--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

อดีต ปธ.สมานฉันท์หนุนเจรจา ไม่คืบหน้าค่อยยุบ 16องค์กรภาค ปชช.เรียกร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี-เจรจา

16 องค์กรภาค ปชช.ยื่นหนังสือ รบ. เรียกร้องทุกฝ่ายใช้สันติวิธี-เจรจา รัฐอย่าใช้วิธีรุนแรงสลาย ขณะเดียวกันม็อบก็อย่าติดอาวุธผู้ชุมนุม จี้เปิด พท.ราชประสงค์ ปรามทหารอย่าปฏิวัติจะยิ่งทำบ้านเมืองถลำลึก

16องค์กรยื่นรบ.อย่าใช้รุนแรง

ตัวแทนกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ประกอบด้วย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า ศูนย์สันติวิธีมหาวิทยาลัยมหิดล คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป. อพช.) เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง เครือข่ายสันติวิธี กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง กลุ่มนักวิชาการประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง เครือข่ายจิตอาสา คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายพุทธิกา นำโดย พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า เดินทางไปยังกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11รอ.) เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 19 เมษายน ยื่นหนังสือถึงรัฐบาล เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ สันติวิธีและการเจรจา ช่วยกันพาประเทศไทยออกจากวิกฤต โดยมีนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังเรียกร้อง

หนังสือกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร ระบุข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ขอให้การสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตในเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เป็นบทเรียนแก่ทุกฝ่ายว่า ความรุนแรงไม่ใช่หนทางที่จะพาประเทศไทยออกจากวิกฤตได้ อีกทั้งการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องหาทางคลี่คลายแก้ไข แต่ขอให้ไม่ใช้วิธีการรุนแรงและการสลายการชุมนุม เพราะจะเกิดความสูญเสียยิ่งไปกว่าที่ผ่านมา และจะยิ่งทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายจนถึงขนาดอาจจะเกิดสงครามกลางเมืองได้ ส่วนด้านของผู้ชุมนุมก็ต้องไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ให้มีอาวุธในที่ชุมนุม

ให้2ฝ่ายถอยคนละก้าว-อย่าปฏวิติ

2.ขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยคนละก้าว เพื่อเปลี่ยนเส้นทางที่กำลังพาประเทศไทยมุ่งหน้าไปสู่การแตกหักและความพังพินาศของทุกฝ่าย โดยให้มาใช้แนวทางสันติวิธีในการแก้ปัญหา โดยขอให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ส่วน นปช.ขอให้เปลี่ยนที่ชุมนุมจากสี่แยกราชประสงค์เป็นพื้นที่อื่น หรืออย่างน้อยต้องเปิดพื้นที่ให้ห้างร้านต่างๆ ในบริเวณนั้นสามารถทำการได้ตามปกติ และควรหลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การปะทะหรือการสูญเสีย 3.ขอให้ทุกฝ่ายใช้วิธีการเจรจาและการประนีประนอมกันในการแก้ปัญหา 4.ขอให้ทุกฝ่ายหยุดการนำเสนอข้อมูลที่เป็นด้านเดียว 5.ขอให้ทหารอย่าทำรัฐประหาร เพราะจะยิ่งทำให้ประเทศไทยยิ่งถลำลึกลงไปในวิกฤตการณ์ยิ่งขึ้น

อดีตปธ.สมานฉันท์ติงใช้รุนแรง

นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้เป็นปัญหาการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมืองตามที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เคยพูดไว้ ดังนั้น รัฐบาลอย่าใช้กำลังทหารแก้ปัญหาเป็นอันขาด ต้องตั้งสติให้ดี และวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการที่ใช้อยู่ขณะนี้ จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชนได้ ณ เวลานี้ คนที่มาชุมนุม ไม่ได้ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแต่ชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่า ผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย ส่วนเรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายปรากฏในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ฝ่ายทหารต้องวิเคราะห์เอง แต่อย่าไปเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจจะชนะตอนนี้ แต่ปัญหาไม่จบ อาจจะเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร เกรงว่า จะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ทั่วประเทศ

ย้ำให้เจรจา-ไม่ได้ผลก็ยุบสภา

"ขั้นแรกรัฐบาลต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ และยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วเปิดเจรจาโดยรัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบสภา แม้เลือกตั้งใหม่ รัฐบาลใหม่เข้ามาอาจอยู่ได้ไม่นานแล้วต้องยุบสภาอีก ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นในช่วงเปลี่ยนผ่านการเมืองหลายครั้ง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าไปใช้กำลังสลายการชุมนุม เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่ไม่มีฝ่ายใดเอาอยู่ ที่สำคัญรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชาธิปไตย ปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่องใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม" นายดิเรกกล่าว

ส.ว.ซัดใช้1ล./หัว ลวงร่วมชุมนุม

ขณะที่ ส.ว.ในกลุ่ม 40 ส.ว. อาทิ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา อภิปรายโจมตีแกนนำ นปช.ระหว่างการประชุมวุฒิสภา ในช่วงที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ประธานการประชุมเปิดให้สมาชิกหารือ โดยเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ว.กลุ่มนี้ โจมตีว่าการชุมนุมขณะนี้ ไม่ยึดแนวทางสันติ และไม่ถูกต้องที่ใช้ประชาชนเป็นเบี้ยในการแย่งอำนาจรัฐ และเป็นห่วงว่า จะเกิดสงครามกลางเมืองคนไทยฆ่ากันเอง ขณะที่ น.ส.สุมล สุติวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี กล่าวว่า การเจรจาสองฝ่ายเป็นเพียงพิธีกรรม เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเงื่อนไขที่ทำไม่ได้ เหมือนต้องการให้กฎหมู่เหนือกฎหมาย จนวันที่ 10 เมษายน เกิดเหตุสูญเสียชีวิต รัฐบาลต้องแยกผู้บงการและแกนนำออกจากประชาชนและดำเนินคดีให้ได้

ทพ.อนุศักดิ์ คงมาลัย ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ได้รับข้อมูลจากประชาชนว่า มีขบวนการชักจูงคนไปร่วมชุมนุม โดยมีนายหน้ามาหาและให้ทำบัตรสมาชิกและให้นำคนไปชุมนุม ซึ่งถ้ามาชุมนุมแล้วเกิดบาดเจ็บหรือตาย ก็จะได้ 1 ล้านบาท แต่ถ้าไม่เป็นไรแล้วต่อไปเจ้านายของเขาสามารถกลับมาได้ ก็จะได้ 1 ล้านบาท ถือเป็นกลลวงให้ผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งเข้ามา และผู้ให้ข้อมูลยินดีเปิดเผยตัว

ส.ว.เลือกตั้งอยากเห็นภาวะผู้นำ

นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ ลุกขึ้นหารือโดยระบุว่า ขณะนี้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ชัดเจนมากกว่าช่วง 7 วันที่ผ่านมา และขอตั้งข้อสังเกต 3 เรื่อง คือ 1.ผู้เคราะห์ร้าย มีทั้งผู้ชุมนุม ทหาร สื่อ รวมถึงประเทศไทย 2.ที่รัฐบาลพูดถึงผู้ก่อการร้าย ตอนแรกบอกแค่คนชุดดำ ตอนหลังพูดในทำนองคนที่ใส่เสื้อสีแดงซึ่งไม่ควร และขอให้ระวังในการสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน 3.ผู้สุดวิสัย พยายามโบ้ยว่า ที่เกิดความรุนแรงเพราะผู้ไม่หวังดีทำ แต่คิดว่าประเด็นหลักคือ เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครจะรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ เพราะประชาชนฟังปากต่อปาก และแต่ละแหล่งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลเหมือนกันจึงสับสน และไม่ได้ดูคลิป ดูเว็บไซต์ของรัฐบาล รายการที่นายกฯพูดจ้อทุกวันอาทิตย์ ทำไมวันที่ 18 เมษายน จึงงด จึงขอเรียกร้องให้นายกฯออกมาชี้แจง อย่าให้ผู้สุดวิสัยออกมาพูด

จากนั้นนายประสพสุขชี้แจงว่า การเรียกประชุมวุฒิสภาด่วนพิเศษเมื่อวันที่ 9 เมษายน เพื่อพิจารณาญัตติ ได้หารือกับผู้เสนอญัตติเมื่อวันที่ 8 เมษายน แล้วว่า เรียกประชุมเร่งด่วน สมาชิกไม่น่าจะมาได้ครบองค์ประชุม ฝ่ายเสนอญัตติก็บอกว่าครบเพราะตรวจสอบแล้ว ผมก็บอกว่าจะรอถึง 11.00 น.ถ้าไม่ครบก็ไม่เปิดประชุม ซึ่งพอถึงวันที่ 9 เมษายน ตามเวลาที่กำหนดเมื่อไม่ครบองค์ประชุมจึงต้องเลื่อนการประชุมออกไป ส่วนเหตุวันที่ 10 เมษายน เป็นความสูญเสียจึงขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัย 1 นาทีให้ผู้เสียชีวิตŽ นายประสพสุขกล่าว

กลุ่ม24จี้นายกฯใช้สภาแก้ปัญหา

นายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ ส.ว.สรรหา พร้อมด้วยตัวแทน 24 ส.ว.อาทิ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล ส.ว.สรรหา นายจิตติพจน์ วิริยะโรจน์ ส.ว.ศรีสะเกษ นายวิทยา อินาลา ส.ว.นครพนม ร่วมกันแถลงที่รัฐสภา กรณีที่ร่วมกันลงชื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี ขอให้นำปัญหาการชุมนุมของ นปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา

นายวิชาญกล่าวว่า พวกตนทั้ง 24 คน กังวลกับวิธีการและมาตรการต่างๆ ที่รัฐบาลดำเนินการที่มีทั้งการยั่วยุโดยอาศัยสื่อของรัฐ การข่มขู่ โดยโฆษกต่างๆ และวิธีการอื่นที่รัฐบาลพึงคิดอันนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย และสุดท้ายอาจนำไปสู่สูญเสียชีวิต ดังนั้น ขอเรียกร้องให้นายกฯตอบรับการเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภาตามที่ ส.ว.เคยยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161ทันที หรือหากรัฐบาลเห็นว่าจะเป็นประโยชน์มากขึ้น ก็ขอให้รัฐบาลเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อฟังเสียงทั้ง ส.ส.-ส.ว.ไปพร้อมกันโดยทันที อย่าคิดว่าประเทศไทยเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะยังมีรัฐสภาที่จะช่วยแก้ไขปัญหาให้กับประเทศด้วย

ส.ว.43-49เรียกร้องยุติปิดกั้นสื่อ

นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่ม ส.ว.2543-2549 รวม 29 คน เช่น พนัส ทัศนียานนท์ อดีต ส.ว.ตาก นายนภินทร ศรีสรรพางค์ (ราชบุรี) นายวิบูลย์ แช่มชื่น (กาฬสินธุ์) นายมนตรี สินทวิชัย (สมุทรสงคราม) นายไสว พราหมณี (นครราชสีมา) นายบุญทัน ดอกไธสง (นครราชสีมา) นายประเกียรติ นาสิมมา (ร้อยเอ็ด) นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล (ร้อยเอ็ด) นายบุญญา หลีเหลด (สงขลา) นายสมพงษ์ สระกวี (สงขลา) นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ (นครสวรรค์) นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ (กรุงเทพมหานคร) พล.ต.อ.วิรุฬห์ ฟื้นแสน (เชียงราย) นายอดุลย์ วันไชยธนวงศ์ (แม่อ่องสอน) นายมนู วนิชชานนท์ (สุราษฎร์ธานี) นายศรีเมือง เจริญศิริ (มหาสารคาม) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลยุติการปิดกั้นสื่อและการใช้สื่อของรัฐเสนอข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียวกรณีการสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยกลุ่มนี้มีข้อเรียกร้องดังนี้ 1.ประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐโดยทันที เพราะเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย 2.มีคำสั่งยกเลิกการปิดกั้นและตรวจสอบการเสนอข้อมูลข่าวสารโดยเสรีของสื่อทุกชนิดโดยทันที เพื่อคืนสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญอันสมบูรณ์ในการบริโภคสื่อและการแสดงความคิดเห็นโดยเสรีให้แก่ประชาชน 3.ขอเรียกร้องให้สถาบันและองค์การสื่อสารมวลชนทุกชนิดและผู้ประกอบวิชาชีพสื่อทุกคนรักษาจริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพของตน ด้วยการนำเสนอข้อมูลและข่าวสารตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 เสนอข้อมูลและพยานหลักฐานของตนโดยเสมอหน้ากัน

วิปรบ.ห่วงปะทะ-เล็งคุย พธม.

นายธนิตพล ไชยนันทน์ ส.ส.ตาก พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยผลการประชุมวิปรัฐบาลว่า วิปรัฐบาลหารือสถานการณ์บ้านเมือง แต่ยังไม่มีข้อสรุปถึงทางออก อย่างไรก็ดี ได้วิเคราะห์สถานการณ์เห็นว่าการที่แกนนำ นปช.นำผู้ชุมนุมมาอยู่ที่ราชประสงค์ ก็ทำให้มีแรงกดดันจากหลายฝ่าย การยกระดับการชุมนุมของ นปช.จึงถูกยกระดับด้วยตัวสถานการณ์เอง อย่างไรก็ดี การที่มีบางกลุ่มซ่องสุมกำลัง และยังมีกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ออกมาคัดค้าน นปช.นั้น จุดนี้จึงเป็นจุดที่รัฐบาลห่วงที่สุด เพราะเกรงว่าจะเกิดการปะทะกันระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลก็พยายามประสานทุกฝ่ายที่ประสานได้ หากเจรจาได้ก็เป็นการดี โดยมองว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังคุยกันได้เพราะยังไม่ได้เริ่มออกมาชุมนุม ส่วนกลุ่มเสื้อหลากสีก็เช่นกันที่มีความเข้าใจในสถานการณ์ซึ่งคุยไม่ยาก แต่กับกลุ่มเสื้อแดงคงยาก เพราะการชุมนุมยกระดับขึ้นและก็มัดตัวเองมากขึ้น รัฐบาลจะไม่ดำเนินการตามกฎหมายก็ไม่ได้ แต่การดำเนินการตามกฎหมายใดๆก็ยากลำบากเพราะนึกถึงคนที่มาชุมนุมโดยบริสุทธิ์ใจ

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรขีดเส้นให้รัฐบาลแก้ปัญหาภายใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะออกมาเคลื่อนไหวเองว่า พรรควิตก แต่รัฐบาลได้ใช้ความอดทนในการหลีกเลี่ยงในการปะทะกันมาโดยตลอด โดยแนวทางการแก้ปัญหารัฐบาลต้องมีวิธีการดำเนินการ เช่น การปรับโครงสร้าง การยกระดับคดีไปสู่ดีเอสไอ ดังนั้น เรื่องระยะเวลาจึงไม่สำคัญเท่ากับภารกิจต่างๆ ที่รัฐบาลได้วางโครงสร้างเอาไว้

พธม.โคราชไม่เห็นด้วยคำขาด7วัน

นางสารภี บุญประตูชัย ผู้ประสานงานภาคีมวลชนคนโคราชรักษ์ประชาธิปไตย แนวร่วมกลุ่มพันธมิตร จ.นครราชสีมา กล่าวว่า โดยส่วนตัวมองว่ากลุ่มพันธมิตรยังไม่ควรที่จะออกมาเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาคนเสื้อแดงภายใน 7 วันในช่วงนี้ ควรรอดูท่าทีของรัฐบาลไปก่อนอีกสักระยะ เนื่องจากในขณะนี้เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการจัดการสถานการณ์บ้างแล้ว

นายศิริชัย ไม้งาม แกนนำกลุ่มพันธมิตร พร้อมด้วย ส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายประมวล เอมเปีย นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ รวมทั้งกลุ่มพันธมิตรและแนวร่วม จ.ชลบุรี ประมาณ 1,500 คน รวมตัวกันบริเวณหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 10.00 น. เพื่อต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง พร้อมทั้งยื่นหนังสือคัดค้าน โดยมีนายสุนทร รัตนวราหะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี ลงมารับหนังสือ เพื่อส่งต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นได้เดินทางทางไปให้กำลังใจทหารที่ค่ายนวมินทราชินี ต.บ้านสวน อ.เมือง จ.ชลบุรี

ขณะที่นายชุมพล ลีลานนท์ ผู้ประสานงานกลุ่มการเมืองใหม่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เป็นแกนนำกลุ่มประชาชนพะเยารักประชาธิปไตย ประมาณ 100 คน รวมตัวบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดพะเยาในช่วงบ่าย เพื่อแสดงพลังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรง ต่อต้านการยุบสภา พร้อมให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิภาพกับทุกฝ่าย

กสม.เดินสายพบอดีตนายกฯ

นางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า ในเวลา 13.30 น. วันที่ 20 เมษายน กสม.จะเข้าพบนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อหารือหาทางออกให้กับบ้านเมืองในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองวิกฤต เนื่องจากที่ผ่านมาเคยหารือกับอดีตนายกฯหลายคน อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่า คงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหาร มากกว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา นอกจากนั้น ทาง กสม.จะไปพบกับนายชวน หลีกภัย และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี (ในวันที่ 21 เมษายน) เพื่อขอรับฟังความคิดเห็น ก่อนจะนำข้อมูลทั้งหมดนำมาสรุป เพื่อเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้รับทราบต่อไป


ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ชี้ในวิกฤตยังมีแสงสว่าง พร้อมมอบข้อเสนอ 3 ประการ ถอดสลักความรุนแรง

ในยามวิกฤตมีข้อดีอย่างหนึ่งคือ มีความตื่นตัวของผู้คน กลุ่ม องค์กรต่าง ๆ ที่จะเสนอทางออกของประเทศไทย มีข้อเสนอที่สร้างสรรค์มากมาย ซึ่งควรจะมีการรวบรวมสังเคราะห์และนำกลับไปสู่การวิเคราะห์อย่างกว้างขวาง และกลั่นไปเป็นมรรควิธีในการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย สำหรับเรื่องเฉพาะหน้าเท่าที่ราษฎรอาวุโส ศ.นพ.ประเวศ วะสี เสนอเพื่อถอดสลักความรุนแรงคือ

1. ข้อเสนอเชิงนโยบายของกลุ่มคนเสื้อแดงเกี่ยวกับคนจนเป็นที่ยอมรับ เสียงเรียกร้องจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีหลายอย่าง แต่ถูกกลบด้วยเสียงด่าทอที่จริงมีข้อเสนอที่สร้างสรรค์ ที่ประสบความสำเร็จอย่างไม่เคยมีมาก่อนคือ “เสียงของคนจน” การทำเพื่อคนจนได้รับการตอบรับ การทำเพื่อทักษิณไม่ได้รับการเห็นพ้อง การปรับโครงสร้างเพื่อคนจนเป็นเรื่องรีบด่วนที่ควรร่วมกันทำ ควรจัดการประชุมร่วมกันอย่างรีบด่วน เพื่อพิจารณาข้อเสนอของคนเสื้อแดงเกี่ยวกับนโยบายเพื่อปรับโครงสร้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง โดยเชิญคนไทยทุกสีร่วมประชุม

2. ปฏิบัติตามกฎหมาย ใครที่ทำผิดกฎหมายก็ควรได้รับการปฏิบัติตามกฎหมาย และป้องกันการทำผิดกฎหมายต่อไปอีก แต่อย่าลืมความยุติธรรมเชิงฟื้นฟู (Restorative Justice) ประการหลังนี้เกี่ยวกับข้อ 3 ข้างล่างนี้ด้วย

3. กระบวนการสัจจะและคืนดี (Truth and Reconciliation) อย่างไรในที่สุดคนไทยก็ต้องกลับมาคืนดีและอยู่ร่วมกันด้วยดีต่อไป จึงควรมีกระบวนการค้นหาและใช้ความจริง มีการขอโทษ มีการให้อภัย มนุษย์สามารถมีอภัยวิถีที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ ที่ทำให้ทุกคนหลั่งน้ำตาได้

สุดท้าย ศ.นพ.ประเวศ ย้ำว่า สังคมไทยจะต้องใช้กระบวนการสัจจะและการคืนดี ความเมตตากรุณา ปัญญาและสันติวิธี ไปสร้างโครงสร้างที่เป็นธรรม แล้วเราจะสร้างสังคมสันติสุขที่น่าอยู่ที่สุดได้


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************

บิ๊กจิ๋วขอเข้าเฝ้า ในหลวง

พึ่งพระบารมีดับวิกฤต แม้วชี้ยุบสภา-จบทันที มาร์คใช้ราบ11ถกครม. สมานฉันท์จี้ถอนทหาร

ขอเข้าเฝ้าฯ - พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สองอดีตนายกฯ เปิดแถลงข่าวระบุได้ทำเรื่องขอเข้าเฝ้าฯ พึ่งพระบารมียุติปัญหาขัดแย้งในบ้านเมือง ขณะที่ทางสำนัก ราชเลขาฯ ปฏิเสธยังไม่ได้รับการประสานมาแต่อย่างใด

"จิ๋ว-สมชาย" สองอดีตนายกฯ แถลงใหญ่ ขอเข้าเฝ้าฯ ในหลวง ขอพึ่งพระบารมีดับวิกฤตบ้านเมือง อ้างได้ข่าว 1-2 วันข้างหน้าจะเกิดความรุนแรงปราบปรามประชาชน "แม้ว" แวะบรูไน จี้ "มาร์ค" ยุบสภาทุกอย่างจบทันที สื่อนอกตีข่าวอดีตนายกฯ ไทยเตรียมลี้ภัยอยู่ฟิจิ "ดิเรก" อดีตปธ.สมานฉันท์แนะเลิกพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ถอนทหาร แล้วเจรจา เตือนอ้างก่อการร้ายแล้วปราบยิ่งทำวิกฤตบานปลาย ปชป.โหยหาทหารที่กล้ารับผิดชอบเพียงผู้เดียวหากมีคนเจ็บคนตาย ศาลแพ่งยกฟ้องมาร์ค-เทือกใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินแบนพีทีวี

แม้วแวะบรูไนจี้มาร์คยุบสภาด่วน

เมื่อวันที่ 19 เม.ย.สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานสัมภาษณ์พิเศษทางโทรศัพท์พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะเดินทางไปแวะประเทศบรูไน โดยพ.ต.ท.ทักษิณกล่าวว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยวิถีทางการเมืองเท่านั้น ขอเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา และกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปโดยด่วน เพราะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะปลดชนวนสถานการณ์ตึงเครียด และลดการเผชิญหน้ากันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง

สื่อนอกตีข่าวไปขอลี้ภัยในฟิจิ

เว็บไซต์สถานีวิทยุ เรดิโอ นิวซีแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล รายงานอ้างแหล่งข่าวจากหนังสือพิมพ์มอร์นิ่ง ซิดนีย์ เฮรัลด์ ของออสเตรเลียว่า พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งอยู่ระหว่างหลบหนีโทษจำคุก 2 ปี อาจกำลังเดินทางไปขอลี้ภัยในประเทศฟิจิ เนื่องจากไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย ขณะที่รัฐบาลฟิจิยืนยันว่าจะปฏิบัติต่อพ.ต.ท.ทักษิณเช่นเดียวกับผู้อพยพธรรมดาทุกคนอย่างเท่าเทียม

นายราตู อีเปลิ กานิลัว รมต.ตรวจคนเข้าเมืองฟิจิ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว การขอเป็นพลเมืองเพื่อลี้ภัยต้องพิจารณาเป็นรายกรณี สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากคุณสมบัติบางเรื่อง แต่หากเข้ามาเพื่อทำธุรกิจ รัฐบาลฟิจิพร้อมพิจารณา เพราะนโยบายของรัฐบาลฟิจิให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายใหญ่จากต่างชาติ

"รัฐบาลจะให้สิทธิพิเศษกับบุคคลที่สามารถลงทุนในฟิจิด้วยเงินทุนจำนวนสูงๆ" นายราตู กล่าว

วันเดียวกัน เว็บไซต์สำนักข่าวเรดิโอฟิจิ เปิดเผยว่า นายพลเรือจัตวาแฟรงก์ ไบนิมารามา นายกรัฐมนตรีรัฐบาลเฉพาะกาลฟิจิ กล่าวยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางมาฟิจิเพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุน

"จิ๋ว"ควง"สมชาย"แถลงใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า เวลา 14.00 น.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ และประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายสมชาย วงค์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และอดีตหัวหน้าพรรคพลังประชาชน มีกำหนดร่วมกันแถลงข่าว และออกแถลงการณ์เสนอข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พรรคจัดเตรียมสถานที่ โดยอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ติดตั้งบนเวทีแถลงข่าว

เมื่อถึงเวลาแถลงข่าว พล.อ.ชวลิตและนายสมชายถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ จากนั้นแถลงข่าวร่วมกัน นายสมชายกล่าวว่า วันนี้บ้านเมืองมีวิกฤตเกิดขึ้น มีความขัดแย้งรุนแรง นำไปสู่ความเสียหายทั้งชีวิตประชาชน และความแตกแยกอย่างใหญ่หลวง ตนทั้งสองในฐานะอดีตนายกฯ เห็นว่าในระยะยาวเราไม่อาจแก้ปัญหาของประเทศได้ ถ้าไม่สร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงให้เกิดขึ้นในประเทศและขจัดการเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน

อดีตนายกฯแถลงอีกว่า ดังนั้นเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไป ตนและพล.อ.ชวลิตมีข้อเรียกร้องสำคัญคือ 1.ต้องหยุดความรุนแรงและหยุดสังหารประชาชนทันที 2.รัฐบาลต้องประกันว่าจะไม่มีคนไทยเสียชีวิตจากการชุมนุมทางการเมืองอีก 3.ต้องยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินโดยทันที เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิชุมนุมทางการเมืองตามปกติ 4.ยุติการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารเพียงฝ่ายเดียว เลิกปิดกั้นสื่อสารมวลชนและละเมิดสิทธิการรับรู้ข่าวสารของประชาชน และ5.คืนอำนาจประชาชนเลือกรัฐบาลใหม่ โดยยุบสภาทันที

ยุบสภาจบ-ไม่ต้องมีคนตาย

ผู้สื่อข่าวถามว่าจุดยืนของพรรคเพื่อไทยคือจุดยืนเดียวกับม็อบเสื้อแดง นายสมชายกล่าวว่า ยุบสภาก็จบ ตนเคยเป็นนายกฯ ถ้ายุบสภาพรุ่งนี้ไม่ต้องมีคนตายอีกต่อไรป เมื่อถามว่ายุบสภาแล้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติรักษาการ เป็นไปได้หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า เป็นไปได้หลายทางแต่คิดว่าบางอย่างมันอาจไม่จบสิ้น ไม่เหมือนกับการตัดปัญหาอย่างที่เสนอ เพราะการตั้งรัฐบาลแห่งชาติไม่ใช่เรื่องง่าย จะตั้งอย่างไร วิธีไหน ใครเป็นใคร เมื่อถึงเวลานั้นจะรบรากันขนาดไหน แต่ถ้าตัดสินใจให้ประชาชนเลือกเองทีเดียวก็จบ หากเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนน 280 หรือ 240 เราเต็มใจให้บริหารบ้านเมือง แต่ถ้าประชาชนเลือกคนอื่น เลือกพรรคเพื่อไทยทุกคนก็ต้องยอมรับ คิดว่ายุติธรรมที่สุด

เมื่อถามว่าประเมินหรือไม่ม็อบเสื้อแดงอาจจะจบ แต่สีอื่นอาจไม่จบ นายสมชายกล่าวว่า การเรียกร้องเป็นสิทธิของประชาชน ถ้าทำโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ ใครๆ ก็เรียกร้องได้ แต่ข้อเรียกร้องอันไหนดีที่สุด และระงับเหตุร้ายแรงได้ดีที่สุด ระงับชีวิตของประชาชนได้ดีที่สุดควรเลือกทางนั้นใช่หรือไม่

ขอเข้าเฝ้าฯขอพระมหากรุณาธิคุณ

ด้านพล.อ.ชวลิตกล่าวว่า สาระสำคัญขอให้รัฐบาลยุติสั่งการกองทัพใช้กำลังกับประชาชน เพราะการสูญเสียชิวิตแแม้แต่คนเดียวก็ยอมรับไม่ได้ ในฐานะเคยเป็นผบ.ทบ. ผบ.สส. น้อยคนนักที่จะได้รับพระราชทานเหรียญจุลจอมเกล้าฯ เหรียญรามา และรับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อย ของบ้านเมืองตลอดเวลารับราชการ สถานการณ์ ขณะนี้หนทางที่ตนและพรรคเพื่อไทยคิด คือ หวังในพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานให้พวกเรา เพื่อยุติความขัดแย้งที่มีมานาน จนสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองอย่างมหาศาล

"สิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเราวันนี้คือขอรับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระ หม่อมให้กับพี่น้องคนไทย ให้กับพวกเราด้วย ผมคิดว่าถ้าไม่มีพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่แน่ใจต่อการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นภายในวันสองวันข้างหน้านี้ และจะเป็นตราบาปที่คนไทยไม่ต้องการเห็น หากมีสิ่งใดที่ผิดพลาดข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว เรามีความพยายามไปกราบพระบาทด้วยตัวเอง แต่พระอาการยังไม่ค่อยดี แต่วันนี้ทรงพระสำราญแล้ว ก็อาจมีพระมหากรุณาธิคุณ และจะเป็นโชคอย่างที่สุดของพี่น้องคนไทย" พล.อ.ชวลิต กล่าว

ห่วงทหารชิงฆ่าประชาชน

พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ยืนยันมาตลอดว่าที่ตัดสินใจทำงานทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทย เพราะมีภารกิจที่ต้องพิสูจน์ว่าพรรคเพื่อไทย และคนเสื้อสีนี้ และคนที่เกี่ยวข้องมีความจงรักภักดี วันนี้พิสูจน์ด้วยสายเลือดทหารรักษาพระองค์ สิ่งที่ตนหวังคือให้สังคมไทยเกิดสันติสุขและปัญหาได้รับการแก้ไข ตนและนายสมชายจะยืนหยัดทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยเฉพาะคือการสถาปนาการปกครองในระบอบประชา ธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐให้สถิตสถาพรต่อไปให้จงได้

ผู้สื่อข่าวถามว่าเกรงหรือไม่ว่ารัฐบาลจะแปรการขอพระมหากรุณาธิคุณ ว่าทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ความหวังในพระมหากรุณาธิคุณที่ลูกทุกคนมีต่อเสด็จพ่อเป็นความน่ารัก เชื่อว่าพระองค์ท่านคงไม่มีน้ำพระทัยในลักษณะนั้น

เมื่อถามว่าแสดงว่า 1-2 วันนี้ทหารจะใช้กำลังสลายประชาชน พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า นั่นคือสิ่งที่ต้องเน้นย้ำ เพราะกลัวว่าทหารจะใช้กำลังเข่นฆ่าประชาชน หากการพัฒนาด้านการ เมืองการปกครอง หรือพัฒนาทางสังคมของเมืองไทยที่กำลังดำเนินการกันอยู่นี้ มองว่าเป็นการพัฒนาโดยเป็นสมุนหรือเพื่อประโยชน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นสิ่งที่น่าเสียใจเป็นที่สุด เพราะไม่น่าจะมีความคิดที่คับแคบ ความคิดของประชาชนวันนี้ไปไกลและมีอุดมการณ์ที่จะเห็นประชาธิป ไตยอย่างแท้จริง ผู้นำและทหารส่วนใหญ่ในกองทัพมีความผูกพันกับประชาชนรวมทั้งคนเสื้อแดง แต่ด้วยปัจจัยบางประการที่เกรงว่าจะเกิดข้อขัดแย้ง และใช้ความรุนแรงจึงต้องออกมาเรียกร้อง

ภูมิใจอนุพงษ์ไม่ปราบม็อบ

ต่อข้อถามว่าพรรคเพื่อไทยมีข้อเสนอดำเนินการกับกลุ่มก่อการร้ายหรือมือที่สามอย่างไร พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า ยังไม่เห็นว่ากลุ่มที่พูดถึงคือกลุ่มไหน และไม่เข้าใจว่าการแถลงของรัฐบาลที่ระบุว่าการเกิดเหตุระเบิดที่โน่นที่นี่ หรือเสาไฟฟ้า เกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดง ความจริงไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย รวมถึงการพูดถึงคนที่แต่งกายที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นพวกใด ที่เข้ามาพยายามยั้บยั้งการปะทะระหว่างทหารกับประชาชนเป็นการก่อการร้าย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงวิเคราะห์เช่นนั้นได้ และน่าเสียใจกว่านั้นคือเจ้าหน้าที่ในกองทัพบางคนไม่มีประสบการณ์ลักษณะนี้มาก่อน กลับออกมาพูดรุนแรงโดยชี้ว่ากองทัพต้องใช้กำลังเพื่อปราบปรามประชาชนถ้าจำเป็น

เมื่อถามว่ามองว่าพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. จะเลือกแนวทางใด พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า คงไปพูดถึงความคิดพล.อ.อนุพงษ์ไม่ได้ แต่เท่าที่ดูพล.อ.อนุพงษ์ยังมีความเข้าใจปัญหาการเมืองและความปรารถนาของประชาชนเป็นอย่างดี จึงมีความภูมิใจในตัวพล.อ.อนุพงษ์ เชื่อว่าไม่ใช่คนๆนี้ที่จะใช้กำลังปราบปรามประชาชน

พยายามติดต่อราชเลขาธิการ

"พยายามประสานและติดต่อไปยังท่านราชเลขาธิการเป็นการภายใน เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ ยังพยายามติดต่อท่านอยู่ วันนี้ทุกคนวุ่นวายกันหมดทุกอย่าง เหมือนที่นายสมชายพูด ถ้าวงจรของสถานการณ์ปล่อยให้เดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ ไม่ตัดวงจร มันจะยุ่งจริงๆ ปล่อยให้เดินแบบนี้ไม่ได้ อาจจะพัฒนาไปสู่จุดที่อันตรายมากๆ แต่ถ้าตัดวงจรอย่างน้อยที่สุดหยุดชั่วคราวแล้วเอาอำนาจนี้ให้ประชาชน" พล.อ.ชวลิตกล่าว

พล.อ.ชวลิตกล่าวต่อว่า มีคนกลุ่มหนึ่งไม่เชื่อว่าการเลือกตั้งจากประชาชนคืออำนาจที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง แต่ในส่วนกองทัพต้องขอร้องว่าอย่าใช้กำลังกับประชาชน รับรองหากใช้ความรุนแรงคงไม่ใช่แค่ 400-500 ศพ มันจะเยอะกว่านั้น ต่อข้อถามว่าการพูดเรื่องพระมหากรุณาธิคุณ เพราะอยากเห็นภาพลักษณะเดียวกับเมื่อครั้งพฤษภาทมิฬใช่หรือไม่ พล.อ. ชวลิตกล่าวว่า เป็นความฝันของตน เป็นความหวังจริงๆ เพราะว่ามีแต่พระมหากรุณาธิคุณ เท่านั้นที่จะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น

ทักษิณไม่เกี่ยวคนไทยพัฒนาไปเยอะ

เมื่อถามว่าถ้าเลือกตั้งใหม่พล.อ.ชวลิตพร้อมเป็นนายกฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า แก่จะตายอยู่แล้ว คนในพรรคที่เหมาะสมมีเยอะ จะชี้ตัวให้ ตนจบหน้าที่ของตนเองบ้านเมืองจะไปสู่ความสงบสุขอีกครั้ง เมื่อถามว่าหารือกับ พ.ต.ท.ทักษิณถึงแนวคิดประสานราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯหรือไม่ พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ไกล ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่ได้หารือ ไม่ได้คุย ไม่ได้พูด สถานการณ์ตอนนี้คนไทยพัฒนาไปเยอะ พัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่มุ่งหวัง ไม่ใช่พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนหนึ่งคนใด บ้านเมืองอื่นกว่าจะเป็นประธิปไตยก็ผ่านขั้นตอนของความโหดร้ายกันมาก เราอย่าเป็นอย่างนั้นเลย

ผู้สื่อข่าวถามว่าทะเลาะกันอย่างนี้แล้วยังให้พ่อมาแก้ปัญหา เมื่อไหร่ลูกจะโตเสียที พล.อ.ชวลิต หัวเราะก่อนกล่าวว่า ลูกไม่โตสักที

รายงานข่าวจากสำนักราชเลขาธิการแจ้งว่า กรณีพล.อ.ชวลิตแถลงข่าวเรื่องกำลังติดต่อประสานงานราชเลขาธิการเพื่อขอเข้าเฝ้าฯนั้น ทางสำนักราชเลขาธิการขอชี้แจงว่ายังไม่เคยได้รับการติดต่อใดๆจากพล.อ.ชวลิต

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ยังไม่เคยมีหนังสือจากพล.อ.ชวลิตแจ้งมาเลย อยู่ๆ การแถลงว่าจะขอเข้าเฝ้าฯ อีกด้านหนึ่งเหมือนเป็นการกดดัน เพราะอยู่ดีๆ ไม่ใช่ใครจะเข้าเฝ้าฯก็ได้ จะต้องทำเรื่องขึ้นมาก่อน และต้องพิจารณาว่าสมควรนำความขึ้นทูลเกล้าฯหรือไม่ และถ้าทูลเกล้าฯขึ้นไปแล้วก็ต้องได้รับพระบรมราชานุญาตก่อนถึงจะมีกำหนดเข้าเฝ้าฯ ดังนั้นการออกข่าวก่อนจะดำเนินการตามกระบวนการตามขั้นตอน ถือเป็นการกดดัน ซึ่งมิบังควรอย่างยิ่ง

กก.สิทธิ์จัดคิวคุย"เติ้ง"

วันเดียวกันนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า วันที่ 20 เม.ย.คณะกรรมการสิทธิ์จะไปพบนายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะอดีตนายกฯ เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง จะพูดคุยแนวทางเดียวกับที่หารือกับอดีตนายกฯหลายคนที่ผ่านมา อาทิ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ หวังว่าคงจะได้รับคำตอบจากนายบรรหารมากกว่าการเสนอแก้รัฐธรรมนูญแล้วค่อยยุบสภา เพราะอยากได้ความคิดเห็นแตกต่างไปจากที่เคยแสดงผ่านสื่อ

นางอมรากล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะพบกับนายชวน หลีกภัย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก่อนนำข้อมูลทั้งหมดมาสรุปเสนอต่อนายกฯ และเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทั้งนี้ขอปฏิเสธว่าไม่เคยมีแนวคิดเชิญอดีตนายกฯทั้ง 5 คนมานั่งโต๊ะเจรจาหาทางออกของประเทศร่วมกัน เพราะแต่ละคนมีจุดยืนของตัวเองที่แตกต่างกัน การให้มานั่งโต๊ะพูดคุยกันคงเป็นเรื่องยาก

อดีตปธ.สมานฉันท์เตือนมาร์ค

นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ตามที่ผบ.ทบ.พูดไว้ อย่าใช้กำลังทหารเข้าแก้ รัฐบาลต้องตั้งสติให้ดีและวิเคราะห์สถานการณ์ให้ออก ถ้าใช้มาตรการเหมือนที่ใช้อยู่ขณะนี้จะนำไปสู่ความรุนแรงเกิดสงครามระหว่างประชาชน คนที่มาชุมนุมไม่ได้ทำเพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ แต่มาชุมนุมเพราะอุดมการณ์ประชาธิปไตยและความไม่เป็นธรรมที่ได้รับ ตรงนี้รัฐบาลต้องมองให้ออกว่าผู้มาชุมนุมไม่ได้มีเจตนาก่อการร้าย

นายดิเรกกล่าวว่า เรื่องกองกำลังไม่ทราบฝ่ายในวันที่ 10 เม.ย. ฝ่ายทหารต้องไปวิเคราะห์เอง แต่อย่าเหมารวมกับผู้ชุมนุม เพราะถ้าใช้กำลังปราบ ถามว่าจะปราบทั้งประเทศหมดหรือ หากมีเสียงปืนดังขึ้นแม้ทหารอาจชนะในตอนนี้แต่ปัญหาไม่จบ อาจเจอการก่อความรุนแรงทุกจังหวัด แล้วผู้คนจะอยู่กันอย่างไร ทำให้ยิ่งเป็นปัญหาระยาว ตนเกรงว่าจะกลายเป็น 3 จังหวัดภาคใต้ไปทั่วประเทศ

นายดิเรกกล่าวด้วยว่า รัฐบาลต้องถอนทหารออกไป และยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วเปิดเจรจาให้ได้ รัฐบาลต้องลดเงื่อนไขทุกเรื่องให้ยอมกันให้ได้ ปกติประเทศประชาธิปไตยหากถึงทางตันก็ยุบสภา แต่ก่อนถึงทางตันต้องเจรจากันเป็นระยะ ถ้าไม่ได้ผลจริงๆ ก็ต้องยุบ แม้เลือกตั้งใหม่รัฐบาลใหม่อยู่ไม่นานแล้วต้องยุบอีกก็ตาม ภาวะแบบนี้จะเกิดขึ้นช่วงเปลี่ยนผ่านการเมือง แต่สุดท้ายจะลงตัวเอง แต่อย่าใช้กำลังสลายการชุมนุมเด็ดขาด เพราะจะกลายเป็นสงครามประชาชนที่เอาไม่อยู่ และรัฐบาลต้องทบทวนเรื่องเสรีนิยมประชา ธิปไตย และปัญหาเรื่อง 2 มาตรฐานในเรื่อง ใหญ่ๆ และหยุดใช้สื่อของรัฐปลุกระดม

โหรส.ว.ชี้ดวงมาร์ค-ดวงเมืองแย่

ขณะที่นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตส.ว. ฉะเชิงเทรา เจ้าของฉายาโหรส.ว. กล่าวว่า ทางโหราศาสตร์ดวงบ้านดวงเมืองไม่ดีเลยตอนนี้ ดาวร้ายที่ให้โทษตรึงดวงกรุงเทพฯมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงประชาธิปไตยเปราะบางมาก เพราะถูกตรึงด้วยดาวบาปเคราะห์ หรือดาวร้ายทุกด้าน โอกาสกระทบกระเทือนประชาธิปไตยมีมาก ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 26 เม.ย.53 ถึงวันที่ 3 พ.ค.54 ทั้งปี เป็นช่วงที่ไม่ดี มีปัญหามาก การแก้ไขต้องใช้สติ ปัญญา และความจริงใจเท่านั้น

นายบุญเลิศกล่าวว่า เหตุการณ์ความรุนแรงจะรุนแรงไปเรื่อยๆ จบไม่ได้ตอนนี้ และขัดแย้งกันรุนแรงมากขึ้นด้วย ดวงผู้นำ ดวงผู้บริหาร ตั้งแต่ 26 เม.ย.53 ดวงนายกฯ ดวงเมืองไม่ดี ดวงนายกฯดาวให้คุณไม่สามารถให้คุณได้ ขณะดาวร้ายทำมุมร้ายส่งถึงดวงนายกฯมากขึ้น พอวันที่ 26 เม.ย.53 ไปแล้วให้คุณไม่ได้จะลำบาก โอกาสมีความรุนแรงมากขึ้น โอกาสเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีมากขึ้น ทหารอาจเข้ามามีบทบาทมากขึ้น บ้านเมืองจะถึงทางตัน ดวงหัวหน้ารัฐบาล ดวงเมืองไม่สู้ดี เมื่อรัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ทหารจะเข้ามาแก้แทน อาจเปลี่ยนแปลงโดยปฏิวัติรัฐประหาร อยากให้ผู้ชุมนุมหันมาพูดจากัน มิฉะนั้นเสื้อแดงจะลงไม่สวย จากนั้นกำหนดวันยุบสภาให้แน่นอน เวลา 6 เดือนเหมาะที่สุด ยุบ 1 ต.ค.แล้วเลือกตั้งพ.ย.-ธ.ค.ไม่ต้องรอถึงปลายปี เนื่องจากดวงเปลี่ยนแปลงช่วงก.ย.-ต.ค.-พ.ย. ดวงรัฐบาลร่อแร่ หากรัฐบาลไม่ทำทหารจะทำ ขอเตือนนายอภิสิทธิ์จะเกิดการนองเลือด

ส.ว.แยกข้างถล่มฝ่ายตรงข้าม

เมื่อเวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา วุฒิสภาประชุม โดยมีนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ก่อนเข้าระเบียบวาระสมาชิกหารือถึงสถานการณ์บ้านเมือง กรณีการชุมนุมของคนเสื้อแดง และเหตุปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยสมาชิกที่ขอหารือเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่ม 40 ส.ว. เน้นโจมตีแกนนำนปช.เป็นหลัก

ขณะที่กลุ่มส.ว.เลือกตั้ง มีเพียงนางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ อภิปรายเรียกร้องนายกฯแสดงภาวะผู้นำที่ชัดเจนมากกว่า 7 วันที่ผ่านมา เมื่อมีผู้เสียชีวิตถึง 25 ศพ ใครรับผิดชอบ ทำไมนายกฯไม่ออกมาชี้แจงประชาชนให้ชัดเจน จากนั้นนายประสพสุขขอให้วุฒิสภายืนไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตวันที่ 10 เม.ย. 1 นาที ก่อนปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ

ยื่นมาร์คเข้าสู่กระบวนการสภา

ต่อมาเวลา 14.00 น.ตัวแทนส.ว. 24 คน นำโดยนายวิชาญ ศิริชัยเอกวัฒน์ นางกอบกุล พันธ์เจริญวรกุล และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา แถลงกรณียื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกฯ เพื่อขอให้นำปัญหากลุ่มนปช.เข้าสู่การแก้ไขโดยกระบวนการรัฐสภา เนื่องจากเห็นว่าการชุมนุมยังมีต่อเนื่องและขยายตัวมีหลายสีมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลยังไม่แสดงความรับผิดชอบใดๆ แต่กลับกล่าวหาผู้ชุมนุมเป็นผู้ก่อการร้าย และดำเนินการยั่วยุโดยสื่อของรัฐ ข่มขู่โดยโฆษกต่างๆ ซึ่งนำไปสู่การเผชิญหน้า ท้าทาย สุดท้ายอาจสูญเสียชีวิต ดังนั้นส.ว.ทั้ง 24 คนขอเรียกร้องนายกฯตอบรับเข้าชี้แจงในที่ประชุมวุฒิสภ ตามที่ส.ว.ยื่นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ หรือรัฐบาลจะขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อให้ส.ส. ส.ว.ร่วมเสนอทางออกที่ดีที่สุดนำพาประเทศกลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว

นายเรืองไกร กล่าวถึงกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มเสื้อหลากสีเคลื่อนไหวในขณะนี้ว่า ไม่ควรออกมา เพราะยิ่งตอกย้ำภาพว่าพ.ร.ก.ฉุกเฉินไม่ได้ผล แม้จะอ้างว่ามาให้กำลังใจและสนับสนุนรัฐบาล แต่ถือว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกับกลุ่มเสื้อแดง

จากนั้นเวลา 15.00 น.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ พร้อมด้วยนายวิทยา อินาลา ส.ว.นคร พนม และคณะ เดินทางไปหารือกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำนปช. ที่เวทีคนเสื้อแดงแยกราชประสงค์ เพื่อขอคำยืนยันจากนปช.ว่าเมื่อเปิดประชุมสภาแล้วจะไม่ไปปิดล้อมรัฐสภา แต่นายจตุพรยังไม่รับปาก ขอหารือกับแกนนำนปช.เพื่อตัดสินใจ

รัฐบาลตอบรับให้ส.ว.ซักฟอก

ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมวิปรัฐบาลมีมติให้วันที่ 21 และ 22 เม.ย.ประชุมสภาตามปกติ เพื่อพิจารณากฎหมายที่ค้างอยู่ให้แล้วเสร็จ มั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาคนเสื้อแดงมาปิดล้อมสภา ไม่จำเป็นต้องขอกำลังทหารมาดูแลความปลอดภัย

นายวิทยาในฐานะแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมพรรคประชาธิปัตย์วันที่ 20 เม.ย.ว่า จะหยิบยกเรื่องแก้รัฐธรรมนูญมาหารือ ประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้วันที่ 23 เม.ย.รัฐบาลตอบรับเข้าชี้แจงที่ประชุมวุฒิสภาที่ขอเปิดญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 ส่วนนายกฯจะเข้าชี้แจงหรือไม่ขึ้นกับการตัดสินใจของนายกฯ

ประชุมครม. 20 เม.ย.ในราบ 11

ส่วนที่ศอฉ.ภายในร.11 รอ. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาสถานที่ประชุมครม.วันอังคารที่ 20 เม.ย. ซึ่งมีหลายแห่งรวมทั้งหอประชุมร.11 รอ. ภายใน 1-2 วันนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ จะออกมาพบสื่อมวลชนเพื่อสื่อสารถึงประชาชน

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯจะเข้าทำงานที่ทำเนียบได้เมื่อไหร่ นายปณิธานกล่าวว่า "พร้อมเมื่อไหร่ก็จะเข้า"

ทั้งนี้นายกฯไม่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนนาน 9 วันแล้ว

ต่อมาเวลา 18.00 น.นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะใช้หอประชุมในร.11 รอ.เป็นสถานที่ประชุมครม.วันที่ 20 เม.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากร.11 รอ.ว่า ร.11 รอ.จัดเตรียมอาคารศาสนสถานเป็นสถานที่ประชุมครม. โดยติดตั้งโต๊ะ เก้าอี้ ไมโครโฟนไว้ครบจำนวน ครม. และเตรียมเก้าอี้สำหรับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆที่เข้าร่วมประชุมด้วย ส่วนด้านนอกอาคารกางเต็นท์สีขาวแบบปิดติดเครื่องปรับอากาศ 4 หลัง พร้อมโต๊ะเก้าอี้ไว้สำหรับผู้ติดตามครม.และผู้รอชี้แจงครม. และเตรียมพื้นที่เฉพาะไว้สำหรับสื่อมวลชนเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื่องจากสถานที่ประชุมครม.ดังกล่าวอยู่ใกล้สถานที่ทำงานของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพระหว่างปฏิบัติหน้าที่ในศอฉ.ซึ่งมีมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด

นิพิฏฐ์ถกชวนวางแผนสู้ยุบปชป.

วันเดียวกันที่พรรคประชาธิปัตย์ ช่วงเช้านายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค เข้าหารือกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค เกี่ยวกับแนวทางต่อสู้คดีกกต.มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์

นายนิพิฏฐ์ให้สัมภาษณ์หลังหารือว่า วันที่ 20 เม.ย.เวลา 09.30 น. นายชวนจะเป็นประธานประชุมคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย เพื่อให้ที่ประชุมเข้าใจข้อกฎหมายตรงกัน และเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูลด้วย ส่วนกรณีนางสดศรี สัตยธรรม กกต. ระบุมติกกต.ยุบพรรคประชาธิปัตย์ เป็นไปตามมติของคณะทำงานนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ให้ยุบด้วยเสียง 7 ต่อ 2 นั้น การพิจารณาให้ใบเหลืองใบแดงกับส.ส.ก็ตั้งคณะทำงานมาพิจารณาก่อนเช่นกัน เมื่อคณะทำงานเสนอให้ใบเหลืองหรือใบแดง มีหลายครั้งที่กกต.มีมติให้ใบขาวหรือยกคำร้อง ฉะนั้นความเห็นของคณะทำงานนายทะเบียนพรรค การเมือง ถือเป็นความเห็นหนึ่ง แต่ที่สุดแล้วต้องอยู่ที่การวินิจฉัยของนายทะเบียนพรรค การเมือง

โหยหา"ขอรับผิดชอบเพียงผู้เดียว"

นายนิพิฏฐ์กล่าวถึงการแก้ปัญหากลุ่มนปช. ว่า รัฐบาลต้องมีความเข้มแข็งภายใต้กฎหมายที่บังคับใช้ สังคมควรออกมาสนับสนุนมากกว่านี้ เป็นฉันทามติให้รัฐบาลกล้าตัดสินใจดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม ควรมีคนในฝ่ายปฏิบัติกล้าบอกนายกฯว่าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว หากเกิดมีผู้บาดเจ็บและล้มตาย จะปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ สังคมต้องยอมรับว่าการแก้ปัญหาครั้งนี้ต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้น ไม่มากก็น้อย พล.อ.อนุพงษ์ระบุเรื่องนี้เป็นปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาของประเทศชาติ การชุมนุมของคนเสื้อแดงส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมและความปลอดภัยของประชาชน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกับรัฐบาล ไม่ใช่ปล่อยรัฐบาลแก้ปัญหาอยู่ฝ่ายเดียว

ขณะที่ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์แจ้งว่า วันที่ 20 เม.ย.เวลา 09.00 น.นายชวนจะให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ชวลิตและนายสมชาย อดีตนายกฯ จะขอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อขอพระมหากรุณาธิคุณยุติปัญหาบ้านเมือง

ปิดทางยุบสภา-นายกฯลาออก

ด้านนายชุมพล กาญจนะ ประธานส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันที่ 20 เม.ย. เชิญส.ส.ประชุมและรับประทานอาหารร่วมกัน โดยจะหารือ 2-3 เรื่อง ที่ผ่านมาเคยมีส.ส.ของพรรคไม่เห็นด้วยกับการแก้รัฐธรรมนูญ แต่ขณะนั้นสถานการณ์การเมืองยังไม่เข้มข้นเท่านี้ วันนี้การเมืองเข้มข้น มีเสียงเรียกร้องจากหลายส่วนว่าควรปรับปรุงแก้ไข แต่คงไม่ถึงกับต้องให้ส.ส. โหวตว่าพรรคและรัฐบาลจะเดินไปทางไหน ประเด็นยุบสภาหรือนายกฯลาออกปิดทางไปได้เลย เพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย พรรคร่วมเองก็ได้ฟังเสียงสะท้อนของประชาชนเหมือนกันว่าให้รัฐบาลอยู่ต่อ เพื่อกอบกู้เศรษฐกิจและแก้ปัญหาทางการเมืองต่อไป


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
*************************************************

วัดใจ‘ป๊อก’

หลังจากถูกมอบหมายให้ควบคุมสถานการณ์ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิก แทน “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิก หรือ ศอฉ.หลายฝ่ายเริ่มโฟกัส การทำงานของ “บิ๊กป็อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในช่วงใกล้เกษียณอายุราชการว่าจะเป็นเช่น

ใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำกำลังพลทหารกล้าเข้าควบคุมสถานการณ์ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้ง ผบ.ทบ. เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์แทนนายสุเทพ ที่คว้าน้ำเหลวในการจับกุมแกนนำนปช. ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค ย่านทาวน์อินทาวน์ “หมวกใบใหม่” ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้ “พร้อมดาบ” ที่ใช้เข้าควบคุมฝูงชนที่ชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ในครั้งนี้ ทำให้ ผบ.ทบ. หนักใจอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่กองทัพออกตัวตั้งแต่ตอนแรกแล้วว่า...การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง

แถมยังมีพรายกระซิบมาด้วยว่างานนี้ “บิ๊กป็อก”ไม่แฮปปี้เท่าใดนักถึงขั้นเปรยกับคนใกล้ชิดว่าเหมือนถูก “มัดมือชก”แต่เมื่อเดินทางถึงจนนี้แล้ว “บิ๊กป๊อก” ก็ต้องก้มหน้ารับผิดชอบ เข้าควบคุมสถานการณ์ด้วยใจหนึ่งหวังว่า...หากทหารควบคุมสถานการณ์เองทั้งหมด อาจลดความสูญเสียได้มากกว่าเหตุการ์เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา จากภารกิจที่ได้รับมอบหมายทำให้ผบ.ทบ. ต้องเรียกประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (ผบ.นขต.ทบ.) ระดับนายพลขึ้นไป เข้าร่วม

ประชุม ผบ.นขต.ทบ. วาระพิเศษในวันศุกร์ที่ 23 เม.ย. จากเดิมที่มีกำหนดประชุมในวันจันทร์ที่ 19 เม.ย.ทั้งนี้ เพราะเกรงว่าการประชุมครั้งนี้อาจถูกแกนนำคนเสื้อแดงจับไปเป็นประเด็นว่า พล.อ.อนุพงษ์ อาจจะนำกำลังกองทัพบก เข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมหรือการประชุมเพื่อรองรับการปฏิวัติ จึงขอเลื่อนการประชุมออกไปก่อน รวมทั้งจะขอดูท่าทีของแกนนำคนเสื้อแดงที่ประกาศจะเคลื่อนขบวนใหญ่ไปตั้งเวทีบริเวณสีลม ซึ่ง พล.อ.อนุพงษ์ เห็นว่าจะทำความเดือดร้อนให้กับผู้

ประกอบธุรกิจ และประชาชนในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ย่านเศรษฐกิจของประเทศจะเสียหาย ที่สำคัญหากประชุมในวันดังกล่าว เกรงคนเสื้อแดงจะเดินทางมาปิดล้อมกองทัพบกด้วย สำหรับประชุมดังกล่าวคาดว่าผบ.ทบ.จะใช้โอกาศนี้ ชี้แจงทำความเข้าใจถึงการปฏิบัติหน้าที่ของกำลังพลกองทัพบกเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา จนนำไปสู่เหตุการณ์ปะทะที่รุนแรงระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดง และเกิดการสูญเสียทั้งสองฝ่าย โดยที่มีกลุ่มก่อการร้ายแฝงตัวปะปนเข้า

มาในกลุ่มผู้ชุมนุมขณะเดียวกัน พล.อ.อนุพงษ์ ต้องการชี้แจงกระแสข่าวที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมถึงกระแสข่าวในเรื่องความขัดแย้งกับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะใน ศอฉ. ที่มีการเปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบการใช้กำลังจาก “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ มาเป็น ผบ.ทบ. ที่สำคัญ...เรื่องที่มีความพยายามสร้างข่าวเพื่อให้กองทัพเกิดการแตกแยกกันเอง รวมถึงกระแสข่าวที่ทหารจะทำการปฏิวัติ แม้ว่าการประชุม ผบ.นขต.ทบ. จะเลื่อนไปเป็นวันที่ 23 เม.ย. ก็ตาม แต่ว่า “บิ๊กป็อก”

ก็ยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ว่าจะออกมารูปแบบได้ ฉะนั้นจึงเรียกประชุม ผบ.หน่วย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหน่วยที่เคยร่วมยึดอำนาจเมื่อ 19 ก.ย.2549 มาแล้ว ซึ่งประชุมไปเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา การเรียกรวมพลของ “ผบ.ทบ.” ครั้งนี้ เป็นเหมือนการเช็คกำลังและเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากคนเสื้อแดง ที่จะไม่มีทางให้ซ้ำรอยกับเหตุการณ์ 10 เม.ย. อย่างเด็ดขาด


ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

ใต้เท้าขอรับ : คนเสื้อแดงต้องรุกทางสันติวิธีครั้งใหญ่

ผมนอนไม่หลับมาหลายคืน เพราะเกรงว่า ทหารถือปืนจะมาล้อมปราบแก้แค้นและฆ่าประชาชนเรือนหมื่นที่ชุมนุมอยู่ที่แยกราชประสงค์ด้วยข้ออ้างว่ามีชายชุดดำ 5 คนทำให้ทหารตายเมื่อวันที่ 10 เมษายน

แม้มันเป็นเรื่องตลกสิ้นดี ที่กองทัพมาด้วยอาวุธพร้อมสรรพ และกระสุนจริงที่แสนหนักและเป็นภาระ แต่พยายามบอกและทำให้คนเชื่อเหลือเกินว่า “ไม่ได้ยิง” แม้จะตลกเหลือคณาที่ผู้เสียชีวิตรายแรกเกิดขึ้นก่อนการปรากฏตัวของนักรบชุดดำนานนับชั่วโมง แต่รัฐก็ยังป้ายสีว่า ผู้ชุมนุมมีผู้ก่อการร้ายมาทำทหารตาย ราวกับว่า ถ้าคุณไม่ยอมให้ทหารยิงและต่อสู้ คุณคือก่อการร้าย และทั้งๆ ที่ น่าสงสัยว่า รัฐตั้งใจจะปั้นข้อหาก่อการร้ายนี้ ผ่านเจตนาที่จะลายการชุมนุมในเวลาค่ำคืน หลอกคนชั้นกลางได้ ก็หลอกคนทั้งโลกไม่ได้ แม้กระทั่งตัวเองก็หลอกไม่ได้ ยังไม่ต้องนับขนาดสรรพาวุธระหว่างกองทัพและผู้ชุมนุมที่ราวมดกับช้าง แต่ก็ยังไม่ละอายที่จะประกาศว่า มดรังแกช้าง

ตลกและไร้ยางอายเอามากๆ ที่รัฐบาลป่าวร้องให้ประชาชนอย่าฟังสื่อด้านเดียว แต่รัฐกลับปิดสื่อทุกชนิดอย่างเหี้ยนเตียน ปล่อยคลิปวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอาดารากระทิงแดงนวพลออกมาโลดเต้นผ่านสื่อยานเกราะ 2553 เพ่นพ่าน และสร้างมวลชนที่รับฟังสื่อด้านเดียวที่สนับสนุนรัฐและกองทัพให้ฆ่า ฆ่า และก็ฆ่า

มีฉากที่เราจะจินตนาการถึงมากมาย หากมีการล้อมปราบผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ หรือมีการรัฐประหาร หลังการนองเลือดใหญ่ การวินาศกรรมที่ส่งผลเสียหายต่อสถานที่ราชการและธนาคารใหญ่ๆ ที่สนับสนุนรัฐบาลและพันธมิตรฯ จะกลายเป็นเรื่องพื้นๆ ที่เป็นภารกิจของคนเสื้อแดงทั้งมวลโดยที่รัฐอาจจะไม่มีวันจับตัวผู้กระทำได้

ขณะที่ผู้ลงใต้ดิน หันไปติดอาวุธ จะใช้ทุกวิถีทางเพื่อวินาศกรรมกลุ่มบุคคลที่สนับสนุนอำมาตย์โดยมุ่งหมายต่อชีวิต เราอาจจะจินตนาการได้ถึงการวินาศกรรมสื่อกระบอกเสียงบางสำนัก วางระเบิดห้องทำงานมุ่งหมายชีวิตอธิการบดีมหาวิทยาลัยบางแห่ง ลอบสังหารผู้นำมวลชน สีเหลือง ฆ่าสื่อมวลชนไร้จรรยาบรรณหลายคน รวมถึงผู้นำภาคประชาสังคมที่สนับสนุนให้เกิดโครงสร้างความรุนแรง เราอาจจะเห็นการลอบสังหารผู้นำรัฐบาล ผู้นำกองทัพ อย่างได้ผลเนื่องสายลับเสื้อแดงที่มากมายมหาศาล และแน่นอนเราก็จะเห็นการกวาดล้างชนิดที่ไม่มีขือมีแปเกิดกับฝ่ายเสื้อแดงเป็นการตอบแทน ในที่สุด สถานการณ์สงครามกลางเมืองจะนำซึ่งการประกาศแยกดินแดนของ 3 จังหวัดภาคใต้ และลามไปสู่ภูมิภาคอื่นของประเทศ

พูดจริงๆ นะครับ เราต่างก็รู้ว่า ฉากจินตนาการนี้ใกล้ที่จะเป็นจริงมากกว่า สันติภาพที่เป็นยิ่งกว่าความฝันเสียอีก

แต่ในท่ามกลางความเป็นจริงที่เขยิบมาใกล้ทุกทีๆ เราจำเป็นต้องมีความฝันถึงทางสู่สันติ

ผมไม่มีอะไรจะเสนอกับรัฐบาลและกองทัพมือเปื้อนเลือด เราอาจจะไม่จำเป็นต้องสนทนาวิสาสะกับนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือสุเทพ เทือกสุบรรณ อีกแล้ว ไม่ว่าวันนี้จะยังไม่มีสื่อเรียกเขาว่าทรราชย์ วันหน้าที่ผู้คนชั้นต่ำๆ อย่างคนเสื้อแดงมีค่าทัดเทียมกับผู้คนอื่นๆ อันเป็นสัจจะ มีพลังทางการตลาดมหาศาล วันนั้น ‘ทรราชย์’ ก็จะเป็นคำนำหน้าชื่อให้กับนายกฯ ที่อาจจะมีคนเกลียดมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย หากยังไม่ยอมออกมารับผิดชอบในความขลาดเขลาของตนอย่างเลี่ยงไม่พ้น

ผมตั้งใจจะสื่อสารกับคนเสื้อแดงและแกนนำ และเช่นเดียวกับมวลชนคนเสื้อแดงทั้งหลายคิดคือ ‘ไม่ถอย’ หากแต่เราจำเป็นต้องคิดถึงอนาคตยาวไกลในสงครามชิงมวลชนที่จะเกิดขึ้นในยุคสงครามกลางเมือง

มาบัดนี้ พวกท่านมีความจำเป็นต้องรุกครั้งใหญ่และแหลมคมมากกว่าเดิม กระทั่งกล้าหาญมากกว่าเดิม การเสียชีวิตของคนเสื้อแดงและทหารที่ถอดร่างเป็นวีรชน 24 ราย จะเป็นวิญญาณและสปิริตให้คนเสื้อแดงและมวลชนได้ต่อสู้ แต่เราต่างก็รู้ว่า เราไม่ต้องการมีวีรชนเพิ่มเติมอีก กระนั้นเราก็มั่นใจได้ถึงความอำมหิตของรัฐ กองทัพที่ไม่ยอมรามือ และพร้อมจะปิดประเทศปกครองด้วยระบบอภิสิทธิ์

เมื่อจำต้องสู้ อะไรคืออาวุธของคนเสื้อแดงที่ทรงพลังที่สุดที่มีในขณะนี้ มวลชนอันฮึกเหิมที่พร้อมจะสู้ตายหรือ หรือกองกำลังชุดดำ หรือทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ

เปล่าเลย อาวุธที่ทรงพลังคือ ความได้เปรียบทางความชอบธรรมที่รัฐไม่อาจจะมีหรือบิดเบือนได้หลังปราบปรามเข่นฆ่าผู้คน หรือหากยังไม่ลงใจว่า คือการปราบปรามเข่นฆ่าผู้คน อย่างน้อยไม่ว่าแดง เหลือง กระทั่งกลุ่มคนหลากสี รู้ดีว่า จะอย่างไรเสีย การเสียชีวิตของผู้คนอย่างน้อย 24 คน รัฐและนายกฯผู้สั่งการต้องมีความรับผิดชอบ

เมื่อมันคืออาวุธที่ทรงพลังก็จงเอามันออกมา และปิดปากผู้คนที่เชียร์ให้เข่นฆ่า เพียงเพราะความมืดบอดถึงหนทางที่เขาจะจัดการกับผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง

ผมเสนอให้คนเสื้อแดง ปลุกการรุกทางสันติวิธีครั้งใหญ่ เดินทัพจากราชประสงค์คืนสู่ผ่านฟ้า ยื่นกำหนดเวลา 7 วัน หากรัฐไม่ลาออกหรือยุบสภา คนเสื้อแดงจะ ‘ขอคืนพื้นที่’ ราชประสงค์

เมื่อรุกกลับไปที่ผ่านฟ้า รัฐบาลจะต้องเผชิญกับคำถามเรื่อง การเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, การปิดกั้นสื่อ, และความรับผิดชอบที่มีต่อการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้า อันเป็นสถานที่รัฐไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาในการชุมนุม

ไม่เป็นไร หากรัฐจะยังไม่ตอบรับข้อเสนอ อย่างน้อย ‘ราชประสงค์’ ที่สื่อและคนชั้นกลางไม่เคยคิดว่ามันเป็นของคนเสื้อแดง ก็จะกลายเป็นของผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างชอบธรรม

อย่างน้อยกองทัพและพันธมิตรก็จะไม่มีเหตุผลในการมีงานทำ และกลับกรมกองสำนึกผิด ไม่ต้องออกมายุ่งกับการเมือง พัฒนาตัวเองให้เป็นมืออาชีพ ให้ประชาชนทุกฝ่ายได้หายใจหายคอ และให้อภิสิทธิ์-สุเทพ-ประชาธิปัตย์ กอดคอหาทางสู้กันเองโดยลำพัง

ย้ำอีกครั้ง นี่คือการรุก ไม่ใช่การถอย และเป็นเรื่องที่แกนนำคนเสื้อแดงและมวลชนมีสิทธิพิจารณาโดยสิทธิขาด

ผมเพียงแต่เห็นว่า การกดดันรัฐไม่จำเป็นต้องรุกสู่พื้นที่อื่น ไปสีลม หรือไปสนามบิน อันเป็นหนทางที่พันธมิตรเคยใช้ แล้วไง...แต่พื้นที่ราชประสงค์เพียงพอแล้ว เพราะรัฐได้ปั่นกระแสมูลค่าเพิ่มให้กับแยกราชประสงค์เอง

เมื่อมันสำคัญดังที่ปั่นขนาดนั้น รัฐต้องยุบสภาและลาออกใน 7 วัน ก่อนที่คนเสื้อแดง จะไปขอพื้นที่คืน

โดย.ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
ที่มา.ประชาไท
********************************************

ไอ้โม่ง! ไอ้มั่ว!

แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่คงไม่มีใครต้องการเห็นความรุนแรงและไม่ต้องการให้ใครมาสร้างสถานการณ์ความรุนแรงจนก่อให้เกิด “ความสูญเสีย”

มาคิดว่ามีการทำผิดเจ้าหน้าที่รัฐต้องดำเนินการตามกฎหมาย การที่มี "ไอ้โม่ง" ลอบยิง M79 ที่โน่นที่นี่ หรือการใช้ความรุนแรงเป็นมาตรการข่มขู่คุกคามอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่เป็นสิ่งที่สังคมปรารถนาที่จะเห็น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนกระทำก็ตาม ย้อนกลับไปก่อนวิกฤติทางการเมืองจนกระทั่งมีการชุมนุมขนาดใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดง...มีการลอบยิง M79 หลายครั้ง ผู้สันทัดกรณีสรุปตรงกันว่า การลอบยิง M79 น่าจะเกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรง และเป็นการ "ข่มขู่" มากกว่ามุ่งเอา

ชีวิต แม้เวลาจะผ่านมานานพอสมควร แต่ตำรวจยังไม่สามารถสรุปคดีและหาผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ จึงห้ามไม่ได้ที่คนจะวิจารณ์ไปต่างๆ นานา บางคนวิจารณ์ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มทหารในและนอกประจำการที่ไม่พอใจรัฐบาล ต้องการสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้น ขอย้ำว่านี่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชน เนื่องจากรัฐบาลยังไม่สามารถให้ความกระจ่างชัดแก่ประชาชนได้หากรัฐบาลสามารถจับตัว "ไอ้โม่ง" มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมได้

ประชาชนก็คงหยุดวิพากษ์วิจารณ์ไปเอง ที่สังคมวิจารณ์กันมากที่สุดจนในขณะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการปะทะกันระหว่าง กลุ่มนปช. และทหารของรัฐบาล เนื่องจากมีการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย อีกทั้งยังมี “กระสุนปริศนา” ที่เหมือนจะมุ่งปลิดชีวิตผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงให้ “สมองกระจาย” รวมทั้งไอ้โม่งชุดดำที่เข้ามามั่วยิงระหว่างการทวงคืนพื้นที่ของรัฐบาล..จนก่อให้เกิดการสูญเสีย "ไอ้โม่ง" ไม่ว่าจะเป็นคนวางแผนหรือคนกระทำ มันแน่มากขณะนี้มีแต่คลิปที่จับต้อง

ได้ แต่จับตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองและหาคนผิดมาลงโทษให้ได้ หากจับคนผิดไม่ได้แม้แต่คนเดียว...สังคมอาจสงสัยว่ารัฐบาลนั่นแหละเป็นผู้กระทำ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลเลย ฉะนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือ รัฐบาลต้องนำคนผิดมาลงโทษให้ได้เพื่อให้สังคมหมดความสงสัย ขออย่างเดียวอย่าไปยุ่งกับแพะกับแกะที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ด้วย


ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************

เตือนจนปากฉีก แต่มิได้นำพา!

วันนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล จะเป็นนปช.จะต้องลดทิฐิลงทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจากันจริงๆ โดยต้องไม่ลืมหลักการเจรจาที่แท้จริง นั่นคือ จะต้องยอมรับให้ได้ว่า ไม่มีการเจรจาใดๆ ที่จะได้ 100% แต่หากคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะยอมเสียอะไร จะยอมถอยแค่ไหน ทำเหมือนกันทั้ง 2 ฝ่ายๆ สุดท้ายก็จะหาจุดลงตัวในการเจรจาได้แต่หากขึงพืดไม่มียอมเสียหรือยอมถอยในการต่อรองเลย การเจรจาก็จะไม่มีประโยชน์สุดท้ายประเทศชาติก็จะแย่ถึงวันนี้ ยังคงยืนยันว่า การเจรจาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นหนทางเดียวที่เป็นทางออกของประเทศชาติในสถานการณ์ที่ขึงพืดกันอยู่เช่นนี้หากยังปล่อยให้เด็กๆ ละเลงกันเละ โดยที่ผู้ใหญ่นั่งดูเฉย โอกาสที่จะเกิดการสูญเสียเช่นเมื่อวันที่ 10 เมษายนก็จะเกิดขึ้นซ้ำรอยขึ้นมาอีก...แล้วถามว่า

ประเทศชาติจะได้อะไรการปะทะกันระหว่างกำลังเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย บนแนวคิดที่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เกิด ไม่ใช่วิถีทางแห่งการแก้ปัญหา แต่จะกลายเป็นทับถมปัญหาจนสุดท้ายทุกสิ่งจะเหลือเพียงซากปรักหักพังของประเทศชาติจงอย่างได้ลืมสิ่งที่ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตร แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนหลังเหตุการณ์สูญเสียและเศร้าสลดเกิดขึ้นกับสังคมไทย ว่าไม่มีการสลายการชุมนุมใดที่จะไม่มีการปะทะ และไม่มี

การสูญเสียดังนั้นแม้จะไม่ได้ตั้งใจหรือได้มีเจตนาที่จะให้เกิดความรุนแรงดังที่รัฐบาลยืนยัน แต่รัฐบาลก็ยากที่จะปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้นั่นคือความรู้สึกและมุมมองที่เป็นกลางของอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่พูดตรงๆฉะนั้นเมื่อบทเรียนวันที่ 10 เมษายนมีแล้วที่สี่แยกคอกวัว ไยจะให้เกิดเหตุการณ์ที่แยกราชประสงค์ หรือแม้แต่กระทั่งถนนสีลมขึ้นมาอีก... ประเทศไทยยังสูญเสียไม่พอหรือ???สิ่งที่ พยายามเตือนมาตลอดก็เพราะ

ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงนั่นเองคอลัมนิสต์อาวุโสของบางกอก ทูเดย์ คือ พญาไม้ พยายามเตือนแล้วเตือนเล่าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งผ่านข้อเขียนอย่างเปิดเผย และตรงไปตรงมาในจุดยืนของความห่วงใย ไม่อยากจะให้เกิดเหตุการร์รุนแรงและสูญเสียเช่นที่เกิดขึ้นแต่แน่นอนว่า คำเตือนนั้นกลับถูกแปรเจตนาโดยคนรอบข้างกายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคอลัมน์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามรัฐบาลทั้งๆที่หากมองย้อนกลับไปในอดีต ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ไม่ว่า

ใครเป็นนายกรัฐมนตรี หากเห็นว่ามีจุดบกพร่อง มีจุดอันตรายที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดขึ้นมากับสังคม โดยหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดี ก็ต้องเตือน ก็ต้องให้แง่คิดด้วยกันทั้งสิ้นช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี พญาไม้ ก็เขียนตำหนิ ทักท้วงอย่างต่อเนื่อง ยาวนานถึง 6-7 ปีแต่แน่นอนว่าคำเตือนย่อมไม่เสนาะหูเท่ากับคำชม ตอนนั้นคนรอบข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ชอบใจ เช่นเดียวกับวันนี้ที่คนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ไม่ชอบใจ จนทำให้คำท้วงติงต่างๆ กลายเป็น

สิ่งที่ไม่มีประโยชน์แถมยังมีคนประเภทที่มือไม่พายแต่ชอบที่เอาเท้าราน้ำ ให้ข้อมูลว่า พญาไม้ และบางกอก ทูเดย์ เป็นขั้วตรงข้ามกับรัฐบาล แถมยกเมฆโมเมหน้าตาเฉยว่า สงสัยว่าอาจจะมีการรับเงินสนับสนุนมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณไปโน่นเลยซึ่งจริงๆ แล้วเราอยากจะท้าให้รัฐบาลดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับบางกอก ทูเดย์ได้เลย แล้วจะได้พบความจริงว่าเราเป็นสื่อที่ไม่ได้ร่ำรวยในเรื่องเงินทอง แต่ร่ำรวยในเรื่องของจรรยาแห่งวิชาชีพมิตร

สหายที่ดีพึงต้องเตือนมิตรสหายเมื่อเห็นว่าจะก้าวไปสู่เส้นทางหายนะ แม้ว่าคำเตือนนั้นจะระคายหูสักเพียงใดก็ตามเช่นเดียวกับสื่อมวลชนที่ดี เมื่อเห็นลางหายนะจะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ หากไม่เตือน ไม่ทักท้วง ก็ไร้ซึ่งวิญญาณแห่งสื่อมวลชนที่ดีแล้วดังนั้นตลอดมา จะเห็นว่าเราทำหน้าที่ด้วยความเป็นกลางในฐานะนักข่าวที่แท้จริงตลอดมาวันนี้หากนายอภิสิทธิ์ ตั้งสติให้นิ่ง ให้พ้นจากความตื่นตระหนกจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงว่า ที่เกิดเป็นลูกระนาดต่อเนื่องเรื่อยมา

จนขนาดว่ามีการสลายการชุมนุม มีการสูญเสียชีวิตกันทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เรื่องก็ยังไม่ยุติแถมวันนี้หน่วยข่าวกรองทางทหาร และการพิสูจน์ภาพของคนชุดดำปริศนา ก็รู้ชัดเจนแล้วว่า เป็นฝีมืออำมหิตของ คนชื่อ น. อีกครั้งหนึ่งแล้ว ที่สั่งการ และบัญชาการให้เกิดความรุนแรงถึงเลือดถึงชีวิตยังจะปล่อยให้ นาย น.คนนี้สร้างผลงานอุบาทว์ต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ???วันนี้นายอภิสิทธิ์ จะต้องทบทวนกับข้อผิดพลาดต่างๆ รอบตัว แล้วคิดว่าจะหาทางออกที่ดีให้กับประเทศชาติได้

อย่างไรคำพูดของคนที่นายอภิสิทธิ์ ควรจะฟังคือ บรรดาผู้อาวุโสทางการเมือง ทั้งในพรรคประชาธิปัตย์ และนอกพรรคประชาธิปัตย์แต่ไม่ควรเป็นแก๊งเด็กๆ ที่อยู่รายรอบไม่กี่คน ซึ่งไม่มีประสบการณ์การเมืองใดๆเลย นอกจากคิดเอาเองว่ากูเก่ง กูแน่... โดยที่ไม่รู้ว่ากำลังจะทำให้ชาติบ้านเมืองพังการที่ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรครวมชาติพัฒนา ออกมาเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นการสูญเสียที่มีผลต่อความสงบเรียบร้อยและต่อชื่อเสียง

ของประเทศเป็นอย่างมาก ฉะนั้นมาถึงจุดนี้ทุกฝ่ายจะต้องพยายามกันอย่างเต็มที่ ถ้าเลยจุดนี้ไปจะเป็นอันตรายอันใหญ่หลวงต่อประเทศ ฉะนั้นทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องหาทางออกที่แท้จริง ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันแล้ว 2 ครั้งโดยมีเป้าหมายการเจรจาก็ไม่ได้กว้างมาก เพราะถูกจำกัดไว้ในเรื่องของการยุบสภาเพียงเรื่องเดียว ฉะนั้นวันนี้น่าที่จะต้องมีการหารือเจรจากันอีกครั้งหนึ่งอย่างเร่งด่วน“และคิดว่าเรื่องนี้เป็นความต้องการของส่วนรวมด้วย ที่อยากจะเห็นการเจรจาที่

นำไปสู่การยุติ ถ้าเราคิดว่าแนวทางการเจรจาที่จะนำไปสู่การยุติ คือ การยุบสภาแล้วจะเป็นทางออกที่ดีต่อสถานการณ์ และอนาคตที่เรียบร้อยของประเทศ ก็ต้องรีบตกลงกันทั้ง 2 ฝ่าย” นายสุวัจน์ กล่าวขนาดนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยังพูดชัดเจนว่า ได้คุยกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไปแล้วว่า ทางพรรคประชาธิปัตย์ต้องรีบประชุมว่า จะทำอย่างไร จะยุบสภาเมื่อไร จะแก้รัฐธรรมนูญกัน บอกให้ชัดเจน จะทำเฉยไม่ได้

เพราะเหตุการณ์ร้อนแรงขึ้นทุกวันนายบรรหารย้ำว่า เสียงของนายชวน มีมากในพรรค แต่ถ้าไม่ช่วยนายกฯ อภิสิทธิ์ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ อะไรจะเกิดขึ้นก็ตอบไม่ได้ “อยากบอกว่า เหตุการณ์นี้คล้ายกับเสื้อเหลืองยึดสนามบินสุวรรณภูมิ นึกสังหรณ์ใจตลอดเวลา เหมือนตรงที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน ยุบพรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย รุ่งขึ้นเสื้อเหลืองออกมายึดสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว”นี่คือมุมมองอาวุโสที่นายอภิสิทธิ์ควรเปิดใจ

กว้างรับฟัง เพื่อหาทางออกให้กับประเทศชาติยิ่งวันนี้ แม้แต่นักวิชาการเองก็ยังเกิดความรู้สึก นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดมาก และอาจไม่เกิดรอบเดียว อาจจะมีรอบ 2 ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไหร่ แต่ขอภาวนาว่า อย่าให้มีและอย่าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยกระบวนการนอกรัฐธรรมนูญ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การรักษาชีวิต ส่วนการรักษาพื้นที่หรือการใช้กฎหมายเด็ดขาดไม่ใช่เรื่อง

สำคัญ “ฉะนั้น ในฐานะที่รัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบความเป็นไปของบ้านเมือง ประกอบกับการที่นายกฯพูดเสมอว่า นักการเมืองต้องมีจิตสำนึกที่สูงกว่าคนทั่วไป นายกฯ ก็ต้องแสดงให้สังคมเห็นว่า ได้รับผิดชอบอะไรไปแล้ว นอกจากนี้ ทุกฝ่ายต้องมีสติให้มั่น อย่ากดดันกันจนนำไปสู่ความรุนแรง” นายเอนกกล่าว นายเอนกแนะนำว่ารัฐบาลต้องยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และยุติการใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้วย เพื่อ

คืนบ้านเมืองสู่สภาวะปกติ และต้องยกเลิกการเซ็นเซอร์ข่าวสาร เพราะตอนนี้เกิดความไม่เป็นธรรมมาก โดยเฉพาะสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เมื่อไม่ให้อีกฝ่ายพูด ฝ่ายตนเองก็ต้องไม่พูดด้วย ฉะนั้น ขอให้ตระหนักในการเสนอข่าวสาร เพราะตอนนี้กลายเป็นการเสนอข่าวสารสร้างความเกลียดชังกัน นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวว่า ความขัดแย้งทางการเมืองไม่ควรจบลงด้วยความรุนแรง ทั้งนี้ รัฐบาลมีพันธกิจที่จะต้องรับผิดชอบชีวิตและ

ทรัพย์สินของประชาชน ไม่ว่าเหตุรุนแรงนั้นจะเกิดจากฝ่ายใด หรือใครเริ่มความรุนแรงก่อนก็ตามในฐานะเป็นผู้บริหารบ้านเมือง แต่ขณะนี้ รัฐบาลยังอยู่เฉยโดยไม่แสดงความรับผิดชอบทางการเมือง จึงเป็นปัญหา ฉะนั้น ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ การยุบสภาก็คงต้องยุบเพราะความขัดแย้งลงลึกมากขึ้น ส่วนกติกาที่จะให้ทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้ง เมื่อมีความขัดแย้งขนาดนี้คงรอให้แก้ไขก่อนคงไม่ได้ ซึ่งคงต้องให้นักการเมืองพยายามตกลงกัน ยุติการชักนำไม่

ให้มีคนออกมาต่อต้านในการหาเสียง“ถ้าตอนนี้ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรเลย รัฐบาลจะบริหารไม่ได้แม้จะอยู่ต่อ เพราะการชุมนุมก็ค้างคา รัฐบาลก็สลายการชุมนุมอีกไม่ได้ ทหารก็ไม่ยอมใช้กำลังตามคำสั่งของรัฐบาล ยิ่งโดนคณะกรรมการการเลือกตั้ง ตัดสินคดียุบพรรคจากเงินบริจาค ตอนนี้จึงเป็นเป็ดง่อย และเน่าทางการเมืองลงไปทุกทีจนกำลังจะเป็นซากการเมือง หากไม่รีบตัดสินใจ นายกฯ จะไม่เหลืออนาคตทางการเมืองอะไรเลย” นายสมชายกล่าวนี่คือมุมมองที่

เกิดขึ้นในเวลานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรพิจารณามากกว่าคำพูดของคนรอบข้างไม่กี่คนแม้อาจจะเป็นการย้ำประโยคเดิมที่อาจจะน่าเบื่อในมุมมองของรัฐบาลว่าทุกอย่างเราเตือนคุณมาก่อนทั้งนั้นแล้วไม่ใช่หรือ?และวันนี้เราก็ยังขอเตือนเหมือนเดิมว่า ลดทิฐิหาทางออกเพื่อประเทศชาติเถอะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล จะเป็นนปช. จะต้องลดทิฐิลงทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อเจรจากันจริงๆ โดยต้องไม่ลืมหลักการเจรจาที่แท้จริง นั่นคือ จะต้องยอมรับให้ได้ว่า ไม่มีการเจรจาใดๆ ที่จะได้

100% แต่หากคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะยอมเสียอะไร จะยอมถอยแค่ไหน ทำเหมือนกันทั้ง 2 ฝ่ายๆ สุดท้ายก็จะหาจุดลงตัวในการเจรจาได้แต่หากขึงพืดไม่มียอมเสียหรือยอมถอยในการต่อรองเลย การเจรจาก็จะไม่มีประโยชน์สุดท้ายประเทศชาติก็จะแย่ เพราะวันนี้ ก็มีคนสีอื่นๆ ขยับเข้ามาทำให้สถานการณ์ยุ่งเหยิงมากขึ้นแล้วดังนั้นวันนี้ เหลือทางรอดทางเดียวคือการเจรจาโดยสันติ... เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียรอบ 2


ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************

เหวง ขู่รัฐ ปราบแดง เจอสงครามกลางเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ ในช่วงเช้าผู้ชุมนุมยังบางตาบริเวณหน้าเวทีปราศรัย ขณะที่จำนวนมากยังพักผ่อนอยู่ตามเต๊นท์ต่างๆซึ่งมีจำนวนมากขึ้นกว่าช่วงเทศกาลสงกรานต์ คาดว่าจะเป็นการต้อนรับมวลชนที่เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัดในช่วงสงกรานต์ ขณะที่ด้านหลังเวทีมีเพียงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจรัล ดิษฐาอภิชัย และสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หนึ่งในแกนนำที่ถูกหมายจับ ซึ่งระบุว่าใน 2-3 วันที่ผ่านมาไม่สามารถไปพักผ่อน อาบน้ำตามโรงแรมรอบราชประสงค์ได้เลย เพราะรัฐบาลสั่งห้ามให้แกนนำเสื้อแดงไปใช้บริการทุกแห่ง

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวปราศรัย ตอนหนึ่งว่า ขณะนี้รัฐบาลใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบราวกับว่าคนเสื้อแดงเป็นข้าศึกของประเทศนี้ ดังนั้นคนที่ยกระดับสงครามครั้งนี้ คือรัฐบาลไม่ใช่คนเสื้อแดง เราจะยืนหยัดในสันติวิธี จนนาทีสุดท้ายของชีวิต แต่ขอเตือนว่าถ้ามีการล้อมปราบคนเสื้อแดง รัฐบาลจะเผชิญกับสงครามกลางเมืองในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เปรียบได้กับพี่น้องมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ถูกกดขี่สุดท้ายต้องจับอาวุธขึ้นมาสู้กลายเป็นผู้ก่อการร้าย นอกจากนี้ยังโจมตีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมากดดันให้รัฐบาลสลายการชุมนุม โดยเฉพาะพล.ต.จำลอง ศรีเมือง และสมณะโพธิรักษ์ โดยเรียกร้องให้มวลชนเสื้อแดงเลิกสนับสนุนแนวทางของสันติอโศกทั่วประเทศ

วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

"จตุพร" ปูด "อนุพงษ์" วางแผนสั่งปราบ นปช.

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า ในวันที่ 20 เมษษยน คนเสื้อแดงมีการชุมนุมใหญ่แน่นอน ในการปฏิบัติการตามยุทธวิธีเพื่อเอาชนะรัฐบาล แต่เป้าหมายในการขับเคลื่อนจะเป็นอย่างไร จะประกาศในวันที่ 20 เม.ย.เวลา 10.00 น

นายจตุพร ปราศรัยว่า เมื่อเวลา 19.00 น. ของวันที่ 18 เม.ย. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ได้เรียกประชุม ศอฉ แต่มีนายทหารแตงโม ได้นำบันทึกการประชุมมาแจ้งกับตนทั้งหมดว่าพล.อ.อนุพงษ์ มีการวางแผนเตรียมการ 9 ข้อ คือ 1.ให้ทุกอย่างจบภายใน 3 วัน 2.กำลังพลที่ใช้ พล ม. 2 พล 1 รอ. พล ร. 9 และพล.ร 2 เป็นกองหนุน 3.ให้พัฒนาแผนทุกวัน ประชุม 9 โมงเช้าและ 1 ทุ่มทุกวัน 4.ถอนกำลังทหารออกจากทำเนียบรัฐบาลเหลือ 8 กองร้อย จากเดิมมี 24 กองร้อย 5. แจกจ่ายปืนลูกซอง กองพลละ 600 กระบอก 6.กระสุนยาง กองพลละ 18,000 นัด และลูกซองปราย 9 ซึ่งฆ่าคนตายได้ ไม่ทราบจำนวน 7.ขณะนี้ทุกวันให้กำลังพลไปฝึกซ้อมยิงปืนที่กองพันททหารม้าที่ 3 เกียกกาย 8.จัดกำลังพลนายทหาร หรือนายสิบฝีมือดีกองพลละ 20 นาย แต่งกายนอกเครื่องแบบพร้อมปืน เอ็ม 16 เอ 2 หรืออาวุธถนัดแฝงตัวเข้าไปในที่ชุมนุมวันที่ทำการล้อมปราบ และ 9.ภารกิจนี้ห้ามล้มเหลว กระสุนจริงและระเบิดมีพร้อม

นายจตุพร กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนปฏิบัติ มี 4 ข้อ 1.ปิดสื่อทั้งหมด รวมทั้งเว็บไซต์ 2.จับแกนนำ หรือทำลายแกนนำ 3.สลายผู้ชุมนุม และ 4.สร้างความชอบธรรม ออกประกาศทางสื่อทุกชนิด สรุปว่าทำถูกต้องทุกอย่าง มีการพูดว่าเสีย 500 ชีวิตก็ต้องยอม ซึ่ง 7 วันนับจากนี้จะเป็นวันอันตรายของคนเสื้อแดง ไม่ใช่จะมีการสลายในวันที่ 7 แต่จะมีการสลายการชุมนุมได้ทุกวัน แม้เราจะยืนอยู่บนพื้นฐานไม่ประมาท แต่เราก็ไม่สามารถระวังได้ทุกวัน แต่เราก็จะไม่ยอมเอาชีวิตแลกกับความไม่ยุติธรรม ซึ่งวันนี้เรามาไกลเกินกว่าจะให้นายอภิสิทธิ์ลอยนวลจากปัญหานี้ เราต้องเดินหน้าต่อไป


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************

นปช.ปัดรับข้อเสนอสันติวิธี ย้ำจุดยืนเดิม ยุบสภา

เวลา 17.30 น. ตัวแทนกลุ่มองค์กรภาคประชาชน 16 องค์กร เดินทางมายังเวทีปราศรัยสี่แยกราชประสงค์ เพื่อยื่นหนังสือถึงนายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธานนปช. และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการนปช. เพื่อขอร้องให้ นปช.และคนเสื้อแดงใช้ สันติวิธี และการเจรจา พาประเทศออกจากวิกฤต

การหารือเกือบ 1 ชม.บรรยากาศเป็นไปอย่างเคร่งเครียด โดยนายปริญญาได้ยื่นข้อเสนอทั้งหมดเรียกร้องให้คืนพื้นที่แยกราชประสงค์ ขณะที่ได้เรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อให้ธุรกิจในย่านดังกล่าวเปิดทำการได้เพราะกระทบต่อประชาชนทุกระดับเพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการถอยคนละก้าวและนำสู่การเจรจาและเสนอให้โทรทัศน์ทุกช่องเปิดพื้นที่ให้ทั้งสองฝ่ายได้มีการเจรจาร่วมกัน ทั้งนี้ระหว่างการเจรจานายจตุพร ได้นำผลสรุปการประชุมของศอฉ. เมื่อวันที่ 18 เม.ย. เวลา 19.00 น.มาให้เครือข่ายดู ซึ่งมีมติว่าให้มีการสลายการชุมนุมและทุกอย่างต้องจบภายใน 7 วัน ซึ่งผลการประชุมได้มีการบันทึกทุกมติที่ประชุมว่าหากต้องมีคนเสียชีวิต 500 คนก็ต้องยอม

นายจตุพร กล่าวว่า ทางแก้ทุกอย่างอยู่ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะขณะนี้มีพี่น้องเสื้อแดงล้มตายจำนวนมากและเราก็ถอยไม่ได้ วันนี้แม้แกนนำจะถอยแต่ชาวเสื้อแดงที่มาชุมนุมก็จะไม่ถอย เพราะพี่น้องเขาตายแล้ว คนที่จะถอยก็คือรัฐบาลด้วยการยุบสภา

“วันนี้ มีชาวเสื้อแดงตายในการสลายการชุมนุม แต่เครือข่ายมาให้นปช.ถอย โดยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังนั่งเป็นนายกฯ โดยไม่รับผิดชอบกับคำสั่งที่ผิดพลาด เราจะตอบกับพี่น้องเสื้อแดงได้อย่างไร คนฆ่าต้องเป็นฝ่ายถอย ไม่ใช่คนที่ถูกฆ่าถอย“ นายจตุพร กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า จะให้ถอยตอนนี้ไม่ทันแล้ว เพราะนายอภิสิทธิ์ได้สั่งการฆ่าประชาชนไปแล้วและทราบว่า ในคืนนี้ประมาณตีสองหรือตีสาม จะมีการสลายการชุมนุมสั่งฆ่าประชาชนอีก ทหารที่มาประจำการบริเวณสีสมที่มีการพกอาวุธสงคราม ไม่ได้มาเพื่อป้องกันสีลม แต่เพื่อรอคำสั่งให้ชาร์ตสลายการชุมนุม เพราะฉะนั้นนปช.มีข้อเรียกร้องเดียวคือยุบสภา ซึ่งการที่นายอภิสิทธิ์ยุบสภาก็ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลแพ้คนเสื้อแดง แต่เป็นการยุบสภาเพื่อรับผิดชอบคำสั่งที่ผิดพลาดทำให้มีความคนตายและคนเสื้อแดงก็จะไม่ประกาศชัยชนะ


ที่มา.เนชั่นท่านข่าว
**********************************************

"ทักษิณ"ยันเสื้อแดงวันนี้ไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวเขาอีกแล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์ส ขณะเครื่องบินแวะจอดที่ประเทศบรูไน โดยกล่าวถึงกรณีที่ไม่ได้โฟนอินไปยังผู้ชุมนุมช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงตอนนี้ ไปไกลเกินการต่อสู้เพื่อตัวเขาแล้ว ตอนนี้คนเสื้อแดงต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและประชาธิปไตย

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงทางออกวิกฤติการเมืองขณะนี้ว่า ต้องแก้ด้วยการเมือง และทางเดียว คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องยุบสภา และจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุยังไม่มีแผนกลับประเทศ และไม่ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งตามข่าวลือ



ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
***********************************************

“ขวัญไชย”ยันพรุ่งนี้8น.เสื้อแดงเคลื่อนไหวแน่-อุบแผน

นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดรฯ กล่าวยืนยันว่า ในวันพรุ่งนี้ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่แน่นอน แต่จะเคลื่อนไปยังบริเวณสถานที่ไหนนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเกรงว่าทางรัฐจะจับทางได้ถูก

นายชวัญชัย กล่าวด้วยว่า ได้รับข่าวสารที่น่าเชื่อถือได้ว่า จะมีทหารกว่าแสนนายเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดง ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ประชาชนคนเสื้อแดงทุกจังหวัดเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ เพื่อสมทบกับคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ เพื่อแสดงพลังให้รัฐบาลได้เห็น


ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ออนไลน์
*********************************************