--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ผู้ว่าฯ กทม.สั่งเพิ่มอำนวยความสะดวกผู้ชุมนุม-ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ


ผู้ว่าฯ กทม.ส่งรถสุขา รถพยาบาลให้บริการผู้ชุมนุมย่านราชประสงค์ พร้อมขอความร่วมมือรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มเที่ยวรถ เพิ่มเที่ยวเรือคลองแสนแสบ บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบนำรถออกจากห้างกลับบ้านไม่ได้ วอนผู้ชุมนุมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย เลื่อนจัดมหกรรมสร้างสุขภาพคนกรุงเทพฯ ที่ถนนสีลมพรุ่งนี้ (4 เม.ย.) เป็น 25 เม.ย.เพื่อความปลอดภัย

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรียกประชุมด่วนผู้บริหาร กทม. เรื่องความมั่นคงในพื้นที่ กทม.พร้อมกล่าวหลังประชุม ขณะนี้ได้นำรถสุขา 4 คันเข้าไปให้บริการพื้นที่ชุมนุมเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ล่าช้าเนื่องจากไม่ทราบล่วงหน้าว่าผู้ชุมนุมจะเดินทางไป อีกทั้งหลังจากทราบรถสุขาก็เข้าไปไม่ได้ เนื่องจากผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านนอกขอเข้าห้องน้ำก่อน แต่ได้รับความร่วมมือจากห้างสรรพสินค้าในย่านดังกล่าวให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าใช้บริการห้องน้ำของห้างได้ ส่วนรถสุขาที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ก็ยังให้บริการอยู่ แต่หากผู้ชุมนุมต้องการอะไรเพิ่มขอให้แจ้งมายัง กทม.

นอกจากนี้ ยังเตรียมรถดับเพลิง รถพยาบาลเคลื่อนที่ เพื่อให้บริการ โดยไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง พร้อมประสานโรงพยาบาลโดยรอบในการบริการได้อย่างรวดเร็ว ประสานงานกับหัวหน้ารักษาความปลอดภัยบริษัท ห้างร้าน หน่วยงานที่ย่านราชประสงค์ กรณีเกิดเหตุร้ายก็จะสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ทันที และประสานไปยังผู้บริหารรถไฟฟ้าบีทีเอส ในการเพิ่มจำนวนเที่ยวรถ เพราะมีประชาชนจำนวนมากที่ทำธุระย่านดังกล่าวไม่สามารถขับรถกลับบ้านได้ จึงเลือกเดินทางโดยบีทีเอส โดยจอดรถส่วนตัวไว้ที่ห้างต่างๆ ย่านราชประสงค์ ส่วนใหญ่ต้องเสียค่าจอดรถ จึงมอบหมายให้นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าฯ กทม. ประสานไปยังผู้ประกอบการให้ยกเว้นค่าจอดรถกรณีนำรถออกมาไม่ได้

ผู้ว่าฯ กทม.ยังฝากไปยังผู้ชุมนุมให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้วยความระมัดระวังในการชุมนุมท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด เสี่ยงต่อหลายปัญหา ต้องการให้ทุกฝ่ายระมัดระวังเป็นพิเศษ และให้เคารพสิทธิของผู้อื่นที่ไม่ได้ร่วมชุมนุม อีกทั้งจุดดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวและธุรกิจจำนวนมาก ขอให้เป็นเจ้าบ้านที่ดี ทั้งนี้ ส่วนตัวต้องการให้เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ของ กทม.มีชีวิตตามปกติโดยเร็ว เพราะพวกเขาเหล่านี้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงมาตั้งแต่วนที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ชุมนุม กทม.มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุข เฝ้าระวัง แต่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่บอกให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ เพราะเป็นปัญหาทางการเมือง จะแยกกันระหว่างการเมืองกับการให้บริการ หากผู้ชุมนุมต้องการอำนวยความสะดวกเรื่องอะไรก็ขอให้บอกมา

ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงการบริการของรถไฟฟ้าบีทีเอส ว่า ในช่วงปกติ รถไฟฟ้าจะวิ่งทุก 6 นาทีต่อขบวน แต่ช่วงที่มีการชุมนุม บางเวลาที่ กทม.ขอความร่วมมือจะเร็วขึ้น 2-3 นาทีต่อขบวน ตั้งแต่มีการชุมนุมประชาชนใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว นอกจากนี้ กทม.ได้ประสานการเดินเรือคลองแสนแสบให้เพิ่มเที่ยวเรือด้วย หากการชุมนุมยังยืดเยื้อถึงวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันทำการ กทม.จะประสานกับหน่วยงานที่ดูแลด้านการจราจรอีกครั้ง ทั้งนี้ บริเวณแยกราชประสงค์มีกล้องซีซีทีวี ของ กทม.จำนวน 102 ตัว ทำงานได้สมบูรณ์ทุกตัว และยังมีกล้องซีซีทีวีของหน่วยงานอื่นอีก 64 ตัว นอกจากนี้ กทม.เตรียมพนักงานรักษาความสะอาดเก็บกวาดขยะบริเวณที่ชุมนุมแยกราชประสงค์ไว้พร้อม ซึ่งคาดว่าจะมีขยะประมาณ 100 ตัน

นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (4 เม.ย.) กทม.กำหนดจัด “ มหกรรมสร้างสุขภาพคนกรุงเทพฯ ” (Bangkok Health Day 2010 ) ณ บริเวณถนนสีลม ได้ขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 25 เมษายนนี้แทน เพื่อความปลอดภัย .

-สำนักข่าวไทย
*************************************************

นกพิราบเริ่มจะอ่อน ล้า เหยี่ยวรอเวลาโผบิน เสื้อแดงมาถึงทางสองแพร่ง กลับไปเป็นไพร่ หรือ ก่อสงครามปลดแอก

มีคำถามของพี่น้องเสื้อแดงหลายๆ คนว่า การต่อสู้ต่อไปจะทำอย่างไร เพราะถึงอย่างไรมาร์กก็คงไม่ลาออกแน่นอน แม้วันนี้จะไปราบ 11 แต่ก็คงไม่ได้คำตอบอะไร

พรุ่งนี้จะเดินต่ออย่างไร กลับบ้าน หรือยังจะลุยต่อ

ยุติสงคราม กลับไปเป็นไพร่ต่อไป

หรือจะเปิดสงครามปลดแอก

มาถึงวันนี้ ผมก็ไม่ได้คำตอบเหมือนกัน เพราะมันเหมือนเราเดินมาถึง "ทางสองแพร่ง"

คือ

1.ยึดแนวทางสันติอหิงสาต่อไป

2. ไปในอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้อง สันติอหิงสาแบบเคร่งครัด

3. กลับบ้าน กลับไปก้มหน้าเป็นไพร่ ผีซาบซึ้งต่อไป

ผมพอจะจับสำเนียงสามเกลอได้ว่า จะยังไม่ยอมกลับบ้าน และจะสู้ต่อไป ส่วนจะสู้กันอย่างไรนั้นผมคิดว่าในกลุ่มนำ ก็กำลังหาแนวทางหรือถกเถียงกันอยู่

ส่วนมวลชนนั้นยังห่างไกลจากคำว่า ท้อแท้สิ้นหวัง เพียงแต่อาจให้ความเชื่อถือแนวทางสันติ อหิงสาลดน้อยลง และอารมณ์วันนี้คงยากที่จะยอมกลับไปเป็นไพร่ต่อไป

การไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวของอำมาตย์ เป็น "ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์" ที่พวกเขาจะต้องเสียใจในภายหลัง วันนั้นพวกเขาไม่ควรดื้นร้น ภายใต้สังคมที่มีความซับซ้อน และกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม พวกเขาพยายาม "หยุดกงล้อแห่งการเปลี่ยนแปลง" ให้นิ่งอยู่กับที่


1. แนวทางของสายพิราบ

การต่อสู้บนถนนด้วยการเคลื่อนผู้คนจำนวนมากทั้งในเมือง และต่างจังหวัดหลายแสนคน รวมทั้งแนวร่วมจำนวนมากที่อยู่ในแนวหลัง ผ่านไปครึ่งเดือน ความคืบหน้าของแนวทางนี้ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ฝ่ายอำมาตย์ก็ยังยื้อต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่า อำมาตย์จะไม่สามารถใช้กำลังสลายม็อบที่มีจำนวนมาก และเป็น "ม็อบยานยนต์" นี้ได้ เพราะจำนวนคนและ "ยานยนต์" มีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่กำลังทหารตำรวจ จะสามารถสลายได้ โดยไม่เกิดความรุนแรง

แนทางต่อไปของสายพิราบ หากจะเดินในแนวนี้ ผมคิดว่า ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้


2. แนวทางของสายเหยี่ยว

ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มอย่างไร แต่สายเหยี่ยวจะมีน้ำหนักมากขึ้นในกลุ่มแกนนำ รวมทั้งในใจของ "คนเสื้อแดงด้วย" แนวทางของแดงสยาม อาจมีการปฎิบัติหรือได้รับการยอมรับกันมากขึ้น ผู้นำของแนวทางนี้ที่รออยู่ ก็มีอยู่แล้ว เช่น จักรภพ หรือคนอื่นๆ

ผมไม่คิดว่าสงครามครั้งนี้จะจบ และเพิ่งเดินมาถึงทางสองแพร่งเท่านั้น

สำหร้บผมแล้ว ผมมีทางออกที่ผมพอจะคิดได้สองทาง

1. หากจะเดินแนวทางใช้ม็อบกดดันต่อไป ก็ต้องทำให้ใหญ่โตและกว้างขวางกว่านี้ เช่น เอารถปิดถนนทุกเส้น ใน กทม.ทำให้กรุงเทพฯ เป็นอำพาต ไปในทันที ซึ่งหากทำได้ (ผมรู้ว่าเขามีทรัพยากร) ทั้งกรุงเทพฯ จะปิดตายทันที ทหารก็จะเคลื่อนกำลังไม่ได้ ไม่มีฝ่ายใดเคลื่อนกำลังได้ และไม่ต้องกล้วการปราบเพราะไม่มีใครเคลื่อนย้ายรถ 20,000-30,000 คัน ออกไปได้ หากคนขับเขาไม่มาขับออกไปเอง การทำธุรกรรมต่างๆ การขนส่งอาหารเข้ามาสู่ กทม. ก็จะทำไม่ได้ หากไม่มีการเจรจายุติความขัดแย้ง คนกรุงเทพฯ ก็ต้องรับผลโดยตรง

คนอาจคิดว่าทำแบบนี้คนกรุงเทพฯ จะต่อต้าน ผมคิดว่า ในสงคราม หากยังกลัวโน่นกลัวนี่ ก็ไม่ต้องรบ เมื่อถึงเวลาต้องทิ้งระเบิด ฮิโรชิมา เพื่อยุติสงคราม ก็ต้องทิ้ง หากมันยุติสงครามได้ ก็ต้องทำ

2. แนวทางสันติหากจะเดินต่อไปคือ การยกระดับเข้ากดดันทางเศรษฐกิจ เช่นการบอยคอต กลุ่มทุนอำมาตย์

หากเสื้อแดงยังคงจะเดินในแนวทางสันติอหิงสาต่อไป ผมคิดว่า ต้องยกระดับการต่อสู้ โดยไปต่อสู้ทางเศรษฐกิจ เช่น รณรงค์ให้พี่น้องเสื้อแดงทั้งหลาย “บอยคอต” ธุรกิจของกลุ่มทุนที่สนับสนุนอำมาตย์ เช่น ล้มธนาคารสักแห่งหนึ่ง หากมีการร่วมมือกันอย่างดี และทำจนเกินผล ผมเชื่อว่าจะเกิดความกลัวในกลุ่มทุนของอำมาตย และจะบีบให้มีการหาทางออกต่อไป

ธนาคารที่จะล้ม ต้องไม่ใช่ธนาคารกรุงเทพฯ แต่ต้องเลือก ธนาคารที่เป็น Comsumer Banking ที่มีธุรกรรมรายย่อยมากพอ และการบอยคอตของมหาชน จะส่งผลต่อธนาคารในทันที แม้ว่ารัฐจะเข้าช่วยเหลือ แต่ “กลุ่มทุน” ทั้งหลายก็จะตระหนักในพลังของคนเสื้อแดงว่า “มีมากแค่ไหน” หาก แกนนำชี้เป้าหมายไปที่กลุ่มทุนอำมาตย์ กลุ่มใด กลุ่มนั้นก็จะตายทันที

แนวทางแต่ละอันต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งในตัวเอง คนเสื้อแดงคงจต้องถกและเรียนรู้กันต่อไป

แต่จะให้กลับไปเป็นไพร่ต่อไปนั้น คนยาก สงครามยังไม่จบ แต่จะรุนแรงขึ้น และเริ่มนับถอยหลังได้สำหรับสถาบันซาบซึ้งทั้งหลาย ภายใต้พายุแห่งการเปลี่ยนแปลง พวกท่านยินดีที่จะ ขวางทิศทางของทอนาโดให้ถึงที่สุด ผมเชื่อว่า ไทยใหม่ ไทยมหาชนรัฐกำลังปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า

วันนี้ วันที่คนจะกลับไปใช้ชีวิตซาบซึ๊งเหมือนเดิมนั้น เป็นไปไม่ได้

พวกท่านเป็นไม้ตายซากในสังคมไทย ที่รอวันล่มลงไปในที่สุดเท่านั้น

วันนี้ผมไม่ฟันธงว่ายุทวิธีใดจะได้ผล ผมกำลังอยู่ในระหว่างเรียนรู้ และประเมินผลเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงทั้งหลาย ที่ก็คงกำลังช่วยสามเกลอคิดอยู่เหมือนกัน

แต่ผมเชื่อว่า วันนี้ นกพิราบกำลังอ่อนแรงแล้ว เหยี่ยวอาจโผผินบินออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ แกนนำสายพิราบ จะมีอิทธิพลต่อคนเสื้อแดงลดลง แม้จะไม่ทันที แต่พวกเขาก็จะยังหาคำตอบให้กับ มวลชนของตนไม่ได้



บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
****************************************************

"วีระ"นำกลุ่มคนไทยผู้รักชาติ บุกยื่นหนังสือแสดงจุดยืนและไม่ต้อนรับ"ฮุนเซน"ประชุมลุ่มน้ำโขง

นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยผู้รักชาติ พร้อมด้วยสมาชิกกลุ่มกว่า 200 คน เดินทางมาที่สำนักงานเทศบาลตำบลนายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นจุดก่อนเข้าเขตพื้นที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ประกาศเขตควบคุมเพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (MRC SUMMIT ) ครั้งที่ 1 ที่จะมีขึ้น ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 4-5 เมษายน

ทั้งนี้ นายวีระกับพวกมีความประสงค์ยื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อเลขาธิการคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขงและคณะฯ เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านและไม่ต้อนรับการเดินทางมาร่วมประชุมของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ที่จะเดินทางมาร่วมครั้งนี้ซึ่งคาดว่าจะถึงที่ประชุมในตอนเย็นวันนี้ โดยมีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนรับมอบแถลงการณ์ ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลนายาง ขณะที่กลุ่มที่อ้างตัวเป็นคนไทยรักชาติได้ถือป้ายประณามและไม่ต้อนรับนายกฯฮุนเซนจำนวนมาก

ก่อนยื่นหนังสือแถลงการณ์ นายวีระได้อ่านเนื้อความในแถลงการณ์ที่หน้าสำนักงานเทศบาลฯต่อสื่อมวลชนสรุปได้ว่า สมเด็จฮุนเซนเป็นศัตรูของชาติไทย โดยมีความเกี่ยวเนื่องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา สมเด็จฮุนเซนทำร้ายจิตใจคนไทย หมิ่นศักดิ์ศรีประเทศไทย แทรกแซงกิจการภายใน กล่าวหาโจมตีและปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย นำเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เหนื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยแต่งตั้งและให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษอาญาแผ่นดินไทยให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและเป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน นอกจากนี้ ยังละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนไทย อ้างแผนที่ที่ไม่ได้รับการรับรองจากศาลโลก ยึดครองพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร และพยายามยึดครองดินแดนไทยตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย โดยมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายวีระกล่าวต่อไปว่า การกระทำดังกล่าวของ สมเด็จฮุนเซน เป็นไปด้วยวิธีที่ฉ้อฉล ตนและกลุ่มคนไทยผู้รักชาติขอประกาศคัดต้าน และจะต่อสู้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย และจะติดตามทวงคืนในทุกวิถีทาง ไม่ขอต้อนรับศัตรูของชาติผู้หยาบช้า ถ่อยเถื่อน ไร้เกียรติยศ อย่าได้เข้ามาเหยียบแผ่นดินไทย ถ้ามาก็ขอให้ออกไปจากแผ่นดินไทย

หลังอ่านแถลงการณ์นายวีระกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กัมพูชาได้นำหลักเขตแดนมาปักบริเวณพื้นที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย ตนและกลุ่มคนไทยผู้รักชาติจะร่วมกันไปถอนหลักเขตเพื่อนำไปปักให้พ้นผืนแผ่นดินไทย จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้เพียง 1 ตางรางนิ้วให้แก่กัมพูชา

นายชวนนนท์ กล่าวว่าการคัดค้านและแสดงจุดยืนของกลุ่มนายวีระสามารถกระทำได้ แต่การแสดงจุดยืนดังกล่าวจะไม่นำเข้าสู่ที่ประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากมิใช่ประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับลำน้ำโขง แต่จะหาช่องทางแจ้งให้กัมพูชารับทราบในโอกาสต่อไป

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรับมอบหนังสือแสดงจุดยืนใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นกลุ่มของนายวีระได้เดินทางกลับโดยไม่มีเหตุรุนแรง ท่ามกลางการคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนายโดยมี พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผบช.ภ.7 มาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง.


ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************

"ขวัญชัย" จี้ "NBT" หยุดออกอากาศรายการให้ร้าย

นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำชมรมคนรักอุดร ซึ่งเป็นแกนนำขบวนรถกลุ่มเสื้อแดงที่มาปักหลักชุมนุมหน้าสถานีโทรทัศน์ NBT ตั้งแต่ช่วงบ่ายที่ผ่านมาพร้อมแนวร่วมอีก 2 คนได้เป็นตัวแทนกลุ่มเสื้อแดงเข้าเจรจายื่นข้อเรียกร้องการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมและการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ โดยมีนายสืบพงศ์ นุตริยทัศน์ ผู้อำนวยการสำนักเทคโนโลยีรักษาการแทนผอ.สถานี ได้ออกจากอาคารมาเจรจากับนายขวัญชัยและตัวแทน โดยนายขวัญชัย เรียกร้องให้ NBT

1.ยุติการนำเสนอข่าวและการผลิตรายการที่เป็นการให้ร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
2.ยุติการนำเสนอข่าวและการผลิตรายการที่เป็นการให้ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง และ
3.ให้นำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริง เพราะเป็นเวลา 3 ปีกว่าแล้วที่ มีการนำเสนอข่าว ทั้งการส่ง SMS และผลิตรายการที่ไม่ให้ความเป็นธรรมกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีการผลิตรายการซึ่งออกอากาศทาง NBT ที่มีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และดร.เสรี วงศ์มลฑา เป็นผู้ดำเนินรายการ และให้ความเห็นในทางที่เป็นผลร้าย ต่อการเคลื่อนของกลุ่มคนเสื้อแดง และพ.ต.ท.ทักษิณ

โดยกลุ่มของนายขวัญชัย ได้กล่าวย้ำว่า การเจรจาก็เพื่อร้องขอความเป็นธรรมไม่ได้มีเจตนาประสงค์ที่บุกรุกสถานีโทรทัศน์ NBT ซึ่งก่อนหน้านี้ สถานีโทรทัศน์ NBT ก็เคยถูกบุกล้อมโดย กลุ่มพันธมิตรฯ มาก่อนแล้ว ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับสถานี โดย ผลของการเจรจาครั้งนี้กลุ่มเสื้อแดงก็จะรอชมรายการที่ออกอากาศทาง NBTว่าจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราคนเสื้อแดง จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายขวัญชัยกับพวกกับไปที่รถปราศรัยแล้ว ได้ประกาศให้ผู้ชุมนุมไปรวมตัวกลับกลุ่มผู้ชุมนุมที่ เวทีสะพานผ่านฟ้าฯ โดยรถปราศรัยซึ่งนำโดยนายขวัญชัย ได้ขับเคลื่อนออกจากหน้า NBT เมื่อเวลา 17.50 น

สื่อต่างชาติรายงานม็อบแดงยึดศูนย์กลางท่องเที่ยว

สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปชุมนุมกัน 2 จุด คือที่แยกราชประสงค์ และถนนวิภาวดี หลังฝ่ายผู้ชุมชุมและรัฐบาลมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องกรอบเวลาการยุบสภา โดยกลุ่มคนเสื้อแดงต้องการให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 15 วัน ขณะที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอยุบสภาภายในสิ้นปีนี้

ส่วนสำนักข่าวเอพี รายงานว่า กลุ่มคนเสื้อแดงพยายามสรรหาวิธีการกดดันให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่หลังชุมนุมยืดเยื้อเป็นสัปดาห์ที่ 4 ไม่เป็นผล การชุมนุมวันนี้เน้นไปที่ย่านการค้า ห้างสรรพสินค้า และโรงแรมหรู แล้วจะดำเนินต่อไปจนถึงวันจันทร์ ส่งผลให้ห้างสรรพสินค้า และอาคารสำนักงานบริเวณการชุมนุมต้องปิดให้บริการด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย เอพี ยังรายงานข่าวคนเสื้อแดงเข้าทุบรถพอร์ชคันหนึ่งด้วยความโกรธแค้น หลังรถคันดังกล่าวพุ่งชนรถจักรยานยนต์ที่คนเสื้อแดงจอดไว้ด้านหน้าโรงแรมอินเตอร์ คอนติเนนตัล

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างยืนดูกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยความสับสนขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ายึดพื้นที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก อย่างไรก็ดี การชุมนุมที่ไม่มีเหตุรุนแรงทำให้นักท่องเที่ยวหลายคนไม่รู้สึกกังวลมากนัก โดยนักท่องเที่ยวชาวเยอรมนีคนหนึ่งแสดงความเข้าใจกลุ่มผู้ชุมนุม และว่าไม่รู้สึกกลัวเพราะเขามาเที่ยวเมืองไทยทุกปี และทราบดีว่าจะไม่เกิดเหตุรุนแรง ส่วนนักท่องเที่ยวหญิงชาวสิงคโปร์ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่คงไม่ชอบที่ต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ส่วนตัวเองไม่รู้สึกกลัว เพราะไม่รู้ว่าคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงคืออะไร เธอเพียงแต่ต้องการไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ในกรุงเทพฯ

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า นอกจากจะชุมนุมที่แยกราชประสงค์ กลุ่มคนเสื้อแดงยังไปที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

ปลื้ม ค้าน! อย่ามา‘เหวง’

คำศัพท์ฮิตบนอินเตอร์เน็ต “อย่ามาเหวง” กำลังกลายเป็น “วาทะกรรม”
เพื่อดิสเครดิต “หมอเหวง” น.พ.เหวง โตจิราการ...

อันเนื่องมาจากการเปิดโต๊ะเจรจาระหว่าง “กลุ่มคนเสื้อแดง” และ “รัฐบาล”
“อย่ามาเหวง” เป็นคำศัพท์ที่สื่อถึง การพูดไม่รู้เรื่อง
หรือ การพูดไม่ได้เนื้อหาใจความ
หรือ การพูดจาวกไปวนมาซึ่งการเจรจาสองครั้งที่ผ่านมา...
ประชาชนที่คอยเชียร์ คอยชมรัฐบาล “ประชาธิปัตย์” รู้สึกว่า
“หมอเหวง”หลุดออกจากประเด็นบน โต๊ะเจรจามากที่สุด
บุคคลเหล่านั้นจึงนำที่มาที่ไปมาตั้งเป็นคำเรียกว่า “อย่ามาเหวง” คือ อย่ามาพูดไม่รู้เรื่องซึ่งเรื่องนี้

“หม่อม ปลื้ม” ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล ก็ได้พูดให้แง่คิดที่ดี...
เพราะหากใครได้ ฟังการเจรจาสองครั้งที่ผ่านมา“หมอเหวง” เป็นบุคคลที่พูดด้วย “เนื้อหา” แน่นที่สุด
เขาทำตัวเป็น “เป้าหลอก” ให้เห็นการแสดงออกทางคำพูดของนายกรัฐมนตรี

และอากัปกิริยาของทางรัฐบาลอย่างชัดเจนโดยเฉพาะประเด็น “ข้อเท็จจริง” ที่นำมาแสดงให้ประชาชนได้รับทราบ...เกือบทุกประเด็น “แทงใจดำ” บุคคลซึ่งเป็นใหญ่ในรัฐบาล
เพราะพวกเขาไม่สามารถ “หาหลักฐาน” และ “เหตุผล” มาอ้างอิงคะคานกับคำพูดเหล่านั้น

“หม่อม ปลื้ม” วิเคราะห์ว่า...
ใครที่ฟังหมอเหวงไม่รู้เรื่อง แปลว่า บุคคลนั้นมีความรู้น้อยกว่าหมอเหวงที่ว่ามีความรู้น้อย...
คือรู้ในข้อ เท็จจริงและประเด็นที่ “หมอเหวง” นำมาพูดว่าต้องการทำเช่นนี้เพื่อหวัง “ผลลัพธ์”

ในเรื่องอะไรเขาเหล่านั้นตามไม่ทัน หรือไม่รู้จริงๆ หรือรู้เข้าใจแต่ไม่ยอมรับ
เพราะเป็นฝ่ายตรงข้าม เพราะประชาชนส่วนใหญ่ต่างรู้ทั้งรู้ว่า “การยุบสภา” มิใช่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่าย...
หากผู้มีอำนาจเขาไม่ยอมรับ...

เขา ก็คง “ยึดมั่น” ในคำเดิมแล้วจะทำอย่างไรเพื่อ “เปิดแผล” มิให้ถูกมองว่า “ฝ่ายรัฐบาล” ดูดี
เพราะคำพูดเพียงอย่างเดียวกี่ครั้งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ออกอาการหลุด...
จนต้องเข้าไปคลุกวงในกับ “จตุพร พรหมพันธุ์”ถือว่าได้

ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ “บนโต๊ะเจรจา” กับการขำข้อมูล “เป็นจริง” ซึ่งประชาชนไม่เคยรับรู้มาเผยแพร่ให้เกิดการติดตามประเด็น“อย่ามาเหวง” จึงไม่มีอะไรมากนอกจากเป็นเสียงร้องโหยหวนของบุคคลที่เชียร์รัฐบาล
ซึ่ง ตั้งขึ้นมาเป็น “วาทะกรรม” เพื่อดิสเครดิต
การต่อสู้ทางการเมืองฝ่ายตรง ข้ามแค่นั้นจริงๆ กับการลดความน่าเชื่อถือของ “หมอเหวง”

ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

เสธ.จง ชู“ทักษิณ”สัญลักษณ์ต่อสู้-เปรยคนไม่ขึ้นเวทีน่าระวัง

พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล อดีตประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 ถึงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่า ขณะนี้ช่วยเป็นแรงใจให้กลุ่มนปช. ซึ่งเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เห็นด้วยถึงเวลาที่สังคมต้องเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาผู้ที่มีอำนาจควรปล่อยให้ประชาชนมีอิสระทางความคิด ซึ่งเป็นห่วงเรื่องลัทธิคลั่งชาติ เปรียบกับญี่ปุ่นที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนกัน แต่เป็นจักรพรรดิ ในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกปกครองด้วยโชกุน แต่เมื่อแม็คอาเธอร์ชนะ เขาก็ทำลายหมด และมีการจับแขวนคอหมด แต่เก็บจักรพรรดิ เพราะจักรพรรดิ และประฃาชนเป็นสถาบันที่สำคัญ ทำให้ญี่ปุ่นเจริญ

ซึ่งบ้านเมืองเราคล้ายๆกัน คิดว่า ขณะนี้เสื้อแดงชนะไปแล้ว เพราะเขาสามารถจุดประกายประชาชนในเรื่องการคิดเรื่องความครอบงำทางการเมืองได้ แต่การคุกเข่าขอประชาธิปไตยต้องใช้เวลา แต่วันนี้ถือว่า ชนะในทางยุทธศาสตร์ เพราะสามารถอธิบายประชาชนชาวรากหญ้าว่า จริงๆประชาธิปไตยเป็นรูปแบบ แต่เนื้อหาไม่ใช่ เพราะยังมีการจ้างคนไม่ยกมือไว้วางใจอยู่

"ผมอยากเห็นประชาธิปไตยบ้านเราเหมือนญี่ปุ่น โดยเฉพาะทหาร คือ จับทหารเข้าไปอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เหมือนประเทศเจริญ เพราะทุกวันนี้เรายังจัดเหมือนสมัยสงครามโลก คือ มีผู้บังคับบัญชาคนเดียวสั่งได้เป็นแสนๆ คน ซึ่งทั่วโลกเขาจัดแบบเป็นเสนาธิการทหารหมด เขาให้คุมได้เฉพาะหน่วยผู้บัญชาการระดับกองพล โดยอำนาจทั้งหมดต้องขึ้นกับฝ่ายการเมือง ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ผมจะพยายามผลักดันในเรื่องนี้ เพราะอำนาจทั้งหมดอยู่ที่อำมาตยาธิปไตยอยากคุมทหารไว้ คือ คุมตัวบุคคล คือ เขายึด ผบ.ทบ.คนเดียวทุกอย่างจบ ไม่ใช่คุมกฎหมาย ไม่อย่างนั้นเขาจะมาดูการปรับย้ายทุกสมัยทำไม หากเรามีกฎหมายให้ทหารเป็นของประชาชนจริงๆ อำมาตย์จะคุมไม่ได้ ถึงเวลาหรือยังที่จะทำให้กองทัพของเราเป็นเหมือนกองทัพที่เจริญแล้ว ในโลกนี้เหลือเพียงแค่ประเทศไทยกับกัมพูชาเท่านั้น ที่มีผู้บัญชาการทหาร"

พล.อ.จงศักดิ์ กล่าวว่า ตนให้เกียรติเขาทุกคน กลุ่มเสื้อแดงต่อสู้มา 3 - 4 ปี ตนยกย่องในความกล้าหาญของเขา คือ กล้าหาญทางความคิดที่เราไม่กล้าคิด คนไทยถูกครอบงำทางการเมืองมานาน เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่กล้าคิดต่อสู้ถือว่า น่ายกย่อง ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยขึ้นเวที นปช.นั้น ทุกอย่างเป็นตามธรรมชาติ ที่น้ำต้องไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ คนอุดมการณ์ใกล้เคียงกันจะไหลไปหากันโดยอัตโนมัติ ส่วนกรณีที่มีการมองว่า พล.อ.ชวลิตลงมา จะมีการเล่นเกมใต้ดินหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่า ท่านเป็นคนไม่ลับ ลวง พราง แต่ท่านพูดตรงๆ ไม่อย่างนั้นท่านจะไปขึ้นเวทีนปช.หรือ คนที่กล้าพูด กล้าขึ้นเวทีไม่น่ากลัว แต่คนที่ไม่ขึ้นเวทีทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ ระวังให้ดี

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการระบุว่า จปร. 20 ได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากพ.ต.ท.ทักษิณ และมีส่วนเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ พล.อ.จงศักดิ์ กล่าวว่า ในเรื่องท่อน้ำเลี้ยง แม้ผมจะสนิทสนมกับพ.ต.ท.ทักษิณ แต่ตั้งแต่รับราชการมา พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยมาโปรโมตอะไรตน ตรงกันข้ามมีแต่พี่ๆที่เชียร์ตนให้ขึ้นมา ซึ่งตนไม่มีอะไรกับพ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งเรื่องเงินทองยิ่งไปกันใหญ่ ตัดไปได้เลยเรื่องผลประโยชน์ เพียงแต่ตนเห็นว่า ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของแพะในคอก

ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เปรียบเหมือนแพะภูเขาที่ไม่เคยถูกครอบงำ มีอิสระ ส่วนเราเป็นแพะในคอกที่ถูกครอบงำ ที่เราอยากเอาตัวอย่างไปเป็นแพะภูเขา ส่วนเรื่องวางระเบิดนั้น จากการที่ได้ตรวจสอบกับพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปว่า เด็กในสนามพูดแสดงความคิดเห็นกับนักข่าวท่านหนึ่งแล้วเอามาพูดกับผู้ใหญ่ในกองปราบ เมื่อไม่มีการปฏิเสธทำให้เกิดเป็นข่าวขึ้น แต่ตอนนี้ตนไปที่ไหน ตนก็วางระเบิดทุกวัน คือ วางระเบิดความคิด


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
***********************************************

บทบาท"หมอ"กับการเมือง

กรณี น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ อ้างผลตรวจเลือดที่เสื้อแดงนำไปเท พบเชื้อไว้รัสตับอักเสบ และเชื้อเอดส์
และว่า ผลตรวจดีเอ็นเอ พบเลือดมีส่วนผสมของเลือดหมูกับเลือดคน
รวมถึงการที่ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำนัดหมายกลุ่มสีชมพูแสดงพลัง ที่สวนลุมฯ
นำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์หลากหลาย และมีความเห็นจากเพื่อนร่วมวิชาชีพ ดังนี้



น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา
นายกแพทยสภา
การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองถือเป็นเสรี ภาพส่วนบุคคลที่แพทย์สามารถทำได้
แต่การแสดงความคิดเห็นนั้นไม่ควรนำความเป็นแพทย์มาเกี่ยวข้อง หรือใช้ว่าตัวเองเป็นนายแพทย์ แพทย์หญิง แม้ว่าจะไม่มีกฎกติกากำหนดไว้แต่เป็นเรื่องไม่เหมาะสม
ไม่ควรเอาวิชาชีพไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง อยากให้แพทย์ทุกคนยึดหลักแห่งวิชาชีพที่เป็นผู้ช่วยเหลือทุกคนโดยไม่เกี่ยวข้องกับลัทธิ ความเชื่อ ศาสนา
จำเป็นต้องรักษาความเป็นกลางไว้ แต่ไม่ได้หมาย ความว่าจะมีความชอบหรือแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไม่ได้เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพ
ขอฝากเตือนบรรดาแพทย์ทั้งหลายว่าการจะกระ ทำการใดๆ ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่สามารถกระทำได้
แต่หากไม่เกี่ยวข้องกับทางการแพทย์หรือการรักษาพยาบาลก็ไม่ควรใช้คำว่า "นายแพทย์" นำหน้าชื่อ และไม่ควรแต่งกายด้วยแบบฟอร์มของแพทย์
แต่หากจะใช้คำว่า "หมอ" สามารถทำได้ เพราะหมอมีตั้งแต่หมอดูและหมอนวดเต็มไปหมด
ที่ผ่านมาก็มีหมอหลายคนที่ขอลาออกจากแพทยสภาเพื่อไปเล่นการเมืองก็มี ซึ่งแพทยสภาไม่ได้ห้ามหรือบัญญัติไว้ แต่เป็นความรับผิดชอบส่วนตัว
กรณีการนำผลการตรวจเลือดมาเปิดเผยต่อสาธารณะไม่ใช่เรื่องผิดเพราะไม่มีการเปิดเผยชื่อ แต่เป็นการเตือนประชาชนให้รับทราบ
ถึงไม่ออกมาเตือนก็บอกได้ว่าเลือดมีปัจจัยเสี่ยงเป็นอันตรายอยู่แล้ว แพทย์ทุกคนรู้ดี เมื่อต้องสัมผัสเลือดก็จะใส่ถุงมืออย่างดี
แต่คนที่ไม่รู้ไม่มีการป้องกันก็อาจได้รับอันตรายได้
จากสถิติพบว่าผู้ใหญ่อายุ 30 ปีขึ้นไปที่เป็นพาหะโรคไวรัสตับอักเสบ 8-10% หรือใน 100 คน พบ 10 คน ส่วนโรคเอดส์มีคนไทยที่ติดเชื้อเอชไอวีนับล้านคน เสียชีวิต 5 แสนคน เหลืออยู่ในสังคมประมาณ 5 แสนคน หรือใน 100 คน พบ 1 คน

ดังนั้น การที่มีผู้มาร่วมกันเจาะเลือดหลายร้อยคนก็ย่อมมีเชื้อต่างๆ ปะปนอยู่แล้วโดยที่ไม่ต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือด
การโดนเลือดตามเยื่อบุต่างๆ ก็ทำให้ติดเชื้อได้ ซึ่งสามารถกินยาป้องกันได้หากรู้ว่าได้รับความเสี่ยง แต่ถึงขณะนี้คงไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้หากได้รับเชื้อจริงก็คงต้องสวดมนต์อย่างเดียว
การเจาะเลือดของคนเสื้อแดงไม่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพเวชกรรมแต่เป็นเรื่องทางไสยศาสตร์ ความเชื่อของบุคคล และไม่อยากยุ่งเกี่ยวเพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ไม่ใช่หลักเกณฑ์ทางวิชาการ
และขอเตือนแพทย์ว่าไม่ควรเจาะเลือดลักษณะเช่นนี้อีก เพราะส่วนใหญ่คนป่าจะทำ และคนในเมืองไม่ทำ ทำแล้วอายเขา



น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ผอ.ศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลก

ด้านค้นคว้าและอบรมโรคติดเชื้อไวรัสสัตว์สู่คน
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การที่แพทย์ไปเคลื่อนไหวทางการเมือง ตราบใดที่ไม่ได้เอาความคิดทางการเมืองไปแบ่งแยกการรักษาพยาบาลคนไข้ ผมไม่คิดว่ามีปัญหา
แต่เมื่อใดที่ประกาศว่าจะใช้ความคิดทางการเมืองไปแบ่งแยก ไม่รักษาคนที่มีความเชื่อทางการเมืองแตกต่างกับตัวเอง อย่างนี้ถือว่าไม่ถูก
ผมมองต่างกับพระสงฆ์ ที่ผมไม่เห็นด้วย 100% ที่พระสงฆ์จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะพระสงฆ์มีหน้าที่อบรมบ่มจิตใจคน
กรณีน.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ต้องดูวัตถุประสงค์การออกมาพูด ผมมองว่าการออกมาบอกว่าพบเลือดบวก พบเชื้อไวรัสในเลือด เพื่อเป็น การเตือน เพราะหลายฝ่ายได้ออกมาเตือนเรื่องนี้ตั้งแต่ก่อนมีการเจาะเลือดแล้วว่าการเจาะเลือดแบบนี้อาจสุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
วันนี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันว่าการที่เราเตือนอันตรายนั้นเกิดขึ้นจริง
การออกมาพูดก็ขึ้นกับวิธีการนำเสนอว่าบางตัว อย่างมีเชื้อโรค ตามที่เราสันนิษฐานตั้งแต่ก่อนเจาะเลือด ผมคิดว่าเป็นการพูดเพื่อให้ระวังเรื่องความปลอดภัย
ส่วนกรณี น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ ความจริงก็เป็นรุ่นน้องผม แต่การออกมาพูดแบบทั้งองค์กรคงไม่ถูก เพราะองค์กรเดียวกันความคิดเห็นก็อาจแตกต่างไม่เหมือนกัน
วันนี้ผมก็ไปร่วมที่สวนลุมฯ เพราะเห็นว่าการแถลง การณ์เพื่อต้องการให้สงบ รักกัน ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ไม่ก้าวร้าวยั่วยุว่าจะปิดประตูกัน
คิดว่าหมอออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ต้องไม่เอาตำแหน่งนายแพทย์หรือแพทย์หญิงนำหน้าเพื่อโน้มนำความน่าเชื่อถือ ต้องมาด้วยความเป็นตัวเองเป็นนาย นาง นางสาว
การอ้างความเป็นหมอไม่ผิด แต่หากอ้างว่าเป็นหมอเป็นผู้มีปัญญาเลิศแล้วมาพูดว่าคนต้องเชื่อตัวเองอย่างนั้นคงไม่ถูก



น.พ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์
คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล

การเคลื่อนไหวทางการเมืองของแพทย์ถือเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล การเคลื่อนไหวทางการเมืองความจริงมีทุกวิชาชีพ แต่ เมื่อมีหน้าที่ตามวิชาชีพก็ต้องทำ งานก่อน
กรณีน.พ.กุศล ออกมา ผมไม่รู้เหตุผลการกระทำ แต่คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการชี้ให้เห็นอันตรายของการเจาะเลือดมากกว่า ส่วนกรณีน.พ.ตุลย์ ผมก็ไม่อยากให้เอาองค์กรวิชาชีพไปเกี่ยวข้องทางการเมือง
เรื่องแบบนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของวิชาชีพแพทย์ การเคลื่อนไหวทางการเมืองของแพทย์จึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อวิชาชีพ เนื่องจากแพทย์มีหน้าที่ต้องรักษาพยาบาล ไม่ว่าฝ่ายไหน เมื่อเข้ามาอยู่ในวิชาชีพนี้แล้วไม่ว่าศัตรู ข้าศึก เราก็ต้องดูแล
ดังนั้น เรื่องการเคลื่อนไหว บทบาท ความคิดเห็นทางการเมือง จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคล
แต่ต้องไม่ทำให้กระทบต่อองค์กรและวิชาชีพการทำงาน



น.พ.ชูชัย ศุภวงศ์
อดีตเลขาธิการแพทยสภา

หากจะมองในแง่ของจริยธรรมวิชาชีพ ต้องพิจาร ณาว่าแพทย์คนดังกล่าวได้ทำผิดจรรยาบรรณวิชา ชีพหรือไม่ ซึ่งมีอยู่ 3 ประเด็นที่ควรพิจารณา คือ
ประการแรก คือการทำผิดการประ กอบวิชาชีพเวชกรรม เช่น การรักษา การใช้วิชาชีพในการรักษาอย่างผิดวิธี หรือทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นหรือไม่
ประการที่สอง ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ศรีของวิชาชีพหรือไม่ เช่น การขู่อาฆาตต่อชีวิตของผู้อื่น เพราะถือว่าขัดต่อวิชาชาชีพแพทย์ที่ต้องให้การช่วยเหลือผู้อื่น
ประการที่สาม คือการกระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง
การชุมนุมทางการเมืองถือเป็นการแสดงความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถใช้เสรีภาพแสดงความคิดเห็นได้ ตราบใดที่การกระทำนั้นไม่ผิดกฎหมายบ้านเมือง หรือใช้วิชาชีพไปในทางที่ผิด หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ศรีของวิชาชีพ
ในกรณีของน.พ.กุศล ถือว่าเป็นการบอกความจริงต่อสังคม
บอกให้สังคมได้ระวังในอันตรายที่จะเกิดขึ้น


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
***************************************************

'ตัวช่วย' ให้อยู่ลำบาก?

เรตติ้งกระฉูดทันตาเห็นเลย กับคิวที่นายแพทย์กุศล ประวิชไพบูลย์ อ้างในนามแกนนำ

กลุ่มพี่น้องมหิดล ออกมาเคลื่อนไหวยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมปูดประเด็นแฉดังๆ

เลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่นำไปสาดตามสถานที่ต่างๆ พบเชื้อไวรัสร้ายแรง ทั้งไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือเอดส์

อีกทั้งยังพบเลือดที่นำมาทิ้งมีส่วนผสมของเลือดหมู

ลบหลู่กันแรงๆ ตามอารมณ์ที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. จุดไฟโหมอารมณ์เดือดดาลของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ยอมไม่ได้ที่โดนดูถูกเหยียบย่ำ

"เลือดสัตว์เดรัจฉานปนกับเลือดคนเสื้อแดง"

ประกาศขึ้นป้ายนายแพทย์กุศล เป็นศัตรูของคนเสื้อแดง งัดมาตรการตอบโต้ขั้นรุนแรง ด้วยการประกาศชื่อคลินิกเสริมความงามพร้อมสถานที่ตั้งในห้างดัง 2 สาขา และเบอร์โทรศัพท์เสร็จสรรพ

ล็อกเป้าให้คนเสื้อแดงตามไล่ล่า

ในจังหวะที่หน่วยงานซึ่งโดนอ้างอิงตามข้อมูลของหมอกุศล "ไม่รับมุกด้วย"

นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภาฯ ยืนยันจะนำเรื่องของนายแพทย์กุศล เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภา ในวันที่ 8 เมษายน เพื่อพิจารณาพฤติกรรมว่า เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์การนำวิชาชีพเวชกรรมไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่วิชาชีพแพทย์หรือไม่

ขณะที่ศาสตราจารย์นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน คณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แถลงปฏิเสธกรณีที่นายแพทย์กุศลออกมาระบุว่า ได้มีการนำเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงมาตรวจที่ห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลรามาฯ และพบว่ามีเชื้อไวรัส และเชื้อเอชไอวี

ไม่เป็นความจริง และนายแพทย์กุศลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับทางโรงพยาบาล

ยอมรับว่า เรื่องดังกล่าวได้สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของโรงพยาบาลรามาฯ พร้อมย้ำจุดยืนของโรงพยาบาลว่า ให้ปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้กรอบของวิชาชีพ และไม่เกี่ยวข้องกับความคิดทางการเมือง

โดยเฉพาะรองศาสตราจารย์นายแพทย์ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ย้ำอาจต้องดำเนินคดีกับนายแพทย์กุศล ที่ออกมาอ้างว่าโรงพยาบาลรามาธิบดีเกี่ยวข้องกับผลการตรวจเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง ส่งผลให้โรงพยาบาลเสียหาย

"ยืนยันว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่มีหน้าที่ หรือได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปตรวจเลือดดังกล่าวแต่อย่างใด แต่การที่นายแพทย์กุศล ออกมาระบุเช่นนี้ จะเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ก็เป็นไปได้ เนื่องจากการนำเลือดไปตรวจ อาจมีการนำไปปรุงแต่งเพิ่มเติมได้ ซึ่งควรที่จะต้องพิสูจน์ต่อไป"

"หมออาชีพ" ไม่สนุกด้วยกับมุกแฝงการเมือง

รู้ทาง เบื้องหลังของนายแพทย์กุศล เป็นแนวร่วมพันธมิตรฯที่เคลื่อนไหวต่อต้านเครือข่ายอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร มาอย่างต่อเนื่องในระดับเข้มข้น

อย่างที่เวทีคนเสื้อแดงเอาข้อมูลข่าวเก่ามาย้อนหลังแฉเป็นฉากๆ

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันต้องตามแกะรอย โดยปฏิบัติการของเครือข่าย ม็อบพันธมิตรฯที่ตั้งท่าบู๊กับกองทัพคนเสื้อแดง

วันเดียวกันกับคิวของ "หมอกุศล" ทางกลุ่ม 40 ส.ว. นำโดยนายไพบูลย์ นิติตะวัน นายประสาร มฤคพิทักษฺ์ พล.ต.ต.เกริก กัลยาณมิตร ส.ว.สรรหา และ น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ก็เปิดแถลงที่รัฐสภา ปูดข่าว "ไม่ได้กรอง" การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในวันที่ 3 เมษายน

มีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรง โดยสร้างสถานการณ์ด้วยการยิงระเบิดใส่ผู้ชุมนุมให้มีการเสียชีวิตและบาดเจ็บ จากนั้นศพและคนเจ็บจะกลายเป็นเครื่องมือปลุกให้เกิดความเคียดแค้น นำไปสู่การก่อจลาจล

แต่พอโดนนักข่าวสภาไล่บี้ถามที่มาข่าวกรองเชื่อได้แค่ไหน ก็อึกๆอักๆ สลัดก้นลุกหนีกันดื้อๆ

ออกแนว "ปล่อยของ" กันทื่อๆ

แล้วอีกด้านก็เป็นนายแพทย์ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยขึ้นแสดงตัวแสดงตนบน

เวทีเสื้อเหลือง ก็ออกหน้านัดอาจารย์ อดีตอาจารย์ บุคลาจารย์จุฬาฯ รวมพลคนเสื้อชมพู จี้ให้รัฐบาลจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดง

แท็กทีมกันเล่นเป็นแพ็กเกจ ตามปรากฏการณ์คนเสื้อเหลืองพาเหรดออกมาช่วยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระดมแนวร่วมฟัดกับกองทัพแดง

โดย "ตัวช่วย" เหมือนนายกฯอภิสิทธิ์จะได้เปรียบ

แต่ถ้าเมื่อไหร่สถานการณ์ไหลไปถึงจุดที่ม็อบชนม็อบ โดยความรับผิดชอบของผู้นำรัฐบาลที่ไม่สามารถตีกรรเชียงหนี

"อภิสิทธิ์" นั่นแหละที่จะอยู่ไม่ได้.



ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง
************************************************

ตัวตลก

เห็นต้องย้ำอีกทีว่า ขอสนับสนุนแนวคิดสร้างอนุสาวรีย์สมเพียร เอกสมญา ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ห้องประธานก.ต.ช. ห้องประธานก.ตร. ไปจนถึงหน้าที่ทำการพรรคการเมืองบางพรรค

อนุสาวรีย์ของจ่าเพียร ไม่จำเป็นต้องสร้างที่บันนังสตา

เพราะกรณีของพล.ต.อ.สมเพียร เป็นปมปัญหาความไม่เป็นธรรมในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์

เนื่องจากเป็นยุคที่ไม่มีการแต่งตั้งผบ.ตร.ทำให้องค์กรตำรวจอ่อนแอ ทำให้การเมืองเข้ามาล้วงโผโยกย้ายอย่างสนุกมือ

ระบบการแต่งตั้งของตำรวจถูกละเมิดอย่างเลวร้ายมากที่สุด

แล้วมาเกิดเรื่องตลกร้ายอย่างที่สุดขึ้นไปอีก เมื่อคณะกรรมมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร สรุปผลการสอบสวนกรณีปัญหาพล.ต.อ.สมเพียรไม่ได้รับการโยกย้ายไปลงในจังหวัดตรัง

ไม่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง!

ถ้าไปแถลงต่อหน้าประชาชนคนดูต้องโดนโห่กันระงม

เลยทำให้ต้องนึกถึงบทเพลงของ "ชุมพล เอกสมญา"

ลูกชายคนโตของพล.ต.อ.สมเพียร ซึ่งเป็นศิลปิน นักเพลง นักกวี ที่ชอบเดินทางไปในโลกกว้าง

ชอบอยู่บนดอยทำไร่ไถนาร่วมกับคนชนเผ่า

ชอบร้องเพลงเล่นกีตาร์บนเวทีดนตรีทางเลือก

เมื่อไม่กี่วันก่อน เพิ่งขึ้นแสดงในคอนเสิร์ต "พันแสงรุ้ง" ที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหิดล ร่วมกับ "ชิ"สุวิชาน ศิลปินเตหน่า ชาวปกาเกอญอ เพื่อนสนิท

นอกจากเพลงบันนังสตาที่โหยหวนไปทั่วบ้านทั่วเมืองหลังความตายของจ่าเพียร

โดยเฉพาะท่อนสำคัญที่สะท้อนปัญหาภาคใต้แม่นยำ "โลกที่เราล้างไฟด้วยไฟ" และหวังว่า "เราจะเป็นน้ำดับไฟ"

อีกเพลงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งชุมพล เอกสมญา แต่งขึ้นเมื่อครั้งเข้าร่วมการเคลื่อนไหวของสมัชชาคนจน

ชื่อเพลงตัวตลก

ประชาชนก็เป็นแค่ของเล่น ของผู้มีอำนาจของนักการเมืองเท่านั้น

ยิ่งเมื่อฟังคำแถลงผลสอบของกรรมาธิการ ได้ยินบทสรุปการสอบสวนของคณะกรรมการสำนักงานตำรวจแห่งชาติอีกชุด

ฟอกนักการเมืองว่าไม่มีใครเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโผโยกย้าย จนทำให้ชื่อสมเพียรหายไป

ยิ่งต้องอยากให้ฟังเพลงตัวตลก

เพลงจากลูกชายสมเพียร!


ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
***********************************************

ตกลงใครดึงสถาบันลงมาเป็นเครื่องมือการเมืองข้างถนนนี่....

ตอนที่มีการถวายพระพรและรณรงค์ให้คนไทยใส่เสื้อเหลืองเพื่อแสดงความจงรักภักดี สนธิ ลิ้มฯ ก็ออกมาจัดตั้ง พธม. และอาศัยเสื้อเหลืองมาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ เพื่อดึงมวลชนมาร่วม ว่าเป็นการต่อสู้เพื่อความจงรักภักดี ฝ่ายตรงข้ามกับเสื้อเหลืองเป็นฝ่ายที่ไม่จงรักภักดี จ้องล้มสถาบันฯทำให้คนจำนวนมากหลงเชื่อว่าการเข้าร่วมกับ พธม.เป็นการแสดงออกถึงความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องกำจัดฝ่ายตรงข้ามให้ได้เพื่อความดำรงค์อยู่ของสถาบันที่ตนรัก

มาเมื่อวาน มีการนำเสื้อสีชมพูมาเป็นสัญลักษณ์ในการจัดตั้งมวลชนเพื่อต่อต้านเสื้อแดง โดยตามข่าวบอกว่าเป็นความร่วมมือของ "ภาครัฐ" "ประชาชน" "อาจารย์" และ 40 สว. ที่เรียกร้องให้ยุติความรุนแรง และให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไป (ก็แน่ล่ะสิ เพราะ "ภาครัฐ" เป็นหน่วยจัดตั้งนี่นา) โดยก่อนหน้านี้เสื้อสีชมพูได้เป็นสัญลักษณ์ในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีหลังจากที่ พธม.นำเสื้อสีเหลืองลงไปละเลงกับการเมืองข้างถนนมาแล้วจึงได้เลือกสีชมพูมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทน

มาวันนี้มีกลุ่มคนอีกกลุ่มที่อาศัยความเคารพรักศรัทธาของประชาชนในสถาบันพระมหากษัตริย์มาจัดตั้งเป็นม็อบเสื้อชมพูที่แสดงออกว่าตัวเองคือพวกที่ต่อต้านความรุนแรง มีความเป็นกลางทางการเมือง(เป็นกลางมากๆ พธม.แปลงกายมาทั้งนั้น) และมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ แล้วไงต่อครับ คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับสีชมพูในสายตาของคนเสื้อชมพูก็เลยกลายเป็นคนที่ไม่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ทำลายชาติ อย่างนั้นหรือ

หยุดดึงฟ้าต่ำเถอะครับ ท่านอยู่ของท่านดีๆอยู่แล้ว อย่าเอาท่านลงมาแปดเปื้อนกับการเมืองข้างถนนอีกเลยครับ ปากพวกท่านก็บอกว่าจงรักภักดี แต่สิ่งที่ท่านทำอยู่มันตรงกันข้ามครับ ต่อไปพอเสื้อสีชมพูกลายเป็นสีที่เลวร้ายอย่างเสื้อเหลืองใครจะกล้าใส่เพื่อแสดงความจงรักภักดีกันเล่าครับ คงต้องหาสีใหม่ไปเรื่อยๆ พวกท่านก็นำไปแอบอ้างเรื่อยๆใช่ไหมครับ เราคนไทยทุกคนรักในหลวงครับ ไม่ว่าเสื้อเหลือง เสื้อขาว เสื้อแดง เสื้อชมพู ต่างก็มีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯทั้งนั้น อย่ามายัดเยียดความเกลียดชังกันในชาติเลยครับ


ที่มา.พันทิป
********************************************

"จาตุรนต์"บอกการเจรจายกฐานะเสื้อแดงไม่ใช่ แก๊งข้างถนน บอก"มาร์ค"คิดผิดว่าเป็นนายกฯคนแรกที่ตั้งโต๊ะคุย

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีดรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ลีลาศ เมื่อวันที่ 2 เมษายนถึงการเจรจาระหว่างแกนนำคนเสื้อแดงกับรัฐบาลว่า การเจรจาครั้งนี้ทำให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่ใช่เรื่องของแก๊ง ข้างถนน หรือคนคิดร้ายต่อบ้านเมือง แต่เป็นคนที่มีศักยภาพจนต้องให้ฐานะมานั่งเจรจากับนายกฯ (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ในการเจรจาครั้งนี้พบเรื่องเล็กๆว่านายกฯเข้าใจผิดในบ้างเรื่องว่า ตัวเองเป็นนายกฯคนแรกที่ลงมาเจรจากับผู้ชุมนุม ย้อนไปเมื่อปี 2540 สมัยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีเคยนั่งโต๊ะเจรจากับม็อบสมัชชาคนจน สมัยเขื่อนปากมูล มีนายกฯลงนั่งเจรจากับม็อบทำกันมาก่อนแล้วทั้งนั้น ในการเจรจาครั้งนี้พบว่า


"การเจรจาครั้งนี้พบว่านายกฯไม่อยู่กับร่องกับรอยยกคำพูดตอนที่ท่าน สมัคร (นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี) สมัยที่นายอภิสิทธิ์นั่งฝ่ายค้านบอกว่าถ้าเป็นผมยุบสภาไปแล้ว ซึ่งนายกฯบอกว่าเพราะพันธมิตรมาเรียกร้องให้นายกฯลาออกจึงไปเสนอให้รัฐบาล สมัครยุบสภา ถ้าวันนี้เสื้อแดงให้นายกลาออกจะยอมยุบสภาไหม" นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์กล่าวต่อว่า ระหว่างการเจรจานายกฯแสดงสีหน้าท่าทางเหมือนอยู่ในสภาไม่ได้ตั้งใจจะแก้ วิกฤต แต่พูดเพื่อหาทางเอาชนะทางการเมืองแก้ปัญหาให้ตัวเองเท่านั้นทำให้คนเห็นว่า นายกฯพูดดีกว่า แล้วยังอ้างว่าต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ฟื้นก่อนถึงจะยุบสภา ตอนนี้รัฐบาลบอกทุกวันว่าตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ไม่เห็นยุบสภา ทำไมต้องรอสิ้นปีงบประมาณ

ที่มา.พิทักษ์ไทย
**************************************************