ตัวกูเป็นไพร่ชั้น กรรมกร
โดดเดี่ยวเทียวพเนจร ก่อสร้าง
ทุกข์ยากอยู่กินนอน เพิงเก่า
เงินค่าแรงเขาค้าง รุ่มร้อนหมางหมอง
ตัวเราเป็นไพร่ชั้น ขายของ
ทุนต่ำเงินสำรอง เสื่อมสิ้น
กำไรค่าควรมอง ยากยิ่ง
เงินบ่สะพัดดิ้น แข่งค้าฉาวฉาน
คิงฮาเป็นไพร่ชั้น ตกงาน
คอยแต่เบียดเบียนผลาญ พี่น้อง
งานดีบ่เคยพาน พบแผ่
กินอยู่ยากเย็นต้อง จ่อมกู้เสาะหา
ตัวฉันเป็นไพร่ชั้น ชาวนา
กินอยู่ตามประสา หม่นไร้
พืชผลนั่นราคา ตกต่ำ
รัฐบ่เคยยกได้ นั่นแล้จึงจน
ฉันอมาตย์ใหญ่เพี้ยง จอมคน
เดินทั่วทิศผองชน ถ่อมไหว้
มองเห็นไพร่เดนคน จนจ่อม
ควรค่าดำรงไว้ คู่ด้าวแดนสยาม
by ปติตันขุนทด
**********************************************
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
ผอ.รามาฯ สงสัย"หมอกุศล"หวังผลการเมือง อาจปรุงแต่งเลือด"เสื้อแดง"ก่อนตรวจ เล็งแจ้งความทำเสียหาย
แพทยสภาเตือน"พี่น้องมหิดล"อาจเข้าข่ายผิดวิชาชีพแพทย์ กรณีตรวจเลือดม็อบเตรียมนำเข้าสู่ที่ประชุม 8 เม.ย ผอ.รามาฯยันผลวิเคราะห์ไม่ได้ออกจากแล็ปรพ. "เสื้อแดง"อาฆาตถือหยามเกียรติ-หาเดรัจฉาน สั่งไล่ล่า"นพ.กุศล"
ผอ.รามาฯ สงสัย"หมอกุศล"หวังผลการเมือง
รศ.นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายนว่า อาจต้องดำเนินคดีกับ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ที่ออกมาอ้างว่าโรงพยาบาลรามาธิบดีเกี่ยวข้องกับผลการตรวจเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง แล้วพบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง ส่งผลให้โรงพยาบาลเสียหาย ทำให้ประชาชนและคนเสื้อแดงเข้าใจผิดนั้น
"ยืนยันว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่มีหน้าที่ หรือได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปตรวจเลือดดังกล่าวแต่อย่างใด แต่การที่ น.พ.กุศล ออกมาระบุเช่นนี้ จะเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ก็เป็นไปได้ เนื่องจากการนำเลือดไปตรวจ อาจมีการนำไปปรุงแต่งเพิ่มเติมได้ ซึ่งควรที่จะต้องพิสูจน์ต่อไป" รศ.นพ.ธันย์ กล่าว
รศ.นพ.ธันย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะต้องมีการชี้แจงให้กับประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าใจ แต่คงไม่ถึงขนาดต้องไปขึ้นเวทีเพื่อชี้แจงคนเสื้อแดงแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ น.พ.กุศล ให้ข่าวในลักษณะเช่นนี้ ตนมองไม่เห็นว่าจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ หรือความเข้าใจที่ดีต่อกัน ได้อย่างไร
"เสื้อแดง"อาฆาต"พี่น้องมหิดล" อ้างตรวจเลือดเจอไวรัสอันตราย
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 1 เมษายน ที่เวทีชุมนุมคนเสื้อแดง สะพานผ่านฟ้าลีลาศ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) -แดงทั้งแผ่นดิน เปิดแถลงข่าวกรณีกลุ่ม "พี่น้องมหิดล" ออกมาระบุว่า เลือดที่กลุ่มเสื้อนำมาเทในสถานที่ต่างๆ ก่อนหน้านี้ มีเชื้อไวรัสอันตราย 3 ชนิด ว่า ถือเป็นการกระทำเหยียบย่ำเกียรติยศของประชาชน เป็นการกระทำที่ร้ายกาจ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสงสัยว่า กลุ่มดังกล่าวมีสิทธิดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร และได้รับมอบหมายจากองค์กรใด รวมถึงปฎิบัติการเก็บตัวอย่างเลือดมีข้อเท็จจริงอย่างไร ในเมื่อข่าวระบุว่า ทันทีที่เราคนเสื้อแดงบริจาคเลือดและนำไปเท ได้มีการล้างและฆ่าเชื้อทันทีจากบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข อยากทราบว่า กลุ่มพี่น้องมหิดลในเวลานั้นอยู่ที่ไหน มีหลักฐานการเก็บตัวอย่างเลือดมายืนยันหรือไม่ เรื่องนี้ ของแพทยสภาต้องดำเนินการกับผู้ที่นำเลือดผู้อื่นไปตรวจหาเชื้อ ถือเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของความเป็นคน ถือว่าทำผิดจรรยาบรรณแพทย์หรือไม่
"นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลรามาฯ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ผลการตรวจเลือดดังกล่าว ไม่ได้ออกมาจากรพ. เนื่องจากการตรวจเลือด ต้องมีการลงทะเบียนและบันทึกเป็นหลักฐาน ดังนั้น รพ.รามาฯ จึงไม่ใช้เป้าหมายของเสื้อแดงที่จะบุกไปเยี่ยมแต่อย่างใด"
ถือหยามเกียรติ-หาเดรัจฉาน สั่งไล่ล่า"นพ.กุศล"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า ที่มาของ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ โฆษก"กลุ่มพี่น้องมหิดล" พบว่ามีอาชีพปัจจบุนคือ เจ้าของเวเชียนคลีนิค ซึ่งเป็นคลีนิคเสริมความงามโดยเฉพาะศัยกรรมจมูก โดยมีสาขาอยู่ 2 แห่ง และยังเป็นผู้เคยร่วมเข้าชื่อจัดตั้ง 92 องค์กร ที่ไม่เอาทักษิณ อยู่เป็นหนึ่งในเครือข่ายตุลาฯเชิดชูคุณธรรม ที่เข้าพบ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก่อนวันที่จะเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การที่ นพ.กุศลระบุว่าเลือประชาชนติดเชื้อ เป็นเลือดเดรัจฉาน ไม่ว่านพ.กุศลจะอยู่ที่ใด คนเสื้อแดงต้องไปพบให้ได้
"นพ.กุศลถือเป็นศัตรูประชาชน พี่นื้องเสื้อแดง ใครอยากไปทำจมูกหมอคนก็เชิญได้เลย"
แพทยสภาเตือน"พี่น้องมหิดล"อาจเข้าข่ายกระทำผิดวิชาชีพ
นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มแพทย์ "พี่น้องมหิดล" ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับผลการตรวจสอบเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้เทที่ทำเนียบรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ ว่าพบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง 3 ชนิด คือ เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ บีและซี และยังมีเลือดหมูปนเปื้อน ว่า เรื่องดังกล่าวต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภาที่จะมีการประชุมในวันที่ 8 เมษายนนี้ โดยต้องมีการพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์นำวิชาชีพเวชกรรมไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่วิชาชีพแพทย์หรือไม่ และต้องแยกเรื่องดังกล่าวออกจากประเด็นการเมือง ซึ่งหากมีเชื้อเอชไอวีจริงผู้ที่โดนสาดใส่ตามร่างกายก็สามารถมาร้องต่อแพทยสภาได้ หากมีการติดเชื้อ ส่วนโอกาสการติดเชื้อเอดส์ ถือเป็นเรื่องยากเนื่องร่างกายมีผิวหนังป้องกัน ยกเว้นแต่มีบาดแผลและถูกสาดด้วยเลือดที่มีเชื้อเข้มข้น
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ตามหลักวิชาการทางการแพทย์ หากใครก็ตามที่ได้รับเลือด หรือคิดว่าตนเองเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอดส์ เช่น กรณีที่เลือดเข้าตา ปาก หรือแผล สามารถขอรับยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ ซึ่งต้องรับยาในระยะเวลาเร็วที่สุดภายใน 24-48 ชั่วโมง และต้องตรวจเลือดซ้ำทุก 3 เดือน หากไม่พบก็ถือว่าไม่ติดเชื้อ ซึ่งได้แนะนำผู้ที่คิดว่าตนเองเสี่ยงให้รับยาเร็วที่สุดตั้งแต่วันแรก แต่หากยังกังวลก็สามารถไปรับการตรวจเลือดได้อีก
"เชื้อไวรัสตับอักเสบ ถือว่าติดต่อได้ยาก จะต้องโดนเข็มแทง หรือรับโดยตรงปริมาณมาก จึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วง แต่เชื้อเอดส์ถือว่าน่าเป็นห่วงที่สุด หากเข้าตาถือว่าอันตรายมากกว่าบริเวณอื่น เพราะหากเข้าปากยังมีน้ำย่อยค่อยทำลายได้ หรือหากมีแผลตามมือ เท้า ประกอบกับขึ้นอยู่กับขนาดแผลและความเข้มข้นของเชื้อ โอกาสก็จะสูงตามไปด้วย แต่หากพบเพียงแผลถลอกเล็กน้อยโอกาสเสี่ยงก็น้อยลง ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้สื่อข่าว ที่โดนเลือดเข้าตา ก็ได้แนะนำให้รับยาจากกรมควบคุมโรคไปแล้ว" นพ.ไพจิตร์ กล่าว
ผอ.รามาฯยันผลวิเคราะห์ไม่ได้ออกจากแล็ปรพ.
นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ ทางโรงพยาบาลรามาธิบดี ขอชี้แจงใน 2 ประเด็น คือ 1. นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ โฆษกกลุ่มพี่น้องมหิดล ไม่ใช่แพทย์ประจำโรงพยาบาลรามาธิบดีแต่อย่างใด แต่เป็นแพทย์ศัลยกรรมความงาม ซึ่งทำงานอิสระ 2. ผลการตรวจสอบเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทาง นพ.กุศล ระบุว่า มาจากห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลฯ นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะการตรวจเลือดจะต้องผ่านระบบขั้นตอน มีการลงทะเบียนผู้ตรวจอย่างถูกต้อง อีกอย่างเรื่องนี้ไม่มีอยู่ในระบบเลย
ด้านนพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ โฆษกกลุ่มพี่น้องมหิดล กล่าวภายหลังยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลประชาชนที่ไปชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ภายหลังพบเลือดที่ทางกลุ่มนำไปเทประท้วงรัฐบาลว่า มีเชื้อไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซี ว่า ทางกลุ่มพี่น้องมหิดล ซึ่งเป็นกลุ่มอิสระ ได้เห็นว่าการเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยวิธีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะอาจเป็นการกระจายเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว จึงได้ประสานกับทางทีมเจ้าหน้าที่แพทย์รพ.วชิระ ในการขอเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจสอบ ซึ่งได้ตัวอย่างเลือดมามากกว่า 2-3 หลอด หลอดละ 10 ซี.ซี. ทั้งนี้ ได้ประสานส่งตรวจไปยังห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นเลือดของกลุ่มใด ระบุเพียงเลือดของบุคคลไม่ทราบชื่อ โดยได้ส่งตรวจตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม และได้ผลการตรวจวิเคราะห์ระดับดีเอ็นเอในวันที่ 19 มีนาคม พบว่า มีเชื้อไวรัสร้ายแรง 3 ชนิด คือ ไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี อีกทั้ง ยังพบว่าเลือดที่นำไปเททิ้งในสถานที่ต่างๆ ยังมีส่วนผสมของเลือดหมูผสมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า โดยปกติการส่งตรวจเลือดจะต้องมีการลงทะเบียนที่ถูกต้อง นพ.กุศล กล่าวว่า สามารถทำได้ เพราะเลือดดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าเป็นของใคร
ผลตรวจเลือดเสื้อแดงเททำเนียบมีเชื้อเอดส์-ไวรัสตับอักเสบ
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.15 น.วันที่ 1 เมษายน ที่รัฐสภา กลุ่มพี่น้องมหิดล เป็นบุคคลากรด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์และบุคคลสาธารณสุขอีกหลายด้าน นำโดย น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ กลุ่มพี่น้องมหิดล ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านนายอิสรา สุนทรวัฒน์ รองเลขาธิการนายกฯ ขอให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลประชาชนที่ไปชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่อาจติดเชื้ออันเนื่องมาจากการเทเลือดไปตามสถานที่ต่างๆ
น.พ.กุศล กล่าวว่า จากการเก็บตัวอย่างเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงไปตรวจยังห้องเล็ปโรงพยาบาลรามาธิบดี พบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง 3 ชนิด คือ
1. เชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีค่าติดเชื้อ 1 ล้านหน่วย
2. เชื้อไวรัสตับอักเสบซี มีค่าติดเชื้อกว่า 5 หมื่นหน่วย และ
3. เชื้อไวรัสเอชไอวี หรือ เชื้อไวรัสเอดส์ มีค่าติดเชื้อ 113 หน่วย
ซึ่งเชื้อทั้งหมดในทางการแพทย์ หากมีเพียง 40 หน่วย ก็สามารถติดเชื้อได้แล้ว และอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้จากการตรวจผลดีเอ็นเอในห้องแล็บยังพบว่าเลือดที่ดำเนินการเททิ้งในสถานที่ต่างๆ มีส่วนผสมของเลือดหมู และเลือดคนผสมกันด้วย
จากหลักฐานดังกล่าว กลุ่มพี่น้องมหิดล จึงมีความวิตกกังวลถึงความเป็นไปได้ในการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงดังกล่าว เรากลุ่มพี่น้องมหิดลจึงมีมติร่วมกันขอประณามการใช้วิธีการสาดเลือด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าจะอ้างว่า เป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรงและเป็นไปตามรธน. นั้น เป็นสิ่งที่ผู้รับผิดชอบหรือแกนนำไม่มีความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยต่อร่างกายของเพื่อนร่วมชาติ อนึ่งเพื่อความปลอดภัยในระยะยาวของพี่น้องร่วมชาติ กลุ่มพี่น้องมหิดลขอเสนอมาตรการดังต่อไปนี้
1.ขอให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น กรมควบคุมโรค เข้าพบแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อชี้แจงถึงผลการตรวจพบเชื้อต่างๆ ในเลือดของผู้ชุมนุม ตลอดจนให้ความรู้เกี่ยวกับการระบาดของโรคร้ายแรง และขอความร่วมมือในการตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อเพื่อการเฝ้าระวังและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ขอให้หน่วยงานของกทม. เข้าไปจัดการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ชุมนุมตลอดจนการจัดการด้านสุขอนามัยของสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตัวดูแลสุขอนามัยของผู้ร่วมชุมนุมเพื่อไม่ให้ มีการเแพร่กระจายของโรคติดต่อต่างๆ
กลุ่มพี่น้องมหิดลมีความเคาพในเหตุผลของทุกฝ่าย ได้แก่ ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงและรัฐบาล แต่ด้วยความตระหนักถึงสุขภาพและความปลอดภัยของสังคมโดยรวม จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการป้องกันการเแพร่กระจายของโรคร้ายแรงดังกล่าว
ทั้งนี้ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ และชมรมพี่น้องมหิดล เคยร่วมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ นพ.กุศลยังเป็นหนึ่งในนักวิชาการด้านสาธารณสุขที่ยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภาให้ถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ออกจากตำแหน่ง
ที่มา. มติชนออนไลน์
ผอ.รามาฯ สงสัย"หมอกุศล"หวังผลการเมือง
รศ.นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวเมื่อวันที่ 2 เมษายนว่า อาจต้องดำเนินคดีกับ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ที่ออกมาอ้างว่าโรงพยาบาลรามาธิบดีเกี่ยวข้องกับผลการตรวจเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง แล้วพบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง ส่งผลให้โรงพยาบาลเสียหาย ทำให้ประชาชนและคนเสื้อแดงเข้าใจผิดนั้น
"ยืนยันว่า โรงพยาบาลรามาธิบดีไม่มีหน้าที่ หรือได้รับมอบหมายจากรัฐบาลให้ไปตรวจเลือดดังกล่าวแต่อย่างใด แต่การที่ น.พ.กุศล ออกมาระบุเช่นนี้ จะเพื่อหวังผลทางการเมืองหรือไม่ ก็เป็นไปได้ เนื่องจากการนำเลือดไปตรวจ อาจมีการนำไปปรุงแต่งเพิ่มเติมได้ ซึ่งควรที่จะต้องพิสูจน์ต่อไป" รศ.นพ.ธันย์ กล่าว
รศ.นพ.ธันย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะต้องมีการชี้แจงให้กับประชาชนและกลุ่มคนเสื้อแดงเข้าใจ แต่คงไม่ถึงขนาดต้องไปขึ้นเวทีเพื่อชี้แจงคนเสื้อแดงแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่ น.พ.กุศล ให้ข่าวในลักษณะเช่นนี้ ตนมองไม่เห็นว่าจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ หรือความเข้าใจที่ดีต่อกัน ได้อย่างไร
"เสื้อแดง"อาฆาต"พี่น้องมหิดล" อ้างตรวจเลือดเจอไวรัสอันตราย
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 1 เมษายน ที่เวทีชุมนุมคนเสื้อแดง สะพานผ่านฟ้าลีลาศ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) -แดงทั้งแผ่นดิน เปิดแถลงข่าวกรณีกลุ่ม "พี่น้องมหิดล" ออกมาระบุว่า เลือดที่กลุ่มเสื้อนำมาเทในสถานที่ต่างๆ ก่อนหน้านี้ มีเชื้อไวรัสอันตราย 3 ชนิด ว่า ถือเป็นการกระทำเหยียบย่ำเกียรติยศของประชาชน เป็นการกระทำที่ร้ายกาจ ซึ่งมีประเด็นที่น่าสงสัยว่า กลุ่มดังกล่าวมีสิทธิดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร และได้รับมอบหมายจากองค์กรใด รวมถึงปฎิบัติการเก็บตัวอย่างเลือดมีข้อเท็จจริงอย่างไร ในเมื่อข่าวระบุว่า ทันทีที่เราคนเสื้อแดงบริจาคเลือดและนำไปเท ได้มีการล้างและฆ่าเชื้อทันทีจากบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุข อยากทราบว่า กลุ่มพี่น้องมหิดลในเวลานั้นอยู่ที่ไหน มีหลักฐานการเก็บตัวอย่างเลือดมายืนยันหรือไม่ เรื่องนี้ ของแพทยสภาต้องดำเนินการกับผู้ที่นำเลือดผู้อื่นไปตรวจหาเชื้อ ถือเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีของความเป็นคน ถือว่าทำผิดจรรยาบรรณแพทย์หรือไม่
"นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลรามาฯ ได้ออกมายืนยันแล้วว่า ผลการตรวจเลือดดังกล่าว ไม่ได้ออกมาจากรพ. เนื่องจากการตรวจเลือด ต้องมีการลงทะเบียนและบันทึกเป็นหลักฐาน ดังนั้น รพ.รามาฯ จึงไม่ใช้เป้าหมายของเสื้อแดงที่จะบุกไปเยี่ยมแต่อย่างใด"
ถือหยามเกียรติ-หาเดรัจฉาน สั่งไล่ล่า"นพ.กุศล"
นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า ที่มาของ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ โฆษก"กลุ่มพี่น้องมหิดล" พบว่ามีอาชีพปัจจบุนคือ เจ้าของเวเชียนคลีนิค ซึ่งเป็นคลีนิคเสริมความงามโดยเฉพาะศัยกรรมจมูก โดยมีสาขาอยู่ 2 แห่ง และยังเป็นผู้เคยร่วมเข้าชื่อจัดตั้ง 92 องค์กร ที่ไม่เอาทักษิณ อยู่เป็นหนึ่งในเครือข่ายตุลาฯเชิดชูคุณธรรม ที่เข้าพบ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ก่อนวันที่จะเกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การที่ นพ.กุศลระบุว่าเลือประชาชนติดเชื้อ เป็นเลือดเดรัจฉาน ไม่ว่านพ.กุศลจะอยู่ที่ใด คนเสื้อแดงต้องไปพบให้ได้
"นพ.กุศลถือเป็นศัตรูประชาชน พี่นื้องเสื้อแดง ใครอยากไปทำจมูกหมอคนก็เชิญได้เลย"
แพทยสภาเตือน"พี่น้องมหิดล"อาจเข้าข่ายกระทำผิดวิชาชีพ
นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงกรณีมีกลุ่มแพทย์ "พี่น้องมหิดล" ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับผลการตรวจสอบเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ใช้เทที่ทำเนียบรัฐบาล และพรรคประชาธิปัตย์ ว่าพบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง 3 ชนิด คือ เชื้อเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบ บีและซี และยังมีเลือดหมูปนเปื้อน ว่า เรื่องดังกล่าวต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะอนุกรรมการจริยธรรมแพทยสภาที่จะมีการประชุมในวันที่ 8 เมษายนนี้ โดยต้องมีการพิจารณาว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์นำวิชาชีพเวชกรรมไปทำในสิ่งที่ไม่ใช่วิชาชีพแพทย์หรือไม่ และต้องแยกเรื่องดังกล่าวออกจากประเด็นการเมือง ซึ่งหากมีเชื้อเอชไอวีจริงผู้ที่โดนสาดใส่ตามร่างกายก็สามารถมาร้องต่อแพทยสภาได้ หากมีการติดเชื้อ ส่วนโอกาสการติดเชื้อเอดส์ ถือเป็นเรื่องยากเนื่องร่างกายมีผิวหนังป้องกัน ยกเว้นแต่มีบาดแผลและถูกสาดด้วยเลือดที่มีเชื้อเข้มข้น
ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ตามหลักวิชาการทางการแพทย์ หากใครก็ตามที่ได้รับเลือด หรือคิดว่าตนเองเสี่ยงที่จะติดเชื้อเอดส์ เช่น กรณีที่เลือดเข้าตา ปาก หรือแผล สามารถขอรับยาต้านเชื้อไวรัสเอชไอวี ได้ ซึ่งต้องรับยาในระยะเวลาเร็วที่สุดภายใน 24-48 ชั่วโมง และต้องตรวจเลือดซ้ำทุก 3 เดือน หากไม่พบก็ถือว่าไม่ติดเชื้อ ซึ่งได้แนะนำผู้ที่คิดว่าตนเองเสี่ยงให้รับยาเร็วที่สุดตั้งแต่วันแรก แต่หากยังกังวลก็สามารถไปรับการตรวจเลือดได้อีก
"เชื้อไวรัสตับอักเสบ ถือว่าติดต่อได้ยาก จะต้องโดนเข็มแทง หรือรับโดยตรงปริมาณมาก จึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วง แต่เชื้อเอดส์ถือว่าน่าเป็นห่วงที่สุด หากเข้าตาถือว่าอันตรายมากกว่าบริเวณอื่น เพราะหากเข้าปากยังมีน้ำย่อยค่อยทำลายได้ หรือหากมีแผลตามมือ เท้า ประกอบกับขึ้นอยู่กับขนาดแผลและความเข้มข้นของเชื้อ โอกาสก็จะสูงตามไปด้วย แต่หากพบเพียงแผลถลอกเล็กน้อยโอกาสเสี่ยงก็น้อยลง ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวมีผู้สื่อข่าว ที่โดนเลือดเข้าตา ก็ได้แนะนำให้รับยาจากกรมควบคุมโรคไปแล้ว" นพ.ไพจิตร์ กล่าว
ผอ.รามาฯยันผลวิเคราะห์ไม่ได้ออกจากแล็ปรพ.
นพ.ธันย์ สุภัทรพันธุ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า สำหรับเรื่องนี้ ทางโรงพยาบาลรามาธิบดี ขอชี้แจงใน 2 ประเด็น คือ 1. นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ โฆษกกลุ่มพี่น้องมหิดล ไม่ใช่แพทย์ประจำโรงพยาบาลรามาธิบดีแต่อย่างใด แต่เป็นแพทย์ศัลยกรรมความงาม ซึ่งทำงานอิสระ 2. ผลการตรวจสอบเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทาง นพ.กุศล ระบุว่า มาจากห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลฯ นั้น ไม่เป็นความจริง เพราะการตรวจเลือดจะต้องผ่านระบบขั้นตอน มีการลงทะเบียนผู้ตรวจอย่างถูกต้อง อีกอย่างเรื่องนี้ไม่มีอยู่ในระบบเลย
ด้านนพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ โฆษกกลุ่มพี่น้องมหิดล กล่าวภายหลังยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีขอให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลประชาชนที่ไปชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ภายหลังพบเลือดที่ทางกลุ่มนำไปเทประท้วงรัฐบาลว่า มีเชื้อไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบี และซี ว่า ทางกลุ่มพี่น้องมหิดล ซึ่งเป็นกลุ่มอิสระ ได้เห็นว่าการเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยวิธีนี้ไม่ถูกต้อง เพราะอาจเป็นการกระจายเชื้อโรคโดยไม่รู้ตัว จึงได้ประสานกับทางทีมเจ้าหน้าที่แพทย์รพ.วชิระ ในการขอเก็บตัวอย่างเลือดไปตรวจสอบ ซึ่งได้ตัวอย่างเลือดมามากกว่า 2-3 หลอด หลอดละ 10 ซี.ซี. ทั้งนี้ ได้ประสานส่งตรวจไปยังห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นเลือดของกลุ่มใด ระบุเพียงเลือดของบุคคลไม่ทราบชื่อ โดยได้ส่งตรวจตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม และได้ผลการตรวจวิเคราะห์ระดับดีเอ็นเอในวันที่ 19 มีนาคม พบว่า มีเชื้อไวรัสร้ายแรง 3 ชนิด คือ ไวรัสเอชไอวี ไวรัสตับอักเสบบีและซี อีกทั้ง ยังพบว่าเลือดที่นำไปเททิ้งในสถานที่ต่างๆ ยังมีส่วนผสมของเลือดหมูผสมด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่า โดยปกติการส่งตรวจเลือดจะต้องมีการลงทะเบียนที่ถูกต้อง นพ.กุศล กล่าวว่า สามารถทำได้ เพราะเลือดดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าเป็นของใคร
ผลตรวจเลือดเสื้อแดงเททำเนียบมีเชื้อเอดส์-ไวรัสตับอักเสบ
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.15 น.วันที่ 1 เมษายน ที่รัฐสภา กลุ่มพี่น้องมหิดล เป็นบุคคลากรด้านสาธารณสุข ประกอบด้วย แพทย์ พยาบาล เภสัชกร ทันตแพทย์และบุคคลสาธารณสุขอีกหลายด้าน นำโดย น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ กลุ่มพี่น้องมหิดล ยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ผ่านนายอิสรา สุนทรวัฒน์ รองเลขาธิการนายกฯ ขอให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลประชาชนที่ไปชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่อาจติดเชื้ออันเนื่องมาจากการเทเลือดไปตามสถานที่ต่างๆ
น.พ.กุศล กล่าวว่า จากการเก็บตัวอย่างเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงไปตรวจยังห้องเล็ปโรงพยาบาลรามาธิบดี พบเชื้อไวรัสติดต่อร้ายแรง 3 ชนิด คือ
1. เชื้อไวรัสตับอักเสบบี มีค่าติดเชื้อ 1 ล้านหน่วย
2. เชื้อไวรัสตับอักเสบซี มีค่าติดเชื้อกว่า 5 หมื่นหน่วย และ
3. เชื้อไวรัสเอชไอวี หรือ เชื้อไวรัสเอดส์ มีค่าติดเชื้อ 113 หน่วย
ซึ่งเชื้อทั้งหมดในทางการแพทย์ หากมีเพียง 40 หน่วย ก็สามารถติดเชื้อได้แล้ว และอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่าย นอกจากนี้จากการตรวจผลดีเอ็นเอในห้องแล็บยังพบว่าเลือดที่ดำเนินการเททิ้งในสถานที่ต่างๆ มีส่วนผสมของเลือดหมู และเลือดคนผสมกันด้วย
จากหลักฐานดังกล่าว กลุ่มพี่น้องมหิดล จึงมีความวิตกกังวลถึงความเป็นไปได้ในการระบาดของโรคติดต่อร้ายแรงดังกล่าว เรากลุ่มพี่น้องมหิดลจึงมีมติร่วมกันขอประณามการใช้วิธีการสาดเลือด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อแดง แม้ว่าจะอ้างว่า เป็นวิธีที่ไม่ใช้ความรุนแรงและเป็นไปตามรธน. นั้น เป็นสิ่งที่ผู้รับผิดชอบหรือแกนนำไม่มีความรับผิดชอบต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยต่อร่างกายของเพื่อนร่วมชาติ อนึ่งเพื่อความปลอดภัยในระยะยาวของพี่น้องร่วมชาติ กลุ่มพี่น้องมหิดลขอเสนอมาตรการดังต่อไปนี้
1.ขอให้หน่วยงานด้านสาธารณสุข เช่น กรมควบคุมโรค เข้าพบแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อชี้แจงถึงผลการตรวจพบเชื้อต่างๆ ในเลือดของผู้ชุมนุม ตลอดจนให้ความรู้เกี่ยวกับการระบาดของโรคร้ายแรง และขอความร่วมมือในการตรวจสอบหาผู้ติดเชื้อเพื่อการเฝ้าระวังและการรักษาอย่างมีประสิทธิภาพ
2.ขอให้หน่วยงานของกทม. เข้าไปจัดการอบรมให้ความรู้แก่ผู้ชุมนุมตลอดจนการจัดการด้านสุขอนามัยของสิ่งแวดล้อมและการปฏิบัติตัวดูแลสุขอนามัยของผู้ร่วมชุมนุมเพื่อไม่ให้ มีการเแพร่กระจายของโรคติดต่อต่างๆ
กลุ่มพี่น้องมหิดลมีความเคาพในเหตุผลของทุกฝ่าย ได้แก่ ผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงและรัฐบาล แต่ด้วยความตระหนักถึงสุขภาพและความปลอดภัยของสังคมโดยรวม จึงขอวิงวอนให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือในการป้องกันการเแพร่กระจายของโรคร้ายแรงดังกล่าว
ทั้งนี้ นพ.กุศล ประวิชไพบูลย์ และชมรมพี่น้องมหิดล เคยร่วมออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ลาออกจากตำแหน่งในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นอกจากนี้ นพ.กุศลยังเป็นหนึ่งในนักวิชาการด้านสาธารณสุขที่ยื่นหนังสือถึงประธานวุฒิสภาให้ถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ออกจากตำแหน่ง
ที่มา. มติชนออนไลน์
วีระ" เปิดทางเจรจารอบ 3 ย้ำยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน เงื่อนไขเวลาไม่ใช่ 15 วันหรือ 9 เดือนแน่นอน ขณะที่"ไพบูลย์"เสนอโรดแมปใช้วิกฤตเป็นโอกาส
สมาคมนักข่าวฯได้จัดราชดำเนินเสวนา ในหัวข้อเรื่อง “ เนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤตความขัดแย้ง ” โดยมีนายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกฯ พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาลสถาบันพระปกเกล้า นายไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน และนายวีระ มุสิกพงษ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ร่วมเป็นวิทยากร อย่างไรก็ตาม การเสวนาครั้งนี้ไม่มีตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลและตัวแทนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าร่วมแสดงความเห็น โดยนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตร อ้างว่าขอสงวนท่าที
นายวีระ กล่าวว่า อำมาตยาธิปไตยเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พอคณะราษฎรแย่งอำนาจมาได้ อำมาตย์ก็มีดึงคืน ทำให้เกิดกบฏหลายครั้ง ไม่เคยคิดว่าประเทศเป็นของประชาชนจนเกิดแตกหักกันในปี 2516 และปี 2535 ปัญหาของประเทศ คือ การปฏิวัติ อำมาตย์มองประชาชนเป็นผู้อาศัย สภาฯมาจากการซื้อเสียง ทางแก้คือทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ถ้าประชาชนโง่เง่าอย่างที่อำมาตย์มองก็ปล่อยให้ล้าหลังไปทั้งประเทศ คนเสื้อแดงต่อสู้ที่ท้องสนามหลวงมาหลายปี และยืนหยัดในแนวทางสันติ อหิงสา เมื่อมีแนวร่วมมากขึ้นรัฐบาลก็ต้องรับฟัง ปัญหาคือรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับเสียงที่เรียกร้องมากแค่ไหน เนื่องจากการเรียกร้องครั้งนี้มาจากประชาชนทุกชนชั้น ไม่จำกัดอยู่เพียงนักศึกษา ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นได้เปรียบกับชนชั้นเสียเปรียบ ฝ่ายได้เปรียบพอใจในกติกาและรัฐบาลชุดนี้ แต่คนที่ร้องโวยวายบนถนนราชดำเนินคือกลุ่มคนที่เสียเปรียบ
“ หากรัฐบาลจะสู้โดยปลุกกลุ่มคนได้เปรียบมาเผชิญหน้ากับคนเสื้อแดง การนัดชุมนุมของคนเสื้อสีชมพูในวันที่ 2 เม.ย.นี้ หรือแม้แต่การใช้กำลังทหาร ตำรวจสลายการชุมนุม ก็จะได้เห็นสงครามชนชั้น โดยชาวนา ชาวไร่ นักธุรกิจจะรวมเป็นหนึ่งเดียว รบกันแน่ ผมไม่ได้ขู่ แต่ภาวะดังกล่าวจะเป็นการเร่งประเทศให้เข้าสู่การปฏิวัติยึดอำนาจของประชาชน ทางออกคือต้องยุบสภาฯคืนอำนาจให้ประชาชน ให้เวลาเป็นปัจจัยในการสร้างประชาธิปไตย ประชาชนอาจรุนแรง แต่ถ้าพวกผมยังอยู่รับรองไม่รุนแรง จะจัดการก็ให้จัดการกับพวกผม ” นายวีระ กล่าว
ในช่วงท้ายนายวีระ กล่าวตอบข้อซักถามถึงความเป็นไปได้ในการเจราจารอบ 3 ว่า ในตอนท้ายการเจรจารอบ 2 ตนพูดว่า เรื่องของประเทศชาติต้องพูดจากันได้ แต่จะวันไหนเวลาไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลักการทั่วไปคือต้องพูดกัน แต่ไม่อยากพูดให้กระทบกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง เรื่องการยุบสภาฯคงไม่ใช่ 15 วันและ 9 เดือนแน่ ส่วนจะเป็นกำหนดเวลาเท่าไรนั้น คงต้องเป็นเรื่องของการเจรจา ส่วนกรณีที่มีการหยิบยกการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาอ้างนั้น ไม่ควรเอาเรื่องปราศรัยบนเวทีมาพูดบนโต๊ะเจรจา มิเช่นนั้นเรื่องก็จะไม่จบ อย่างไรก็ตาม การที่ตนประเมินว่าอาจะเกิดความรุนแรงในการชุมนุมใหญ่วันที่ 3 เม.ย.นี้ เป็นการวัดจากความรู้สึกของประชาชน และประสบการณ์การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มมีความรู้สึกว่าดีกรีร้อนแรง ถ้าไม่รีบจัดการแบบสันติวิธี อาจเกิดเรื่อง
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ผู้ที่ถนัดกับการจัดการปัญหายากๆ รู้ดีว่าวิกฤตเป็นโอกาส เช่นเดียวกับญี่ปุ่น เยอรมันที่เผชิญกับวิกฤตสงครามโลก แต่พัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ามาได้ สำหรับประเทศไทยได้เผชิญวิกฤตมาหลายครั้ง เป็นวิกฤตที่ให้กำไรกับสังคมไทย การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ นปช. 2 ครั้งที่ผ่านมาถือว่า เป็นมือใหม่ พอใช้ได้ กระบวนการยังไม่ดี ควรวางกติกาก่อนเจรจา เช่น ไม่ด่าว่ากัน ไม่เอาเรื่องอดีตมาพูด ไม่ค้นหาว่าใครผิดใครถูก ตั้งประเด็นในการเจรจาโดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ถ้ามีกระบวนการปรับทัศนคติที่ดีจะเอื้ออำนวยให้การเจรจาประสบความสำเร็จ
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ควรพูดคุยกันในวิกฤตความขัดแย้ง คือ โรดแมปเพื่อแก้วิกฤตและใช้โอกาสของวิกฤต เป็นยุทธศาสตร์ 3 ด้านเพื่อ 1 แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง สร้างการเมืองแบบร่วมคิดร่วมทำ การเจรจาเพื่อยุติสงครามต้องชนะด้วยกัน ถ้าตั้งสติให้ดีคงไม่มีใครคิดว่าการที่เราชนะแล้วอีกฝ่ายแพ้เป็นเรื่องดี ถ้าคิดอย่างนั้นเป็นเพียงความคิดครึ่งทาง คิดสุดทางคือต้องชนะด้วยกัน จึงหวังว่าสิ่งที่จะพูดจากันต่อไปคือการหาข้อสรุปที่พอใจร่วมกัน แม้ว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็ยังไม่สมบูรณ์ เราต้องร่วมกันสร้างการเมืองประชาธิปไตยที่ประชาชนร่วมคิดร่วมทำ จึงขอให้ใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการสร้างการเมืองที่ดี ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการร่วมกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หนี้สิน และความยากจนแบบบูรณาการ ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม สร้างความเป็นมิตรไมตรีในสังคม
“ ขณะนี้หลายเวทีจัดสัมมนาหาทางออกให้กับประเทศ พูดกันมากว่ายุบหรือไม่ยุบสภาฯ ประเทศเปรียบเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่อยู่มานาน ปลวกกินจนชำรุด พี่น้อง 2 คน ทะเลาะกันให้รื้อบ้าน คนหนึ่งให้รื้อใน 15 วัน อีกคนขอรื้อใน 9 เดือน ทั้งที่การรื้อบ้านเป็นเรื่องของคนทั้งครอบครัว จะรื้อหรือปรับปรุงสร้างใหม่เป็นประเด็นที่คนทั้งครอบครัวต้องช่วยกันคิด เช่นเดียวกับการฟื้นฟูประเทศที่เป็นเรื่องของคนไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไพร่และอำมาตย์ ” นายไพบูลย์ กล่าว
ทางด้านนายไพโรจน์ กล่าวว่า วิกฤตความขัดแย้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้นำผู้คนในสังคมเข้าสู่การเมือง มีการถกเถียงถึงความแตกต่างทางความคิดเห็นในทุกระดับ สถานการณ์ปัจจุบันท้าทายว่าความแตกต่างทางความเชื่อจะสามารถลงตัวด้วยสันติวิธีได้หรือไม่ โดยกลุ่มพันธมิตรชุมนุมและตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจฉ้อฉล ทุจริต คอรัปชั่น ขณะที่ฝ่าย นปช.ตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจสองมาตรฐาน นี่คือความขัดแย้งใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ 50 ซึ่งเปิดทางให้ตุลาการเข้ามามีอำนาจทางการเมือง ต้องยอมรับว่าโครงสร้างความไม่เป็นธรรมมีอยู่จริง ปรากฏการณ์เขายายเที่ยง เขาสอยดาว ชี้ว่าคนมีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองเข้าไปยึดครองที่ดินของรัฐ นอกจากนี้งานวิจัยชี้ว่า โฉนดที่ดินใน 10 จังหวัด ถูกถือครองโดยคนเพียง 25 ราย แต่เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง สวัสดิการประกันสังคมจำกัดอยู่กับคนเพียง 10 ล้านคน ช่องว่างในสังคมจึงถูกหยิบยกมาเป็นสงครามชนชั้น ซึ่งจำเป็นต้องช่วยกันหาทางออกให้กับปัญหาเฉพาะหน้าและทางออกระยะยาว ไม่ใช่คิดเพียงว่าจะยุบสภาฯในเวลา 3 หรือ 6 เดือน
ด้าน พล.อ.เอกชัย กล่าวว่าโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีปัญหาของประเทศทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวจนทำให้เกิดความไม่ยุติธรรม หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ถือโดยคน 11 ตระกูล ใครเข้าถึงอำนาจก็ได้เงินของตัวเองไป จึงไม่แปลกใจว่าคนขับแท็กซี่จึงรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะธนาคารปล่อยกู้ให้กับรายใหญ่เท่านั้น เรามาถึงจุดว่าจะเลือกไปทางไหน เราเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้ แต่วิถีชีวิตยังเป็นแบบตะวันออก เคารพผู้ใหญ่ ยอมให้ผู้ใหญ่จูงเข้ารกเข้าพง เป็นการเมืองที่ไม่มีรากเหง้า นักวิชาการเริ่มพูดให้คนไทยเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นตะวันตก จึงจะเป็นประชาธิปไตยได้ เพราะประชาธิปไตยลอกมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล คำถาม คือ คนไทยจะเลิกกราบไหว้ เลิกนับถือกันได้หรือไม่ หากจิตสำนึกในประชาธิปไตยยังเป็นแบบไทยการเมืองก็ไปไม่รอด จึงจำเป็นต้องปฏิรูปการเมืองให้สอดรับกับวิถีชีวิต
“ฝ่าย นปช.ไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภาฯ เพราะไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล และไม่เชื่อมั่นว่ารัฐธรรมนูญที่เขียนโดยนักการเมืองจะได้รับการตอบรับจากประชาชน สิ่งที่น่าห่วงการทิ้งช่วงเจรจาไว้นานเกินไป ถ้ามีระเบิดมากขึ้น มีม็อบออกมามาขึ้นโอกาสจบก็ไม่มี หากหยุดไปเที่ยวสงกรานต์กันให้หมด จะไม่มีโอกาสเกิดสงกรานต์เลือด ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการยุบสภาฯเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เร็วที่สุด แต่สำหรับคนที่ชอบจบเร็ว คิดว่า การปฏิวัติล้มกระดานเพื่อกำจัดคนๆเดียว ดีกับสังคมไทยก็ทำอีกครั้ง การตัดสินคดีของศาลไม่ผิด เพราะตัดสินภายใต้กฎหมายที่เขียนโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีมาตรฐานเลย เลวร้ายยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน ซึ่งผมไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะแก้ปัญหาของประเทศได้ ” พล.อ.เอกชัย กล่าว
ทีมา.กรุงเทพธุรกิจ
************************************************
นายวีระ กล่าวว่า อำมาตยาธิปไตยเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยมาตั้งแต่ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง พอคณะราษฎรแย่งอำนาจมาได้ อำมาตย์ก็มีดึงคืน ทำให้เกิดกบฏหลายครั้ง ไม่เคยคิดว่าประเทศเป็นของประชาชนจนเกิดแตกหักกันในปี 2516 และปี 2535 ปัญหาของประเทศ คือ การปฏิวัติ อำมาตย์มองประชาชนเป็นผู้อาศัย สภาฯมาจากการซื้อเสียง ทางแก้คือทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริง ถ้าประชาชนโง่เง่าอย่างที่อำมาตย์มองก็ปล่อยให้ล้าหลังไปทั้งประเทศ คนเสื้อแดงต่อสู้ที่ท้องสนามหลวงมาหลายปี และยืนหยัดในแนวทางสันติ อหิงสา เมื่อมีแนวร่วมมากขึ้นรัฐบาลก็ต้องรับฟัง ปัญหาคือรัฐบาลจะให้ความสำคัญกับเสียงที่เรียกร้องมากแค่ไหน เนื่องจากการเรียกร้องครั้งนี้มาจากประชาชนทุกชนชั้น ไม่จำกัดอยู่เพียงนักศึกษา ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นได้เปรียบกับชนชั้นเสียเปรียบ ฝ่ายได้เปรียบพอใจในกติกาและรัฐบาลชุดนี้ แต่คนที่ร้องโวยวายบนถนนราชดำเนินคือกลุ่มคนที่เสียเปรียบ
“ หากรัฐบาลจะสู้โดยปลุกกลุ่มคนได้เปรียบมาเผชิญหน้ากับคนเสื้อแดง การนัดชุมนุมของคนเสื้อสีชมพูในวันที่ 2 เม.ย.นี้ หรือแม้แต่การใช้กำลังทหาร ตำรวจสลายการชุมนุม ก็จะได้เห็นสงครามชนชั้น โดยชาวนา ชาวไร่ นักธุรกิจจะรวมเป็นหนึ่งเดียว รบกันแน่ ผมไม่ได้ขู่ แต่ภาวะดังกล่าวจะเป็นการเร่งประเทศให้เข้าสู่การปฏิวัติยึดอำนาจของประชาชน ทางออกคือต้องยุบสภาฯคืนอำนาจให้ประชาชน ให้เวลาเป็นปัจจัยในการสร้างประชาธิปไตย ประชาชนอาจรุนแรง แต่ถ้าพวกผมยังอยู่รับรองไม่รุนแรง จะจัดการก็ให้จัดการกับพวกผม ” นายวีระ กล่าว
ในช่วงท้ายนายวีระ กล่าวตอบข้อซักถามถึงความเป็นไปได้ในการเจราจารอบ 3 ว่า ในตอนท้ายการเจรจารอบ 2 ตนพูดว่า เรื่องของประเทศชาติต้องพูดจากันได้ แต่จะวันไหนเวลาไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หลักการทั่วไปคือต้องพูดกัน แต่ไม่อยากพูดให้กระทบกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง เรื่องการยุบสภาฯคงไม่ใช่ 15 วันและ 9 เดือนแน่ ส่วนจะเป็นกำหนดเวลาเท่าไรนั้น คงต้องเป็นเรื่องของการเจรจา ส่วนกรณีที่มีการหยิบยกการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ มาอ้างนั้น ไม่ควรเอาเรื่องปราศรัยบนเวทีมาพูดบนโต๊ะเจรจา มิเช่นนั้นเรื่องก็จะไม่จบ อย่างไรก็ตาม การที่ตนประเมินว่าอาจะเกิดความรุนแรงในการชุมนุมใหญ่วันที่ 3 เม.ย.นี้ เป็นการวัดจากความรู้สึกของประชาชน และประสบการณ์การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มมีความรู้สึกว่าดีกรีร้อนแรง ถ้าไม่รีบจัดการแบบสันติวิธี อาจเกิดเรื่อง
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ผู้ที่ถนัดกับการจัดการปัญหายากๆ รู้ดีว่าวิกฤตเป็นโอกาส เช่นเดียวกับญี่ปุ่น เยอรมันที่เผชิญกับวิกฤตสงครามโลก แต่พัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ามาได้ สำหรับประเทศไทยได้เผชิญวิกฤตมาหลายครั้ง เป็นวิกฤตที่ให้กำไรกับสังคมไทย การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับ นปช. 2 ครั้งที่ผ่านมาถือว่า เป็นมือใหม่ พอใช้ได้ กระบวนการยังไม่ดี ควรวางกติกาก่อนเจรจา เช่น ไม่ด่าว่ากัน ไม่เอาเรื่องอดีตมาพูด ไม่ค้นหาว่าใครผิดใครถูก ตั้งประเด็นในการเจรจาโดยเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ถ้ามีกระบวนการปรับทัศนคติที่ดีจะเอื้ออำนวยให้การเจรจาประสบความสำเร็จ
นายไพบูลย์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ควรพูดคุยกันในวิกฤตความขัดแย้ง คือ โรดแมปเพื่อแก้วิกฤตและใช้โอกาสของวิกฤต เป็นยุทธศาสตร์ 3 ด้านเพื่อ 1 แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง สร้างการเมืองแบบร่วมคิดร่วมทำ การเจรจาเพื่อยุติสงครามต้องชนะด้วยกัน ถ้าตั้งสติให้ดีคงไม่มีใครคิดว่าการที่เราชนะแล้วอีกฝ่ายแพ้เป็นเรื่องดี ถ้าคิดอย่างนั้นเป็นเพียงความคิดครึ่งทาง คิดสุดทางคือต้องชนะด้วยกัน จึงหวังว่าสิ่งที่จะพูดจากันต่อไปคือการหาข้อสรุปที่พอใจร่วมกัน แม้ว่าจะมีการแก้รัฐธรรมนูญก็ยังไม่สมบูรณ์ เราต้องร่วมกันสร้างการเมืองประชาธิปไตยที่ประชาชนร่วมคิดร่วมทำ จึงขอให้ใช้วิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาสในการสร้างการเมืองที่ดี ยุทธศาสตร์ที่ 2 คือการร่วมกันแก้ปัญหาเศรษฐกิจ หนี้สิน และความยากจนแบบบูรณาการ ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 3 คือ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม สร้างความเป็นมิตรไมตรีในสังคม
“ ขณะนี้หลายเวทีจัดสัมมนาหาทางออกให้กับประเทศ พูดกันมากว่ายุบหรือไม่ยุบสภาฯ ประเทศเปรียบเหมือนบ้านหลังใหญ่ที่อยู่มานาน ปลวกกินจนชำรุด พี่น้อง 2 คน ทะเลาะกันให้รื้อบ้าน คนหนึ่งให้รื้อใน 15 วัน อีกคนขอรื้อใน 9 เดือน ทั้งที่การรื้อบ้านเป็นเรื่องของคนทั้งครอบครัว จะรื้อหรือปรับปรุงสร้างใหม่เป็นประเด็นที่คนทั้งครอบครัวต้องช่วยกันคิด เช่นเดียวกับการฟื้นฟูประเทศที่เป็นเรื่องของคนไทยทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไพร่และอำมาตย์ ” นายไพบูลย์ กล่าว
ทางด้านนายไพโรจน์ กล่าวว่า วิกฤตความขัดแย้งในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ได้นำผู้คนในสังคมเข้าสู่การเมือง มีการถกเถียงถึงความแตกต่างทางความคิดเห็นในทุกระดับ สถานการณ์ปัจจุบันท้าทายว่าความแตกต่างทางความเชื่อจะสามารถลงตัวด้วยสันติวิธีได้หรือไม่ โดยกลุ่มพันธมิตรชุมนุมและตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจฉ้อฉล ทุจริต คอรัปชั่น ขณะที่ฝ่าย นปช.ตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจสองมาตรฐาน นี่คือความขัดแย้งใหญ่ในสังคม โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ 50 ซึ่งเปิดทางให้ตุลาการเข้ามามีอำนาจทางการเมือง ต้องยอมรับว่าโครงสร้างความไม่เป็นธรรมมีอยู่จริง ปรากฏการณ์เขายายเที่ยง เขาสอยดาว ชี้ว่าคนมีอำนาจทางเศรษฐกิจการเมืองเข้าไปยึดครองที่ดินของรัฐ นอกจากนี้งานวิจัยชี้ว่า โฉนดที่ดินใน 10 จังหวัด ถูกถือครองโดยคนเพียง 25 ราย แต่เกษตรกรซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง สวัสดิการประกันสังคมจำกัดอยู่กับคนเพียง 10 ล้านคน ช่องว่างในสังคมจึงถูกหยิบยกมาเป็นสงครามชนชั้น ซึ่งจำเป็นต้องช่วยกันหาทางออกให้กับปัญหาเฉพาะหน้าและทางออกระยะยาว ไม่ใช่คิดเพียงว่าจะยุบสภาฯในเวลา 3 หรือ 6 เดือน
ด้าน พล.อ.เอกชัย กล่าวว่าโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีปัญหาของประเทศทำให้เกิดความขัดแย้ง ไม่ใช่เรื่องการแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัวจนทำให้เกิดความไม่ยุติธรรม หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ถือโดยคน 11 ตระกูล ใครเข้าถึงอำนาจก็ได้เงินของตัวเองไป จึงไม่แปลกใจว่าคนขับแท็กซี่จึงรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะธนาคารปล่อยกู้ให้กับรายใหญ่เท่านั้น เรามาถึงจุดว่าจะเลือกไปทางไหน เราเอาประชาธิปไตยแบบตะวันตกมาใช้ แต่วิถีชีวิตยังเป็นแบบตะวันออก เคารพผู้ใหญ่ ยอมให้ผู้ใหญ่จูงเข้ารกเข้าพง เป็นการเมืองที่ไม่มีรากเหง้า นักวิชาการเริ่มพูดให้คนไทยเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นตะวันตก จึงจะเป็นประชาธิปไตยได้ เพราะประชาธิปไตยลอกมาจากคัมภีร์ไบเบิ้ล คำถาม คือ คนไทยจะเลิกกราบไหว้ เลิกนับถือกันได้หรือไม่ หากจิตสำนึกในประชาธิปไตยยังเป็นแบบไทยการเมืองก็ไปไม่รอด จึงจำเป็นต้องปฏิรูปการเมืองให้สอดรับกับวิถีชีวิต
“ฝ่าย นปช.ไม่เชื่อมั่นว่าจะแก้รัฐธรรมนูญก่อนยุบสภาฯ เพราะไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล และไม่เชื่อมั่นว่ารัฐธรรมนูญที่เขียนโดยนักการเมืองจะได้รับการตอบรับจากประชาชน สิ่งที่น่าห่วงการทิ้งช่วงเจรจาไว้นานเกินไป ถ้ามีระเบิดมากขึ้น มีม็อบออกมามาขึ้นโอกาสจบก็ไม่มี หากหยุดไปเที่ยวสงกรานต์กันให้หมด จะไม่มีโอกาสเกิดสงกรานต์เลือด ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่าการยุบสภาฯเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เร็วที่สุด แต่สำหรับคนที่ชอบจบเร็ว คิดว่า การปฏิวัติล้มกระดานเพื่อกำจัดคนๆเดียว ดีกับสังคมไทยก็ทำอีกครั้ง การตัดสินคดีของศาลไม่ผิด เพราะตัดสินภายใต้กฎหมายที่เขียนโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) การบังคับใช้กฎหมายที่ไม่มีมาตรฐานเลย เลวร้ายยิ่งกว่า 2 มาตรฐาน ซึ่งผมไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะแก้ปัญหาของประเทศได้ ” พล.อ.เอกชัย กล่าว
ทีมา.กรุงเทพธุรกิจ
************************************************
อนุมัติ 1 ล้านบาทจ้างพนักงานโรงแรมมาชุมนุมต้านคนเสื้อแดง
หลังจากที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ยืนกระต่ายขาเดียวจะนั่งอยู่ในอำนาจต่อไป โดยไม่ใยดีต่อความเดือดร้อนของประชาชน ยืนกรานจะยุบสภาใน 9 เดือน ปรากฏว่าได้สร้างผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดย นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า การชุมนุมที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมแล้ว โดยหากคำนวณจากตัวเลขรายได้ด้านการท่องเที่ยวทั้งปีนี้ ที่หลายฝ่ายประเมินไว้ 6 แสนล้านบาท เท่ากับว่า จะมีรายได้เดือนละ 5 หมื่นล้านบาท แต่จากตัวเลขที่สมาคมโรงแรมได้รับ พบว่าอัตราเข้าพักโรงแรมต่าง ๆ หายไป 20% แล้วในช่วงที่มีการชุมนุม ก็หมายความว่าภายใน 1 เดือนที่มีการชุมนุมนี้ ทำให้รายได้ด้านการท่องเที่ยวหายไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท หากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปอีกหลายเดือน ก็จะเสียหายกว่านี้อีกหลายหมื่นล้านบาท
นายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟตต้า) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมาณ 1,000 คน จะนัดรวมตัวที่สวนลุมพินี บริเวณหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เวลา 16.00 น. เพื่อร่วมกันประกาศจุดยืน "ยุติความขัดแย้ง เพื่อท่องเที่ยวไทย ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายท่องเที่ยวไทยสมานฉันท์เพื่อท่องเที่ยวไทย" นอกจากนี้จะมีตัวแทนผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบางส่วน ที่อยู่ในต่างจังหวัด รวมตัวเวลาเดียวกันในจังหวัดของตนเองด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า การชุมนุมของพนักงานโรงแรมในวันที่ 2 เมษายน เวลา 16.00 น. มีการเกณฑ์พนักงานโรงแรมไปร่วมการชุมนุมจะได้รับเงินคนละ 500 บาท แกนนำการชุมนุมดังกล่าว เป็นฝ่ายบริหารอักษรย่อ “ช” ทำงานอยู่ที่โรงแรมดุสิต ซึ่งเคยบริจาคเงินให้กับพันธมิตรจำนวนมาก และเป็นคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ไกล้ชิดกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แหล่งข่าวยืนยันว่า มีการนำเงินจำนวนกว่า 1,000,000 บาท ถอนจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเทเวศน์เพื่อมาจ่ายให้กับพนักงานโรงแรมและการประชุมของนักธุรกิจโรงแรม ในต่างจังหวัดอาทิเช่นที่เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ตเป็นต้น เพื่อให้ออกมาต่อต้านการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ที่มา.taksin-voice
***********************************************
นายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟตต้า) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมาณ 1,000 คน จะนัดรวมตัวที่สวนลุมพินี บริเวณหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เวลา 16.00 น. เพื่อร่วมกันประกาศจุดยืน "ยุติความขัดแย้ง เพื่อท่องเที่ยวไทย ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายท่องเที่ยวไทยสมานฉันท์เพื่อท่องเที่ยวไทย" นอกจากนี้จะมีตัวแทนผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบางส่วน ที่อยู่ในต่างจังหวัด รวมตัวเวลาเดียวกันในจังหวัดของตนเองด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า การชุมนุมของพนักงานโรงแรมในวันที่ 2 เมษายน เวลา 16.00 น. มีการเกณฑ์พนักงานโรงแรมไปร่วมการชุมนุมจะได้รับเงินคนละ 500 บาท แกนนำการชุมนุมดังกล่าว เป็นฝ่ายบริหารอักษรย่อ “ช” ทำงานอยู่ที่โรงแรมดุสิต ซึ่งเคยบริจาคเงินให้กับพันธมิตรจำนวนมาก และเป็นคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ไกล้ชิดกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แหล่งข่าวยืนยันว่า มีการนำเงินจำนวนกว่า 1,000,000 บาท ถอนจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเทเวศน์เพื่อมาจ่ายให้กับพนักงานโรงแรมและการประชุมของนักธุรกิจโรงแรม ในต่างจังหวัดอาทิเช่นที่เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ตเป็นต้น เพื่อให้ออกมาต่อต้านการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ที่มา.taksin-voice
***********************************************
วีระ ลั่นหากรัฐสลายแดงปะทะกันแน่

นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) "วีระ" แกนนำ นปช. ยันหากรัฐสลายการชุมนุม ในวันเสาร์นี้ เชื่อจะเกิดการรบกัน กับ ปชช. แน่
นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมวงเสวนา ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดขึ้น ภายใต้หัวข้อเนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤตความขัดแย้งในระหว่างการเสวนา นายวีระ ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ว่า เกิดจากปัญหาที่ติดค้างอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน ตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2475 โดยยกตัวอย่าง การทุจริตคอร์รัปชั่นว่า มีมานานแล้ว พร้อมกับพูดว่าอํามาตยาธิปไตย เป็นอุปสรรคไม่ให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง มาตั้งแต่สมัยก่อนด้วยเช่นกัน โดยนายวีระ ได้กล่าวถึง วิธีการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ คือไม่ควรมีการยึดอำนาจ แต่ควรให้อำนาจเป็นของประชาชน และอดทนใช้เวลากับประชาชน ให้ร่วมกันแก้ปัญหาตามแนวทางประชาธิปไตย เพราะ นายวีระ เชื่อว่าประชาชนสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาได้ แต่ไม่มีโอกาส แต่ถ้าประชาชนได้รับโอกาส ก็มั่นใจว่า จะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้
นอกจากนี้ นายวีระ ได้กล่าวถึงฝ่ายรัฐบาลว่า หากใช้กำลังตำรวจทหารมาสลายการชุมนุมในวันที่ 3 เม.ย. ที่จะถึงนี้ก็จะเกิดการรบกันแน่ แต่ถ้าไม่มีการสลายการชุมนุมด้วยวิธีดังกล่าว ก็จะใช้แนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธีต่อไป
นายวีระ ยังกล่าวถึง ความเป็นไปได้ในการเจรจารอบที่ 3 กับฝ่ายรัฐบาลว่า เรื่องของประเทศชาติต้องพูดจากันได้ แต่จะวันไหนเวลาไหน ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยหลักการแล้วจะต้องพูดคุยกัน แต่ไม่อยากพูดอะไรให้กระทบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมกันนี้นายวีระ ได้กล่าวถึงเรื่องการยุบสภาว่า ไม่ใช่ 15 วัน และ 9 เดือน อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นกำหนดเวลาเท่าไหร่นั้น เป็นเรื่องของการเจรจา ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา
ส่วนกรณีที่มีการหยิบยกการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาอ้างนั้น นายวีระ กล่าวว่า ไม่ควรเอาเรื่องการปราศรัยบนเวทีมาพูดกันบนโต๊ะเจรจา มิเช่นนั้น เรื่องก็จะไม่จบ อย่างไรก็ตาม การที่ นายวีระ ประเมินว่า อาจเกิดความรุนแรงในการชุมนุมใหญ่วันที่ 3 เมษายน นี้เป็นการวัดจากความรู้สึกของประชาชน และประสบการณ์ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จึงเริ่มมีความรู้สึกว่า ดีกรีความร้อนแรงมีเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่รีบจัดการแบบสันติวิธี ก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้
ที่มา.innnews
***********************************************
จับเข่าคุย"วีระ มุสิกพงศ์"ประธาน นปช. ถ้าเสื้อแดงใช้ความรุนแรง ผมกลับบ้านทันที อยากพักเต็มทีแล้ว!!!
บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน ก่อนคุณวีระ มุสิกพงศ์" ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก้าวขึ้นเวทีสมาคมนักข่าวฯ นักข่าว ประชาชาติธุรกิจ ได้มีโอกาสนั่งสนทนากับ ประธาน นปช. ในหลายประเด็นที่คนทั่วไปอยากรู้ และหลายประเด็นที่คนเสื้อแดง หลายคนไม่ค่อย แฮปปี้ เท่าใดนัก
ประธาน นปช. ถือไม้เท้า คล้องคอด้วยพระร่วงที่ชาวบ้านมอบให้ และข้อมือมีสายสิญจน์
"ไข่มุกดำ" ใช้รถโตโยต้า แคมรี่ สีดำ เป็นพาหนะ ขนาบด้วยโชเฟอร์ 1 และเลขานุการส่วนตัวอีก 1
พฤษภาคม ศกนี้ ไข่มุกดำ จะอายุครบ 62 ปีแล้ว เขาเปรยให้ฟังว่า ถ้าไม่มี 19 กันยายน 2549 จะวางมือ และจะพักผ่อน อยากมีความสุขเต็มทีแล้ว
เป็นความเหนื่อยล้าที่ต้องต่อสู้กับพวกอำมาตย์มาหลายสมรภูมิแล้ว ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 จนมาถึง พฤษภาทมิฬ 2535 และล่าสุดคือ การต่อสู้โค่นอำมาตย์ หลัง 19 กันยายน
" ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนนราชดำเนิน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย"
ประธาน นปช. เล่าว่า มีธุรกิจร้านอาหารไทยในชนบท ประเทศอังกฤษ 2 แห่ง โดยภริยาคือ คุณศรีวิไล เป็นคนดูแลกิจการ เป็นร้านอาหารที่ฝรั่งติดอกติดใจ แม้ว่า ปีที่แล้ว จะได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจในยุโรป
" ผมอยากพักเต็มที่แล้ว ต่อสู้กลางแดด มาหลายวัน มันเหนื่อยนะคุณ คอผมแตกไปแล้ว เสียงแหบสนิท "
"วีระ" เล่าว่า ลูกสามคน ไม่ใครชอบการเมือง เพราะเคยเห็นพ่อติดคุกที่บุรีรัมย์ ลูกวิ่งเล่นอยู่ในเรือนจำ ...วันนี้ลูกของผมเป็นนักดนตรี เขามีความสุข
นักข่าว ถามประธาน นปช. แบบตรงประเด็นว่า การยกระดับการต่อสู้ วันเสาร์ที่ 3 เมษายน นี้ จะรุนแรงไหม
คำตอบคือ "ผมยึดหลัก สันติ อหิงสา ถ้าแกนนำ นปช. อยากชนะศึก โดยการใช้ความรุนแรง ผมเลิก...กลับบ้านทันที"
" ผมเปรียบเทียบการต่อสู้ ของกลุ่มคนเสื้อแดง เหมือนขบวนรถไฟจาก เชียงใหม่ มุ่ง สู่หัวลำโพง อันเป็นสถานีสุดท้ายที่หมายถึงชัยชนะ เราวิ่งมาจากเชียงใหม่ ได้รับการยอมรับตลอดเส้นทาง ว่า เราไม่ใช้ความรุนแรง แต่พอขบวนรถไฟ วิ่งมาถึง สถานีบางซื่อ ถ้าเสื้อแดงบอกว่า ต้องยกระดับการต่อสู้ ใช้ความรุนแรงต่อสู้ เพื่อต้องการชนะศึก ผมบอกไว้เลยว่า ผมลงสถานีบางซื่อ ทันที ผมกลับบ้านเลย ไม่ชนะ ก็ไม่เป็นไร ผมกลับบ้าน "
ก่อนหน้านี้ การเจรจา ระหว่าง รัฐบาล กับ แกนนำ นปช. 2 นัดที่ผ่านมา
"วีระ มุสิกพงศ์" ได้รับการยอมรับว่า นิ่ง และมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด
"ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม" นักสันติวิธี ให้เครดิตประธาน นปช. วัย 62 ปีว่า " ทำได้ดี น่าพอใจ และน่าชื่นชม "
ขณะที่ในโลกไซเบอร์ " น.พ. เหวง โตจิราการ" มีภาพติดลบไปทันที จนกลายเป็นที่มาของการบัญญัติศัพท์ใหม่ ของคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และพูดจา วกวน ว่า พูดแบบเหวงๆ
ประธาน นปช. เล่าให้ฟังว่า " เขาให้ไปเจรจา ผมก็ไปเจรจา ไม่ได้ไปทะเลาะ ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ถ้าเสื้อแดงไม่พอใจ ผมก็เลิก เท่านั้น "
นักข่าว ถามว่า การเจรจา รอบ 3 เกิดขึ้นได้หรือไม่
คำตอบคือ " เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
" นาทีนี้ ข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่นอน แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน "
ถอดรหัสง่ายๆ ก็คือ อาจเป็นการต่อรอง ประเด็นห้วงเวลา การยุบสภา ใน 2 ช่วงเวลาคือ 3 เดือน หรือ 6 เดือน
แต่ทุกสูตร ไม่ว่า จะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน ต้อง บวก 45 วันช่วงรัฐบาลรักษาการ เข้าไปด้วย
ประธาน นปช. วิเคราะห์ จุดอ่อนของการ ถ่ายทอดสด ระหว่างการเจรจาก็คือ " คนเจรจา ไม่ได้ สนใจ คู่เจรจา ที่อยู่ตรงหน้า แต่พวกนี้ ต้องการพูดกับแฟนที่รอดู รอฟังทั่วประเทศ คนเจรจา จะไม่สนใจคู่เจรจา "
นักข่าวถามประธานนปช. แบบตรงๆว่า ขณะเจรจา มี"ทักษิณ" เป็นวาระซ่อนเร้น อยู่หรือไม่
คำตอบคือ " ผมหูหนวก ตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น "
ประธาน นปช. กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยุบสภา เสื้อแดงกลับบ้าน ผมจะไปต่อหนังสือเดินทางทันที อยากพักผ่อนเต็มที่แล้ว(ครับ )
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************
ประธาน นปช. ถือไม้เท้า คล้องคอด้วยพระร่วงที่ชาวบ้านมอบให้ และข้อมือมีสายสิญจน์
"ไข่มุกดำ" ใช้รถโตโยต้า แคมรี่ สีดำ เป็นพาหนะ ขนาบด้วยโชเฟอร์ 1 และเลขานุการส่วนตัวอีก 1
พฤษภาคม ศกนี้ ไข่มุกดำ จะอายุครบ 62 ปีแล้ว เขาเปรยให้ฟังว่า ถ้าไม่มี 19 กันยายน 2549 จะวางมือ และจะพักผ่อน อยากมีความสุขเต็มทีแล้ว
เป็นความเหนื่อยล้าที่ต้องต่อสู้กับพวกอำมาตย์มาหลายสมรภูมิแล้ว ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 จนมาถึง พฤษภาทมิฬ 2535 และล่าสุดคือ การต่อสู้โค่นอำมาตย์ หลัง 19 กันยายน
" ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนนราชดำเนิน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย"
ประธาน นปช. เล่าว่า มีธุรกิจร้านอาหารไทยในชนบท ประเทศอังกฤษ 2 แห่ง โดยภริยาคือ คุณศรีวิไล เป็นคนดูแลกิจการ เป็นร้านอาหารที่ฝรั่งติดอกติดใจ แม้ว่า ปีที่แล้ว จะได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจในยุโรป
" ผมอยากพักเต็มที่แล้ว ต่อสู้กลางแดด มาหลายวัน มันเหนื่อยนะคุณ คอผมแตกไปแล้ว เสียงแหบสนิท "
"วีระ" เล่าว่า ลูกสามคน ไม่ใครชอบการเมือง เพราะเคยเห็นพ่อติดคุกที่บุรีรัมย์ ลูกวิ่งเล่นอยู่ในเรือนจำ ...วันนี้ลูกของผมเป็นนักดนตรี เขามีความสุข
นักข่าว ถามประธาน นปช. แบบตรงประเด็นว่า การยกระดับการต่อสู้ วันเสาร์ที่ 3 เมษายน นี้ จะรุนแรงไหม
คำตอบคือ "ผมยึดหลัก สันติ อหิงสา ถ้าแกนนำ นปช. อยากชนะศึก โดยการใช้ความรุนแรง ผมเลิก...กลับบ้านทันที"
" ผมเปรียบเทียบการต่อสู้ ของกลุ่มคนเสื้อแดง เหมือนขบวนรถไฟจาก เชียงใหม่ มุ่ง สู่หัวลำโพง อันเป็นสถานีสุดท้ายที่หมายถึงชัยชนะ เราวิ่งมาจากเชียงใหม่ ได้รับการยอมรับตลอดเส้นทาง ว่า เราไม่ใช้ความรุนแรง แต่พอขบวนรถไฟ วิ่งมาถึง สถานีบางซื่อ ถ้าเสื้อแดงบอกว่า ต้องยกระดับการต่อสู้ ใช้ความรุนแรงต่อสู้ เพื่อต้องการชนะศึก ผมบอกไว้เลยว่า ผมลงสถานีบางซื่อ ทันที ผมกลับบ้านเลย ไม่ชนะ ก็ไม่เป็นไร ผมกลับบ้าน "
ก่อนหน้านี้ การเจรจา ระหว่าง รัฐบาล กับ แกนนำ นปช. 2 นัดที่ผ่านมา
"วีระ มุสิกพงศ์" ได้รับการยอมรับว่า นิ่ง และมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด
"ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม" นักสันติวิธี ให้เครดิตประธาน นปช. วัย 62 ปีว่า " ทำได้ดี น่าพอใจ และน่าชื่นชม "
ขณะที่ในโลกไซเบอร์ " น.พ. เหวง โตจิราการ" มีภาพติดลบไปทันที จนกลายเป็นที่มาของการบัญญัติศัพท์ใหม่ ของคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และพูดจา วกวน ว่า พูดแบบเหวงๆ
ประธาน นปช. เล่าให้ฟังว่า " เขาให้ไปเจรจา ผมก็ไปเจรจา ไม่ได้ไปทะเลาะ ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ถ้าเสื้อแดงไม่พอใจ ผมก็เลิก เท่านั้น "
นักข่าว ถามว่า การเจรจา รอบ 3 เกิดขึ้นได้หรือไม่
คำตอบคือ " เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
" นาทีนี้ ข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่นอน แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน "
ถอดรหัสง่ายๆ ก็คือ อาจเป็นการต่อรอง ประเด็นห้วงเวลา การยุบสภา ใน 2 ช่วงเวลาคือ 3 เดือน หรือ 6 เดือน
แต่ทุกสูตร ไม่ว่า จะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน ต้อง บวก 45 วันช่วงรัฐบาลรักษาการ เข้าไปด้วย
ประธาน นปช. วิเคราะห์ จุดอ่อนของการ ถ่ายทอดสด ระหว่างการเจรจาก็คือ " คนเจรจา ไม่ได้ สนใจ คู่เจรจา ที่อยู่ตรงหน้า แต่พวกนี้ ต้องการพูดกับแฟนที่รอดู รอฟังทั่วประเทศ คนเจรจา จะไม่สนใจคู่เจรจา "
นักข่าวถามประธานนปช. แบบตรงๆว่า ขณะเจรจา มี"ทักษิณ" เป็นวาระซ่อนเร้น อยู่หรือไม่
คำตอบคือ " ผมหูหนวก ตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น "
ประธาน นปช. กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยุบสภา เสื้อแดงกลับบ้าน ผมจะไปต่อหนังสือเดินทางทันที อยากพักผ่อนเต็มที่แล้ว(ครับ )
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************
กระทรวงสาธารณสุข
นับตั้งแต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. หรือม็อบเสื้อแดง รวมตัวชุมนุมทางการเมือง เพื่อกดดันรัฐบาลยุบสภา เมื่อวันที่ 13 มี.ค.
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาลได้ตามปกติ เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาความปลอดภัย และหวั่นว่าจะเป็นการท้าทายทำให้เกิดเหตุบานปลายขึ้น
แกนนำรัฐบาล และผู้นำทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ประชุมหารือกันก่อนตัดสินใจเลือกกระทรวงสาธารณสุข เป็นสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราวมาแล้ว 2 ครั้ง
เนื่องจากเห็นว่าสถานที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวกเข้า-ออกได้หลายช่องทาง ง่ายต่อการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย และใกล้กับร.11 รอ. เซฟเฮาส์ นายกฯ และผู้นำเหล่าทัพ
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งอยู่ถนนติวานนท์ แยกแคราย ในเขตจ.นนทบุรี
พื้นที่รวมกว่า 500 ไร่ มีอาคารสำนักงาน 13 อาคาร
ทิศเหนือใกล้ถนนงามวงศ์วาน ทิศตะวันออกใกล้ทางด่วนขั้นที่ 2 ทิศตะวันตกติดถนนติวานนท์ สามารถเข้า-ออกได้ถึง 5 ประตู
ตามปกติประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงจะใช้เส้นทางภายในกระทรวงสาธารณสุขเป็นเส้นทางลัด ระหว่างถนนติวานนท์-งามวงศ์วาน และใช้เป็นเส้นทางขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ทำให้ในแต่ละวันมีปริมาณการจราจรบริเวณรอบๆ หนาแน่น
ประตูแต่ละด้านไม่ติดถนนใหญ่ ช่วยให้ควบคุมการเข้า-ออกได้อย่างดี
ในที่ตั้งของกระทรวงสาธารณสุข จะมีบ้านพักอาศัย และสถานที่ราชการอื่นๆ เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลบำราศนราดูร สำนักงานประกันสังคม ตั้งอยู่รายรอบ เหมือนเป็นด่านหน้าป้อมปราการแรก
สถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงใช้อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่กึ่งกลางของกระทรวง มีอาคารกรมกองอื่นๆ ขนาบรอบข้าง
หากนับระยะจากประตูทางเข้ามาถึงอาคารที่ประชุม มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ส่วนห้องประชุมครม. ใช้ห้องชัยนาทนเรนทร ชั้น 2 เป็นสถานที่ประชุม ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอรองรับครม.และผู้ติดตามทั้งหมด
ภายในบริเวณกระทรวงยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ และสนามหญ้าใกล้ๆ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ และยานยนต์สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้
วันอังคารที่ 23 มี.ค. นายอภิสิทธิ์เข้ามาทำหน้าที่ประธานการประชุมครม. ฝ่ายความมั่นคงนำเฮลิคอปเตอร์ มาจอดรอไว้ด้วย
นอกเหนือจากจากกำลังทหาร ตำรวจหลายกองร้อย พร้อมอุปกรณ์ต่อต้านและปราบจลาจลชนิดเต็มอัตราศึก
แต่ถึงการประชุมครม.ครั้งนั้นผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย
ทว่าหลังนายกฯ และครม.ทยอยเดินทางออกจากสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว ก็เกิดเหตุคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ตกลงมาบริเวณกรมสุขภาพจิต ภายในกระทรวงสาธารณสุข ถึง 2 ลูก
สันนิษฐานว่าคนร้ายยิงมาจากบนทางด่วนด้านข้างกระทรวง
การประชุมครม. วันอังคารที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนแรกรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงเลือกประชุมใน ร.11 รอ.
แต่เมื่อนายกฯ ได้มีโอกาสเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับแกนนำนปช.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาการนายกฯ จึงตัดสินใจกลับไปประชุมครม.ที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง
การประชุมผ่านไปได้ด้วยความเรียบร้อย เพราะด้วยสภาพชัยภูมิที่ตั้ง และมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
โดยอุดช่องโหว่จุดอ่อนต่างๆ ไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอยขึ้นอีก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
***********************************************
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาลได้ตามปกติ เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาความปลอดภัย และหวั่นว่าจะเป็นการท้าทายทำให้เกิดเหตุบานปลายขึ้น
แกนนำรัฐบาล และผู้นำทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ประชุมหารือกันก่อนตัดสินใจเลือกกระทรวงสาธารณสุข เป็นสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราวมาแล้ว 2 ครั้ง
เนื่องจากเห็นว่าสถานที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวกเข้า-ออกได้หลายช่องทาง ง่ายต่อการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย และใกล้กับร.11 รอ. เซฟเฮาส์ นายกฯ และผู้นำเหล่าทัพ
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งอยู่ถนนติวานนท์ แยกแคราย ในเขตจ.นนทบุรี
พื้นที่รวมกว่า 500 ไร่ มีอาคารสำนักงาน 13 อาคาร
ทิศเหนือใกล้ถนนงามวงศ์วาน ทิศตะวันออกใกล้ทางด่วนขั้นที่ 2 ทิศตะวันตกติดถนนติวานนท์ สามารถเข้า-ออกได้ถึง 5 ประตู
ตามปกติประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงจะใช้เส้นทางภายในกระทรวงสาธารณสุขเป็นเส้นทางลัด ระหว่างถนนติวานนท์-งามวงศ์วาน และใช้เป็นเส้นทางขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ทำให้ในแต่ละวันมีปริมาณการจราจรบริเวณรอบๆ หนาแน่น
ประตูแต่ละด้านไม่ติดถนนใหญ่ ช่วยให้ควบคุมการเข้า-ออกได้อย่างดี
ในที่ตั้งของกระทรวงสาธารณสุข จะมีบ้านพักอาศัย และสถานที่ราชการอื่นๆ เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลบำราศนราดูร สำนักงานประกันสังคม ตั้งอยู่รายรอบ เหมือนเป็นด่านหน้าป้อมปราการแรก
สถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงใช้อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่กึ่งกลางของกระทรวง มีอาคารกรมกองอื่นๆ ขนาบรอบข้าง
หากนับระยะจากประตูทางเข้ามาถึงอาคารที่ประชุม มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ส่วนห้องประชุมครม. ใช้ห้องชัยนาทนเรนทร ชั้น 2 เป็นสถานที่ประชุม ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอรองรับครม.และผู้ติดตามทั้งหมด
ภายในบริเวณกระทรวงยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ และสนามหญ้าใกล้ๆ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ และยานยนต์สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้
วันอังคารที่ 23 มี.ค. นายอภิสิทธิ์เข้ามาทำหน้าที่ประธานการประชุมครม. ฝ่ายความมั่นคงนำเฮลิคอปเตอร์ มาจอดรอไว้ด้วย
นอกเหนือจากจากกำลังทหาร ตำรวจหลายกองร้อย พร้อมอุปกรณ์ต่อต้านและปราบจลาจลชนิดเต็มอัตราศึก
แต่ถึงการประชุมครม.ครั้งนั้นผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย
ทว่าหลังนายกฯ และครม.ทยอยเดินทางออกจากสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว ก็เกิดเหตุคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ตกลงมาบริเวณกรมสุขภาพจิต ภายในกระทรวงสาธารณสุข ถึง 2 ลูก
สันนิษฐานว่าคนร้ายยิงมาจากบนทางด่วนด้านข้างกระทรวง
การประชุมครม. วันอังคารที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนแรกรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงเลือกประชุมใน ร.11 รอ.
แต่เมื่อนายกฯ ได้มีโอกาสเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับแกนนำนปช.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาการนายกฯ จึงตัดสินใจกลับไปประชุมครม.ที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง
การประชุมผ่านไปได้ด้วยความเรียบร้อย เพราะด้วยสภาพชัยภูมิที่ตั้ง และมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
โดยอุดช่องโหว่จุดอ่อนต่างๆ ไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอยขึ้นอีก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
***********************************************
วิชาอำมาตย์!!??
เพียงแค่วันสองวันหลังจากการเจรจารัฐบาล-เสื้อแดงล่ม ก็มีการปั่นคำศัพท์ว่า "เหวง" ให้กลายเป็นคำที่ส่อไปในทางไร้สาระหรือก่อกวน
ชื่อ "ตู่" ของจตุพร พรหมพันธุ์ ก็พลอยโดนไปด้วย
สื่อต่างๆ ที่เอาใจช่วยรัฐบาลก็พร้อมใจรับลูกเอาไปขยายต่อ อย่างมีชั้นเชิงบ้าง เนียนบ้าง ทื่อบ้างตามพื้นฐานของแต่ละคนแต่ละฉบับ
ทีวีช่องหนึ่งก็ตาลีตา เหลือก ไปรูดเอาเนื้อจากอินเตอร์เน็ต หยิบเอาศัพท์มาขยาย ให้ความสำคัญระดับเป็นสกู๊ปร่วมๆ สองนาทีเลยทีเดียว
ไม่มีการประเมินเลยว่า ศัพท์ที่ว่านี้ ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้เรื่องด้วยไหม ไม่ประเมินเลยว่าที่ว่าฮิตอยู่ตามเฟซบุ๊กหรือเว็บบอร์ดต่างๆ นั้น เป็นความนิยมโดยธรรมชาติหรือมีใครปั่นขึ้นมา
ในทางการเมือง วิธีการอย่างนี้เป็นเทคนิคทำลายความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ทางการเมือง
พูดถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง 2 วันที่ผ่านไป มีข้อดีและจุดอ่อน
เช่น การโต้เถียงหรือการใช้เวลาพูดแบบอภิปราย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า เกิดขึ้นเพราะมีการถ่ายทอดสด และไม่มี "คนกลาง" ทำหน้าที่คุมประเด็น
จึงมีการเสนอกันว่า การเจรจารอบต่อไป หากจะมีขึ้นอาจไม่ต้องถ่ายทอด และต้องมีคนกลางดูแล
กรณีหมอเหวงกับจตุพร เป็นความพยายามที่จะใช้โอกาสที่มีการถ่ายทอดสด นำเสนอประเด็นที่หมอเหวงกับจตุพรรู้สึกว่าถูกปิดกั้นและไปไม่ถึงประชาชนวงกว้าง
ถ้ามีคนกลางอยู่ด้วยอาจจะตัดบทได้ว่า ให้นายกฯ รับเอาไปก่อน แล้วค่อยไปออกทีวีชี้แจงคนเดียว 3 ชั่วโมงไปเลยก็ได้
แต่พอไม่มี คนไทยก็เลยได้เห็นนายกฯ หน้าดำหน้าแดงกับเรื่องที่ไม่ควรต้องมาเถียงกัน และหมอเหวงยังได้เตือนนายกฯ ในเรื่องนี้ด้วย
กรณีหมอเหวงที่กล่าวถึงปัญหาทางชนชั้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่นักวิชาการรู้และหนักใจกันทั้งนั้น
แต่สังคมไทยเหินห่างจากแนวคิดแบบนี้มานาน ก็เลยไม่เข้าใจ เมื่อ ไม่เข้าใจก็กล่าวหาว่าเพ้อเจ้อไร้สาระ
การเจรจา 2 วันนั้น คนเสื้อแดงได้ส่งสารหลายอย่างที่สังคมไทยบางส่วนไม่รู้และไม่พยายามเข้าใจ
แถมยังยอมเป็นเหยื่อ "วิชามาร" หมูๆ โดยคิดว่าเท่เสียเต็มประดาอีกซะล่วย!!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย.คาดเชือก คาถาพัน
*****************************************************
ชื่อ "ตู่" ของจตุพร พรหมพันธุ์ ก็พลอยโดนไปด้วย
สื่อต่างๆ ที่เอาใจช่วยรัฐบาลก็พร้อมใจรับลูกเอาไปขยายต่อ อย่างมีชั้นเชิงบ้าง เนียนบ้าง ทื่อบ้างตามพื้นฐานของแต่ละคนแต่ละฉบับ
ทีวีช่องหนึ่งก็ตาลีตา เหลือก ไปรูดเอาเนื้อจากอินเตอร์เน็ต หยิบเอาศัพท์มาขยาย ให้ความสำคัญระดับเป็นสกู๊ปร่วมๆ สองนาทีเลยทีเดียว
ไม่มีการประเมินเลยว่า ศัพท์ที่ว่านี้ ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้เรื่องด้วยไหม ไม่ประเมินเลยว่าที่ว่าฮิตอยู่ตามเฟซบุ๊กหรือเว็บบอร์ดต่างๆ นั้น เป็นความนิยมโดยธรรมชาติหรือมีใครปั่นขึ้นมา
ในทางการเมือง วิธีการอย่างนี้เป็นเทคนิคทำลายความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ทางการเมือง
พูดถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง 2 วันที่ผ่านไป มีข้อดีและจุดอ่อน
เช่น การโต้เถียงหรือการใช้เวลาพูดแบบอภิปราย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า เกิดขึ้นเพราะมีการถ่ายทอดสด และไม่มี "คนกลาง" ทำหน้าที่คุมประเด็น
จึงมีการเสนอกันว่า การเจรจารอบต่อไป หากจะมีขึ้นอาจไม่ต้องถ่ายทอด และต้องมีคนกลางดูแล
กรณีหมอเหวงกับจตุพร เป็นความพยายามที่จะใช้โอกาสที่มีการถ่ายทอดสด นำเสนอประเด็นที่หมอเหวงกับจตุพรรู้สึกว่าถูกปิดกั้นและไปไม่ถึงประชาชนวงกว้าง
ถ้ามีคนกลางอยู่ด้วยอาจจะตัดบทได้ว่า ให้นายกฯ รับเอาไปก่อน แล้วค่อยไปออกทีวีชี้แจงคนเดียว 3 ชั่วโมงไปเลยก็ได้
แต่พอไม่มี คนไทยก็เลยได้เห็นนายกฯ หน้าดำหน้าแดงกับเรื่องที่ไม่ควรต้องมาเถียงกัน และหมอเหวงยังได้เตือนนายกฯ ในเรื่องนี้ด้วย
กรณีหมอเหวงที่กล่าวถึงปัญหาทางชนชั้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่นักวิชาการรู้และหนักใจกันทั้งนั้น
แต่สังคมไทยเหินห่างจากแนวคิดแบบนี้มานาน ก็เลยไม่เข้าใจ เมื่อ ไม่เข้าใจก็กล่าวหาว่าเพ้อเจ้อไร้สาระ
การเจรจา 2 วันนั้น คนเสื้อแดงได้ส่งสารหลายอย่างที่สังคมไทยบางส่วนไม่รู้และไม่พยายามเข้าใจ
แถมยังยอมเป็นเหยื่อ "วิชามาร" หมูๆ โดยคิดว่าเท่เสียเต็มประดาอีกซะล่วย!!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย.คาดเชือก คาถาพัน
*****************************************************
ยุบสภาได้อะไร!!??
ถกเถียงกันยังไม่หยุดว่า...
ระหว่าง รัฐบาล นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ แกนนำ “นปช.” ที่ปะทะคารมกันสองวัน...
ในเรื่องการเจรจา “ต่อ-รอง”ของ “คนเสื้อแดง” เพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”
ซึ่งบัดนี้ได้ถูก “ล้มโต๊ะ”ไปเรียบร้อย...
เพราะพูดกันคนละภาษาแต่...
ก็ยังมีหลายท่านอยากรู้ผลว่าในการ “เจรจา”ที่ผ่านมานั้น...
“ใครได้-ใครเสีย” หรือ “ใครแพ้ -ใครชนะ”!!
อันนี้ตอบยากส์ครับท่านก็ต้องแล้วแต่ว่า “ใครเชียร์ใคร”!!
ฝ่าย“เชียร์รัฐบาล” ก็บอกว่า “อภิสิทธิ์” พูดจาไพเราะระรื่นหูหมดจดชัดเจน!!
ในทางตรงกันข้าม“คนเสื้อแดง”บอกว่า วันนั้น “อภิสิทธิ์” ถูก“จตุพร พรหมพันธุ์” จับแก้ผ้าเรียบร้อย..
ทั้ง ไฝ ฝ้า รอยกระด่างกระดำ เป็นปื้นนั้นมีอยู่ตรงไหนบ้างตบะแตก“น็อตหลุด”
เพราะทั้ง ถูก“แยง”
และ “แหย่” จาก มนุษย์หัวเขียง ถึงขนาด “หมอเหวง” ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามยังต้องช่วยเตือนสติว่า
“อภิสิทธิ์”ซึ่งในขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกฯ อะไรควรไม่ควร น่าจะ “นิ่ง” มากกว่านี้
กว่าจะเรียก สมาธิ และ สติ กลับคืนมาได้..
ต้องใช้เวลาปั้นหน้าหล่อนานพอสมควร
เพราะลืมตัวไปว่านี่คือ การออกรายการสด
ไม่ใช่รายการที่เคยออกมาเป็นประจำทุกอาทิตย์ “เวทีนี้จึงไม่มีพี่เลี้ยง”!!
ที่สำคัญคือขาด“เตี้ย รำเต้ย” ที่จะมาช่วยยืนคอย “กำกับ”และ“ตกแต่งเวที” พร้อมทั้งบริการเช็ดเหงื่อให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ส่ง SMS คอย “ป้อนข้อมูล”มา
แก้เกมให้เป็น ระยะ ระยะ เท่านั้นโอ..ทีมเวิร์คกันจริงๆ โว้ย!!
จากนั้นวันเดียว “ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์” ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนชาวกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล..
ผลสรุปคือให้ “อภิสิทธิ์” ออก และ “ยุบสภา” สูงถึง 66% อุแม่เจ้า!
ดังนั้น คำพูดที่ “อภิสิทธิ์” พยายาม ที่จะให้พิสูจน์ว่า “ยุบสภา” แล้วประชาชนได้อะไร??
คำตอบก็เห็นอยู่แล้วนี่ครับ.. “ประชาชน” นั้นได้ชัดๆ..คือได้เห็น รัฐบาล ชุดนี้ พ้นหู-พ้นตาไปซะที!!
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
ระหว่าง รัฐบาล นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ แกนนำ “นปช.” ที่ปะทะคารมกันสองวัน...
ในเรื่องการเจรจา “ต่อ-รอง”ของ “คนเสื้อแดง” เพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”
ซึ่งบัดนี้ได้ถูก “ล้มโต๊ะ”ไปเรียบร้อย...
เพราะพูดกันคนละภาษาแต่...
ก็ยังมีหลายท่านอยากรู้ผลว่าในการ “เจรจา”ที่ผ่านมานั้น...
“ใครได้-ใครเสีย” หรือ “ใครแพ้ -ใครชนะ”!!
อันนี้ตอบยากส์ครับท่านก็ต้องแล้วแต่ว่า “ใครเชียร์ใคร”!!
ฝ่าย“เชียร์รัฐบาล” ก็บอกว่า “อภิสิทธิ์” พูดจาไพเราะระรื่นหูหมดจดชัดเจน!!
ในทางตรงกันข้าม“คนเสื้อแดง”บอกว่า วันนั้น “อภิสิทธิ์” ถูก“จตุพร พรหมพันธุ์” จับแก้ผ้าเรียบร้อย..
ทั้ง ไฝ ฝ้า รอยกระด่างกระดำ เป็นปื้นนั้นมีอยู่ตรงไหนบ้างตบะแตก“น็อตหลุด”
เพราะทั้ง ถูก“แยง”
และ “แหย่” จาก มนุษย์หัวเขียง ถึงขนาด “หมอเหวง” ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามยังต้องช่วยเตือนสติว่า
“อภิสิทธิ์”ซึ่งในขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกฯ อะไรควรไม่ควร น่าจะ “นิ่ง” มากกว่านี้
กว่าจะเรียก สมาธิ และ สติ กลับคืนมาได้..
ต้องใช้เวลาปั้นหน้าหล่อนานพอสมควร
เพราะลืมตัวไปว่านี่คือ การออกรายการสด
ไม่ใช่รายการที่เคยออกมาเป็นประจำทุกอาทิตย์ “เวทีนี้จึงไม่มีพี่เลี้ยง”!!
ที่สำคัญคือขาด“เตี้ย รำเต้ย” ที่จะมาช่วยยืนคอย “กำกับ”และ“ตกแต่งเวที” พร้อมทั้งบริการเช็ดเหงื่อให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ส่ง SMS คอย “ป้อนข้อมูล”มา
แก้เกมให้เป็น ระยะ ระยะ เท่านั้นโอ..ทีมเวิร์คกันจริงๆ โว้ย!!
จากนั้นวันเดียว “ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์” ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนชาวกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล..
ผลสรุปคือให้ “อภิสิทธิ์” ออก และ “ยุบสภา” สูงถึง 66% อุแม่เจ้า!
ดังนั้น คำพูดที่ “อภิสิทธิ์” พยายาม ที่จะให้พิสูจน์ว่า “ยุบสภา” แล้วประชาชนได้อะไร??
คำตอบก็เห็นอยู่แล้วนี่ครับ.. “ประชาชน” นั้นได้ชัดๆ..คือได้เห็น รัฐบาล ชุดนี้ พ้นหู-พ้นตาไปซะที!!
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
สีชมพู เสื้อเหลืองแปลงกาย จะแปลงกายังไง ก็พวก "อำมาตย์นิยม" นั่นเอง
อันที่จริงการต่อสู้ทางการเมือง มันไม่มีสี สีเป็นสิ่งที่สมมุติกันขึ้นเท่านั้นเอง แทนอุดมการณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง พวกที่ต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย ต้องการประชาธิปไตย ใช้สีแทนกลุ่มของตน คือ "สีแดง" หากจะเรียกอุดมการณ์ก็น่าจะแทนแนวคิด "เสรีประชาธิปไตย (อุดมการณ์ทางการเมือง ส่วนแนวคิดทางเศรษฐกิจอาจเป็นเสรีนิยม หรือโซเชียลลิตก็ได้)
ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกอำมาตยาธิปไตย สนับสนุนคนชั้นสูงและกลุ่มอำนาจเก่าทางสังคม เป็นพวกนิยมเจ้าหรือ Royalist เคยมีอุดมการณ์สุดโต่งถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แนวคิดถวายคืนอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็คือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กลุ่มพวกนี้ อุดมการณ์ทางการเมืองคือ "อนุรักษ์นิยม" แต่ก่อนใช่ "สีเหลือง" แทนพวกของตน
มีพวกหนึ่งพยายามใช้สีขาว แต่ถูกจับได้ว่า ไม่ใช่ ขาวจริง แต่เป็นพวก "เหลืองปลอมตัวมา" เช่น พวกปริญญา เทวานิรมิตรกุล เป็นต้น พวกนี้อาจไม่ใช่ พวก พธม. แต่แนวคิดคือ "อนุรักษ์นิยม" เป็นเครือข่ายหนึ่งของอำมาตย์
สีขาวจริงๆ ในเมืองไทยตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็น ไม่ว่า ประเวศ วะสี หรือ โคทม อารียา พวกนี้เหลืองแปลงตัวมาทั้งสิ้น
สีเหลืองผิดพลาดในการยึดสนามบิน ทำให้ กลายเป็น "จุดด่าง" ของพวกเสื้อเหลือง
เมื่อพวก "เสื้อแดง" เข็มแข็งขึ้น ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวก "อำมาตย์ก็พยายามปลุกมวลชนสู้ มวลชนที่เป็นมี "อุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม" ก็ละอายที่จะใส่เสื้อเหลือง
ก็เลยพยายามแปลงกายเสียใหม่ เป็น "เสื้อชมพู"
แต่เนื้อแท้ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นพวก "เสื้่อเหลือง" นั่นเอง
การเมืองไทยตอนนี้สรุปคือ "ไพร่ VS อำมาตย์"
ไพร่ ใช้ สีแดง
อำมมาตย์ละอายที่จะใช้ สีเหลือง ก็เลยพยายามแปลงกายเป็นเสื้่อสีชมพู
แปลงกายยังไงมันก็พวกเดิมนั่นแหละ
ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
โดย.ลูกชาวนาไทย
**********************************************
ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกอำมาตยาธิปไตย สนับสนุนคนชั้นสูงและกลุ่มอำนาจเก่าทางสังคม เป็นพวกนิยมเจ้าหรือ Royalist เคยมีอุดมการณ์สุดโต่งถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แนวคิดถวายคืนอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็คือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กลุ่มพวกนี้ อุดมการณ์ทางการเมืองคือ "อนุรักษ์นิยม" แต่ก่อนใช่ "สีเหลือง" แทนพวกของตน
มีพวกหนึ่งพยายามใช้สีขาว แต่ถูกจับได้ว่า ไม่ใช่ ขาวจริง แต่เป็นพวก "เหลืองปลอมตัวมา" เช่น พวกปริญญา เทวานิรมิตรกุล เป็นต้น พวกนี้อาจไม่ใช่ พวก พธม. แต่แนวคิดคือ "อนุรักษ์นิยม" เป็นเครือข่ายหนึ่งของอำมาตย์
สีขาวจริงๆ ในเมืองไทยตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็น ไม่ว่า ประเวศ วะสี หรือ โคทม อารียา พวกนี้เหลืองแปลงตัวมาทั้งสิ้น
สีเหลืองผิดพลาดในการยึดสนามบิน ทำให้ กลายเป็น "จุดด่าง" ของพวกเสื้อเหลือง
เมื่อพวก "เสื้อแดง" เข็มแข็งขึ้น ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวก "อำมาตย์ก็พยายามปลุกมวลชนสู้ มวลชนที่เป็นมี "อุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม" ก็ละอายที่จะใส่เสื้อเหลือง
ก็เลยพยายามแปลงกายเสียใหม่ เป็น "เสื้อชมพู"
แต่เนื้อแท้ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นพวก "เสื้่อเหลือง" นั่นเอง
การเมืองไทยตอนนี้สรุปคือ "ไพร่ VS อำมาตย์"
ไพร่ ใช้ สีแดง
อำมมาตย์ละอายที่จะใช้ สีเหลือง ก็เลยพยายามแปลงกายเป็นเสื้่อสีชมพู
แปลงกายยังไงมันก็พวกเดิมนั่นแหละ
ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
โดย.ลูกชาวนาไทย
**********************************************
ซื้อเวลา
ความห่วงใยต่อ สถานการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมขับไล่ รัฐบาลของคนเสื้อแดง ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะ ยืดเยื้อ นอกจากนี้ เหตุระเบิดแต่ละครั้งยังจับมือใครดมไม่ได้ จนเป็นที่สันนิษฐานกันว่า คนร้ายที่ออกมาสร้างความวุ่นวายน่าจะเป็นคนมี สีด้วยกันเอง
ขนาดกลางวันแสกๆยังสามารถใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามต่อสังคมว่า คนมีสีเหล่านี้เป็นคนสีไหน จะแดง จะเขียว จะเหลือง หรือจะสีน้ำเงิน
หรือมือที่สามที่มองไม่เห็น
ตำรวจทหารที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในส่วนของความมั่นคงอึกๆอักๆ ไม่รู้ไปเจอตออะไรเข้า วันนี้ไม่รู้เกิดเหตุระเบิดก็สิบครั้งแล้วในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วนับสิบราย ทรัพย์สินเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถามว่าใครรับผิดชอบ
ใน ศอ.รส.จะมองเห็นสัญญาณอันตรายจุดนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้ง ที่ประชุม ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์แล้ว จึงมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจพกพาอาวุธในการปฏิบัติการ
โดยมีเงื่อนไขว่า ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมจะไม่มีใครพกอาวุธเด็ดขาด (มีการจับได้ว่าทหารที่เข้าไปหาข่าวในพื้นที่การชุมนุมพกอาวุธปืนเข้าไปด้วย) ยกเว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหาร สถานที่สำคัญ และบุคคลสำคัญจึงจะพกอาวุธ (ปฏิบัติกันเป็นภารกิจปกติอยู่แล้ว) มีการพกอาวุธประจำกายทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดล่อแหลมไว้ 88 จุด จุดตรวจ 112 จุด และลาดตระเวนใน 93 เส้นทาง
ถามว่าเพื่อความปลอดภัยของรัฐหรือของประชาชน
การซื้อเวลาของรัฐบาลไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยงเรื่องเวลาว่าจะยุบสภาตอนไหนดี ไม่ใช่มาเถียงกันว่า จะต้องแก้กฎกติกาก่อนหรือไม่ ไม่ต้องมาต่อรองหรือท้าทายว่า จะทำประชามติว่ายุบหรือไม่ยุบสภาดีหรือไม่
แทงกั๊กปาหี่ไปเรื่อยๆ
เพราะความจริงก็คือ รัฐบาลยุบสภาไม่ได้อยู่แล้ว การเจรจาไม่ต่างจากปาหี่การเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ของปัญหาเป็นอย่างไร และถ้ารัฐบาลแพ้เที่ยวนี้ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทกันสุดความสามารถที่จะยื้อเวลาให้ครบวาระหรืออย่างน้อยก็ให้เกินเดือนตุลาคมไปให้ได้ ทั้งงบประมาณ ทั้งการโยกย้ายกำลังที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งจะต้องพร้อม
ดังนั้น ถ้ามีแรงกดดันให้ยุบสภาก่อนเดือนตุลาคมภายใน 15 วัน หรือ 3 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้และ เป็นเงื่อนตาย ที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าค้ำยันอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
หมัดเหล็ก ไทยรัฐ
*********************************************
ขนาดกลางวันแสกๆยังสามารถใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามต่อสังคมว่า คนมีสีเหล่านี้เป็นคนสีไหน จะแดง จะเขียว จะเหลือง หรือจะสีน้ำเงิน
หรือมือที่สามที่มองไม่เห็น
ตำรวจทหารที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในส่วนของความมั่นคงอึกๆอักๆ ไม่รู้ไปเจอตออะไรเข้า วันนี้ไม่รู้เกิดเหตุระเบิดก็สิบครั้งแล้วในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วนับสิบราย ทรัพย์สินเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถามว่าใครรับผิดชอบ
ใน ศอ.รส.จะมองเห็นสัญญาณอันตรายจุดนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้ง ที่ประชุม ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์แล้ว จึงมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจพกพาอาวุธในการปฏิบัติการ
โดยมีเงื่อนไขว่า ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมจะไม่มีใครพกอาวุธเด็ดขาด (มีการจับได้ว่าทหารที่เข้าไปหาข่าวในพื้นที่การชุมนุมพกอาวุธปืนเข้าไปด้วย) ยกเว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหาร สถานที่สำคัญ และบุคคลสำคัญจึงจะพกอาวุธ (ปฏิบัติกันเป็นภารกิจปกติอยู่แล้ว) มีการพกอาวุธประจำกายทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดล่อแหลมไว้ 88 จุด จุดตรวจ 112 จุด และลาดตระเวนใน 93 เส้นทาง
ถามว่าเพื่อความปลอดภัยของรัฐหรือของประชาชน
การซื้อเวลาของรัฐบาลไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยงเรื่องเวลาว่าจะยุบสภาตอนไหนดี ไม่ใช่มาเถียงกันว่า จะต้องแก้กฎกติกาก่อนหรือไม่ ไม่ต้องมาต่อรองหรือท้าทายว่า จะทำประชามติว่ายุบหรือไม่ยุบสภาดีหรือไม่
แทงกั๊กปาหี่ไปเรื่อยๆ
เพราะความจริงก็คือ รัฐบาลยุบสภาไม่ได้อยู่แล้ว การเจรจาไม่ต่างจากปาหี่การเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ของปัญหาเป็นอย่างไร และถ้ารัฐบาลแพ้เที่ยวนี้ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทกันสุดความสามารถที่จะยื้อเวลาให้ครบวาระหรืออย่างน้อยก็ให้เกินเดือนตุลาคมไปให้ได้ ทั้งงบประมาณ ทั้งการโยกย้ายกำลังที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งจะต้องพร้อม
ดังนั้น ถ้ามีแรงกดดันให้ยุบสภาก่อนเดือนตุลาคมภายใน 15 วัน หรือ 3 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้และ เป็นเงื่อนตาย ที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าค้ำยันอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
หมัดเหล็ก ไทยรัฐ
*********************************************
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
สมาคมนักข่าวฯเปิดเวที"วีระ มุสิกพงศ์"ยันเรื่องประโยชน์ชาติคุยได้ตลอดเวลา-หา"เวลากลาง"ยุบสภา

เมื่อวันที่ 1 เมษายน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง “เนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤตความขัดแย้ง”
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เสนอแก้วิกฤตความขัดแย้งด้วยยุทธศาสตร์ถนน 3 สาย ได้แก่
1. แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างการเมืองแบบร่วมคิดร่วมทำ
2. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สิน และปัญหาความยากจน แบบบูรณาการยั่งยืน
3. คือ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม และสร้างความเป็นมิตรไมตรีในสังคม
อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า การแก้วิกฤตการเมือง น่าจะมีบุคลากรทั้งจากรัฐบาลและ นปช. มาร่วมทำการบ้าน จะเจอกันในรอบหรือนอกรอบก็ได้ในระดับคนทำงาน ร่วมคิดร่วมทำสรุปเนื้อหาที่พอใจร่วมกัน โดยมีกระบวนการจัดการหารือที่ดี สร้างทัศนคติ อารมณ์ มุมมองร่วมกันให้ชัดเจน ยอมรับซึ่งกันและกัน
“คนที่พูดคุยกัน คือ คนจากทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลกับ นปช. เพราะประชาชนทั้งประเทศยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาล ยิ่งใหญ่กว่านปช.”
นายไพบูลยืกล่าวว่า คิดว่า วิกฤตประเทศไทยวันนี้ให้กำไรกับสังคมไทย เรียนรู้ความก้าวหน้าของสังคมไทย ในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้และการจัดการบรรทัดฐานการชุมนุมสาธารณะ หรือการเรียนรู้ความคิดเห็นอันหลากหลายจากประชาชนหลายกลุ่ม
นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ปัญหาของประเทศวันนี้อยู่ที่การยึดอำนาจ และไม่ให้เวลาประชาชนในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ฉะนั้น ข้อเสนอกลุ่มนปช.หลักการก็คือ ยุบสภาคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน
“ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็ออยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย”
ต่อข้อถามว่า นปช.และรัฐบาลจะมีการเจรจากันอีกหรือไม่ นายวีระ กล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
นายวีระ ยังกล่าวว่า เมื่อข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่ แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน
นายไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวว่า สังคมไทยวันนี้ มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงสุด อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากในอดีตวกฤตมักจบด้วยความรุนแรง เมื่อมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่วันนี้สังคมก้าวหน้าด้วยแนวทางสันติวิธี
นายไพโรจน์ ยังกล่าวว่า ต้องเข้าในว่าวันนี้สังคมไทยเผชิญกับวิกฤต 2 ด้านใหญ่ 1. คือ เกิดวิกฤตความชอบธรรม ต่อสถาบันทางการเมืองทุกระดับ ทั้งวิกฤตการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลที่ถูกตั้งคำถามว่า มาด้วยความชอบธรรมหรือไม่ หรือองค์กรอิสระวันนี้มีความชอบธรรมหรือเปล่า
นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตการใช้อำนาจ ว่าการใช้อำนาจของสถาบันทางการเมืองวันนี้ใช้โดยชอบหรือไม่ และการตั้งคำถามเรื่องการใช้อำนาจ 2 มาตรฐาน ซึ่งปะทุให้เห็นอย่างชัดเจน
ส่วนวิกฤตที่ 2. คือ วิกฤตความชอบธรรมทางสังคม คือ เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น การเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การถือครองที่ดินของรัฐ ดังเห็นได้จากกรณีปัญหา เขายายเที่ยง หรือ กรณีที่ดินเขาสอยดาว ซึ่งระบบการเมืองตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตความยากจน จนเกิดคำถามจากกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นสงครามชนชั้นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องคิดร่วมกัน
นายไพโรจน์ เสนอว่า ระยะเวลาก่อนยุบสภาหรือหลังยุบสภา ควรมีการแก้ปัญหาหลักๆ คือ เสนอวาระด้านนิติบัญญัติร่างกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และควรปฏิรูปการเมืองสังคมไทยอีกรอบหนึ่ง โดยการเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในระยะยาว
พล.อ. เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เห็นด้วยกับคุยเนื้อหาที่ว่าด้วยการแก้ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจการเมือง และสังคม ส่วนการเจรจา ไม่ควรพูดเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ควรพูดเรื่องการแก้ปัญหาในอนาคต และไม่นิยมความรุนแรง
“ผมเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายยังต้องการพูดคุยร่วมกัน เพราะการทิ้งไว้นานจนเกินไป สถานการณ์อาจผกผัน เกิดระเบิดลงอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความบานปลายได้” พล.อ. เอกชัย กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)