รสนา โตสิตระกูล วิพากษ์ทางออกประเทศไทย แนะรัฐบาลใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส เปิดเวทีรัฐบาลกับประชาชน ชำแหละรากแห่งปัญหา ความไม่เป็นธรรม เหลื่อมล้ำ ย้ำยุบสภาไม่ช่วยแก้ปัญหา แค่เปลี่ยนหน้ารัฐบาลเท่านั้น "พงษ์เทพ เทพกาญจนา" หนุนยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ใช้รัฐบาลที่มาจากประชาชน แก้ปัญหาโครงสร้างเหลื่อมล้ำ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้มีการจัดแถลงข่าวการจัดงานครคบรอบชาตกาล 110 ปีรัฐบุรุษอาวุโส ปรีดี พนมยงค์ และได้มีการเสวนาเรื่อง "ก้าวข้ามวิกฤตด้วยอภิวัตน์สู่สันติ" ณ ห้องประชุมวรรณไวทยากร ชั้น 1 ตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีวิทยากร คุณรสนา โตสิตระกูล คุณสุนีย์ ไชยรส คุณพงษ์เทพ เทพกาญจนา และคุณวิภา ดาวมณี ให้เกียรติมาร่วมเสวนาครั้งนี้ โดยวงเสวนานี้ถูกจัดขึ้นเพื่อให้ตัวแทนที่มีแนวคิดด้านต่างๆ ได้มาร่วมกันหาแสวงหาทางออกให้กับประเทศไทยผ่านแนวคิดเรื่อง "อภิวัฒน์สู่สันติ" ที่ ดร.ปรีดี พนมยงค์ เคยวางแนวทางไว้
@พงษ์เทพ เทพกาญจนา
นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตสมาชิกพรรคไทยรักรักไทย กล่าวว่า ปัญหาแท้จริงของสังคมไทยในเวลานี้คือ เรื่องการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เป็นธรรม การจัดสรรอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ความแตกต่างด้านการกระจายรายได้ ไม่มีสังคมใดอยู่ได้ ถ้ามีความแตกต่างมากมายขนาดนี้
การเมืองมีการใช้อำนาจนอกระบบเข้าแทรกแซง ตั้งแต่ก่อน 19 กันยายน 2549 องค์กรต่างๆ ถูกแทรกแซง ทั้งๆ ที่ต้องอยู่ตรงกลาง ผลของการช่วงชิงอำนาจเมื่อ 19 กันยายน ได้มีการทำให้เกิดการช่วงชิงอำนาจไปไว้ในกลุ่มคนไม่กี่คน องค์กรอิสระบ้าง ศาลบ้าง มีการเขียนกติกาให้เกิดปัญหา มีระบบตัวแทนมากมาย
ทุกวันนี้คนที่มีบทบาทจริงๆ ทางการเมือง ไม่ได้อยู่ข้างหน้าอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคนที่อยู่ข้างหลัง เพราะคนเหล่านี้เมื่อเกิดเรื่องขึ้น ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องเปิดเผยทรัพย์สิน กลายเป็นเสียอย่างนี้ไป
ทางออกของปัญหานี้ต้องย้อนกลับมาที่คนไทย 60 ล้านกว่าคน ต้องอยู่อย่างมีสติ อย่างมีเหตุผล และจะต้องมีการร่างโครงสร้างการอยู่ร่วมกันใหม่ ปัญหาโรคแทรกอย่างเสื้อเหลือง เสื้อแดง ที่ต่างก็มีชนักติดหลัง มีคดีความ ต้องปลดชนักนี้ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ เคารพกติกาใหม่
ถ้าการบังคับใช้กฎหมายยังคงเป็นแบบนี้ มันก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นจะทำอะไร และใครเป็นคนทำ มันจึงขึ้นกับว่า ต้องเป็นสิ่งที่ต้องทำหลังจากมีการเลือกตั้งใหม่ ได้รับรัฐบาลใหม่มาแล้ว เพื่อมาจัดระเบียบใหม่
@รสนา โตสิตระกูล
รสนา โตสิตระกูล สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงทางออกของปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ท่าน อ.ปรีดี เคยพูดเอาไว้ว่า คำ "อภิวัฒน์" ซึ่งต่างกับปฏิวัติตรงที่ปฏิวัติมีความหมายด้านลบอยู่ แต่อภิวัฒน์คือการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
ในความหมายของ อ.ปรีดี การอภิวัฒน์ ในทางการเมืองนั้น คือการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เกิดประชาธิปไตยสมบูรณ์ ประชาชนมีความป็นอิสราธิปไตย
ประชาธิปไตยภาคการเมืองจะดำรงอยู่ได้ ก็จะต้องวางรากอย่าง ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางสังคมวัฒนธรรมก่อน จึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นซึ่งทั้งหมดนั้นก็ต้องผ่านมาด้วยซึ่งความสุขสมบูรณ์ของราษฎร
แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไป ตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 จุดหมายอย่างหนึ่งซึ่ถูกมองข้ามไปในการเดินขบวนของประชาชนนั้น ใช่เป็นแค่ความต้องการโค่นล้มเผด็จการทหาร แต่เพราะไม่ต้องการนักการเมืองที่ทุจริต คือเรียกร้องธรรมมาภิบาลของนักการเมืองด้วย
ช่วงเวลาตั้งแต่ 2500 เป็นต้นมา ก่อนจะถึง 14 ตุลาคม 2516 นั้น เป็นช่วงบ่มเพาะภาคประชาชน เป็นจุดเริ่มต้น ซึ่งต้องขอบคุณท่าน อ.ปรีดี ซึงพยายยามใช้การศึกษาเป็นตัวผลักดัน
ส่วนเรื่องธรรมภิบาลของนักการเมืองนั้น หากย้อนไปดูแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งงชาติ ฉบับ 1-10 นั้น ต้องยอมรับว่า ไม่มีความสมดุลย์ เน้นภาคอุตสาหกรรม เน้นคนเมือง เน้นคนมั่งมี ซึ่งช่วงเวลา ได้ถ่างให้ช่องว่างถ่างตัว ประชาชนส่วนมากก็ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง
จากยุค เปรม ที่เป็นโลกาภิวัตน์ มากขึ้น ชาติชายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า แต่ทั้งหมดยังห่างไกล
จากช่วงเวลาที่ผ่านมาอาจบอกได้ว่า ด้านหนึ่งเป็นพัฒนาการ อีกด้านหนึ่งเป็นกลับเป็นปัญหา ดังนั้นจึงพากันบอกว่า เมื่อมันไม่เป็นธรรม ก็ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แก้รัฐธรรมนูญ 2550 ที่มีพื้นฐานมาจากรัฐประหาร ซึ่งมันไม่ตอบโจทย์ของปัญหาที่แท้จริง เนื่องจากระบบการเมืองของตัวแทนที่ประชาชนมีอำนาจแค่ 5 นาที เพื่อเข้าไปกากบาทนั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนหน้ารัฐบาลเท่านั้น ไม่ใช่การแก้ปัญหา
ฉะนั้นเสื้อเหลือง เสื้อแดง จึงเป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็งที่โผล่ขึ้นมา
เพราะฉะนั้น รัฐบาลควรใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ให้รากหญ้าได้พูดคุยกับรัฐบาล ให้มาพูดถึงปัญหาของเขา และแนวทางที่คุณจะเสนอให้พวกเขา และจะได้เป็นการบอกให้คนทั้งโลกรู้ไปเลยว่า ความไม่เป็นธรรมที่ว่านั้น มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร และรัฐจะตอบปัญหา แก้ปัญหานั้นอย่างไร
ประชาธิปไตยทางการเมืองจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ถ้ามีส่วนนี้แล้วเชื่อว่า วัฒนธรรมอุปถัมภ์ที่เหมือนจะเป็นอุปสรรคก็จะไม่เกิดขึ้นหรือลดหายไปในสังคมแล้วการบอกว่าเป็น สงครามระหว่างชนชั้น วาทกรรมไพร่กับอำมาตย์ ไม่ใช่สิ่งที่ อ.ปรีดี ต้องการพูด ทั้งยังเป็นสิ่งที่อ่อนแรงไปมากแล้วในปัจจุบัน เวลานี้ในทางสังคมเราเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ คนรวย คนจน สิ่งที่ อ.ปรีดีเสนอคือ เราควรจัดระบบการเกื้อกูลให้เกิดขึ้นในสังคม
เช่นนั้นแล้วในเวลานี้ เรากำลังสร้างวาทกรรมให้เกิดการแบ่งแยกซึ่งไม่ควรเกิด มันไม่ช่วยให้เกิดการแก้ปัญหา เวลานี้การบอก "เอาเลือดหัวมาล้างตีน" ต้องไม่มี
รามอน แมกไซไซ เคยพูดว่า "คนที่มีน้อย รัฐต้องให้มาก"
รัฐบาลต้องสร้างโอกาสใหม่จากวิกฤตตรงนี้ ให้เขามีอำนาจต่อรอง ควบคุมนักการเมืองทุจริต ไม่ใช่ไพร่ที่มาพร้อม "มูลนาย"
@วิภา ดาวมณี
วิภา ดาวมณี นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า การเมืองเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น อย่าง อ. ปรีดี บอกว่า การเมืองคือสงครามที่ไม่หลั่งเลือด แต่สงครามคือการเมืองที่หลั่งเลือด ทางออกของปัญหานี้คงต้องย้อนกลับมาที่ประชาชน แต่ถ้ามองไม่ออกว่าศัตรูที่แท้จริงของประชาชนคือใคร ก็คงหาทางได้ยาก
เหตุการณ์เมื่อ 19 กันยายน 2549 ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะเป็นการปลุกชีพเผด็จการทหารขึ้นมาอีกครั้ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เผด็จการทหารหรือเผด็จการทางทุนก็น่ากลัวพอกัน
การเมืองในเวลานี้นั้นคับแคบมาก ในทางปฏิบัติการมีทหารออกมาอยู่ในจุดต่างๆ นั่นคือความรุนแรง
สิ่งที่นักการเมืองทำในเวลานี้อย่าง ประชานิยม นั้นไม่พอ ต้องดำเนินไปสู่รัฐสวัสดิการให้ได้ เก็บภาษีที่ดิน มรดก เพื่อมาชดเชยคนจน ช่องว่างจะได้น้อยลง กฎหมายจัดตั้งพรรคการเมืองก็ควรได้รับการแก้ไข เพราะมันเอื้อกับนายทุน มากกว่าประชาชน
ศาลก็เป็นอีกเรื่องที่พูดกันมาก หากมีระบบลูกขุน ระบบศาลจะเปลี่ยนไป จะยึดโยงกับประชาชน
@ สุนีย์ ไชยรส
สุนีย์ ไชยรส อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ทุกวันนี้ ความไม่เป็นธรรมในสังคมนั้นมีความดุเดือดถึงจุดวิกฤต และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ชี้ให้เห็นว่า การต่อสู้ทุกครั้งในสังคมเป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เรียกได้ว่ามันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของสังคมโดยรวมไทย
ในเวลานี้ผู้คนในสังคมต่างมีความรู้สสึกต่าง ปัญหาเชิงโครงสร้าง เศรษฐกิจ การเมืองที่ฝังรากลึก อย่างภาคใต้ในเวลานี้ ผู้คนต่างบอกว่า มองไม่เห็นทางออก เพราะเรายังมองว่ามันต่าง เราต้องไม่มองมันขาว มันดำ อย่าไปแยกมัน
หากถามถึงทางอออกในเวลานี้ ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องมองให้เรื่องนี้ให้ทะลุถึงปัญหาของประชาชน
ความรุนแรงจากที่ผ่านมานั้นสอนให้เราได้รู้จักบทเรียนมากมาย วันนี้เรายังไม่เห็นทหารออกมายิงเสื้อแดง
เห็นด้วยกับ สว.รสนา อย่างยิ่งว่า เปิดเวทีขึ้นมาเลย เอาปัญหาที่คนรากหญ้าบอกมาบอกกกล่าวกับประชาชนทั้งประเทศ ความไม่เป็นธรรมต่างๆ ที่พวกคุณได้รับนั้นคืออะไร ให้โอกาสพวกเขาได้พูด เพราะการเปลี่ยนโฉมหน้ารัฐบาลไม่ใช่การแก้ปัญหา
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการยอมรับเรื่องความต่างๆ การเปิดเวทีจะช่วยให้คนเมืองที่ไม่เข้าใจได้เข้าใจพวกเขามากขึ้น ได้รับรู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่ง เกิดการยอมรับ เพราะหากทุกอย่างยังเป็นไปเช่นวันนี้ การเผชิญหน้ากันดูจะรังแต่ทำให้แย่ลง เพราะเมื่อประชาชนไม่ได้พูด ไม่ได้รับการปฏิบัติ พวกเขาจะเกิดการยอมรับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร เมื่อประชาชนไม่เอาด้วยแล้ว ก็คงไม่อาจยกระดับเชิงโครงสร้างได้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************
วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553
โม่งบีบมาร์ค ห้ามยุบนะหนู!!
ไม่ใช่เรื่องที่จะผิดความคาดหมาย สำหรับการเจรจาระหว่างรัฐบาล กับ แกนนำ นปช.ที่ต้องเรียกว่า เป็นเรียลลิตี้ โชว์ ที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อสร้างภาพลักษณ์ทางการเมืองประเด็นของการยุบสภาตามข้อเรียกร้องกดดันของแกนนำ นปช.นั้น เป็นเรื่องที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ อึดอัดด้วยความไม่เป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าขึ้นมาเป็นรัฐบาล ขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้เพราะใครในเมื่อบรรดาผู้อุปถัมภ์คํ้าชูทั้งหลาย ไม่ต้องการให้ยุบสภา ต่อให้อึดอัดและต้องทนสักเพียงใดก็ตามนายอภิสิทธิ์ ก็จะยุบสภาไม่ได้ทำได้แค่เพียงติ๊ดชึ่ง ออกลูกวน ตีกรรเชียงไปรอบๆเวที
รักษารูปมวยให้ดูหล่อ ดูมีคารมเป็นต่อเอาไว้เท่านั้นก็เพียงพอที่จะซื้อเวลาไปได้เรื่อยๆ แล้วเรื่องพูดเอาดีเข้าตัว ปัดโยนเรื่องชั่วๆ ให้คนอื่นเป็นสไตล์ถนัดของประชาธิปัตย์อยู่แล้ว นายอภิสิทธิ์ถูกหล่อหลอมมานาน ย่อมต้องเรียนรู้กระบวนแม่ไม้ต่างๆ มาไม่ใช่น้อยที่สำคัญด้วยความที่เป็นคนสมองดี การศึกษาระดับอ๊อกซฟอร์ด การที่จะใช้คารมหลีกเลี่ยงหรือพลิ้วหลบ แบบให้หลงทางมวยงงกันเป็นไก่ตาแตกนั้น ต้องถือเป็นลูกถนัดของนายอภิสิทธิ์... ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ
หรือไม่เช่นนั้นก็แหกโค้งออกไปคนละเรื่องเดียวกันไปเลยยิ่งระหว่างเจรจา ได้ข้อความพี่เลี้ยงที่ BB มาให้โดยเฉพาะ แถมเป็นทีมงานที่คัดสรรมาโดยเฉพาะประเภทที่ “กูก็รู้ว่าของๆ เอ็ง แต่กูจะเอา” หรือประเภท “ก็รู้ว่าเอ็งไม่ผิด แต่ข้าก็ไม่ยอมบอกว่าเอ็งถูก”เจอแบบนี้ทั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ น.พ.เหวงโตจิราการ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งหวังว่าคุยกันเป็นวันที่ 2 แล้วอะไรๆ น่าจะดีขึ้น ก็เลยต้องยอมรับความเป็นจริงว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นตัวของตัวเองจริงๆคาดคั้นอย่าง
ไร หากข้างหลังนายอภิสิทธิ์ไม่ไฟเขียวเสียอย่าง เรื่องจะยอมยุบสภาตามเงื่อนไขรายละเอียดของ นปช.เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!!!ถึงได้บอกว่า เรื่องนี้สาธุชนคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วประเทศไม่ได้ประหลาดใจ ที่นายอภิสิทธิ์พูดชัดว่า ข้อเสนอที่ระบุว่าให้ยุบสภาภายในเวลา 15วันนั้น ไม่มีทางยุบสภาแน่เหตุผลเดิมๆ ก็คือต้องดำเนินการ 3 ประเด็นคือ1.เรื่องเศรษฐกิจ 2.เรื่องกติกา และ 3.เรื่องบรรยากาศแม้นายวีระจะยืนยันว่า แต่ละเรื่องนั้นไม่น่าที่จะต้องใช้เวลามาก
แค่ 2-3 เดือนก็น่าจะเหลือเฟือแล้วแต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงยืนกรานว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทอดเวลาออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาถามว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ ต้องพยายามซื้อเวลาให้นานที่สุดก็ดูแค่เจรจาวันแรก ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่ดาหน้าออกมาคัดค้านนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “สาวก” หรือ “ทาสที่ปล่อยไม่ไป”ของรัฐธรรมนูญ ปี 50 ทั้งสิ้น40 ส.ว. ออกโรงค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ให้ยุบ... ถามว่า 40 ส.ว.กลุ่มนี้มาจากไหน ใครตั้งเข้ามา ก็พอมองทะลุได้แล้วว่า
อะไรเป็นอะไร ใครเป็นคนกดปุ่มเช่นเดียวกับพรรคการเมืองใหม่ ที่เต้นผางทันที ทั้งๆ ที่ตามปกติการเมืองระบอบประชาธิปไตย พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่ยังไม่มี ส.ส.เลยในมือ ย่อมต้องการที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะได้มี ส.ส.มาเป็นอำนาจต่อรองไม่เชื่อไปถามพรรคพลังคนกีฬา ของ“บิ๊กหอย” หรือ นายวนัสธนา (ธวัชชัย)สัจจกุล หัวหน้าพรรคที่ต้องการให้พรรคได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาดูก็ได้ว่า อยากให้เลือกตั้งเพื่อจะได้มี ส.ส.หรือไม่… บิ๊กหอยต้องตอบ
ว่าอยากแน่นอนจะมีก็แต่พรรคการเมืองใหม่นี่แหละที่ กลับไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง ไม่รีบร้อนที่จะมี ส.ส.ภายในพรรค ราวกับว่าตอนนี้ก็มีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองมากมายเหลือเฟืออยู่แล้วอย่างนั้นแหละรวมทั้งพรรคการเมืองที่ได้รับการ “จัดแถว” หน้าเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย ให้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้กับนายอภิสิทธิ์ อย่างพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ต่างก็รีบร้อนดาหน้าออกมาตีกันไว้ก่อนเลยว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาก็ขนาดนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ทำงานยากเพราะเจอสไตล์ ปชป.เป็นพิษ ถูกปัดแข้งปัดขาตลอด ชนิดถ้าเป็นเด็กๆ หรือนักบอลเจอขัดขาถี่ยิบแบบนี้คงล้มปากเปิกแตกยับถลอกไปหมดทั้งตัวแล้วแต่นางพรทิวา วันนี้ก็ยังจำต้องออกมาคัดค้านการยุบสภาเจอผู้อุปถัมภ์ ส่งสัญญาณผ่านกลไกรอบข้างให้ออกมาคัดค้านอย่างนี้แล้ว“Good Boy” อย่างนายอภิสิทธิ์ มีหรือจะอ่านไม่ออก ว่าต้องหาทางออกในการเจรจาอย่างไรขนาดอ้างหน้าตาเฉยว่ามั่นใจว่าหากไปถาม
ประชาชนว่าจะให้ยุบสภาหรือไม่นั้นเชื่อว่ามีคนเห็นด้วยกับการยุบสภาน้อยมากเป็นไงล่ะ ... กลุ่มคนเสื้อแดงมึนไปเลยสิเพราะแสดงพลังชุมนุมแบบสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ มากันเป็นแสนๆ คน ยังถูกมองว่าเป็นแค่เสียงส่วนน้อยเท่านั้นงานนี้จึงเป็นการสะท้อนที่ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลยระหว่างคำสั่งและการส่งสัญญาณของผู้อุปถัมภ์ กับคำขอร้องและการส่งสัญญาณครอบครัว ของ ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภรรยาสุดที่รัก ก็ชัดเจนแล้วว่า
นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อฟังฝ่ายใดฉะนั้นที่แสบสันต์จริงๆ ก็คือผู้อุปถัมภ์ที่ทำตัวเป็นอีแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ ที่ทำให้สุดท้ายแล้วนายอภิสิทธิ์จึงเจรจาแบบไม่คิดที่จะหาทางออกร่วมกันแต่เลือกที่จะกำหนดว่า หากจะให้ยุบสภาก็ต้องโน่นสิ้นปีไปเลย และหากถึงตอนนั้นซื้อเวลาต่ออีกนิดก็พอดีแหละเข้าเป้าว่าไปยุบสภาเอาในปี 2554 ก่อนครบวาระแค่ 3-4 เดือนก็หรูแล้วทำให้เมื่อเห็นสถานการณ์การเมืองของไทยเป็นแบบนี้แล้ว อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าบรรดา
ทหารใหญ่ของไทย ที่นิยมชักใยอยู่เบื้องหลังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาทหารใหญ่ของประเทศพม่าแล้วต้องบอกว่านายทหารใหญ่ของพม่าเปิดเผยกว่าเยอะไม่ต้องการให้นางออง ซาน ซูจี กลับเข้ามาทำงานการเมือง ก็เขียนกฎหมายกันชัดๆไปเลยว่า ไม่ให้นางออง ซาน มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง... ชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือไม่ต้องทำตัวเป็นอีแอบใดๆ ทั้งสิ้นหรือกรณีที่ นายพลตาน ฉ่วย ผู้นำอาวุโสรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า วัย 77 ปีกล่าวสุนทรพจน์นาน 7 นาที
ต่อหน้าทหารหาญมากกว่า 13,000 นาย ระหว่างร่วมพิธีสวนสนามประจำปีของเหล่าทัพกลางกรุงเนปิตอว์ แล้วระบุชัดเจนว่าทหารต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองในพม่าทุกเวลาถ้าจำเป็นยืนยันว่าบทบาทของกองทัพต่อการเมืองไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องและป้องกันชาติเท่านั้นหากยังดำเนินการเพื่อประชาชนภายในชาติด้วยพร้อมกับเตือนพรรคการเมืองที่ต้องการมีส่วนร่วมการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ให้หาเสียงอย่างเหมาะสมด้วยใครจะมองว่ายุ่งอะไรด้วย หรือทหารไม่ควรเข้ามา
เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจจะมีต่างชาติจะแทรกแซงการเลือกตั้งของพม่าแต่นายทหารพม่าก็ไม่หวั่น มีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนให้รู้กันไปเลยกล้าไม่กล้าล่ะที่ กฎหมายใหม่ว่าด้วยการเลือกตั้งของพม่า 5 ฉบับ มีเนื้อหาห้ามนางออง ซาน ซูจี ลงสนามเลือกตั้งผิดกับอดีตนายทหารใหญ่ของไทยที่ไม่เปิดเผย แต่ชอบเล่นบทแอบชักใยอยู่เบื้องหลังแทนก็แบบนี้แหละที่ทำให้กลายเป็นเชื้อปะทุจุดไฟต่อสู้ทางการเมืองให้คุโชนไม่รู้จบสิ้นตัณหาแห่งอำนาจตัวเดียวแท้ๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************
รักษารูปมวยให้ดูหล่อ ดูมีคารมเป็นต่อเอาไว้เท่านั้นก็เพียงพอที่จะซื้อเวลาไปได้เรื่อยๆ แล้วเรื่องพูดเอาดีเข้าตัว ปัดโยนเรื่องชั่วๆ ให้คนอื่นเป็นสไตล์ถนัดของประชาธิปัตย์อยู่แล้ว นายอภิสิทธิ์ถูกหล่อหลอมมานาน ย่อมต้องเรียนรู้กระบวนแม่ไม้ต่างๆ มาไม่ใช่น้อยที่สำคัญด้วยความที่เป็นคนสมองดี การศึกษาระดับอ๊อกซฟอร์ด การที่จะใช้คารมหลีกเลี่ยงหรือพลิ้วหลบ แบบให้หลงทางมวยงงกันเป็นไก่ตาแตกนั้น ต้องถือเป็นลูกถนัดของนายอภิสิทธิ์... ตอบก็เหมือนไม่ได้ตอบ
หรือไม่เช่นนั้นก็แหกโค้งออกไปคนละเรื่องเดียวกันไปเลยยิ่งระหว่างเจรจา ได้ข้อความพี่เลี้ยงที่ BB มาให้โดยเฉพาะ แถมเป็นทีมงานที่คัดสรรมาโดยเฉพาะประเภทที่ “กูก็รู้ว่าของๆ เอ็ง แต่กูจะเอา” หรือประเภท “ก็รู้ว่าเอ็งไม่ผิด แต่ข้าก็ไม่ยอมบอกว่าเอ็งถูก”เจอแบบนี้ทั้ง นายวีระ มุสิกพงศ์ น.พ.เหวงโตจิราการ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งหวังว่าคุยกันเป็นวันที่ 2 แล้วอะไรๆ น่าจะดีขึ้น ก็เลยต้องยอมรับความเป็นจริงว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่เป็นตัวของตัวเองจริงๆคาดคั้นอย่าง
ไร หากข้างหลังนายอภิสิทธิ์ไม่ไฟเขียวเสียอย่าง เรื่องจะยอมยุบสภาตามเงื่อนไขรายละเอียดของ นปช.เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!!!ถึงได้บอกว่า เรื่องนี้สาธุชนคนเสื้อแดง และประชาชนทั่วประเทศไม่ได้ประหลาดใจ ที่นายอภิสิทธิ์พูดชัดว่า ข้อเสนอที่ระบุว่าให้ยุบสภาภายในเวลา 15วันนั้น ไม่มีทางยุบสภาแน่เหตุผลเดิมๆ ก็คือต้องดำเนินการ 3 ประเด็นคือ1.เรื่องเศรษฐกิจ 2.เรื่องกติกา และ 3.เรื่องบรรยากาศแม้นายวีระจะยืนยันว่า แต่ละเรื่องนั้นไม่น่าที่จะต้องใช้เวลามาก
แค่ 2-3 เดือนก็น่าจะเหลือเฟือแล้วแต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังคงยืนกรานว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าทอดเวลาออกไปจนถึงสิ้นปีนี้ ก็คงไม่น่าจะมีปัญหาถามว่าทำไมนายอภิสิทธิ์ ต้องพยายามซื้อเวลาให้นานที่สุดก็ดูแค่เจรจาวันแรก ก็เห็นชัดเจนแล้วว่าคนที่ดาหน้าออกมาคัดค้านนั้น ล้วนแล้วแต่เป็น “สาวก” หรือ “ทาสที่ปล่อยไม่ไป”ของรัฐธรรมนูญ ปี 50 ทั้งสิ้น40 ส.ว. ออกโรงค้านหัวชนฝา ยังไงก็ไม่ให้ยุบ... ถามว่า 40 ส.ว.กลุ่มนี้มาจากไหน ใครตั้งเข้ามา ก็พอมองทะลุได้แล้วว่า
อะไรเป็นอะไร ใครเป็นคนกดปุ่มเช่นเดียวกับพรรคการเมืองใหม่ ที่เต้นผางทันที ทั้งๆ ที่ตามปกติการเมืองระบอบประชาธิปไตย พรรคที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่ยังไม่มี ส.ส.เลยในมือ ย่อมต้องการที่จะให้มีการเลือกตั้งใหม่ จะได้มี ส.ส.มาเป็นอำนาจต่อรองไม่เชื่อไปถามพรรคพลังคนกีฬา ของ“บิ๊กหอย” หรือ นายวนัสธนา (ธวัชชัย)สัจจกุล หัวหน้าพรรคที่ต้องการให้พรรคได้เก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาดูก็ได้ว่า อยากให้เลือกตั้งเพื่อจะได้มี ส.ส.หรือไม่… บิ๊กหอยต้องตอบ
ว่าอยากแน่นอนจะมีก็แต่พรรคการเมืองใหม่นี่แหละที่ กลับไม่ต้องการให้มีการเลือกตั้ง ไม่รีบร้อนที่จะมี ส.ส.ภายในพรรค ราวกับว่าตอนนี้ก็มีอำนาจในการต่อรองทางการเมืองมากมายเหลือเฟืออยู่แล้วอย่างนั้นแหละรวมทั้งพรรคการเมืองที่ได้รับการ “จัดแถว” หน้าเดิน ซ้าย ขวา ซ้าย ให้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้กับนายอภิสิทธิ์ อย่างพรรคภูมิใจไทย เป็นต้น ต่างก็รีบร้อนดาหน้าออกมาตีกันไว้ก่อนเลยว่าไม่เห็นด้วยกับการยุบสภาก็ขนาดนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่า
การกระทรวงพาณิชย์ ทั้งๆ ที่ทำงานยากเพราะเจอสไตล์ ปชป.เป็นพิษ ถูกปัดแข้งปัดขาตลอด ชนิดถ้าเป็นเด็กๆ หรือนักบอลเจอขัดขาถี่ยิบแบบนี้คงล้มปากเปิกแตกยับถลอกไปหมดทั้งตัวแล้วแต่นางพรทิวา วันนี้ก็ยังจำต้องออกมาคัดค้านการยุบสภาเจอผู้อุปถัมภ์ ส่งสัญญาณผ่านกลไกรอบข้างให้ออกมาคัดค้านอย่างนี้แล้ว“Good Boy” อย่างนายอภิสิทธิ์ มีหรือจะอ่านไม่ออก ว่าต้องหาทางออกในการเจรจาอย่างไรขนาดอ้างหน้าตาเฉยว่ามั่นใจว่าหากไปถาม
ประชาชนว่าจะให้ยุบสภาหรือไม่นั้นเชื่อว่ามีคนเห็นด้วยกับการยุบสภาน้อยมากเป็นไงล่ะ ... กลุ่มคนเสื้อแดงมึนไปเลยสิเพราะแสดงพลังชุมนุมแบบสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ มากันเป็นแสนๆ คน ยังถูกมองว่าเป็นแค่เสียงส่วนน้อยเท่านั้นงานนี้จึงเป็นการสะท้อนที่ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ ไม่มีความเป็นตัวของตัวเองเลยระหว่างคำสั่งและการส่งสัญญาณของผู้อุปถัมภ์ กับคำขอร้องและการส่งสัญญาณครอบครัว ของ ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะภรรยาสุดที่รัก ก็ชัดเจนแล้วว่า
นายอภิสิทธิ์เลือกที่จะเชื่อฟังฝ่ายใดฉะนั้นที่แสบสันต์จริงๆ ก็คือผู้อุปถัมภ์ที่ทำตัวเป็นอีแอบซ่อนอยู่เบื้องหลังนั่นแหละ ที่ทำให้สุดท้ายแล้วนายอภิสิทธิ์จึงเจรจาแบบไม่คิดที่จะหาทางออกร่วมกันแต่เลือกที่จะกำหนดว่า หากจะให้ยุบสภาก็ต้องโน่นสิ้นปีไปเลย และหากถึงตอนนั้นซื้อเวลาต่ออีกนิดก็พอดีแหละเข้าเป้าว่าไปยุบสภาเอาในปี 2554 ก่อนครบวาระแค่ 3-4 เดือนก็หรูแล้วทำให้เมื่อเห็นสถานการณ์การเมืองของไทยเป็นแบบนี้แล้ว อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าบรรดา
ทหารใหญ่ของไทย ที่นิยมชักใยอยู่เบื้องหลังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดาทหารใหญ่ของประเทศพม่าแล้วต้องบอกว่านายทหารใหญ่ของพม่าเปิดเผยกว่าเยอะไม่ต้องการให้นางออง ซาน ซูจี กลับเข้ามาทำงานการเมือง ก็เขียนกฎหมายกันชัดๆไปเลยว่า ไม่ให้นางออง ซาน มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้ง... ชัดเจน ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือไม่ต้องทำตัวเป็นอีแอบใดๆ ทั้งสิ้นหรือกรณีที่ นายพลตาน ฉ่วย ผู้นำอาวุโสรัฐบาลเผด็จการทหารพม่า วัย 77 ปีกล่าวสุนทรพจน์นาน 7 นาที
ต่อหน้าทหารหาญมากกว่า 13,000 นาย ระหว่างร่วมพิธีสวนสนามประจำปีของเหล่าทัพกลางกรุงเนปิตอว์ แล้วระบุชัดเจนว่าทหารต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองในพม่าทุกเวลาถ้าจำเป็นยืนยันว่าบทบาทของกองทัพต่อการเมืองไม่ใช่แค่เพื่อปกป้องและป้องกันชาติเท่านั้นหากยังดำเนินการเพื่อประชาชนภายในชาติด้วยพร้อมกับเตือนพรรคการเมืองที่ต้องการมีส่วนร่วมการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ให้หาเสียงอย่างเหมาะสมด้วยใครจะมองว่ายุ่งอะไรด้วย หรือทหารไม่ควรเข้ามา
เกี่ยวข้อง รวมทั้งอาจจะมีต่างชาติจะแทรกแซงการเลือกตั้งของพม่าแต่นายทหารพม่าก็ไม่หวั่น มีการแสดงจุดยืนที่ชัดเจนให้รู้กันไปเลยกล้าไม่กล้าล่ะที่ กฎหมายใหม่ว่าด้วยการเลือกตั้งของพม่า 5 ฉบับ มีเนื้อหาห้ามนางออง ซาน ซูจี ลงสนามเลือกตั้งผิดกับอดีตนายทหารใหญ่ของไทยที่ไม่เปิดเผย แต่ชอบเล่นบทแอบชักใยอยู่เบื้องหลังแทนก็แบบนี้แหละที่ทำให้กลายเป็นเชื้อปะทุจุดไฟต่อสู้ทางการเมืองให้คุโชนไม่รู้จบสิ้นตัณหาแห่งอำนาจตัวเดียวแท้ๆ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**********************************************
วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553
"แม้ว"วิดีโอลิงก์ประกาศอยู่ในรัสเซีย ยันไม่ได้ถูกไล่จากสวีเดน กต.เผยใช้พาสปอร์ตปท.ที่3เดินทางเข้าออก
กต.เผย"แม้ว"ใช้พาสปอร์ตต่างประเทศบินเข้า"สวีเดน" 28มี.ค. ล่าสุดกลับออกมาแล้วแต่ยังไม่รู้จุดหมาย "นพดล"บอก"แม้ว"เดินทางออกจาก"สวีเดน" แต่ยังอยู่ในยุโรป
"แม้ว"ประกาศอยู่ในรัสเซีย ไปพบนักธุรกิจเตรียมชวนไปลงทุนในไทย
เมื่อเวลา 20.55 น. วันที่ 30 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วีดิโอลิงก์ มายังเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ แต่ปรากฏว่า เกิดการติดขัดเรื่องระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้เชื่อมสัญญาณ ทำให้สัญญาณขาดหายไปหลายครั้ง โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง โดยพาดพิงถึงอำมาตย์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวหาว่า รัฐบาลและอำมาตย์ระแวง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะกลับมาเช็คบิลคืน
"มีการติดขัด ทางอินเตอร์เน็ต ที่ใช้วิดีโอลิงก์ แต่บอกว่ าเดี๋ยวจะส่งรูปประเทศที่ไปอยู่มาให้ดู ขอบอกว่ามีหลายประเทศที่อยากให้ไป แต่เขารำคาญที่ทางการไทย มักทำเรื่องไปกวน ... บอกให้ก็ได้ว่า อยู่รัสเซีย มาพบนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีเงินสดเหลือเยอะ และสนใจที่จะไปลงทุนแถบเอเชีย เลยไปทำไมตรีไว้ เมื่อกลับบ้านจะได้พากลับไปลงทุนในประเทศไทย ตนเดินทางมาจากประเทศสวีเดน ไม่ได้ถูกเขาไล่ออกมาเหมือนที่กระทรวงการต่างประเทศบอก ไม่หวั่นไหว ตนยังมีเสรีภาพ มีปัญญาดีอยู่ แต่อยากจะทำงานให้เป็นประโยชน์เพื่อจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ว่า ได้ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังประะเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา โดยใช้หนังสือเดินทางของประเทศที่สาม จึงได้ประสานกับทางการสวีเดน เพื่อขออย่าให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทางการสวีเดนยืนยันว่าเขายึดมั่นในหลักการดังกล่าวอยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามล่าสุดทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากสวีเดนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเดินทางต่อไปยังประเทศใด
"นพดล"บอก"แม้ว"เดินทางออกจาก"สวีเดน" แต่ยังอยู่ในยุโรป
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปยังประเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปต่างประเทศเป็นปกติเพื่อลงทุนทำธุรกิจและพบปะเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตามขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางออกจากประเทศสวีเดนแล้วและพำนักที่ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปซึ่งอีกไม่นานพ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรัเอมิเรตส์
"สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำก็เพื่อต้องการดิสเครดิตพ.ต.ท.ทักษิณ การเดินทางไปยุโรปครั้งนี้เป็นการไปตามปกติ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับดูไบ"นายนพดลกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
"แม้ว"ประกาศอยู่ในรัสเซีย ไปพบนักธุรกิจเตรียมชวนไปลงทุนในไทย
เมื่อเวลา 20.55 น. วันที่ 30 มีนาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วีดิโอลิงก์ มายังเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ แต่ปรากฏว่า เกิดการติดขัดเรื่องระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้เชื่อมสัญญาณ ทำให้สัญญาณขาดหายไปหลายครั้ง โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง โดยพาดพิงถึงอำมาตย์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวหาว่า รัฐบาลและอำมาตย์ระแวง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าจะกลับมาเช็คบิลคืน
"มีการติดขัด ทางอินเตอร์เน็ต ที่ใช้วิดีโอลิงก์ แต่บอกว่ าเดี๋ยวจะส่งรูปประเทศที่ไปอยู่มาให้ดู ขอบอกว่ามีหลายประเทศที่อยากให้ไป แต่เขารำคาญที่ทางการไทย มักทำเรื่องไปกวน ... บอกให้ก็ได้ว่า อยู่รัสเซีย มาพบนักธุรกิจคนหนึ่งที่มีเงินสดเหลือเยอะ และสนใจที่จะไปลงทุนแถบเอเชีย เลยไปทำไมตรีไว้ เมื่อกลับบ้านจะได้พากลับไปลงทุนในประเทศไทย ตนเดินทางมาจากประเทศสวีเดน ไม่ได้ถูกเขาไล่ออกมาเหมือนที่กระทรวงการต่างประเทศบอก ไม่หวั่นไหว ตนยังมีเสรีภาพ มีปัญญาดีอยู่ แต่อยากจะทำงานให้เป็นประโยชน์เพื่อจะทำให้บ้านเมืองดีขึ้น" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวเมื่อวันที่ 30 มี.ค.ว่า ได้ทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเดินทางไปยังประะเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา โดยใช้หนังสือเดินทางของประเทศที่สาม จึงได้ประสานกับทางการสวีเดน เพื่อขออย่าให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทางการสวีเดนยืนยันว่าเขายึดมั่นในหลักการดังกล่าวอยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน
อย่างไรก็ตามล่าสุดทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณเดินทางออกจากสวีเดนแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะเดินทางต่อไปยังประเทศใด
"นพดล"บอก"แม้ว"เดินทางออกจาก"สวีเดน" แต่ยังอยู่ในยุโรป
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปยังประเทศสวีเดนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปต่างประเทศเป็นปกติเพื่อลงทุนทำธุรกิจและพบปะเพื่อนฝูง อย่างไรก็ตามขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เดินทางออกจากประเทศสวีเดนแล้วและพำนักที่ประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปซึ่งอีกไม่นานพ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับเมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรัเอมิเรตส์
"สิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศทำก็เพื่อต้องการดิสเครดิตพ.ต.ท.ทักษิณ การเดินทางไปยุโรปครั้งนี้เป็นการไปตามปกติ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับดูไบ"นายนพดลกล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
ขว้างเอ็ม67 ใส่"มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.เปรม"ถูกหม้อแปลงระเบิดดังสนั่น อีกจุดเต็นท์พระที่สนามหลวง
ถึงคราวมูลนิธิรัฐบุรุษ "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ถูกคนร้ายปาเอ็ม67 เข้าใส่อาคารถูกหม้อแปลงไฟฟ้าดังสนั่นหวั่นไหว อีกจุดเป็นเต็นท์พระสนาม หลวง ฝั่งมธ. ไร้ผู้ใดบาดเจ็บ "อนุพงศ์"ประชุม ศอ.รส.ย้ำทหาร-ตำรวจหยุดให้อยู่ สนั่นนำทีมมอบดอกไม้ให้กำลังใจ"บรรหาร"
เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 30 มีนาคม ได้มีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ทราบยี่ห้อ สีและทะเบียน ผ่านหน้าอาคารมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลขที่ 84 ถนนอู่ทองนอก เขตดุสิต กทม. จากนั้นคนร้ายได้ขว้างระเบิดชนิด เอ็ม 67 ผ่านรั้วเข้าไปในอาคารถูกหม้อแปลงเสาไฟฟ้าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นคนร้ายได้ขับรถหลบหนีไป
ต่อมาพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.ชยุตร์ มารยาท ผกก.สน.สามเสน ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเดื่องเอ็ม 67 ตกห่างจากรั้วริมฟุทบาธ 30 เซ็นติเมตร ส่วนตัวอาคารไม่ได้รับความเสียหายใดๆ โดยใช้เวลา 5 นาที หลังจากนั้นพล.ต.ท.สัณฐานเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่กำชับตำรวจพื้นที่ให้พยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณภายในมูลนิธินั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงตามปกติ ขณะที่ภายนอกไม่มีกำลังตำรวจหรือทหารอารักขาความปลอดภัยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นหลังเต็นท์พระภิกษุที่สนามหลวง ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้เกิดกลุ่มควันแต่ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นระเบิดปิงปอง เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ถึงการก่อเหตุป่วนเมือง ทั้งยิงและระเบิดสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ว่า รัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ อย่างน้อยคดีหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ส่วนการเฝ้าระวัง ก็ต้องทำเต็มที่ แต่ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะว่าการป้องกันพื้นที่นั้นกว้างขวางมาก
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สรุปสถานการณ์ให้ ครม.รับทราบ พร้อมยืนยันว่า ยังอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลควบคุมได้ แต่ที่ห่วงคือ การข่าวแจ้งว่าแนวโน้มการก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการ เพื่อหวังผลในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีความพยายามต่อเนื่อง ซึ่งจากการประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคงเห็นควรให้ปรับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ล่อแหลมและจุดเสี่ยง โดยให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธประจำกายได้
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานประชุม ศอ.รส. ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าร่วมการประชุม โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าร่วม เนื่องจากเวลาการประชุมตรงกับการประชุม ครม.
ข่าวแจ้งว่า พล.อ.อนุพงษ์ได้เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีมาตรการหาผู้ก่อเหตุระเบิดมาลงโทษให้ได้ พร้อมแสดงเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์การก่อวินาศกรรม โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในงานวันกาชาด ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-7 เมษายน เนื่องจากสถานที่จัดงานใกล้เคียงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า ขอเตือนกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ก่อเหตุป่วนเมือง ซึ่งล่าสุดก่อเหตุที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้ประทัดกระเทียมมัดรวมกันก่อนใช้หนังสติ๊กยิงเข้าไปในในจุดที่เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ ซึ่ง ศอ.รส.สั่งให้ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีการจับภาพเอาไว้ได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัว พร้อมแจ้งให้การ์ดคนเสื้อแดงช่วยกันหา หากเป็นคนเสื้อแดงก็ให้ประสานมา และเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา พบของกลางจำนวนหนึ่ง จึงให้ตำรวจประสานงานเพื่อรับภาพกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 1 แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใดขอให้จับตัวได้ก่อน
ส่วนพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวถึงเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้ส่งพยานที่เห็นหน้าคนร้ายไปทำการสเก๊ตช์ภาพที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร และพยานยืนยันว่ามีลักษณะคล้ายเหมือนคนร้าย 70% นอกจากนี้ยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารและของ กทม. ที่เห็นผู้ต้องสงสัยมีผ้าปิดคาดปากสีขาว ใส่เสื้อคลุมแจ๊คเก็ตเขียว กางเกงสแล็คส์สีดำ หมวกแก๊ปสีแดง เป็นชายไทยสูงประมาณ 165 เซนติเมตร ผิวสีดำแดง อายุประมาณ 30 ปี พร้อมตั้งรางวัล 2 แสนบาท ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ของตน 08-1443-2639
พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการก่อเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพหลายแห่งว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ และ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. จัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนในเชิงลึก และดูว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง โดยจะสืบสวนคนละส่วนกับชุดสืบสวนของ บช.น. ซึ่งเบื้องต้นได้ข้อมูลบางอย่างมาแล้วว่าเป็นกลุ่มไหน แต่ต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่า กลุ่มใดบ้างที่เป็นผู้ลงมือก่อเหตุป่วนดังกล่าว
ข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนของ กก.1 บก.ป.ยังจัดชุดสืบสวนแกะรอยเส้นทางเงินของกลุ่มผู้ต้องสงสัย เพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่
ส่วนกรณีคนร้ายขว้างระเบิดใส่บริเวณบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ กทม. เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมานั้น เมื่อเวลา 14.00 น. แกนนำ และ ส.ส.ชทพ. นำโดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษา ชทพ. นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้า ชทพ. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้า ชทพ. และอดีตแกนนำพรรคชาติไทย ทยอยเข้ามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจนายบรรหาร ทั้งนี้ พล.ต.สนั่นกล่าวให้กำลังใจนายบรรหารว่า ทุกคนใน ชทพ.เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของนายบรรหาร และขอยืนเคียงข้างนายบรรหาร เพราะทุกคนมั่นใจว่านายบรรหาร คิดดีทำดีต่อบ้านเมืองที่ทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้
ด้านนายบรรหารกล่าวตอบว่า ตกเป็นเป้าทางการเมืองตั้งแต่สมัยเสื้อเหลือง เคยถูกขู่เผาบ้าน แต่ไม่กลัว เพราะทำงานการเมืองมา 30 ปี อะไรที่คิดว่าเป็นทางออกให้บ้านเมืองก็จะช่วย และขอขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่น การมาให้กำลังใจทำให้มีกำลังใจ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤต จึงขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคอง
ต่อมานายบรรหารให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้สึกเครียดกับเหตุที่เกิดขึ้น สบายๆ เมื่อถามย้ำว่า กลัวหรือไม่ที่จะถูกเหตุร้ายเข้าตัว นายบรรหารกล่าวว่า "ไม่กลัว คนเราเมื่อทำถูกต้องเสียอย่างจะกลัวอะไร พระต้องคุ้มครอง"
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค ว่านายสุเทพได้ชี้แจงเรื่องการยิงระเบิดที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ว่า กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังมีหลายกลุ่ม และจ้างกันเป็นทอดๆ มีทั้งนายทหารเก่าและตำรวจเก่า ที่รู้ช่องทาง ทำให้ยากต่อการจับกุม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทุกจุด โดยเฉพาะสายตรวจ ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่ชุมนุม
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 30 มีนาคม ได้มีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ ไม่ทราบยี่ห้อ สีและทะเบียน ผ่านหน้าอาคารมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เลขที่ 84 ถนนอู่ทองนอก เขตดุสิต กทม. จากนั้นคนร้ายได้ขว้างระเบิดชนิด เอ็ม 67 ผ่านรั้วเข้าไปในอาคารถูกหม้อแปลงเสาไฟฟ้าเกิดระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จากนั้นคนร้ายได้ขับรถหลบหนีไป
ต่อมาพล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พ.ต.อ.วีรวิทย์ จันทร์จำเริญ รองผบก.น.1 พ.ต.อ.ชยุตร์ มารยาท ผกก.สน.สามเสน ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเดื่องเอ็ม 67 ตกห่างจากรั้วริมฟุทบาธ 30 เซ็นติเมตร ส่วนตัวอาคารไม่ได้รับความเสียหายใดๆ โดยใช้เวลา 5 นาที หลังจากนั้นพล.ต.ท.สัณฐานเดินทางกลับโดยไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ เพียงแต่กำชับตำรวจพื้นที่ให้พยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณภายในมูลนิธินั้นมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงตามปกติ ขณะที่ภายนอกไม่มีกำลังตำรวจหรือทหารอารักขาความปลอดภัยแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ในเวลาไล่เลี่ยกันเกิดเสียงคล้ายระเบิดดังขึ้นหลังเต็นท์พระภิกษุที่สนามหลวง ฝั่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทำให้เกิดกลุ่มควันแต่ไม่มีพระภิกษุรูปใดได้รับบาดเจ็บ เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าอาจเป็นระเบิดปิงปอง เพื่อสร้างสถานการณ์ก่อกวน
ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ถึงการก่อเหตุป่วนเมือง ทั้งยิงและระเบิดสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ว่า รัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่ อย่างน้อยคดีหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะจับตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ส่วนการเฝ้าระวัง ก็ต้องทำเต็มที่ แต่ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่เพราะว่าการป้องกันพื้นที่นั้นกว้างขวางมาก
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ที่เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้สรุปสถานการณ์ให้ ครม.รับทราบ พร้อมยืนยันว่า ยังอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลควบคุมได้ แต่ที่ห่วงคือ การข่าวแจ้งว่าแนวโน้มการก่อวินาศกรรมตามสถานที่ราชการ เพื่อหวังผลในเชิงสัญลักษณ์ ยังมีความพยายามต่อเนื่อง ซึ่งจากการประชุมร่วมกับฝ่ายความมั่นคงเห็นควรให้ปรับมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ล่อแหลมและจุดเสี่ยง โดยให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธประจำกายได้
ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศอ.รส. เป็นประธานประชุม ศอ.รส. ภายในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) และผู้แทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เข้าร่วมการประชุม โดยไม่มีตัวแทนฝ่ายการเมืองเข้าร่วม เนื่องจากเวลาการประชุมตรงกับการประชุม ครม.
ข่าวแจ้งว่า พล.อ.อนุพงษ์ได้เร่งรัดให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีมาตรการหาผู้ก่อเหตุระเบิดมาลงโทษให้ได้ พร้อมแสดงเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์การก่อวินาศกรรม โดยเน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจควบคุมสถานการณ์ไว้ให้ได้ นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้มีการหารือถึงมาตรการในการรักษาความปลอดภัยในงานวันกาชาด ระหว่างวันที่ 31 มีนาคม-7 เมษายน เนื่องจากสถานที่จัดงานใกล้เคียงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) กล่าวว่า ขอเตือนกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ก่อเหตุป่วนเมือง ซึ่งล่าสุดก่อเหตุที่ทำเนียบรัฐบาล โดยใช้ประทัดกระเทียมมัดรวมกันก่อนใช้หนังสติ๊กยิงเข้าไปในในจุดที่เจ้าหน้าที่ยืนอยู่ ซึ่ง ศอ.รส.สั่งให้ตำรวจดำเนินการอย่างเด็ดขาด เนื่องจากมีการจับภาพเอาไว้ได้ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามตัว พร้อมแจ้งให้การ์ดคนเสื้อแดงช่วยกันหา หากเป็นคนเสื้อแดงก็ให้ประสานมา และเมื่อวันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา พบของกลางจำนวนหนึ่ง จึงให้ตำรวจประสานงานเพื่อรับภาพกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 1 แล้ว ส่วนจะเป็นกลุ่มใดขอให้จับตัวได้ก่อน
ส่วนพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 กล่าวถึงเหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงใส่ธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมาว่า ตำรวจ สน.นางเลิ้ง ได้ส่งพยานที่เห็นหน้าคนร้ายไปทำการสเก๊ตช์ภาพที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร และพยานยืนยันว่ามีลักษณะคล้ายเหมือนคนร้าย 70% นอกจากนี้ยังได้ภาพจากกล้องวงจรปิดของธนาคารและของ กทม. ที่เห็นผู้ต้องสงสัยมีผ้าปิดคาดปากสีขาว ใส่เสื้อคลุมแจ๊คเก็ตเขียว กางเกงสแล็คส์สีดำ หมวกแก๊ปสีแดง เป็นชายไทยสูงประมาณ 165 เซนติเมตร ผิวสีดำแดง อายุประมาณ 30 ปี พร้อมตั้งรางวัล 2 แสนบาท ให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ โดยแจ้งได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ของตน 08-1443-2639
พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองบังคับการปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวถึงเหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการก่อเหตุยิงถล่มธนาคารกรุงเทพหลายแห่งว่า ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ และ พ.ต.ท.อดินันท์ ชัยนันท์ รอง ผกก.1 บก.ป. จัดกำลังลงพื้นที่สืบสวนในเชิงลึก และดูว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมีความเชื่อมโยงกันอย่างไรบ้าง โดยจะสืบสวนคนละส่วนกับชุดสืบสวนของ บช.น. ซึ่งเบื้องต้นได้ข้อมูลบางอย่างมาแล้วว่าเป็นกลุ่มไหน แต่ต้องนำข้อมูลมาวิเคราะห์ว่า กลุ่มใดบ้างที่เป็นผู้ลงมือก่อเหตุป่วนดังกล่าว
ข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนของ กก.1 บก.ป.ยังจัดชุดสืบสวนแกะรอยเส้นทางเงินของกลุ่มผู้ต้องสงสัย เพื่อดูว่ามีการเคลื่อนไหวผิดปกติหรือไม่
ส่วนกรณีคนร้ายขว้างระเบิดใส่บริเวณบ้านพักนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ กทม. เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมานั้น เมื่อเวลา 14.00 น. แกนนำ และ ส.ส.ชทพ. นำโดย พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ประธานที่ปรึกษา ชทพ. นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้า ชทพ. นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล และนายนิกร จำนง ที่ปรึกษาหัวหน้า ชทพ. และอดีตแกนนำพรรคชาติไทย ทยอยเข้ามอบช่อดอกไม้ให้กำลังใจนายบรรหาร ทั้งนี้ พล.ต.สนั่นกล่าวให้กำลังใจนายบรรหารว่า ทุกคนใน ชทพ.เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของนายบรรหาร และขอยืนเคียงข้างนายบรรหาร เพราะทุกคนมั่นใจว่านายบรรหาร คิดดีทำดีต่อบ้านเมืองที่ทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปให้ได้
ด้านนายบรรหารกล่าวตอบว่า ตกเป็นเป้าทางการเมืองตั้งแต่สมัยเสื้อเหลือง เคยถูกขู่เผาบ้าน แต่ไม่กลัว เพราะทำงานการเมืองมา 30 ปี อะไรที่คิดว่าเป็นทางออกให้บ้านเมืองก็จะช่วย และขอขอบคุณทุกคนที่เชื่อมั่น การมาให้กำลังใจทำให้มีกำลังใจ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าปัญหาบ้านเมืองในขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤต จึงขอให้ทุกคนช่วยกันประคับประคอง
ต่อมานายบรรหารให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า ไม่รู้สึกเครียดกับเหตุที่เกิดขึ้น สบายๆ เมื่อถามย้ำว่า กลัวหรือไม่ที่จะถูกเหตุร้ายเข้าตัว นายบรรหารกล่าวว่า "ไม่กลัว คนเราเมื่อทำถูกต้องเสียอย่างจะกลัวอะไร พระต้องคุ้มครอง"
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรค ว่านายสุเทพได้ชี้แจงเรื่องการยิงระเบิดที่เกิดขึ้นมาในช่วงนี้ว่า กลุ่มที่อยู่เบื้องหลังมีหลายกลุ่ม และจ้างกันเป็นทอดๆ มีทั้งนายทหารเก่าและตำรวจเก่า ที่รู้ช่องทาง ทำให้ยากต่อการจับกุม ดังนั้น จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่ติดอาวุธทุกจุด โดยเฉพาะสายตรวจ ยกเว้นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในที่ชุมนุม
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
สดศรีจี้เร่งคดีเงินบริจาคปชป.258ล.ให้เสร็จ

ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ - นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวถึงความคืบหน้าคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาทว่า ได้สอบถามจากคณะทำงานเมื่อวันที่ 29 มี.ค.ที่ผ่านมาก็บอกว่ายังไม่แล้วเสร็จ เพราะ 2 บริษัทที่ทางคณะทำงานได้มีหนังสือให้มาชี้แจงยงไม่เข้าให้ปากคำ แต่ก่อนหน้านี้ประธานคณะทำงานฯก็ได้ระบุถึงความคืบหน้าของการแล้วเสร็จไปกว่า 80 % ดังนั้นตนคิดว่าควรจะเร่งรัดเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นมี.ค.นี้ ถึงแม้จะเหลืออีกเพียงวันเดียว และประธานคณะทำงานฯก็เคยบอกว่าจะทำให้เสร็จ
เมื่อถามว่ากกต.ยังไม่พิจารณาเรื่องนี้เพราะเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อการเมืองใช่หรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า เราไม่ได้ดูมิติทางการเมืองที่เกิดขึ้น ถ้าเราทำถูกต้องอะไรจะเกิดแล้วเราไปหลีกเลี่ยง หรือหวั่นวิตกต่อสถานการณ์ ก็ไม่ต้องทำหน้าที่กัน อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวเห็นว่าเรื่องที่มีการร้องนั้นแยกออกเป็น 2 ส่วน คือกรณีของเงินบริจาค 258 ล้านบาท และการใช้เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาทผิดวัตถุประสงค์ ถ้าคณะทำงานพิจารณาเรื่องใดแล้วเสร็จก็น่าที่จะเสนอมาให้กกต.พิจารณาได้เลย
ส่วนเรื่องเงินบริจาคยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จก็ให้ตรวจสอบต่อไป แต่ที่พูดก็เป็นในฐานะกกต.ที่ไม่สามารถจะไปมีความเห็นชี้ขาดได้เลย เว้นแต่ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นก็ควรส่งเรื่องนี้ให้กับที่ประชุมกกต.พิจารณา เมื่อส่งมาก็คงจะได้พิจารณากัน เทาที่ทราบขณะนี้ประเด็นของการใช้เงินกองทุนนั้นคณะทำงานได้สอบสวนเสร็จแล้ว
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
************************************************
" พระนเรศวร " ตำนานนักต่อสู้ผู้ไม่มี(วัน)ตาย จาก"จักรพรรดิราช"สู่เบื้องหน้า"ม็อบแดง"สู้อำมาตย์???
การเคลื่อนม็อบแดง ยึดกรุง ทุกครั้ง จตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. จะต้องอัญเชิญพระองค์ดำ หรือ พระนเรศวร นำทัพเสื้อแดง สู้อำมาตย์ เอาเข้าจริง ตำนานอันยิ่งใหญ่ของพระนเรศวร ถูกนำมารับใช้การเมืองตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา จากยุควีรกรรมของพระมหากษัตริย์อันยิ่งใหญ่ มาสู่ชาตินิยม จนมาล่าสุด พระนเรศวร ถูกอัญเชิญมาอยู่ เบื้องหน้าคนเสื้อแดง เหตุใด จึงเป็นเช่นนั้น เรามีคำตอบ
...สมเด็จพระนเรศวรเปรียบเสมือนวีรบุรุษของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ราชสำนักในแต่ละยุค "สร้าง" สมเด็จพระนเรศวรให้สอดคล้องกับคติความเชื่อและความคิดทางการเมืองของตน ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภาพของสมเด็จพระนเรศวรเป็นไปในแนวทางจักรพรรดิราชและธรรมราชาภายใต้โลกทัศน์แบบศาสนา
เนื่องด้วยคติที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงอยุธยา เรื่องของสมเด็จพระนเรศวรเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันความชอบธรรมในการปกครองและเป็นเสมือนตำราในการศึกษาเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีของพระราชวงศ์ในอดีต
งานเขียนเหล่านี้จึงมักเป็นพระราชพงศาวดารที่เสพกันเฉพาะชนชั้นในราชสำนักเท่านั้น
ทว่าเมื่อโลกทัศน์ของชนชั้นนำเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบทางโลกย์มากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์ภายในคือความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนางและสถานการณ์ภายนอกคือลัทธิจักรวรรดินิยม ทำให้เกิดการปฏิรูปการปกครองในรัชกาลที่ 5 เกิดสำนึกความเป็นชาติ
สำนึกถึงขอบเขตของดินแดนสมเด็จพระนเรศวรจึงกลายเป็นพระมหากษัตริย์นักรบผู้ปกป้องประเทศ กู้เอกราชชาติภายใต้โครงเรื่องแบบ "ราชาชาตินิยม" วีรกรรมของพระองค์แพร่ลงมาสู่ประชาชนเพื่อปลูกฝังประวัติศาสตร์และความเป็นชาติ
ความคิดแนวนี้ถูกผลิตซ้ำโดยราชสำนัก ทั้งผ่านหนังสือ บทละคร และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในที่สุด เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พระราชประวัติของพระองค์ยังกลายเป็นบทเรียนและสัญญาณที่บ่งบอกถึงการต่อสู้ของคณะเจ้าต่อคณะราษฎร จะเห็นได้ว่าสมเด็จพระนเรศวรยังทรงเป็นผู้ที่ราชสำนักไทยให้ความสำคัญและยังคงนึกถึงอยู่เสมอ
เรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรยังคงถูกสร้างต่อ ๆ มาในหลายรูปแบบ แต่เปลี่ยนมือผู้สร้างจากราชสำนักมาเป็นสามัญชน กองทัพ เรื่องราวของพระองค์เป็นประโยชน์ในเรื่องการทหาร มีการสถาปนาวันกองทัพบกไทยขึ้นมาใน พ.ศ. 2495 ตรงกับวันที่ 25 มกราคมของทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา กองทัพใช้เรื่องสมเด็จพระนเรศวรอธิบายประวัติความเป็นมาของตนเองว่ามีความเป็นมายาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทย
ในยุคสงครามเย็น พระองค์เป็นเสมือนสัญลักษณ์ในการต่อสู้กับ "คอมมิวนิสต์" พระบรมราชานุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นมามากมาย รวมทั้งเกิดเพลงปลุกใจ "ทหารพระนเรศวร" และ "มาร์ชนเรศวร" เมื่อสถานการณ์ภัยแดงเริ่มคลี่คลาย อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรกลายเป็นสถานที่สักการะบูชาและบนบานของประชาชน เกิดการนำวีรกรรมของพระองค์ไปประกอบการแสดงแสงสีเสียง แต่งเป็นนวนิยายเรื่องต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตคือ ไม่ว่าผู้สร้างเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นชนชั้นใด พระองค์มักได้รับการนำเสนอแบบ "ด้านเดียว" มาตลอด คือความเป็นกษัตริย์นักรบ แม้จะมีความพยายามเสนอภาพอื่น ๆ บ้าง
เช่น นวนิยายหลายเรื่องที่เขียนให้พระองค์มีการกระทำและอารมณ์หลากหลาย ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น นำเสนอเรื่องความรักของพระองค์ซึ่งไม่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร แต่ก็ไม่สามารถแทนภาพกษัตริย์นักรบที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนานได้เลย
เรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ หลายสถานการณ์ โดยบุคคลหลายระดับ หลายกลุ่ม ทุกคนกลายเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยจำกัดวงอยู่ในราชสำนักเท่านั้น
แต่ละคนนำเอาประวัติศาสตร์ไปสร้างประโยชน์ สร้างความเชื่อมั่นศรัทธาบางอย่างให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
ความเป็นวีรบุรุษของสมเด็จพระนเรศวรจะคงอยู่ในสังคมไทยต่อไป แต่ในอนาคตจะถูกใช้อย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือมากมายแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับเวลา สถานการณ์ในอนาคต และ "มนุษย์" ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในการเขียนและสร้างประวัติศาสตร์มาทุกยุคทุกสมัย!!!
( หมายเหตุ จาก งานวิจัย ปริญญาโท ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษาศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง ภาพลักษณ์สมเด็จพระนเรศวร ของราชสำนักไทย สมัยรัตนโกสินทร์ ถึงทศวรรษ 2480 ของ วริศรา ตั้งค้าวานิช )
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
***********************************************
...สมเด็จพระนเรศวรเปรียบเสมือนวีรบุรุษของราชสำนักมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ราชสำนักในแต่ละยุค "สร้าง" สมเด็จพระนเรศวรให้สอดคล้องกับคติความเชื่อและความคิดทางการเมืองของตน ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ภาพของสมเด็จพระนเรศวรเป็นไปในแนวทางจักรพรรดิราชและธรรมราชาภายใต้โลกทัศน์แบบศาสนา
เนื่องด้วยคติที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงอยุธยา เรื่องของสมเด็จพระนเรศวรเป็นสิ่งหนึ่งที่ยืนยันความชอบธรรมในการปกครองและเป็นเสมือนตำราในการศึกษาเรื่องราวขนบธรรมเนียมประเพณีของพระราชวงศ์ในอดีต
งานเขียนเหล่านี้จึงมักเป็นพระราชพงศาวดารที่เสพกันเฉพาะชนชั้นในราชสำนักเท่านั้น
ทว่าเมื่อโลกทัศน์ของชนชั้นนำเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบทางโลกย์มากขึ้น รวมทั้งสถานการณ์ภายในคือความขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนางและสถานการณ์ภายนอกคือลัทธิจักรวรรดินิยม ทำให้เกิดการปฏิรูปการปกครองในรัชกาลที่ 5 เกิดสำนึกความเป็นชาติ
สำนึกถึงขอบเขตของดินแดนสมเด็จพระนเรศวรจึงกลายเป็นพระมหากษัตริย์นักรบผู้ปกป้องประเทศ กู้เอกราชชาติภายใต้โครงเรื่องแบบ "ราชาชาตินิยม" วีรกรรมของพระองค์แพร่ลงมาสู่ประชาชนเพื่อปลูกฝังประวัติศาสตร์และความเป็นชาติ
ความคิดแนวนี้ถูกผลิตซ้ำโดยราชสำนัก ทั้งผ่านหนังสือ บทละคร และภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในที่สุด เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 พระราชประวัติของพระองค์ยังกลายเป็นบทเรียนและสัญญาณที่บ่งบอกถึงการต่อสู้ของคณะเจ้าต่อคณะราษฎร จะเห็นได้ว่าสมเด็จพระนเรศวรยังทรงเป็นผู้ที่ราชสำนักไทยให้ความสำคัญและยังคงนึกถึงอยู่เสมอ
เรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรยังคงถูกสร้างต่อ ๆ มาในหลายรูปแบบ แต่เปลี่ยนมือผู้สร้างจากราชสำนักมาเป็นสามัญชน กองทัพ เรื่องราวของพระองค์เป็นประโยชน์ในเรื่องการทหาร มีการสถาปนาวันกองทัพบกไทยขึ้นมาใน พ.ศ. 2495 ตรงกับวันที่ 25 มกราคมของทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นวันที่สมเด็จพระนเรศวรกระทำยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา กองทัพใช้เรื่องสมเด็จพระนเรศวรอธิบายประวัติความเป็นมาของตนเองว่ามีความเป็นมายาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทย
ในยุคสงครามเย็น พระองค์เป็นเสมือนสัญลักษณ์ในการต่อสู้กับ "คอมมิวนิสต์" พระบรมราชานุสาวรีย์ถูกสร้างขึ้นมามากมาย รวมทั้งเกิดเพลงปลุกใจ "ทหารพระนเรศวร" และ "มาร์ชนเรศวร" เมื่อสถานการณ์ภัยแดงเริ่มคลี่คลาย อนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรกลายเป็นสถานที่สักการะบูชาและบนบานของประชาชน เกิดการนำวีรกรรมของพระองค์ไปประกอบการแสดงแสงสีเสียง แต่งเป็นนวนิยายเรื่องต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตคือ ไม่ว่าผู้สร้างเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรจะเป็นชนชั้นใด พระองค์มักได้รับการนำเสนอแบบ "ด้านเดียว" มาตลอด คือความเป็นกษัตริย์นักรบ แม้จะมีความพยายามเสนอภาพอื่น ๆ บ้าง
เช่น นวนิยายหลายเรื่องที่เขียนให้พระองค์มีการกระทำและอารมณ์หลากหลาย ดูเป็นมนุษย์มากขึ้น นำเสนอเรื่องความรักของพระองค์ซึ่งไม่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร แต่ก็ไม่สามารถแทนภาพกษัตริย์นักรบที่ถูกสั่งสมมาอย่างยาวนานได้เลย
เรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ หลายสถานการณ์ โดยบุคคลหลายระดับ หลายกลุ่ม ทุกคนกลายเป็นเจ้าของประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยจำกัดวงอยู่ในราชสำนักเท่านั้น
แต่ละคนนำเอาประวัติศาสตร์ไปสร้างประโยชน์ สร้างความเชื่อมั่นศรัทธาบางอย่างให้แก่ตนเองและพวกพ้อง
ความเป็นวีรบุรุษของสมเด็จพระนเรศวรจะคงอยู่ในสังคมไทยต่อไป แต่ในอนาคตจะถูกใช้อย่างไร เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรหรือมากมายแค่ไหน ก็ต้องขึ้นอยู่กับเวลา สถานการณ์ในอนาคต และ "มนุษย์" ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงพลังที่สุดในการเขียนและสร้างประวัติศาสตร์มาทุกยุคทุกสมัย!!!
( หมายเหตุ จาก งานวิจัย ปริญญาโท ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษาศาสตร์ จุฬาฯ เรื่อง ภาพลักษณ์สมเด็จพระนเรศวร ของราชสำนักไทย สมัยรัตนโกสินทร์ ถึงทศวรรษ 2480 ของ วริศรา ตั้งค้าวานิช )
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
***********************************************
ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์ตบหน้ามาร์ค มติคนกรุง 66% ให้ออก+ยุบสภา
ธุรกิจบัณฑิตย์โพล โดยศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ทำการสำรวจความคิดเห็นของชาวกรุงเทพฯ เกี่ยวกับนายกรัฐมนตรี โดยทำการสำรวจชาวกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนทั้งสิ้น 1,479 คน กระจายตาม อาชีพ อายุ และการศึกษา ระหว่างวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2553 พบว่า
ชาวกรุงเทพฯ ร้อยละ 34.57 เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะสามารถดำรงตำแหน่งต่อไปอีกได้ไม่เกิน 9 เดือน ร้อยละ 26.95 เชื่อว่าจะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกไม่เกิน 6 เดือน มีเพียงร้อยละ 8.55 เท่านั้น ที่เชื่อว่าอยู่จนครบวาระ ใน สภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ชาวกรุงเทพฯ ร้อยละ 46.37 อยากให้มีการยุบสภา ร้อยละ 33.09 อยากให้รัฐบาลอยู่แก้ปัญหาต่อไป และร้อยละ 19.46 อยากให้นายกรัฐมนตรีลาออก
สำหรับความคิดเห็นเรื่องการพิจารณายึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรในวันที่ 26 ก.พ. พบว่า ชาวกรุงเทพฯ ร้อยละ 60.20 คิดว่าจะถูกยึดทรัพย์บางส่วน มีเพียงร้อยล 14.00 เท่านั้นที่คิดว่าจะไม่ถูกยึดทรัพย์เลย และเมื่อถามว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จะมีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกหรือไม่ ชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ร้อยละ 36.36 คิดว่ามีโอกาสค่อนข้างน้อย และไม่มีโอกาสเลยถึงร้อยละ 35.12
บุคคลที่ชาวกรุงเทพฯ อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 43.85) รองลงมา คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (ร้อยละ 29.91) และนายชวน หลีกภัย (ร้อยละ 8.81) ตามลำดับ
ในบรรดานายกรัฐมนตรีที่ประเทศไทยเคยมีมา ชาวกรุงเทพฯ ชอบพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มากที่สุด (ร้อยละ 34.89) รองลงมา คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 22.59) และนายชวน หลีกภัย (ร้อยละ 19.39) ตามลำดับ
ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ที่ปรึกษา
รศ.ดร.สรชัย พิศาลบุตร ผู้รับผิดชอบ
อาจารย์มนฤดี กีรติพรานนท์ ผู้รับผิดชอบ
ธุรกิจบัณฑิตย์โพล
*********************************************
ชาวกรุงเทพฯ ร้อยละ 34.57 เชื่อว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันจะสามารถดำรงตำแหน่งต่อไปอีกได้ไม่เกิน 9 เดือน ร้อยละ 26.95 เชื่อว่าจะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกไม่เกิน 6 เดือน มีเพียงร้อยละ 8.55 เท่านั้น ที่เชื่อว่าอยู่จนครบวาระ ใน สภาพเศรษฐกิจและการเมืองที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ ชาวกรุงเทพฯ ร้อยละ 46.37 อยากให้มีการยุบสภา ร้อยละ 33.09 อยากให้รัฐบาลอยู่แก้ปัญหาต่อไป และร้อยละ 19.46 อยากให้นายกรัฐมนตรีลาออก
สำหรับความคิดเห็นเรื่องการพิจารณายึดทรัพย์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรในวันที่ 26 ก.พ. พบว่า ชาวกรุงเทพฯ ร้อยละ 60.20 คิดว่าจะถูกยึดทรัพย์บางส่วน มีเพียงร้อยล 14.00 เท่านั้นที่คิดว่าจะไม่ถูกยึดทรัพย์เลย และเมื่อถามว่าอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร จะมีโอกาสกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกหรือไม่ ชาวกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ร้อยละ 36.36 คิดว่ามีโอกาสค่อนข้างน้อย และไม่มีโอกาสเลยถึงร้อยละ 35.12
บุคคลที่ชาวกรุงเทพฯ อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุดเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 43.85) รองลงมา คือ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร (ร้อยละ 29.91) และนายชวน หลีกภัย (ร้อยละ 8.81) ตามลำดับ
ในบรรดานายกรัฐมนตรีที่ประเทศไทยเคยมีมา ชาวกรุงเทพฯ ชอบพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มากที่สุด (ร้อยละ 34.89) รองลงมา คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ร้อยละ 22.59) และนายชวน หลีกภัย (ร้อยละ 19.39) ตามลำดับ
ศ.ดร.ไพฑูรย์ สินลารัตน์ ที่ปรึกษา
รศ.ดร.สรชัย พิศาลบุตร ผู้รับผิดชอบ
อาจารย์มนฤดี กีรติพรานนท์ ผู้รับผิดชอบ
ธุรกิจบัณฑิตย์โพล
*********************************************
เมื่อทัพเรือ ไม่พอใจทัพบก
ขณะนี้มีกำลังทหารบก จำนวน 3 กองร้อย
ได้เข้าประจำการที่พระราชวัง เดิม(กองบัญชาการกองทัพเรือ)
ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นพื้นที่ของทหารเรือ
และขณะนี้กองทัพเรือได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย ในการปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขา
ในส่วนของโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งก็ติดกับพระราชวังเดิมนั่นเอง
เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจ ให้กับทางกองทัพเรือเป็นอย่างมาก
ซึ่งได้มีการทัดทานและแย้งไปแล้วว่า นี่เป็นการก้าวก่ายหน้าที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายอารักขา เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ทรงมีพระราชประสงค์เป็นการเฉพาะ ให้กองทัพเรือปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขา
ตลอดทั้งพื้นที่
แต่ กองทัพบกโดยทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์
ได้สั่งให้กองกำลังดังกล่าวนั้นเข้า ประจำที่
ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวของในพื้นที่เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
แหล่งข่าวนายทหารเรือท่านนี้ได้ปรารภว่า (ซึ่งที่จริงเรียกว่าด่านั่นล่ะ)
นี่เป็นการก้าวก่ายหน้าที่กันอย่างน่า เกลียดและเป็นการขัดพระราชประสงค์
อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่าง ร้ายแรง
เรื่องนี้ทางกองทัพเรือโดย ผบ.ทร. กำลังหงุดหงิดไม่พอใจเป็นอย่างมาก
by ประจันบาล ประชาไท
************************************************
ได้เข้าประจำการที่พระราชวัง เดิม(กองบัญชาการกองทัพเรือ)
ซึ่งแน่นอนว่านั่นเป็นพื้นที่ของทหารเรือ
และขณะนี้กองทัพเรือได้รับการไว้วางพระราชหฤทัย ในการปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขา
ในส่วนของโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งก็ติดกับพระราชวังเดิมนั่นเอง
เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจ ให้กับทางกองทัพเรือเป็นอย่างมาก
ซึ่งได้มีการทัดทานและแย้งไปแล้วว่า นี่เป็นการก้าวก่ายหน้าที่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายอารักขา เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ทรงมีพระราชประสงค์เป็นการเฉพาะ ให้กองทัพเรือปฏิบัติหน้าที่ถวายอารักขา
ตลอดทั้งพื้นที่
แต่ กองทัพบกโดยทหารกลุ่มบูรพาพยัคฆ์
ได้สั่งให้กองกำลังดังกล่าวนั้นเข้า ประจำที่
ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวของในพื้นที่เหล่านี้เลยแม้แต่น้อย
แหล่งข่าวนายทหารเรือท่านนี้ได้ปรารภว่า (ซึ่งที่จริงเรียกว่าด่านั่นล่ะ)
นี่เป็นการก้าวก่ายหน้าที่กันอย่างน่า เกลียดและเป็นการขัดพระราชประสงค์
อันเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่าง ร้ายแรง
เรื่องนี้ทางกองทัพเรือโดย ผบ.ทร. กำลังหงุดหงิดไม่พอใจเป็นอย่างมาก
by ประจันบาล ประชาไท
************************************************
จุดอ่อนอันใหญ่ หลวงของนายอภิสิทธิ์ที่เขาไม่รู้ตัวคือ "คารมโวหาร" นี่แหละ
จุดอ่อนอันใหญ่ หลวงของนายอภิสิทธิ์ที่เขาไม่รู้ตัวคือ "คารมโวหาร" นี่แหละ เพราะมันขาด "ความน่าเชื่อถือ" โดยสิ้นเชิง
ทุกคนอาจคิดว่า จุดแข็งของนายอภิสิทธิ์คือ คารมโวหาร ที่ดูดีมีหลักการ หรือมีเหตุผลที่ดีเสมอ นั่นแหละ ซึ่งผมก็ไม่ปฎิเสธ ในช่วงแรกของชีวิตของนายอภิสิทธิ์ ที่ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไร การพูดอะไร โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำนั้น การพูดดี โวหารดี สำหรับคนหนุ่มที่ัยังไม่มี "ความรับผิดชอบ" ไม่มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ" นั้น ดูเหมือนว่าเป็น จุดแข็ง
แต่เมื่อมีตำแหน่ง มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องมาเป็นอันดับแรก คือ "การทำตามสิ่งที่เราพูดเอาไว้" เพื่อให้คำพูดของเรา "มีความน่าเชื่อถือ"
ไม่ใช่ หาโวหารมาอธิบายว่าทำไม "ไม่ทำตามสิ่งที่พูด" เมื่อทำแรกๆ คนอาจ งงๆ ยังไม่รู้ตัว แต่เมื่อทำเป็นนิสัย คนจะเริ่มไม่ฟัง "คารมโวหาร" ที่ดูดีมีหลักการ แต่มันคือ "การแก้ตัวว่าทำไมไม่ทำตามสิ่งที่เราได้พูดเอาไว้"
ในที่สุด คนก็จะตีตราว่า "คำพูดเราไม่มีความน่าเชื่อถือ" เชื่อถือไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในเวลานี้ต่อให้ นายอภิสิทธิ์พูดดี มีหลักการ โวหารน่าฟังขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่มีใครฟังสิ่งที่เขาพูดเพราะมันเป็นแค่ "คำแก้ตัว" ว่า ทำไมทำตามสิ่งที่พูดไม่ได้
ในที่สุด "การรับรู้ของคนทั่วไปคือ "นายอภิสิทธิ์เป็นคนไม่มีความน่าเชื่อถือ "โดยสิ้นเชิง
คำพูดทุกคำเป็นเพียงโวหาร ที่ประดิษฐประดอยขึ้นมาเท่านั้น และไร้สาระที่จะไปฟัง
ผมไม่เคยฟังสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดมานานแล้ว เพราะผมเบื่อที่จะฟังคำแก้ตัว คำพูดสวยหรู คำแก้ตัวสวยหรูนั้นใครก็ทำได้
ปัญหาของ "คนที่เป็นผู้ใหญ่" คือ รักษาคำพูด และทำตามสิ่งที่เราพูดเอาไว้ เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ
เราต้องเป็นบุคคลที่ "น่าเชื่อถือ" ไม่ใช่คนพูดดี โวหารดี แต่ตลบตะแลง เชื่อถือไม่ได้
สำหรับนายอภิสิทธิ์ แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในสายตาผมคือ คนหน้าตาดี ตลบตะแลง ไม่รักษาคำพูด และแก้ตัวเก่ง เป็นลักษณะของ "ทุรชน" อย่างแท้จริง
คำพูดของเขาที่ติดปากคือ "ผมไม่อยากที่จะแก้ตัวเลย "แต่" แล้ว ก็ Bla bla aaaa แก้ตัวอีกสองชั่วโมง" ช่วงนีหากเราดูโทรทัศน์ ก็กดปิดคำพูด "แก้ตัวของเขาได้"
by ลูกชาวนาไทย ประชาไท
****************************************************
ทุกคนอาจคิดว่า จุดแข็งของนายอภิสิทธิ์คือ คารมโวหาร ที่ดูดีมีหลักการ หรือมีเหตุผลที่ดีเสมอ นั่นแหละ ซึ่งผมก็ไม่ปฎิเสธ ในช่วงแรกของชีวิตของนายอภิสิทธิ์ ที่ไม่ได้มีความรับผิดชอบอะไร การพูดอะไร โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำนั้น การพูดดี โวหารดี สำหรับคนหนุ่มที่ัยังไม่มี "ความรับผิดชอบ" ไม่มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ" นั้น ดูเหมือนว่าเป็น จุดแข็ง
แต่เมื่อมีตำแหน่ง มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่ต้องมาเป็นอันดับแรก คือ "การทำตามสิ่งที่เราพูดเอาไว้" เพื่อให้คำพูดของเรา "มีความน่าเชื่อถือ"
ไม่ใช่ หาโวหารมาอธิบายว่าทำไม "ไม่ทำตามสิ่งที่พูด" เมื่อทำแรกๆ คนอาจ งงๆ ยังไม่รู้ตัว แต่เมื่อทำเป็นนิสัย คนจะเริ่มไม่ฟัง "คารมโวหาร" ที่ดูดีมีหลักการ แต่มันคือ "การแก้ตัวว่าทำไมไม่ทำตามสิ่งที่เราได้พูดเอาไว้"
ในที่สุด คนก็จะตีตราว่า "คำพูดเราไม่มีความน่าเชื่อถือ" เชื่อถือไม่ได้โดยสิ้นเชิง ในเวลานี้ต่อให้ นายอภิสิทธิ์พูดดี มีหลักการ โวหารน่าฟังขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่มีใครฟังสิ่งที่เขาพูดเพราะมันเป็นแค่ "คำแก้ตัว" ว่า ทำไมทำตามสิ่งที่พูดไม่ได้
ในที่สุด "การรับรู้ของคนทั่วไปคือ "นายอภิสิทธิ์เป็นคนไม่มีความน่าเชื่อถือ "โดยสิ้นเชิง
คำพูดทุกคำเป็นเพียงโวหาร ที่ประดิษฐประดอยขึ้นมาเท่านั้น และไร้สาระที่จะไปฟัง
ผมไม่เคยฟังสิ่งที่นายอภิสิทธิ์พูดมานานแล้ว เพราะผมเบื่อที่จะฟังคำแก้ตัว คำพูดสวยหรู คำแก้ตัวสวยหรูนั้นใครก็ทำได้
ปัญหาของ "คนที่เป็นผู้ใหญ่" คือ รักษาคำพูด และทำตามสิ่งที่เราพูดเอาไว้ เพื่อให้มีความน่าเชื่อถือ
เราต้องเป็นบุคคลที่ "น่าเชื่อถือ" ไม่ใช่คนพูดดี โวหารดี แต่ตลบตะแลง เชื่อถือไม่ได้
สำหรับนายอภิสิทธิ์ แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในสายตาผมคือ คนหน้าตาดี ตลบตะแลง ไม่รักษาคำพูด และแก้ตัวเก่ง เป็นลักษณะของ "ทุรชน" อย่างแท้จริง
คำพูดของเขาที่ติดปากคือ "ผมไม่อยากที่จะแก้ตัวเลย "แต่" แล้ว ก็ Bla bla aaaa แก้ตัวอีกสองชั่วโมง" ช่วงนีหากเราดูโทรทัศน์ ก็กดปิดคำพูด "แก้ตัวของเขาได้"
by ลูกชาวนาไทย ประชาไท
****************************************************
ระวังปาหี่..!!??
วันนี้คนเสื้อแดงจะนัดชุมนุมใหญ่ เคลื่อนพลทั่ว กทม. กดดันให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา ท่ามกลางกระแสข่าว ทหารหมดความอดทน รอไฟเขียวเข้ามาเป็นตาอยู่ ยึดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จอีกกระทอก อย่างที่เคยเกริ่นไว้แล้วว่า ช่องทางของ รัฐบาลแห่งชาติ หรือรัฐบาลชั่วคราวสุดแล้วแต่จะเรียกขาน เป็นช่องทางออกสุดท้ายของปัญหาวิกฤติการเมืองไทย
ก็มีการวิจารณ์กันว่า บางคนในกองทัพ จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการยึดอำนาจ แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว การยึดอำนาจในบ้านเรา ทุกครั้งจะต้อง มีเอกภาพและมีการรับรอง เพราะฉะนั้น รูปแบบของการปฏิวัติรัฐประหารเมืองไทยมีสูตรสำเร็จที่จะเห็นบรรดา ผบ.เหล่าทัพมานั่งหน้าสลอนแถลงข่าวถึงเหตุผลในการยึดอำนาจและมีโฆษกคณะปฏิวัติที่มานั่งแถลงข่าวโปรดฟังอีกครั้ง ทุกอย่างก็เรียบร้อยโรงเรียนทหาร
จะให้เป็นหน้าที่บางคนในกองทัพคนเดียวคงทำไม่ได้
เนื้อแท้ของการยึดอำนาจในประเทศไทยจบที่ เรื่องของผลประโยชน์ชั่วคราว คนที่เข้ามาร่างกฎหมาย เขียนประกาศคณะปฏิวัติ มาเป็นรัฐบาลชั่วคราว มาเป็นนายกฯ มาเป็นรัฐมนตรี หรือองค์กร ต่างๆในระบบการบริหารก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
ในฐานะตาอยู่ ผู้นำกองทัพไม่ได้หวังอะไรมากจากการยึดอำนาจแต่ละครั้ง โชคดีอาจจะมีตำแหน่งติดไม้ติดมือกลับบ้าน หรือมีโบนัสก้อนโต เอาไว้กินไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิตอย่างสุขสบาย ส่วนหน้าที่การตามล้างตามเช็ดต่อไปเป็นหน้าที่ของนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนที่จะตามน้ำกันต่อไปอย่างไร
การเมืองก็คือเรื่องของผลประโยชน์
จะบนผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ที่ไม่สลับซับซ้อน การออกมารักษาความสงบของเจ้าหน้าที่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ระดับเด็กๆรับไปวันละ 400 บาท จ่ายสดซะด้วย ส่วนจะถึงมือลูกน้องเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง
ผลพลอยได้จากการไล่รัฐบาลโดยเฉพาะแกนนำผู้ชุมนุมนั้น คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันให้เมื่อยตุ้ม เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่แทงกั๊กกันอุตลุด ระหว่างแกนนำเสื้อแดง แกนนำพรรคฝ่ายค้าน บ้านเลขที่ 111
วันนี้ถ้าฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตยรวมตัวกันเหนียวแน่นจริงๆ เสียสละเพื่อส่วนรวม กันจริงๆก็คงไม่มีสภาพเหมือนทุกวันนี้ ประเภท รักตัวกลัวตาย อาบน้ำแต่งตัวรอรับตำแหน่ง มีเยอะกว่านักสู้เพื่อประชาธิปไตย ใจไม่ถึงเหมือนลุงนวมทองหรือชาวบ้านที่ไปนั่งทนร้อนทนหนาวอยู่บนถนนราชดำเนิน
ว่ากันว่าจะคิด จะเจรจา จะดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างไร เป็น อำนาจของ สามเกลอ แม้แต่ นายใหญ่ ก็ยังพูดอะไรได้ไม่เต็มปาก ถ้าสู้กันแบบมีนอกมีในอย่างนี้ หนทางที่จะเอาชนะรัฐบาลที่เชี่ยวการเมืองเช่นพรรคประชาธิปัตย์ได้ยาก ยิ่งมีตัวช่วย ไม้ค้ำ เป็นกรณีพิเศษ ดังนั้น การเรียกร้องมาตรฐานความเป็นธรรมและเสมอภาค ในสังคมไทยอาจจะเหนื่อยฟรีหรือไม่ต้องใช้เวลาอีกยาวนาน.
หมัดเหล็ก
ไทยรัฐออนไลน์
โดย หมัดเหล็ก
tags:
คาบลูกคาบดอก หมัดเหล็ก เสื้อแดง Share |
ก็มีการวิจารณ์กันว่า บางคนในกองทัพ จะเป็นตัวตั้งตัวตีในการยึดอำนาจ แต่ถ้าจะว่ากันตามจริงแล้ว การยึดอำนาจในบ้านเรา ทุกครั้งจะต้อง มีเอกภาพและมีการรับรอง เพราะฉะนั้น รูปแบบของการปฏิวัติรัฐประหารเมืองไทยมีสูตรสำเร็จที่จะเห็นบรรดา ผบ.เหล่าทัพมานั่งหน้าสลอนแถลงข่าวถึงเหตุผลในการยึดอำนาจและมีโฆษกคณะปฏิวัติที่มานั่งแถลงข่าวโปรดฟังอีกครั้ง ทุกอย่างก็เรียบร้อยโรงเรียนทหาร
จะให้เป็นหน้าที่บางคนในกองทัพคนเดียวคงทำไม่ได้
เนื้อแท้ของการยึดอำนาจในประเทศไทยจบที่ เรื่องของผลประโยชน์ชั่วคราว คนที่เข้ามาร่างกฎหมาย เขียนประกาศคณะปฏิวัติ มาเป็นรัฐบาลชั่วคราว มาเป็นนายกฯ มาเป็นรัฐมนตรี หรือองค์กร ต่างๆในระบบการบริหารก็คนคุ้นเคยกันทั้งนั้น
ในฐานะตาอยู่ ผู้นำกองทัพไม่ได้หวังอะไรมากจากการยึดอำนาจแต่ละครั้ง โชคดีอาจจะมีตำแหน่งติดไม้ติดมือกลับบ้าน หรือมีโบนัสก้อนโต เอาไว้กินไว้ใช้ในบั้นปลายของชีวิตอย่างสุขสบาย ส่วนหน้าที่การตามล้างตามเช็ดต่อไปเป็นหน้าที่ของนักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนที่จะตามน้ำกันต่อไปอย่างไร
การเมืองก็คือเรื่องของผลประโยชน์
จะบนผลประโยชน์ของชาติหรือผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ที่ไม่สลับซับซ้อน การออกมารักษาความสงบของเจ้าหน้าที่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ระดับเด็กๆรับไปวันละ 400 บาท จ่ายสดซะด้วย ส่วนจะถึงมือลูกน้องเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ เป็นอีกเรื่อง
ผลพลอยได้จากการไล่รัฐบาลโดยเฉพาะแกนนำผู้ชุมนุมนั้น คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันให้เมื่อยตุ้ม เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่แทงกั๊กกันอุตลุด ระหว่างแกนนำเสื้อแดง แกนนำพรรคฝ่ายค้าน บ้านเลขที่ 111
วันนี้ถ้าฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตยรวมตัวกันเหนียวแน่นจริงๆ เสียสละเพื่อส่วนรวม กันจริงๆก็คงไม่มีสภาพเหมือนทุกวันนี้ ประเภท รักตัวกลัวตาย อาบน้ำแต่งตัวรอรับตำแหน่ง มีเยอะกว่านักสู้เพื่อประชาธิปไตย ใจไม่ถึงเหมือนลุงนวมทองหรือชาวบ้านที่ไปนั่งทนร้อนทนหนาวอยู่บนถนนราชดำเนิน
ว่ากันว่าจะคิด จะเจรจา จะดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างไร เป็น อำนาจของ สามเกลอ แม้แต่ นายใหญ่ ก็ยังพูดอะไรได้ไม่เต็มปาก ถ้าสู้กันแบบมีนอกมีในอย่างนี้ หนทางที่จะเอาชนะรัฐบาลที่เชี่ยวการเมืองเช่นพรรคประชาธิปัตย์ได้ยาก ยิ่งมีตัวช่วย ไม้ค้ำ เป็นกรณีพิเศษ ดังนั้น การเรียกร้องมาตรฐานความเป็นธรรมและเสมอภาค ในสังคมไทยอาจจะเหนื่อยฟรีหรือไม่ต้องใช้เวลาอีกยาวนาน.
หมัดเหล็ก
ไทยรัฐออนไลน์
โดย หมัดเหล็ก
tags:
คาบลูกคาบดอก หมัดเหล็ก เสื้อแดง Share |
วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553
เปิดวิวาทะเดือด !! "อภิสิทธิ์-จตุพร" ชง6ประเด็นอัดนายกฯ "มาร์ค"แบะท่าขอเวลา9เดือนแก้รธน.-ยุบสภา
นายกฯเปิดโต๊ะเจรจาวันที่2 "จตุพร"ยิงคำถาม"มาร์ค"เคยบอก"สมัคร"ให้ยุบสภาแก้ปัญหา สื่อบันทึกภาพเพียบ
การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายระหว่าง รัฐบาล และ 3 แกนนำนปช. ในวันที่ 2 เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 18.20 น. โดยใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ พยายามเสนอระยะเวลาให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน และประชาชนลงประชามติ จากนั้นจึงยุบสภา โดยใช้เวลา 9 เดือน ซึ่งนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช. ก็มีแนวโน้มจะรับไปพิจารณา โดยให้ทั้งฝ่ายไปจัดทำแผนรายละเอียดระยะเวลาร่วมกันของแต่ละฝ่าย และนำกลับมาหารืออีกครั้งในวันพฤหัสฯที่ 1 เมษายน แต่ในตอนท้าย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว โดยกล่าวสรุปว่า ข้อเสนอของนปช.ในวันนี้ให้นายกฯยุบสภาภายใน 15 วันไม่ได้รับการตอบสนอง ส่วนข้อเสนอใหม่ของรัฐบาลในวันนี้ ให้ยุบสภา ใน 9 เดือน ยังไม่ขอรับข้อเสนอ แต่ขอนำไปหารือกับผู้ชุมนุมก่อน จึงค่อยนัดหารือกันในรอบที่ 3 ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะทำแผนไว้ตามเดิม คือนัดหารือรอบที่สาม ในวันที่ 1 เมษายน ส่วนนปช.จะร่วมหารืออีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่นปช.จะพิจารณาเอง โดยการหารือจบในเวลา 20.20 น.
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 29 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ และนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเจรจาเป็นวันที่ 2 กับนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่สถาบันพระปกเกล้าฯ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยสถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ
ปรากฏว่า มีบรรดาช่างภาพ สื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ มาตั้งช่องเปิดทางถ่ายทอดสด และถ่ายภาพประวัติศาสตร์ นับร้อยคน ทำให้การเจรจาในวันที่สองต้องล่าช้าไปกว่า 20 นาที
นายวีระ มุสิกพงศ์ : ขอบคุณท่านนายกฯ ชาวบ้านรู้สึกสบายใจ ที่บ้านเมืองจะกลับสู่ปกติ มาถึงข้อเรียกร้อง ก่อนจากกันเมื่อวาน พวกผมได้ขอให้นายกฯ ยุบสภาภายใน 15 วัน ขอถามตรง นายกฯและคณะ มีความเห็นอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ขอตอบว่า คงต้องมีเงื่อนไขที่เราต้องช่วยกันทำ ถึงจะมั่นใจว่า เป็นทางออกที่ยอมรับของทุกฝ่าย ของฟันธงได้เลยว่า ยุบวันนี้ หรืออีก 15 วัน ไม่ตรงกัน ว่าจะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองกลับไปปกติสุขได้ จากการหารือกันว่า ประชาชน ส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการยุบสภาในตอนนี้ วาระของผมเหลือเวลาอีก 1 ปี กับ 9 เดือน ถ้าให้ผมจัดเลือกตั้งก่อนครบวาระคงไม่มีปัญหา โดยการจัดการปัญหาต่างๆ ให้แก้ไขปัญหาได้ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คงจะใช้ระยะเวลาไม่นาน พร้อมจะคุยในกรอบนี้หรือไม่ เพราะถ้าไม่ยอมรับผมก็ขอบอกว่า ทำไม่ได้ แน่นอน แต่ถ้ายอมรับกรอบนี้ เราก็เจรจากันต่อได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ : ตอนนายกฯเป็นฝ่ายค้าน เคยขอให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยุบสภาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : (โต้ขึ้นทันทีว่า) เหตุการณ์ตอนนั้น เป็นคนละกรณีกับตอนนี้ เพราะตอนนี้ มีการกดดันของผู้ชุมนุม แต่ตอนนั้น ผู้ชุมนุมไม่ต้องการให้ยุบสภา
นายจตุพร พรหมพันธุ์ : คนเสื้อแดง ติดใจเรื่อง 2 มาตรฐาน ทำให้มีคนมาชุมนุมกันจำนวนมาก เป็นบาดแผลร้าวลึกของคนไทย ประเด็นต่อไป ท่านเข้ามาเป็นนายกฯ เข้ามาสู่ในวาระ 1 ปี 4 เดือน ช่วงแรกถ้าจะให้ยุบสภามันเร็วเกินไป แต่ถือว่า เป็นนานกว่า 2 รัฐบาล สมัคร-สมชาย นอกจากนี้ ยังได้เป็นนายกฯโดยไม่ชอบ และล้มเหลวหลายอย่าง ทำให้คนไทยเป็นหนี้ทั้งประเทศ และการกู้เงินมาใช้จ่าย เป็นเงินกว่า 8 แสนล้าน ถือว่าใช้เงินมหาศาลมาใช้นอกงบประมาณแผ่นดิน ทำให้เหนืออำนาจการตรวจของของคณะกรรมาธิการสภา จนมีข่าวการทุจริตจำนวนมาก ถึงกับเรียกว่า กู้มาโกง เช่น โครงการไทยเข้มแข็ง ไทยพอเพียง และการจัดซื้ออาวุธ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการลอกข้อสอบ ในกระทรวงมหาดไทย การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ
ประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอเรียนว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ตั้งแต่ท่านเป็นนายกฯ เคยรับปากพรรคร่วม แต่ก็ไม่ได้ทำตาม โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหลายๆประเด็น แม้กระทั่งเรื่องการสำเร็จราชการแทน ประเด็นแก้ไขรธน.ไม่เชื่อว่า จะทำได ้และเห็นว่า มันสายไปแล้ว และหมดเวลาไปแล้ว นอกจากนี้ ที่นายกฯบอกว่า จะแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศให้ไปได้ จึงขอให้นายกฯประกาศยุบสภา และจัดเลือกตั้งภายใต้รธน.ปี 2550 ได้ ซึ่งถือว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับประโยชน์มากที่สุด
ที่ลำดับความมา ทั้งหมด เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นประชาธิปไตย จะทำให้นายกฯเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หากปฏิบัติได้ ผมจึงสรุปว่า ที่พวกผมประเมิน พวกผมไม่ต้องมีข้อขัดแย้ง ที่มาเรียกร้องให้ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ที่ยุบสภาแล้ว จะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติได้อย่างไร ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองหรือการเข่นฆ่าประชาชน จึงเรียนว่า การเปลี่ยนแปลงด้วยวิถีประชาธิปไตย จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด การอยู่ภายใต้รัฐทหารนั้น ไม่เหมาะสม การเสียสละของนายกฯจะนำประเทศฝ่าวิกฤตไปได้ ถ้าเสียสละและได้รับเลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่ ถ้ายังเป็นนายกฯอยู่ต่อไป อาจจะจบด้วยกันเป็นทรราชได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ที่บอกว่า ได้มาเป็นนายกฯโดยมิชอบ ขอตอบประเด็นนี้ก่อน การเลือกนายกฯ ถือว่าเป็นพิเศษกว่าทุกครั้ง และอยู่ในกระบวนการรัฐสภาทั้งสิ้น ขอเรียนให้เข้าใจที่ทุกต้อง ถ้าท่านบอกรธน.โดยมิชอบ จะลงเลือกตั้งทำไม ประเด็นก็คือว่า เมื่อมีกติกา ก็ต้องเล่นตามกติกา กติกาเขาเล่นตามประสบการณ์ในอดีต ป้องกันทุจริต ได้มาโดยมิชอบ วันนี้ อยู่ดีๆ บอกว่า ทำไมในสภามา 2 ปี บอกว่ามันไม่ถูกต้องแต่ต้น มันก็แปลกอยู่
เรื่องรธน. ผมพูดว่า เคยรับปากว่าจะแก้ แต่เรื่องแก้รธน. อาจจะคิดกันคนละเรื่อง ผมรู้สึกว่า บางทีเราเลือกกันตามชอบ ไม่ชอบ เช่นเมื่อรัฐบาลได้มาจากรธน. ก็เป็น 2 มาตรฐานเหมือนกัน มาเรื่อง 2 มาตรฐาน มีการพูดตั้งแต่เมื่อปี 2544-45 สมัยคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) เรื่องปิดบังทรัพย์สินของภรรยา และมีกรณีของคุณประยุทธ มหากิจศิริที่คล้ายคลึงกัน แต่กลับมีการลงโทษคุณประยุทธ ส่วนคุณทักษิณ ถูกตัดสินว่าไม่ผิด เรื่องนี้ละ 2 มาตรฐาน คดีซุกหุ้นทักษิณ ผมคิดว่าเป็น แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เรายอมรับ เราต้องยอมรับกระบวนการของศาล ถ้าวันนี้ เลือกคดีโน้นคดีนี้ยอมรับบ้างไม่ยอมรับบ้าง มันก็ไม่มีข้อยุติ
เวลาพูดเรื่อง 2 มาตรฐาน บางคดีไม่ดำเนินการ บางคดีเร่งรัด คดีไหนยากมันก็นาน คดีจักรภพ (จักรภพ เพ็ญแข) ก็นานแล้ว บางคดีไม่ซับซ้อนก็มีการออกหมายจับแล้ว บางคดีก็เสร็จไปแล้ว คุมขังไปแล้ว ทำในยุคผมทั้งนั้น คดีเดือนเมษายน ล้อมกรอบทุบรถผม ก็ว่ากันไปตามปกติ จะเป็นอย่างไรใช้เวลาเท่าไหร่ รัฐบาลไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ให้รายงานแต่คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แต่ที่หยิบคดีไหนขึ้นมาพูดนั่น มันเป็นเรื่องที่เกินเลยไป
ประเด็นที่ 4 น่าจะไปอภิปรายไม่ไว้วางในรัฐสภา เช่น เรื่องอาฟต้า เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว ถึงขณะนี้ ยังเป็นสินค้าที่สงวนอยู่ กู้เงิน การกู้เงินที่เรียกว่ากู้เงินพิเศษ นอกกรอบงบประมาณ 4 แสนล้าน เพราะรัฐบาลเห็นว่า เป็นเงินเร่งด่วน แต่น่าสนใจว่า มันอาจจะต้องกู้ 8 แสนล้าน จึงแบ่งออกเป็น พรก.4แสนล้าน เป็นพรบ. 4 แสนล้าน แต่สมัยทักษิณ กู้พรบ.ฉบับเดียว 7.5 แสนล้านถือว่ามากที่สุด แต่ขณะนี้ รัฐบาลไม่ได้มีปัญหาเรื่องหนี้สิน ต้องเอาความจริงมาพูดกัน ส่วนเรื่องการทุจริต ผมก็พูดมาตลอดว่า เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ผมเชื่อว่า สมัยผมเป็นนายกฯ ก็ต้องมีทุจริต ที่สำคัญ จะจัดการปัญหาดังกล่าวหรือไม่ ที่รมต.ลาออก ถือเป็นความรับผิดชอบแสดงสปริต แต่เรื่องคดีที่ศาลตัดสินแล้วทำไมไม่หยิบมาพูด ที่ศาลสั่งยึดทรัพย์
กรณีจีที-200 ซื้อครั้งแรก ในสมัยทักษิณ เรื่องนี้ ต้องพูดความจริง ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละเรื่องทุจริตหรือไม่ มีหลักฐานหรือไม่ แต่หลายเรื่องมีการตั้งกรรมการสอบแล้ว ประเด็นเหล่านี้ หยิบยกขึ้นมาแล้วบอกว่า โกงมากมายมันตรงกันข้าม
เรื่องแก้รธน. ผมบอกว่าแก้ได้ และแก้บางประเด็น ผมพูดมาตลอด อย่าไปแก้ประเด็นที่มีความละเอียด และเอาประโยชน์ให้ตัวเอง แก้แล้วไปล้างทุจริตให้คนที่ทำผิด แต่ประเด็นที่เสนอแก้ก็มุ่งไปแต่เรื่องนี้ เรื่องที่รับปากแก้ไขรธน. ว่าไม่เอานะ นิรโทษกรรม ล้างความผิดเพื่อช่วยตัวเอง แต่ก็เปิดช่องไว้บ้าง
เรื่องแก้ไขรธน.จะไปรู้ดีกว่าผมได้อย่างไร ว่าคุยอะไรกับพรรคร่วมบาง เรื่องนี้ก็เชิญวิปทุกฝ่ายมาคุยกันเพื่อเอาไปทำประชามติ ว่าประชาชนต้องการอะไร แต่ปรากฏว่า คนที่ล้มกระบวนการนี้ คือฝ่ายค้านที่ไม่ยอมร่วมดำเนินการด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : เรื่องวาระในการยุบสภา ผมเหลือวาระ 1 ปี 9 เดือน ถามว่าผมอยากเห็นอะไรก่อนเลือกตั้ง มี 3 เรื่อง 1.เศรษฐกิจ 2.กติกา 3.บรรยากาศ เรื่องแรกเศรษฐกิจ อยู่ที่ปฏิทินของกระบวนการงบประมาณ เพราะถ้ายุบสภา ทำให้มีปัญหาในการบริหารประเทศ เรื่องสอง กติกา ถ้าดูจากการประกาศทำประชามติ เรื่องไหนที่จะแก้รธน. ให้สภาดำเนินการ พอทำเสร็จ ทำกฏหมายเป็นกรอบเวลาหนึ่ง เรื่องที่สาม เรื่องการทำบรรยากาศบ้านเมืองให้เป็นปกติ ให้มีการตรวจสอบได้ การชุมนุมเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่มีการปิดล้อมไม่มีการข่มขู่ เอา 3-4 ปัจจัยนี้ มาดูกัน น่าจะประมาณสิ้นปี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หรือถ้าจะบอกว่า แค่15วันเท่านั้น
นายวีระ มุสิกพงศ์ : เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ เป็นเรื่องความเชื่อ ถ้าจะดีถ้าเชื่อว่าแก้เศรษฐกิจได้ ก็ให้ประชาชนพิสูจน์ด้วยการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องกติกา มีปัญหาแน่นอน สภาเป็นที่พึ่งไม่ได้แล้ว รอให้เลือกตั้ง แล้วค่อยมาแก้ไข ส่วนบรรยากาศทางการเมือง เชื่อว่า เราทำได้ เสื้อแดงทำได้
นายวีระ มุสิกพงศ์ : ถ้ากรอบที่นายกฯเสนอมา มันจะยาวไป แต่มีนักวิชาการเสนอมา 3 เดือน ถือว่าเหมาะสม มันไม่ควรจะยาวนานไปถึง 6 เดือน กรอบกติกา ผมว่า 2 เดือนคงจะแก้ไขได้ ถ้ารัฐบาลจริงใจ เพราะถ้าปล่อยสภาคงพึ่งไม่ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านต้องเสียสละ ให้สิทธิแก่ประชาชน ขอให้นายกฯเสียสละ ยอมให้มีการเลือกตั้ง ตามกรอบเวลาที่เหมาะสม
นายจตุพร : นายกจะขอเวลาสักกี่เดือน
นายอภิสิทธิ์ : ผมขออธิบายว่าที่พูดถึงปฏิทินเราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบมากการฟื้นตัวไม่ค่อยแรง เขาพูดกันได้ว่าที่ฟื้นมาได้เพราะหลายประเทศฟื้น พ.ร.บ.กู้เงินสี่แสนล้านคงไม่ได้กู้ตามนั้น สมัยก่อนงบประมาณเพิ่มทุกปี เวลาเกิดมีปัญหาการเมือง กฎหมายให้ใช้ของเก่าได้ งบเพิ่มทุกปีแต่ยังใช้ของเก่าได้ บังเอิญปีที่ผมเข้ามาเจอวิกฤตเศรษฐกิจงบประมาณขาด 2 แสนล้าน ถ้าตรงนี้มันชะงักอาจจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน เรื่องรัฐธรรมนูญช้าเร็วไม่ได้อยู่ที่สภา วันนี้เราเอาให้ชัดๆเลยว่าประชาชนเป็นคนทำ ทำประชามติไปเลยจะแก้มาตราไหน ซึ่งมันไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง กระบวนการประชามติบวกกับการแก้ไขอาจจะต้องใช้เวลา บรรยยากาศบ้านเมืองที่เราสามารถทำเรื่องยากๆกันได้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำประชามติ เราไม่สามารถแก้กันได้ลอยๆ
กรอบปลายปี สิ้นปี ผมไม่อยากบอกว่าเสียสละ ตามกฎหมายเหลือ 1 ปี 9 เดือน ตอนนี้เฉือนไปเลย 1 ปีเหลือแค่ 9 เดือน เราเพียงแต่บอกว่ามากำหนดเดินไปข้างหน้าไปกำหนดกรอบ ผมย้ำว่านี่คือสิ่งที่รัฐบาลวางลงได้แต่ถ้ายืนยันว่า 15 วัน ไม่ได้
นายจตุพร : ถ้าจะทำเรื่องใดๆก็ตามต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 90 วันถึง 120 วัน หมายความว่าเรื่องนี้เริ่มปฏิบัติใช้เวลา 3 เดือน หรือเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าอายุรัฐบาลคงไม่ทัน เงื่อนไขประเด็นเศรษฐกิจจะมาผูกมัดรวมไม่ได้ว่าเศรษฐกิจหลังจากนี้ท่านจะทำให้ดีขึ้นรวมทั้งบรรยากาศด้วย นับจากนี้ไปอีก 9 เดือนจะดีขึ้นได้อย่างไร มันเป็นการซ้ำซาก เวลานี้เรื่องการท่องเที่ยวการชุมนุมไม่กระเทือน ทั้ง 3 อย่างที่จะลากไปถึงสิ้นปีมันยาวไปถึงปีหน้า
การเรียกร้องให้ท่านเสียสละยังเป็นประเด็นหลัก นายกฯประชาชนยังต้องใช้ชีวิตตามปกติ หมายความว่าการเรียกร้องของเราไปวัดที่ผลการเลือกตั้ง คู่แข่งของท่านจะยอมเสียเปรียบ สิ้นปีคงเป็นเรื่องที่จะรับกันไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ : ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องเศรษฐกิจดีไม่ดี ผมเพียงแต่บอกว่าตารางปฏิทินงบประมาณถูกกระทบตั้งแต่ตุลาคม เป็นต้นไปมันคงผิดปกติมากๆ เพราะประชาชนส่วนหนึ่งก็กังวลเรื่องนี้ ผมคิดว่าวิธีที่จะทำคือทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ประเด็นที่จะแก้ค่อนข้างที่จะแน่ชัด มีการเสนอทำร่าง สรุปสาระให้ประชาชนเข้าใจ
นายจตุพร : แค่เขตเลือกตั้งพรรคร่วมกับรัฐบาลก็เห็นต่างกันแล้ว
นายอภิสิทธิ์ : บอกว่าก็อยู่ที่ประชามติ อันนี้จะเป็นกระบวนการที่ดีมากที่จะยอมรับกระบวนการไปออกคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่การตัดสินใจเรื่องการเลือกตั้งผมเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ทุกคนบอกว่าถ้าผมยุบสภาโดยมีการกดดันจากกลุ่มหนึ่งเขาจะไม่เลือกผม แต่ถ้าด้วยเหตุผลอื่นแต่อธิบายได้ว่าได้ฟังคนเสื้อแดงและมีเหตุผลอันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นอันนี้คือสิ่งที่ผมบอกว่าเป็นประโยชน์สูงสุด
นายจตุพร : ความเห็นผม 15 วันกับสิ้นปี เป็นประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ : จะบอกว่าไม่เชื่อกันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร สิ่งที่ท่านกลัวว่าจะเบี้ยวกันหรือเปล่า ผมยืนยันว่าผมอยู่ไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่พูดอะไรออกไปแล้วไม่ทำตาม
นายจตุพร : นี่คือสิ่งที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า 15 วันกับ 1 ปี
นายชำนิ : บอกว่าไม่ได้ต้องการยืดเวลา แต่ถ้าปัญหาที่หลายฝ่ายมีความกังวลทั้ง 3 ประเด็นที่ดำรงอยู่ บางเรื่องเป็นความเชื่อ เป็นความสามารถ โดยกรอบของกติกา การเสนอ 9 เดือน โดยกระบวนการเราต้องทำประชามติต้องใช้เวลาเท่าไร เพราะกฎหมายบังคับระยะเวลา 9 เดือน ถูกกำหนดโดยกฎเกณฑ์กติกา ถ้าเราผ่านกระบวนการนี้จะนำไปสู่ประเด็นที่ 3 การเลือกตั้ง
นายกอร์ปศักดิ์ : เรามาคุยกันตรงนี้เพราะอยากหาข้อยุติไม่มีใครเชื่อใคร บอกว่าเคารพก็ไม่มีใครเคารพใคร ในเมื่อไม่มีใครเชื่อใคร ทำอย่างไรต้องมาลองกัน ท่านบอกไม่ต้องลองหรอกเพราะท่านบอกว่าไม่เชื่อ ผมบอกว่าภายใน 9 เดือนจะเข้ารูปเข้ารอย ท่านก็ไม่เชื่อ เพราะถ้าเชื่อกันก็ไม่มีวันนี้หรอก ยังไม่ต้องเลือกตั้งเอาเรื่องรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็นกลับไปหาประชาชน ใช้เวลา 120 วันใน 4 เดือน ใครจะผิดกติกา แต่การชุมนุมของท่านก็ต้องเป็นไปตามกติกาที่ศาลปกครองได้กำหนดไว้ 4 เดือนทำเสร็จทุกคนโล่งอก ถ้าเบี้ยวกันมันจบตั้งแต่ 2 เดือนแรก ไปไม่รอด จริงๆแล้วไม่อยากให้ Yes หรือ No ตอนนี้ข้อเสนอชัดแล้ว ข้อเสนอท่าน 15 วัน ของผมสิ้นปี อีก 2 วันมาคุยกัน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ถ้าเกิดบอกว่าเราไม่สนใจอะไรก็ 9 เดือนกันไปพิจารณากันได้
จตุพร พรหมพันธุ์ : ความรู้สึกความร้อนแต่ละคนแตกต่างกัน ผมร้อนมาก 15 วัน แต่ท่านร้อนน้อย 9 เดือน ในทางปฏิบัติคำว่า "ซื้อเวลา" เราได้ยินมานานไม่มีอะไรดีขึ้น ทำให้เจ็บช้ำ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ซื้อเวลาคือไม่ทำอะไร ผมชวนทำหมด ทั้งปัญหาการพูดจามานั่งวางกัน ดังนั้นผมถึงบอกว่าถ้าพูดสิ่งเหล่านี้ทำให้มองเห็นว่าการยุบสภา 15 วันปัญหาก็ไม่หยุด ฉะนั้น ผมคิดว่าตอนนี้อยู่ที่ท่านว่าจะสนใจการพิจารณาก็กลับมาคุยกัน
วีระ มุสิกพงศ์ : เรื่องบ้านเมืองไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ดังนั้นเราต้องพูดจากัน ถ้าตันช่วงนี้ มะรืนนี้ (31 มี.ค.)ก็ได้มาคุยกันอีก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ระหว่างนี้ที่เราพูดกันหลายเรื่องขอให้กางออกมาทำแผนร่วมกัน รัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร เรื่องคดีความจะทำอย่างไร ผมจะไปบาห์เรนพรุ่งนี้เช้า (30 มี.ค.) วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายนก็ยินดีคุยต่อ ระหว่างนี้ช่วยรักษาบรรยากาศทั้งสองฝ่าย
จตุพร พรหมพันธุ์ : เราต้องยุติกันก่อนตอนนี้ อย่าเพิ่งให้นับกันเลย ขอให้จบลงตรงนี้ เพราะว่าเจรจาสองฝ่ายไม่บรรลุผล จากนี้เป็นเรื่องอนาคต
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : อันนั้นคือตัดสินใจของท่าน (นายจตุพร) เพราะเราต้องรับผิดชอบ 60 ล้านคน หากผมตัดสินใจผมก็ต้องรับผิดชอบคนเสื้อแดงด้วย และท่านต้องรับผิดชอบคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงด้วย ฉะนั้นที่พี่วีระเสนอดีแล้ว แต่ข้อเสนอของคุณจตุพรไม่ตอบสนอง ดังนั้นค่อยนัดหมายมาอีกครั้งแล้วค่อยให้คำตอบอีกได้
จตุพร พรหมพันธุ์ : ถ้าพวกเรามาพบกันต้องเปิดเผยไปมุบมิบพบกันไม่ได้ การเจรจาสองวันต่างคนต่างมีข้อเสนอยังไม่บรรลุ ส่วนวันข้างหน้าว่ากันอีกที ผมขอ 15 วันท่านปฏิเสธ ท่านเสนอ 9 เดือน ผมปฏิเสธ ประเด็นขอให้จบลงวันนี้ก็จบข้อเสนอสองฝ่ายไม่ตอบรับกัน ผมต้องไปถามประชาชนว่าจะเอาอย่างไรต่อ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : เอาเป็นว่าฝ่ายผมยินดีจะนัดหมายต่อไม่มีปัญหา
ที่มา.มติชนออนไลน์
****************************************************
การเจรจาของทั้ง 2 ฝ่ายระหว่าง รัฐบาล และ 3 แกนนำนปช. ในวันที่ 2 เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 18.20 น. โดยใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง โดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ พยายามเสนอระยะเวลาให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน และประชาชนลงประชามติ จากนั้นจึงยุบสภา โดยใช้เวลา 9 เดือน ซึ่งนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำนปช. ก็มีแนวโน้มจะรับไปพิจารณา โดยให้ทั้งฝ่ายไปจัดทำแผนรายละเอียดระยะเวลาร่วมกันของแต่ละฝ่าย และนำกลับมาหารืออีกครั้งในวันพฤหัสฯที่ 1 เมษายน แต่ในตอนท้าย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ยอมรับข้อเสนอดังกล่าว โดยกล่าวสรุปว่า ข้อเสนอของนปช.ในวันนี้ให้นายกฯยุบสภาภายใน 15 วันไม่ได้รับการตอบสนอง ส่วนข้อเสนอใหม่ของรัฐบาลในวันนี้ ให้ยุบสภา ใน 9 เดือน ยังไม่ขอรับข้อเสนอ แต่ขอนำไปหารือกับผู้ชุมนุมก่อน จึงค่อยนัดหารือกันในรอบที่ 3 ส่วนฝ่ายรัฐบาลจะทำแผนไว้ตามเดิม คือนัดหารือรอบที่สาม ในวันที่ 1 เมษายน ส่วนนปช.จะร่วมหารืออีกหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่นปช.จะพิจารณาเอง โดยการหารือจบในเวลา 20.20 น.
เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 29 มีนาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯ และนายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเจรจาเป็นวันที่ 2 กับนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และ นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ที่สถาบันพระปกเกล้าฯ ศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ โดยสถานีโทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ
ปรากฏว่า มีบรรดาช่างภาพ สื่อมวลชนทั้งหนังสือพิมพ์ สถานีโทรทัศน์ ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศ มาตั้งช่องเปิดทางถ่ายทอดสด และถ่ายภาพประวัติศาสตร์ นับร้อยคน ทำให้การเจรจาในวันที่สองต้องล่าช้าไปกว่า 20 นาที
นายวีระ มุสิกพงศ์ : ขอบคุณท่านนายกฯ ชาวบ้านรู้สึกสบายใจ ที่บ้านเมืองจะกลับสู่ปกติ มาถึงข้อเรียกร้อง ก่อนจากกันเมื่อวาน พวกผมได้ขอให้นายกฯ ยุบสภาภายใน 15 วัน ขอถามตรง นายกฯและคณะ มีความเห็นอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ขอตอบว่า คงต้องมีเงื่อนไขที่เราต้องช่วยกันทำ ถึงจะมั่นใจว่า เป็นทางออกที่ยอมรับของทุกฝ่าย ของฟันธงได้เลยว่า ยุบวันนี้ หรืออีก 15 วัน ไม่ตรงกัน ว่าจะแก้ปัญหาให้บ้านเมืองกลับไปปกติสุขได้ จากการหารือกันว่า ประชาชน ส่วนหนึ่งไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการยุบสภาในตอนนี้ วาระของผมเหลือเวลาอีก 1 ปี กับ 9 เดือน ถ้าให้ผมจัดเลือกตั้งก่อนครบวาระคงไม่มีปัญหา โดยการจัดการปัญหาต่างๆ ให้แก้ไขปัญหาได้ โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็คงจะใช้ระยะเวลาไม่นาน พร้อมจะคุยในกรอบนี้หรือไม่ เพราะถ้าไม่ยอมรับผมก็ขอบอกว่า ทำไม่ได้ แน่นอน แต่ถ้ายอมรับกรอบนี้ เราก็เจรจากันต่อได้
นายจตุพร พรหมพันธุ์ : ตอนนายกฯเป็นฝ่ายค้าน เคยขอให้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ยุบสภาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : (โต้ขึ้นทันทีว่า) เหตุการณ์ตอนนั้น เป็นคนละกรณีกับตอนนี้ เพราะตอนนี้ มีการกดดันของผู้ชุมนุม แต่ตอนนั้น ผู้ชุมนุมไม่ต้องการให้ยุบสภา
นายจตุพร พรหมพันธุ์ : คนเสื้อแดง ติดใจเรื่อง 2 มาตรฐาน ทำให้มีคนมาชุมนุมกันจำนวนมาก เป็นบาดแผลร้าวลึกของคนไทย ประเด็นต่อไป ท่านเข้ามาเป็นนายกฯ เข้ามาสู่ในวาระ 1 ปี 4 เดือน ช่วงแรกถ้าจะให้ยุบสภามันเร็วเกินไป แต่ถือว่า เป็นนานกว่า 2 รัฐบาล สมัคร-สมชาย นอกจากนี้ ยังได้เป็นนายกฯโดยไม่ชอบ และล้มเหลวหลายอย่าง ทำให้คนไทยเป็นหนี้ทั้งประเทศ และการกู้เงินมาใช้จ่าย เป็นเงินกว่า 8 แสนล้าน ถือว่าใช้เงินมหาศาลมาใช้นอกงบประมาณแผ่นดิน ทำให้เหนืออำนาจการตรวจของของคณะกรรมาธิการสภา จนมีข่าวการทุจริตจำนวนมาก ถึงกับเรียกว่า กู้มาโกง เช่น โครงการไทยเข้มแข็ง ไทยพอเพียง และการจัดซื้ออาวุธ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการลอกข้อสอบ ในกระทรวงมหาดไทย การสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ
ประเด็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขอเรียนว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่มีโอกาสเป็นไปได้ ตั้งแต่ท่านเป็นนายกฯ เคยรับปากพรรคร่วม แต่ก็ไม่ได้ทำตาม โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหลายๆประเด็น แม้กระทั่งเรื่องการสำเร็จราชการแทน ประเด็นแก้ไขรธน.ไม่เชื่อว่า จะทำได ้และเห็นว่า มันสายไปแล้ว และหมดเวลาไปแล้ว นอกจากนี้ ที่นายกฯบอกว่า จะแก้ไขปัญหาวิกฤตประเทศให้ไปได้ จึงขอให้นายกฯประกาศยุบสภา และจัดเลือกตั้งภายใต้รธน.ปี 2550 ได้ ซึ่งถือว่า พรรคประชาธิปัตย์ ได้รับประโยชน์มากที่สุด
ที่ลำดับความมา ทั้งหมด เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับมาเป็นประชาธิปไตย จะทำให้นายกฯเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หากปฏิบัติได้ ผมจึงสรุปว่า ที่พวกผมประเมิน พวกผมไม่ต้องมีข้อขัดแย้ง ที่มาเรียกร้องให้ทุกอย่างกลับสู่ภาวะปกติ ที่ยุบสภาแล้ว จะทำให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติได้อย่างไร ในฐานะประชาชนคนหนึ่ง ไม่ต้องการให้เกิดสงครามกลางเมืองหรือการเข่นฆ่าประชาชน จึงเรียนว่า การเปลี่ยนแปลงด้วยวิถีประชาธิปไตย จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด การอยู่ภายใต้รัฐทหารนั้น ไม่เหมาะสม การเสียสละของนายกฯจะนำประเทศฝ่าวิกฤตไปได้ ถ้าเสียสละและได้รับเลือกตั้งอย่างยิ่งใหญ่ ถ้ายังเป็นนายกฯอยู่ต่อไป อาจจะจบด้วยกันเป็นทรราชได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ที่บอกว่า ได้มาเป็นนายกฯโดยมิชอบ ขอตอบประเด็นนี้ก่อน การเลือกนายกฯ ถือว่าเป็นพิเศษกว่าทุกครั้ง และอยู่ในกระบวนการรัฐสภาทั้งสิ้น ขอเรียนให้เข้าใจที่ทุกต้อง ถ้าท่านบอกรธน.โดยมิชอบ จะลงเลือกตั้งทำไม ประเด็นก็คือว่า เมื่อมีกติกา ก็ต้องเล่นตามกติกา กติกาเขาเล่นตามประสบการณ์ในอดีต ป้องกันทุจริต ได้มาโดยมิชอบ วันนี้ อยู่ดีๆ บอกว่า ทำไมในสภามา 2 ปี บอกว่ามันไม่ถูกต้องแต่ต้น มันก็แปลกอยู่
เรื่องรธน. ผมพูดว่า เคยรับปากว่าจะแก้ แต่เรื่องแก้รธน. อาจจะคิดกันคนละเรื่อง ผมรู้สึกว่า บางทีเราเลือกกันตามชอบ ไม่ชอบ เช่นเมื่อรัฐบาลได้มาจากรธน. ก็เป็น 2 มาตรฐานเหมือนกัน มาเรื่อง 2 มาตรฐาน มีการพูดตั้งแต่เมื่อปี 2544-45 สมัยคุณทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) เรื่องปิดบังทรัพย์สินของภรรยา และมีกรณีของคุณประยุทธ มหากิจศิริที่คล้ายคลึงกัน แต่กลับมีการลงโทษคุณประยุทธ ส่วนคุณทักษิณ ถูกตัดสินว่าไม่ผิด เรื่องนี้ละ 2 มาตรฐาน คดีซุกหุ้นทักษิณ ผมคิดว่าเป็น แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เรายอมรับ เราต้องยอมรับกระบวนการของศาล ถ้าวันนี้ เลือกคดีโน้นคดีนี้ยอมรับบ้างไม่ยอมรับบ้าง มันก็ไม่มีข้อยุติ
เวลาพูดเรื่อง 2 มาตรฐาน บางคดีไม่ดำเนินการ บางคดีเร่งรัด คดีไหนยากมันก็นาน คดีจักรภพ (จักรภพ เพ็ญแข) ก็นานแล้ว บางคดีไม่ซับซ้อนก็มีการออกหมายจับแล้ว บางคดีก็เสร็จไปแล้ว คุมขังไปแล้ว ทำในยุคผมทั้งนั้น คดีเดือนเมษายน ล้อมกรอบทุบรถผม ก็ว่ากันไปตามปกติ จะเป็นอย่างไรใช้เวลาเท่าไหร่ รัฐบาลไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย ให้รายงานแต่คดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แต่ที่หยิบคดีไหนขึ้นมาพูดนั่น มันเป็นเรื่องที่เกินเลยไป
ประเด็นที่ 4 น่าจะไปอภิปรายไม่ไว้วางในรัฐสภา เช่น เรื่องอาฟต้า เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว ถึงขณะนี้ ยังเป็นสินค้าที่สงวนอยู่ กู้เงิน การกู้เงินที่เรียกว่ากู้เงินพิเศษ นอกกรอบงบประมาณ 4 แสนล้าน เพราะรัฐบาลเห็นว่า เป็นเงินเร่งด่วน แต่น่าสนใจว่า มันอาจจะต้องกู้ 8 แสนล้าน จึงแบ่งออกเป็น พรก.4แสนล้าน เป็นพรบ. 4 แสนล้าน แต่สมัยทักษิณ กู้พรบ.ฉบับเดียว 7.5 แสนล้านถือว่ามากที่สุด แต่ขณะนี้ รัฐบาลไม่ได้มีปัญหาเรื่องหนี้สิน ต้องเอาความจริงมาพูดกัน ส่วนเรื่องการทุจริต ผมก็พูดมาตลอดว่า เกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย ผมเชื่อว่า สมัยผมเป็นนายกฯ ก็ต้องมีทุจริต ที่สำคัญ จะจัดการปัญหาดังกล่าวหรือไม่ ที่รมต.ลาออก ถือเป็นความรับผิดชอบแสดงสปริต แต่เรื่องคดีที่ศาลตัดสินแล้วทำไมไม่หยิบมาพูด ที่ศาลสั่งยึดทรัพย์
กรณีจีที-200 ซื้อครั้งแรก ในสมัยทักษิณ เรื่องนี้ ต้องพูดความจริง ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละเรื่องทุจริตหรือไม่ มีหลักฐานหรือไม่ แต่หลายเรื่องมีการตั้งกรรมการสอบแล้ว ประเด็นเหล่านี้ หยิบยกขึ้นมาแล้วบอกว่า โกงมากมายมันตรงกันข้าม
เรื่องแก้รธน. ผมบอกว่าแก้ได้ และแก้บางประเด็น ผมพูดมาตลอด อย่าไปแก้ประเด็นที่มีความละเอียด และเอาประโยชน์ให้ตัวเอง แก้แล้วไปล้างทุจริตให้คนที่ทำผิด แต่ประเด็นที่เสนอแก้ก็มุ่งไปแต่เรื่องนี้ เรื่องที่รับปากแก้ไขรธน. ว่าไม่เอานะ นิรโทษกรรม ล้างความผิดเพื่อช่วยตัวเอง แต่ก็เปิดช่องไว้บ้าง
เรื่องแก้ไขรธน.จะไปรู้ดีกว่าผมได้อย่างไร ว่าคุยอะไรกับพรรคร่วมบาง เรื่องนี้ก็เชิญวิปทุกฝ่ายมาคุยกันเพื่อเอาไปทำประชามติ ว่าประชาชนต้องการอะไร แต่ปรากฏว่า คนที่ล้มกระบวนการนี้ คือฝ่ายค้านที่ไม่ยอมร่วมดำเนินการด้วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : เรื่องวาระในการยุบสภา ผมเหลือวาระ 1 ปี 9 เดือน ถามว่าผมอยากเห็นอะไรก่อนเลือกตั้ง มี 3 เรื่อง 1.เศรษฐกิจ 2.กติกา 3.บรรยากาศ เรื่องแรกเศรษฐกิจ อยู่ที่ปฏิทินของกระบวนการงบประมาณ เพราะถ้ายุบสภา ทำให้มีปัญหาในการบริหารประเทศ เรื่องสอง กติกา ถ้าดูจากการประกาศทำประชามติ เรื่องไหนที่จะแก้รธน. ให้สภาดำเนินการ พอทำเสร็จ ทำกฏหมายเป็นกรอบเวลาหนึ่ง เรื่องที่สาม เรื่องการทำบรรยากาศบ้านเมืองให้เป็นปกติ ให้มีการตรวจสอบได้ การชุมนุมเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่มีการปิดล้อมไม่มีการข่มขู่ เอา 3-4 ปัจจัยนี้ มาดูกัน น่าจะประมาณสิ้นปี ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร หรือถ้าจะบอกว่า แค่15วันเท่านั้น
นายวีระ มุสิกพงศ์ : เรื่องปัญหาเศรษฐกิจ เป็นเรื่องความเชื่อ ถ้าจะดีถ้าเชื่อว่าแก้เศรษฐกิจได้ ก็ให้ประชาชนพิสูจน์ด้วยการเลือกตั้ง ส่วนเรื่องกติกา มีปัญหาแน่นอน สภาเป็นที่พึ่งไม่ได้แล้ว รอให้เลือกตั้ง แล้วค่อยมาแก้ไข ส่วนบรรยากาศทางการเมือง เชื่อว่า เราทำได้ เสื้อแดงทำได้
นายวีระ มุสิกพงศ์ : ถ้ากรอบที่นายกฯเสนอมา มันจะยาวไป แต่มีนักวิชาการเสนอมา 3 เดือน ถือว่าเหมาะสม มันไม่ควรจะยาวนานไปถึง 6 เดือน กรอบกติกา ผมว่า 2 เดือนคงจะแก้ไขได้ ถ้ารัฐบาลจริงใจ เพราะถ้าปล่อยสภาคงพึ่งไม่ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่า ท่านต้องเสียสละ ให้สิทธิแก่ประชาชน ขอให้นายกฯเสียสละ ยอมให้มีการเลือกตั้ง ตามกรอบเวลาที่เหมาะสม
นายจตุพร : นายกจะขอเวลาสักกี่เดือน
นายอภิสิทธิ์ : ผมขออธิบายว่าที่พูดถึงปฏิทินเราอยู่ในภาวะเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบมากการฟื้นตัวไม่ค่อยแรง เขาพูดกันได้ว่าที่ฟื้นมาได้เพราะหลายประเทศฟื้น พ.ร.บ.กู้เงินสี่แสนล้านคงไม่ได้กู้ตามนั้น สมัยก่อนงบประมาณเพิ่มทุกปี เวลาเกิดมีปัญหาการเมือง กฎหมายให้ใช้ของเก่าได้ งบเพิ่มทุกปีแต่ยังใช้ของเก่าได้ บังเอิญปีที่ผมเข้ามาเจอวิกฤตเศรษฐกิจงบประมาณขาด 2 แสนล้าน ถ้าตรงนี้มันชะงักอาจจะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน เรื่องรัฐธรรมนูญช้าเร็วไม่ได้อยู่ที่สภา วันนี้เราเอาให้ชัดๆเลยว่าประชาชนเป็นคนทำ ทำประชามติไปเลยจะแก้มาตราไหน ซึ่งมันไม่เหมือนกับการเลือกตั้ง กระบวนการประชามติบวกกับการแก้ไขอาจจะต้องใช้เวลา บรรยยากาศบ้านเมืองที่เราสามารถทำเรื่องยากๆกันได้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำประชามติ เราไม่สามารถแก้กันได้ลอยๆ
กรอบปลายปี สิ้นปี ผมไม่อยากบอกว่าเสียสละ ตามกฎหมายเหลือ 1 ปี 9 เดือน ตอนนี้เฉือนไปเลย 1 ปีเหลือแค่ 9 เดือน เราเพียงแต่บอกว่ามากำหนดเดินไปข้างหน้าไปกำหนดกรอบ ผมย้ำว่านี่คือสิ่งที่รัฐบาลวางลงได้แต่ถ้ายืนยันว่า 15 วัน ไม่ได้
นายจตุพร : ถ้าจะทำเรื่องใดๆก็ตามต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 90 วันถึง 120 วัน หมายความว่าเรื่องนี้เริ่มปฏิบัติใช้เวลา 3 เดือน หรือเข้าสู่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เชื่อว่าอายุรัฐบาลคงไม่ทัน เงื่อนไขประเด็นเศรษฐกิจจะมาผูกมัดรวมไม่ได้ว่าเศรษฐกิจหลังจากนี้ท่านจะทำให้ดีขึ้นรวมทั้งบรรยากาศด้วย นับจากนี้ไปอีก 9 เดือนจะดีขึ้นได้อย่างไร มันเป็นการซ้ำซาก เวลานี้เรื่องการท่องเที่ยวการชุมนุมไม่กระเทือน ทั้ง 3 อย่างที่จะลากไปถึงสิ้นปีมันยาวไปถึงปีหน้า
การเรียกร้องให้ท่านเสียสละยังเป็นประเด็นหลัก นายกฯประชาชนยังต้องใช้ชีวิตตามปกติ หมายความว่าการเรียกร้องของเราไปวัดที่ผลการเลือกตั้ง คู่แข่งของท่านจะยอมเสียเปรียบ สิ้นปีคงเป็นเรื่องที่จะรับกันไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ : ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องเศรษฐกิจดีไม่ดี ผมเพียงแต่บอกว่าตารางปฏิทินงบประมาณถูกกระทบตั้งแต่ตุลาคม เป็นต้นไปมันคงผิดปกติมากๆ เพราะประชาชนส่วนหนึ่งก็กังวลเรื่องนี้ ผมคิดว่าวิธีที่จะทำคือทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ประเด็นที่จะแก้ค่อนข้างที่จะแน่ชัด มีการเสนอทำร่าง สรุปสาระให้ประชาชนเข้าใจ
นายจตุพร : แค่เขตเลือกตั้งพรรคร่วมกับรัฐบาลก็เห็นต่างกันแล้ว
นายอภิสิทธิ์ : บอกว่าก็อยู่ที่ประชามติ อันนี้จะเป็นกระบวนการที่ดีมากที่จะยอมรับกระบวนการไปออกคะแนนเสียงเลือกตั้ง แต่การตัดสินใจเรื่องการเลือกตั้งผมเอาผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ทุกคนบอกว่าถ้าผมยุบสภาโดยมีการกดดันจากกลุ่มหนึ่งเขาจะไม่เลือกผม แต่ถ้าด้วยเหตุผลอื่นแต่อธิบายได้ว่าได้ฟังคนเสื้อแดงและมีเหตุผลอันนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ฉะนั้นอันนี้คือสิ่งที่ผมบอกว่าเป็นประโยชน์สูงสุด
นายจตุพร : ความเห็นผม 15 วันกับสิ้นปี เป็นประเด็นที่ตกลงกันไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ : จะบอกว่าไม่เชื่อกันก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร สิ่งที่ท่านกลัวว่าจะเบี้ยวกันหรือเปล่า ผมยืนยันว่าผมอยู่ไม่ได้ ไม่มีเหตุผลที่พูดอะไรออกไปแล้วไม่ทำตาม
นายจตุพร : นี่คือสิ่งที่เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่า 15 วันกับ 1 ปี
นายชำนิ : บอกว่าไม่ได้ต้องการยืดเวลา แต่ถ้าปัญหาที่หลายฝ่ายมีความกังวลทั้ง 3 ประเด็นที่ดำรงอยู่ บางเรื่องเป็นความเชื่อ เป็นความสามารถ โดยกรอบของกติกา การเสนอ 9 เดือน โดยกระบวนการเราต้องทำประชามติต้องใช้เวลาเท่าไร เพราะกฎหมายบังคับระยะเวลา 9 เดือน ถูกกำหนดโดยกฎเกณฑ์กติกา ถ้าเราผ่านกระบวนการนี้จะนำไปสู่ประเด็นที่ 3 การเลือกตั้ง
นายกอร์ปศักดิ์ : เรามาคุยกันตรงนี้เพราะอยากหาข้อยุติไม่มีใครเชื่อใคร บอกว่าเคารพก็ไม่มีใครเคารพใคร ในเมื่อไม่มีใครเชื่อใคร ทำอย่างไรต้องมาลองกัน ท่านบอกไม่ต้องลองหรอกเพราะท่านบอกว่าไม่เชื่อ ผมบอกว่าภายใน 9 เดือนจะเข้ารูปเข้ารอย ท่านก็ไม่เชื่อ เพราะถ้าเชื่อกันก็ไม่มีวันนี้หรอก ยังไม่ต้องเลือกตั้งเอาเรื่องรัฐธรรมนูญใน 6 ประเด็นกลับไปหาประชาชน ใช้เวลา 120 วันใน 4 เดือน ใครจะผิดกติกา แต่การชุมนุมของท่านก็ต้องเป็นไปตามกติกาที่ศาลปกครองได้กำหนดไว้ 4 เดือนทำเสร็จทุกคนโล่งอก ถ้าเบี้ยวกันมันจบตั้งแต่ 2 เดือนแรก ไปไม่รอด จริงๆแล้วไม่อยากให้ Yes หรือ No ตอนนี้ข้อเสนอชัดแล้ว ข้อเสนอท่าน 15 วัน ของผมสิ้นปี อีก 2 วันมาคุยกัน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ถ้าเกิดบอกว่าเราไม่สนใจอะไรก็ 9 เดือนกันไปพิจารณากันได้
จตุพร พรหมพันธุ์ : ความรู้สึกความร้อนแต่ละคนแตกต่างกัน ผมร้อนมาก 15 วัน แต่ท่านร้อนน้อย 9 เดือน ในทางปฏิบัติคำว่า "ซื้อเวลา" เราได้ยินมานานไม่มีอะไรดีขึ้น ทำให้เจ็บช้ำ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ซื้อเวลาคือไม่ทำอะไร ผมชวนทำหมด ทั้งปัญหาการพูดจามานั่งวางกัน ดังนั้นผมถึงบอกว่าถ้าพูดสิ่งเหล่านี้ทำให้มองเห็นว่าการยุบสภา 15 วันปัญหาก็ไม่หยุด ฉะนั้น ผมคิดว่าตอนนี้อยู่ที่ท่านว่าจะสนใจการพิจารณาก็กลับมาคุยกัน
วีระ มุสิกพงศ์ : เรื่องบ้านเมืองไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ดังนั้นเราต้องพูดจากัน ถ้าตันช่วงนี้ มะรืนนี้ (31 มี.ค.)ก็ได้มาคุยกันอีก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : ระหว่างนี้ที่เราพูดกันหลายเรื่องขอให้กางออกมาทำแผนร่วมกัน รัฐธรรมนูญจะทำอย่างไร เรื่องคดีความจะทำอย่างไร ผมจะไปบาห์เรนพรุ่งนี้เช้า (30 มี.ค.) วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายนก็ยินดีคุยต่อ ระหว่างนี้ช่วยรักษาบรรยากาศทั้งสองฝ่าย
จตุพร พรหมพันธุ์ : เราต้องยุติกันก่อนตอนนี้ อย่าเพิ่งให้นับกันเลย ขอให้จบลงตรงนี้ เพราะว่าเจรจาสองฝ่ายไม่บรรลุผล จากนี้เป็นเรื่องอนาคต
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : อันนั้นคือตัดสินใจของท่าน (นายจตุพร) เพราะเราต้องรับผิดชอบ 60 ล้านคน หากผมตัดสินใจผมก็ต้องรับผิดชอบคนเสื้อแดงด้วย และท่านต้องรับผิดชอบคนที่ไม่ใช่เสื้อแดงด้วย ฉะนั้นที่พี่วีระเสนอดีแล้ว แต่ข้อเสนอของคุณจตุพรไม่ตอบสนอง ดังนั้นค่อยนัดหมายมาอีกครั้งแล้วค่อยให้คำตอบอีกได้
จตุพร พรหมพันธุ์ : ถ้าพวกเรามาพบกันต้องเปิดเผยไปมุบมิบพบกันไม่ได้ การเจรจาสองวันต่างคนต่างมีข้อเสนอยังไม่บรรลุ ส่วนวันข้างหน้าว่ากันอีกที ผมขอ 15 วันท่านปฏิเสธ ท่านเสนอ 9 เดือน ผมปฏิเสธ ประเด็นขอให้จบลงวันนี้ก็จบข้อเสนอสองฝ่ายไม่ตอบรับกัน ผมต้องไปถามประชาชนว่าจะเอาอย่างไรต่อ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ : เอาเป็นว่าฝ่ายผมยินดีจะนัดหมายต่อไม่มีปัญหา
ที่มา.มติชนออนไลน์
****************************************************
ม.เที่ยงคืน ชี้ซื้อเวลาแก้รธน.-ยุบสภาเพิ่มความตึงเครียดม็อบ
นายสมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวว่า การเจรจาของฝ่ายรัฐบาลและแกนนำ นปช. เป็นสัญญาณที่ดีของการแก้ปัญหา เพื่อทำให้การเมืองไทยพัฒนาต่อไปได้ แต่เห็นว่ารัฐบาลควรมีกรอบของการเจรจาและระยะเวลาดำเนินการ ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการยุบสภาให้แน่ชัด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่ม นปช. โดยเห็นว่ารัฐบาลควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะประเด็นการเลือกตั้ง ก่อนยุบสภาภายใน 3 เดือน หากการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับ หลังยุบสภาก็จะนำไปสู่จุดเริ่มต้นที่ดีในการแก้ไขความขัดแย้ง หากรัฐบาลไม่กำหนดกรอบที่ชัดเจนจะยิ่งสร้างความตรึงเครียดแก่กลุ่มผู้ชุมนุม
ทั้งนี้การเจรจาที่มีขึ้นจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล หากนายอภิสิทธิ์พูดแต่เพียงว่าแก้รัฐธรรมนูญก่อนแล้วค่อยยุบสภา โดยไม่กำหนดกรอบที่ชัดเขน ก็ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความสามารถในการซื้อเวลาเก่งมาก ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญที่เป็นต้นตอของปัญหาและถูกกล่าวถึงคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน เนื่องจากปัจจบันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในชนชั้นนำของประเทศเท่านั้น แต่เป็นสังคมทุกระดับชั้น เนื่องจากการที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงอำนาจรัฐ จนเป็นเหตุให้มีการแสดงพลังของกลุ่มมวลชน
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************
ทั้งนี้การเจรจาที่มีขึ้นจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับรัฐบาล หากนายอภิสิทธิ์พูดแต่เพียงว่าแก้รัฐธรรมนูญก่อนแล้วค่อยยุบสภา โดยไม่กำหนดกรอบที่ชัดเขน ก็ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์มีความสามารถในการซื้อเวลาเก่งมาก ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญที่เป็นต้นตอของปัญหาและถูกกล่าวถึงคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 และอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน เนื่องจากปัจจบันความขัดแย้งที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่ในชนชั้นนำของประเทศเท่านั้น แต่เป็นสังคมทุกระดับชั้น เนื่องจากการที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงอำนาจรัฐ จนเป็นเหตุให้มีการแสดงพลังของกลุ่มมวลชน
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)