด

30 องค์กรชาวบ้าน-ภาคประชาสังคม ออกแถลงการณ์เรียกร้องความปรองดองจริงจังและจริงใจจากรัฐบาล ให้ประกาศวันยุบสภาให้ชัดเจน ให้รัฐเปิดทางศาลอาญาโลก ตรวจสอบเหตุการณ์วิปโยคที่เกิดขึ้น โดยแถลงการณ์ มีรายละเอียด ดังนี้
....
แถลงการณ์
ประกาศวันยุบสภาให้ชัดเจน
แนวทางปรองดองรัฐบาลอภิสิทธิ์เริ่มได้ในทันที

สืบเนื่องมาจาก นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เสนอแนวทางปรองดองแห่งชาติ ขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์การเมืองขณะนี้
เราในนาม กลุ่ม องค์กร เครือข่ายประชาชน ที่มีจุดยืนเพื่อประชาธิปไตย มีความคิดเห็นและข้อเรียกร้องดังนี้

1 ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ แสดงความจริงใจในการปรองดอง โดยการมีคำสั่งบัญชาการให้ศูนย์อำนายการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศฮฉ.) ยุติการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่คุกคามว่าจะปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงโดยทันที มิเช่นนั้นถือว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์กระทำการตีสองหน้ามากกว่าต้องการปรองดองอย่างแท้จริง

2. เรามีความคิดเห็นว่า ข้อเสนอโรดแม็พของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้สื่อมีเสรีภาพในสังคมข้อมูลข่าวสาร สามารถทำให้ประจักษ์เป็นรูปธรรมได้ทันทีโดยการที่รัฐยุติการปิดกั้นสื่อทั้งเว็บไซต์ วิทยุชุมชน และทีวีพีเพิลชาแนล เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจต่อการปรองดองตามโรดแม็ป ที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้เสนอ ขณะเดียวกันรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องยุติการใช้สื่อ NBT และวิทยุของรัฐในการสร้างภาพให้คนเสื้อแดง เป็น “ผู้ก่อการ้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อคนเสื้อแดง เหมือนคนเสื้อแดงมิใช่ “คนไทย” มิใช่ “คนรักชาติรักประเทศรักสถาบัน” เพื่อทำลายความชอบธรรมในการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนเสื้อแดงด้วยแนวทางสันติวิธี อสิงหา ปราศจากอาวุธ

3. เรามีความคิดเห็นว่า ต่อกรณีการสอบสวน ตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์วิปโยค เมื่อวันที่ 10 เมษายน กรณีเหตุการณ์ที่สีลม 22 เมษายน และกรณีที่อนุสรณ์สถาน 28 เมษายน ที่ผ่านมานั้น ควรให้ให้ศาลอาญาระหว่างประเทศดำเนินกระบวนการสอบสวน เพื่อความเป็นกลาง อิสระ โปร่งใส และเที่ยงธรรม

4. เราเห็นด้วยกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ว่า การปฏิรูปประเทศไทยนั้นต้องมีภาคส่วนอื่นๆ เข้าร่วมด้วย เพียงแต่ต้องมิใช่เพียงภาคส่วนอื่นๆที่สนับสนุนรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างที่เห็นและเป็นอยู่เข้าร่วมเท่านั้น จำเป็นต้องให้พรรคการเมืองต่างๆ ในฐานะสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยรัฐสภา เข้าร่วม ตลอดทั้งต้องเปิดให้องค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล องค์กรบริหารส่วนตำบล ผู้ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนระดับท้องถิ่นเข้าร่วมด้วย นอกจากนี้แล้วภาคประชาชน ภาคประชาสังคม ที่ไม่ได้สังกัดรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเข้าร่วมด้วยเช่นกัน

5. อย่างไรก็ตาม เรามีความคิดเห็นว่า การปรองดองเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ขณะเดียวกันเราเชื่อว่าความเห็นต่าง ความคิดไม่เหมือนกันของคนในสังคมเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมประชาธิปไตยไม่ว่าเรื่องปฏิรูปประเทศ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรื่องการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพียงแต่เราต้องยอมรับกติกาประชาธิปไตย ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ประชาชนต้องมีอำนาจในการเลือกผู้บริหารผู้ปกครองประเทศที่มีวาระแน่นอน เสียงส่วนใหญ่เคารพเสียงส่วนน้อย ประชาชนมีเสรีภาพในการรวมกลุ่ม สื่อสารมวลชนต้องไม่ถูกกดขี่ปิดกั้นเสรีภาพจากรัฐ และประชาธิปไตยต้องไม่ถูกแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบเป็นสำคัญ

6. ท้ายสุด เราขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ประกาศวันยุบสภาต่อสาธารณชนด้วยตัวนายกรัฐมนตรีเองให้ชัดเจน เพื่อความกระจ่างไม่ให้เป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์จะมีเล่ห์สนกลในอย่างไร? อีกหรือไม่?

1. เครือข่ายองค์กรชุมชนแก้ปัญหาที่ดินภาคอีสาน (คอป.อ.)
2. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านอนุรักษ์น้ำเซิน (คอซ.)
3. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านลุ่มน้ำปาว (คอป.)
4. เครือข่ายอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภูค้อ-ภูกระแต จังหวัดเลย
5. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ภาคอีสาน (คอส.)
6. แนวร่วมเกษตรกรภาคอีสาน (นกส.)
7. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ลุ่มน้ำโขง จังหวัดอุบลราชธานี
8. กลุ่มสร้างสรรค์ชีวิตและสังคมอีสาน (กสส.)
9. กลุ่มดงมูลเพื่อการพัฒนา จังหวัดกาฬสินธุ์
10. เครือข่ายอนุรักษ์ภูผาเหล็ก จังหวัดอุดรธานี
11. กลุ่มภูพานเพื่อการพัฒนา จังหวัดสกลนคร
12. เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน จังหวัดชัยภูมิ
13. กลุ่มประชาชนไทยแวงน้อย-แวงใหญ่ จังหวัดขอนแก่น
14. กลุ่มเยาวชนมิตรภาพ จังหวัดขอนแก่น
15. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์น้ำพรมตอนต้น จังหวัดชัยภูมิ
16. กลุ่มเยาวชนอนุรักษ์ลุ่มน้ำบัง จังหวัดนครพนม
17. เครือข่ายคนรุ่นใหม่ยโสธร จังหวัดยโสธร
18. สหพันธ์เยาวชนอีสาน (สยส.)
19. แนวร่วมเกษตรกรภาคเหนือ (นกน.)
20. ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือตอนล่าง
21. เครือข่ายอนุรักษ์ลุ่มน้ำชมพู จังหวัดพิษณุโลก
22. เครือข่ายส่งเสริมสิทธิการจัดการทรัพยากรภาคเหนือตอนล่าง (คสปล.)
23. สหพันธ์เยาวชนคลองเตย (สยค.)
24. เครือข่ายองค์กรชุมชนคลองเตย
25. เครือข่ายชุมชนเมืองบ่อนไก่ กทม.
26. กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
27. เครือข่ายอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนเขลาโคก จังหวัดร้อยเอ็ด
28. เครือข่ายองค์กรชาวบ้านนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์
29.กลุ่มคนรุ่นใหม่ภาคใต้
30กลุ่มนักศึกษาภาคเหนือเพื่อประชาธิปไตย
ที่มา.ประชาไท
......................................................

หลุดจากวิกฤต

น่ายินดีที่ในที่สุดสังคมไทยก็สามารถตั้งสติและหาทางออกจากวิกฤตได้ โดยไม่ผ่านการเสียเลือดเนื้อของพี่น้องประชาชนไปมากกว่าที่เป็นอยู่

และแม้จะมีผู้เห็นด้วยจำนวนมากกับข้อตกลงเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ ระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับตัวแทนของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่ก็อาจจะมีประชาชนอีกบางส่วนไม่เห็นด้วยหรือมีจุดยืนที่ต่างออกไป

กระนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า ไม่ว่าจะมีความเห็นแตกต่างกันขนาดไหน วิธีการที่ดีที่สุดในการคลี่คลายปัญหาหรือความแตกต่าง ก็คือการหันหน้าเจรจา

เพราะไม่เคยมีปัญหาไหนจบสิ้นลงได้จริงด้วยการใช้กำลังบังคับ

แม้จะสามารถผ่อนคลายวิกฤตลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีการบ้านที่สังคมจะต้องร่วมกันพิจารณาในอีกหลายประการ

ไม่ว่าจะเป็นหนทางหรือแนวทางในการเดินไปสู่อนาคตข้างหน้า ว่าทำอย่างไรจะป้องกันมิให้เกิดปัญหาจนถึงขั้นเสียเลือดเนื้อและชีวิตของเพื่อนร่วมชาติอีก

ในจำนวนนี้ย่อมรวมถึงการสะสางข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาในอดีต ตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤตมาจนกระทั่งถึงเหตุการณ์ปะทะกันจนกระทั่งมีประชา ชนเสียชีวิตหลายครั้งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

มีแต่การสะสางอดีตอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เรียนรู้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ

จึงจะป้องกันมิให้เกิดการทำผิดซ้ำ ซากในอนาคต

นอกจากการหาทางแก้ไขและป้องกันวิกฤตการเมืองที่เป็นภาระร่วมกันของคนส่วนใหญ่ในสังคมแล้ว

ภาระสำคัญอย่างยิ่งอีกประการหนึ่งของรัฐบาลในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป ก็คือจะชดเชยหรือให้ความช่วยเหลือกับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุม ตั้งแต่ในแง่มนุษยธรรมไปจนถึงด้านเศรษฐกิจให้ครบถ้วนและทั่วถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สังคมไทยอ่อนแอลงมากเพราะความแตกแยกที่ไม่ใช้เหตุผลเข้าจับ และความขัดแย้งที่เบียด เบียนและทำลาย ตั้งแต่เวลาไปจนกระทั่งถึงทรัพยากรอื่นๆ

เมื่อถึงเวลาจะฟื้นจากวิกฤต จะต้องช่วยกันคิด แก้ไข และลงมือแก้ไขกันให้ครบถ้วนรอบด้าน

ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************************

"อดิศร เพียงเกษ" นักแต่งเพลงเพื่อประชาธิปไตย

นอกจาก "อดิศร เพียงเกษ" จะเป็นนักกฎหมายและนักการเมืองที่มากความสามารถแล้ว เค้ายังเป็น "นักแต่งเพลง" ฝีมือดีอีกคนหนึ่งด้วย


ที่มา.VoiceTV
-----------------------------------------------------

"จตุพร"ลั่นม็อบไม่เลิกไม่มอบตัว

นายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. กล่าวถึงกรณี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ระบุว่า หากแกนนำ นปช.ไม่มอบตัวในวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ตามที่เคยระบุ ดีเอสไอจะดำเนินการตามแนวทางที่เตรียมไว้ว่า ที่แกนนำเคยประกาศว่าจะเข้ามอบตัวในวันที่ 15 พฤษภาคม เพราะคิดว่าการชุมนุมน่าจะจบลงก่อน แต่หากการชุมนุมยังไม่จบลงก็จะยังไม่ไปมอบตัว หากจบก็จะไปมอบตัวตามที่เคยนัด อย่างไรก็ตามที่แกนนำระบุว่าจะมอบตัวในวันดังกล่าวเป็นเรื่องคดีผิด พ.ร.ก. ไม่ใช่คดีก่อการร้าย เพราะวันนี้คดีก่อการร้ายก็ยังไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ตนเองทราบมาว่าก่อนจะไปขอหมายจับ นายธาริตไปปิดห้องคุยกับอธิบดีศาลอาญา แต่เมื่อคดีไม่มีหลักฐานก็เลยออกมาให้ใช้ตามหมายจับเดิม ซึ่งไม่มีในกระบวนการยุติธรรมที่แต่ละความผิดจะมีหมายจับเดียวกัน ดังนั้นหากเราไปมอบตัวตามหมายจับความผิด พ.ร.ก. เขาก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเรื่องก่อการร้ายเพิ่ม

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า การดำเนินการของนายธาริตเองก็ไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยการสืบสวนสอบสวน เท่าที่ตนเองทราบมา กรณีการจับชายสองคนและหญิงหนึ่งคนที่ย่านอ่อนนุชก็มีการซ้อมผู้ต้องสงสัยให้รับสารภาพและใส่ร้ายคนเสื้อแดง นอกจากนี้นายธาริตก็ถือเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียและมีผลประโยชน์ทับซ้อนกับเหตุการณ์ เนื่องจากเป็นหนึ่งใน ศอฉ.ที่เคยสั่งปราบปรามประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต นายธาริตจึงไม่มีความชอบธรรมที่จะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน
ที่มา.เนชั่น
**************************************************

ผู้ต้องหาก่อการร้ายมุ่งล้มสถาบันกับผู้ต้องหาศาลอาญาระหว่างประเทศ

การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างกลุ่มเสื้อแดงและรัฐบาลซึ่งเป็นการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นต้นมายังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงในลักษณะใด แต่ที่แน่ๆก็คือฝ่ายที่ พ่ายแพ้ย่อมมีคดีติดตัวกันระนาว หากฝ่ายเสื้อแดงพ่ายแพ้แน่นอนว่าข้อหาที่พวกเขาจะได้รับย่อมไม่พ้นคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อการร้ายและการมุ่งล้มสถาบันตามที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ.ตั้งข้อหาไว้ แต่หากรัฐบาลพ่ายแพ้เราคงได้เห็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ที่ผู้นำรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องอาจตกเป็นผู้ต้องหาทั้งศาลอาญาในประเทศและศาลอาญาระหว่างประเทศตามที่แกนนำเสื้อแดงประกาศไว้

คำว่า "การก่อการร้าย" หรือ Terrorism นี้ มีการพยายามอธิบายกันอย่างมากมาย อาทิ การใช้ภัยสยอง มาส่งเสริมเป้าหมายทางการเมือง หรือการจงใจใช้หรือคุกคามว่าจะใช้ความรุนแรงต่อพลเรือนหรือเป้าหมายพลเรือน เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายทางการเมือง

การก่อการร้ายของแต่ละประเทศเป็นคำที่มีการโต้เถียงกันกว้างขวางและมีนิยามหลากหลาย โดยไม่มีความหมายใดที่ได้รับการยอมรับโดยสมบูรณ์ แต่คำนี้โดยทั่วไปแล้วมักใช้เพื่อเรียกการโจมตีขององค์กรลับ หรือองค์กรระหว่างประเทศ ที่มีเป้าหมายเพื่อบังคับรัฐบาลด้วยการกระทำที่ใช้ความรุนแรงต่อรัฐบาลหรือสมาชิกหรือรัฐนั้น

คำนี้ยังเป็นคำที่ใช้ในทางลบเสมอและมีความหมายที่ขยายกว้างขึ้นตั้งแต่มีการประกาศสงครามกับ การก่อการร้ายจนครอบคลุมไปถึงทุกๆ กิจกรรมที่ใช้ความรุนแรง และเป็นคำที่ใช้เฉพาะเพื่อเรียกฝ่าย ตรงข้ามเท่านั้น ไม่มีกลุ่มใดเรียกตัวเองว่าเป็น "ผู้ก่อการร้าย" เลย

ถึงแม้ว่านิยามของคำว่า การก่อการร้ายจะกว้างมาก แต่มักจะประกอบไปด้วยเงื่อนไขที่มีแรงจูงใจเกี่ยวกับการเมืองและศาสนา เป้าหมาย คือ พลเมือง จุดประสงค์เพื่อข่มขู่ การข่มขู่มุ่งเป้าไปที่รัฐบาลหรือสังคม ผู้กระทำนั้นไม่ใช่รัฐ และการกระทำนั้นผิดกฎหมาย

ในส่วนของกฎหมายไทยนั้น กำหนดให้ลักษณะความผิดที่กำหนดว่าเป็นการก่อการร้าย ดังนี้

มาตรา ๑๓๕/๑ ผู้ใด กระทำการอันเป็นความผิดอาญา ดังต่อไปนี้

(๑) ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการใด อันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกาย หรือเสรีภาพ ของบุคคลใดๆ

(๒) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ระบบการขนส่งสาธารณะ ระบบโทรคมนาคม หรือโครงสร้างพื้นฐาน อันเป็นประโยชน์สาธารณะ

(๓) กระทำการใดอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐหนึ่งรัฐใดหรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อม อันก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญ

ถ้าการกระทำนั้นได้กระทำโดยมีความมุ่งหมายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศหรือ องค์การระหว่างประเทศ ให้กระทำหรือไม่กระทำการใด อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือเพื่อสร้างความปั่นป่วน โดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ผู้นั้น กระทำความผิดฐานก่อการร้าย ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงหนึ่งล้านบาท

การกระทำในการเดินขบวน ชุมนุม ประท้วง โต้แย้งหรือเคลื่อนไหว เพื่อเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือหรือให้ได้รับความเป็นธรรม อันเป็นการใช้เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ไม่เป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย

ซึ่งข้อหาการก่อการร้ายนั้นยังไม่เคยมีการดำเนินคดีในศาลไทยแต่อย่างใด ฉะนั้น ในส่วนของการกระทำของเสื้อแดงว่าจะเป็นการก่อการร้ายหรือไม่นั้น ก็ต้องให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัยซึ่งก็รวมไปถึงข้อหาการมุ่งล้มสถาบันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ด้วย

ในทางกลับกันหากรัฐบาลตกเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ นอกจากจะตกเป็นผู้ต้องหาในศาลยุติธรรมในประเทศ ( national court ) ดังเช่นอดีตประธานาธิบดีชุนดูวานของเกาหลีที่ต้องติดคุกตลอดชีวิตฐานสั่งฆ่าประชาชนของตนเองแล้ว ยังมีโอกาสถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศด้วย

ศาลอาญาระหว่างประเทศ ( International Criminal Court :- ICC) จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ โดยธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือที่เรียกว่า "Rome Statute"ตั้งอยู่ที่ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาคดีอาญาที่เกี่ยวกับการล้างเผ่าพันธุ์และ คดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ คดีอาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรม ที่เป็นการรุกราน

ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) แตกต่างจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice-ICJ) ก็คือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ( ICJ ) มีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐ แต่ ศาลอาญาระหว่างประเทศ ( ICC ) มีอำนาจพิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคล และมีอำนาจไต่สวน ดำเนินคดี และพิพากษาคดีบุคคล

ดังนั้น ศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงเป็นเวทีสำหรับรับเยียวยา การร้องขอความเป็นธรรมในคดีที่บุคคลกระทำความผิด ไม่ว่าการกระทำนั้นๆ จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลที่ใช้อำนาจรัฐอยู่ หรือว่าการกระทำนั้นจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคล หรือคณะบุคคลที่ต่อสู้ ต่อต้าน หรือเป็นขบถ หรือ มุ่งหมายที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือระบอบการปกครองที่ครองอำนาจรัฐอยู่

ศาลอาญาระหว่างประเทศนี้ แตกต่างจากศาลอาญาระหว่างประเทศชั่วคราว ( ad hoc tribunal ) ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อพิจารณาคดีอาชญากรรมที่กระทำขึ้นในรวันดาและยูโกสลาเวียเป็นการชั่วคราว โดยศาลอาญาระหว่างประเทศเป็นศาลที่จัดตั้งขึ้นมาอย่างถาวร เพื่อที่จะสามารถดำเนินงานได้อย่างทรงประสิทธิภาพ โดยสามารถปฏิบัติงานได้ทันที และสามารถดำเนินการพิจารณาคดีได้เป็นประจำและต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดอาญาทั่วทั้งโลก ไม่ว่าจะกระทำความผิดที่ใดก็ตาม

ศาลอาญาระหว่างประเทศมีเขตอำนาจศาลข้ามประเทศ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นในการพยายามที่จะดำเนินคดีทางอาญากับบรรดาเผด็จการต่างๆ และอาชญากรอื่นๆ ที่อาจจะหลบหนีคดีอาญาจากประเทศหนึ่งประเทศใดที่บุคคลเหล่านี้เคยกระทำความผิดที่ถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม และอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ และการรุกรานทำลายล้างด้วยรูปแบบวิธีการต่างๆ

อีกไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นตอนจบ แต่จะจบลงอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ ทางการเมืองที่ประกอบกันขึ้น แต่ที่แน่ๆ นอกจากการเมืองไทยที่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปที่จะมี ผู้เล่นเฉพาะนักการเมืองในสภาและกองทัพหรือกลุ่มผลประโยชน์เดิมๆ แต่จะมีผู้เล่นกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกซึ่งคือกลุ่มการเมืองภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นสีใดก็ตาม ในด้านกฎหมายก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปเพราะจะมีข้อหาใหม่ คือ ผู้ต้องหาก่อการร้ายมุ่งล้มสถาบันหรือไม่ก็มีผู้ต้องหาศาลอาญาระหว่างประเทศเกิดขึ้น อยู่ที่ว่าใครจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในประวัติศาสตร์หน้านี้
โดย.ชำนาญ จันทร์เรือง
ที่มา.ประชาไท
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@