อันที่จริงการต่อสู้ทางการเมือง มันไม่มีสี สีเป็นสิ่งที่สมมุติกันขึ้นเท่านั้นเอง แทนอุดมการณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง พวกที่ต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย ต้องการประชาธิปไตย ใช้สีแทนกลุ่มของตน คือ "สีแดง" หากจะเรียกอุดมการณ์ก็น่าจะแทนแนวคิด "เสรีประชาธิปไตย (อุดมการณ์ทางการเมือง ส่วนแนวคิดทางเศรษฐกิจอาจเป็นเสรีนิยม หรือโซเชียลลิตก็ได้)
ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกอำมาตยาธิปไตย สนับสนุนคนชั้นสูงและกลุ่มอำนาจเก่าทางสังคม เป็นพวกนิยมเจ้าหรือ Royalist เคยมีอุดมการณ์สุดโต่งถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แนวคิดถวายคืนอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็คือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กลุ่มพวกนี้ อุดมการณ์ทางการเมืองคือ "อนุรักษ์นิยม" แต่ก่อนใช่ "สีเหลือง" แทนพวกของตน
มีพวกหนึ่งพยายามใช้สีขาว แต่ถูกจับได้ว่า ไม่ใช่ ขาวจริง แต่เป็นพวก "เหลืองปลอมตัวมา" เช่น พวกปริญญา เทวานิรมิตรกุล เป็นต้น พวกนี้อาจไม่ใช่ พวก พธม. แต่แนวคิดคือ "อนุรักษ์นิยม" เป็นเครือข่ายหนึ่งของอำมาตย์
สีขาวจริงๆ ในเมืองไทยตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็น ไม่ว่า ประเวศ วะสี หรือ โคทม อารียา พวกนี้เหลืองแปลงตัวมาทั้งสิ้น
สีเหลืองผิดพลาดในการยึดสนามบิน ทำให้ กลายเป็น "จุดด่าง" ของพวกเสื้อเหลือง
เมื่อพวก "เสื้อแดง" เข็มแข็งขึ้น ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวก "อำมาตย์ก็พยายามปลุกมวลชนสู้ มวลชนที่เป็นมี "อุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม" ก็ละอายที่จะใส่เสื้อเหลือง
ก็เลยพยายามแปลงกายเสียใหม่ เป็น "เสื้อชมพู"
แต่เนื้อแท้ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นพวก "เสื้่อเหลือง" นั่นเอง
การเมืองไทยตอนนี้สรุปคือ "ไพร่ VS อำมาตย์"
ไพร่ ใช้ สีแดง
อำมมาตย์ละอายที่จะใช้ สีเหลือง ก็เลยพยายามแปลงกายเป็นเสื้่อสีชมพู
แปลงกายยังไงมันก็พวกเดิมนั่นแหละ
ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
โดย.ลูกชาวนาไทย
**********************************************
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
ซื้อเวลา
ความห่วงใยต่อ สถานการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมขับไล่ รัฐบาลของคนเสื้อแดง ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะ ยืดเยื้อ นอกจากนี้ เหตุระเบิดแต่ละครั้งยังจับมือใครดมไม่ได้ จนเป็นที่สันนิษฐานกันว่า คนร้ายที่ออกมาสร้างความวุ่นวายน่าจะเป็นคนมี สีด้วยกันเอง
ขนาดกลางวันแสกๆยังสามารถใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามต่อสังคมว่า คนมีสีเหล่านี้เป็นคนสีไหน จะแดง จะเขียว จะเหลือง หรือจะสีน้ำเงิน
หรือมือที่สามที่มองไม่เห็น
ตำรวจทหารที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในส่วนของความมั่นคงอึกๆอักๆ ไม่รู้ไปเจอตออะไรเข้า วันนี้ไม่รู้เกิดเหตุระเบิดก็สิบครั้งแล้วในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วนับสิบราย ทรัพย์สินเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถามว่าใครรับผิดชอบ
ใน ศอ.รส.จะมองเห็นสัญญาณอันตรายจุดนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้ง ที่ประชุม ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์แล้ว จึงมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจพกพาอาวุธในการปฏิบัติการ
โดยมีเงื่อนไขว่า ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมจะไม่มีใครพกอาวุธเด็ดขาด (มีการจับได้ว่าทหารที่เข้าไปหาข่าวในพื้นที่การชุมนุมพกอาวุธปืนเข้าไปด้วย) ยกเว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหาร สถานที่สำคัญ และบุคคลสำคัญจึงจะพกอาวุธ (ปฏิบัติกันเป็นภารกิจปกติอยู่แล้ว) มีการพกอาวุธประจำกายทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดล่อแหลมไว้ 88 จุด จุดตรวจ 112 จุด และลาดตระเวนใน 93 เส้นทาง
ถามว่าเพื่อความปลอดภัยของรัฐหรือของประชาชน
การซื้อเวลาของรัฐบาลไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยงเรื่องเวลาว่าจะยุบสภาตอนไหนดี ไม่ใช่มาเถียงกันว่า จะต้องแก้กฎกติกาก่อนหรือไม่ ไม่ต้องมาต่อรองหรือท้าทายว่า จะทำประชามติว่ายุบหรือไม่ยุบสภาดีหรือไม่
แทงกั๊กปาหี่ไปเรื่อยๆ
เพราะความจริงก็คือ รัฐบาลยุบสภาไม่ได้อยู่แล้ว การเจรจาไม่ต่างจากปาหี่การเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ของปัญหาเป็นอย่างไร และถ้ารัฐบาลแพ้เที่ยวนี้ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทกันสุดความสามารถที่จะยื้อเวลาให้ครบวาระหรืออย่างน้อยก็ให้เกินเดือนตุลาคมไปให้ได้ ทั้งงบประมาณ ทั้งการโยกย้ายกำลังที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งจะต้องพร้อม
ดังนั้น ถ้ามีแรงกดดันให้ยุบสภาก่อนเดือนตุลาคมภายใน 15 วัน หรือ 3 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้และ เป็นเงื่อนตาย ที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าค้ำยันอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
หมัดเหล็ก ไทยรัฐ
*********************************************
ขนาดกลางวันแสกๆยังสามารถใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามต่อสังคมว่า คนมีสีเหล่านี้เป็นคนสีไหน จะแดง จะเขียว จะเหลือง หรือจะสีน้ำเงิน
หรือมือที่สามที่มองไม่เห็น
ตำรวจทหารที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในส่วนของความมั่นคงอึกๆอักๆ ไม่รู้ไปเจอตออะไรเข้า วันนี้ไม่รู้เกิดเหตุระเบิดก็สิบครั้งแล้วในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วนับสิบราย ทรัพย์สินเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถามว่าใครรับผิดชอบ
ใน ศอ.รส.จะมองเห็นสัญญาณอันตรายจุดนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้ง ที่ประชุม ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์แล้ว จึงมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจพกพาอาวุธในการปฏิบัติการ
โดยมีเงื่อนไขว่า ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมจะไม่มีใครพกอาวุธเด็ดขาด (มีการจับได้ว่าทหารที่เข้าไปหาข่าวในพื้นที่การชุมนุมพกอาวุธปืนเข้าไปด้วย) ยกเว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหาร สถานที่สำคัญ และบุคคลสำคัญจึงจะพกอาวุธ (ปฏิบัติกันเป็นภารกิจปกติอยู่แล้ว) มีการพกอาวุธประจำกายทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดล่อแหลมไว้ 88 จุด จุดตรวจ 112 จุด และลาดตระเวนใน 93 เส้นทาง
ถามว่าเพื่อความปลอดภัยของรัฐหรือของประชาชน
การซื้อเวลาของรัฐบาลไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยงเรื่องเวลาว่าจะยุบสภาตอนไหนดี ไม่ใช่มาเถียงกันว่า จะต้องแก้กฎกติกาก่อนหรือไม่ ไม่ต้องมาต่อรองหรือท้าทายว่า จะทำประชามติว่ายุบหรือไม่ยุบสภาดีหรือไม่
แทงกั๊กปาหี่ไปเรื่อยๆ
เพราะความจริงก็คือ รัฐบาลยุบสภาไม่ได้อยู่แล้ว การเจรจาไม่ต่างจากปาหี่การเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ของปัญหาเป็นอย่างไร และถ้ารัฐบาลแพ้เที่ยวนี้ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทกันสุดความสามารถที่จะยื้อเวลาให้ครบวาระหรืออย่างน้อยก็ให้เกินเดือนตุลาคมไปให้ได้ ทั้งงบประมาณ ทั้งการโยกย้ายกำลังที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งจะต้องพร้อม
ดังนั้น ถ้ามีแรงกดดันให้ยุบสภาก่อนเดือนตุลาคมภายใน 15 วัน หรือ 3 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้และ เป็นเงื่อนตาย ที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าค้ำยันอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
หมัดเหล็ก ไทยรัฐ
*********************************************
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
สมาคมนักข่าวฯเปิดเวที"วีระ มุสิกพงศ์"ยันเรื่องประโยชน์ชาติคุยได้ตลอดเวลา-หา"เวลากลาง"ยุบสภา

เมื่อวันที่ 1 เมษายน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง “เนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤตความขัดแย้ง”
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เสนอแก้วิกฤตความขัดแย้งด้วยยุทธศาสตร์ถนน 3 สาย ได้แก่
1. แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างการเมืองแบบร่วมคิดร่วมทำ
2. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สิน และปัญหาความยากจน แบบบูรณาการยั่งยืน
3. คือ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม และสร้างความเป็นมิตรไมตรีในสังคม
อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า การแก้วิกฤตการเมือง น่าจะมีบุคลากรทั้งจากรัฐบาลและ นปช. มาร่วมทำการบ้าน จะเจอกันในรอบหรือนอกรอบก็ได้ในระดับคนทำงาน ร่วมคิดร่วมทำสรุปเนื้อหาที่พอใจร่วมกัน โดยมีกระบวนการจัดการหารือที่ดี สร้างทัศนคติ อารมณ์ มุมมองร่วมกันให้ชัดเจน ยอมรับซึ่งกันและกัน
“คนที่พูดคุยกัน คือ คนจากทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลกับ นปช. เพราะประชาชนทั้งประเทศยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาล ยิ่งใหญ่กว่านปช.”
นายไพบูลยืกล่าวว่า คิดว่า วิกฤตประเทศไทยวันนี้ให้กำไรกับสังคมไทย เรียนรู้ความก้าวหน้าของสังคมไทย ในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้และการจัดการบรรทัดฐานการชุมนุมสาธารณะ หรือการเรียนรู้ความคิดเห็นอันหลากหลายจากประชาชนหลายกลุ่ม
นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ปัญหาของประเทศวันนี้อยู่ที่การยึดอำนาจ และไม่ให้เวลาประชาชนในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ฉะนั้น ข้อเสนอกลุ่มนปช.หลักการก็คือ ยุบสภาคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน
“ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็ออยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย”
ต่อข้อถามว่า นปช.และรัฐบาลจะมีการเจรจากันอีกหรือไม่ นายวีระ กล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
นายวีระ ยังกล่าวว่า เมื่อข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่ แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน
นายไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวว่า สังคมไทยวันนี้ มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงสุด อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากในอดีตวกฤตมักจบด้วยความรุนแรง เมื่อมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่วันนี้สังคมก้าวหน้าด้วยแนวทางสันติวิธี
นายไพโรจน์ ยังกล่าวว่า ต้องเข้าในว่าวันนี้สังคมไทยเผชิญกับวิกฤต 2 ด้านใหญ่ 1. คือ เกิดวิกฤตความชอบธรรม ต่อสถาบันทางการเมืองทุกระดับ ทั้งวิกฤตการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลที่ถูกตั้งคำถามว่า มาด้วยความชอบธรรมหรือไม่ หรือองค์กรอิสระวันนี้มีความชอบธรรมหรือเปล่า
นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตการใช้อำนาจ ว่าการใช้อำนาจของสถาบันทางการเมืองวันนี้ใช้โดยชอบหรือไม่ และการตั้งคำถามเรื่องการใช้อำนาจ 2 มาตรฐาน ซึ่งปะทุให้เห็นอย่างชัดเจน
ส่วนวิกฤตที่ 2. คือ วิกฤตความชอบธรรมทางสังคม คือ เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น การเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การถือครองที่ดินของรัฐ ดังเห็นได้จากกรณีปัญหา เขายายเที่ยง หรือ กรณีที่ดินเขาสอยดาว ซึ่งระบบการเมืองตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตความยากจน จนเกิดคำถามจากกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นสงครามชนชั้นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องคิดร่วมกัน
นายไพโรจน์ เสนอว่า ระยะเวลาก่อนยุบสภาหรือหลังยุบสภา ควรมีการแก้ปัญหาหลักๆ คือ เสนอวาระด้านนิติบัญญัติร่างกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และควรปฏิรูปการเมืองสังคมไทยอีกรอบหนึ่ง โดยการเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในระยะยาว
พล.อ. เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เห็นด้วยกับคุยเนื้อหาที่ว่าด้วยการแก้ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจการเมือง และสังคม ส่วนการเจรจา ไม่ควรพูดเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ควรพูดเรื่องการแก้ปัญหาในอนาคต และไม่นิยมความรุนแรง
“ผมเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายยังต้องการพูดคุยร่วมกัน เพราะการทิ้งไว้นานจนเกินไป สถานการณ์อาจผกผัน เกิดระเบิดลงอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความบานปลายได้” พล.อ. เอกชัย กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
"เสื้อแดง" ขู่ ชนทุกกลุ่มที่ต่อต้าน ตามแผน ศอ.รส.
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มพี่น้องมหิดลนำโดย น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ยื่นหนังสือต่อรองเลขาธิการนายกฯโดยได้ประณามการสาดเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่นำไปเทสถานที่ต่างๆเนื่องจากตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเลือดไวรัสตับซี ไวรัสตับอักเสบบี และเชื้อไวรัสเอดส์และได้มีการผสมเลือดหมู วัว รวมด้วย นั้น อยากถามว่า น.พ.กุศล มีสิทธิ์อะไรมาตรวจสอบเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานใดให้มาทำเช่นนี้ ทั้งนี้ที่บอกว่านำเลือดไปตรวจ นำไปตรวจตอนไหน
เพราะในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงไปเทเลือดแล้วมีการทำความสะอาดทันที ยืนยันว่าการกระทำของ น.พ.กุศล เป็นการกระทำที่อัปยศที่สุดในวงการแพทย์ คนกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์มาประณามการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มคนเสื้อแดงยอมไม่ได้ เพราะนอกจากบอกว่าเลือดมีเชื้อไวรัสแล้ว ยังระบุว่าเป็นเลือดของสุกรและวัว แสดงว่าเลือดของคนเสื้อแดง เปรียบได้เสมือนกับเลือดของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ดังนั้นยังจะถามไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ระบุว่าเป็นสถานที่ตรวจผลเลือด ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ล่าสุด ร.พ.รามาฯ ปฎิเสธว่าไม่เคยตรวจเลือด จึงไม่ใช่เป้าหมาย เหลือแต่ ม.มหิดล หากไม่มีคำตอบ วันที่ 3 เม.ย.เราจะเดินทางไปเยี่ยม
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 2 เม.ย. ทราบว่ากลุ่มนักวิชาการจุฬาฯจะจัดเสวนา โดยคณาจารย์ที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถอดเสื้อสีเหลืองออกมาใส่เสื้อสีชมพู รวมทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่จะชุมนุมต่อต้านการยุบสภา ที่สวนลุมพีนี แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตนทราบที่มาของการชุมนุมครั้งนี้ ว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นการจัดการของ ศอ.รส. ที่พยายามจัดหากลุ่มมวลชนมาต่อต้านกลุ่มเสื้อแดง โดยใช้งบประมาณของราชการ ดังนั้นในวันที่ 2 เม.ย. เวลา 12.00 น. กลุ่มเสื้อแดงจะเดินทางไปยังจุฬาฯ เพื่อทวงถามอธิการบดีว่าจะจัดงานเสวนาจริงหรือไม่ ถ้าหากมีการใช้จุฬาฯเป็นสถานที่เสวนา กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะไปรณรงค์ให้ยุบสภาภายในจุฬาฯเช่นกัน ในเมื่อมีประชาชนกลุ่มหนึ่งใช้ได้ ประชาชนอีกกลุ่มก็ต้องใช้ได้เช่นกัน และหลังจากที่ไปที่จุฬาแล้ว จะแวะไปที่ลานหน้าสวนลุมพินีเพื่อไปสังเกตการณ์ชุมนุมของกลุ่มนักธุรกิจโรงแรมเหล่านี้
ด้านนายจตุพร พรมพันธ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.พ.กุศล เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ลงชื่อไม่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเคยเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่บ้านสี่เสาฯก่อนการรัฐประหารไม่กี่วัน จึงถือว่า น.พ.กุศล เป็นเครือข่ายของกลุ่มอำมาตย์ ที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวของประชาชน และจากการตรวจสอบ พบว่า น.พ.กุศล ได้เปิดคลีนิกศัลยกรรม อยู่ที่ห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ดังนั้นคนเสื้อแดงที่อยากไปทำศัลยกรรมจมูกกับหมอคนนี้ก็สามารถติดต่อได้ โดยตนได้ประกาศหมายเลขโทรศัพท์ให้ทราบแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ทราบว่า ผอ.โรงพยาบาลรามาฯได้แถลงแล้วว่า น.พ.กุศล ไม่ใช่คนของโรงพยาบาลรามาฯ และการตรวจเลือดของบุคคลที่ไม่ยินยอมก็ไม่สามารถดำเนินการ ดังนั้น เป้าหมายที่โรงพยาบาลรามาฯ เราคงไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมอีกแล้ว และหวังว่า ม.มหิดล จะแถลงถึงความชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มเพื่อนมหิดล จริงหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นคิดว่าเป็นฝีมือในวันโกหกนานาชาติ ที่พยายามสร้างเรื่องมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************
เพราะในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงไปเทเลือดแล้วมีการทำความสะอาดทันที ยืนยันว่าการกระทำของ น.พ.กุศล เป็นการกระทำที่อัปยศที่สุดในวงการแพทย์ คนกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์มาประณามการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มคนเสื้อแดงยอมไม่ได้ เพราะนอกจากบอกว่าเลือดมีเชื้อไวรัสแล้ว ยังระบุว่าเป็นเลือดของสุกรและวัว แสดงว่าเลือดของคนเสื้อแดง เปรียบได้เสมือนกับเลือดของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ดังนั้นยังจะถามไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ระบุว่าเป็นสถานที่ตรวจผลเลือด ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ล่าสุด ร.พ.รามาฯ ปฎิเสธว่าไม่เคยตรวจเลือด จึงไม่ใช่เป้าหมาย เหลือแต่ ม.มหิดล หากไม่มีคำตอบ วันที่ 3 เม.ย.เราจะเดินทางไปเยี่ยม
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 2 เม.ย. ทราบว่ากลุ่มนักวิชาการจุฬาฯจะจัดเสวนา โดยคณาจารย์ที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถอดเสื้อสีเหลืองออกมาใส่เสื้อสีชมพู รวมทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่จะชุมนุมต่อต้านการยุบสภา ที่สวนลุมพีนี แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตนทราบที่มาของการชุมนุมครั้งนี้ ว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นการจัดการของ ศอ.รส. ที่พยายามจัดหากลุ่มมวลชนมาต่อต้านกลุ่มเสื้อแดง โดยใช้งบประมาณของราชการ ดังนั้นในวันที่ 2 เม.ย. เวลา 12.00 น. กลุ่มเสื้อแดงจะเดินทางไปยังจุฬาฯ เพื่อทวงถามอธิการบดีว่าจะจัดงานเสวนาจริงหรือไม่ ถ้าหากมีการใช้จุฬาฯเป็นสถานที่เสวนา กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะไปรณรงค์ให้ยุบสภาภายในจุฬาฯเช่นกัน ในเมื่อมีประชาชนกลุ่มหนึ่งใช้ได้ ประชาชนอีกกลุ่มก็ต้องใช้ได้เช่นกัน และหลังจากที่ไปที่จุฬาแล้ว จะแวะไปที่ลานหน้าสวนลุมพินีเพื่อไปสังเกตการณ์ชุมนุมของกลุ่มนักธุรกิจโรงแรมเหล่านี้
ด้านนายจตุพร พรมพันธ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.พ.กุศล เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ลงชื่อไม่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเคยเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่บ้านสี่เสาฯก่อนการรัฐประหารไม่กี่วัน จึงถือว่า น.พ.กุศล เป็นเครือข่ายของกลุ่มอำมาตย์ ที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวของประชาชน และจากการตรวจสอบ พบว่า น.พ.กุศล ได้เปิดคลีนิกศัลยกรรม อยู่ที่ห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ดังนั้นคนเสื้อแดงที่อยากไปทำศัลยกรรมจมูกกับหมอคนนี้ก็สามารถติดต่อได้ โดยตนได้ประกาศหมายเลขโทรศัพท์ให้ทราบแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ทราบว่า ผอ.โรงพยาบาลรามาฯได้แถลงแล้วว่า น.พ.กุศล ไม่ใช่คนของโรงพยาบาลรามาฯ และการตรวจเลือดของบุคคลที่ไม่ยินยอมก็ไม่สามารถดำเนินการ ดังนั้น เป้าหมายที่โรงพยาบาลรามาฯ เราคงไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมอีกแล้ว และหวังว่า ม.มหิดล จะแถลงถึงความชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มเพื่อนมหิดล จริงหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นคิดว่าเป็นฝีมือในวันโกหกนานาชาติ ที่พยายามสร้างเรื่องมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************
วิทยุชุมชนคนเสื้อแดง ระบุ รัฐแทรกแซงสื่อ
นายวิโรจน์ มูลสุข ประธานสภาองค์กรวิทยุโทรทัศน์ท้องถิ่นแห่งชาติ(สอทช.) ได้นำกลุ่มนักจัดรายการวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศ กว่า 50 คน โดยเฉพาะคลื่นวิทยุจากภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นเวทีปราศรัยแสดงจุดยืนโดยนายวิโรจน์ กล่าวว่า จะเคียงข้างกลุ่มคนเสื้อแดง
และพร้อมจะนำนักจัดรายการวิทยุชุมชนขึ้นมาสลับกันจัดรายการวิทยุโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ดูด้านสื่อสารมวลชนแต่ปฏิบัติตนขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ในการแทรกแซงสื่อ และไม่ยอมเสนอข้อเท็จจริงต่อสังคม ซึ่งพวกเรายืนยันว่าจะเปิดเผยข้อเท็จจริงผ่านวิทยุชุมชนให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจ ถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งนี้จะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนเข้ามาชุมนุมใหญ่ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย กลับคืนสู่ประเทศ ไทย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
และพร้อมจะนำนักจัดรายการวิทยุชุมชนขึ้นมาสลับกันจัดรายการวิทยุโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ดูด้านสื่อสารมวลชนแต่ปฏิบัติตนขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ในการแทรกแซงสื่อ และไม่ยอมเสนอข้อเท็จจริงต่อสังคม ซึ่งพวกเรายืนยันว่าจะเปิดเผยข้อเท็จจริงผ่านวิทยุชุมชนให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจ ถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งนี้จะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนเข้ามาชุมนุมใหญ่ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย กลับคืนสู่ประเทศ ไทย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
ยุบสภาเถิดท่านท้าวอภิสิทธิ์***
ประชาธิปไตยนั่นแล้ ปกครอง
ชนทั่วสากลปอง ไขว่คว้า
ราษฎรฝ่าละออง บาทอุ่น ไท้นา
หวังแต่เพียงเสมอหน้า เพื่อนบ้านวิไล
ประชาไทยต่อต้าน เผด็จการ
ทหารชั่วคอยพาลผลาญ ฆ๋าล้าง
ประชาธิปไตยยาน นำสู่ สุขนา
แจกจ่ายความเจริญกว้าง ทั่วด้าวแดนสยาม
ทุกเขตคามต่างร้อง ประกัน
พืชไร่นาผกผัน ค่าน้อย
ทำทุกวี่วันวัน จนยิ่ง
ควรเพิ่มราคาเข้า เพื่อให้พอกิน
สินทรัพย์ไยปล่อยให้ คนรวย
เป็นกลุ่มคอยฉกฉวย ไพร่ไร้
รัฐควรเร่งอำนวย คุมทั่ว ถึงนา
แจกจ่ายกำไรใช้ จ่ายหนี้เติมทุน
หวังอุดหนุนเพื่อได้ นายก
เลือกส่องพรรคถูกอก เพื่อใช้
บริหารแผ่นดินรก ยากยุ่ง
ผันผ่านจำเริญได้ เก่งด้วยปัญญา
ยุบสภาเถิดท่านท้าว อภิสิทธิ์
ชนไพร่ไปทวงสิทธิ์ ป่าวร้อง
อำนาจใช่ศักดิ์สิทธิ์ ตราบชั่ว ชีพนา
คืนเพื่อเลือกอีกพร้อง อย่างต้องธรรมนูญ
by ปติตันขุนทด
****************************************************
ชนทั่วสากลปอง ไขว่คว้า
ราษฎรฝ่าละออง บาทอุ่น ไท้นา
หวังแต่เพียงเสมอหน้า เพื่อนบ้านวิไล
ประชาไทยต่อต้าน เผด็จการ
ทหารชั่วคอยพาลผลาญ ฆ๋าล้าง
ประชาธิปไตยยาน นำสู่ สุขนา
แจกจ่ายความเจริญกว้าง ทั่วด้าวแดนสยาม
ทุกเขตคามต่างร้อง ประกัน
พืชไร่นาผกผัน ค่าน้อย
ทำทุกวี่วันวัน จนยิ่ง
ควรเพิ่มราคาเข้า เพื่อให้พอกิน
สินทรัพย์ไยปล่อยให้ คนรวย
เป็นกลุ่มคอยฉกฉวย ไพร่ไร้
รัฐควรเร่งอำนวย คุมทั่ว ถึงนา
แจกจ่ายกำไรใช้ จ่ายหนี้เติมทุน
หวังอุดหนุนเพื่อได้ นายก
เลือกส่องพรรคถูกอก เพื่อใช้
บริหารแผ่นดินรก ยากยุ่ง
ผันผ่านจำเริญได้ เก่งด้วยปัญญา
ยุบสภาเถิดท่านท้าว อภิสิทธิ์
ชนไพร่ไปทวงสิทธิ์ ป่าวร้อง
อำนาจใช่ศักดิ์สิทธิ์ ตราบชั่ว ชีพนา
คืนเพื่อเลือกอีกพร้อง อย่างต้องธรรมนูญ
by ปติตันขุนทด
****************************************************
“จตุพร”ขู่เสื้อแดงอาจบุก NBT-กตต.ชี้ม็อบชมพูไม่กลาง
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุว่า ตราบใดที่รัฐบาลยังคงจุดยืนเดิม คือวางกรอบเวลาการยุบสภาไว้ที่ 9 เดือน การเจรจาจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เว้นแต่รัฐบาลจะมีข้อเสนอใหม่แล้วค่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงพิจารณา
ขณะเดียวกัน นายจตุพรเห็นว่า สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT นำเสนอข่าวใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงในเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พยายามโยงคำว่า “อำมาตย์” เข้ากับพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากยังไม่หยุดการกระทำดังกล่าว คนเสื้อแดงจะเดินทางไปปิดล้อม NBT
นอกจากนี้ ทีมทนายกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้องร้อง คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีล่าช้าในการพิจารณาคดีเงิน 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ และจะเดินทางไปกดดัน กกต. ประมาณวันที่ 5 เมษายนนี้ แต่แกนนำขอหารืออีกครั้ง
นายจตุพรกล่าวโจมตีกลุ่มคนเสื้อสีชมพูที่ต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ไม่เป็นกลางอย่างแท้จริง เพราะส่วนใหญ่เคยขึ้นเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯมาแล้ว
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
************************************************
ขณะเดียวกัน นายจตุพรเห็นว่า สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT นำเสนอข่าวใส่ร้ายกลุ่มคนเสื้อแดงในเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พยายามโยงคำว่า “อำมาตย์” เข้ากับพระมหากษัตริย์ ซึ่งหากยังไม่หยุดการกระทำดังกล่าว คนเสื้อแดงจะเดินทางไปปิดล้อม NBT
นอกจากนี้ ทีมทนายกลุ่มคนเสื้อแดงกำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อฟ้องร้อง คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ กรณีล่าช้าในการพิจารณาคดีเงิน 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ และจะเดินทางไปกดดัน กกต. ประมาณวันที่ 5 เมษายนนี้ แต่แกนนำขอหารืออีกครั้ง
นายจตุพรกล่าวโจมตีกลุ่มคนเสื้อสีชมพูที่ต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ไม่เป็นกลางอย่างแท้จริง เพราะส่วนใหญ่เคยขึ้นเวทีของกลุ่มพันธมิตรฯมาแล้ว
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
************************************************
‘พท.’เตรียมยื่นอภิปรายหลังสงกรานต์
ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ เบื้องต้นวางไว้ว่าจะเป็นวันที่ 19 เมษายน 2553 แต่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับมติของพรรค และเชื่อว่าจะไม่ขัดกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่ยุบสภาตามข้อเรียกร้อง โดยรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกยื่นอภิปราย ตนจะเสนอพรรคให้อภิปรายไม่ไว้วางใจ 4 คน คือ 1.นายกรัฐมนตรี 2.นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 3.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ 4.รัฐมนตรีอีกคนจากพรรคภูมิใจไทย แต่ยังไม่สามารถบอกชื่อได้เพราะต้องขอมติพรรคก่อน และกำหนดตัวผู้อภิปรายประมาณ 9 คนรวมตนด้วย
และขอฝากไปยังนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ถ้าแน่จริงให้ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะได้รู้ข้อแตกต่างระหว่างคดีพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์
และขอเตือนไปยังนายตำรวจยศ พล.ต.อ.นักเรียนนอก นามสกุลดัง อย่าไปรับใช้รัฐบาลให้มากนัก เพราะเมื่อถึงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะลำบาก ในการอภิปรายครั้งนี้ตนจะกระทืบตำรวจในสภาแน่นอนที่ไม่ดำเนินการกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ข่าวเพื่อไทย
***************************************************
และขอฝากไปยังนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ถ้าแน่จริงให้ยกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะได้รู้ข้อแตกต่างระหว่างคดีพรรคเพื่อไทย กับพรรคประชาธิปัตย์
และขอเตือนไปยังนายตำรวจยศ พล.ต.อ.นักเรียนนอก นามสกุลดัง อย่าไปรับใช้รัฐบาลให้มากนัก เพราะเมื่อถึงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงก็จะลำบาก ในการอภิปรายครั้งนี้ตนจะกระทืบตำรวจในสภาแน่นอนที่ไม่ดำเนินการกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ
ข่าวเพื่อไทย
***************************************************
‘พท.’ชี้หมดเวลาทำโรดแม็พ
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส. อยุธยา พรรคเพื่อไทย ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวถึงนายกฯ เสนอเงื่อนไขยุบสภาภายใน 9 เดือนว่า นายกฯ ไม่ควรซื้อเวลา เรื่องแก้รัฐธรรมนูญภายใน 9 เดือนก่อนยุบสภานั้น ต้องบอกว่าเกินจุดนั้นไปแล้ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์บอกไม่ร่วมแก้ไขกับ 5 พรรคร่วมไปแล้ว พรรคเพื่อไทยรู้ดีว่านายกฯไม่จริงใจแก้รัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอโรดแม็พขั้นตอนการยุบสภา นายวิทยากล่าวว่า เรื่องโรดแม็พไม่ต้องมาพูดกัน ทางออกของพรรคเพื่อไทยคือคืนอำนาจให้กับประชาชน เรื่องแบบนี้คงไม่ต้องให้คนอื่นสอนเพราะเป็นถึงนายกฯ ต้องแสดงสปิริต เมื่อประชาชนออกมาขับเคลื่อนก็ควรกำหนดท่าทีให้ชัดเจน และไม่มีสิ่งใดที่น่าจะเกิดผลดีมากกว่าคืนอำนาจให้กับเขา
พท.พร้อมให้ ปชช.พิสูจน์
นายวิทยากล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอให้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 19 เมษายน ว่า ร.ต.อ.ดร.เฉลิมคิดว่าขณะนี้อาจจะมีข้อยุติในบางประเด็น และจำเป็นจะต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อทำหน้าที่ต่อจากประชาชนที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว แต่เรากำลังรอจังหวะกันอยู่ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เมื่อไร เพราะในส่วนของการเคลื่อนไหวของประชาชนก็พยายามที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยไปขัดจังหวะที่นายกรัฐมนตรีจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง อาจจะทำให้เกิดช่องว่างหรือสุญญากาศได้
"ผมได้พูดคุยกับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิมแล้ว ร.ต.อ.ดร.เฉลิมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพียงแต่ท่านบอกว่าถ้ามีจังหวะช่วงที่จะเสนอยื่นญัตติเป็นไปได้ก็จะทำหน้าที่ของ ส.ส.ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อทำหน้าที่ต่อจากประชาชน" นายวิทยากล่าว
ข่าวเพื่อไทย
************************************************
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์เสนอโรดแม็พขั้นตอนการยุบสภา นายวิทยากล่าวว่า เรื่องโรดแม็พไม่ต้องมาพูดกัน ทางออกของพรรคเพื่อไทยคือคืนอำนาจให้กับประชาชน เรื่องแบบนี้คงไม่ต้องให้คนอื่นสอนเพราะเป็นถึงนายกฯ ต้องแสดงสปิริต เมื่อประชาชนออกมาขับเคลื่อนก็ควรกำหนดท่าทีให้ชัดเจน และไม่มีสิ่งใดที่น่าจะเกิดผลดีมากกว่าคืนอำนาจให้กับเขา
พท.พร้อมให้ ปชช.พิสูจน์
นายวิทยากล่าวถึงกรณีที่ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอให้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 19 เมษายน ว่า ร.ต.อ.ดร.เฉลิมคิดว่าขณะนี้อาจจะมีข้อยุติในบางประเด็น และจำเป็นจะต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อทำหน้าที่ต่อจากประชาชนที่ได้ออกมาเคลื่อนไหว แต่เรากำลังรอจังหวะกันอยู่ว่าจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้เมื่อไร เพราะในส่วนของการเคลื่อนไหวของประชาชนก็พยายามที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยไปขัดจังหวะที่นายกรัฐมนตรีจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง อาจจะทำให้เกิดช่องว่างหรือสุญญากาศได้
"ผมได้พูดคุยกับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิมแล้ว ร.ต.อ.ดร.เฉลิมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพียงแต่ท่านบอกว่าถ้ามีจังหวะช่วงที่จะเสนอยื่นญัตติเป็นไปได้ก็จะทำหน้าที่ของ ส.ส.ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเพื่อทำหน้าที่ต่อจากประชาชน" นายวิทยากล่าว
ข่าวเพื่อไทย
************************************************
"เสื้อแดง" เจรจาหาทาง "ลง" พรรคร่วมโหนกระแส "แก้ รธน."
ทั้งฝ่ายเสื้อแดง-ฝ่ายรัฐบาล ต่างแสวงหา "ทางลง"
ฝ่ายแกนนำเสื้อแดง-นปช.นั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งหมดกำลังต้องการ "จบ" ให้ได้ก่อนเทศกาลสงกรานต์
ฝ่ายเพื่อไทยบางส่วน ก็ต้องการจบเกม "ข้างถนน" แล้วเข้าสู่โหมดการอภิปราย ไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร และยัง ไม่พร้อมสำหรับการลงสนามเลือกตั้ง ก่อนเวลาอันควร
เช่นเดียวกับฝ่ายรัฐบาล 6 พรรค ที่ไม่ต้องการลงสนาม ในบรรยากาศแดง ทั้ง แผ่นดิน
ข้อเสนอที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ "ผู้จัดการรัฐบาล" ประกาศในนามพรรคร่วมรัฐบาล "ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วยุบสภาปลายปี เลือกตั้งต้นปี 2554" จึงเป็นข้อเสนอที่ไม่มีพรรคไหนอยาก ปฏิเสธ
แกนนำพรรคระดับ "ตัวแปร" ทาง การเมือง อย่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดย "กลุ่มเพื่อนเนวิน" จึงเป็นผู้กำหนดวาระพรรคร่วม นำเสนอ "โรดแมป" การกลับไปสู่การเลือกตั้ง
เนวิน ชิดชอบ จึงเสนอทางลงว่า "ถ้าเสื้อแดงต้องการประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความยุติธรรม ทั้งหมดทุกฝ่ายต้อง เข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ...จะใช้วิธีตั้งกรรมการร่วมกันกี่ฝ่ายก็ได้ จากนั้นก็ทำประชามติ และยุบสภา แยกย้ายกันไปลงสมัครรับเลือกตั้ง"
แต่ข้อเสนอนี้จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย หาก "เพื่อไทย" ไม่ถอนกำลังเสื้อแดงออกจากเวที นปช.
พรรคร่วมรัฐบาลจึงเสนอให้ทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล เห็นพ้องกัน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้นพรรคเพื่อไทยก็ต้องทิ้งเวที นปช. แล้วกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อร่วมในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ
ขั้นตอนหลังจากนั้นคือ มีการตั้ง คณะกรรมการร่วมกันเพื่อยกร่างแก้ไข เมื่อยกร่างเรียบร้อยแล้วนำไปลงประชามติ จากนั้นรัฐบาลจึงประกาศยุบสภา เลือกตั้งใหม่
ข้อเสนอนี้ถูกสนองจากมังกรการเมือง หลังเสียงระเบิดการเมืองย่านจรัญสนิทวงศ์ เงียบลงไม่ถึง 24 ชั่วโมง
"ต้องบอกว่าจะแก้กติกาเมื่อไหร่ ภายในเวลาเท่าไหร่ แล้วยุบสภาเมื่อไหร่ อาจจะยุบสภาสิ้นปีนี้ แต่ถ้าให้ยุบใน 15 วัน ทำไม่ได้ ความเสียหายเกิดขึ้น เพราะเศรษฐกิจกำลังดี ไม่ใช่ว่ารัฐซื้อเวลา ตอนนี้การลงทุนไหลเข้ามามากมาย" นายบรรหาร ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทยพัฒนา ขีดเส้น-นับถอยหลังรัฐบาล
เพราะ "บรรหาร" และแกนนำอีก 4 พรรคร่วมรัฐบาล ต้องการร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบกระชับ-รวดเร็ว- ปราศจากอุบัติเหตุการเมือง เพียง 2 มาตรา คือเลือกตั้งเขตเดียว เบอร์เดียว และมาตราที่ว่าด้วยอำนาจในการลงนามสนธิสัญญาระหว่างประเทศเท่านั้น
"บรรหาร" จึงเห็นต่างประเด็นเดียวคือเรื่อง "ประชาพิจารณ์" ที่อ้างว่าอาจไม่มีเวลามากพอ
ฝ่ายเสื้อแดง-นปช.นั้นแม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ข้อเสนอของ "จตุพร พรหมพันธุ์" จึง "ตามน้ำ" กับเงื่อนไขการยุบสภา แต่ "ขีดเส้น" กรอบเวลาไว้ "ต่อรอง"
"ทุกฝ่ายเสนอโดยมีแนวทางเดียวกันคือการยุบสภานั้น ด้วยระยะเวลา 2 สัปดาห์นั้นถือว่าเพียงพอ เพราะว่ารัฐบาลยังสามารถทำหน้าที่รักษาการต่ออีก 45 วัน รวมระยะเวลาทั้งหมดแล้วก็คือ 2 เดือน"
มรรควิธีไปสู่เป้าหมายของฝ่ายเสื้อแดง คือ "สัตยาบัน" ระหว่าง "ตัวแทน" สีเหลือง-สีแดงและสีน้ำเงิน
"กลุ่มสีน้ำเงินของพรรคภูมิใจไทย กลุ่มสีเหลืองจากพรรคการเมืองใหม่และพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มเสื้อแดงจากพรรคเพื่อไทย ให้ทุกฝ่ายมาร่วมลงสัตยาบัน ให้นายโคทม อารียา เป็นสักขีพยาน" นายจตุพร-ยื่นเงื่อนไข
ส่วนญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายเสื้อแดงเห็นว่าควรยุบสภาไปเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาตั้งหลัก-จัดวาระ
ข้อเสนอที่ "สวนทาง" กับฝ่ายรัฐบาลนี้ ถูกสวนหมัดจากฝ่ายรัฐบาลว่า ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย-ไม่ต้องการ "กติกา" แต่ต้องการเพียง "อำนาจ"
ม็อบเสื้อแดงจึงไม่ใช่ม็อบเพื่อประชาธิปไตย แต่กลายเป็นม็อบเพื่อไทย
เมื่อจะหาทางลง จึงต้องมีท่วงทำนอง-ลีลาที่เสียหน้าน้อยที่สุด
แม้ว่ามติของแกนนำ นปช.ส่วนใหญ่ต้องการ "จบ-แตกหัก" แต่เงื่อนไขไม่สุกงอม ทำให้ขบวนของ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ถอนตัวออกไปก่อนเวลาอันควร
แม้ว่าแนวร่วม 111 และ 37 อดีตกรรมการบริหารไทยรักไทยและพลังประชาชน ร่วมขึ้นเวที เพื่อดึงอำนาจนำมาจาก 3 เกลอ
การชิงการนำจึงเกิดขึ้น
การไปเปิดวงเจรจาโดย "วีระ-น.พ.เหวง-จตุพร" จึงถูกแนวร่วมวิพากษ์ว่า พ่ายแพ้-ล้มเหลว และโดน "ข้อหา" อยากจบ-แม้ศพไม่สวย
ญัตติที่จะดึง "ม.ล.ปลื้ม เทวกุล" มาขึ้นเวทีเรียกแขก ชนชั้นกลางในเมือง เข้าเป็นแนวร่วม "เสื้อแดง" จึงถูกโหวตตกจากที่ประชุม "วอร์รูม-นปช."
การปรับเนื้อหา (content) ในการอภิปราย ภายใต้การให้การสนับสนุนของกลุ่มนักวิชาการ-คนเดือนตุลา ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง-น.พ.เหวง โตจิราการ-จรัล ดิษฐาอภิชัย-ธเนศวร์ เจริญเมือง และสหายที่ ไม่ปรากฏตัวบนเวทีอีกจำนวนหนึ่ง จึงถูกแตะเบรกจากแกนนำสาย "ฮาร์ดคอร์"
ส่วนการขับเคลื่อน-จรยุทธ์ในเมือง ใช้ทีมงานที่เรียกกันภายใต้รหัสทีม 66/23 ซึ่งเป็นเครือข่ายของ "บิ๊กจิ๋ว" เป็นมือทำงาน ร่วมกับอดีต "ผู้ร่วม พัฒนาชาติไทย" ก็ต้องหยุดปฏิบัติการชั่วคราว
เพราะนักวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองชี้ว่า เนื้อหาที่มุ่งโจมตีสถาบัน และบี้-ขยี้-ขยายประเด็นเรื่องชนชั้น ในระยะยาวจะถูกจริตกับแนวร่วมที่ไม่ได้ "จัดตั้ง" ในม็อบเสื้อแดง
ประกอบกับความไม่ชัดเจนเรื่อง "แนวทาง" การเคลื่อนไหว เช่น การ ชูประเด็น "ล้มอำมาตย์" แต่ก็มีการจุดเทียนชัย ทำให้แนวร่วมกลุ่ม"คนเดือนตุลา" ไม่เห็นด้วย
นับวันยิ่งยาก ยิ่งกว่ายาก ในการบริหารแกนนำและควบคุมมวลชนเสื้อแดง
การแตกในแนวร่วมจึงเกิดขึ้นเป็นระยะ
การหาทางลงของฝ่ายเสื้อแดง และ การหาทางออกของฝ่ายรัฐบาล อาจบรรลุผลเร็วกว่าเวลาอันควร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************
ฝ่ายแกนนำเสื้อแดง-นปช.นั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งหมดกำลังต้องการ "จบ" ให้ได้ก่อนเทศกาลสงกรานต์
ฝ่ายเพื่อไทยบางส่วน ก็ต้องการจบเกม "ข้างถนน" แล้วเข้าสู่โหมดการอภิปราย ไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร และยัง ไม่พร้อมสำหรับการลงสนามเลือกตั้ง ก่อนเวลาอันควร
เช่นเดียวกับฝ่ายรัฐบาล 6 พรรค ที่ไม่ต้องการลงสนาม ในบรรยากาศแดง ทั้ง แผ่นดิน
ข้อเสนอที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ "ผู้จัดการรัฐบาล" ประกาศในนามพรรคร่วมรัฐบาล "ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วยุบสภาปลายปี เลือกตั้งต้นปี 2554" จึงเป็นข้อเสนอที่ไม่มีพรรคไหนอยาก ปฏิเสธ
แกนนำพรรคระดับ "ตัวแปร" ทาง การเมือง อย่างพรรคภูมิใจไทย (ภท.) โดย "กลุ่มเพื่อนเนวิน" จึงเป็นผู้กำหนดวาระพรรคร่วม นำเสนอ "โรดแมป" การกลับไปสู่การเลือกตั้ง
เนวิน ชิดชอบ จึงเสนอทางลงว่า "ถ้าเสื้อแดงต้องการประชาธิปไตย ความเสมอภาค ความยุติธรรม ทั้งหมดทุกฝ่ายต้อง เข้าสู่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ...จะใช้วิธีตั้งกรรมการร่วมกันกี่ฝ่ายก็ได้ จากนั้นก็ทำประชามติ และยุบสภา แยกย้ายกันไปลงสมัครรับเลือกตั้ง"
แต่ข้อเสนอนี้จะไม่มีทางบรรลุเป้าหมาย หาก "เพื่อไทย" ไม่ถอนกำลังเสื้อแดงออกจากเวที นปช.
พรรคร่วมรัฐบาลจึงเสนอให้ทุกพรรค ทั้งฝ่ายค้าน รัฐบาล เห็นพ้องกัน ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จากนั้นพรรคเพื่อไทยก็ต้องทิ้งเวที นปช. แล้วกลับเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อร่วมในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ
ขั้นตอนหลังจากนั้นคือ มีการตั้ง คณะกรรมการร่วมกันเพื่อยกร่างแก้ไข เมื่อยกร่างเรียบร้อยแล้วนำไปลงประชามติ จากนั้นรัฐบาลจึงประกาศยุบสภา เลือกตั้งใหม่
ข้อเสนอนี้ถูกสนองจากมังกรการเมือง หลังเสียงระเบิดการเมืองย่านจรัญสนิทวงศ์ เงียบลงไม่ถึง 24 ชั่วโมง
"ต้องบอกว่าจะแก้กติกาเมื่อไหร่ ภายในเวลาเท่าไหร่ แล้วยุบสภาเมื่อไหร่ อาจจะยุบสภาสิ้นปีนี้ แต่ถ้าให้ยุบใน 15 วัน ทำไม่ได้ ความเสียหายเกิดขึ้น เพราะเศรษฐกิจกำลังดี ไม่ใช่ว่ารัฐซื้อเวลา ตอนนี้การลงทุนไหลเข้ามามากมาย" นายบรรหาร ศิลปอาชา จากพรรคชาติไทยพัฒนา ขีดเส้น-นับถอยหลังรัฐบาล
เพราะ "บรรหาร" และแกนนำอีก 4 พรรคร่วมรัฐบาล ต้องการร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบกระชับ-รวดเร็ว- ปราศจากอุบัติเหตุการเมือง เพียง 2 มาตรา คือเลือกตั้งเขตเดียว เบอร์เดียว และมาตราที่ว่าด้วยอำนาจในการลงนามสนธิสัญญาระหว่างประเทศเท่านั้น
"บรรหาร" จึงเห็นต่างประเด็นเดียวคือเรื่อง "ประชาพิจารณ์" ที่อ้างว่าอาจไม่มีเวลามากพอ
ฝ่ายเสื้อแดง-นปช.นั้นแม้ไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ข้อเสนอของ "จตุพร พรหมพันธุ์" จึง "ตามน้ำ" กับเงื่อนไขการยุบสภา แต่ "ขีดเส้น" กรอบเวลาไว้ "ต่อรอง"
"ทุกฝ่ายเสนอโดยมีแนวทางเดียวกันคือการยุบสภานั้น ด้วยระยะเวลา 2 สัปดาห์นั้นถือว่าเพียงพอ เพราะว่ารัฐบาลยังสามารถทำหน้าที่รักษาการต่ออีก 45 วัน รวมระยะเวลาทั้งหมดแล้วก็คือ 2 เดือน"
มรรควิธีไปสู่เป้าหมายของฝ่ายเสื้อแดง คือ "สัตยาบัน" ระหว่าง "ตัวแทน" สีเหลือง-สีแดงและสีน้ำเงิน
"กลุ่มสีน้ำเงินของพรรคภูมิใจไทย กลุ่มสีเหลืองจากพรรคการเมืองใหม่และพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มเสื้อแดงจากพรรคเพื่อไทย ให้ทุกฝ่ายมาร่วมลงสัตยาบัน ให้นายโคทม อารียา เป็นสักขีพยาน" นายจตุพร-ยื่นเงื่อนไข
ส่วนญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฝ่ายเสื้อแดงเห็นว่าควรยุบสภาไปเสียก่อน แล้วค่อยกลับมาตั้งหลัก-จัดวาระ
ข้อเสนอที่ "สวนทาง" กับฝ่ายรัฐบาลนี้ ถูกสวนหมัดจากฝ่ายรัฐบาลว่า ฝ่ายค้าน-เพื่อไทย-ไม่ต้องการ "กติกา" แต่ต้องการเพียง "อำนาจ"
ม็อบเสื้อแดงจึงไม่ใช่ม็อบเพื่อประชาธิปไตย แต่กลายเป็นม็อบเพื่อไทย
เมื่อจะหาทางลง จึงต้องมีท่วงทำนอง-ลีลาที่เสียหน้าน้อยที่สุด
แม้ว่ามติของแกนนำ นปช.ส่วนใหญ่ต้องการ "จบ-แตกหัก" แต่เงื่อนไขไม่สุกงอม ทำให้ขบวนของ "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ถอนตัวออกไปก่อนเวลาอันควร
แม้ว่าแนวร่วม 111 และ 37 อดีตกรรมการบริหารไทยรักไทยและพลังประชาชน ร่วมขึ้นเวที เพื่อดึงอำนาจนำมาจาก 3 เกลอ
การชิงการนำจึงเกิดขึ้น
การไปเปิดวงเจรจาโดย "วีระ-น.พ.เหวง-จตุพร" จึงถูกแนวร่วมวิพากษ์ว่า พ่ายแพ้-ล้มเหลว และโดน "ข้อหา" อยากจบ-แม้ศพไม่สวย
ญัตติที่จะดึง "ม.ล.ปลื้ม เทวกุล" มาขึ้นเวทีเรียกแขก ชนชั้นกลางในเมือง เข้าเป็นแนวร่วม "เสื้อแดง" จึงถูกโหวตตกจากที่ประชุม "วอร์รูม-นปช."
การปรับเนื้อหา (content) ในการอภิปราย ภายใต้การให้การสนับสนุนของกลุ่มนักวิชาการ-คนเดือนตุลา ทั้งจาตุรนต์ ฉายแสง-น.พ.เหวง โตจิราการ-จรัล ดิษฐาอภิชัย-ธเนศวร์ เจริญเมือง และสหายที่ ไม่ปรากฏตัวบนเวทีอีกจำนวนหนึ่ง จึงถูกแตะเบรกจากแกนนำสาย "ฮาร์ดคอร์"
ส่วนการขับเคลื่อน-จรยุทธ์ในเมือง ใช้ทีมงานที่เรียกกันภายใต้รหัสทีม 66/23 ซึ่งเป็นเครือข่ายของ "บิ๊กจิ๋ว" เป็นมือทำงาน ร่วมกับอดีต "ผู้ร่วม พัฒนาชาติไทย" ก็ต้องหยุดปฏิบัติการชั่วคราว
เพราะนักวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางการเมืองชี้ว่า เนื้อหาที่มุ่งโจมตีสถาบัน และบี้-ขยี้-ขยายประเด็นเรื่องชนชั้น ในระยะยาวจะถูกจริตกับแนวร่วมที่ไม่ได้ "จัดตั้ง" ในม็อบเสื้อแดง
ประกอบกับความไม่ชัดเจนเรื่อง "แนวทาง" การเคลื่อนไหว เช่น การ ชูประเด็น "ล้มอำมาตย์" แต่ก็มีการจุดเทียนชัย ทำให้แนวร่วมกลุ่ม"คนเดือนตุลา" ไม่เห็นด้วย
นับวันยิ่งยาก ยิ่งกว่ายาก ในการบริหารแกนนำและควบคุมมวลชนเสื้อแดง
การแตกในแนวร่วมจึงเกิดขึ้นเป็นระยะ
การหาทางลงของฝ่ายเสื้อแดง และ การหาทางออกของฝ่ายรัฐบาล อาจบรรลุผลเร็วกว่าเวลาอันควร
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************
ไร้สัญญาประชาคม คนไทยก็ฆ่ากันตาย
ซึ่งตามแนวคิดนี้โดยทั่วไปมีหลักคิดว่าหากสังคมจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ทุกคนต้องมาตกลงร่วมกันในการยอมรับกติกาของสังคม หากมีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างคนกลุ่มต่างๆ ก็ต้องหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งนั้น ด้วยการทำข้อตกลงร่วมกัน แต่หากคนในสังคมไม่อาจตกลงกันได้ ความขัดแย้งก็อาจนำไปสู่สงครามหรือความรุนแรง
แน่นอนว่าเรื่องสัญญาประชาคมเป็นแนวคิดของฝรั่ง และเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าการมาทำความตกลงกันนั้นจะเห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สองครั้งที่ผ่านมา ก็สะท้อนความพยายามที่มาตกลงในกติกาเพื่อยุติความขัดแย้งตามแนวคิดนี้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่หลักการของสัญญาประชาคมยังยืนยงอยู่จนทุกวันนี้ แต่น่าเสียดายที่ว่าการเจรจาไม่อาจหาข้อตกลงกันได้
อันที่จริง สังคมไทยในอดีต เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม ก็มักจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกัน ซึ่งเราจะเห็นว่าสังคมไทยมีคนไกล่เกลี่ยหรือมาตรการไกล่เกลี่ยตั้งแต่ระดับเล็กๆ จนถึงระดับชาติ และความขัดแย้งที่ผ่านมา สังคมก็จะหาคนกลางเข้ามาช่วยเจรจา และบัดนี้ก็ได้สูญหายไปหมดแล้ว อันเนื่องมาจากสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา แต่การทำความตกลงกันกำลังเริ่มขึ้นจากกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันเอง นั่นคือ ในส่วนของภาคการเมือง
กลุ่ม นปช. ยังยืนยันจุดยืนเดิม เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 15 วัน และประกาศเคลื่อนไหวด้วยการชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งในวันเสาร์ที่ 3 เมษายน นี้ ด้วยเหตุผลสนับสนุนการเรียกร้อง และความเคลื่อนไหวยังเป็นประเด็นเดิม กล่าวคือ รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ และทางออกของการเมืองก็คือการยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นจุดยืนที่ฝ่ายรัฐบาลปฏิเสธ แต่เห็นด้วยจะให้ยุบสภาใน 9 เดือน หลังจากแก้ไขกติกาการเมืองของประเทศ
ภายหลังการเจรจาเสร็จสิ้น แม้ว่าจะล้มเหลว เราได้ยินได้ฟังความคิดเห็นจากคนหลายกลุ่มต่อสถานการณ์ทางการเมือง มีมุมมองทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากมองในแง่ดีก็สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีคนอื่นๆ อีกมากมายที่พยายามหาทางออกให้แก่สถานการณ์การเมือง และต้องการจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำสัญญาประชาคมของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะมีทางออกอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะตกลงกันได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวล ก็คือ ความขัดแย้งไม่อาจตกลงกันได้ และในทางทฤษฎีแล้วย่อมนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ หากดูการเจรจาทั้งสองครั้ง และแรงสนับสนุนจากกลุ่มอื่นๆ ในสังคมแล้วก็น่าจะจบลงไม่ยาก เนื่องจากประเด็นยุบสภาได้ข้อสรุปตรงกัน เพียงแต่เรื่องกรอบเวลาเท่านั้น ซึ่งหากกลุ่ม นปช. ยังยืนกรานในเงื่อนไขเดิม เราเห็นว่าการเจรจาและยื่นข้อเสนอเช่นนั้น ไม่ถือว่าเป็นลักษณะของสัญญาประชาคม แต่เป็นเงื่อนไขแบบภาวะสงคราม
เราไม่ได้สนับสนุนข้อเสนอของรัฐบาล ที่ต้องการยุบสภาใน 9 เดือน แต่เราสนับสนุนความตกลง ที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันและเป็นข้อตกลงที่จะยุติความขัดแย้งได้ อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าลักษณะของสัญญาประชาคม ก็คือ ไม่ได้เป็นข้อเสนอจากฝ่ายเดียว เพราะข้อเสนอเช่นนั้นมีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรง และขณะนี้ทางออกสำหรับความขัดแย้งเริ่มเปิดขึ้นแล้ว คนในสังคมจะช่วยกันอย่างไร แต่ทุกคนพึงตระหนักว่าหากไร้ซึ่งสัญญาประชาคม ก็ถึงคราวที่คนไทยจะต้องฆ่ากันตาย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************
แน่นอนว่าเรื่องสัญญาประชาคมเป็นแนวคิดของฝรั่ง และเราก็ไม่ได้คาดหวังว่าการมาทำความตกลงกันนั้นจะเห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สองครั้งที่ผ่านมา ก็สะท้อนความพยายามที่มาตกลงในกติกาเพื่อยุติความขัดแย้งตามแนวคิดนี้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกที่หลักการของสัญญาประชาคมยังยืนยงอยู่จนทุกวันนี้ แต่น่าเสียดายที่ว่าการเจรจาไม่อาจหาข้อตกลงกันได้
อันที่จริง สังคมไทยในอดีต เมื่อมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม ก็มักจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกัน ซึ่งเราจะเห็นว่าสังคมไทยมีคนไกล่เกลี่ยหรือมาตรการไกล่เกลี่ยตั้งแต่ระดับเล็กๆ จนถึงระดับชาติ และความขัดแย้งที่ผ่านมา สังคมก็จะหาคนกลางเข้ามาช่วยเจรจา และบัดนี้ก็ได้สูญหายไปหมดแล้ว อันเนื่องมาจากสถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา แต่การทำความตกลงกันกำลังเริ่มขึ้นจากกลุ่มที่มีความขัดแย้งกันเอง นั่นคือ ในส่วนของภาคการเมือง
กลุ่ม นปช. ยังยืนยันจุดยืนเดิม เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 15 วัน และประกาศเคลื่อนไหวด้วยการชุมนุมใหญ่อีกครั้งหนึ่งในวันเสาร์ที่ 3 เมษายน นี้ ด้วยเหตุผลสนับสนุนการเรียกร้อง และความเคลื่อนไหวยังเป็นประเด็นเดิม กล่าวคือ รัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ และทางออกของการเมืองก็คือการยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นจุดยืนที่ฝ่ายรัฐบาลปฏิเสธ แต่เห็นด้วยจะให้ยุบสภาใน 9 เดือน หลังจากแก้ไขกติกาการเมืองของประเทศ
ภายหลังการเจรจาเสร็จสิ้น แม้ว่าจะล้มเหลว เราได้ยินได้ฟังความคิดเห็นจากคนหลายกลุ่มต่อสถานการณ์ทางการเมือง มีมุมมองทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งหากมองในแง่ดีก็สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยยังมีคนอื่นๆ อีกมากมายที่พยายามหาทางออกให้แก่สถานการณ์การเมือง และต้องการจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการทำสัญญาประชาคมของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นก็น่าจะมีทางออกอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนกว่าจะตกลงกันได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวล ก็คือ ความขัดแย้งไม่อาจตกลงกันได้ และในทางทฤษฎีแล้วย่อมนำไปสู่ความรุนแรง ทั้งๆ ที่ หากดูการเจรจาทั้งสองครั้ง และแรงสนับสนุนจากกลุ่มอื่นๆ ในสังคมแล้วก็น่าจะจบลงไม่ยาก เนื่องจากประเด็นยุบสภาได้ข้อสรุปตรงกัน เพียงแต่เรื่องกรอบเวลาเท่านั้น ซึ่งหากกลุ่ม นปช. ยังยืนกรานในเงื่อนไขเดิม เราเห็นว่าการเจรจาและยื่นข้อเสนอเช่นนั้น ไม่ถือว่าเป็นลักษณะของสัญญาประชาคม แต่เป็นเงื่อนไขแบบภาวะสงคราม
เราไม่ได้สนับสนุนข้อเสนอของรัฐบาล ที่ต้องการยุบสภาใน 9 เดือน แต่เราสนับสนุนความตกลง ที่ทุกฝ่ายเห็นร่วมกันและเป็นข้อตกลงที่จะยุติความขัดแย้งได้ อย่างไรก็ตาม เราเห็นว่าลักษณะของสัญญาประชาคม ก็คือ ไม่ได้เป็นข้อเสนอจากฝ่ายเดียว เพราะข้อเสนอเช่นนั้นมีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรง และขณะนี้ทางออกสำหรับความขัดแย้งเริ่มเปิดขึ้นแล้ว คนในสังคมจะช่วยกันอย่างไร แต่ทุกคนพึงตระหนักว่าหากไร้ซึ่งสัญญาประชาคม ก็ถึงคราวที่คนไทยจะต้องฆ่ากันตาย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************
ต้องทำใจ
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ไม่ยากว่า เหตุใดการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง จึงต้องล้มพับไป เพราะคู่เจรจาทั้งสองฝ่าย ยังไม่มีใครรู้สึกว่า เหนือกว่าใคร จึงยังไม่มีใครยอมถอยให้กันบนโต๊ะเจรจา
จะให้คู่กรณีที่ยืนอยู่กันคนละขั้ว คนละฟาก มานั่งคุยกันแล้วยอมจบปัญหาในฉับพลันทันที ย่อมเป็นไปไม่ได้
และมิได้หมายความว่า โอกาสการเจรจาจะไม่เกิดขึ้นแล้ว สำหรับคู่นี้
โอกาสยังมีอีกแน่นอน
แต่คงต้องผ่านอีกสักระยะหนึ่งก่อน
จนกว่าทั้งสองฝ่าย จะสร้างแรงกดดันต่อกันได้เพิ่มขึ้นอีก
เดี๋ยวคงต้องมานั่งคุยกันใหม่ ภายใต้สถานการณ์ใหม่
แต่พูดในฐานะประชาชนคนดู ขอเรียกร้องว่า อย่าได้ทอดเวลายาวนานเกินไป
ถ้าปัญหาไม่จบ สังคมโดยรวมย่อมได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน ที่สังคมอยากให้จบ เพราะสุดท้ายแล้วการยุบสภาจะเป็นทางออกที่ประชาชนได้ประโยชน์ ได้มีโอกาสใช้อำนาจในมือ เพื่อร่วมตัดสินอนาคตการเมือง
ถึงตอนนี้ทั้งรัฐบาลและเสื้อแดง มุ่งไปสู่จุดเดียวกันคือการยุบสภา เพียงแต่เกี่ยงวันเวลา 15 วันกับ 9 เดือน
ล่าสุดเริ่มมีกระแส 6 เดือนเป็นทางเลือกใหม่
ไม่ว่าจะอย่างไร การยุบสภาเป็นทางออกประชาธิป ไตยที่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธ สำหรับประชาชนเสมือนได้รับอำนาจกลับคืนมา
ส่วนข้อเสนอการปฏิรูปทั้งโครงสร้าง ไม่ใช่ทางออกในสถานการณ์ที่กำลังจะตีกันตายอยู่รอมร่อแล้วนี้
ยิ่งดึงเรื่องให้ยาวออกไป ก็ยิ่งสะท้อนเบื้องหลัง การหวงอำนาจ จากกลุ่มที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังนายกฯ คนนี้ มากกว่า
เอาเป็นว่า การยุบสภา เป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ เพียงแต่วันเวลาควรเป็นเมื่อไร คงต้องมาขึ้นโต๊ะเจรจากันอีกรอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายอื่นๆ ประกอบกันไปด้วย
อาจไม่จำเป็นต้องยุบวันนี้ เพราะจังหวะวันเวลาของรัฐบาลก็มีเหตุผลอยู่
เพียงแต่ต้องให้ชัดเจนว่า ใช้เวลาอีกเท่าไร สุด ท้ายต้องยุบไม่สามารถบิดเบี้ยวได้ ถ้ามีบทสรุป ม็อบก็จบ
แต่ในวันนี้เมื่อฝ่ายแดงล้มโต๊ะ คงจะหันมาเคลื่อนมวลชนเพิ่มระดับแรงกดดัน เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปต้องเตรียมใจเอาไว้
พร้อมกับเสียงระเบิดจากมือลึกลับ จะถี่ยิบขึ้น
เพราะฉะนั้น รีบๆ เจรจากันอีกรอบเถิด
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
โดย.วงค์ ตาวัน
**************************************************
จะให้คู่กรณีที่ยืนอยู่กันคนละขั้ว คนละฟาก มานั่งคุยกันแล้วยอมจบปัญหาในฉับพลันทันที ย่อมเป็นไปไม่ได้
และมิได้หมายความว่า โอกาสการเจรจาจะไม่เกิดขึ้นแล้ว สำหรับคู่นี้
โอกาสยังมีอีกแน่นอน
แต่คงต้องผ่านอีกสักระยะหนึ่งก่อน
จนกว่าทั้งสองฝ่าย จะสร้างแรงกดดันต่อกันได้เพิ่มขึ้นอีก
เดี๋ยวคงต้องมานั่งคุยกันใหม่ ภายใต้สถานการณ์ใหม่
แต่พูดในฐานะประชาชนคนดู ขอเรียกร้องว่า อย่าได้ทอดเวลายาวนานเกินไป
ถ้าปัญหาไม่จบ สังคมโดยรวมย่อมได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกัน ที่สังคมอยากให้จบ เพราะสุดท้ายแล้วการยุบสภาจะเป็นทางออกที่ประชาชนได้ประโยชน์ ได้มีโอกาสใช้อำนาจในมือ เพื่อร่วมตัดสินอนาคตการเมือง
ถึงตอนนี้ทั้งรัฐบาลและเสื้อแดง มุ่งไปสู่จุดเดียวกันคือการยุบสภา เพียงแต่เกี่ยงวันเวลา 15 วันกับ 9 เดือน
ล่าสุดเริ่มมีกระแส 6 เดือนเป็นทางเลือกใหม่
ไม่ว่าจะอย่างไร การยุบสภาเป็นทางออกประชาธิป ไตยที่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่ปฏิเสธ สำหรับประชาชนเสมือนได้รับอำนาจกลับคืนมา
ส่วนข้อเสนอการปฏิรูปทั้งโครงสร้าง ไม่ใช่ทางออกในสถานการณ์ที่กำลังจะตีกันตายอยู่รอมร่อแล้วนี้
ยิ่งดึงเรื่องให้ยาวออกไป ก็ยิ่งสะท้อนเบื้องหลัง การหวงอำนาจ จากกลุ่มที่แอบแฝงอยู่เบื้องหลังนายกฯ คนนี้ มากกว่า
เอาเป็นว่า การยุบสภา เป็นทางออกที่ดีที่สุดในสถานการณ์นี้ เพียงแต่วันเวลาควรเป็นเมื่อไร คงต้องมาขึ้นโต๊ะเจรจากันอีกรอบ โดยรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายอื่นๆ ประกอบกันไปด้วย
อาจไม่จำเป็นต้องยุบวันนี้ เพราะจังหวะวันเวลาของรัฐบาลก็มีเหตุผลอยู่
เพียงแต่ต้องให้ชัดเจนว่า ใช้เวลาอีกเท่าไร สุด ท้ายต้องยุบไม่สามารถบิดเบี้ยวได้ ถ้ามีบทสรุป ม็อบก็จบ
แต่ในวันนี้เมื่อฝ่ายแดงล้มโต๊ะ คงจะหันมาเคลื่อนมวลชนเพิ่มระดับแรงกดดัน เป็นสิ่งที่ประชาชนทั่วไปต้องเตรียมใจเอาไว้
พร้อมกับเสียงระเบิดจากมือลึกลับ จะถี่ยิบขึ้น
เพราะฉะนั้น รีบๆ เจรจากันอีกรอบเถิด
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
โดย.วงค์ ตาวัน
**************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)