--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

‘ฉุกเฉิน’ต้องเลิก! หยุดคลั่ง

ณ วินาทีนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และบรรดากลุ่มคนที่หนุนหลัง คงเห็นแล้วว่า การใช้อำนาจกฎหมายที่รุนแรง หวังที่จะเอาชนะประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตยนั้นไม่ใช่หนทางที่จะนำไปสู่ชัยชนะได้เลยเพราะตราบใดที่ประชาชนมองว่า รัฐบาลใช้กฎหมาย 2 มาตรฐานอยู่แล้ว จะออกกฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ จะออกกฎหมายการบริหารราชการในภาวะฉุกเฉินร้ายแรง ออกมาบังคับใช้อย่างไรก็ตาม ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ก็จะไม่ยำเกรง เพราะมองว่าเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานหรือต่อให้เป็นการประกาศใช้กฎอัยการศึกอย่างที่มีบางคนอุตริแนะนำ เพราะคิดว่าจะได้คุมสถานการณ์อยู่หมัด แต่เชื่อเถอะ

ว่า ประกาศใช้จริงๆ ก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย จะยอมถอยแน่เพราะในความรู้สึกของกลุ่ม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น การชุมนุมเรียกร้องและการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่ลอกเลียนแบบมาจากแกนนำม็อบพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองทั้งสิ้นแต่ไฉนแกนนำพันธมิตรฯ และกลุ่มคนเสื้อเหลืองจึงทำได้ทุกอย่าง ในขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงทำไม่ได้เลย ประเด็นเหล่านี้แหละที่กลาย

เป็นแรงผลักดันให้กลุ่มคนเสื้อแดงฮึดสู้ไม่ถอยจนสุดท้ายภาพลักษณ์ของประเทศไทยจึงพังยับเยินในทุกๆ ด้าน แม้แต่ความเป็น “สยามเมืองยิ้ม” ที่เคยเป็นความภาคภูมิใจ เคยเป็นจุดขายในอดีตเพราะแม้แต่ต่างประเทศ ซึ่งรับรู้สถานการณ์ เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเมืองไทยทุกอย่างมาตั้งแต่การทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 เนื่องจากโลกของการสื่อสารที่เป็นสากลนั้น ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลประเทศใดประเทศหนึ่งจะสามารถปิดหูปิดตาคนทั่วโลกได้เมื่อได้รู้ได้

เห็นในข้อมูลต่างๆ ที่เป็นความจริงมาโดยตลอด จึงเห็นได้ว่า ท่าทีของนานาประเทศไม่ได้ให้การยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อย่างสนิทใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศผู้ได้ดีมาจากการเป็นแกนนำม็อบยึดสนามบินสุวรรณภูมิแต่ในการทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้สร้างความอึดอัดให้กับประเทศต่างทั่วโลกมาโดยตลอดนับแต่ดำรงตำแหน่งฉะนั้นวันนี้คงเห็นแล้วว่า ประเทศต่างๆ องค์กรต่างๆ ไม่ได้มองกลุ่มคนเสื้อแดง

เป็นผู้ก่อการร้าย หรือเป็นผู้ก่อการกบฏ อย่างที่มีคนในรัฐบาล คนในกลุ่มหนุนหลังทั้งหลายต้องการจะให้เป็นลึกๆ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งมีการศึกษาระดับที่ดีในโลกตะวันตก ย่อมรู้อยู่แก่ใจเป็นอย่างดีที่สุดว่า ชาติต่างๆ โดยเฉพาะชาติตะวันตกมองประเด็นประเทศไทยอย่างไร และทำไมการขอความร่วมมือของกระทรวงการต่างประเทศของไทย และรัฐบาลไทยจึงไม่เคยได้ผลเป็นจริงเป็นจังเลยสักครั้งเดียวยิ่งล่าสุดไม่เพียงแค่ต่างประเทศที่พากันออกแถลงการณ์ที่ไม่เป็นคุณกับ

รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เลย แม้แต่บุคคลผู้ที่มีวุฒิภาวะในประเทศไทยด้วยกันเองยังอดรนทนไม่ได้กับท่าที และพฤติกรรม หรือแนวทางในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์หนึ่งในบุคคลที่พูดอย่างเป็นกลาง ในทุกเวที ก็คือ พระราชวิจิตรปฏิภาณ “เจ้าคุณพิพิธ” วัดสุทัศนเทพวราราม ซึ่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้ออกโทรทัศน์ช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ทีวี เตือนสติรัฐบาลอย่างตรงประเด็นว่าการปิดหูปิดตาประชาชนก็ดี การกล่าวหาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันก็ดี หรือ

การคิดที่จะสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหาร-ตำรวจล้วนแล้วแต่จะทำให้เรื่องไม่จบ และจะยิ่งเสียหายมากขึ้นเช่นกันกับในการประชุมวุฒิสภาเพื่ออภิปรายทั่วไป โดยไม่ลงมติตามมาตรา 161 เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ซึ่งบรรดา ส.ว.ที่มีความเป็นกลางโดยส่วนใหญ่ ล้วนต่างพูดตักเตือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ให้แสวงหาหนทางยุติปัญหาโดยสันติ โดยการเจรจา เพื่อจะได้เป็นทางออกของประเทศไทยอย่งแท้จริงจากวิกฤตที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะมีก็แต่ ส.ว.2-3 คน อย่างเช่นนายสมชาย

แสวงการ นายวรินทร์ เทียมจรัส ซึ่งเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. ที่ได้เข้ามาเพราะการเกื้อหนุนของ คมช. จึงมีการแสดงออกที่กระหายความรุนแรงในการปราบปรามประชาชนอย่างเห็นได้ชัด จนทำให้บรรดา ส.ว.ด้วยกันเองก็ยังส่ายหน้าอย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า แรงกดดันทั้งจากภายในประเทศ และทั้งจากต่างประเทศ ได้ทำให้นายอภิสิทธิ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นคนที่ดื้อรั้นผิดปกติ จนแม้แต่ในทางการแพทย์ยังต้องจับตามองเป็นกรณีศึกษา และพูดคุยกันว่าคนปกติอะไร จะดื้อได้

ถึงขนาดนี้ และมีโลกในความคิดเฉพาะตัวพิเศษเช่นนี้แต่สุดท้ายเมื่อแรงกดดันมีเข้ามามากๆ จากทุกๆ ด้าน ทำให้นายอภิสิทธิ์เองก็ตกอยู่ในภาวะที่รู้ตัวว่า การขึงพืดไม่เจรจาหาทางออก หรือการคิดแต่จะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งแม้จะประดิษฐ์ประดอยคำพูดให้หรูดูดีว่าเป็นการขอคืนพื้นที่ก็ตามแต่พฤติกรรมก็คือการใช้กำลังเข้าปราบปรามสลายการชุมนุม ซึ่งจะต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นอยู่ดี ซึ่งแน่นอนว่าหากกระทำก็ย่อมต้องถูกประณามจากสังคมทั่วโลกแน่ๆจึงนำมา

สู่การตัดสินให้นายอภิสิทธิ์ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ว่าขอเสนอ 5 กรอบทุกฝ่ายปรองดอง ร่วมแก้ทั้งระบบ ช่วยกันดูแลสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ดึงสู่การเมือง ปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ สร้างเป็นธรรมทุกเรื่อง มีกลไกอิสระคุมการนำเสนอข่าวสาร ตั้ง กก.อิสระสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ไม่สงบทุกกรณี ประกาศแผนแก้ปัญหาการเมือง และจะจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 53ถือเป็นการเดินเกมการเมืองที่ฉลาดมากๆ ของรัฐบาล โดย

เฉพาะการที่นายอภิสิทธิ์ ใช้สไตล์ถนัด ระบุว่า แน่นอนว่าข้อเสนออาจไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับทุกคน แต่มีคำตอบไม่มากก็น้อย และเป็นจุดที่คิดว่าจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง “กลุ่มเสื้อแดงที่มาแสดงออก สิ่งที่เสนอไม่อาจตอบสนองยุบทันที 15 วัน หรือ 30 วัน ได้กระบวนการปรองดองจะแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน”ซึ่งตามข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ที่ให้เลือกตั้งวันที่ 14 พ.ย. คาดว่ารัฐบาลต้องประกาศยุบสภาประมาณปลาย

เดือนกันยายนหรือไม่เกิน 1 ตุลาคม 2553 หรืออีกประมาณ 5 เดือนเนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 108 กำหนดว่าถ้ามีการยุบสภาต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แน่นอนว่าโดยหลักการ ดูเหมือนทุกภาคส่วนในสังคมจะเห็นว่านี่เป็นการเปิดประตูการเจรจาอีกรอบ หลังจากที่รัฐบาลมัวแต่ไปมุ่งมั่นกับการใช้การสลายการชุมนุมเป็นหลักอย่างไรก็ตาม สังคมทุกภาคส่วนยังจำเป็นที่จะต้องวิเคราะห์สถานการณ์

การเมือง และประเมินข้อเสนอของนายอภิสิทธิ์ให้ละเอียดก่อนว่าจะมีรูปธรรมอย่างไรซึ่งท่าทีของ นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดงเอง หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เสนอการสร้างกระบวนการปรองดอง 5 ข้อ และจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายนนั้น หลังเวทีชุมนุมแยกราชประสงค์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า นปช.จะยังไม่แสดงท่าทีปฏิเสธหรือตอบรับอะไรในช่วงนี้ แต่มองว่า เป็นข้อเสนอที่ดีกว่าการใช้กำลังในการปราบปรามประชาชน ซึ่งแกนนำ นปช.จะ

นำเรื่องนี้หารืออย่างเป็นทางการเพื่อแจ้งผลให้นายอภิสิทธิ์รับทราบนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า เหตุผลที่นายกฯ เสนอโรดแมปดังกล่าว เป็นเพราะไม่สามารถที่จะบังคับใช้กลไกของรัฐ โดยเฉพาะการสั่งการทหารได้ จึงต้องตัดสินใจแบบนี้ ตอนนี้ทุกฝ่ายต้องมาช่วยกันหาทางออก ส่วนตัวไม่อยากให้เกิดความรุนแรงหรือมีคนตายอีกแล้ว นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช. กล่าวว่า ถือว่าเป็นชัยชนะของคนเสือแดงในระดับหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลสามารถร่น

ระยะเวลาการยุบสภากว่าเดิม ส่วนเบื้องหลังการที่นายกฯ ออกมาแถลงครั้งนี้ เป็นเพราะแกนนำ นปช.กับรัฐบาลมีการหารือกันตลอดเวลา ซึ่งนปช.ก็รู้อยู่แล้วว่า ผลต้องออกมาแบบนี้ ทำให้ที่ผ่านมานอนหลับอย่างมีความสุข เพราะไม่กังวลว่ารัฐบาลจะสลายการชุมนุมอย่างไรก็ตาม ยังมีการตั้งข้อสังเกตุว่า แม้คนเสื้อแดงพร้อมที่จะพิจารณาข้อเสนอต่างๆ ของรัฐบาลตลอดเวลา แต่การที่รัฐบาลจะเสนออะไรนั้นควรเสนอในบรรยากาศของความสงบและสันติกว่านี้ ไม่ใช่ว่าในทาง

หนึ่งเสนอเงื่อนไขให้พิจารณา แต่อีกด้านหนึ่งกำลังขู่ว่าจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นก็คงต้องรอดูความจริงใจและความชัดเจนของรัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ เพราะแน่นอนว่าการแถลงการณ์ของนายอภิสิทธิ์นั้น รัฐบาลดีดลูกคิดมาก่อนแล้วว่า มีแต่ได้กับได้เนื่องจากว่า ระยะเวลาแม้จะสั้นลงมาบ้าง แต่ก็ยังสามารถพิจารณาทั้งเรื่องงบประมาณ และเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชาการในเดือนกันยายนได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็ยังได้ภาพจาก

สังคมส่วนใหญ่ว่า รัฐบาลอ่อนข้อแล้วหากคนเสื้อแดงไม่ยอมก็จะเป็นภาพลักษณ์ที่ติดลบทันทีทั้งๆ ที่ข้อเสนอนี้ จริงๆ แล้วต้องถือว่าเป็นเพียงข้อเสนอในกรอบใหญ่ แต่ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ยังต้องดูให้ลึกว่า จะยังคงมีการใช้ข้ออ้างอำนาจกฎหมายกดดันกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ต่อไปหรือไม่แค่รัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการเจรจา ด้วยการยกเลิก พ.ร.บ.ฉุกเฉิน ยกเลิกการใช้สื่อของรัฐบาล โดยเฉพาะช่อง NBT ที่ เสนอข่าวข้างเดียว และยุติการยั่วยุด้วยต่างๆ นาๆ ทั้ง

รายการสัมภาษณ์สดคนที่เข้าข้างรัฐบาล และการหยุดตัววิ่งที่สร้างความแตกแยกในสังคมหากรัฐบาลยอมยุติพฤติกรรมเหล่านี้ ก็เชื่อว่าการเจรจาน่าที่จะราบรื่นได้ไม่ยากนอกจากการเจรจาจะเป็นหนทางยุติปัญหาวิกฤติ ซึ่งบางกอก ทูเดย์ ยืนยันมาโดยตลอดแล้ว ความจริงใจในการเจรจา และไม่จ้องที่จะหาทางเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาก็เป็นสิ่งที่สำคัญทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันอย่างแท้จริง สักครั้งได้หรือไม่??
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.........................................................

หยุด! ทหารจับอาวุธยึดพื้นที่

เรื่องมันเกี่ยวกัน เลยต้องสอยมาเล่าสู่กันฟัง..แม้มันจะเก่าไปสักนิด ชุมนุมเสื้อแดงเดี้ยง ไปหลายคน ทหาร-ตำรวจ ร่วง!ไปหลายนายก็เพราะไอ้แรงบึ้ม จากไหนก็ไม่รู้นี่ล่ะ 4 เมษายน 2549 สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติออกประกาศกำหนดให้วันที่ 4 เมษายนของทุกปี เป็นวันสากลว่าด้วยการต่อต้านการใช้กับระเบิดทั่วโลก เพื่อให้คนทั่วโลกได้ตระหนักถึงอันตรายต่อการใช้กับระเบิดในการสู้รบ ที่ทำให้คนบาดเจ็บล้มตาย และพิการมากมายทั้งนี้เพื่อให้สนธิสัญญาห้ามการใช้กับระเบิดบุคคล ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2542 ได้รับการปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต้องร่วมมือกันหาทางทำลายกับระเบิด

บุคคลที่ยังหลงเหลือให้หมดไปโดยเร็วที่สุด อาจใช้เวลาหลายปี แต่ไม่ควรจะเป็นทศวรรษ ในโลกนี้มีพื้นที่สู้รบอยู่หลายแห่ง ทั้งที่สงบเรียบร้อยไปแล้ว เช่น เขมร ลาว แต่ก็ยังมีที่สู้รบกันอยู่ เช่น อัฟกานิสถาน อังโกลา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก เลบานอน ซูดาน เป็นต้น สถิติของสหประชาชาติระบุว่า ปัจจุบันนี้ มี 82 ประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการใช้กับระเบิดระหว่างการสู้รบ ยังมีการใช้กับระเบิดในหลายแห่งทั่วโลก แม้ว่าได้มีสนธิสัญญาห้ามไว้แล้วก็ตาม

ประเทศที่ยังใช้กับระเบิดในปี 2546 มี 3 ประเทศ ประเทศที่ผลิตหรือมีขีดความสามารถในการผลิตกับระเบิดมี 13 ประเทศ ประเทศที่ลงนามร่วมในสนธิสัญญาห้ามใช้กับระเบิดมี 149 ประเทศ ยังมีการเก็บสะสมกับระเบิดทั่วโลกถึง 167 ล้านหน่วย เหยื่อที่ตกเป็นกับระเบิดในแต่ละปีประมาณ 15,000–20,000 คน ในสงครามเวียดนามซึ่งปัจจุบันยุติไปแล้ว สถิติของสหประชาชาติ ระบุว่า มีกับระเบิดประมาณ 3.5 – 8 แสนตันยังฝังอยู่ใต้ดินในเวียดนาม ซึ่งครอบคลุมร้อยละ

20 ของพื้นที่ประเทศเวียดนาม มีคนเสียชีวิตจากกับระเบิดไปแล้ว 38,849 คน และมีผู้บาดเจ็บจากกับระเบิดอีก 65,852 คน เมื่อสิ้นสุดสงครามเวียดนามในปี 2518 ประเทศเวียดนาม ลาว เขมร ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบหลักในสงครามเวียดนาม ได้รับผลกระทบและมีประสบการณ์อันขมขื่นอันเป็นผลมาจากกับระเบิดบุคคล เพราะในช่วงเวลานั้น ทั้งทหารเวียดนามเหนือและใต้ ลาวแดง และเขมรแดง และคู่สู้รบต่างฝ่ายต่างฝังกับระเบิดบุคคลหลายล้านหน่วยจนคนฝังจำไม่ได้ว่าฝัง

ที่ไหนบ้าง หรือคนฝังเสียชีวิตไปแล้ว พอถึงเวลาจะขุดขึ้นมาเพื่อทำลายก็มีปัญหา ต้องใช้หน่วยค้นหากับระเบิดใช้เครื่องค้นหาแทน หรือใช้วิธีการแบบชาวบ้าน คือ การต้อนวัวควายไปฝูงไปในพื้นที่ เพื่อให้สัตว์เหยียบกับระเบิดก่อน เป็นการรักษาชีวิตคนไว้ นอกจากนั้น อังกฤษและไทยได้จัดส่งหน่วยทำลายวัตถุระเบิดมาช่วยสอนทหารเขมรในการค้นหาทำลายกับระเบิดบุคคลเหล่านี้ แต่จนถึงขณะนี้ เชื่อว่าในหลายพื้นที่ยังมีกับระเบิดบุคคลอีกมากที่ฝังไว้และยังไม่ถูก

ทำลาย ในเขมร เราจะพบคนเขมรมากมายที่แขนขาขาด หรือพิการเพราะสูญเสียอวัยวะบางส่วนไปอันเป็นผลมาจากการเหยียบกับระเบิด ก่อนหน้านี้มีขอทานที่เหยียบกับระเบิดและทำมาหากินอย่างอื่นไม่ได้นอกจากขอทาน ทหารไทยจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตและพิการจากกับระเบิดระหว่างการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ไทย กับระเบิดบุคคลเป็นอันตรายต่อชีวิตของทหารและพลเรือนผู้บริสุทธิ์ วันนี้มีการชุมนุมที่รัฐบาลต้องการปราบปราม... แม้รัฐบาลจะไม่ใช้การฝังกับระเบิด

สลายการชุมนุม แต่การพกอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมความรุนแรงก็ไม่ได้ต่างกัน เพราะมันเท่ากับเปิดประตูให้ “ไอ้โม่ง” เข้ามา “สร้างสถานการณ์” ซึ่งยิ่งเป็นการ “ยุแหย่” ให้เกิดความแตกแยก จนนำมาสู่ “ความหายนะ” ของคนในชาติที่มี “ความคิดเห็น” ต่างกันที่สำคัญมันนำมาสู่ความ “สูญเสียเลือดเนื้อ” ของชีวิตผู้บริสุทธิ์หยุด! ใช้อาวุธ พร้อมกับหยุดการใช้ระเบิด ตามสนธิสัญญาแห่งสหประชาชาติเลยดีไหม?
ที่มาบางกอกทูเดย์
***************************************************************

หาทางลง!

การต่อสู้ทางการเมือง...ที่นำความสูญเสียทั้งทางร่างกายและทรัพย์สิน รวมไปถึงระบบเศรษฐกิจ อาจจะมี “ทางออก” เพราะ นายกฯ อภิสิทธิ์ เสนอแนวทางการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553การเรียกร้องของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้รัฐบาลยุบสภา...มีมาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2553 แต่รัฐบาลมาประกาศอย่างชัดเจนเมื่อคืนวันที่ 3 พฤษภาคม...จะให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พฤศจิกายน ศกนี้หมายความว่า...การยุบสภาจะเกิดขึ้นประมาณวันที่ 15 กันยายน ถ้าใช้เวลาเตรียมการเลือกตั้ง 60 วัน ...หรือยุบสภาในวันที่ 1 ตุลาคม ถ้าใช้เวลาเตรียมการเลือกตั้ง เพียง 45 วันนายกฯ อภิสิทธิ์ กำหนดวันเลือกตั้ง...โดยมีเหตุผลที่ต้องการให้กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2554 ได้ผ่านสภาเสียก่อน เพื่อประเทศจะได้มีเงินในการบริหารประเทศต่อไปงบ

ประมาณปี 2554 ตั้งไว้ 2.07 ล้านล้านบาท ...สูงกว่าปี 2553 ที่ตั้งไว้เพียง 1.70 ล้านล้านบาท อยู่พอสมควร อันจะมีผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ต่อไป...ในยามที่การค้าของประเทศไทยกำลังเติบโตนอกจากนั้น...ยังเป็นช่วงที่จะทำการโยกย้ายข้าราชการตามปีงบประมาณได้ตามระยะเวลาด้วย กำหนดระยะเวลาที่จะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปจนถึงกันยายนปีนี้ ทั้งหมดจึงเป็นเหตุผลในการพิจารณาที่จะ “ยุบสภา”การเสนอเงื่อนไขดังกล่าว...ทางแกนนำของคนเสื้อแดง

ก็คงจะรับไปพิจารณา ซึ่งถ้ายอมรับกันได้ การชุมนุมเรียกร้องก็คงจะได้ยุติ แต่ถ้ายังไม่ยอมรับ...ฝ่ายผู้ชุมนุมก็จะต้องหาเหตุผลมาอธิบายต่อสังคมให้ได้รัฐบาลเสนอเงื่อนไขอย่างนี้...ฝ่ายคนเสื้อแดงอาจมองได้ว่า รัฐบาลซื้อเวลา เพื่อรอจัดสรรงบประมาณและจัดโผแต่งตั้งให้เรียบร้อยก่อน แต่ก็อาจจะมีน้ำหนักน้อย...เพราะหลายฝ่ายเองก็อยากให้ปัญหาการชุมนุมสิ้นสุดลงนอกจากนั้น รัฐบาลเองก็สามารถอธิบายได้ว่า...จำเป็นต้องตั้งงบประมาณเอาไว้ และคนที่จะมา

เป็นรัฐบาลใหม่ก็เป็นคนบริหาร รวมทั้งรัฐบาลใหม่ก็สามารถโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการได้ในภายหลัง...หากเห็นว่าเหมาะสมรัฐบาลเริ่มหาทางลงแล้ว...เหลือแต่ฝ่ายผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่จะรับไปพิจารณาว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ซึ่งคงต้องมองถึงความบรรลุผลของการเรียกร้องว่า...ได้ไปพอควรหรือไม่ และจะเรียกร้องตามกระบวนการยุติธรรมให้กับผู้สูญเสียได้อย่างไรอีกทั้งจะหาทางลงให้กับแกนนำผู้ชุมนุมเองเกี่ยวกับคดีความต่าง ๆ ที่รัฐบาลตั้งข้อหาไว้ให้ได้อย่างไร

เพราะถ้าหาทางลงไม่ได้...การจะยอมรับเงื่อนไขที่รัฐบาลเสนอนั้น ก็คงต้องพิจารณากันต่อไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการแสดงความจริงใจของรัฐบาล ด้วยการยกเลิกการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และการยกเลิกข้อกล่าวหาแบบเหมารวมที่ดูจะเกินเลย เช่น การก่อการร้าย การล้มล้างสถาบัน เป็นต้นแต่การปฏิบัติตามกฎหมายสำหรับคนที่เข้าข่ายกระทำความผิดก็ควรที่จะต้องดำเนินการไปตามระบบความยุติธรรมอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งฝ่ายของรัฐบาลเอง

และฝ่ายแกนนำผู้ชุมนุมทุกค่ายทุกสีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญ...ความเป็นผู้บริหารของประเทศ รัฐบาลจะต้องกล้าออกมาแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองทางใดทางหนึ่ง เกี่ยวกับการแก้ไขสถานการณ์การชุมนุมจนมีการบาดเจ็บล้มตาย หลายฝ่ายถูกกดดัน ข่มขู่ คุกคาม นอกจากนั้น ฝ่ายผู้ชุมนุมที่สนับสนุนรัฐบาลให้อยู่ต่อจนครบวาระ จะต้องเลิกการชุมนุมด้วย มิเช่นนั้นแล้ว...ความปรองดองที่รัฐบาลอยากให้เกิดขึ้น ก็คงเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ยากอย่างไรก็ตาม...รัฐบาล

เองที่หาทางลงไว้ด้วยการกำหนดวันเลือกตั้งไว้เป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 นั้น ก็อาจจะมีความเสี่ยงอยู่ด้วย เพราะแกนนำของรัฐบาล คือ “พรรคประชาธิปัตย์” กำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเรื่องการ “ยุบพรรค”ภายในเดือนพฤษภาคม...คงมีความชัดเจนในแนวทางการต่อสู้คดียุบพรรคที่คณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติว่า...พรรคประชาธิปัตย์ใช้เงินบริจาคพรรคการเมืองไปอย่างผิดวัตถุประสงค์ จึงมีมติส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรคต่อไปความเสี่ยงที่

อาจโดนยุบพรรคนั้น...อาจจะทำให้รัฐบาลมีอายุอยู่ไม่ถึงเดือนกันยายน อย่างที่ต้องการก็ได้ เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณาเรื่องอีกเพียงสองถึงสามเดือนแล้วสามารถพิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคได้พรรคประชาธิปัตย์อาจถูกยุบประมาณกลางเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งจะเร็วกว่าที่รัฐบาลตั้งเป็นเอาไว้ในเดือนกันยายน และจะมีผลกระทบตามมาพอสมควรเนื่องจากการพิจารณากฎหมายงบประมาณปี 2554 ถ้าเสร็จไม่ทัน...ปัญหาก็จะตามมา เนื่อง

จากจำนวนคะแนนเสียงของรัฐบาลอาจจะไม่เพียงพอ เพราะอาจมี ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนที่จะโดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปถ้าเป็น ส.ส. สัดส่วน และไม่มีบัญชีปาร์ตี้ลิสต์เหลืออยู่...จำนวน ส.ส. โดยรวมในสภาก็จะลดลง แต่ถ้าเป็น ส.ส. เขต ก็ต้องมีการเลือกตั้งใหม่...ซึ่งไม่แน่ว่าพรรคใดจะชนะได้ ส.ส. เพิ่มเติมความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการจะโดนยุบพรรคหรือไม่จึงมิอาจมองข้ามไปได้...แต่หากว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่โดนยุบตามข้อกล่าวหา แนวทาง

ที่รัฐบาลตั้งไว้ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ที่เหลือหลังจากการยุบสภาก็คือ การลงแข่งขัน “เลือกตั้งกันใหม่” ซึ่งพรรคใดได้คะแนนเสียงข้างมาก ก็จะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศต่อไป ส่วนพรรคใดจะชนะการเลือกตั้งนั้น ก็คงขึ้นอยู่กับนโยบายที่นำไปหาเสียงถ้าพรรคเพื่อไทยใช้นโยบายเกี่ยวกับการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยจะนำฉบับ 2540 มาใช้ ก็จะต้องรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภา จึงจะสามารถดำเนินการได้ตามนโยบายการหาเสียงถ้า

พรรครัฐบาลเดิมเห็นว่ารัฐธรรมนูญ 2550 ดีอยู่แล้ว และอาจจะมีการแก้ไขบางมาตรา ก็จะรณรงค์หาเสียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาเช่นเดียวกัน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า...ประชาชนส่วนใหญ่จะเลือกแบบไหน?!เมื่อถึงเวลานั้น...ต่างฝ่ายควรต้องยอมรับกติกาและผลการเลือกตั้ง และต้องไม่นำมวลชนออกมากดดันกันอีก อย่างเช่นที่เคยเป็นตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา และทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่กำหนดโดยเสียงข้างมากต่อไปการบริหารประเทศไทยใน

อนาคตก็คงจะเป็นไปด้วยความสมัครสมานสามัคคีกัน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกันก็จะลดความขัดแย้งที่เคยเกิดขึ้นให้ลดน้อยลงไปถ้าทุกฝ่ายหันหน้ามาปรองดองกันได้ มีความรักความสามัคคี ประเทศไทยก็จะกลับมามีรอยยิ้มกันอีกครั้งหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่เพื่อส่วนรวม เพื่อประเทศชาติและสถาบันหลัก ความสวัสดีมีชัยจะเกิดขึ้นแก่คนไทยทั่วหน้ากัน!

เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
.............................................................................

เว็บล็อกวิชาการต่างชาติเผยประสบการณ์นศ.ถูกศอฉ.สอบ ชี้หน่วยสืบราชการลับล้มเหลวสิ้นเชิง

เว็บล็อกนิว แมนดาลา (นวมณฑล) ได้เผยแพร่คำบอกเล่าของ 1 ใน 3 นักศึกษา ที่ถูกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เรียกตัวไปสอบสวนที่กรมทหารราบที่ 11 เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม โดยนักศึกษารายนี้ได้เปิดเผยถึงลำดับขั้นตอนในการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ว่า

ทหารได้เริ่มต้นอธิบายให้ผู้ถูกเรียกตัวเข้าไปสอบสวนทั้งหมดได้รับทราบว่า การสอบสวนครั้งนี้ไม่มีอะไรน่าหวาดกลัว พวกเขาเพียงแค่ต้องการขอความร่วมมือ และพวกเราก็ควรจะบอกเล่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งสามารถช่วยเหลือประเทศให้กลับไปสงบสุขดังเดิม ให้เขาได้รับทราบ เจ้าหน้าที่ทหารยังกล่าวยืนยันด้วยว่าการเข้าไปข้องเกี่ยวหรือสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ว่าในทางใดล้วนแล้วแต่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขบวนการเสื้อแดงควรจะถูกหยุดยั้งลงได้แล้วในเร็ววันนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะดำเนินไปนอกเหนือการควบคุม

การสอบสวนดำเนินไปใน 3 ขั้นตอน ขั้นตอนแรก จะมีการสอบถามประวัติส่วนตัวทั่วไปของผู้ที่ถูกเรียกตัวเข้าไปสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอ การสอบถามจะดำเนินไปแบบหนึ่งต่อหนึ่ง จากนั้นผู้ถูกสอบสวนจะถูกสอบถามเพิ่มเติม หากเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการเสื้อแดงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง คำถามที่เราต้องเจอจะมีอาทิเช่น คุณคิดว่าใครคือกลุ่มนักฆ่าชุดดำในคืนวันที่ 10 เมษายน หรือ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมประท้วง เป็นต้น

ในขั้นตอนที่สอง จะเป็นการทดสอบด้วยปฏิบัติการจิตวิทยาพลเรือน (Civil Psychological Operation) โดยเจ้าหน้าที่จะสอบถามว่าเรารู้สึกอย่างไรกับการทดสอบ เรารู้สึกตกใจหรือหวาดกลัวหรือไม่ นักศึกษารายนี้ระบุว่า ขณะทำการทดสอบ เขารู้สึกเหมือนได้เจอกับคุณป้าใจดีที่มาสั่งสอนบทเรียน มากกว่าจะรู้สึกเหมือนกับถูกป้อนยาขมเข้าปาก

ขั้นตอนสุดท้าย นักศึกษาทั้ง 3 คน ได้กลับเข้ามาในห้องเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง และต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ 2 ราย เจ้าหน้าที่จะตั้งคำถามบางอย่างเกี่ยวกับกลุ่มคนเสื้อแดง เช่น แกนนำเสื้อแดงคนใดซึ่งนักศึกษาคิดว่ามีแนวโน้มที่จะโค่นล้มอำนาจสูงสุดของประเทศ หรือ ถ้านักศึกษามีความคุ้นเคยกับ "นายสุรชัย แซ่ด่าน" แล้วคุณมีหน้าที่อะไรในสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย เป็นต้น

นอกจากนี้ ตรงท้ายรายชื่อของนักศึกษาแต่ละคนในบัญชีรายชื่อของเจ้าหน้าที่ ยังมีการระบุข้อมูลสั้น ๆ ของพวกเขา ในกรณีของนักศึกษาผู้เปิดเผยข้อมูลรายนี้ ข้อมูลสั้น ๆ ในมือเจ้าหน้าที่ ระบุว่าเขาทำงานให้กับสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของกลุ่มแดงสยาม ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองดังกล่าวเลย

นักศึกษารายนี้สรุปปิดท้ายว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายและเสียเวลามากกว่าจะรู้สึกว่าตนเองถูกข่มข่มในกรมทหารราบที่ 11 นอกจากนั้น เขายังเห็นว่าเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับของทางราชการปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ที่มา.มติชนออนไลน์
........................................................

สรุปแถลงการณ์ "นปช.แดงทั้งแผ่นดิน"

คุณวีระ
1. ยินดีเข้าร่วมาตรการปองดองลดการสูญเสีย
2. นปช.ต้องการความจริงใจซึ่งรัฐบาลสามารถแสดงออกด้วยการลดการคุกคามทุกรูปแบบ
3. นปช.ไม่ขอนิรโทษกรรมให้แก่ นปช.เองในข้อหาโค่นล้มสถาบันและการก่อการร้ายเด็จขาดพร้อมสู้คดี
4. ต้องยุติการนำสถาบันกษัตริย์ลงสู่ความขัดแย้งในทุกมิติ

คุณณัฐวุฒิ
1. การนิรโทษกรรม เราไม่ได้กำหนดเป็นเงื่อนไข จะขอต่อสู้จนถึงที่สุด ในขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้เกิดมาตรฐานยุติธรรมเดียวกัน "คดีการสั่งสังหารประชาชนในวันที่ 10 ,22,28 เมษายน"จะต้องไม่มีการนิรโทษกรรมใดๆเช่นเดียวกันขอให้ DSI รับเอาสามเหตุการณ์เป็นดคีพิเศษพร้อมดำเนินการทันที
2. ประการต่อไปเรื่องอธิบายขยายความเพิ่มเติมในการต่อสู้ในรูปลักษณ์การเผชิญ หน้าของคนสองกลุ่มค่ือ2.1 นปช.
2.2 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ผลกระทบของรากแก้วของปัญหากระบวนการการต่อสู้เกิดกระทบในวงกว้างของปชช.ทั้งประ เทศดังนั้นปฏิบัติการ ใดๆที่เกิดจากกลไกรัฐยอมเกิด ขึ้นต่อปชช.จึงขอให้รัฐบาบ"ยุติคุกคาม"สิทธิ เสรีภาพของประชาชนโดยทันที
3. ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการบริโภคข่าวสาร ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพในการเดินทางมาชุมนุม เป็นการพิสูจน์ประเด็นของความจริงใจของรัฐบาล
4. "หยุดคุกคามประชาชน หยุดริดรอนสิทธิ์ในการบริโภคข่าวสาร
5. ดังนั้นความเท่าเทียมก็เป็นมาตรการณ์การหลีกเลี่ยงการรุนแรง

คุณจตุพร
1. การใช้กำลัง อำนาจ การปองดองไม่ได้ จะไม่ถือเป็นการปองดองทันที ในคืนนี้จะมีการนำภาพมาฉายให้เห็นถึงกองกำลังทหารตำรวจ "นี่หรือการปองดอง
2. ขอประกาศให้ทราบว่าจะไม่มีการแลกคดีการก่อการร้าย การล้มสถาบัน เป็นอันขาดในการปองดอง จะขอดำเนินดคีกับนายก รองนายก DSI ข้อหาปฏิบัติงานโดยมิชอบ
3. ดคีที่บุกยึดทำเนียบ สนามบิน ตำรวจตั้งข้อหาก่อการร้าย ขอให้DSI นำเป็นดคีพิเศษเช่นกัน และคดีหมิ่นนั้น ของสนธิ ขอให้เป็นคดีพิเศษ่เช่นเดียวกัน
4. ประเด็นสุดท้าย การสั่งฆ่าประชาชน DSI พยายามสร้างหลักฐานเท็จ กระสุน 480 นัด เป็นพยานชัดเจนว่าเป็นพยานเท็จ คนที่จับไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงแต่คดีที่สั่งฆ่าประชาชน 21 คน DSI จะดำเนินการอย่างไร
5. พวกผมจะไม่ยอมให้คดีก่อการร้ายและล้มสถาบัน ไปแลกกับคดี "สั่งฆ่าประชาชน" เป็นอันขาด


นายแพทย์เหวง
1. นปช.เสนอแนวทางปองดองตั้งแต่เอกฑูตมาเยี่ยม 24 เมษายนตั้งแต่แรกแล้ว อภิสิทธิ์ได้ตอบปฏิเสธและนำมาสู่การปราบปรามวันที่ 28 จึงเป็นการเสนอตามหลัง นปช. ไม่สมควรได้รับเกียรติยศ การปองดอง
2. "มาช้าดีกว่าไม่มา" นปช.ยินดีเข้าสู่โต๊ะปองดอง และขอถามว่า "จริงใจในการปองดองหรือไม่" เพราะยังมีการซุ่มโจมตี นปช. ขอให้หยุดการโจมตี นปช. ตั้งแต่นี้
3. นปช.มีควรจำเป็นต้องอธิบายความจำเป็นในการปองดอง ดังนั้จึงได้มีการพิมพ์หนังสือเล่มเล็๋กสีแดง อธิบาย"รัฐไทยใหม่" "การต่อสู้แบบสันวิธี" หนังสือนี้จะอธิบายอย่างกระจ่าง เพื่อให้ไปศึกษาว่า นปช.เป็นดังที่กล่าวในหนังสือเล่มนี้จะได้ยุติการใส่ร้าย


คุณก่อแก้ว
1.ในการหาทางออกด้วยวิธีปองดองนั้นแต่การยืนเงื่อนไขนั้นยังไม่ชัดเจน ขอแสดงความห่วงใยของพี่น้องไปยังนายอภิสิทธิ์ คือ
2.1.เสื้อแดงแคงใจคำพูดอภิสิทธิ์เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด? ขอให้แสดงท่าทีที่ชัดเจนด้วย
2.2.เสื้อแดงห่วงว่ารัฐบาลใช้วิชามารทุกแบบทำให้ไม่มั่นใจว่าข้อเสนอของนายกจะมีความ โปร่งใสหรือไม่? ข้อสงสัย จะมั่นใจได้อย่างไรแกนนำและเสื้อแดงจะไม่ ถูกอำนาจรัฐลอบทำร้าย
2. ขอให้นายอภิสิทธิ์ออกมารับปากกับประชาชนถ้าหากเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นกับแกนนำและประชา ชนเสื้อแดง จะถือว่าไม่มีความรับผิดชอบและต้องรับผิดชอบกับทุกเหตุการณ์
3. อภิสิทธ์เท่ากับว่าได้ยอมรับแล้วว่าไม่ได้มาตามกระบวนการที่ถูกต้องตามอำนาจประชา ธิปไตย คำพูดของนายอภิสิืทธื์ เป็นเรื่องของการปองดองและเลือกตั้งให้ถือว่าเป็นการพูดกับประชาชนคนทั้งประเทศ สิ่งที่ต้องพูดต้่อไปคือนายกจะต้องแสดงท่าทีชัดเจนจริงใจ ต้องไม่ปล่อยให้ ศอฉ. คุกคามประชาชน

คุณอริสมันต์
1. ศาลไม่ได้อนุมัติหมายจับของอริสมันต์ แรมโบ้ และเสธแดง
2. วันนี้ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและมีมติเอกฉันท์หาข้อยุติด้วยความปองดองสมานฉันท์ทั่ว ประเทศ หวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลที่ปิดสื่อ วันนี้นายกต้องแสดงความจริงใจ การเผยแพร่ข่าวสารสองด้านครบถ้วนเป็นสิ่งที่ให้ปชช.มีข้อมูลใช้ในแนวทางที่พึ่งประสงค์
3. ขอให้นายกสั่งการทันทีที่จะยุติคุกคามเว๊บไซด์ วิทยุชุมชน สถานีพีเพิล
4. การสั่งให้ทหารตำรวจกลับกรมกองทันที เพื่อความสมานฉันท์ปองดองเกิดขึ้น

คุณฌอน
แถลงการณ์มติการประชุมเป็นภาคภาษาอังกฤษให้กับสื่อมวลชนต่างชาติและชาวต่างชาติได้ รับทราบ
---------------------------------------------------------------------

บันทึกประวัติศาสตร์ไว้

ในการย้อนรอยกลับมาของ ทรราช ด้วยการกวาดล้างที่รุนแรง
ต่อผู้ที่ขวางทางอำนาจ อย่างโหดร้ายทารุณเสมอ
นอกเหนือจากนักการเมืองฝั่งตรงข้ามกันแล้ว ขบวนการประชาชนประชาธิปไตย
ก็เป็นเป้าหมายหลักที่ต้อง ถูกทำลายให้สิ้น หมดเสี้ยนหนาม และไร้พิษสง

2 ปีหลังความกระหยิ่มในชัยชนะของนิสิตนักศึกษาประชาชน เป็นบทเรียนที่ต้องนำมา
ย้อนทบทวนบาดแผลความผิดพลาดหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เป็นต้นมา

พัฒนาการทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบเส แสร้ง เติบใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขา
ปกคลุมทั่วทุกระบบ ในทางเดียวกันกลับสวนทาง กับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่
ด้วยการประนี ประนอมเพื่อถ่วงเวลา เสวยอำนาจครอบงำอย่างช้าช้า โดยไม่ทันให้สังเกต....
.....เลี้ยงไม่ให้ผอม โซ..แต่ก็จำกัดไว้ไม่ให้โตอ้วน....

พลวัตร ของขบวนการประชาธิปไตยเติบใหญ่เคลื่อนไหวมากเท่าไร

พัฒนาการของ ทรราชอมาตยา ก็แนบเนียน ยิ่งยิ่งขึ้น

ต่างพวกต่างเหล่าก็ปรับปรุงตัว จากข้อผิดพลาดของตน...แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเป้าหมาย...
การช่วงชิงอำนาจไว้ในกำมืออย่างยาวนานที่สุด

โอกาสนี้ รอบ 100 ปี มีแค่ครั้งเดียว เพียงครั้งเดียวเท่านั้น .....
ถ้าแพ้อีกครั้ง ก็ดิ้นรนหาหนทางรอดตัวใครตัวมันเถิด แล้วอย่าลืมบอกลากันด้วย
เพราะนี่คือ เดิมพันครั้งสุดท้าย ของกลุ่มพลังรากหญ้าที่สะสมความพ่ายแพ้
มาโดยตลอด อย่างยาวนาน

โค่นกล้วยอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก หมายความว่า จะคิดกำจัดศัตรู ปราบพวกคนพาล
ให้หมดสิ้นทีเดียวแล้ว ก็ต้องปราบให้เรียบอย่าให้พรรคพวกของมันเหลือไว้เลยแม้แต่คนเดียว
มิฉะนั้นพวกที่เหลือนี้จะกลับฟื้นฟูกำลังขึ้นมาเป็นศัตรูกับเราภายหน้าได้ อีก
ตัด หวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่
จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า ใช้ตลอดถึงการทำลายล้างคนพาลสันดานโกงต่างๆ

มันฝังรากลึกในสังคมไทย ถ้าไม่ถอนรากถอนโคน
ก็คงต้องทนให้หนามมันทิ่มตำต่อไป

........................................................................

ณัฐวุฒิแขวะ ปชป.แก้ปัญหาภายในหลัง"ชวน"ค้านยุบสภา

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวภายหลัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 เจรจาขอพื้นที่ ถ.ราชดำริ ตั้งแต่แยกศาลาแดงถึงแยกสารสิน ว่า ยังไม่ได้รับปากว่าจะดำเนินการให้ ต้องดูสถานการณ์ภาพใหญ่ว่าจะออกมาเป็นแบบไหน หากผ่านไปได้ เรื่องพื้นที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ถือเป็นเรืองเล็ก ขอหารือในข้อเสนอของรัฐบาลก่อน ส่วนท่าทีของ นปช.เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลล้วนเห็นด้วยกับนายกฯ แต่คงยังไม่เคยคุยเรื่องกรอบเวลากับพรรคร่วม ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังมีเสียงที่แปร่งอยู่ ยังมีเวลาเหลืออีก 2-3 ชั่วโมง ยังไม่สายที่พรรคร่วมและพรรคประชาธิปัตย์จะแสดงจุดยืน

ขณะเดียวกันมีผู้สื่อข่าวนำข้อความสั้นทางโทรศัพท์มือถือที่ว่า นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ทราบเรื่อง Road Map ของนายกรัฐมนตรี และคัดค้านการยุบสภาภายใต้แรงกดดัน และอย่านิรโทษกรรมคนเสื้อแดง ทำให้นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ธรรมชาติของพรรคประชาธิปัตย์เป็นแบบนี้ เรื่องดังกล่าวต้องเป็นหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ที่จะไปแก้ปัญหาภายในประชาธิปัตย์เอง ต่อมาเวลา 13.45 น. ได้เกิดเหตุการณ์ฝนตกหนัก และฟ้าคะนอง ขึ้นในพื้นที่การชุมนุม อย่างไรก็ตาม บนเวทีก็ยังคงมีการแสดงดนตรีอย่างต่อเนื่อง และจะมีเสียงเฮของผู้ชุมนุมทุกครั้งที่มีเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ฝนก็ได้ตกในพื้นที่ชุมนุมมาแล้วหนึ่งครั้งในช่วงเช้าตรู่

ที่มา.เนชั่น
*******************************************************************

นักสันติวิธีจี้ทุกฝ่ายทำข้อตกลงก่อนยุบสภา

นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิจัยอิสระด้านสันติวิธี และอดีตคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ(กอส.) กล่าวว่าแผนปรองดองเพื่อแก้ปัญหาการเมืองของนายกรัฐมนตรี ถือเป็นแนวทางที่ดีและจะช่วยลดระดับอุณหภูมิ และความตึงเครียดทางการเมืองลงได้ก่อนจะเดินไปสู่การออกจากปัญหา แต่จะพ้นวิกฤตอย่างยั่งยืนและถาวรหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องที่ต้องเฝ้าติดตามและขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่นๆอีกหลายประการ

นายอัฮหมัด กล่าวต่อว่า สำหรับโรดแมปที่นายกรัฐมนตรีเสนอนั้น ถือเป็นประตูทางออกที่เปิดกว้างเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ก้าวข้ามวิกฤตเฉพาะหน้าในเวลานี้ ซึ่งอย่างไรก็ตามสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการคือวางกรอบเพื่อควบคุมไม่ให้ปัญหาก่อตัวเกิดขึ้นใหม่ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจากสังคมไทยขณะนี้อยู่ในภาวะบอบช้ำอย่างหนัก ดังนั้นหากมีการยุบสภาแล้วกำหนดการเลือกตั้งจะต้องไม่ให้เกิดปัญหาความวุ่นวายซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก ระลอก

“เนื้อหาสาระที่ทุกฝ่ายพูดคุยหารือเพื่อทำความเข้าใจและตกลงร่วมกันคือสิ่งที่ต้องตามดูหลังจากนี้ เพราะนี่คือสิ่งสำคัญที่จะระงับไม่ให้อุณหภูมิของปัญหาต่างๆปะทุขึ้นมาในห้วงเวลาที่จะมีการเดินไปสู่การเลือกตั้ง” นักวิจัยอิสระด้านสันติวิธี กล่าว

ที่มา.เนชั่น
........................................................

ทักษิณ"เปิดใจกับ"สำนักข่าวเนชั่น "ยังไม่ตาย-แข็งแรงดี"

ชี้หากอยากให้บ้านเมืองสงบ รัฐต้องใจกว้าง ลืมอดีต อย่าอาฆาตกัน
พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น" นานกว่า 10 นาที หลังเกิดกระแสข่าวลืออย่างหนัก ทั้งเรื่องการเสียชีวิตและข่าวการป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะ 3

การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวนี้ มีขึ้นภายหลังจากผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถึงข่าวที่มีการระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งการผ่าน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ให้นำมวลชนมาเติมให้กับผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง โดยนายประชา ปฎิเสธว่าไม่ทราบกระแสข่าวนี้ ส.ส.ทำเพียงแค่ช่วยดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมบ้างเท่านั้น แต่ถ้าหากสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเสียชีวิตหรือป่วยหนัก ตนเพิ่งคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถ้าสงสัยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ให้โทรไปสอบถามได้เลย

ผู้สื่อข่าวจึงได้ขอเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ ซึ่งนายประชาได้ให้มา 2 เบอร์ จากนั้นเวลา 15.00 น.ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์เข้าไปยังเบอร์ที่นายประชาให้มา ปรากฏว่าปลายทางเป็นชายที่เสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณรับสาย โดยบอกว่า "ผมกำลังอยู่บนเครื่องบิน ตอนนี้เครื่องกำลังเทคออฟ ให้โทรมาใหม่อีกที" จากนั้นได้วางสายไป โดยไม่ได้บอกว่า กำลังจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งใด

ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อเป็นระยะ ๆ และประสบผลสำเร็จเมื่อเวลา 18.50 น.โดยเมื่อถามว่า ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ปลายสายบอกว่า "ผมนี่แหล่ะ ไม่ใช่ผี"

หลังจากนั้นจึงเป็นการให้สัมภาษณ์เปิดใจ ต่อสื่อมวลชนไทยเป็นครั้งแรก หลังยุติการโฟนอินไปเป็นเวลานานนับเดือน ซึ่งการสนทนา มีดังนี้

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาหลังยุติการโฟนอิน มีข่าวลือต่อเนื่อง ทั้งข่าวมะเร็ง ข่าวเสียชีวิต ป่วยจริงหรือไม่
ไม่ได้ป่วยอะไร ผมแข็งแรงดี และเดินทางตลอด ไปตรวจร่างกายมีคลอเรสเตอรอล ตัวดี นิดหน่อย ออกกำลังไม่พอ

มีข่าวว่าทางครอบครัวแต่งชุดดำ เดินทางไปหาที่ฮ่องกง
ยังไม่เจอกัน ผมไม่ได้เจอกับเมียมา 1- 2 ปีแล้ว

ล่าสุดรัฐบาลเสนอแผนปฎิรูปประเทศไทย โดยดึงภาคประชาชนฝ่ายต่างๆ มาร่วมจัดทำแผนเพื่อแก้ปัญหาการเมืองทั้งระบบ ท่านจะเสนอโรดแมพแก้ปัญหาด้วยหรือไม่เพราะขณะนี้เกิดวิกฤตใหม่หนักแล้ว
คงไม่ได้เสนออะไร แต่ถ้าจะไปเขียนจะเขียนสวยหรู แบบตั้งท่าทะเลาะกัน ไปตอบโต้กัน ก็ให้เปลี่ยนเป็นว่า เอาทัศนคติมาคุยกัน เราพร้อมจะเป็นมิตรกันหรือยัง มีทัศนคติที่ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่เอาเปรียบ ไม่กลั่นแกล้ง อาฆาตมาดร้าย เพราะถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยสงบ อยากเห็นทุกคนหันหน้าเข้าหากัน แล้วลืมเรื่องในอดีต มองในอนาคตดีกว่า

ยุบสภาแล้วจะจบหรือไม่ เพราะมีการมองเป้าหมายของนปช.และเสื้อแดง ไม่ได้แค่ยุบสภา แต่เลยไปพูดเรื่องล้มสถาบัน หลังจากที่ ศอฉ.เปิดเผยแผนผังโดยมีการมองว่าพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง
นี่ไง ถ้าหากว่าก็สู้กันทางการเมืองก็แย่แล้ว แล้วเอาประชาชนมาแอบอ้างให้ตัวเองดูน่าเกลียดก็ยิ่งไปใหญ่ สถาบันถือเป็นสิ่งสูง อย่าเอามายุ่งต่อการทะเลาะเบาะแว้ง อย่าเอามากล้าวอ้าง เพราะข้อกฎหมายก็มีชัดเจนอยู่แล้ว ก็ต้องดำเนินการตามกฏหมาย ไม่ใช่ทำให้คนไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แล้วรบกันตลอด สิ่งนี้เคยเป็นบทเรียนในอดีตแล้ว เอามาใช้อีกทำไม ต้องเอาความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเป็นคนพุทธ เข้าหากัน ทุกอย่างจะจบ ไม่อาฆาตกัน มองโลกไปข้างหน้า เพราะวันข้างหน้าเราต้องพัฒนาเพื่อลูกหลาน ตัวอย่างง่ายๆ อย่างตัวผมนี่ เอาผมไปใช้ประโยชน์กับประเทศ อย่าเอาผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะได้ประโยชน์อะไรมากกว่ากัน

ยกตัวอย่าง มาบอกคุณทักษิณนะ ช่วยประสานประเทศนั้นประเทศนี้ให้หน่อย อยากเจาะตลาดเรื่องนี้ มีประโยชน์กว่าไหมกับการมาบอกว่า ประเทศนี้อย่าให้ทักษิณเข้านะ ปิดประตูเลยนะ ทั้งที่เขาเป็นมิตรกับผม และเขาก็เป็นมิตรกับประเทศไทย ต้องใจกว้างบ้านเมืองถึงจะสงบ

การเจรจาตอนนี้เลยจุดไปแล้วหรือไม่ และมีการมองว่าการยุบสภาอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
ผมไม่ทราบ ต้องไปคุยพวกแกนนำเขาก็แล้วกัน ผมไม่รู้เรื่อง คุยกับทางโน้น แล้วไปคุยกับพี่น้อง ต้องไปถามประชาชนที่เขามาสู้ด้วยว่า เป็นอย่างนี้เขารับได้ไหม เขาได้ต่อสู้กันมานาน เขาได้เสียชีวิตไป เสียเลือด เสียเนื้อกันไป บางคนโดนลูกปืนยางยิง บางคนโดนควักลูกตา บางคนเสียชีวิตไป บางคนตอนนี้กระสุนยังฝังในอยู่ ต้องมีเหตุผลที่ดีให้เขาฟัง ดูว่าเขารับได้ไหม

เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน และเหตุการณ์วันที่ 28 เมษายนที่ดอนเมือง ท่านได้ติดตามตลอดหรือไม่ รับรู้เหตุการณ์ตลอดหรือไม่
ติดตามตลอด

มีการพูดเรื่องคนชุดดำและมือที่ 3 การข่าวของท่านทราบหรือไม่ว่าคนชุดดำเป็นใคร
ผมทราบผิวเผิน แต่ถ้าจะกล่าวหา ถ้าจะฟื้นฝอยหาตะเข็บกล่าวหากัน มันก็ไม่จบ แต่ถ้าวันนี้เรามองไปข้างหน้าจะดีกว่า ว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร ถ้าเรามองไปข้างหน้ากันได้ เป็นหนึ่งเดียวได้ ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างจบ

คนเสื้อแดงถูกมองว่าทำให้ รพ.จุฬาฯ เดือดร้อนจนกลายเป็นว่าขณะนี้กระแสตีกลับ
ผมไม่รู้รายละเอียด ไม่รู้ครับ ...

จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้วางสาย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------------------------

ไม่รับผิดชอบ

"ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วเรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ"

นี่คือวาทะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่เป็นผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวประณามรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้รับผิดชอบการสลายการชุมนุมของม็อบพันธมิตรที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551

ตอนนั้นมีผู้เสียชีวิต 2 รายบาดเจ็บหลายร้อยราย

วาทะของนายอภิสิทธิ์นี้พูดเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนั้นคงไม่คาดฝันว่าจะมาเป็นรัฐบาล ไม่คาดคิดว่าจะต้องเป็นผู้สั่งการสลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

ยังมีเหตุการณ์ม็อบชนม็อบที่สีลมจนเกิดระเบิดพินาศ และเหตุการณ์ทหารสลายม็อบแดงที่ดอนเมือง

ทั้ง 3 เหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตรวม 27 ศพ แยกเป็นม็อบแดง 20 ศพ ทหาร 6 ศพ และม็อบสีลม 1 ศพ

มีผู้บาดเจ็บเกือบพันคนทีเดียว

แล้วรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ จะไม่รับผิดชอบการสูญเสียที่เกิดขึ้นเลยหรือ!?

เหตุการณ์สลายม็อบ 7 ตุลาที่หน้ารัฐสภา นายอภิสิทธิ์ในเวลานั้นประณามรัฐบาลพลังประชาชนว่าพยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชน

เหตุการณ์สลายม็อบ 10 เมษาเลือด นายอภิสิทธิ์ในตอนนี้กลับยัดเยียดความผิดให้ม็อบแดง กล่าวหาว่ามีผู้ก่อการร้ายอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่รู้สึกเลยหรือว่าต้นตอของความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจากคำสั่งส่งกองทหารเข้าสลายการชุมนุม

แทบไม่เชื่อว่านายกฯอภิสิทธิ์ที่ประกาศตัวมาตลอดว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย

จะปฏิเสธแนวทางสันติแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม

กลับเลือกใช้วิธีการนองเลือดแทน !!

ตอนนี้องค์กรนานาชาติหลายองค์กรกำลังจับจ้องดูเหตุการณ์ความขัดแย้งในเมืองไทย

ล่าสุด ฮิวแมนไรท์วอตช์ องค์กรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชั้นนำของโลก ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สอบสวนเหตุสลายม็อบ 10 เม.ย.จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย (เอซีเอชอาร์) ที่ปรึกษาด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ก็ออกแถลง การณ์ว่าในเหตุการณ์ 10 เม.ย.มีหลักฐานชัดเจนว่าทหารไทยใช้กำลังโดยไม่เหมาะสม ละเมิดสิทธิในการมีชีวิตอยู่ของพลเรือนจำนวนมาก

และยังเตือนว่าหากการสอบสวนของรัฐบาลไทยไม่มีความน่าเชื่อถือ เอซีเอชอาร์อาจแทรกแซงโดยให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เปิดการพิจารณาคดีนี้แทน

ถึงเวลานั้นนายอภิสิทธิ์คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ศักดิ์ศรีที่หายไป

วิกฤตการเมืองไทยขณะนี้ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะในประเทศไทยแล้ว แต่ทั่วโลกได้จับตามองประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงองค์การสหประชาชาติและสหภาพยุโรปก็แสดงความวิตกกังวลอย่างยิ่งกับสถานการณ์ในประเทศไทยที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยได้เรียกร้องให้มีการเคารพกฎหมายการเจรจาที่เป็นประโยชน์ และการหาทางออกอันเป็นผลจากการเจรจาที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมืองอย่างสันติวิธีและเป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลและกองทัพจึงจะทำเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” หรือ “ลิงหลอกเจ้า” หรือลิงที่ปิดหู ปิดตา ปิดปาก กับปฏิกิริยาที่นานาชาติมีต่อประเทศไทยไม่ได้ หากยังยืนยันว่าเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการทหารอย่างพม่าที่ปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง โดยปิดประเทศและปิดกั้นข้อมูลข่าวสารทุกชนิดไม่ให้เผยแพร่ออกมาภายนอก

อย่างกรณี 47 ประเทศที่ประกาศเตือนการเดินทางเข้าประเทศไทยและกรุงเทพฯ ซึ่งประเทศที่ห้ามเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว อาทิ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สเปน จีน อังกฤษ และแคนาดา ส่วนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังในการเที่ยวประเทศไทย ซึ่งถือเป็นความเสียหายกับประเทศไทยอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องการท่องเที่ยว แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์จะยุติเร็วหรือช้า ประเทศไทยก็ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนเชื่อมั่นเหมือนเดิมได้

ทุกฝ่ายต่างก็ยอมรับว่าการแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองไทยวันนี้ไม่ใช่ยุติที่การเจรจา แต่ทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหามากมายที่ฝังลึกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม โดยเฉพาะเรื่องช่องว่างทางชนชั้นและความยุติธรรม ไม่ใช่แค่แก้รัฐธรรมนูญ หรือให้ทหารกลับเข้ากรมกองและเป็นกองทัพของประชาชนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธว่าสิ่งแรกที่จะต้องเกิดขึ้นคือ การยุติปัญหาอย่างสันติวิธี ซึ่งทุกฝ่ายต้องเสียสละ อดทน อดกลั้น ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้ครั้งเป็นฝ่ายค้านว่าไม่มีเหตุผลใดๆที่รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงการเจรจา รัฐบาล ผู้นำ หรือผู้มีอำนาจ จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มถอยก่อนเพื่อแสดงถึงความจริงใจ แสดงความรับผิดชอบที่จะแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี

วันนี้จึงมีคนจำนวนมากถามนายอภิสิทธิ์ว่าทำอย่างที่เคยพูดไว้หรือไม่
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้อสังเกตจากการรายงานข่าวเสื้อแดงบางกรณีของนสพ.

ผู้สื่อข่าวอาวุโส ภายใต้นามปากกา ส. หัตถา ตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมสื่อ ในการรายงานข่าวความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งในแง่วิชาชีพ และความรอบด้านในประเด็นที่รายงาน ซึ่งพบได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการรายงานข่าวสถานการณ์ใต้ ที่เต็มไปด้วยอคติและเมินเฉยต่อความสูญเสียของประชาชนมากว่าเจ้าหน้าที่รัฐ

ในความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง สื่อและนสพ.ไทยถูกวิจารณ์เรื่อยมาว่าไม่ได้ทำหน้าที่ตามวิชาชีพของตนเอง ถูกตำหนิด้วยข้อหาตั้งแต่ว่ารายงานข่าวอย่างลำเอียงและเลือกข้างไปจนถึงเรื่องบิดเบือนข่าวสาร

ในรอบไม่กี่วันที่ผ่านมามีตัวอย่างสองเรื่องที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของสื่อ

เรื่องแรกคือกรณีการรายงานข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ดอนเมืองเมื่อวันที่ 28 เมษายน ซึ่งในเหตุการณ์นี้มีทหารเสียชีวิตหนึ่งนาย และมีผู้บาดเจ็บซึ่งตัวเลขจากการแถลงของกระทรวงสาธารณสุขวันรุ่งขึ้นระบุว่ามีจำนวน 16 คน ในกลุ่มนี้เป็นทหารสองนาย และเป็นผู้บาดเจ็บสาหัสสามรายที่ยังต้องรับการรักษาตัวในห้องไอซียูในโรงพยาบาล ทั้งสามรายนี้บาดเจ็บด้วยบาดแผลจากกระสุนปืน กล่าวคือคนหนึ่งถูกยิงที่หัว อีกสองรายเจอเข้าที่ท้อง

การรายงานข่าวของนสพ.ในเรื่องการเสียชีวิตของทหารสรุปไว้ว่า จะต้องรอการสอบสวนเพราะไม่ชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร

สื่อต่างประเทศส่วนหนึ่งรายงานตั้งแต่วันเกิดเหตุว่าทหารที่เสียชีวิตถูกเพื่อนทหารด้วยกันยิงเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนเสื้อแดง ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาล เช่นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือศอฉ.กลับมีท่าทีคลุมเครือขอให้รอการสอบสวน

แม้ว่าในเหตุการณ์ก่อนๆหน้านี้ ศอฉ.และรองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ เทือกสุบรรณมักจะมีบทสรุปที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็วเกินคาดเสมอ ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องของการยิงเอ็ม 79 ใส่กลุ่มคนเสื้อหลากสีเมื่อวันที่ 22 เมษายน ก็สามารถระบุได้ทันทีหลังเกิดเหตุโดยไม่ต้องรอการสอบสวน ว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง

ในบรรดานสพ.ฉบับต่างๆนั้น นสพ.สามฉบับที่คาดว่ายังพอจะรักษาความน่าเชื่อถือไว้ได้บ้างในสายตาของนักสังเกตุการณ์การเมืองเมืองไทยจำนวนหนึ่งในแง่ของการมี “ข้อเท็จจริง” ก็คือ ไทยรัฐ มติชน และข่าวสด ปรากฏว่าไทยรัฐและมติชน เลือกที่จะพาดหัวประเด็นความสูญเสียของทหารเช่นเดียวกันกับนสพ.อื่นๆ

ในเนื้อข่าวรายงานตามคำอธิบายของศอฉ. แม้จะอ้างด้วยว่ามีสื่อต่างประเทศรายงานว่าเป็นการยิงจากเพื่อนทหารด้วยกันแต่ก็เลือกที่จะไม่ลงในรายละเอียด ในขณะที่นสพ.ข่าวสดกลับพาดหัวประเด็นการทำงานพลาดของทหาร และลงรายละเอียดในประเด็นนี้มากกว่าฉบับอื่นๆ

การที่นสพ.สองฉบับแรกไม่ตามประเด็นทหารยิงพลาดอาจเป็นเครื่องหมายแสดงว่าไม่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ ซึ่งก็อาจจะชี้ให้เห็นถึงทัศนะของสื่อที่ดูเสมือนว่าพร้อมจะมองข้ามกรณีที่เป็นการทำงานที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งกรณีนี้คงไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเท่านั้น แต่อาจสะท้อนความผิดพลาดในระดับสั่งการด้วย

ที่สำคัญการยอมรับคำอธิบายเรื่องการทำงานของศอฉ. เห็นได้ชัดว่ามีส่วนทำให้สื่อมองข้ามประเด็นที่แรงกว่า นั่นคือเรื่องการเลือกใช้วิธีการรับมือกับกลุ่มคนเสื้อแดงของเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงเกินเหตุ กล่าวคือการใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่หรือพร้อมจะยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม

ในวันถัดมา ก็ยังไม่ปรากฏว่านสพ.เหล่านี้จะติดตามประเด็นเรื่องของการใช้กระสุนนี้เพิ่มเติมแต่อย่างใด ยังคงไม่มีข้อมูลใดๆเรื่องกลุ่มผู้บาดเจ็บที่ยังอยู่ในรพ. เท่ากับว่าประเด็นของการใช้ความรุนแรงเกินจำเป็นกับผู้ชุมนุมไม่ได้รับการติดตามหรือให้ความสนใจราวกับว่าชีวิตของผู้ชุมนุมเสื้อแดงนั้นไร้ค่าเต็มที

มีสื่อและนสพ.ไทยน้อยรายที่จะพูดเรื่องนี้ ราวกับว่าพวกเขาพากันเจ็บป่วยจากอาการสายตาพิการรวมหมู่

ในขณะที่ประเด็นที่สื่อให้ความสนใจกันอย่างยิ่ง กลับกลายเป็นเรื่องพฤติกรรมของนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำเสื้อแดงที่ถูกวิจารณ์ว่ากระทำตัวไม่เหมาะสม นอกจากจะนำพาคนเสื้อแดงไปพบกับความตายแล้ว ในนาทีวิกฤติของการปะทะก็ยังไม่รับผิดชอบทอดทิ้งมวลชนเอาตัวรอด รวมทั้งเรื่องการมีคนเสื้อดำมีอาวุธแอบแฝงอยู่ข้างทางบวกกับการที่คนเสื้อแดงบางคนมีปืนพกตามคลิปข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีร่า

จริงอยู่สิ่งที่นสพ.และสื่อไทยหยิบยกมารายงานแทบทุกเรื่อง ล้วนมีช่วยช่วยเติมข้อมูลให้กับสังคม แต่น่าสนใจว่า การใช้ความเป็นมืออาชีพแบบเลือกสรร กล่าวคือขยายส่วนเลวและผิดพลาดของฝ่ายใดฝ่ายเดียวในความขัดแย้งนี้ และพร้อมที่จะยอมรับคำอธิบายแบบง่ายๆหรือบางครั้งแทบจะไร้ที่มาที่ไปของอีกฝ่ายหนึ่ง ดูจะเป็นวิธีการทำงานของสื่อที่เห็นได้ชัด

วิธีการรายงานข่าวเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนนั้น ความสนใจของสื่อต่อประเด็นเรื่องความตายของคนเสื้อแดง การสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเกินจริง และการขนอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ากรุงเทพฯมากมายด้วยเจตนาที่มองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่าจะใช้กับฝูงชน ถูกบดบังอย่างสิ้นเชิงด้วยความสนใจที่พุ่งเป้าไปที่ประเด็นการตามหาคนเสื้อดำที่ยิงทหารตายและขัดขวางการสลายการชุมนุม (ด้วยกำลัง) ของเจ้าหน้าที่

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องของการรายงานข่าวกรณีการ์ดนปช.บุกตรวจค้นรพ.จุฬาซึ่งแน่นอนว่าเป็นการกระทำที่สมควรถูกประนามอย่างยิ่งเพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่มีปัญหาเจ็บป่วยอยู่แล้ว และหลายคนอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่การรายงานข่าวของสื่อดูจะประสานเสียงกัน ให้ภาพที่สร้างความสะเทือนอารมณ์ประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงกลุ่มที่เข้าไปยังรพ.จุฬานั้นไปเพื่อไล่ล่าทำร้ายคนในรพ.อย่างป่าเถื่อน โหดร้าย ลุแก่โทสะ ไม่ยั้งคิด และเสื้อแดงเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใส่ใจกับชีวิตของคนอื่น เนื่องจากวิธีการนำเสนอข่าวที่เต็มไปด้วยภาพที่แสดงความสุดโต่งของเหตุการณ์

อันที่จริงการรายงานของสื่อในประเด็นความเดือดร้อนของโรงพยาบาลนั้น กล่าวได้ว่าให้รายละเอียดได้มากเป็นอย่างยิ่งจนน่าชื่นชม เพราะมีทั้งแอคชั่นและความเห็นแทบทุกแง่ทุกมุมจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมโดยเฉพาะบุคคลากรต่างๆในรพ.ที่พากันขวัญเสีย แม้กระทั่งความเห็นของผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่อึดอัดคับข้องใจจากการทำข่าวท่ามกลางกลุ่มคนเสื้อแดงและถูกท้าทายจากแกนนำคนเสื้อแดงกรณีมีทหารในโรงพยาบาลจริงหรือไม่และที่ไปออกในบลอคชื่อ “คนสามัญประจำเมือง” ก็มีนสพ.นำไปเล่นกันต่อหลายฉบับ ความน่าเชื่อถือของสื่อคงจะได้รับการหนุนเสริมอีกมาก

แต่หากสื่อจะใช้ความเป็นมืออาชีพของตนในฐานะสื่อสารมวลชน สื่อควรจะต้องรายงานให้รอบด้าน หรืออย่างน้อยก็ควรจะต้องได้ทั้งสองด้านในความขัดแย้งนี้ และด้านหนึ่งที่ดูเหมือนจะตกหล่นไปอย่างสำคัญก็คือคำถามที่ว่า เหตุใดคนเสื้อแดงจึงเชื่อว่ามีทหารอยู่ภายในรพ.ถึงกับต้องลุยเข้าไปตรวจค้นสร้างความแตกตื่นโกลาหลขนาดนั้น

เป็นที่รู้กันว่ารพ.จุฬานั้น แม้บุคคลากรส่วนใหญ่อาจจะพยายามรักษาความเป็นวิชาชีพ ดังที่หลายคนได้นำป้ายมาแสดงเพื่อประท้วงคนเสื้อแดงให้ช่วยเคารพการทำงานของพวกเขา แต่เหตุการณ์หลายอย่างกลับให้ภาพรพ.จุฬาอีกด้านหนึ่ง

ที่รพ.นี้เองที่แพทย์ของรพ.เคยออกมาประกาศว่าจะร่วมมือกับเพื่อนๆบุคคลากรที่เป็นหมอและพยาบาลในรพ.อีกหลายแห่งไม่รับรักษาตำรวจที่บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ 7 สค. 2552 ซึ่งเป็นการแสดงอาการของผู้ที่ไม่ได้เคารพในวิชาชีพของตนเองอย่างแท้จริง

แพทย์ในรพ.จุฬายังออกมาเคลื่อนไหวในทางการเมือง คือ นพ.พีร์ เหมะรัชตะที่ใช้เฟสบุคล่ารายชื่อเพื่อนๆเสนอให้มีการสอบหมอที่ไปช่วยเจาะเลือดคนเสื้อแดงและเร่งให้เอาผิดถึงขนาดจะไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์ ทั้งแกนนำของกลุ่มคนเสื้อหลากสีหรืออันที่จริงก็คือคนเสื้อเหลืองคือนพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ก็เป็นแพทย์ของโรงพยาบาลจุฬา

แม้รพ.จะชี้แจงว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวส่วนตัวไม่เกี่ยวกับองค์กรแต่ก็ยากที่จะไม่ทำให้ภาพขององค์กรกระทบไปด้วย คนเสื้อแดงบางรายยังสงสัยถึงขนาดว่า ต้นตอของจุดยิงระเบิด M 79 ในวันที่ 22 เมษายนซึ่งฝ่ายรัฐบาลชี้นิ้วไปที่ฝ่ายเสื้อแดงนั้นอันที่จริงอาจจะมาจากรพ.จุฬาก็ได้

ทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างรพ.จุฬากับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ร้าวฉานและสถานะของรพ.ในสายตาพวกเขาที่ขาดความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพ เมื่อบวกกับการที่คนเสื้อแดงรู้สึกว่าตนถูกคุมคามยิ่งย่อมเพิ่มน้ำหนักให้ความสงสัยและกลายเป็นที่มาของพฤติกรรมที่ไม่สามารถจะแก้ตัวได้ในปัจจุบันแม้ว่าอาจจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากนักที่จะทำความเข้าใจ

ทว่าในเวลาเดียวกันบทบาทของบุคคลากรในรพ.จุฬาที่ส่งผลกระทบต่อสถานะขององค์กรและวิชาชีพของพวกเขาก็ไม่มีสื่อกล่าวถึงอีกเช่นกัน มีแต่เพียงการยอมรับคำอธิบายของรพ.ที่พูดอย่างแกนๆว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

การนำเสนอข่าวอย่างลำเอียงนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นการบิดเบือนข่าวอย่างโจ๋งครึ่ม แค่การเลือกบางเรื่องบางประเด็น แสร้งลืมบางอย่าง โหมกระพือบางกรณีโดยไม่คำนึงถึงความรอบด้านจนทำให้เกิดอาการเสนอข่าวเฉพาะประเด็นที่ล้นเกินปริมาณที่ควรจะเป็น - out of proportion – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทำร่วมกันอย่างเป็นหมู่คณะและไม่มีใครดึงรั้งสติใครกลับได้ จุดนี้จะยิ่งกลายเป็นบูมเมอแรงส่งแรงกระแทกเข้าหาตัวเอง

คนทำสื่อจำนวนหนึ่งบ่นว่าเสรีภาพของสื่อที่ได้ต่อสู้เรียกร้องกันมาอย่างยากเย็นในหลายสิบปีที่ผ่านมาถูกคุกคามเพราะการกระทำของสื่อทางเลือกที่รายงานข่าวแบบไม่รับผิดชอบทำให้วงการสื่อเสียชื่อ การออกแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวในกรณีที่รัฐบาลสั่งปิดพีทีวียังคงเป็นประเด็นที่สมาชิกหลายคนของสมาคมไม่พอใจ

เห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นที่แตกแยกในกลุ่มนสพ.เป็นอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องจะรับมือเรื่องสื่อทางเลือกอย่างไร หลายคนในหมู่รัฐบาลและสื่อส่วนหนึ่งเห็นไปว่าสื่อทางเลือกคือตัวปัญหา แต่สิ่งที่คนทำสื่อจำนวนหนึ่งไม่ได้ตระหนักหรือว่ายอมรับก็คือ สื่อทางเลือกที่ผลุดโผล่กันเป็นดอกเห็ดในระยะหลังนี้เป็นผลพวงของความด้อยประสิทธิภาพของสื่อกระแสหลักนั่นเอง ซึ่งทำให้ในที่สุดผู้คนในสังคม และไม่ลำพังเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง จำเป็นต้อง DIY/ Do it yourself หรือลุกขึ้นมาทำสื่อเสียเอง

ทั้งนี้เพราะวิธีการนำเสนอข่าวที่ไม่ตอบโจทก์ความปรองดองของสังคมที่บรรดา “มืออาชีพ” ในวงการสื่อกระแสหลักพอใจกันอยู่ทุกวันนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล

ในพื้นที่ความขัดแย้งอื่นเช่นภาคใต้

อาการป่วยเพราะไข้สื่อใส่ไฟก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากรมุสลิมที่ถูกทำให้รู้สึกเป็นอื่นถูกยันไว้ให้มีระยะห่างจากรัฐไทยด้วยประสบการณ์กับสื่อในทำนองเดียวกันกับที่เกิดกับคนเสื้อแดง

ในความสูญเสียคือการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนทั้งพุทธและมุสลิม สื่อเลือกที่จะเป็นตัวแทนของคนกลุ่มเดียวคือคนพุทธ แสดงภาพความสูญเสียของพวกเขาอย่างท่วมท้น แต่แทบจะเรียกได้ว่าเฉยเมยต่อความสูญเสียของมุสลิม

ครอบครัวมุสลิมที่ถูกฆ่ายกครอบครัวเก้าศพยังไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเทียบเท่ากับศพๆหนึ่งของพุทธ

การสังหารหมู่มุสลิมสิบเอ็ดศพที่หมู่บ้านไอปาร์แย หมู่บ้านเล็กๆที่ห่างไกลในนราธิวาส จนบัดนี้การสืบสวนสอบสวนก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน และไม่มีสื่อรายไหนในกรุงเทพฯที่สนใจติดตามเรื่องคดีของมุสลิมอย่างจริงจังเสมือนว่าพวกเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง

วันนี้สิ่งที่สื่อกระทำในส่วนของรายงานเรื่องคนเสื้อแดงก็ไม่ต่างจากรายงานที่พวกเขาทำในเรื่องราวของมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

เสียงเรียกร้องให้จัดการปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใส่ใจผลกระทบที่จะเกิดกับชีวิตประชากรในพื้นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ในกรุงเทพฯ กลุ่มเสื้อหลากสีเริ่มร้องเพลงชาติ ขณะที่รัฐบาลบอกว่าเสื้อแดงมีกลุ่มล้มสถาบันแอบแฝง และพธม.เรียกร้องให้ใช้กฏอัยการศึกจัดการกลุ่มคนเสื้อแดง

ทั้งหมดล้วนบ่งบอกนัยนะว่าคนเสื้อแดงกำลังถูกมองเป็นอื่น เป็นศัตรูไม่ใช่คนไทยและสามารถจะละเลยคุณค่าของชีวิตพวกเขาได้ ด้วยวิธีการนำเสนอข่าวแบบที่ทำอยู่

สื่อกำลังเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้วิธีคิดเช่นนี้

คงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีคนไม่น้อยเห็นว่า สื่อไทยปัจจุบันเป็นสื่อเสื้อเหลืองและร่วมเล่นเกมช่วยเสื้อเหลือง ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงเองคงจะยิ่งเข้าใกล้ข้อสรุปที่ว่าสื่อกระแสหลักคือศัตรูของพวกเขาเข้าไปทุกขณะ การเลือกข้างของบรรณาธิการยิ่งทำให้การทำงานของนักข่าวภาคสนามลำบากหนักขึ้นเช่นที่เห็นตัวอย่างจากนักข่าวที่อยู่ในวงเสื้อแดง

ไม่วาจะรู้ตัวหรือไม่ พวกเขาก็กำลังช่วยกระพือภาพคนชั้นกลางที่ตนเลือกเป็นกระบอกเสียงให้เห็นว่า พวกเขาเป็นคนที่ไร้สามัญสำนึกมากขึ้นทุกวัน
โดย. ส หัตถา
....................................................................