--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้สื่อข่าวBBCรายงานบรรยากาศการชุมนุมเสื้อแดง

ราเชล ฮาร์วี่ย์ ผู้สื่อข่าว BBC รายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ปักหลักประท้วงอยู่ในกรุงเทพฯ นาน 6 สัปดาห์แล้วว่า ได้มีการปะทะรุนแรงกับตำรวจและทหาร ขณะที่รัฐบาลไม่ยอมจำนนต่อข้อเรียกร้องและการที่คนเสื้อแดงยังคงรวมตัวกันอย่างแข็งแกร่งอยู่มากนั้น ก็ดูเหมือนเหตุการณ์นองเลือดยังคงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องต่อไป

ฮาร์วีย์ ระบุว่า เมื่อมีการประท้วงทางการเมืองที่ยืดเยื้อในย่านใจกลางเมืองหลวง ซึ่งเป็นทั้งที่ทำงานและดำรงชีวิตประจำวัน ก็อาจเสี่ยงอันตรายได้ แน่นอนว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ได้เข้ามามีอิทธิพลต่อการทำงานของเธอด้วยเช่นกัน ทุกเช้า เธอจะต้องเข้าไปรายงานข่าวการเคลื่อนไหวของพวกเขา ในย่านที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมและห้างสรรพสินค้าหรู ส่วนตอนเย็น เธอก็ยังต้องขึ้นรถไฟฟ้าขบวนเดียวกับผู้ประท้วงบางคนอีก

ฮาร์วีย์ ได้พูดถึงภายในสถานที่ชุมนุมของคนเสื้อแดงว่า ยังคงมีอาหารฟรี , ห้องสุขาเคลื่อนที่ ,บริการนวดคลายปวดเมื่อย และที่สำคัญคือ เวทีขนาดใหญ่สำหรับบรรดาแกนนำ ในการขึ้นไปปราศรัยด้วยถ้อยทำรุนแรงต่อต้านรัฐบาล สลับกับการบรรเลงเพลงที่ส่งเสียงดังสนั่นอย่างเหลือเชื่อ


ที่มา.เนชั่น
************************************************

แกนนำแดงย้ำลอกคราบเสื้อ-เสธ.แดงแนะฤกษ์ดีปฏิบัติการ30เม.ย.

แกนนำปลุกสู้ยืดเยื้อเน้นลอกคราบเสื้อแดง "เหวง"ลับลวงพรางหวังชนะ "จรัล"โวซ้ำยังไงก็ชนะ "เสธ.แดง"เห็นด้วย แนะปฏิบัติการใน30เม.ย.ทหารเกณฑ์ปลด

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 06.00 น. ยังคงผลัดเปลี่ยนกันขึ้นเวทีปราศรัย และรายการเล่าข่าวบนเวทีนำเนื้อหาจากหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาแต่ละฉบับให้คนเสื้อแดงรับรู้ท่าทีการเคลื่อนไหวของรัฐบาล และสังคมต่อการชุมนุมของกลุ่มนปช.

ส่วนการปราศรัยยังคงเน้นประเด็นรัฐบาลปฏิเสธเจรจาไม่รับข้อเสนอยุบสภาภายใน 30 วัน ขณะเดียวกันยังคงมีการปลุกผู้ชุมนุมได้ร่วมต่อสู่กันต่อไปเพื่อให้รัฐบาลยุบสภาตามที่คนเสื้อแดงเรียกร้อง เนื่องจากเกรงจะมีการเข้าสลายการชุมนุม

เมื่อเวลา 07.30 น. คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ยังคงทำกิจกรรมส่วนตัว เช่น อาบน้ำ เข้าแถวรับอาหารตามเต็นท์ และนำรถปิกอัพขนเข้ามาแจกจ่ายตามจุดต่างๆ ขณะเดียวกันบนเวทีก็ยังปราศรัยเน้นให้คนเสื้อแดงสามารถเปลี่ยนการใส่เสื้อสีอื่นได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นเสื้อสีแดงอย่างเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงสวมใส่เสื้อสีแดงอยู่

เวลา 08.00 น. นายจรัล ดิษฐาอภิชัย แกนนำ นปช.ขึ้นเวทีปราศรัยว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงรวมเวลาเป็นวันที่ 43 รัฐบาลรายงานข่าวกลางวันเหลือผู้ชุมนุม 6 พัน กลางคืนเหลือหมื่นกว่า ขอบอกว่าไม่จริง

"จะมีการปราบหรือไม่ปราบก็อยากบอกว่าที่สุดแล้วเราจะได้รับชัยชนะ เพราะขบวนการของ นปช.ถือเป็นขบวนการที่ใหญ่ที่สุด ย่อมไม่แพ้ ยังคงต้องมีการต่อสู้ทุกรูปแบบ เชื่อว่ายังจะมีคนทยอยเข้ามาร่วมด้วยกันอีกต่อไปในการต่อสู้ที่มีแนวโน้มจะยืดเยื้อ" นายจรัล กล่าว

"พายัพ" ปลุกระดมมวลชนไม่ชนะไม่กลับบ้าน

เมื่อเวลา 09.50 น.นายพายัพ ปั้นเกตุ แกนนำ นปช.ขึ้นเวทีปราศรัยว่า มีการประเมินรัฐบาลชุดนี้จะไปไม่รอด ตำรวจส่วนใหญ่ที่อยู่ต่างจังหวัดส่วนมากมันก็ไม่อยากมาเข้ามาจัดการกับคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์หรอก โทรศัพท์เข้ามาหาหลายรายให้ช่วยสกัดหน่อย เพราะไม่อยากเข้ามา ดั้งนั้นก็ยังมีตำรวจมะเขือเทศ ทหารแตงโมคอยอยู่ข้างเราอยู่ที่ไม่อยากเข้ามาปราบคนเสื้อแดง อย่างไรก็ตามคนเสื้อแดงจะประมาทสถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้และถ้าไม่ชนะเราไม่กลับบ้านโดยเด็ดขาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายขวัญชัย ไพร่พนา ทำหน้าที่ผู้ประกาศบนเวทีได้ปราศรัยตลอดเน้นเรียกร้องให้มีการสกัดทหาร ตำรวจทั่วประเทศที่จะเดินทางเข้า กทม.เพื่อป้องกันไม่ไห้มีการเข้าสลายผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์

"เหวง"บอกแดงลอกคราบเป็นนักรบลับลวงพรางหวังชนะ

เมื่อเวลา 10.20 น. หมอเหวง โตจิราการ แกนนำขึ้นปราศรัยว่า รัฐบาลเตรียมใช้กำลังทหารตำรวจจากทั่วประเทศประมาณ 3-4 หมื่นนาย เข้ามาสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ อยากให้พวกเราไม่ต้องสวมใส่เสื้อสีแดงไม่ต้องติดสัญลักษณ์สีแดง เปลี่ยนเป็นชุดนักรบนอกเครื่องแบบป้องกันการล้อมปราบ ตรงนี้เป็นการลับ ลวง พรางแบบหนึ่งหลังจากได้รับชัยชนะค่อยกลับมาใส่เสื้อแดงใหม่ย่อมทำได้

"เราอย่าได้สร้างเงื่อนไขใดที่จะทำให้คนเสื้อแดงไม่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ เพราะโจทย์ใหญ่คือการจะทำอย่างไรให้มีคนเสื้อแดงเข้ามาร่วมกันเป็นเรือนแสนตรึงคนเอาไว้ป้องกันการล้อมปราบจากรัฐบาลเป็นเหมือนกับการได้ชัยชนะแบบไม่ต้องรบ" หมอเหวง กล่าว

เสธ.แดง"แนะฤกษ์ดีปฏิบัติการภายใน30เม.ย

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์บริเวณหลังเวทีการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ หลังจากเดินสำรวจการรักษาความปลอดภัยของการ์ดเสื้อแดง ว่า ยุทธวิธีให้ผู้ชุมนุมเปลี่ยนจากเสื้อสีแดง เป็นเสื้อสีอื่นนั้น ดีที่ชาญฉลาด แต่ตนเห็นว่ายังเป็นไปไม่ได้ทหารจะใช้กำลังสลายกลุ่มเสื้อแดงในขณะนี้ เนื่องจากต้องใช้กำลังทหารกว่า 40,000 นาย แต่ขณะนี้กำลังไม่พอ

"การชุมนุมจะยืดเยื้อต่อไปหรือไม่อยู่ที่แนวทางของสามเกลอ ขอแนะนำให้แกนนำหากจะปฏิบัติการใดก็ควรทำภายในวันที่ 30 เมษายนนี้ ซึ่งเป็นวันที่กองกำลังทหารจะปลดประจำการ ขณะที่ทหารใหม่นั้นต้องฝึกอีกกว่า 10 สัปดาห์"

ด้านนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เปิดเผยว่า กลุ่มคนรักอุดรจะเดินทางเข้าร่วมชุมนุมที่แยกราชประสงค์อีกกว่า 3,000 คน รวมทั้งผู้ชุมนุมจาก จ.ขอนแก่นอุบลราชธานี จากจังหวัดอื่นๆ ด้วย โดยทั้งหมดจะเดินทางถึงกรุงเทพมหานครก่อนเวลา 18.00 น.ของวันนี้ อย่างไรก็ตามมีผู้นำเสื้อผ้าสีอื่นๆ มาบริจาคที่หน้าเวทีด้วย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
********************************************

แดงตื่น ฮ.บินวนพื้นที่ เร่งจุดพลุปล่อยโคม

นพ.เหวง กล่าวว่า การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุมีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวในการชุมนุมของกลุ่ม นปช.เป็นการแสดงที่ด้อยวุฒิภาวะ ขณะที่ชายชุดดำ 3-4 คน วันนี้ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง ส่วนการยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 เข้า ศปก.ส่วนหน้าที่เข้าเป้าอย่างแม่นยำตรงนี้คนเสื้อแดงคงไม่รู้ว่า ศปก.ส่วนหน้าตั้งอยู่ที่ไหน แต่การยิงอย่างแม่นยำย่อมมองได้ว่าผู้ยิงรู้สถานที่ตั้ง เวลาการประชุม เป้าหมาย ซึ่งน่าจะเป็นทหารด้วยกันหรือทหารใน ศอฉ.ที่เขารู้ดีเกี่ยวกับสถานที่เวลาและที่ตั้ง ที่ยิงก็เพราะไม่พอใจการที่ทหารใช้กำลังเข้าสลายผู้ชุมนุมจึงต้องเข้าไปจัดการ

สำหรับกรณีของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธแดงนั้น นพ.เหวง กล่าวว่า การดำเนินการใดๆของ 2 คน ย่อมไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง เสธแดง เองทางกลุ่มคนเสื้อแดงได้ปฏิเสธตัดความสัมพันธ์ไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ส่วน พล.อ.ชวลิต ท่านเองก็หวังดีอยากให้บ้านเมืองมีทางออกในลักษณะที่พิเศษ อย่างไรก็ดีอย่าเอาความคิดของบิ๊กจิ๋วมาเกี่ยวข้องกับทางคนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินอีก เพราะไม่เกี่ยวข้องกันเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงการแถลงข่าวได้มีเฮลิคอปเตอร์บินวนรอบพื้นที่การชุมนุมสร้างความแตกตื่นให้กับกลุ่มคนเสื้อแดงมีการโห่ร้องจุดพลุ ปล่อยโคมไฟขึ้นท้องฟ้าเพื่อสกัดกั้นการบิน เพราะเกรงว่าจะมีการเข้ามาสลายการชุมนุม ทำให้นพ.เหวงต้องประกาศผ่านไมค์เรียกร้องให้ประชาชนอยู่ในความสงบอย่าตื่นตกใจหากจะทำก็เพียงการโห่ร้อง ขณะที่นายขวัญชัยได้ขึ้นเวทีปราศรัยประกาศระดมคนเสื้อแดงที่เคลื่อนที่ไปพื้นที่อื่นกลับมายังราชประสงค์ เพราะเกรงจะมีการเข้ามาสลายเช่นกัน



ที่มา.เนชั่น
*********************************************

กทม.ร่วมกับปชช.ย่านคอกวัวทำบุญให้เหยื่อเหตุ10 เม.ย.

ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมประชาชนที่อาศัยบริเวณสี่แยกคอกวัวและพื้นที่ใกล้เคียง ร่วมกันทำบุญอุทิศส่วนกุศลใกล้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกันเมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา โดยมีการทำบุญใส่บาตร ถวายปัจจัย พร้อมสวดเจริญพระพุทธมนต์และให้พรกับประชาชน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา

โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า การทำบุญดังกล่าวเป็นการเร่งฟื้นฟูสภาพจิตใจประชาชนจากเหตุการณ์ดังกล่าวช่องทางหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ความเสียหายต้องเยียวยาแบ่งเป็น 2 ประเภท โดยด้านกายภาพ สถานที่ต้องซ่อมแซมและปรับปรุงแก้ไขบางจุด ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จก่อนวันที่ 5 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันฉัตรมงคล และจะมีพิธีการในจุดดังกล่าวด้วย ส่วนด้านที่สอง คือสภาพจิตใจประชาชน ในย่านดังกล่าวที่รู้สึกหดหู่ ทางกรุงเทพมหานครจะมีการเข้ามาฟื้นฟูสภาพจิตใจ โดยด่วนแต่ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองด้วย

อย่างไรก็ตาม ทางสำนักงานเขตพระนครและผู้ประกอบการถนนข้าวสาร ได้ร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตและสูญเสียจากเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อวานที่ผ่านมา


ที่มา.เนชั่น
************************************************

พาดหัวสื่อนอก จับตากรณีอภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอผู้ชุมนุม

สื่อนอกจับตาวิกฤตการเมืองไทย พร้อมใจพาดหัวหน้าแรกกรณีนายกไทยปฏิเสธข้อเสนอ นปช. โดยเนื้อหาในทิศทางเดียวกันคือ นายกรัฐมนตรีหรือรัฐบาลปฏิเสธข้อเรียกร้องหรือข้อเสนอออกจากวิกฤตการเมืองจากฝ่าย นปช. รอยเตอร์ระบุ นายกไทยปฏิเสธข้อเสนอสันติของผู้ชุมนุม เทเลกราฟฟันธงใกล้สงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที

BBC พาดหัวว่า "นายกฯ ไทยปฏิเสธข้อเสนอของผู้ชุมนุม" (Thailand PM rejects protesters' offer) โดยรายงานว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิเสธข้อเสนอของกลุ่มเสื้อแดง ที่เสนอขยายเวลาให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 30 วัน จากเดิมที่เรียกร้องให้ยุบสภาภายในทันทีนอกจากนี้ยังได้เรียกร้องให้มีการสืบสวนเหตุปะทะเมื่อวันที่ 10 เม.ย.

จากการรายงานของ BBC นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเขาไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าวเนื่องจากพวกเขาใช้ความรุนแรงและการคุกคาม ด้านแกนนำการชุมนุมกล่าวว่าพวกเขากลัวว่ารัฐบาลจะสลายการชุมนุม

ราเชล ฮาร์วีย์ ผู้สื่อข่าว BBC ในกรุงเทพฯ กล่าวว่าหนทางที่จะแก้ไขปัญหานี้อย่างสันติถูทำให้อายุสั้นลงไปเสียแล้ว และความตึงเครียดก็เพิ่มสูงขึ้นอีก

ทางด้าน Reuters ว่า "นายกฯ ไทยปฏิเสธข้อเสนอสันติของผู้ชุมนุม" (Thailand PM rejects protesters' peace offer) โดยรายงานว่ามีทหารจำนวนหลายพันนายถือปืน M-16 เฝ้าระวังเสื้อแดงอยู่ตามแยกต่าง ๆ กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลมักจะมาชุมนุมอยู่นอกเขตแนวกั้นและจุดฉนวนให้เกิดการปะทะกันโดยการด่าทอและขว้างปาขวดน้ำกันระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย

Telegraph ของอังกฤษมีรายงานพาดหัวว่า "ประเทศไทยใกล้เข้าสู่สงครามกลางเมืองเข้าไปทุกที เมื่อนายกฯ ที่เกิดในอังกฤษปฏิเสธเจรจากับ 'เสื้อแดง' ผู้ขึ้งโกรธ" (Thailand is close to civil war as its British-born PM rejects deal with angry Red Shirts)

โดยในรายงานของ Telegraph ระบุว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นชนชั้นสูงที่จบการศึกษาจากอ็อกฟอร์ด เข้าสู่ตำแหน่งโดยให้ความหวังว่าจะทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองและฟื้นฟูประชาธิปไตย แต่ตอนนี้เขาต้องหลบอยู่หลังรั้วลวดหนามในค่ายทหาร

ไมเคิล เนลสัน นักรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ กล่าวถึง ศอฉ. ผ่าน Telegraph ว่า พวกเขาเป็นเพียงคนวงในรัฐบาลกลุ่มเล็ก ๆ พวกเขาถูกโดดเดี่ยวอยู่ภายในค่ายทหาร และก่อหลุมหลบภัยทางใจให้กับตนเอง พวกเขาได้ยินแต่เสียงของตัวพวกเขาเองเท่านั้น

France24 พาดหัวว่า "รัฐบาลปฏิเสธข้อเสนอประนีประนอมของเสื้อแดง" (Government rejects compromise offer from 'red shirt' protesters) โดยโปรยว่านายกรัฐมนตรีไทย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปฏิเสธข้อเสนอเชิงประนีประนอม ให้ยุบสภาภายใน 30 วัน เพื่อให้ประชาชนเลิกชุมนุม

พาดหัวจากสื่ออื่น ๆ มีดังนี้

Bloomberg - นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ปฏิเสธเจรจากับผู้ประท้วง (Thai Premier Abhisit Rejects Talks With Protesters )
NHK - อภิสิทธิ์ปฏิเสธข้อเรียกร้องแบบประนีประนอมของเสื้อแดง (Abhisit rejects compromise demand by red shirts)
Aljazeera - นายกฯ ไทย ปฏิเสธข้อเสนอเสื้อแดง (Thai PM rejects red shirts' offer)
The Straits Times (สิงคโปร์) - นายกฯ ปฏิเสธการประนีประนอม (PM rejects compromise)
New Straits Times (มาเลเซีย) - นายกฯ ไทยปฏิเสธการประนีประนอมของเสื้อแดง (Thai PM rejects the Reds' Compromise)

ที่มา.ประชาไท
*******************************************

เสื้อเปื้อนเลือดในเมืองนางฟ้า

เหตุการณ์ความสูญเสียจากเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนที่มีผู้เสียชีวิต 23 คนเกิดขึ้นบนท้องถนนในกรุงเทพฯ ซึ่งคนเสื้อแดงก็ยังคงปักหลักยึดพื้นที่ช็อปปิ้งแห่งสำคัญอยู่แม้ว่าทหารจะขู่ว่าจะยิงพวกเขาก็ตาม ในขณะที่นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เขายังคงเปิดโอกาสสำหรับการเจรจา และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา บอกว่า เขาต้องการการแก้ปัญหาทางการเมืองและจะไม่มีแผนในการเข้าสลายการชุมนุมที่ทำให้เกิดการปะทะอีก

ในดินแดนแห่งรอยยิ้มนี้ คนไทยชอบชี้ให้คนอื่นเห็นถึงธรรมชาติอันสันติของตัวเองอยู่เสมอ แต่คำถามคือ ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นต่อไป เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้หรือไม่?

ปัจจัย 2 ประการที่ทำให้ความรุนแรงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หนึ่ง ความรุนแรงฝังแน่นอยู่ในตัวคนไทย แต่คนไทยก็ไม่ใส่ใจยอมรับมัน สอง เหล่าชนชั้นนำและส่วนที่หนุนหลังนายอภิสิทธิ์เข้าใจผิดคนเสื้อแดง โดยชนชั้นนำเห็นว่า คนเสื้อแดงเป็นชนชั้นล่างที่ยังไม่ได้ชำระล้างความสกปรก ตกอยู่ภายใต้การชักจูงของทักษิณ ชินวัตรแต่ในความเป็นจริง ผู้ประท้วงมีความจริงจังและเอาเป็นเอาตายกับการท้าทายชนชั้นนำที่นำพาประเทศอย่างยิ่ง

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นก่อนในครั้งนี้ก็คือ การยิงเมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งมีทหาร 5 คนและผู้ประท้วงอีก 18 คนเสียชีวิต มันได้ดึงภาพความน่ากลัวของการเข่นฆ่าคนบริสุทธิ์โดยทหารซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2516 2519 และ 2535

แม้ว่าจะเป็นความจริงที่ในครั้งนี้ทหารได้แสดงให้เห็นถึงความอดทนอยู่บ้าง และมันเป็นครั้งแรกที่ทหารใช้วิธีการควบคุมฝูงชนแบบทันสมัยขึ้นจากในอดีต เช่น การฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง แต่ฝูงชนปฏิเสธที่จะสลายการชุมนุม แต่ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อกองทัพติดอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยพลเรือนหลังช่วงหัวค่ำ ผู้บัญชาการที่ฉลาดย่อมรู้ว่าเขาเป็นส่วนผสมของความหายนะ ทหารยิงเข้าใส่ฝูงชนเพื่อป้องกันตนเอง (พวกเขาพูด) เพื่อสู้กับ “ผู้ก่อการร้าย” ติดอาวุธ จากนั้นทหารต้องหนีเอาชีวิตรอด ละทิ้งการตั้งแถวแห่งเหรียญตราอาชีพทหาร การถูกทำลายศักศรีครั้งนี้เชื่อได้ว่าทหารระดับรองต้องการแก้แค้น

ความรุนแรงไม่ได้ถูกผูกขาดโดยการทหารอย่างเดียว ประเทศไทยสามารถเป็นประเทศแห่งความชั่วร้าย อาชญากรรม และการใช้ความยุติธรรมอย่างไม่รอบคอบซึ่งมีให้เห็นมากมาย มือปืนหาง่าย ทหารนอกแถวที่เป็นผู้มีอิทธิพลมีอยู่ดาษดื่น ภายใต้รัฐบาลทักษิณเกิดการวิสามัญฆาตกรรมที่มีผู้เสียชีวิตนับพันคนของผู้ต้องสงสัยเรื่องยาเสพติดและอาชญากรรมอื่นๆ

ในช่วงเริ่มต้น คนเสื้อแดงอาจมีภาพของความเป็นผู้ร้ายอยู่บ้าง แต่ตอนนี้คนเสื้อแดงส่วนใหญ่มีระเบียบวินัย พวกเขาตระหนักว่าภาพพจน์มีความหมายมาก ในขณะที่ยังมีคนส่วนน้อยถือไม้ยาวๆ มีด และขวดน้ำมัน ทันใดนั้น วันที่ 10 เมษายน “ชายชุดดำ” ลึกลับก้าวเข้ามาในการต่อสู้ โดยเก็บผู้บัญชาการด้วยปืนไรเฟิลแรงสูง
คนไทยบางส่วนโทษว่าเป็นพวก “มือที่สาม” ต้องการกวนความยุ่งยากนี้ให้ขุ่นครั่กมากขึ้น บางส่วนกล่าวอ้างว่าคนพวกนั้นถูกทักษิณจ้างมา หรือบางทีอาจเป็นพวกเลือดร้อนเรียกกำลังเสริมเข้ามาสู้กับกองทัพแล้วก็ทำสำเร็จ ส่วนคำอธิบายของฝ่ายเสื้อแดงนั้น ทหารเป็นผู้ร้ายจากการใช้กระสุนจริงยิงประชาชนที่ไม่มีอาวุธ ในตอนนี้การเคลื่อนไหวมีผู้เสียสละตนเองแล้ว ใบหน้าของผู้เสียชีวิตปรากฎบนโปสเตอร์ และมีบันทึกวีดีโอของผู้เสียชีวิต
ฝ่ายกองทัพและฝ่ายผู้ชุมนุมต่างก็มีการกล่าวโทษกันทั้งคู่ และในตอนนี้ หลังจากหลายเดือนผ่านไปกลุ่มเสื้อเหลือง หรือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกลับมาแล้ว คนเหล่านี้เป็นฝ่ายสนับสนุนชนชั้นนำที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีคนส่วนน้อยเป็นการ์ดและเรียกตัวเองว่าเป็นนักรบ ครั้งหนึ่งพวกเขาใช้ปืนและระเบิดกับตำรวจและสะสมไม้กอล์ฟไว้ใช้เป็นอาวุธ

วันที่ 18 เมษายน แกนนำพันธมิตรเรียกร้องให้ประกาศกฎอัยการศึก และให้เวลารัฐบาลหนึ่งสัปดาห์ให้สลายการชุมนุม ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาจะสั่งเรียกระดมคนของเขาให้กลับมาบนท้องถนนอีกครั้ง สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เชื่อว่าสันติภาพยังมาไม่ถึง

ความหลงละเมออย่างดื้อรั้นของชนชั้นนำทางการเมืองจึงเป็นเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้สันติภาพอยู่ห่างไกล ในปี 2006 ชนชั้นนำร่วมกันขับไล่ทักษิณให้พ้นจากตำแหน่งด้วยการรัฐประหาร ในปี 2008 ขับไล่รัฐบาลที่ภักดีต่อทักษิณ และการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงก็ถือกำเนิดขึ้นมาจากการกระทำต่างๆ เหล่านั้นเอง

นายอภิสิทธิ์ ชนชั้นนำที่เหมือนกับชนชั้นนำคนอื่นๆ ผู้ที่คับข้องใจกับคนเสื้อแดง เขาตั้งคำถามว่าคนเหล่านี้ซึ่งมาจากส่วนล่างของสังคมถึงยอมให้มหาเศรษฐีพันล้าน (ของประชาชนทั้งหมด) มาเคลื่อนไหวผลักดันให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้น? เขาบอกว่า “ทักษิณ” ไม่ควรพูดไปในทางที่จะสร้างความเกลียดชังระหว่างคนรวยกับคนจน สังคมควรจะอยู่ร่วมกันอย่างปกติ ตราบเท่าที่ประชาชนทุกคนทำงานของตนเอง

การเมืองไทยอาจเป็นประชาธิปไตยที่ปกครองโดยชนชั้นนำผู้กล่าวอ้างถึงการปกป้องสถาบันกษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกัน ตนเองก็สะสมความมั่งคั่งและใช้อภิสิทธิ์มาโดยตลอด

การต่อสู้ที่หลักแหลมครั้งนี้ มีการใช้คำที่มีความหมายดูถูกเหยียดหยามตัวเอง คนเสื้อแดงเรียกตัวเองว่า “ไพร่” หรือก็คือ “สามัญชน” คล้ายๆ กับที่คนผิวดำอเมริกันถูกทำให้เป็นคนไม่มีสิทธิมีเสียง กลับมาใช้คำที่ดูถูกตัวเองว่า “นิกเกอร์”

แต่ในประเทศไทยนั้นไม่ได้มีประชาชนจำนวนมากมายที่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างสุดขั้ว และก็ไม่มีประชาชนจำนวนมากมายนักที่ยังไม่ได้ชำระล้างความสกปรกอย่างที่ชนชั้นนำคิด ชาวบ้านเสื้อแดงธรรมดาๆ บางส่วนจบการศึกษาระดับมัธยม มีรถปิ๊กอัพ และมีความคิดที่มีเหตุผลในการตั้งคำถามต่อเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง

แม้ว่านโยบายของทักษิณ เช่น หลักประกันสุขภาพทั่วหน้า เงินกู้ชุมชน และอื่นๆ ได้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในปัจจุบัน การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเติบโตไปกว่าทักษิณ

สิ่งนี้กลายมาเป็นการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังที่พุ่งสูงขึ้น และความคาดหวังหลักก็คือการผลักให้ชนชั้นนำกลับไปอยู่ในบทบาทที่เคยเป็นซึ่งดูเหมือนยังเป็นหนทางที่ยาวไกล และในวันนี้ดูเหมือนว่ายากจะหลีกเลี่ยงการนองเลือดบนท้องถนนของกรุงเทพ


แปลสรุปใจความจากบทความ “Bloody shirts in the city of angels” จาก The Economist
ที่มา.ประชาไท
****************************************************

"ซูจี"กระทบชิ่งไทย หลัง19กันยามีแต่ปัญหา อินโดฯเสนอตั้งรบ.เฉพาะกิจ จัดเลือกตั้งใหม่มีนานาชาติตรวจสอบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวต่างประเทศยังคงเกาะติดสถานการณ์การเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ส่วนใหญ่จะเห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดผ่อนคลายมากขึ้นหลังจากมีความพยายามจะเปิดการเจรจารอบใหม่กันขึ้น ก็ยังมีสื่อต่างประเทศบางส่วนเห็นว่า ความพยายามที่จะสลายการชุมนุมยังคงมีอยู่

หนังสือพิมพ์ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ รายงานโดยอ้างการเปิดเผยของแหล่งข่าวใกล้ชิดกับกองทัพไทยผู้หนึ่งระบุว่า การชุมนุมที่แยกราชประสงค์จะถูกแก้ไขแล้วเสร็จภายใน 48 ชั่วโมงนี้ โดยรายงานชิ้นเดียวกันนี้ระบุว่า รัฐบาลกำลังได้รับแรงกดดันจากหลายๆ ด้านให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดกรณียิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่พื้นที่สาธารณะที่ถนนสีลมก่อนหน้านี้

ทางด้านนางเหงียน ฟอง งา โฆษกกระทรวงต่างประเทศเวียดนาม เป็นประเทศล่าสุดที่แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ในไทย โดยระบุว่า ทางการเวียดนามในฐานะประธานอาเซียนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในไทยใช้ความอดทนอดกลั้น หลีกเลี่ยงจากความรุนแรงและแก้ไขความขัดแย้งด้วยการเจรจาอย่างสันติ เพื่อนำประเทศกลับสู่ความมีเสถียรภาพที่จะยังประโยชน์ให้แก่ชาวไทยทั้งมวล

ทางด้านสำนักข่าวอันตาราของทางการอินโดนีเซียเผยว่านายอับดิลเลาะห์โทฮาอดีตประธานองค์การความร่วมมือระหว่างรัฐสภา (บีเคเอสเอพี) ของอินโดนีเซีย ออกมาเรียกร้องให้สมาชิกของอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย รีบให้ความช่วยเหลือเพื่อแก้ไขสถานการณ์ในไทยโดยเร็ว

นายโทฮาระบุว่า สมาชิกอาเซียนที่ประกอบด้วย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ ซึ่งไม่ได้มีชายแดนติดกับไทย ควรรวมตัวกันเป็นทีมเฉพาะกิจ กระตุ้นให้เกิดการเจรจากันระหว่างฝ่ายขัดแย้งในไทย เพื่อหาทางออกที่คู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับ ซึ่งอาจจะเป็นการจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยมีคณะกรรมการนานาชาติทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบการเลือกตั้งที่อาจจะจัดขึ้นในช่วงเวลาที่คู่ขัดแย้งเห็นตรงกันระหว่างเวลานี้เรื่อยไปจนถึงเดือนธันวาคมปีนี้โดยระหว่างนั้นควรจัดให้มีรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมกันทำหน้าที่บริหารประเทศชั่วคราว

"ซูจี" ต้านรธน.ทหาร ยกตัวอย่างไทยหลัง 19 กันยา ชี้มีแต่รบ.ไร้เสถียรภาพ

ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นางออง ซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของประเทศพม่า ได้แสดงจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นภายในปีนี้ของรัฐบาลทหารพม่า โดยเปรียบเทียบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

ที่ผ่านมา พรรคเอ็นแอลดีได้แสดงจุดยืนต่อต้านรัฐธรรมนูญของรัฐบาลทหารและการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งทางพรรคจะสามารถเข้าร่วมได้ก็ต่อเมื่อต้องขับนางซูจีออกจากพรรคเสียก่อน ล่าสุดนายยาน วิน โฆษกพรรคเอ็นแอลดี ได้แถลงว่าจากการประชุมร่วมกับนางซูจีครั้งล่าสุดในวันที่ 24 เมษายน เธอได้อภิปรายถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งประสบกับหายนะหลังจากกองทัพก่อรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

"รัฐบาลใหม่ที่ขึ้นมามีอำนาจภายใต้รัฐธรรมนูญซึ่งเขียนโดยกองทัพนั้นจะไม่มีทางมีเสถียรภาพ ไม่ต้องดูอื่นไกล เราดูแค่สถานการณ์ในไทยก็ได้ ทักษิณคือผู้ที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา แต่กองทัพกลับยึดอำนาจจากคนที่ชนะการเลือกตั้ง แล้วรัฐธรรมนูญก็ถูกเขียนขึ้นมาใหม่โดยทหาร" นายยาน วิน อ้างคำกล่าวของนางซูจี

"หลังจากนั้น อะไรเกิดขึ้นกับรัฐบาลชุดแรกภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ของไทย? รัฐบาลชุดนั้นไร้เสถียรภาพ นี่คือผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยกองทัพ" นางซูจีกล่าวในที่ประชุม

อย่างไรก็ตาม โฆษกพรรคเอ็นแอลดีระบุว่า นางซูจีไม่ได้แสดงความเห็นว่ากลุ่มการเมืองใดคือฝ่ายถูกและฝ่ายผิดในเหตุการณ์ความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยซึ่งกลุ่มคนเสื้อแดงทีี่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณได้ออกมาเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา

ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

สภาสหภาพครูโวยไล่ขรก.ออกตอน58ปีไม่มีแรงทำอย่างอื่น แนะใช้เกณฑ์"เออร์ลี่รีไทร์"เดิมลดเงินขวัญถุงแทน

สภาสหภาพครูแห่งชาติโวยเออร์ลี่รีไทร์ขรก.ที่เหลืออายุราชการ 2 ปี เสียสิทธิเข้าร่วมโครงการอื้อ แนะใช้เกณฑ์เดิมให้ลดเงินขวัญถุง ระบุให้ออกตอนอายุ 58 ปี ไม่มีแรงไปทำมาหากินอย่างอื่น

จากกรณีที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) มีมติที่จะลดจำนวนข้าราชการลง 30% หรือประมาณ 6 แสนคน ภายใน 3 ปี และเปลี่ยนหลักเกณฑ์การเกษียณก่อน 60 ปี (เออร์ลี่รีไทร์) จากปัจจุบันที่ต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือรับราชการมาไม่น้อยกว่า 25 ปี เป็นผู้ที่อายุราชการไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น

เมื่อวันที่ 24 เมษายน นายพิษณุ ตุลสุข ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ (สพร.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) กล่าวว่า ตามขั้นตอนการปฏิบัติ หลังจากที่ คปร.มีมติเรื่องนี้ออกมาแล้ว จะต้องมีมติของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตามมาเพื่อกำหนดรายละเอียดหลักเกณฑ์ของโครงการ ซึ่งหน่วยงานราชการที่มีอัตราข้าราชการจำนวนมาก จะมีรายละเอียดหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากหน่วยงานราชการที่มีอัตราข้าราชการน้อย ในส่วนของ สพฐ. ซึ่งมีอัตรากำลังข้าราชการมาก จึงขอรอดูมติ ก.พ.ก่อนว่าจะกำหนดรายละเอียดอย่างไรบ้าง

นายพิษณุกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาตามเงื่อนไขเดิมของปีที่ผ่านมาที่กำหนดให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ได้ จะต้องมีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปหรือทำงานราชการมาแล้ว 25 ปีนั้น จะมีข้าราชการสังกัด สพฐ.ที่มีคุณสมบัติตรงตามหลักเกณฑ์สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ประมาณ 15,000 คน แต่หากปรับเปลี่ยนเกณฑ์ใหม่ว่าให้มีอายุราชการเหลืออยู่ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น จึงจะเข้าร่วมโครงการได้ สพฐ.ก็คงต้องมาคำนวณไล่อายุกันใหม่ว่าผู้ที่มีอายุ 58-59 ปีจะมีจำนวนเท่าใด ซึ่งไม่มั่นใจว่าจะลดลงเท่าใด ขณะที่รัฐบาลต้องลดอัตรากำลังข้าราชการถึง 6 แสนคน ภายใน 3 ปี ดังนั้น ต้องดูรายละเอียดของมติ ก.พ.อีกครั้ง จากนั้นตนจึงจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำรวจว่าจะมีข้าราชการสังกัด สพฐ.ที่ตรงตามหลักเกณฑ์ของ ก.พ.และสามารถเข้าร่วมโครงการได้สักกี่ราย

ด้านนายมานะ สุดสงวน ประธานสภาสหภาพครูแห่งชาติ กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ดังกล่าว เนื่องจากจะส่งผลให้ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ได้ จะต้องมีอายุ 58-59 ปีเท่านั้น ซึ่งช่วงอายุดังกล่าวไม่สามารถออกไปประกอบอาชีพอื่นได้แล้ว ต่างกับอายุ 50 ปีตามหลักเกณฑ์เดิม เมื่อออกจากราชการในช่วงอายุ 50 ไป ยังพอจะทำงานอื่นได้ ซึ่งจะสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัว และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจประเทศได้ ดังนั้น ส่วนตัวมองว่าควรจะคงตามหลักเกณฑ์เดิม เพียงแต่อาจจะลดเงินขวัญถุงที่จากเดิมให้ผู้ที่เออร์ลี่รีไทร์ คนละ 15 เท่าของเงินเดือน ก็อาจจะปรับลดลงบ้าง แต่ไม่ควรน้อยกว่า 12 เท่าของเงินเดือน ก็จะช่วยลดงบประมาณตามที่รัฐบาลต้องการได้

นายมานะกล่าวว่า แต่ขอฝากถึงรัฐบาลว่าอย่าไปเสียดายเงินที่จะจ่ายให้กับข้าราชการเหล่านี้ โดยเฉพาะกับข้าราชการครู เพราะกลุ่มนี้ได้ช่วยราชการมาถึง 25 ปีแล้ว ทางที่ดีควรลดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นมากกว่า รัฐบาลก็จะมีเงินมากมายที่จะจ่ายให้กับข้าราชการที่เออร์ลี่รีไทร์ได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์ และยังเหลือเงินเป็นจำนวนมากสำหรับการพัฒนาประเทศอีกด้วย แต่ปัญหาคือ ทุกรัฐบาลที่ผ่านมามีการทุจริตคอร์รัปชั่น

"หลังจากมีข่าวปรับเปลี่ยนเกณฑ์ว่าต้องมีอายุราชการเหลืออยู่ไม่เกิน 2 ปีเท่านั้น ถึงจะเข้าร่วมโครงการเออร์ลี่รีไทร์ได้ ส่งผลให้มีครูจำนวนมากโวยวายกับผมถึงความเสียเปรียบเพราะพวกเขามีอายุ 52-53 ปี ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2554 ได้ ต้องรอไปอีก 4-5 ปี ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะรอดหรือไม่" นายมานะกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีข่าว คปร.มีมติปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการเออร์ลี่รีไทร์ ทำให้มีข้าราชการจำนวนมากไม่พอใจ อาทิ มีข้าราชการสังกัด สพฐ.โทรศัพท์มาร้องเรียนกับ "มติชน" ว่าเสียสิทธิที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งปีที่ผ่านมาได้ยื่นความจำนงขอเข้าร่วมโครงการกับ สพฐ. แต่เพราะมีผู้เข้าร่วมโครงการมาก จึงไม่ได้รับการอนุมัติและได้รับการแจ้งว่าให้รอเข้าร่วมโครงการในปีงบประมาณ 2554 แต่เมื่อถึงเวลารัฐบาลกลับมาปรับเปลี่ยนเกณฑ์ดังกล่าว ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าโครงการได้


ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************

"จาตุรนต์"หนุนรัฐบาล-แกนนำเสื้อแดง เจรจารอบ 3 หวังยุติความเสียหายทั้งสองฝ่าย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวกรณีที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ เปิดการเจรจารอบ 3 ว่า ควรจะเป็นอย่างนั้นมาถึงขั้นนี้แล้ว เพราะการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.เห็นแล้วว่าทำให้เกิดการเสียหายทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถหยุดการชุมนุมได้ ทั้งนี้ศาลแพ่งได้สั่งคุ้มครองชั่วคราวการดำเนินการต้องจากเบาไปหาหนัก เท่ากับเป็นการส่งเสริมไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง ซึ่งทางแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงก็ได้ประกาศแล้วพร้อมที่จะเจรจา และเปลี่ยนข้อเสนอไปบ้างแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ทางออกที่ดีที่สุดควรเจรจากัน เหลือแต่ทางรัฐบาลว่าพร้อมที่จะเจรจากันหรือไม่ แต่เท่าที่ดูนายกรัฐมนตรีเองก็ยังพูดว่า จะดำเนินการตามกฎหมาย จะไม่ทำตามคำข่มขู่ พูดคล้าย ๆ ว่า ยังไม่ต้องการเจรจา ทั้ง ๆ ที่การชุมนุมผิดแค่การปิดการจราจรกับเรื่องความสะอาดและจะให้เลิกการชุมนุมไปเลย

"แต่สิ่งที่สำคัญในเวลานี้นายกฯควรจะคิดก็คือ การเจรจายุบสภาเร็วขึ้น ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่เป็นการแพ้หรือยอมแพ้เสื้อแดง แต่เป็นการหาทางออกประเทศ หลีกเลี่ยงคนไทยรบลาฆ่าฟันกันเอง หลีกเลี่ยงการรัฐประหาร เนื่องจากคุมสถานการณ์ไม่ได้ การตัดสินใจไม่ควรมองเรื่องแพ้หรือชนะ หรือเป็นการยอมคนเสื้อแดง และการเจรจาไม่ควรเจรจาออกทีวี แต่ควรมีการพูดคุยกันนอกรอบ หาข้อสรุปสาระที่สำคัญ แล้วเปิดการพบปะกันอย่างเปิดเผย และเมื่อได้ข้อสรุปแล้วรัฐบาลควรยกเลิกกฎอัยการศึก ส่วนคนเสื้อแดงย้ายการชุมนุมกลับไปที่ผ่านฟ้าหรือสนามหลวง ส่วนเรื่องของเงื่อนไขเวลาน่าจะมากกว่า 3 เดือน เพราะต้องยอมรับว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นห่วงเรื่องของการยุบพรรคที่คดี 29 ล้านที่น่าจะใช้เวลาเดือนกว่าที่จะได้ข้อยุติ ตรงนี้ 2 เดือนก็น่าจะพอ แต่ถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยก็น่าไม่เกิน 3 เดือน"

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า เวลานี้ต่างฝ่ายต่างรับข้อมูลที่ไม่ตรงกัน พบหลักฐานสร้างสถานการณ์จากฝ่ายเจ้าหน้าที่และมือที่สามอย่างต่อเนื่อง มีการขวางระเบิดขวดเข้าไปยังผู้ชุมนุมตำรวจจะจับทหารก็ขวางไว้ ฝ่ายที่สามยิงใส่คนสีลม จึงเห็นได้เลยว่าข้อมูลไม่ตรงกัน ยิงมาจากทางไหน รัฐบาลกลับด่วนสรุปว่ามาจากฝั่งเสื้อแดง ออกข่าวฝ่ายเดียว ทำให้คนไทยเกลียดชังกันจึงต้องรีบเปิดการเจรจาหยุดทำให้คนไทยเกลียดชังกัน และหยุดการสูญเสีย ซึ่งทูตประเทศต่างๆ รัฐบาลอีกหลายประเทศ รวมทั้งเลขาฯยูเอ็นก็ห่วงใย ไม่อยากให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา อยากให้แก้ไขปัญหาอย่างสันติ ส่วนที่ทางศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ศอฉ.ระบุว่า ถ้าผู้ชุมนุมเหลือน้อยก็ต้องมีการสลายนั้น ก็เป็นการสวนทางของทุกฝ่ายที่ต้องการให้มีการเจรจา เพราะทางศอฉ.พูดจาจนทำให้น่ากลัวไปหมดแล้ว และเชื่อว่าเป็นการข่มขู่เท่านั้น

เมื่อถามว่า มีข่าวว่านายกฯเปลี่ยนคนเจรจาจากนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นคนอื่นแล้ว นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ถ้ามีการเปลี่ยนตัวจริงก็ต้องดูกันก่อน ที่จริงนายกอร์ปศักดิ์มีท่าทีที่อยากให้มีการเจรจาอย่างชัดเจน และจากประสบการณ์ในการเป็นคนกลางประสานการเจรจาระหว่างนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.กับนายกอร์ปศักดิ์ เพื่อหยุดการปะทะในวันที่ 10 เม.ย.ก็เห็นชัดเจนว่านายกอร์ปศักดิ์มีความตั้งใจยุติสถานการณ์ แต่หากเป็นคนอื่นโดยไม่ตั้งใจจะมาแก้ไขปัญหาก็น่าจะเสียหาย

ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงเวลานี้แล้วการที่นายกฯยังไม่ตัดสินใจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งรวมถึงการเจรจา มองได้หรือไม่ว่านายกฯถูกบีบจากหลายด้าน นายจาตุรนต์ กล่าวว่า จะมีใครบีบนายกฯหรือไม่นั้นพูดยาก ซึ่งเรื่องที่ทำให้นายกฯตัดสินใจได้ยากมีอยู่ 2 เรื่องคือ การแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารบก เพราะนายกฯอยากอยู่ถึงการแต่งตั้ง ซึ่งถ้าอยู่ถึงการแต่งตั้งเดือนส.ค.ก็น่าจะแต่งตั้งได้แล้ว ส่วนอีกเรื่องคือคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสสูงที่จะถูกยุบพรรค หากมีการยุบพรรคประชาธิปัตย์ในทันที จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบอย่างมาก พรรคประชาธิปัตย์อยากมีความชัดเจนก่อนในคดียุบพรรค หากถูกยุบในคดี 29 ล้าน พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องหาพรรคใหม่ จาก 2 เรื่องนี้ทำให้นายกฯตัดสินใจได้ยาก ส่วนจะใครบีบนายกฯหรือไม่นั้น ตนก็มองว่าหลายฝ่ายก็วิเคราะห์ไปในทางนั้น

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
********************************************

แม้วทวิตอัดรัฐบาล ปัดเจรจาแดง ห่วงตั้งพล.อ.ประยุทธ์

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โผล่ทวิตโต้กระแสข่าวกำลังป่วยเป็นมะเร็ง ยันยังแข็งแรงดี ซัด รัฐบาล ไม่รับข้อเสนอยุบสภา 30 วัน ของแกนนำเสื้อแดง เพราะห่วง ไม่ได้ตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่...

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาทวิตข้อความอีกครั้ง หลังหายหน้าหายตาไปเป็นระยะเวลานาน โดยระบุข้อความ สวัสดีประเทศไทยครับ ต้องขอโทษท่ีหายไปนานเพราะไม่อยากให้ถูกนำไป ผูกกับการเรียกร้องของพี่น้อง ผู้รักประชาธิปไตยและความเป็นธรรมซึ่งกำลังเรียกร้อง สิ่งท่ียิ่งใหญ่และสำคัญ กว่าเรื่องของผมมากมาย แต่ก็ไม่วายถูกปล่อยข่าวว่าเป็นมะเร็งขั้นท่ี 3 ต้องให้คีโมถึงกับชัก โถผมสงสารจังท่ีมันไม่จริงครับ ผมสุขภาพแข็งแรงดีครับ ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร หมอพระราม 9 ก็ไม่ได้บินมารักษาผมเหมือนท่ีปล่อยข่าว

ที่ผ่านมาเดินทางไปหลายประเทศครับ แต่ก็ติดตามข่าว เมืองไทยตลอดเวลา รู้สึกยกย่องแกนนำท่ียอมถอยจากให้ยุบสภาทันทีเป็น 30 วัน ซึ่งถ้ารวมรักษาการ เลือกตั้งอีกก็เป็น 90 วันเพราะไม่อยากเห็นคนไทยฆ่ากันเอง แต่น่าเสียดายท่ีรัฐบาล ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงและส่งสัญญาณว่าจะปราบรัฐบาลคงห่วงงบประมาณเพราะกำลังเพลินและการแต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธฯ เป็น ผบ.ทบ.แต่ไม่ห่วง ประชาชนเลย สรุปว่ารัฐบาลและผู้ค้ำรัฐบาลไม่ได้มองคนเสื้อแดงเป็นคนไทยพร้อมใช้ กฎหมาย 2 มาตรฐานและอาวุธหนักกับคนเสื้อแดงเหมือนไม่ใช่ผู้มาเรียกร้อง

น้ำตา-น้ำใจ-คำพูด ′สุเทพ′ ในนิทาน ′แพะและพระราชา′

เดิมพันของการได้ชัยชนะเหนือศัตรู และพรรคการเมืองคู่แข่ง คือการ ได้ครอบครอง ′อำนาจ′

แต่ ′ชัยชนะ′ และ ′เดิมพัน′ อาจไร้ค่า หากผู้ครอบครองอำนาจมิอาจครอบครองน้ำใจคน

พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ของนักรบ-นักการเมือง จึงอาจไม่ใช่พื้นที่แห่งชัยชนะเหนือสงคราม

แต่เป็นพื้นที่ที่นักรบสามารถครอบคลุมเกาะกุมจิตใจผู้คน และสั่งสม ′บารมี′

′สุเทพ เทือกสุบรรณ′ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์-ผู้จัดการรัฐบาล จึงฝึกฝนศาสตร์และศิลป์ในการครองใจคนการเมือง

หลายคนเคยเป็น ′ศัตรู′ จึงพลิกขั้วกลับมาเป็น ′มิตร′

หลายคนเคยไม่ไว้วางใจ แต่กลับกลายมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล

กองกำลังที่ไม่เคย ′เลือกข้าง′ ทางการเมือง ปรากฏตัวร่วมมือ สนับสนุน

ทั้ง ′เนวิน ชิดชอบ′ และ ′บรรหาร ศิลปอาชา′ และกองทัพ จึงพลิกกระดานการเมืองมาอยู่ข้างเดียวกับ ′สุเทพ′

ในนามของรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เมื่อต้องอรรถาธิบายเหตุการณ์ ′เมษาเลือด′ ที่ปลายกระบอกปืนหันมาจาก ′กองกำลังไม่ทราบฝ่าย′ จึงมีคนเห็นเขาน้ำตาคลอ

เมื่อเขายกหลักเหตุผล หมดแม่น้ำ ทั้งห้าสาย เพื่อให้สมาชิกพรรคตัวเอง เห็นชอบกับ ′ธงในใจ′ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อประคองรัฐนาวา ′อภิสิทธิ์′ ไม่ให้ล่ม-ล้มก่อนเวลาอันควร เขาถูกครหาว่า ′ข่มขู่′ คนในพรรค

′ความจริงการคบกันเป็นมิตร เป็นเพื่อนกัน ก็ต้องพึ่งพากัน เขาช่วยเหลือเราใน เรื่องต่าง ๆ เขาขอความเอื้อเฟื้อจากเราบ้างเล็กน้อย เราก็ควรพิจารณาให้เขาไป′

คำจากใจ-ออกจากปาก-ส่งสัญญาณการเมืองที่ซับซ้อน ′ผมรักเพื่อนพรรคร่วมรัฐบาลทุกคน และผมเชื่อว่าเขามีใจให้รัฐบาล′

คุณธรรม-น้ำมิตร-มืออาชีพ และกลเกมการเมืองของ ′สุเทพ′ ทำให้เขาคลุกอยู่กับพวก 8 เหลี่ยม 12 คม

ใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล มาแล้ว 1 ปี 4 เดือน กับภารกิจประธานคณะกรรมการระดับชาติไม่น้อยกว่า 30 ชุด

′เอกนัฎ พร้อมพันธุ์′ ลูกชายของ ′ศรีสกุล พร้อมพันธุ์′ ภรรยา ′สุเทพ′ ที่แทรกตัวอยู่ทุกอณูการตัดสินใจครั้งสำคัญของเขา การันตี ′พ่อบุญธรรม′

′ท่านเป็นนักการเมืองมืออาชีพ ชีวิต คุณลุง 100% ให้การเมืองหมด ทั้งชีวิตมีแต่เรื่องการเมืองอย่างเดียว เป็นคนรักษา คำพูด ทำงานเพื่อประเทศชาติ ทำงานเพื่อปกป้องสถาบัน เป็นคนจริงจังกับงาน ทำอะไรก็จะต้องทำให้สำเร็จ ทำให้ดีที่สุด′

ดังนั้นนอกจากอาชีพ ′นักการเมือง′ แล้ว จึงไม่อาจเห็น ′สุเทพ′ ทำอาชีพอื่น อย่างน้อยก็อีก 10 ปี

พรรคประชาธิปัตย์ในห้วง 63 ปี แม้มีมรสุม ′คดียุบพรรค′ แผ้วพาน-ผ่านพบ เข้ามาปะทะ

อีกทั้งยังมีพายุ ′เสื้อแดง′ ที่พัดโหมกระหน่ำกราดเกรี้ยว หวังขุดราก-ถอนโคน ผลักนายกรัฐมนตรี และ 35 รัฐมนตรี ให้พ้นจากระบบ

ยิ่งทำให้ ′สุเทพ′ ไม่คิดวางมือ

ตรงกันข้าม เขากลับคิดค้นเครื่องมือทางการเมือง เข้ามาเป็น ′ตัวช่วย′ ในหมากกลการเมืองที่เข้า ′ตาอับ′

การหยิบวาระ ′แก้รัฐธรรมนูญ′ ที่ ′บรรหาร-เนวิน′ ชงเป็นยาหอมพร้อมดื่ม ไว้ล่วงหน้า เป็นวาระประเทศไทย ทำให้ ′สุเทพ′ คลายความวิงเวียนจากวิกฤตไปหลายชั่วยาม

พิธีกรรมการแก้รัฐธรรมนูญจึงเป็น ทั้งยาคลายความอึดอัดให้ 5 พรรคร่วมรัฐบาล และเป็นสายลมเย็นพัดเข้าสู่รูระบายให้มวลชน แนวร่วม สมาชิกรัฐสภาได้หาทางลง ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลกระดูกเบอร์ใหญ่ ไขรหัส กลเกม แก้รัฐธรรมนูญ อย่างเข้าใจ ′คนการเมือง′

′ที่พรรคร่วมต้องเคลื่อนไหว เขาจำเป็นต้องทำ มันเป็นชีวิตทางการเมืองของเขา เป็นความเป็นความตายของเขา เป็นอนาคตของเขา ถ้าเขาไม่ทำ เขาก็จะเล็กลง แล้วก็จะสูญพันธุ์ในทางการเมือง′

การร่วมวง-ขับเคลื่อนเกมการเมืองกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร โดย ′ชัย ชิดชอบ′ และเสียงตามสายโทรศัพท์จาก ′บรรหาร′ สะกดให้ ′สุเทพ′ นิ่ง-นอนใจ รอคอยด้วยความเชื่อมั่น

ผู้จัดการรัฐบาลมั่นใจว่า เมื่อกระบวนการในสภาผู้แทนฯเริ่มต้นขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จะมี ′ธง′ คำตอบให้กับพรรคร่วมรัฐบาลที่น่าพอใจ ในการอยู่ร่วมรัฐบาลอย่างราบรื่น

วันเวลาที่ได้ร่วมหัว จมท้าย กับ ′อภิสิทธิ์′ มาไม่น้อยกว่า 30 ปี บทบาทของ ′สุเทพ′ ในฐานะผู้ช่วย ′พระเอก′ วาดภาพนายกรัฐมนตรีได้แจ่มชัด

′นายกรัฐมนตรีเป็นพระเอก ก็ต้องหาทางออกให้สง่างามสมบทบาท′

ทั้งศึกใน-ศึกนอกของ ′สุเทพ-อภิสิทธิ์′ มีมากกว่า 4 ด้าน 4 ทิศ

ทิศแรก-แก้รัฐธรรมนูญ ′สุเทพ′ บอกทางแก้ว่า

ไม่จำเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะต้องเป็น ′หัวขบวน′ ออกจากสถานีหัวลำโพง แต่สามารถไป ′ดัก′ ขึ้นรถไฟที่สถานีสามเสน หรือสถานีต่อไปก็ได้ ท้ายที่สุดก็ได้ขึ้นรถไฟขบวนแก้ไขรัฐธรรมนูญทันเวลาเหมือนกัน

ทิศที่สอง-เรื่องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์

ทิศที่สาม-ปัญหากับดักเสื้อแดง

ทิศที่สี่-ความแตกร้าวของนายพลในกองทัพ

ปัญหาจากสารทิศ ′สุเทพ′ ไม่มีคำตอบที่เป็น ′สูตรสำเร็จ′

มีแต่นิทานสอนใจการเมือง ที่ ′สุเทพ′ ตั้งใจเล่าอย่างเป็นระบบ ตอนจบน่าพิศวง

′สุเทพ′ เริ่มต้นว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

′มีพระราชาองค์หนึ่ง มีแพะ 1 ตัว เฝ้าพยายามทำให้แพะพูดได้ แต่ก็ไม่สำเร็จเสียที จึงมีประกาศไปทั่วเมืองว่า หากมี ชายหนุ่มคนใดทำให้แพะพระราชาพูดได้ จะให้เงินรางวัลครึ่งหนึ่งที่พระราชา ครอบครอง′

′และจะยกพระธิดาให้แต่งงานด้วย แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะถูกประหารชีวิต′

′....ไม่นานก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินทางเข้ามาบอกพระราชาว่า เขาจะทำให้แพะพระราชาพูดได้ พร้อมเสนอเงื่อนไข ให้พระราชา 2 ข้อ...′

คือ 1.พระราชาต้องจ่ายเงินรางวัลก่อน 15% และ 2.เขาต้องได้แต่งงานอยู่กินกับพระธิดาก่อน แล้วจึงทำให้แพะพูดได้

′...พระราชาก็ตกลง โดยให้เงินรางวัล 15% และมอบพระธิดาให้ไปอยู่กินกับชายหนุ่มคนนั้น′

ฉากจบอันพิศวงของเรื่อง เป็นภาพ ชายหนุ่มคนนั้นก็จูงแพะกลับบ้านพร้อมเงินรางวัล พร้อมพระธิดาเป็นภรรยา

คำถามของคนฟัง ดังทั่วสารทิศคือ ชายหนุ่มคนนั้นทำให้แพะพูดได้หรือไม่′

สุเทพตอบว่า ′ไม่ทราบ...เพราะคาดการณ์ไม่ได้ เป็นเรื่องอนาคต เป็นความพยายามของชายหนุ่ม แต่ที่สำคัญคือเขาได้ครอบครองทรัพย์สินแล้ว ได้ภรรยาแล้ว แพะจะพูดได้หรือไม่...ไม่มีใครรู้ เพราะเรื่องจบแล้ว′

′สุเทพ′ บอกว่า ′นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อได้รับมอบหมายภารกิจอะไรมา มีแต่ต้องพยายาม...พยายามเท่านั้น ส่วนผลลัพธ์ตอนจบจะเป็นอย่างไร ไม่มีใครคาดเดาได้′

′ผมต้องพยายามชี้แจงให้พรรคร่วมรัฐบาลเข้าใจวัฒนธรรมแบบประชาธิปัตย์ และหากเป็นงานที่ง่าย เขาก็คงให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะเป็นงานที่ยาก จึงเป็นงานที่เราต้องทำ′

คอลัมน์.มนุษย์การเมือง
โดย.อิศรินทร์ หนูเมือง
**********************************************

วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

นปช.ล้มเจรจายกระดับ"ยุบทันที-เลิกใส่สีแดง"กันถูกสกัด

นายวีระ มุสิกพงษ์ ปราศรัยว่า จากที่นปช.ได้ยื่นข้อเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภาใน 30 วัน จากนั้นมีการเจรจากับตัวแทนรัฐบาล ตั้งแต่คืนวานและกลางวันนี้ แต่ระหว่างการเจรจามีการสั่งการให้ตัวแทนรัฐบาลยุติการเจรจาโดยพลัน ดังนั้นเราไม่มีทางเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้นอกจากรัฐบาลมั่นใจว่ามีศักยภาพที่จะสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ สั่งการให้ตัวแทนรัฐบาลยุติการเจรจา เท่ากับว่านายอภิสิทธิ์ หันหลังให้กับการหาทางออกโดยสันติวิธี เมื่อไม่มีการเจรจา เราจึงขอยึดมุ่งหมายเดิมคือให้ยุบสภาในทันที ส่วนข้อเรียกร้องให้ยุบสภา 30 วันถือเป็นอันยุติ นายอภิสิทธิ์ ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี ต่อไปและพร้อมจะเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงภายใน 48 ชั่วโมง

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขณะนี้กองกำลังตำรวจทหาร จำนวนมากสกัดกั้นคนเสื้อแดงไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมมีการตรวจบัตรประชาชนเพื่อนำไปสู่การสลาย ดังนั้นจึงขอประกาศมาตรการที่ 1.ตั้งแต่บัดนี้จะถอดเสื้อแดงออกเป็นนักรบนอกเครื่องแบบ วางสัญลักษณ์ตีนตบและอื่นๆเพื่อป้องกันการสกัดกั้นและเมื่อต่อสู้จนประสบชัยชนะค่อยสวมเสื้อแดงฉลองชัยชนะ 2.ให้อาสาสมัครมอเตอร์ไซต์ไปรายงานตัวใน 6 ด่าน ด่านละ 2 พันคันเพื่อป้องกันการบุกเข้ามาของทหารตำรวจ 3.ขอให้คนเสื้อแดงทั่วประเทศ สกัดกั้นการเข้ามาของทหารตำรวจที่จะมาสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ หากพบว่ามีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติขอให้ปฎิบัติโดยยึดแนวทางขอนแก่นโมเดล หยุดยั้งการเคลื่อนขบวนโดยให้กักไว้อย่าง 1-2 วัน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า มาตรการที่ 4 หากทหารลั่นกระสุนใส่คนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ ขอให้คนเสื้อแดงแสดงการต่อต้านอย่างมีเสรีภายใต้หลักสันติวิธีพร้อมกันทั่วประเทศ และมาตรการที่ 5.ขอให้คนเสื้อแดงจับกลุ่มกันอย่างน้อย 5 คนแลกเปลี่ยนหมายเลขโทรศัพท์ สร้างช่องทางติดต่อเมื่อเผชิญกับสถานการณ์รุนแรงให้รีบติดต่อกันทันที นอกจาก 5 มาตรการแล้วขอให้คนเสื้อแดงอย่าลืมมาตรพื้นฐานคือเมื่อมีการสลายการชุมนุมให้แสดงอาการตกใจตอบโต้ทันที


ที่มา.เนชั่น
*************************************************