--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2553

แดงขอนแก่น บุกยึดรถไฟขนทหาร230นาย อ้างแกนนำสั่ง

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 21 เม.ย. 2553 เกิดเหตุคนเสื้อแดงขอนแก่นรวมตัวกันที่สถานีรถไฟขอนแก่น โดยอ้างว่าจะมีการนำกำลังทหารจากค่ายสีหราชเดโชชัยกรม ทหารราบที่ 8 เข้ากทม.เพื่อเข้าไปสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง และมีกลุ่มคนเสื้อแดง นำโดยนายไชยา สิมา และนางซาบีน่า ซาร์ นำคนเสื้อแดงกว่า 1,000 คน เข้าปิดล้อมสถานีรถไฟ จ.ขอนแก่น เพื่อขวางไม่ให้ขบวนรถไฟที่บรรทุกรถยีเอ็มซี และรถอื่นๆ รวม 21 คันพร้อมเจ้าหน้าที่ทหารที่นั่งมาเต็มขบวนรถไฟ ที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสถานีกรุงเทพฯ จนทำให้ขบวนรถไฟดังกล่าวต้องหยุด โดยกลุ่มคนเสื้อแดงได้โห่ไล่เจ้าหน้าที่ทหารให้ลงจากขบวนรถไฟ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับฝ่ายทหารเป็นอย่างมาก

เมื่อเหตุการณ์ที่มีคนเสื้อแดงกรูเข้าไปยังขบวนรถไฟ ทำให้ผู้บังคับหน่วยทหาร ต้องจำใจเรียกทหารลงจากขบวนรถ เพื่อมาพูดคุยกันกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยผู้บังคับหน่วยทหาร ได้กล่าวชี้แจงว่า ทหารจะเดินทางไปโดยทางรถไฟครั้งนี้เป็นการสับเปลี่ยนกำลังพลที่จังหวัดปัตตานี เพื่อให้ทหารจากจังหวัดสกลนครกลับ ไม่ใช่เป็นการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯแต่อย่างใด แต่กลุ่มผู้ชุมนุมและแกนนำกลับไม่ยอมให้ขบวนรถไฟเคลื่อนไป และได้ยึดขบวนรถไฟบรรทุกรถยีเอ็มซีทหาร 21 คัน พร้อมกับกักตัวทหาร 80 นายเอาไว้เพื่อไม่ให้เดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ จึงทำให้ นายพยัต ชาญประเสริฐ รอง ผจว.ขอนแก่น และ พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งมาดูแลความปลอดภัยพร้อมกับขอเจรจากับกลุ่มคนเสื้อแดงแต่ก็ไม่เป็นผล

นางซาบีน่า ซาห์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่น กล่าวว่า เบื้องต้นได้แจ้งรายละเอียดให้กับแกนนำคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯทราบแล้ว และทางแกนนำก็ได้สั่งมายังคนเสื้อแดงขอนแก่น ว่าหากมีการปล่อยขบวนรถของทหารไปในช่วงนี้ ทหารอาจจะเข้าไปสมทบการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งอาจจะทำให้คนเสื้อแดงบาดเจ็บล้มตายลงอีกจำนวนมาก ดังนั้นจึงขอหยุดขบวนรถทหารเอาไว้ 5 วันถึงจะปล่อยให้ทหารเคลื่อนพลไปได้ และหลังจากกลุ่มเสื้อแดงขอนแก่นประกาศกักขบวนรถทหารพร้อมกำลังพลเอาไว้ 5 วัน กลุ่มคนเสื้อแดงขอนแก่นก็ได้นำเต็นท์มากางขวางทางขบวนรถไฟทหารเอาไว้ พร้อมกับเปิดเวทีปราศรัยย่อยภายในพื้นที่สถานีรถไฟ เพื่อรอดูท่าทีของทหารว่าจะดำเนินการอย่างไรโดยมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมประมาณ 3 พันคน


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************

"เสี่ยบุณยสิทธิ์" ชี้ทางออกจากวิกฤต ปฎิวัติ แย่แน่ๆ นายกฯ ลาออกน่าจะดีที่สุด

"บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ ชี้ทางออกจากวิกฤตความขัดแย้ง วอน 2 ฝ่ายแก้ด้วยสันติ "ลดราวาศอก" ต่อกัน ฟันธง ปฎิวัติ ไม่ดีแน่ ทางออกดีที่สุดตือ นายกฯ อภิสิทธิ์ ลาออก แล้วหาคนที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่แทน ตอกนโยบายเศรษฐกิจผิดพลาด-ก่อกำเนิดเสื้อแดงยึดกรุงเทพ

บทสัมภาษณ์ พิเศษ "บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา" ประธานเครือสหพัฒน์ มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจ ประชาชาติธุรกิจ นำมาเสนอท่านผู้อ่าน ดังนี้

@ วอน 2 ฝ่ายแก้ด้วยสันติ "ลดราวาศอก" ต่อกัน
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ให้ความเห็นว่าใครจะชนะหรือแพ้ก็ไม่ดีทั้งสองฝ่าย วิกฤตนี้ต้องแก้ด้วยวิธีสันติเท่านั้น ถ้าทุกคนยอมลดราวาศอก ที่เรียกว่า "ชนะคือแพ้ แพ้คือชนะ" แม้ท้ายทื่สุดผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะยุติการชุมนุมไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะจบสิ้นได้ง่ายๆ เพราะอาจจะเป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบของการชุมนุมเป็นแบบ "ใต้ดิน" ซึ่งจะยิ่งก่อกวนมากขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าทางไหน เราผู้เป็นพ่อค้าก็คงมีแต่รับกรรม ส่วนประชาชนก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หากจะให้ประชาชนได้ประโยชน์ก็ต้องถอยคนละก้าว ทุกอย่างเสร็จยิ่งเร็วยิ่งดี

นายบุณยสิทธิ์ กล่าวต่อว่าตนเชื่อว่าเศรษฐกิจต้องมีทางออก ทุกอย่างต้องเดินไปข้างหน้า ถ้าจบเร็ว ก็สามารถเดินไปข้างหน้าได้เร็ว ถ้าช้าก็เป็นบุญเป็นกรรมตอนนี้นักธุรกิจก็คงไม่อยากทำอะไร อยู่เฉยๆ ปลอดภัยที่สุด

"จริงๆ แล้วผมกลับมองสถานการณ์นี้แง่บวก ถ้าไทยผ่านวิกฤตนี้ไปได้ สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง แก้แล้วไม่มีเหตุการณ์อะไรร้ายแรง อาจเป็นผลบวกของไทย นำไปสู่ความทันสมัย เพราะรัฐบาล หรือคนที่จะมาเป็นรัฐบาลต่อไปต้องคิดแล้วว่าหากม็อบเสื้อแดงยังสามารถชุมนุมกันได้ขนาดนี้ ต่อไปรัฐจะมาทำอะไรซุ่มซ่ามไม่ได้อีกแล้ว มันเหมือนประเทศไทยก้าวขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เปรียบเดิมเราจบแค่ปริญญาตรี หากผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ด้วยดี เท่ากับเราจบปริญญาโท

ปัจจุบันการสู้ของทั้ง 2 ฝ่ายคือการวัดกันว่าใครสามารถอดทนได้มากกว่ากัน เพราะต่างคิดว่าคนเป็นผู้นำก็ต้องมีอาการเบื่อ อย่างแกนนำเสื้อแดงซึ่งมีเพียง 4-5 คน เป็นไปได้ที่อาจจะเลิกราไปเอง อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ต้องบอกว่าม็อบของไทยใช้ได้ ยังอยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่มีการปล้น หรือสร้างความเสียหาย ไม่เหมือนสมัยก่อน จริงๆ การคุมม็อบแบบนี้อันตรายมาก

ดังนั้น ผมจึงมองเรื่องนี้แง่บวก ที่เป็นห่วงคือเรื่องมือที่ 3 มากกว่าเพราะไม่รู้ว่าเป็นกลุ่มไหน แต่จะไปว่าตอนนี้ม็อบเป็นเหมือนเฟสติวัล (Festival) ปะทะกันรุนแรงขนาดนี้แล้วยังคุยกันรู้เรื่อง แสดงว่าคนไทยมีความอดทนสูง ต่างประเทศมองเข้ามายังชื่นชมทั้งฝ่ายรัฐบาลและม็อบ เพราะเค้าเข้ามาแล้วประเทศไทยขณะนี้ดูอันตรายมาก แต่ะคนไทยก็ยังมองเหมือนไม่มีอะไร มากกว่านั้น หากครั้งนี้เราสามารถจบลงได้อย่างสันติอย่างแท้จริง ไทยจะกลายเป็นแพทเทิร์นของการชุมนุมทางการเมือง หรือม็อบให้กับประเทศอื่นๆ นำไปปฏิบัติตาม

@ ชี้นายกฯ ลาออกเป็นวิธีดีที่สุด
ถามว่าทางออกไหนน่าจะดีที่สุด ถ้าผมเป็นนายกรัฐมนตรี หรือคนที่สามารถตัดสินใจได้ในเหตุการณ์นี้ว่าจะทำอย่างไร จริงๆ ถ้าเป็นผม ผมจะไปคุย หาก 2 รอบยังไม่พอ ก็จะขอคุยรอบที่ 3 และหากเจรจาจนถึงที่สุดแล้ว จำเป็นจริงๆ ก็อาจต้องให้ตามขอ คือยุบสภา ถ้าจำเป็นก็ต้องโอเค แต่ก็ต้องให้ประชาชนรู้ว่าทำไมถึงตัดสินใจเช่นนี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศอย่างไร เพราะปัจจุบันรัฐบาลก็แนวหนึ่ง เสื้อแดงก็แนวหนึ่ง แบบนี้นักธุรกิจยิ่งเครียด ดังนั้น หากมีการยุบสภาตอนนี้ ฐานะนักธุรกิจก็รับได้ ดีกว่าให้ยืดเยื้อแบบนี้

หากมีทางออกอยู่ 3 ทาง คือยุบสภา, ลาออก, รัฐประหาร ผมขอเลือกให้นายกรัฐมนตรีลาออก น่าจะดีที่สุด และเลือกคนที่ดีที่สุดขึ้นมา เพราะแน่นอนว่าหากปฏิวัติจะไม่เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ และทำให้ทุกอย่างแย่ลง

@ ชี้นโยบายศก.ผิดพลาด-ก่อกำเนิดเสื้อแดง
ประธานเครือสหพัฒน์ อธิบายว่า จริงๆ แล้วต้องบอกว่ารัฐบาลประเมินสถานการณ์เรื่องเสื้อแดงไม่ถูกตั้งแต่แรก เพราะมองว่าเสื้อแดงไม่มีคน เพราะถึงขณะนี้เรารู้แล้วว่าเสื้อแดงมีคนมาร่วมด้วยต่อเนื่อง หากให้ผมวิเคราะห์ว่าจริงๆ แล้ว ส่วนสำคัญทื่ทำให้มีสถานการณ์วันนี้ ต้องบอกว่ามาจากการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาดตั้งแต่รัฐบาลสุรยุทธ์ ต่อเนื่องมาที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ มีปัญหามากมาย อาทิ นโยบายค่าเงินบาท, การแก้ปัญหาราคาข้าว ฯลฯ ทำให้คนระดับล่างเดือดร้อนเรื่องปากท้อง มีส่วนทำให้คนเสื้อแดงจำนวนมากมีความรู้สึกร่วม ก็ต้องบอกว่าแค่ปัญหาเรื่องข้าว กับค่าเงินบาทแค่นี้ รัฐบาลนี้ยังมองปัญหาไม่ออก จะไปแก้ปัญหาม็อบได้อย่างไร

@ ติงปัญหา "มาบตาพุด" แก้ผิดจุด
นายบุณยสิทธิ์ ได้ยกตัวอย่างกรณีมาบตาพุด มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากความรีบร้อนในการออกรัฐธรรมนูญ แล้วบังคับใช้ทันที โดยยังไม่มีกฎหมายลูกมารองรับ เมื่อเป็นเช่นนี้วิธีที่ถูกต้องจริงๆ ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่สมควรรับฟังว่าใครถูก ใครผิดในกรณีนี้ แต่ควรให้มีการออกกฎหมายลูกให้เสร็จสิ้น ไม่ใช่รีบตัดสินไปก่อน ดังนั้น ขณะนั้นหากรอให้มีกฎหมายลูกออกมาก่อนก็จะไม่เกิดปัญหา ที่ส่งผลกระทบมากถึงปัจจุบันนี้

หรือกรณีของการชุมนุมทางการเมือง หรือม็อบ จริงๆ ก็มาจากการเร่งใช้รัฐธรรมนูญโดยไม่มีกฎหมายลูกเช่นกัน โดยรัฐควรออกกฎหมายลูกออกมาเพื่อบริหารจัดการม็อบ อาทิ จัดสถานที่การชุมนุม, เส้นทางเคลื่อนไหว, มีเวทีให้ไฮปาร์คหรืออภิปราย เป็นต้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

จิ๋ว-สมชาย ออกโรง!

แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่เห็นกำลังทหารที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นการล้อมลวดหนาม และรู้ว่าทหารได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ แม้ว่าจะเพื่อป้องกันตัวก็ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เผ่นกันกระเจิง ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ หนีไปโรงแรมชานเมือง หรือโรงแรมในต่างจังหวัดแทนเมื่อไม่มีแขกเหลือแล้ว โรงแรมจึงเลือกปิดกิจการชั่วคราว เพราะเปิดไปก็ไม่มีลูกค้า แถมหากเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมแวะมาใช้บริการ ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการชุมนุมก็ได้เพราะพื้นที่แยกราชประสงค์ เป็นพื้นที่ธุรกิจ และเป็นจุดที่ต่างชาติทั่วโลกให้ความสนใจ ดังนั้น เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ 10 เมษายน จนทำให้

เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้ชุมนุม และของเจ้าหน้าที่ทหารยุทธศาสตร์การชุมนุมของแกนนำ นปช. จึงเปลี่ยนไป เป็นการมุ่งใช้ผลกระทบในเรื่องของเศรษฐกิจ และธุรกิจในย่านราชประสงค์เป็นแรงบีบสำคัญแน่นอนว่า สำหรับแกนนำ นปช. คือ การเพิ่มการกดดัน หวังให้รัฐบาลเลิกดื้อรั้น หรือเพิกเฉย รวมทั้งหวังว่าใจกลางกรุงเทพฯ จะไม่มีการสั่งสลายการชุมนุมให้ต้องมีคนเสียชีวิตอีกแต่ดูเหมือนว่าแรงกดดันนั้นนั้น แม้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะรับรู้ เพราะนอกจาก

การชุมนุมจะกดดันแล้ว ภาคธุรกิจผู้ประกอบการเองก็มีการให้ข้อมูล เพื่อให้รัฐบาลเร่งหาทางออกโดยสันติวิธีโดยเร็วเสียทีปัญหาก็คือ ดูเหมือนกลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ หรือ แก๊งเด็ก กลับไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องผลกระทบทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงยึดมั่นถือมั่นในเรื่องของการมุ่งแต่เรื่องแพ้ – ชนะสอดรับกับความทิฐิของผู้นำรัฐบาล ที่มุ่งมั่นในเรื่องของการรักษากฎหมายที่ประกาศใช้เป็นกฎหมายพิเศษ คือ กฎหมายความมั่นคง และกฎหมายภาวะฉุกเฉินโดยยึดมั่นว่า เมื่อ

ประกาศใช้แล้ว ต้องให้ได้ผลให้ได้วันนี้ลวดหนามจึงเต็มถนนสีลม วันนี้โรงแรมย่านราชประสงค์ สีลม จึงปิดกิจการชั่วคราวเพราะลำพังการชุมนุมตามวิถีทางประชาธิปไตย ฝรั่งต่างชาติอาจจะไม่กลัว ไม่วิตก เพราะประเทศไหนๆ ก็มีทั่วโลก แต่การสลายการชุมนุมจนมีคนเสียชีวิต มีภาพเผยแพร่ผ่านสื่อต่างประเทศไปทั่วโลก การส่งกำลังทหารเพิ่มจำนวนมากขึ้น และการขึงลวดหนามบนถนน และที่สำคัญที่สุด การที่ ศอ.ฉ. ประกาศให้ทหารสามารถใช้อาวุธจริงได้ ด้วย

เหตุผลว่าเพื่อให้ทหารใช้ป้องกันตัวแม้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะออกมาย้ำกับนายทหารระดับผู้ปฏิบัติทุกนาย ว่า การจะใช้อาวุธปืนจริงทำได้ คือ การป้องกันตนเองในภาวะที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และการใช้อาวุธปืนจริงในลักษณะใดเป็นรายบุคคล เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และหากจะใช้อาวุธต้องมีแบบแผนและลักษณะการใช้แบบเดียวกัน “กระสุนทุกนัดผมจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ขอให้ทุกคนไม่ต้องกลัว หากจะต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตนเอง แต่ต้อง

ดำเนินการตามแผนที่ทำความเข้าใจและซักซ้อมกันไว้เช่นนี้” เป็นเสมือนการแสดงความรับผิดชอบเอาไว้ล่วงหน้าหากเกิดอะไรขึ้นแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ แค่เห็นกำลังทหารที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เห็นการล้อมลวดหนาม และรู้ว่าทหารได้รับอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงได้ แม้ว่าจะเพื่อป้องกันตัวก็ตามนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เผ่นกันกระเจิง ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน เช็คเอาท์ออกจากโรงแรมใจกลางกรุงเทพฯ หนีไปโรงแรมชานเมือง หรือโรงแรมในต่างจังหวัด

แทนเมื่อไม่มีแขกเหลือแล้ว โรงแรมจึงเลือกปิดกิจการชั่วคราว เพราะเปิดไปก็ไม่มีลูกค้า แถมหากเกิดกลุ่มผู้ชุมนุมแวะมาใช้บริการ ก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนการชุมนุมก็ได้ปิดเสียเลยโล่งใจกว่าเยอะเลยกลายเป็นโอกาสดีของโรงแรมนอกเมือง อย่างเช่น โรงแรมโนโวเทล บางนา ตอนนี้ยอดเข้าพักพุ่งพรวด จนพนักงานโรงแรมบางคนบอกว่า หากการชุมนุมที่ราชประสงค์ยืดเยื้อ โรงแรมรอบนอกฟื้นแน่ผิดกับตอนที่ม็อบพันธมิตรฯ ยึดสุวรรณภูมิ ตอนนั้นโรงแรม

รอบนอก โดยเฉพาะที่ใกล้สนามบิน สาหัสไปตามๆ กัน อย่างไรก็ตาม แม้จะโชคดีที่มียอดเข้าพักเพิ่มขึ้นมาก แต่ก็เห็นใจบรรดาพนักงานโรงแรมย่านราชประสงค์เป็นอย่างมากเช่นกัน จึงอยากจะให้มีการเจรจาให้จบๆ ไป โดยไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาแต่ทิฐิ จนการแก้ปัญหาไม่สำเร็จ ดังนั้น ปัญหาก็คือ รัฐบาลเห็นความเดือดร้อนของธุรกิจโรงแรมเป็นแรงกดดันต่อรัฐบาลหรือไม่ เพราะดูเหมือนนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังคงความ

เชื่อมั่นสูง และเป็นแรงหนุนสำคัญในการให้ข้อมูลผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อนายอภิสิทธิ์ว่าไม่มีอะไรน่าห่วง ยังรับสถานการณ์ได้ หากจำเป็นก็จะใช้งบประมาณเข้ามาช่วยเหลือภาคธุรกิจ หรือรวมทั้ง นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ยังคงยืนยันว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยไม่ได้ถูกผลกระทบที่เลวร้ายมากเหมือนที่ภาคเอกชนออกมาให้ข้อมูลก่อนหน้านี้ เช่นการปิดแยกราชประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดง มีภาคเอกชนออกมาระบุ

ว่าทำให้เสียรายได้ด้านการท่องเที่ยวไปกว่า 10,000 ล้านบาท “หากจะมีผู้เดือนร้อนก็ล้วนเป็นมหาเศรษฐีทั้งนั้น เพราะมีแต่โรงแรม 5 ห้าดาวของเศรษฐีหากจะขาดทุนซัก 10,000 ล้านบาท ก็ไม่กระเทือนหรอก”นั่นคือ ข้อมูลที่รัฐบาลได้รับ และเชื่อมั่น จนทำให้ไม่ห่วงกับการยืดเยื้อและการเพิ่มกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่ หรือแม้แต่กระทั่งการยินยอมให้มีการใช้อาวุธจริงได้เจอแบบนี้ภาคธุรกิจเอกชนก็พล่านไปหมด เพราะเหตุนี้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี

และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเป็นห่วงจนทนไม่ได้ ต้องมีการร่วมกันออก “แถลงการณ์สองอดีตนายกรัฐมนตรี” ลงวันที่ 19 เมษายน 2553 โดยแถลงการณ์มีเนื้อหาใจความว่า “ปัญหาของบ้านเมืองในขณะนี้เกิดจากความไม่เป็นประชาธิปไตย และการไม่มีความยุติธรรมในสังคม ความแตกแยกทางการเมืองมีแนวโน้มที่จะขยายลุกลามจนไม่อาจแก้ไขได้ ผมทั้งสองคนเห็นว่า ในระยะยาวนั้น เราไม่อาจแก้ไขปัญหาของ

ประเทศได้ ถ้าเราไม่สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และขจัดการเลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ผมทั้งสองขอเรียกร้องดังต่อไปนี้ 1. ต้องหยุดความรุนแรงและการสังหารประชาชนโดยทันที 2. รัฐบาลต้องประกันว่าจะต้องไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองอีกแม้แต่คนเดียว 3. ต้องยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิในการชุมนุมทางการเมืองตามปกติภายใต้ความคุ้มครองทาง

กฎหมาย 4. ต้องยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารแต่เพียงฝ่ายเดียว เลิกปิดกั้นสื่อสารมวลชนและเลิกละเมิดสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนและ 5. ให้รัฐบาลคืนอำนาจให้ประชาชนเลือกรัฐบาลใหม่ โดยการยุบสภาทันที คนไทยทุกสีทุกคนมีควมห่วงใยในสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ และทุกคนทุกฝ่ายมีหน้าที่แก้ปัญหาร่วมกัน ผมทั้งสองคนเชื่อมั่นว่าเราจะหาทางออกให้กับประเทศได้ ถ้าเราตระหนักในรากเหง้าของปัญหา และร่วมมือกันแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ

และจริงจัง” เหตุผลก็คือ ถ้ามีการตัดสินใจให้ประชาชนเลือกของเขาเองทีเดียวก็จบ ถ้าผลเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 280 หรือ240 ตามที่ได้พูดเอาไว้ ทุกฝ่ายก็ต้องเต็มใจที่จะให้ ปชป.บริหารบ้านเมือง ในทางกลับกันหากพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกก็ต้องยอมรับ สิ่งนี้ถือว่าแฟร์ที่สุดที่สำคัญพล.อ.ชวลิต พูดชัดเจนว่า ในการเป็นสมาชิกเหรียญจุลจอมเกล้าฯ เหรียญรามาฯ ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับพระราชทานหรือมีพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานให้ จึงมีจิตใจที่

แน่วแน่ว่า ชีวิตถวายไว้เบื้องพระยุคลบาทในการปฏิบัติรับใช้พระเดชพระคุณนำเอาความสงบมาสู่บ้านเมือง“พระราชอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ข้าพเจ้าขอรับทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เหนือหัว หากสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเราในวันนี้นั่นก็คือ ขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้กับพี่น้องคนไทยให้กับพวกเราด้วย กระผมผมคิดว่า ถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว กระผมคิดว่าไม่แน่ใจต่อการสูญเสียภายใน 1-2 วันข้างหน้านี้ มันจะเป็นตราบาปหรือสิ่งที่พี่น้องคน

ไทยไม่ต้องการที่จะเห็นในชีวิต หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดข้าพเจ้าขอน้อมรับแต่เพียงผู้เดียวนั่นคือสิ่งที่เราต้องการที่สุดในวันนี้” พล.อ.ชวลิตกล่าวไม่น่าเชื่อว่า การตีแผ่จิตใจลูกผู้ชายว่ามั่นคงต่อการจงรักภักดี กลับถูกบางคนเอาไปบิดเบือนว่า จะกระทำการระคายเบื้องพระยุคลบาทบ้าง เป็นการไม่บังควร ไม่มีวุฒิภาวะบ้าง ที่จะขอเข้าเฝ้าทูลละองงธุลีพระบาททั้งๆ ที่ พล.อ.ชวลิต พูดชัดเมื่อถูกถามว่า การขอพระกรุณาธิคุณจะอยู่ในรูปแบบการถวายฎีกาหรือไม่ พล.อ.ชวลิต

กล่าวว่า เราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราพูดวันนี้คงต้องถึงพระเนตร พระกรรณอย่างแน่นอนที่สุด ความเป็นจริงมีความพยายามของพวกเราที่จะไปกราบพระบาทด้วยตัวของพวกเราเองมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าได้ทราบว่าพระอาการยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้ทราบว่าท่านทรงพระสำราญขึ้นแล้ว ก็อาจจะมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ซึ่งคงจะเป็นโชคอย่างที่สุดของคนไทยของเราและของประเทศชาติด้วยนั่นคือ รอคอย มิได้เป็นการคิดจะขอเข้าเฝ้าฯ อย่างที่มีการ

ไปกล่าวหาเลยดังนั้น การพยายามแก้ปัญหา แล้วกลับกลายเป็นแรงกระเพื่อม รวมทั้งมีการไปพูดต่อผิดๆถูกๆ จึงทำให้เห็นชัดว่า น่าเป็นห่วง หากยังคงมีคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ คอยเลือกให้ข้อมูลครึ่งๆกลางๆ อยู่เช่นนี้แล้วการหาทางออกโดยสันติวิธีจะเกิดขึ้นได้อย่างไรดังนั้น ยังคงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกโดยเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นมาอีก จนทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและธุรกิจอย่างที่วิตกกัน

ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************

เพื่อไทย งัดคลิปจับโกหก "ไก่อู" ยันทหารยิงเสื้อแดง

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน(วิปฝ่ายค้าน) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. ในฐานะคณะกรรมการศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยประชาชน(ศชปป.) พร้อมด้วยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พร้อมด้วยนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมแถลงข่าวพร้อมกับเปิดคลิปบันทึกภาพเหตุการณ์สาเหตุการเสียชีวิตของนายวสันต์ ภู่ทอง บริเวณถ.ดินสอ เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีหลักฐานชัดเจนว่าการเสียชีวิตของนายวสันต์ ภู่ทอง ที่ถ.ดินสอ ซึ่งพ.อ.สรรเสริญ ระบุว่านายวสันต์ถูกยิงที่หน้าผากทะลุออกด้านหลังเสียชีวิต โดยวิถีกระสุนมาจากฝั่งผู้ชุมนุม แต่จากการชันสูตรศพของคณะกรรมการชันสูตรและนิติเวช ระบุว่านายวสันต์เสียชีวิตโดยโดนยิงที่ท้านทอย ด้านซ้าย แสดงว่าวิถีกระสุนต้องมาจากฝั่งทหาร และพรรคเพื่อไทยได้ตรวจสอบทางซีดีใครฆ่าแดง ที่รัฐบาลแจกให้กับสื่อมวลชนมีการระบุว่านายวสันต์ เสียชีวิตโดยถูกยิงจากด้านหลังทะลุด้านหน้า และยังพบว่ามีคลิปวีดีโอ แสดงภาพชัดเจนว่าผู้ที่ยิงเข้าใจนายวสันต์เป็นทหารที่ประจันหน้ากันอยู่โดยเป็นเหตุการณ?อยู่บนถ.ดินสอ ระหว่างที่ทหารยิงใส่ผู้ชุมนุม 9 นัดทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 2 คนคือนายวสันต์ และนายสยาม วัฒนนุกูล ที่ถูกยิงเข้าด้านหลังทะลุหลอดเลือดแดงใหญ่ทำให้ช่องอกมีเลือดออกมากจนเสียชีวิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้นน.อ.อนุดิษฐ์ ได้เปิดซีดีที่บันทึกภาพพ.อ.สรรเสริญ พูดถึงการเสียชีวิตของนายวสันต์ ว่าถูกยิงศรีษะจากด้านหน้าทะลุท้ายทอย ซึ่งเป็นการยิงมาจากฝั่งผู้ชุมนุม แต่เมื่อเปิดซีดีใครฆ่าแดง กลับมีเสียงบรรยายว่านายวสันต์ เสียชีวิต เพราะถูกยิงจากด้านหลังทะลุด้าหน้า ซึ่งเป็นการยิงมาจากฝั่งทหาร โดยทางพรรคเพื่อไทยได้เปิดคลิปวีดีโอที่บันทึกภาพจากฝั่งทหารถ.ดินสอ โดยอ้างได้มาจากผู้สื่อข่าวอิสระพร้อมกับบรรยายประกอบภาพว่ามีทหารเดินออกมาใช้ปืนประทับบ่าพร้อมกับรัวยิง 9 นัด แต่ภาพทหารคนดังกล่าวไม่ชัดเจน ซึ่งเห็นเห็นเพียงเงาตะคุ่มที่ออกจากที่กำบังมาเท่านั้น อย่างไรก็ตามได้มีการเปิดเสียงในระหว่างเหตุการณ์นั้นด้วย พบว่าระหว่างการยิง 9 นัดนั้นได้มีเสียงตะโกนมาว่า “พอแล้วๆยิงทำไม” พร้อมกับเรียกรหัสลับว่า “เซเว่นและเล่นน้ำด้วย” ทั้งนี้หากผู้สื่อข่าวนำไปตรวจสอบจะพบจังหวะการยิงตั้งแต่นัดที่ 1 ถึงนัดที่ 9 เป็นช่วงเวลาที่ตรงกัน ซึ่งแสดงว่าคลิปของรัฐบาลและคลิปของพรรคเพื่อไทยป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้น.อ.อนุดิษฐ์ ได้บรรยายว่าในคลิปดังกล่าวหากฟังอย่างตั้งใจจะได้ยินเสียงที่มาจากทหารบอกว่า “กูยิงเอง” และมีเสียงต่อว่า “มึงยิงทำไม” ทั้งนี้ที่นายวสันต์ และนายสยามโดนยิงจากฝั่งทหารทั้งที่อยู่ด้านหลังกลุ่มผู้ชุมนุม แล้วเหตุใดกลุ่มผู้ชุมนุมที่อยู่แนวหน้าไม่โดนยิงนั้นเป็นเพราะว่าบุคคลทั้ง 2 อยู่บริเวณด้านริมถนน ซึ่งแตกออกมาจากกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มใหญ่ที่อยู่บริเวณกลางถนนดินสอ ส่วนที่มีการกล่าวหาว่ามีผู้กาอการร้ายชุดดำนั้นในเหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน 2552 หลังจากที่มีการสลายการชุมนุมจะพบว่ามีไอ้โม่งออกมายืนเต็มไปหมด ทั้งไอ้โม่งแดง และไอ้โม่งน้ำเงิน แต่มีการเปิดหน้าอย่างโล่งโจ่ง ซึ่งเป็นเรื่องปกตืของหน่วยบูรพาพยัคฆ์ที่มีการประกอบกำลังของทหารโดยการใส่ชุดไอ้โม่ง ซึ่งในวงทหารรู้กันดีว่าเป็นแผนสำรองในกรณีที่มีการใช้อาวุธหนักเข้ามาปราบเพื่อเบี่บยงเบนประเด็น


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

มาชม คลิป PAD Rangers (ม็อบผู้ดีมีการศึกษา) 20-30 คน ปิดถนนสีลม ต้านคนเสื้อแดง

ช่วงแรก

ช่วงประมาณ 2 ทุ่มกว่า รู้สึกหิวเลยชวนคนที่บ้านออกมาหาอะไรกิน ตัดสินใจนั่งรถเมล์จากบ้านมาลงหน้าสวนลุมตรงป้ายรถเมล์ตึกอื้อจื่อเหลียง พอลงรถเมล์ก็เดินเรื่อยมาจนถึงแยกศาลาแดง ทางฝั่งขาเข้าถนนสีลม ก็มาเตะตากับกลุ่ม PAD Rangers กะด้วยสายตามีอย่างมากก็ประมาณ 20 คน ให้เต็มที่ 30 คน นอกนั้นเป็นไทยมุง มาดูกันว่าพวก PAD Rangers พูดอะไรกันบ้าง

Red Shirt v PAD Rangers April 20 2010 8PM
http://www.youtube.com/watch?v=-xIIFEe0JlA

ช่วงที่ 2

หลังจากช่วงแรกที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเพราะ PAD Rangers มีจำนวนน้อยกว่า และทางแกนนำบนรถบรรทุกฝั่งเสื้อแดงได้ปราศรัยควบคุมไม่ให้คนเสื้อแดงข้ามฝั่งมาเพื่อมีเรื่อง เพราะจะปะทะกับพวก PAD Rangers ผมจึงตัดสินใจเดินไปหาอะไรกินในม็อบ เดินไปจนถึงเวทีที่ราชประสงค์ก็ไปนั่งหน้าเซ็นทรัลเวิร์ล และ McDonald เพื่อหาอะไรกินและพักเหนื่อยสักพัก ก็เดินกลับมาที่แยกศาลาแดงอีกครั้ง

พอเดินมาถึงแนวหน้า ได้ยินคนทางฝั่งเสื้อแดงพูดว่า PAD Rangers ยกพวกมาประมาณ 500 คน เตรียมตัวเข้าปะทะ ผมจึงข้ามถนนไปสังเกตการณ์ เมื่อไปถึงก็หายืนบนแท่นตอม่อกลางถนน นับคนแบบคร่าวๆ ปรากฎนับจำนวนประชากร PAD Ranger ได้ไม่เกิน 30 คน (สาบานได้)

ทันใดนั้นเอง PAD Ranger ก็ได้ส่งสัญญาณโบกไม้โบกมือให้เดินออกมากลางถนนและเดินไปข้างหน้า ผมก็นึกว่างานนี้มีลุย ที่ไหนได้ PAD Rangers ทำการปิดถนนด้วยจำนวนประชากรม็อบเพียง 20-30 คน (มีภาพประกอบ) รถที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าสีลมก็ถูก PAD Rangers โบกไม่ให้เข้า โดยที่ตำรวจที่ยืนรักษาการณ์หน้าโรงแรมดุสิตธานีไม่ทำอะไรใส่เกียร์ว่างเต็มที่

หลังจากที่ปิดทางเข้าถนนสีลมได้ PAD Rangers ก็ยืนตะโกนด่า (ไม่มีโทรโข่ง) ดูคลิปประกอบ

Red Shirt v PAD Rangers April 20 2010 11PM
http://www.youtube.com/watch?v=RNaTTeot40k

เมื่อเห็นว่าไม่มีสาระแก่นสารและเหตุการณ์อะไรที่จะยกระดับ ผมจึงกลับมายืนทางฝั่งเสื้อแดงอีกสักพักก่อนที่ผมจะกลับบ้าน ปรากฎว่าเมื่อนั่งรถเมล์ส่องกล้อง vdo มาทางฝั่ง PAD Rangers ผลปรากฎว่าด้วยจำนวนคนหยิบมือเดียว 20-30 คน ก็ไม่สามารถที่จะยืนระยะปิดถนน รถที่จะเลี้ยวเข้าถนนสีลมจึงใช้งานได้ตามปรกติ


ปล. 2 วันมานี้ไปเดินเล่นใจถนนกลางเมืองกรุงเทพทั้งขาไปและกลับจากแยกศาลาแดงไปแยกประตูน้ำ เดินจนปวดน่องไปหมด โดยเฉพาะวันที่ 19 ที่มีข่าวปล่อยว่าทหารจะบุกตอน 6 โมงเช้า ไอ้ผมก็ไปด่อมๆ มองๆ ตั้งแต่ 10 โมงเช้ายัน 4 โมงเย็นเห็นเหตุการณ์ปรกติไม่มีอะไรก็กลับมานอนพักผ่อนอยู่ที่บ้าน

[เพิ่มเติม]

clip ทหารบนสะพานลอยวันที่ 19 เมษายน 2553

Red Shirt v Army April 19 2010
http://www.youtube.com/watch?v=BH8hQDvUVH4

ที่มา.ราชดำเนิน
************************************************

อย่าปิดกั้น..อย่าขวางกั้น!!

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาราช” ทรงเป็น “ศูนย์รวมใจหนึ่งเดียว” ของชาวบ้านวิกฤติ ดำมืด แห่งแผ่นดิน ไร้แสงสว่าง ไม่มีทางออก..จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะขอพึ่งพระบารมี “พ่อหลวง” เพื่อสลายปัญหาแผ่นดิน เปิดเผย บริสุทธิ์ใจ ทำด้วยใจภักดี ของ ๒ อดีตนายกรัฐมนตรี “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เป็นเรื่องดีงาม ทั้งสิ้นไม่น่าเชื่อ จะมี นักการเมืองนามอุโฆษ จะแสดงความคิดเห็นกีดกั้น ไม่ให้ “สถาบัน” ดับทุกข์ร้อน ที่เพิ่มองศาดีกรีความอำมหิต ของ “รัฐบาล” และ “ทหาร” ที่ใช้อาวุธสงคราม เตรียม เข่นฆ่าประชาชน ให้ตายเป็นดับ!!!นักการเมืองหยุดใช้มือราน้ำ.....เลิกแสดงพฤติกรรม....ทำตัวรัก “สถาบัน” คนเดียว สักทีเถอะครับ???

****************************************
สถานการณ์ ‘สร้างวีรบุรุษ’!!!
เลิศล้ำ โดดเด่น เหนือคนอื่นเป็นลี้ๆ เป็นโยชน์ๆ “ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร” ผู้ว่าฯ กทม. ที่เป็นดาวเด่น อย่างสุดๆ ?????เป็นกาวใจชั้นดี ชั้นเยี่ยม เข้ากับ “ผู้รักประชาธิปไตยคนเสื้อแดง” ชนิดเป็นเพ่งอิ้ว แยกกันไม่ออกเข้ากับคีย์แมน กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเนื้อเดียวด้วยล่ะ ไม่อยากจะบอกบุญมาวาสนาส่ง จะเป็น “นายกรัฐมนตรี” ใน “รัฐบาลผสมเพื่อชาติ”.. เพื่อให้ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ “คนเสื้อแดง” ถอยกันคนละก้าว จึงมีเสียงโห่ต้อนรับ!!!ข้าง “อานันท์ ปันยารชุน” ...และ “ชวน หลีกภัย” หมดสิทธิ์ลุ้น?...เพราะไม่มีใครหนุน เป็น “นายกฯ” เลยล่ะครับ???

************************************************
น้ำลายเหม็นฟุ้ง!!!
เศรษฐกิจไทย ไม่ได้ยืนบนขาแข็งแรง เท่าเทียมกับนานาชาติ..เหมือน “ยีราฟโย่งโก๊ะ กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง เขาแอบอ้าง เอามากระทุ้ง???พอ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ทำการนอกกรอบ นอกจารีตประเพณีอันดีงาม แห่งความเป็นประชาธิปไตย ด้วยการออก “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ออกมาเป็นศัตรูกับ “คนเสื้อแดง” เท่านั้นแหละ“ตลาดหุ้นไทย” ที่พุ่งขึ้นไปด้วยวิธีการปั่น..ก็ตกกราวรูดลงมาตบแผละไม่เหมือน คำโอ่ขี้โม้ เป็นวรรคเป็นเวร ที่ “ขุนคลังกรณ์ จาติกวณิช” สร้างภาพขึ้นมาตุ๋นคนไทยเสียเปื่อย ..ว่าถึง “เสื้อแดง” จะชุมนุมประท้วงยึดสี่แยกราชประสงค์อย่างไร “หุ้น” มีแต่ทะยานขึ้นเป็นจรวดติดปีกบิน!!!แต่วันนี้ที่ชัดเจน..“หุ้นไทย”ตกทั้งเช้าทั้งเย็น?....กลบน้ำลายเหม็นๆ ของ “ขุนคลังกรณ์” เสียหมดสิ้น???

*************************************************
ด่าใครแล้วเกิดยาก!!
“นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” ส.ส.พัทลุง ประธานมือกฎหมายแถวหน้า พรรคประชาธิปัตย์ ปะฉะดะคนพรรคเดียวกันมามากส์?????ก่อนรัวฝีปากลั่นกระสุนน้ำลาย ให้ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ที่ทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” พ่ายแพ้การเมืองให้กับ “คนเสื้อแดง” แบบตายยกรังในอดีต “นิพิฏฐ์” สับกิโยตีนวาจาคมเฉียบ บั่นคอ “คุณปู่มารุต บุนนาค” อดีตประธานสภาฯ เสียจบเห่ ไม่มีที่กลบฝังมาครั้งนี้ ชำแหละ เชือดเชือน ซอยหั่นเป็นเรียว ๆ ชุดใหญ่ใส่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ...ที่ไม่ยอมยุบสภาฯ จนทำให้ “พรรคประชาธิปัตย์” เจ๊งกะบ้ง หลุดลุ่ย!!!“อภิสิทธิ์” โดนด่าจนหมดฟอร์ม... เมื่อ “คุณพี่นิพิฏฐ์”อัดเสียงอม?....เล่นบอมม์เอาถึงกับกระจุย??????

*************************************************
รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง!!!
ทั้งหมดนี้, ยังอยากเห็น “พรรคร่วมรัฐบาล” มีใจ เข้ามาแก้ปัญหาของชาติบ้านเมือง กันมั่ง???วิธี “ลอยตัวเหนือปัญหา”..ด้วยการ “ปิดโทรศัพท์มือถือ”...และหันไปใช้ “เบอร์ใหม่” เพื่อไม่ให้ “พรรคฝ่ายค้าน” และ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ติดต่อได้ เป็นเรื่องไม่เข้าท่านักการเมืองพวกท่าน ควรเลิกกลยุทธ์นี้เสียดีกว่าไม่ว่า “นายอภิสิทธิ์” หรือ “พรรคเพื่อไทย” จะติดต่อไป...หรือจะให้ใครโทรไปบีบ ท่านก็ควรจะรับสาย เพื่อแก้ปัญหา ให้ทุกอย่างได้จบ!!!!!นี่ปิดโทรศัพท์ใช้เบอร์ใหม่.........รู้หรือเปล่าว่าคนไทย?...จะถูกฆ่าตายอีกหลายพันศพ????

ที่มา.บางกอกทูเดย์
Tags: ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
************************************************

มือที่เปื้อนเลือด

ยังไงก็ไม่ธรรมดา..เมื่อวันเสาร์ที่ 10 เมษา วันมหาวิปโยค ซึ่งมีทั้ง ประชาชน คนเสื้อแดง/ ทหาร และ นักข่าวต่างประเทศ ตายไปแล้ว 20 กว่าศพ และยังจะมีทยอยตามมาอีกเรื่อยๆ..ในเหตุการณ์ในวันนั้นซึ่งไม่นับผู้บาดเจ็บอีกเกือบพันคน!!หยั่งนี้จะบอกว่า “ไม่มีความเสียหาย” และ ไม่มีใครออกมา “รับผิด” มัน

เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องรับไปเต็มๆ..ในฐานะผู้รับผิดชอบ จะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงฮุ้นอย่างไร ตราบาปนี้ต้องติดตัวไปจนวันสุดท้ายของชีวิต!!แต่ที่รู้ๆ ในคืนนั้น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ถึงกับทุบโต๊ะฉุนขาด ถามหาตัวผู้สั่งการฆ่าประชาชนทำให้ภาพของ “อนุพงษ์”ลอยเด่นเป็นสง่า..เท่ากับเป็นการ “ออกตัว” ให้คนทั้งประเทศได้รู้ว่าเขาคือ “ทหาร” ที่ไม่มีเลือดประชาชนติดมือ??ถ้าเป็น “ผู้หญิง” ก็ต้องถือว่า รักนวลสงวนตัวให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง..ไม่

ยอม “เสียตัว” ให้ใครง่ายๆ ว่างั้นเถอะแถมทำท่าจะทุ่ม รัฐบาลทิ้งอีกตะหาก..ด้วยประกาศชัดเจนว่า การเมือง ต้องแก้ด้วยการเมืองอย่างเดียว อย่าเอาทหารเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย..ยุบสภาเหอะ!!นี่คือ คำพูดที่มันบาดจิตบาดใจ เพราะมันแทงใจดำสุดๆผ่านสงกรานต์เลือดมาด้วยกัน ตัวยังไม่เปียกน้ำ..มือยังไม่เปื้อนเลือด แล้วจะปล่อยให้อยู่อย่างลอยนวลจนถึงเกษียณน่ะเร๊อะไม่มีวันซะร็อก!!ระหว่าง ผบ.ทบ. กับ นายกรัฐมนตรี ควรจะรู้ว่า ใครใหญ่กว่ากันนี่คือ ที่มาของการดัน

ให้ “อนุพงษ์”ออกมาชนกับ “คนเสื้อแดง”แบบจังๆ ในช่วงนี้..ในเมื่อบ้านกูโดนขว้างขี้ มึงก็ควรจะรับต้องขี้ไปกำเอาไว้ด้วยดู อดีต ผบ.ตร. เป็นตัวอย่าง ..พี่ชายใหญ่คับฟ้ายังต้องอ้าปากหวอที่เห็นน้องชายถูก “เชือดคอ”ทิ้งต่อหน้าต่อตา อะไรก็เป็นได้ทั้งนั้น..สัมมาหาอะไรกับคนที่ชื่อ “อนุพงษ์”..คุณน่าจะรู้จักคนที่ชื่อ “มาร์ค” ให้มากกว่านี้!!


ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
************************************************

‘สติ๊กเกอร์’ อัปยศ!

เกมการเมืองเดินหน้าชนคนละแต้ม “ใกล้หมดกระดาน” ยุทธวิธี “ปั่นหัว” เพื่อสร้างอุปทานหมู่ในกลุ่มประชาชนก็ยิ่งรุนแรงแผนการของกลุ่มผู้ไม่หวังดีด้วยการใช้วิธี “ไม่สร้างสรรค์”นำสติ๊กเกอร์ของอดีตนายกรัฐมนตรีขอเป็น “ประธานาธิบดี” ไปติดไว้ที่บริเวณถนนสีลมพฤติกรรมแบบนี้มันแสดงออกถึงความคิดที่ “ชั่วร้าย”และต้องการยุยงปลุกปั่นให้ประเทศชาติเกิดความ “แตกแยก”ซึ่งบริเวณนั้นทุกคนรู้ดีว่า...รายล้อมไปด้วย “นายทหาร” นับพันนายที่คอยอารักขาดูแล “ความปลอดภัย” ไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนพลจากราชประสงค์ไปชุมนุมที่สีลมด้วยอาวุธหนักครบมือแต่ท้ายที่สุด...กลุ่มผู้ไม่หวังดีก็ได้ใช้ “สีลม” เป็น

ฐานที่มั่นเพื่อมุ่งมาดทำลายล้าง...โดยคาดคะเนไว้ล่วงหน้าถึง “อารมณ์ร่วม” ที่รุนแรงของประชาชนนี่คือยุทธวิธี “ลอบกัด” ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี...ซึ่งบ่อยครั้งเรามักได้เห็นพฤติกรรมของคนเหล่านี้...และครั้งนี้ก็เกิดขึ้น “ซ้ำรอยเดิม”แต่ทั้งนี้...ยังไม่มีใครรู้ว่าผู้กระทำเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกันหรือไม่? แต่ที่รู้คือคนกลุ่มนี้ชอบสั่งสม “ความชั่ว” ไม่แตกต่างกันเชื่อเถิดว่า...ประชาชนในประเทศนี้ไม่มีใครคิดเอาใจออกห่าง “แก้วสามประการ” คือ ประเทศชาติ ศาสนา และพระมหา

กษัตริย์โดยเฉพาะความจริงของ “รัฐไทยใหม่” ตามที่ “วีระ มุสิกพงศ์” พูดอยู่บ่อยครั้ง หมายถึงรัฐไทยที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขกฎหมายศักดิ์สิทธิ์ มีความยุติธรรมในสังคม และไม่มี 2 มาตรฐาน ทหารและองคมนตรีไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง...อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริงนี่คือ “ความจริง” และความเป็นจริงเป็นสิ่งไม่ตายแต่ที่จะ “ฆ่ากันตาย” เพราะคนบางกลุ่มมักนำคำพูดที่เป็นความจริงมาบิดเบือนให้เป็น

คุณแก่ฝ่ายตน และเป็นโทษแก่ฝ่ายตรงข้ามหากคุณเป็นคนหนึ่งที่มี “ความคิด” และศึกษาเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมาอย่างมีสติและรอบคอบ...ลองหลับตาปะติดปะต่อเรื่องราวด้วยความไม่อคติและไม่ขลาดเขลาจนเกินไปนักสุดท้ายคุณจะรู้ว่า...ใครกัน? คือทรราช “ผู้ก่อศึก” ครั้งนี้ตัวจริงระวัง! พวกที่คิดชั่วทำชั่วแบบนี้ “ตะขาบ” จะปีนขึ้นหัวเหมือนใครบางคน! 

ที่มา.บางกอกทูเดย์
ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
**********************************************

“วลีทอง”

- ยังไม่มีใครแพ้! ยังไม่มีคนชนะ?? และ...ยังไม่เคยคิดที่จะถอยแม้คนละก้าว นี่คือปฏิบัติการ “ขึงพืดประเทศไทย” ของ รัฐบาลไทย และคนเสื้อแดง!!......

- “กุหลาบพิษ” รายงานข่าวสังคม BANGKOK GOSSIP หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอกทูเดย์ ครบเครื่องเรื่องควรรู้ในมือท่านฉบับนี้ ประจำวันพุธที่ 21 เมษายน 2553......

- เข้าตำรา...ไม่ฉลาด ก็อย่าโง่นัก!! ถึงนาทีนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้เต็มอกแล้วล่ะสิว่า ตัดสินใจผิดพลาดขนาดไหนในการสั่งกองทัพอาวุธพร้อมมือ เข้าสลายฝูงชนในเวลามืดค่ำ??......

- คืนวันจันทร์ที่ผ่านมา จาตุรนต์ ฉายแสง ขึ้นเวทีเสื้อแดง แจกแจงทุกเรื่องที่เกิดขึ้น กับเหตุการณ์ “10เมษา วิปโยค” เหมือนสมภารสอนหนังสือเณรน้อย ตั้งข้อสังเกตที่ “มาร์ค อภิสิทธิ์ชน” ชอบอ้างเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง? พูดเต็มปากได้อย่างไร? การปราบปรามประชาชน (จนมีคนตายนับสิบ) คือ “การรักษากฏหมาย”??.......

- “กุหลาบพิษ” ขอถาม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา การกรีธาทัพทหารชุดรบ(อาวุธครบมือ) เพื่อคุ้มครองถนนสีลม มันจะเป็นแนวทางเดียวกับ “วลีทอง” ของ ผบ.ทบ. ที่เคยประกาศ “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” และ “ทหารจะไม่ปราบปรามประชาชน” ได้ตรงไหน??.....

- จนบัดนี้ รัฐบาลยังตามไล่บี้ ปิดเว็บไซต์เหมือนคนบ้า มา 38 สำนัก!! ปิดหูปิดตาคนไทยฝ่าย “เสื้อแดง” และคนไทยหลายสิบล้าน ไม่ให้รับรู้อะไรทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรีที่เกิดในประเทศอังกฤษ คิดอย่างไร กับปฏิบัติการ “ชเลียร์” ของประดา “คนใกล้ตัว” ที่ “เป่าหู” อยู่ทุกวัน??......

- มันอะไรกันนักหนา?? ปิดสถานี พีทีวี ของคนเสื้อแดงเรียบร้อย!! ปิดหูปิดตาเหมือนเมืองไทยไม่มีรัฐธรรมนูญคุ้มครอง “สิทธิของประชาชน” แล้ววันนี้ รัฐมนตรี สาทิตย์ วงศ์หนอเตย คิดได้หรือยัง?? ว่า รังแกเขาไปแค่นั้น มันยังไม่สะใจอีกหรือ??.....

- ไม่ได้นำมาบอกเล่า แค่ให้ขบขันเล่น... แต่ใครที่ไม่รู้โปรดรู้กันไว้แก้เครียด!! บ้านพักที่หัวหิน ซึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พาครอบครัวไปพักผ่อนวีคเอนด์ที่ผ่าน ไม่ใช่โรงแรมหรู แต่เป็นบ้านพักชื่อ “บ้านคอกหมู” ที่ไม่ได้มีเอาไว้เลี้ยงหมู แต่เป็นที่รับรองคนระดับนายกรัฐมนตรี.......

- ก็แค่คิดแบบคนหนุ่มไฟแรงมั้ง?? หัวก้าวหน้า? เติบโตในเมืองนอกมากกว่าเมืองไทย “หม่อมปลื้ม” ม.ล.ณัฏฐกร เทวกุล จึงร่ายยาวในรายการ “VOICE TV” สองคืนก่อนเพลินไปหน่อย? เสนอให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ด้วยเหตุผลที่ฟังแล้วพอจะรับได้??.....

- แต่...ประทานโทษ!! “พี่ปลื้ม” พูดไม่ผิดแน่นะพี่?? ที่ออกมายืนยันด้วยการ “คาดว่า” คนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีในระบบนี้คนแรกของประเทศไทย เป็นชายไทย ที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่?? เล่นเอาคนไทยค่อนประเทศ “ช็อค” เหมือนเกิดซึนามิรอบสอง!!....

- เพราะไม่ใช่รัฐมนตรีฝ่ายบู๊!! พรทิวา นาคาศัย จึงทำได้แค่ สั่งข้าราชการลงพื้นที่สำรวจทุกข์ ของผู้ประกอบการภาคธุรกิจในบริเวณปิดถนนว่า ได้รับผลกระทบขนาดไหน? ต้องการความช่วยเหลืออะไร จะได้เร่งเยียวยาให้ ก็ยังดีที่ยังมีรัฐมนตรีซึ่งคิดถึง “ทุกข์ชาวบ้าน” เหลืออยู่บ้าง!!........

- คุณป๋า พิษณุ นิลกลัด แน่ใจนะป๋าว่า กางเกงฟ้า-เสื้อยืดดำ แว่นตาดำ ที่สวมใส่มาออกรายการสปอร์ตทิป ในช่อง 7 สี คืนวันจันทร์ก่อน คือ ชุดกีฬาสำหรับนักกอล์ฟ ไม่ใช่ชุดสำหรับ เดินแฟชั่นแถวเซ็นเตอร์พ้อยท์ สยามสแควร์??....๐


ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************

เราเป็นเพื่อนกัน

ใครก็ตาม...ที่กำลังทำงานเพื่อคนอื่น...ใครคนนั้น...จะมีพลังอันวิเศษ...เพื่อจะเอาชนะในงานชิ้นนั้น...มหาตมะคานธี...หากจบจากมหาวิทยาลัยดัง...ในเมืองอังกฤษแล้วกลับมาใช้ชีวิตเป็นขุนนางในจวนของผู้สำเร็จราชการชาวอังกฤษ ที่ปกครองอินเดียชีวิตท่านคงจะแสนสุขสนุกสบาย อยู่เหนือคนอินเดียหลายร้อย

ล้าน...มีหลักฐานสร้างความมั่งคั่งได้อย่างมหึมา...จากฐานความรู้และความแตกฉานในภาษา...ที่เหนือกว่าพลเมืองอินเดียทั่วไปจวบจนวันตาย...โฮจิมินต์แห่งเวียดนาม...ไม่เคยมีมากกว่าที่ต้องกินอยู่ไปวันๆ เขาเป็นเจ้าของประเทศทั้งประเทศ...เป็นจ้าวชีวิตของคนญวนทั้งเหนือและใต้...เพราะเขาไม่เคยทำงานให้กับตนเอง...แต่เขาทำงานเพื่อคนอื่น คนญวนทั้ง 2 แผ่นดิน...กองทัพใหญ่ยักษ์อันดับ 1 ของโลก...ยังต้องปราชัยให้กับสงครามของเขา...ในโลกอันไพศาล...

ล้าน ล้าน ล้าน ของผู้คนก่อเกิดกันขึ้นมา...เขาล้วนเกิดเติบโตและตายเพื่อยังชีวิตแห่งเขาให้ดีขึ้นสูงขึ้น...มีจำนวนนับ 10 เท่านั้นตั้งแต่โลกถูกสร้างขึ้นมา...ที่ทำงานเพื่อคนอื่น...สิทธัตถะ...ยุวกษัตริย์...ทิ้งความเป็นมหาราช...พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นมา...คุกขังได้แต่ตัวจิตวิญญาณของ...เนสสัน เมนเดลา...คือประชาชนผิวดำแห่งอาฟริกาใต้...โลกบันทึกไว้...เขาคือ วีรบุรุษตลอดกาล...เพื่อคนไทยและความเป็นไท...ราชวังแห่งองค์นเรศวร...คือป่าเขาลำเนาไพร...

ยากไร้แม้แต่องค์มเหษี...ไม่มีรัชทายาท...ในยามที่สังคมชาติกำลังล่มสลาย...ไทยกับไทย...ยื่นปลายหอกและคมดาบเข้าใส่กัน...แผดก้องแห่งกระสุนสังหาร...ทะลุทะลวงเข้าสู่เรือนร่างไทยคนแล้วคนเล่า...ไทยกับไทยพูดขนานกันไปบนเส้นทางแห่งแพ้กับชนะ...แน่นอนว่า...ในที่สุดนั้น...คงไม่มีกระสุนสังหารเพียงพอสำหรับ 60 ล้านพลเมืองไทย...ทำไม...เราไม่หันมามองกันใน...สิ่งหนึ่ง...ประโยคหนึ่งมีว่า...IF YOU CAN TREMBLE WITH INDIGNATION EVERY

TIME AN INGUSTICE IS COMMITTED IN THE WOLD WE ARE COMRADES””“ถ้าคุณรู้สึกโกรธจนตัวสั่นทุกครั้ง เมื่อมองเห็นความอยุติธรรมอุบัติขึ้นบนโลกนี้...เราเป็นเพื่อนกัน”คนที่เกิดมาเพื่อทำงานให้กับคนอื่น...จะรวมตัวเป็นครอบครัวเดียวกันทันที...และจะไม่มีผู้ใดใครก็ตามจะเอาชนะครอบครัวเยี่ยงนี้ได้


ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.พญาไม้
************************************************

‘การเจรจา’ วิธีการสันติ ระงับข้อขัดแย้ง!

ถ้าเราเป็นรัฐบาลจะจัดการอย่างไรดี กับการชุมนุมของกลุ่มนปช.? คำถามดังขึ้นในวงสนทนาของกลุ่มคอการเมือง บางคนก็บอกว่า...สลายการชุมนุมเลย ปราบปรามเด็ดขาด บ้านเมืองต้องมีขื่อมีแป บ้างก็แย้งว่า การชุมนุมสลายไม่ได้ พลาดพลั้งบาดเจ็บล้มตายจะสูญเสีย บทเรียนมีแล้วไม่จำหรือ ต้องบังคับใช้กฎหมายแบบว่า ผิดก็ดำเนินคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป บางรายก็แนะว่า...รัฐต้องกันคนอย่าให้เข้าไปเพิ่ม ตัดท่อน้ำเลี้ยง เดี๋ยวคนก็น้อยลงเอง เสียงแทรกก็มีขึ้นว่า...ไม่ได้จะไปกีดกันไม่ให้คนมาชุมนุมได้อย่างไรแม้แต่กลุ่มเล็กๆ ไม่กี่คนยังถกเถียงกันหาข้อสรุปไม่ได้ จนหนึ่งในผู้สนทนาต้องบ่นร้องเสียงดังว่า ยุ่งจังโว้ย! จะ

ทำยังไงดี ไม่อยากให้บ้านเมืองเป็นอย่างนี้จะทำอย่างไรดีกับการชุมนุมที่ดำเนินอยู่ เป็นโจทย์หนึ่งที่รัฐบาล ผู้มีหน้าที่ทุกฝ่ายต้องขบคิด หลายคน หลายกลุ่ม หลายองค์กรที่มีความเห็น ก็เสนอความเห็น เสนอแนวทาง วิธีการไว้ก็หลากหลาย รัฐบาลก็ต้องรับไปพิจารณาไตร่ตรองต่อไปอย่างเร็ว หรือแม้กระทั่งฝ่ายผู้ชุมนุมก็ต้องนำไปไตร่ตรองเช่นกัน ความจริงโจทย์นี้ อาจจะมีคำตอบได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมดีขึ้นสำหรับทั้งรัฐบาลและผู้ชุมนุม หากเรามีกฎหมายเกี่ยวกับการ

ชุมนุมให้ชัดเจนเสียที ระบุให้ชัดว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ ถ้าฝ่าฝืนจะทำอย่างไร หวังว่าเมื่อผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปแล้ว รัฐบาล ฝ่ายค้าน ผู้ชุมนุมและทุกฝ่ายจะมาร่วมกันผ่านกฎหมายการชุมนุมที่ทุกคนรับได้เสียที ผู้บังคับใช้กฎหมายจะได้สบายใจ ผู้ชุมนุมก็สบายใจ ประชาชนก็สบายใจแล้วจะทำอย่างไรระหว่างนี้ ที่ดีที่สุด คือ การเจรจา การเจรจาเป็นวิธีการที่สันติ เป็นหนึ่งในวิธีการระงับข้อพิพาท ระงับข้อขัดแย้ง แต่ต้องไม่ใช่การเจรจาต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ ต้องไม่ใช่

การเผชิญหน้า ต้องไม่ใช่มาต่อว่าใครถูกใครผิด ต้องไม่บันทึกเสียงเอาไว้ ต้องไม่เอามากล่าวอ้างภายหลัง ต้องทำให้ทุกฝ่ายสบายใจที่จะเจรจา หากสำเร็จก็ดี...ไม่สำเร็จก็จะไม่เป็นผลร้ายกับฝ่ายใด และควรมีคนกลางที่ทุกฝ่ายให้การยอมรับ เพื่อมาช่วยดึงหรือนำให้การเจรจามุ่งไปในอนาคต มุ่งหาทางออกที่ทุกฝ่ายพอรับได้ถามว่า...เจรจาไปจะมีทางสำเร็จหรือ สถานการณ์ไปไกลเกินกว่าจะเจรจาแล้วยากมาก... ตอบว่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ การเจรจาดังที่กล่าวมาไม่มีต้น

ทุน ไม่มีความสูญเสีย หากเราจะย้อนดูประวัติศาสตร์ย้อนดูตัวอย่างของประเทศอื่นๆ ที่เขามีความขัดแย้งกันอย่างร้าวลึก เขาใช้ความรุนแรงต่อสู้ประหัตประหารกันมาเป็นสิบๆ ปี ท้ายที่สุดก็แก้ปัญหาไม่ได้ และต้องหันมานั่งโต๊ะเจรจากันการเจรจาตามหลักการที่ว่ามา ไม่มีต้นทุน ไม่มีความสูญเสีย ไม่มีใครเสียหน้า ไม่จำกัดรอบเจรจา โอกาสสำเร็จมี... ดังนั้น การเจรจาจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดสำหรับบ้านเมืองของเราในขณะนี้ อย่าทิ้งหนทางนี้เลยครับ

รศ.ดร.กำชัย จงจักรพันธ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ถอดรหัสวาทกรรม "ก่อการร้าย" สัญญาณความรุนแรงรอบใหม่

เรื่องจะจบเร็วๆ นี้ ยกที่ 1 กำลังจะจบ และกำลังจะไปสู่ยกที่ 2 มีความพยายามสร้างความชอบธรรมกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น"
เป็นคำกล่าวของ รศ.ดร.มารค ตามไท นักวิชาการรุ่นใหญ่จากมหาวิทยาลัยพายัพ ที่คาดการณ์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้อย่างตรงไปตรงมาและแหลมคม

เป็นการคาดการณ์ที่ทำเอาวงเสวนา "ท้าทายสันติวิธีภายใต้สภาวะการแบ่งฝ่าย" ที่ศูนย์ศึกษาสันติภาพและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งประกอบด้วยนักสันติวิธี อาสาสมัครเพื่อนรับฟัง อาสาสมัครสันติอาสาสักขีพยาน นักวิชาการ และสื่อมวลชน 2 สำนัก รวมๆ ประมาณ 20 ชีวิตอยู่ในอาการเงียบกริบ

เป็นความเงียบที่ไม่มีใครปฏิเสธ เพราะสภาพการณ์ที่เห็นและเป็นอยู่ส่อให้เห็นว่าแนวโน้มของสถานการณ์มีโอกาสสูงที่จะเดินไปสู่จุดนั้น โดยเฉพาะเกมของฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐหลังเหตุการณ์ 10 เมษาฯ วิปโยค ที่ระดมใช้สื่อทุกแขนงในมืออธิบายเรื่องราวผ่านคลิปวีดิโอ สกู๊ปข่าว และตั้งวงสนทนาหน้ากล้อง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง

แต่คำถามที่ฝ่ายผู้ถืออำนาจรัฐต้องตอบ แต่ยังไม่มีคำตอบก็คือ ความพยายามสร้างความชอบธรรมนั้นดำเนินไปเฉพาะกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษาฯซึ่งผ่านพ้นไปแล้ว หรือกำลังต้องการสร้างความชอบธรรมกับการใช้ความรุนแรงและความสูญเสียรอบใหม่ ท่ามกลางเสียงเชียร์จากหลากหลายฝ่ายให้จัดการปัญหาการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยความ "เด็ดขาด" เสียที

อาจารย์มารค เรียกความรุนแรงรอบใหม่ที่เชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ว่า "ยกที่ 2"

"ประเด็นขณะนี้ไม่ใช่เรื่องยุบสภา ลาออก หรือการเจรจา แต่เป็นเรื่องที่ว่า 'ใครคือคนเรียกร้อง' ไม่ใช่เรื่อง Issue (ประเด็นข้อเรียกร้อง) อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องบุคคลหรือกลุ่มคน เช่น ถ้าเป็นกลุ่มโน้นกลุ่มนี้เรียกร้อง อาจจะรับฟัง แต่ถ้าเป็นกลุ่มนี้ไม่รับฟัง และเมื่อประเด็นมันเปลี่ยนเป็นเรื่องกลุ่ม ความชัดเจนก็กำลังจะเกิดขึ้น"

อาจารย์มารค ชี้ว่า งานสันติวิธีในยกที่ 2 เป็นเรื่องยาก เพราะเป็นการช่วงชิงอนาคตของประเทศ สันติวิธีอาจจะห้ามไม่ได้ ความสูญเสียจึงอยู่ที่การจัดการว่าจะทำได้ขนาดไหน อย่างไร เพราะความขัดแย้งบางลักษณะอาจไม่มีคนอยู่ตรงกลางได้ ขณะที่การบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายรัฐจะมีความชอบธรรมเมื่อบังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพระดับหนึ่ง

นักวิชาการชื่อดัง ยังให้ทัศนะว่า วาทกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมที่จะทำให้เกิดการสูญเสีย อาจเป็นการสร้างความกลัวหรือเกลียดก็ได้ และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือวาทกรรมว่าด้วย "การก่อการร้าย"

"คำว่าก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มันโยงกับความพยายามบางอย่าง กฎหมายบางอย่าง และเพื่ออะไรบางอย่าง"
แนวทางป้องกันไม่ให้ความสูญเสียในยกที่ 2 เกิดขึ้น อาจารย์มารค เสนอว่า ให้สังคมช่วยกันเริ่มยกที่ 2 ไปเลย นั่นคือให้คู่ขัดแย้งแต่ละฝ่ายเปิดตัวออกมาให้ชัดว่าคิดอย่างไร มีเป้าหมายอย่างไร ถ้าทำได้จะทำให้ความกลัวของสังคมลดลง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นบทบาทของสื่อ

ยกตัวอย่างเช่น มีการกล่าวหาว่าอีกฝ่ายต้องการล้มสถาบัน อาจจะต้องเปิดเวทีให้พูดกันว่าแท้ที่จริงแล้วมีการเรียกร้องอย่างนั้นจริงหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เข้าใจกันมากขึ้นว่าจุดยืนจริงๆ ของแต่ละฝ่ายอาจจะไม่ได้ไปไกลขนาดที่คิดกันก็ได้

แต่ถึงที่สุด ไม่ว่าบทสรุปสุดท้ายของสถานการณ์จะเป็นอย่างไร อาจารย์มารค ฝากเตือนเอาไว้กลายๆ ว่า ความเป็นปกติสุขในสังคมไทยในอนาคตจะไม่เหมือนกับในอดีตอีกแล้ว

ในวงเสวนาเดียวกัน ยังมีความเห็นจาก ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะนักสันติวิธีชื่อก้อง โดยเขาเสนอทางออกในระยะสั้นเพื่อป้องกันความรุนแรงและความสูญเสียใน "ยกที่ 2" ว่า การเผชิญหน้ากันบนถนนมีความเสี่ยงสูงมาก ฉะนั้นลำดับแรกต้องย้ายพื้นที่จากถนนไปใช้พื้นที่อื่น หรือพื้นที่ทางการเมืองที่จะทำให้มีการเจรจาต่อรองกันได้

ขณะที่ จิราภรณ์ บุนนาค อดีตรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มองว่า เท่าที่ได้พูดคุยกับนายทหารระดับสูง ยังคงได้รับการยืนยันว่าจะไม่มีการใช้ความรุนแรง เป็นคำพูดที่รับประกันด้วยศักดิ์ศรีของทหาร แต่จะเน้นการจัดการตามกฎหมายให้มากที่สุด

อย่างไรก็ดี จิราภรณ์ เห็นว่า สิ่งที่น่ากลัว ณ เวลานี้คือการปะทะกันระหว่างประชาชนด้วยกันเอง...

หรือนั่นจะเป็น "ยกที่ 2" ที่ทุกคนหวั่นกลัว!

ผลเจรจา 2 ฝ่าย ปชป.ติดเงื่อนไขยุบพรรค

อันที่จริงในสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่าง "ทหาร" กับ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ซึ่งสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงรอบใหม่ได้ทุกเมื่อนั้น ความพยายามที่จะเปิดการเจรจาไม่รู้รอบที่เท่าไร ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง

และกลไกหนึ่งที่ดำเนินกระบวนการคืบหน้าไปมากพอสมควร ก็คือคณะทำงานด้านสันติวิธีชุดหนึ่งซึ่งเป็นที่รวมของกลุ่มนักวิชาการกับอดีตข้าราชการระดับสูง

คณะทำงานชุดนี้ได้นัดแกนนำที่เป็นคู่ขัดแย้ง คืออดีตแกนนำพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นแกนนำของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วย กับบุคคลระดับนำของพรรคประชาธิปัตย์ มานั่งคุยกันได้ถึงสามรอบแล้ว

แม้ผลของการพูดคุยยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นใหญ่ๆ แต่ก็ถือว่าเป็น "สัญญาณที่ดี" ท่ามกลางสถานการณ์ร้อน
ท่าทีของทั้งสองฝ่ายมีทั้งที่เห็นพ้องกันและเห็นต่างกัน รวมถึงข้อจำกัดในการกระทำหรือไม่กระทำในบางข้อเสนอด้วย ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

1. ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก มีการพูดกันเรื่องสันติวิธี แต่ก็ย้ำเตือนกันว่า วินัยในการใช้สันติวิธีบางรูปแบบก็มีความสำคัญ

2. มีการพูดกันถึงข้อเรียกร้องของฝ่ายผู้ชุมนุมให้รัฐบาลเลิกการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548) ขณะที่ฝ่ายรัฐก็ขอให้ผู้ชุมนุมคืนพื้นที่ที่สี่แยกราชประสงค์ แต่ยังไม่มีข้อยุติ

ประเด็นนี้ แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีเหมือนถูกโดดเดี่ยวและถูกกดดันจากทุกฝ่าย นายกฯ เคยถูกขู่ฆ่า เคยถูกทุบรถที่กระทรวงมหาดไทย (เหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้ว) จึงยากที่จะยอมให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ หากไม่มีหลักประกันที่ดีพอ

3. มีการให้ข้อมูลว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่มองข้ามเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปแล้ว การมาร่วมชุมนุมของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเพราะมาร่วมแล้วรู้สึกมีคุณค่า ปัญหาของตัวเองได้รับการรับฟัง

4. มีการเสนอให้ฝ่ายคนเสื้อแดงไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็ไปเยี่ยมคนเสื้อแดงที่ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่เห็นพ้อง เนื่องจากเกรงผลกระทบที่จะตามมา

5. ฝ่ายคนเสื้อแดงพูดกันถึงวาทกรรม "ก่อการร้าย" ที่ฝ่ายรัฐบาลใช้ ซึ่งทำให้คนเสื้อแดงไม่พอใจ และผู้ชุมนุมส่วนใหญ่รู้สึกสะท้อนใจที่กล่าวหากันเกินไป

6. ฝ่ายประชาธิปัตย์พูดถึงเงื่อนไขการยุบสภา โดยแสดงความเป็นห่วงเรื่องคดียุบพรรค เพราะเมื่อพิจารณาจากคดีของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่ผ่านมาจะตัดสินภายใน 3-5 เดือน ฉะนั้นการยุบสภาต้องพิจารณาในมุมที่เป็นไปได้สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ด้วย เนื่องจากถ้าพรรคถูกยุบขณะกำลังหาเสียงเลือกตั้งอยู่ พรรคประชาธิปัตย์จะทำอย่างไร

ทั้งหมดนี้เป็นเงื่อนไขและข้อจำกัดของแต่ละฝ่าย ซึ่งคณะทำงานด้านสันติวิธีกำลังเสนอให้คู่ขัดแย้งพยายามขยับออกจากเกมเดิม... เพื่อไม่ให้ก้าวเดินไปสู่ความรุนแรง!

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
*************************************************