--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

บึ้มป่วนเย้ยรายวัน ปาเอ็ม67เขย่ากรุง-นนท์ หน้ารั้วกรมบังคับคดีบางขุนนนท์ สนั่นศาลากลางจังหวัด

บึ้มถล่มเย้ยอีก 2 แห่ง ศูนย์ราชการนนทบุรีห่างศาลากลางจังหวัดแค่ 150 เมตร ฝ้าเพดานอาคารเก็บสิ่งของเสียหาย ทั้งที่มีกำลังอส. ทหารปตอ.รักษาความปลอดภัยเข้ม ส่วนอีกแห่งข้างรั้วกรมบังคับคดีบางขุนนนท์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ยังคงเกิดเหตุระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในพื้นที่จ.นนทบุรี เขตประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หลังจากก่อนหน้านี้ เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แห่งใหม่กลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 20 มีนาคม และเมื่อบ่ายวันที่ 22 มีนาคม เกิดเหตุมือมืดยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มกระทรวงสาธารณสุข สถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นอกสถานที่ 2 ลูก


ล่าสุดเมื่อเวลา 19.55 น. วันที่ 24 มีนาคม คนร้ายลอบวางระเบิด ไม่ทราบชนิด ที่บริเวณอาคารเก็บสิ่งของ-อุปกรณ์ ต่างๆ ของอุทยานมกุฎรมยสราญ ในศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี ถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งยังเป็นพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร โดยจุดเกิดเหตุอยู่ทางเข้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ริมถนนทางเข้าออกประมาณ 150 เมตร เศษใบไม้กระจายเป็นวงกว้าง ข้างฝาอาคารเก็บสิ่งของมีคราบเขม่าดำแกือบทั้งแถบ ฝ้าเพดานแตกเสียหาย หม้อแปลงไฟฟ้าในเขตอุทยานเสียหายอีก 1 หม้อ ทั้งนี้ จากการตรวจสอบ ไม่พบสะเก็ดระเบิดแต่อย่างใด


ต่อมา นายวิเชียร พุทธิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี นายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี พล.ต.ท.กฤษฎา พัน ธ์คงชื่น ผบช.ภ.1 พ.ต.อ.สมศักดิ์ชัย อมรส่งเจริญ ผกก.สภ.เมืองนนทบุรี ไปตรวจที่เกิดเหตุ


จากการสอบสวนทราบว่า ขณะเกิดเหตุมีอาสาสมัครรักษาดินแดน(อส.) 8 นาย พร้อมทหาร ปตอ.อีก 1 หมวด ประมาณ 12 นาย รักษาความปลอดภัยอยู่บริเวณทางเข้าดังกล่าว ขณะระเบิดมี อส. 2 นาย ยืนอยู่ให้จุดเกิดเหตุ ทราบชื่อนายวรพจน์ ชูเทียน และนายชัชชัย ผลไม้ ดดยทั้งสองให้การว่าได้ยินเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว โดยไม่เห็นตัวคนร้ายว่าขว้างหรือวางระเบิดไว้ก่อนหน้าอย่างไร ทั้งนี้ ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ


นายบุญจันทร์ สุมะนี รปภ.ประจำเทศบาลนครนนทบุรี ที่ดูแลรถยนต์เข้าออกศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี กล่าวว่าก่อนเกิดเหตุเข้าไปหุงข้าวในอาคารเก็บสิ่งของดังกล่าว ก็ไม่พบสิ่งปกติใดๆเช่นกัน


ส่วนเหตุระเบิดอีกแห่งหนึ่งนั้น เกิดขึ้นเมื่อเวลา 21.00 น. วันเดียวกัน พ.ต.ต.พรชัย ศรีมูล พนักงานสอบสวนสบ.2 สน.บางขุนนนท์ ได้รับแจ้งเหตุระเบิด หน้ากรมบังคับคดีบางขุนนนท์ ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กทม. เมื่อออกไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุพบ อยู่ริ่มสะพานคลองชักพระ หน้ารั้วกองบังคับคดี พบพงหญ้าบริเวณรั้วหลุดกระเด็น พื้นปูนซีเมนต์หน้ารั้วแตกกระจายเป็นหลุมกว้าง-ลึกประมาณ 10 คูณ 10 เซ็นติเมตร(ซม.) ต้นไม้บริเวณรอบๆพังเสียหาย เบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ ตำรวจคาดว่าระเบิดที่คนร้ายใช้ขว้างเป็นชนิดเอ็ม 67 คล้ายเหตุระเบิดที่แขวงการทางธนบุรี


ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

"ปชป.-พท."ปะทะเดือด ฝ่ายค้านฉุนทหาร-ตร.สกัด ฟากรบ.โวยถูกขวางประชุม "เติ้ง-จิ๋ว"ต่างอ้างป่วยเจรจาล่ม

ส.ส.พท.ประท้วงไม่ร่วมประชุมสภา ขวางทางเข้าออก ยื่นคำขาด"ปธ.สภา"ถ้าไม่ถอนกำลังทหาร ตำรวจ สิ่งกีดขวางออกจากพื้นที่รัฐสภาไม่ร่วมประชุม แจ้งเอาผิด"มาร์ค-สุเทพ-ชัย"ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ลงชื่อยื่นถอดถอนนายกฯผิดรธน. "เทพเทือก"ยันมีอำนาจตามกม. "อภิสิทธิ์"ไม่สนเดินหน้าต่อ ลั่นสัปดาห์หน้านำปท.สู่ภาวะปกติ "ชวน"เชื่อรบ.ไม่ปล่อยยืดเยื้อ


เกิดเหตุการณ์ปะทะคารมอย่างดุเดือดระหว่าง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) นับร้อยซึ่งไม่ยอมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 24 มีนาคม หลังจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ประกาศปิดถนน 8 สายบริเวณรอบอาคารรัฐสภา แต่พรรคร่วมรัฐบาล 245 เสียงเปิดประชุมสภาได้ พร้อมผ่านฉลุย 3ร่าง กม.สำคัญ โดยต่างฝ่ายต่างขู่ ยื่นถอดถอนฝ่ายตรงกันข้าม ภท.เล็งแจ้งเอาผิดส.ส.พท.ขวาง ปชป.รวมชื่อถอดถอนด้วย วิปฝ่ายค้านขู่ยื่นถอด"อภิสิทธิ์"

วิปรบ.คาดพท.ร่วมประชุม25มี.ค.

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังปิดประชุมสภา นายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปรัฐบาล เรียกประชุมวิปรัฐบาลเพื่อประเมินสถานการณ์ต่อทันทีในเวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมวิปรัฐบาล ประมาณ 1 ชั่วโมง โดย น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ปชป.กล่าวว่า ได้ซักซ้อมวาระการประชุมสภาวันที่ 26 มีนาคม โดยให้เตรียมตั้งกระทู้ถามรอไว้อีก 2 กระทู้ และมีการประเมินว่า ส.ส.ฝ่ายค้านน่าจะเข้าร่วมประชุมวันที่ 25 มีนาคม เพราะจะมีการถ่ายทอดสด หากฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมประชุมจะเสียเปรียบรัฐบาล แต่จะเข้ามาสร้างความปั่นป่วนมากกว่า สิ่งที่วิปรัฐบาลกังวลคือหลังปิดประชุม เพราะเกรงกลุ่มคนเสื้อแดงจะปิดล้อมสภา บางคนถึงกับเตรียมบันไดไว้ปีนออก


พท.นัดแถลงสื่อนอกวันนี้


ที่พรรคเพื่อไทย เวลา 12.30 น. นายวิทยา บุรณศิริ วิปฝ่ายค้าน พร้อม ส.ส.พท.กว่า 20 คน ร่วมแถลงภายหลังการประชุมส.ส.พรรคว่า ขอชี้แจงเหตุผลไม่เข้าร่วมประชุมสภาว่าสมาชิก พท. 99% มีความเห็นต่อการกระทำของทหารที่ไปปิดล้อมรัฐสภา เป็นการคุกคามอย่างยิ่งต่อฝ่ายนิติบัญญัติ คุกคามสิทธิ เสรีภาพ ซึ่งไม่สมควรเกิดขึ้น ดังนั้นพรรคจะส่งคณะ ส.ส.ไปพบนายชัย ในช่วงบ่ายวันที่ 24 มีนาคม เพื่อยืนยันเหตุผลตามหนังสือที่ได้ยื่นต่อประธานสภา ไปเมื่อวันที่ 23 มีนาคม เพื่อให้ประสานไปยังนายอภิสิทธิ์สั่งการนำทหารและสิ่งกีดขวางออกไปให้พ้นเส้นทางที่ ส.ส.พท.จะเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส.ที่อาคารรัฐสภา


"จากนั้นจะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนต่างชาติอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 09.00 น. คณะส.ส.พท. จะเข้ายื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ ประจานการทำงานของนายอภิสิทธิ์ นอกจากนี้รัฐบาลพยายามผ่านกฎหมายโดยเผด็จการรัฐสภาอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่ง พท.ไม่ยอมรับ โดยจะยื่นหนังสือปฏิเสธและตรวจสอบทางกฎหมาย พร้อมยื่นหนังถึงสมาชิกวุฒิสภาเพื่อขอไม่ให้ความร่วมมือในเรื่องของกฎหมายที่ผ่านสภาโดยเผด็จการต่อไป และขอให้จับตา พท.จะดำเนินการขั้นเด็ดขาดต่อไป แต่ยืนยันไม่ลาออกจากตำแหน่งส.ส."


มีมติแจ้ง157 "มาร์ค-สุเทพ-ชัย"


ด้าน นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พท.กล่าวว่า พท.มีมติให้ตนไปแจ้งความดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ และนายชัย ที่กองบังคับการกองปราบปราม ในข้อหากีดกันไม่ให้ตน และส.ส.เดินทางเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 และกฎหมาย ป.วิอาญา มาตรา 310 เนื่องจากบุคคลทั้งสามถือว่ากระทำการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 ส่วนที่อ้างว่าการดำเนินการของทหารเพื่ออำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัย เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ เพราะรัฐสภาเป็นสถานที่การประชุมไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนไม่ปลอดภัย
นายประเกียรติ นาสิมา ส.ส.สัดส่วน พท.ในฐานะคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของพรรค กล่าวว่า การกระทำของนายอภิสิทธิ์ ถือว่าแทรกแซงการทำหน้าที่ในสภาของ ส.ส.ตามมาตรารัฐธรรมนูญ 266 และ 268 ดังนั้นการฟ้องดำเนินคดีถือว่าเป็นไปโดยชอบธรรม


ลงชื่อยื่นถอดถอน"มาร์ค"วันนี้


"สำหรับการยื่นถอดถอนนายกฯ จะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ให้ ส.ส.ลงชื่อ 1 ใน 4 เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นสมาชิกภาพของนายกฯ ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ อย่างไรก็ตามกรณีที่ประธานวิปรัฐบาลจะถอดถอน ส.ส.พท.ที่ไม่เข้าร่วมประชุมสภา คิดว่าการไม่เข้าประชุมหนึ่งวันคงไม่ถูกถอดถอน เพราะตามข้อบังคับ ส.ส.ต้องขาดประชุมหนึ่งในสี่ คือ 25% และการจะให้เข้าไปโดยลอดรั้วลวดหนามจะไม่เข้าไปเด็ดขาด ถือเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรี เรายอมไม่ได้"


เวลา 15.00 น. นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. พร้อม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ รับมอบอำนาจจาก นายสุรพงษ์ ส.ส.เชียงใหม่ พท. เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผกก.1 บก.ป.แจ้งความดำเนินคดีกับ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ในข้อหาทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ และปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตาม มาตรา 310 และมาตรา 157 แ ละ นายชัย ความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พร้อมนำภาพถ่ายที่บริเวณรอบอาคารรัฐสภา แผ่นซีดี และเอกสารที่เกี่ยวข้องมามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน


ขณะที่ พ.ต.อ.พรศักดิ์ มอบหมายให้ พ.ต.ท.สุกรี สินเย็น พงส.(สบ 2) กก.1 บก.ป.รับเรื่องและสอบปากคำไว้ในเบื้องต้นก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

วิปค้านยัน"ชัย"ไม่ถอนไม่ร่วม

ก่อนหน้านี้ เวลา 14.30 น. ที่รัฐสภา นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พท. รองประธานวิปฝ่ายค้าน นายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พท. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พท. ร่วมกันแถลงทวงถามความคืบหน้ากรณีที่ส่งหนังสือให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ให้พิจารณาสั่งยกเลิกให้ทหารตำรวจปิดล้อมรอบรัฐสภา นายไพจิตกล่าวว่า วิปฝ่ายค้านขอยื่นหนังสือทวงถามต่อนายชัย เพราะการอ้างว่าทหารตำรวจมารักษาความปลอดภัยประชุมสภา แต่วิปฝ่ายค้านเห็นว่า มีมากเกินความจำเป็น และหากนายชัยยังปล่อยให้ฝ่ายบริหารใช้มาตรการที่นำไปสู่ความวิตก อาจเลยเถิดไปจนเกิดการปฏิวัติ กลุ่มผู้มาชุมนุมไม่ได้มีความรุนแรง แต่ฝ่ายรัฐกลับทำให้พื้นที่สภากลายเป็นภาวะสงคราม ฉะนั้นขอให้เลิกโดยด่วน ซึ่งในวันที่ 25 มีนาคม เวลา 09.00 น. ยังไม่มีการจัดระบบเข้าออกสภาตามปกติได้ พวกตนก็คงไม่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมสภา ซึ่งรัฐบาลอาจกลัวเกินเหตุ จิตหลอน เชื่อว่าไม่มีใครจะมาทำรุนแรงเกินสภาพปกติของสภา


ด้านนายศักดากล่าวว่า รัฐสภาเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่เมื่อเช้าวันที่ 24 มีนาคม กลับติดป้ายให้เข้าได้เฉพาะ ครม. ส.ส. ส.ว. แถมมีลวดหนาม เครื่องกั้นเหมือนอยู่ในภาวะสงคราม ฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ขณะที่นายชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในสภาน่าอับอายไปทั่วโลก


"มาร์ค"ทำมึนไม่เข้าใจ พท.


ด้านนายอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ว่า จะร่วมประชุมสภาตามปกติ ส่วนการปิดกั้นถนนและเส้นทางจราจรนั้นก็ยังคงเป็นมาตรการที่ทางประธานสภา และนายสุเทพจะหารือกันเพื่อให้สมาชิกปลอดภัย รัฐบาลยืนยันว่าไม่ได้ลิดรอนสิทธิของสมาชิกฝ่ายค้าน ตรงกันข้ามต้องนำบทเรียนในอดีตที่สภาถูกปิดล้อมและเกิดความสูญเสียมาปรับมาใช้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เและคุ้มครองไม่ให้ประชาชนที่มาชุมนุมต้องเกิดการเผชิญหน้าและเกิดความความรุนแรง ส่วนที่ พท.มีมติจะไม่มาเข้าร่วมประชุมสภาจนกว่าจะถอนกำลังทหารออกไป นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจ สิ่งที่ทำทั้งหมดเพื่อให้งานนิติบัญญัติเดินได้
เมื่อถามว่า พท.อ้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นประชาธิปไตยและกำลังมีการปฏิวัติเงียบเกิดขึ้นนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ตรงไหนครับ ใครไปยึดอำนาจใคร ทุกคนก็มาใช้สภาทำหน้าที่ได้ตามปกติ ตรงข้ามกับการที่ขัดขวางเพื่อสมาชิกด้วยกันไม่ให้เข้ามาทำหน้าที่ตรงนั้นต่างหากที่ไม่เป็นประชาธิปไตย"

ลั่นเริ่มต้นสัปดาห์นำปท.สู่ปกติ

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า "ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมาย การออกมาตรการก็เป็นการปรึกษากันระหว่างประธานสภาและรองนายกฯสุเทพ ทุกอย่างทำเท่าที่มีความจำเป็น เพื่อให้การประชุมสภาสามารถดำเนินการต่อได้"

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สำหรับสัปดาห์หน้าก็คงต้องรอดูสถานการณ์การชุมนุม ถ้ายังประกาศว่าจะไปปิดล้อม หรือไปไล่ตามคนทำหน้าที่ รัฐบาลก็จำเป็นต้องใช้มาตรการที่ทำให้ทุกคนปลอดภัย สัปดาห์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำสังคมกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ครม.ประชุมได้ สภาประชุมได้ ผู้ชุมนุมก็ชุมนุมต่อไปได้ในกรอบของกฎหมาย สมาชิกฝ่ายค้านก็สามารถทำหน้าที่ได้ แต่เมื่อฝ่ายค้านตัดสินใจไม่ร่วมก็เป็นสิทธิ

วิปรบ.เมินถอนไร้เหตุผล

เมื่อถามถึงประเด็นขอเปิดอภิปรายร่วมรัฐสภา 179 และ การอภิปรายทั่วไป การเสนอญัตติตามมาตรา 161 รัฐบาลจะตอบรับหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ประเด็น 161 คงเดินอยู่แล้วเพราะญัตติของวุฒิสภาหากสมบูรณ์ก็จะแจ้งรัฐบาลมาอีกครั้งหนึ่ง พูดคุยกับนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ไปแล้วว่า ขอให้ส่งมาและรัฐบาลจะกำหนดวันที่เหมาะสม เข้าใจว่าจะต้องเป็นหลังไอพียู เมื่อถามว่า รัฐบาลจะเปิด 179 หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ยัง เพราะเห็นได้ชัดว่า ส.ส.ฝ่ายค้านยังไม่พร้อมร่วม
ด้านนายวิทยา แก้วภราดัย ประธานวิปพรรคร่วมรัฐบาล กล่าวว่า ข้อเสนอของ พท.ให้ถอนกำลังทหารก่อนนั้น ถือว่าไม่มีเหตุผล เพราะรถถังก็เปิดทางให้ ส.ส.ทุกคนเข้าร่วมประชุมสภา แต่ถ้าข้อเรียกร้อง พท.เพราะต้องการให้เกิดสีสันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


"พผ."ปัดข้อเสนอนอกระบบ


ส่วนความเคลื่อนไหวการจัดตั้งวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง วันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.00 น. ที่รัฐสภา นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ทุกพรรคเห็นตรงกัน ควรมีการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์ร่วมกัน มีหัวหน้า 6 พรรคการเมืองร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งในวันพุธและวันพฤหัสบดีวอร์รูมจะอยู่ที่รัฐสภา ส่วนวันอื่นๆ จะพิจารณาความเหมาะสมเป็นครั้งๆ ไป ต้องยอมรับว่าหากรัฐบาลมีแต่ยุทธศาสตร์เชิงรับจะทำให้เสียเปรียบ จึงจำเป็นต้องหารือร่วมกันว่ารัฐบาลจะรุกกลับได้อย่างไร


เมื่อถามว่าคิดว่าเป็นเกมของ ปชป.จับพรรคร่วมรัฐบาลเป็นตัวประกันไม่ให้พลิกขั้วหรือไม่ นายชาญชัยกล่าวว่า ไม่ใช่การจับใคร มาจับตนไม่ได้หรอก ขณะนี้รัฐบาลก็ยังเป็นบึกแผ่นบริหารประเทศ จนขณะนี้ พผ.ยังไม่ได้รับการติดต่อจาก พล.อ.ชวลิตประธาน พท.แต่อย่างใด แต่ถ้าติดต่อพร้อมพูดคุยด้วย แต่พรรคมีหลักการชัดเจนว่าถ้าเป็นกระบวนการนอกระบบและไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ พรรคไม่ยอมรับ ข้อเสนอของ พท.ให้ยุบสภาถือเป็นเรื่องในระบบหรือไม่ หัวหน้า พผ.กล่าวว่า นอกระบบ หากจะเรียกร้องในระบบก็ต้องยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ


บิ๊กภท.ยันยังพร้อมคุย "บิ๊กจิ๋ว"


ด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวถึงการจัดตั้งวอร์รูมพรรคร่วมรัฐบาลว่า คงไม่ได้เป็นเรื่องการตีกันไม่ให้พรรคร่วมนอกจากใจ ปชป. ยังทำงานร่วมกันเหนียวแน่น และไม่เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวเดินสายพบแกนนำพรรคร่วมของ พล.อ.ชวลิตด้วย ขณะนี้ ภท.ยังไม่ได้รับการติดต่อมา หากติดต่อมาก็พร้อมพูดคุย ส่วนที่นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษก ภท.ระบุว่า พรรคไม่พร้อมจะเจรจากับ พล.อ.ชวลิตนั้น ไม่ทราบเรื่อง เพราะระชุมพรรควันที่ 23 มีนาคมไม่มีการพูดคุยประเด็นนี้

วอร์รูมคาดแดงยืดเยื้อเกินมี.ค.

เวลา 10.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปิดห้องรับรองนายกรัฐมนตรี บนอาคารรัฐสภา 1 ชั้น 2 เป็นวอร์รูมติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ผู้เข้าร่วมประชุมมี นายสุเทพ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายชาญชัย หัวหน้า พผ. นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม แกนนำ ภท. และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมชาติพัฒนา (รช.) แต่ไม่มีตัวแทนพรรคกิจสังคมเข้าร่วม


พล.ต.สนั่นให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า มีการวิเคราะห์ว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงอาจยืดเยื้อเกินเดือนมีนาคม ดังนั้น ทั้งตำรวจและทหารต้องระวังเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ระเบิดเอ็ม 79 นอกจากนี้นายกฯและนายสุเทพยังฝากแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลให้ไปทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ และกำชับให้รัฐมนตรีไปทำงานและลงพื้นที่ให้มาก ส่วนการเข้าไปทำงานที่ทำเนียบรัฐบาลนั้นต้องเข้าให้ได้ แต่จะเข้าไปทำงานได้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังยืนยันจะทำงานร่วมกับ ปชป. และจะประชุมวอร์รูมอีกครั้งที่รัฐสภาในวันที่ 25 มีนาคม


เผยนายกฯกำชับระวังปะทะ


นายชาญชัยกล่าวว่า ในที่ประชุมวอร์รูม นายกฯกำชับให้ระมัดระวังสถานการณ์ขณะนี้ เรื่องการเกิดเหตุการณ์ปะทะกัน ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลส่งตัวแทนพรรคละ 2 คน มาเข้าร่วมประชุมวอร์รูม
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ กล่าวหลังการประชุมวอร์รูมพรรคร่วมนัดแรกว่า ที่ประชุมตกลงกันว่า แต่ละพรรคต้องกลับไปทำความเข้าใจกับ ส.ส.ของพรรคตัวเองให้ลงพื้นที่อธิบายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับทราบ เพราะมีบางฝ่ายพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงจนทำให้เกิดความสับสน


"สุเทพ"อ้างเลขาฯสภาขอรปภ.


เมื่อถามว่า การที่ทหารล้อมสภาทำให้ภาพรัฐสภาดูไม่สง่างาม นายสุเทพกล่าวว่า ขอชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทำหนังสือถึงตนและนายกฯ เพื่อขอให้รัฐบาลหามาตรการดูแลความปลอดภัยของ ส.ส. อาคารรัฐสภาและเจ้าหน้าที่ไม่ให้ได้รับอันตรายจากการปิดล้อมสภา โดยยกตัวอย่างเหตุการณ์ในอดีตหลายครั้ง บางครั้งมีเสียชีวิต นายชัยจึงแจ้งกับตนเป็นการส่วนตัวไม่อยากเห็นภาพอย่างนั้นอีก


เมื่อถามว่า ฝ่ายค้านโจมตีว่าถูกจำกัดสิทธิประชุม และจะนำเรื่องร้องต่อยูเอ็นและศาลรัฐธรรมนูญ นายสุเทพกล่าวว่า ดีแล้ว จะได้พิสูจน์กันที่ยูเอ็น การที่ ส.ส.พท.ใช้รถยนต์ปิดทางเข้ารัฐสภาถือว่า เป็นการกระทำไม่ถูกต้อง ไม่มีอำนาจแต่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรัฐสภามีกฎหมายรองรับ ทั้งนี้ วอร์รูมของพรรคร่วมรัฐบาลไม่ได้แสดงความกังวลใดๆ มองว่าสามารถคลี่คลายได้เพียงต้องใช้เวลา


ชทพ.เผยพท.เลื่อนคุย "เติ้ง"


ด้านนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวยอมรับว่า พล.อ.ชวลิต ประธาน พท.ประสานหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ชทพ. ที่บ้านพักนายบรรหาร โดยมี พล.อ.ชวลิต นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้า พท. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค พูดคุยถึงสถานการณ์ทางการเมืองทั่วไป แต่นายบรรหารยังป่วยด้วยโรคงูสวัดอยู่ จึงไม่ต้องการพบปะกับใคร แต่ พล.อ.ชวลิตยืนยันว่า อยากมาพบด้วยตัวเอง นายบรรหารจึงตอบรับในฐานะที่เป็นอดีตนายกฯเช่นกัน ในเวลา 16.00 น. วันที่ 24 มีนาคม แต่ พท.ประสานกลับมาอีกครั้งเลิกนัดหมายเป็นวันอื่น ทำให้นายบรรหารระบุว่า ถ้าเป็นวันอื่นคงไม่สะดวกแล้ว เพราะมีภารกิจมาก
ด้านนายปลอดประสพกล่าวว่า การนัดหมายต้องเลื่อนออกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจาก พล.อ.ชวลิตเกิดตาอักเสบอีก

ค้านปชป.ยื่นถอดถอนพท.

นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง ชทพ. และวิปรัฐบาล กล่าวถึงกรณี ส.ส.ปชป.อ้างในฐานะวิปรัฐบาลมีมติประณามการไม่เข้าประชุมรัฐสภาของพรรคเพื่อไทย และจะยื่นถอดถอน ส.ส.พรรคเพื่อไทยว่า เรื่องนี้เป็นความคิดส่วนตัว ไม่ใช่มติวิปรัฐบาล ตนพูดในที่ประชุมวิปรัฐบาลไปแล้วว่า ไม่เห็นด้วยที่จะมีการยื่นถอดถอน เพราะสภาพรัฐสภาเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ปฏิวัติ น่าจะหาแนวทางอื่น ไม่ใช่เอารถทหารมาปิดถนน หรือเอาลวดหนามมาวางรอบอย่างนี้ ทำให้เห็นว่ามีความรุนแรงเพราะไม่มีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยประเทศไหนทำกันอย่างนี้

ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

วิธีเอาชนะและฝังทักษิณแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

ตอน นี้ผมไม่สนใจพรรคประชาธิปัตย์หรือพวกเสื้อเหลืองเท่าไหร่ ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ใคร พวกเราก็รู้ การดำเนินกุศโลบายต่างๆ เพื่อทำลายทักษิณในช่วงสามปีนี้ แทนที่จะทำลายได้ แต่กลับสร้าง "ศรัทธา"ให้กับทักษิณมากกว่าที่จะทำลาย แม้วันนี้ทักษิณจะยังกลับประเทศไม่ได้ แต่ในเวลาไม่นานนัก ก็คงกลับได้อย่างยิ่งใหญ่ เพราะเขามี "ประชาชนมหาศาล" อยู่ข้างเขา
Grand Strategy ว่าเอาไว้ว่า "ใครกุมหัวใจประชาชน คนนั้นครองประเทศ"
การได้อำนาจรัฐโดยเป็นปรปักษ์กับประชาชนค่อนประเทศ สุดท้ายก็ถูกทำลายไป

การใส่ร้ายป้ายสี โยนความผิดต่างๆ ให้ทักษิณแทนที่จะทำให้ประชาชนเกลียดทักษิณ แต่ผลออกตรงกันข้าม กลับไป "สะสมบารมี" ให้ทักษิณมากยิ่งกว่าเดิม เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด" มารยิ่งมาก บารมียิ่งยิ่งใหญ่
หากคิดจะเอาชนะทักษิณให้ได้ ผมว่ามีวิธีเดียว หากเขาเชิญให้ผมเป็น "เสนาธิการใหญ่ ผมว่า "แผนการณ์ของผมสำเร็จ" อย่างขาวสะอาดด้วย

วิธีการเอาชนะทักษิณคือ "เราต้องชิงปฎิวัติประชาธิปไตย" ก่อนที่ทักษิณจะปักธงปฎิวัติประชาธิปไตยได้สำเร็จ
วันนี้ต้องยอมรับว่า ทำอย่างไรก็ไม่มีทางสู้ "กระแสประชาธิปไตยได้" ทำไม่ไม่ชิงธงดำเนินการก่อน ถึงอย่างไร พวกอำมาตย์ก็ไม่สามารถครองอำนาจได้ ต้องเสียมันไปในที่สุด

แทนที่จะให้ "ประชาชนมาแย่งมันไปจากมือเอง" (ซึ่งประชาชนต้องทำอยู่แล้ว" ทำไมเราไม่รีบให้เขาไปก่อน ก่อนที่จะถูกพวกเขาบังคับให้

ทำอย่างนี้นอกจากจะได้รับคำยกย่องสรรเสริญแล้ว ยังสามารถสยบศัตรูทางด้าน "ความศรัทธา" ลงไปได้อย่างสิ้นเชิง
ภารกิจหรือ "ธงนำ" ของทักษิณก็จะสูญสลายทันที แม้คนจะนับถือ แต่ก็ไม่ได้มากอย่างขณะนี้ ความนับถือก็จะลงไปยังคน "มอบประชาธิปไตย"ให้ทันที

กลยุทธ์นี้ก็แค่ทำใจให้ได้เท่านั้น ศรัทธายังอยู่ครบ และมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป
ผมยังไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขา "ขัดขวางไปทำไม" ขัดขวางไปก็โดนประชาชนทำลายอยู่ดี
ปฎิวัติประชาธิปไตย ต้องทำอย่างจริงใจนะครับ คนก็รู้เองว่า "จริงใจคืออย่างไร" ประชาชนยุคนี้เขารู้ท้น ไม่ยอมให้หลอกโดยง่ายหรอก

เช่น ออกมาประกาศเลยว่า สนับสนุนแก้ รธน. ตัดหมวดองคมนตรีออกไป อะไรต่างๆ เป็นต้น
อำนาจที่ถึงอย่างไรก็รักษาไว้ไม่ได้ แต่ "ศรัทธา" จะยังรักษาได้ หากทำอย่างนี้
เชื่อผมเถอะว่า วิธีอื่นๆ จะยิ่งไปเสริมสร้างบารมีและพลังให้กับทักษิณมากยิ่งขึ้น มนุษย์ยุคปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะ "ศรัทธาแบบฝังใจ" กับคนที่เขารักอย่างมากด้วย

ยิ่งตามรังแก ตามล้างตามเช็ด เท่ากับหาเสียง เสริมบารมีทักษิณ เอา "พลังของเราไปให้ทักษิณ" มากยิ่งขึ้น
สุดท้าย ทั้งแผ่นดินบารมีของทักษิณจะครอบครองหมดสิ้น
เพราะเขา "กุมใจประชาชน เขาจะยึดครองประเทศได้ต่อไป"
นั้นคือ "ที่มั่นทางยุทธศาสตร์ในโลกยุคนี้"

แต่เชื่อผมเถอะว่า "พวกเขาทำไม่ได้หรอก" เพราะเอาชนะใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งถืออาวุธไล่ฆ่าประชาชน ก็จะยิ่งแพ้ สงครามทางอุดมการณ์ ยิ่งถืออาวุธไล่ทำลายล้างฝ่ายประชาชน สุดท้ายก็จะแก้อยู่ดี
ชนะใจตัวเองไม่ได้ ก็แพ้ทุกสมรภูมิ



by ลูกชาวนาไทย
********************************************************

อำมาตย์อำมหิต ตอน สงครามชนชั้น

อำมาตย์อำมหิต ตอน สงครามชนชั้น
Wed, 03/24/2010 - 14:37 | by พระอินทร์ | Vote to close topic

สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้คงไม่ต่างไปจากบรรยากาศรัฐประหารเมื่อ 19 กันยา 2549 นัก เพียงแต่ยังมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเสียงข้างน้อย ที่พยายามตะกายฟ้า จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกลุ่มหนึ่งที่เคยอยู่ฟาก ฝั่งเดียวกับฝ่ายค้านขณะนี้หมุนกลับ 360 องศา ยอมเสียสัตย์เพื่อชาติจนน้ำลายไหล

กองทัพงูเห่าภาคสองหรือปลาไหลใส่สเก็ตภาคพิศดารในนามกลุ่มสีน้ำเงินก็ผงาด ขึ้นในยุทธภพ จนทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่างๆรวมกระทั่งไปถึงชาวบ้านร้านช่องถึงกับตกตะลึงใน อำนาจวาสนาของเจ้าสำนักใหม่ที่สามารถกุมอำนาจบริหารกระทรวงสำคัญๆไว้ได้ หลายกระทรวง
อย่างไรก็ตาม การทำงานหาได้ราบรื่นไม่เนื่องด้วยสาเหตุแห่งที่มาของอำนาจนั้นไม่ชอบมาพากล ผิดกฎแห่งจรรยาบรรณยุทจักรบู๊ลิ้มเป็นยิ่งนักจนถึงกับทำให้สำนักบู๊ลิ้มต่าง ชาตินำไปวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่สง่างามของเจ้าสำนักอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ความไม่สง่างามแห่งที่มาหนึ่งบวกกับความพยายามของการดำเนินการต่างๆในการที่ จะทำลายล้างอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการกล่าวหาอย่างรุนแรงผ่านกระบอกเสียงจากสื่อของรัฐด้วยการโหมประโคม ข่าวทำลายอย่างต่อเนื่องด้วยข้อกล่าวหาว่าไม่จงรักภักดี
ความพยายามของกลุ่มสีน้ำเงินที่มีโอกาสเข้าไปคุมกระบอกเสียงและสร้างสื่อ ต่างๆขึ้นไม่ว่าจะเป็นทีวีดาวเทียม วิทยุคลื่นหลัก รวมไปถึงวิทยุชุมชน และสื่อหนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์ ที่มุ่งโจมตีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลด้วยสโลแกนปกป้องสถาบันในรหัส “แผนปฏิบัติการดาวสยาม”

การขับเคลื่อนต่างๆทั้งฝ่ายความมั่นคงรวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีที่ได้ไฟเขียว แกมบังคับจากมหาอำมาตย์ใหญ่ที่กุมอำนาจที่แท้จริงในการบริหารประเทศ กลับยิ่งทำให้มหาอำมาตย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น บาดแผลเหวอะหวะน่าขยะแขยงชวนขนลุก
การวางแผนการใส่ร้ายป้ายสีประชาชนว่าไม่จงรักภักดีจากอำนาจรัฐ ที่พยายามกระทำต่อเนื่องมาตลอดตั้งแต่เข้ามามีอำนาจในการบริหารประเทศ โหมประโคมยุยงควบคู่ไปกับกลุ่มสีเหลืองที่มีสื่อทีวีดาวเทียมอยู่ในมือ กลับไม่สามารถทำลายกลุ่มคนเสื้อแดงลงได้ อีกทั้งยิ่งทำให้คนเสื้อแดงได้รับความเห็นใจจากสังคมและประชาชนมากยิ่งขึ้น

อีกทั้งบัณฑิตหางเครื่องอำมาตย์ก็ออกมาตอบรับปกป้องมหาอำมาตย์อย่างบ้าคลั่ง เหมือนคนเสียสติ ไม่เว้นแม้กระทั่งบัณฑิตที่ได้รับการขนานนามว่ากวีรัตนโกสินทร์ก็ยัง อุตส่าห์ออกมาเลียก้นอำมาตย์ด้วยคำพูดที่ว่า “บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”

รวมไปถึงการดูถูกเหยียดหยามจากผู้ประกาศข่าวของสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ที่เหยียดหยามคนที่มาร่วมชุมนุมว่า “เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย” และคำพูดก้าวร้าวระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ปัจจุบันเวรกรรมตามทันเป็น อัมพาตก็ได้พูดว่า “คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”

การลดทอนความเป็มนุษย์จากประโยคคำพูดทั้งระดับกวีรัตนโกสินทร์ ผู้ประกาศข่าวหรือนักวิชาการระดับอาจารย์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์อย่างภูวดล ปากชักโครก ยิ่งทำให้การขับเคลื่อนของคนในชนบทชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าพวกเขามีตัวตนใน สังคมจริง
สิ่งที่พวกเขาแสดงออกอย่างชัดเจนนั่นคือการที่พวกเขาบุกเข้ามาเหยียบเมือง หลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ซึ่งเราก็คงเห็นได้จากการชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา และอีกครั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 27 มีนาคม 2553 นี้
อย่าเข้าใจว่าคนในชนบทนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจและการรับรู้ทางการเมือง พวกเขาเข้าไปมีส่วนปฏิบัติการทางการเมืองทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและ ระดับชาติมาโดยตลอด เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการ เมือง
วันนี้สงครามแห่งชนชั้นได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้หลัง 2475 เป็นต้นมา กว่า 78 ปีของชนชั้นไพร่ที่ถูกกดทับด้วยวิถีชีวิตที่ถูกครอบงำด้วยวัฒนธรรม จารีต ความเชื่องมงาย และระบบการศึกษาที่ยิ่งเรียนยิ่งโง่

ความรู้สึกที่ถูกกระทำมาตลอดเวลายาวนานทั้งถูกกดขี่กดทับและถูกละเมิด อันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้คนชั้นกลางในเมืองและพี่น้องที่เดินทางมาจากชนบทได้แสดง ศักยภาพให้อำนาจรัฐได้เห็นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนสื่อและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวมถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

การหลั่งเลือดของตัวเองเพื่อยืนยันการต่อสู้อย่างสันติ อหิงสา และปราศจากอาวุธถูกดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดจากคอลัมภ์นิสต์หนังสือพิมพ์บาง ฉบับ ASTV และเครือข่ายเนชั่นก็รวมหัวปลุกระดมยุยงให้สังคมเข้าใจผิดถึงการเคลื่อนไหว ของคนเสื้อแดง
ทั้งที่สิ่งที่คนเสื้อแดงแสดงออกตลอดกว่า 10 วันที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งว่าไม่ได้มีความรุนแรงใดๆ ทั้งที่เขามาพร้อมด้วยความโกรธแค้นอยากจะระเบิดความรุนแรงเพื่อระบายสิ่งที่ เขาถูกกระทำด้วยความอยุติธรรมมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ด้วยมโนสำนึกในการควบคุมตนเอง และด้วยความอดกลั้นของพวกเขาจึงต่อสู้ด้วยสันติวิธี อหิงสา และปราศจากอาวุธ

แต่สิ่งที่ผู้ชุมนุมกลับได้รับ คือ การยั่วยุจากฝ่ายอำนาจรัฐด้วยการกล่าวหาต่างๆ นานาว่าจะก่อความรุนแรงสร้างความเสียหายให้กับประเทศ แต่หุ้นกลับขึ้นเอาขึ้นเอาอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน รวมถึงผู้นำกลับต้องเข้าไปทำงานอยู่ในค่ายทหาร

อย่างนี้จะไม่เรียกว่ารัฐประหารแล้วจะเรียกว่าอะไรดี หรือควรจะเรียกว่าระบอบประชาธิปไตยภายใต้เผด็จการเช่นนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ทางออกทางลงที่ดีที่สุดและบอบช้ำน้อยที่สุดในขณะนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการคืน อำนาจให้ประชาชน

รัฐสภาของไทยถูกล้อมกรอบด้วยกำลังทหาร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเดินเข้าไปทำงานได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมี เกียรติเป็นที่อับอายขายหน้าไปทั่วโลก จนที่สุดส.ส.ฝ่ายค้านก็บอยคอตไม่เข้าประชุมสภาหากไม่มีการถอนกำลังทหารออกไป จากรัฐสภา
ความเป็นคนจน คนชั้นกลาง และความเป็นไพร่ของเราเป็นเรื่องที่เรามีความภาคภูมิใจที่สุดของศักดิ์ศรี ความเป็นไพร่ ซึ่งยังดีกว่าผู้ที่เหยียดไพร่และหยามคนชั้นล่างมาตลอดเพราะคนพวกนั้นหรือ อีกชื่อว่าอำมาตย์ เป็นพวกที่มีภยันตรายมากที่สุดของสังคม

ดังนั้น การประกาศสงครามทางชนชั้นครั้งนี้ถือเป็นการประกาศเจตนารมณ์ทางความคิดของ มนุษย์ที่ต้องการหลุดพ้นจากการกดขี่ ขูดรีด ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายถึงความเป็นอิสระชนของชนทุกชั้นที่เท่าเทียมกัน
วันที่ 27 มีนาคม 2553 ที่จะถึงในไม่กี่วันข้างหน้านี้ พี่น้องประชาชนในสังคมไทยทั้งหลายต้องออกมาให้มากที่สุดเพื่อแสดงพลังให้ อำนาจรัฐได้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดของคนส่วนใหญ่ที่มีความต้องการทาง สังคมในแนวทางเดียวกันว่าพวกเราต้องการความเป็น “เสรีชน”

****************************************************

นปช.จับทหารแดงเทียมโชว์เวที จี้ผู้บังคับบัญชามารับตัว

เมื่อเวลา 19.50 น. ที่หลังเวทีปราศรัย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. แถลงถึงกรณีที่การ์ดนปช.จับตัวผู้ต้องสงสัยที่บริเวณสวนมิสกวัน ว่า การ์ด นปช.ได้พบบุคคลต้องสงสัย จึงขอตรวจสอบพบว่าเป็นจ.ส.อ.สรศักดิ์ ประยูรศร สังกัด ม.พัน 4 รอ. ซึ่งได้รับคำสั่งให้มาหาข่าวในพื้นที่การชุมนุม ซึ่งหากมาหาข่าวธรรมดาคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ จ.ส.อ.สรศักดิ์ กลับติดบัตรสมาชิก นปช. ซึ่งเจ้าตัวยอมรับว่าไม่เคยสมัครเป็นสมาชิก นปช. แต่ได้รับจากผู้บังคับบัญชาจาก พล.1 ดังนั้นตนขอสงวนสิทธิ์ในการควบคุมตัวเพื่อรอส่งกลับให้ผู้บังคับบัญชาคือ เสธ.ซัน ทหารนายยศนายพัน

"ต้องการพูดคุยกับผู้บังคับบัญชา ว่าเหตุใดจึงออกบัตรปลอมอย่างนี้ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เจตนาของหน่วยงานราชการ แต่เป็นการกระทำของคนที่เป็นศัตรูกัน อย่างนี้แหละที่เรียกว่าแดงปลอม หรือแดงเทียม แล้วหากปล่อยไปเช่นนี้หากมีคนพกบัตรอย่างนี้แล้วเอาไปก่อเหตุก็เป็นการทำลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง" นายณัฐวุฒิ กล่าวพร้อมกับนำตัวจ.ส.อ.สรศักดิ์ ขึ้นเวที เพื่อเรียกร้องให้ผู้บังคับบัญชามารับตัว


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************

พรางเป้า! ปัดผิดไอ้โม่ง!


สิ่งที่ยืนยันว่า ส.หัวจุกตัวแสบนั้น แสบจริงๆ ก็คือ ในการเสนอโยกย้ายแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรนั้น ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นด้วยกับการให้โยกย้าย พ.ต.อ.สมเพียรตามที่ขอย้ายมาดังนั้นในวันที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ทำหน้าที่เป็นประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.ต.อ.สมเพียร จึงรู้สึกเจ็บช้ำใจเป็นยิ่งนัก ขนาดผ่านไปแล้ว ยังมีการไปดึงชื่อออกเปลี่ยนชื่อใหม่กันได้หน้าด้านๆ จะไม่ให้แค้นใจแทนจ่าเพียรได้อย่างไรเพราะ พล.ต.อ.อดุลย์เอง ก็ได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษด้ามขวานทอง” ดูแลปัญหาภาคใต้มาตลอด จึงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

แม้ว่าการจากไปของ “จ่าเพียรขาเหล็ก” พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตา อาจจะสายเกินไปสำหรับการได้รับการยกย่องจากสังคมไทยว่า เป็น “วีรบุรุษที่แท้จริง” เพราะเป็นการได้รับการสดุดี ก็เมื่อไม่สามารถที่จะได้ยิน ได้ฟัง หรือมีรอยยิ้มแห่งความปิติอีกต่อไปแล้วแต่อย่างน้อยก็ยังดีสำหรับสังคมไทย ที่มีการลุกขึ้นมาให้คุณค่ากับบุคคที่ทำคุณงามความดีให้กับประเทศชาติอย่างแท้จริง และดีสำหรับสังคมสีกากี โดยเฉพาะกับบรรดาตำรวจที่ทุ่มเทการทำงานเพื่อผดุงความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์เพราะทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักมากในขณะนี้ ว่าเกิดอะไร

ขึ้นกับระบบยุติธรรมระหว่างผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ กับ ผู้พิทักษ์นักการเมือง...ทำไมจึงแตกต่างกันสุดขั้วนัก นายตำรวจดีๆ อย่างแท้จริงต้องซมซานเข้ากรุงเทพฯ เพื่อขอความเป็นธรรมในช่วงสุดท้ายของชีวิตราชการ แต่กลับไม่ได้รับการไยดี จนต้องกลับไปประสบชะตากรรมเช่นที่หวั่นเกรงเพราะคนทั้ง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รู้กันทั่วว่า “จ่าเพียร” ถูกหมายหัว... แต่คนบนหอคอยงาช้าง นักการเมืองที่เสวยอำนาจ ไม่เคยรับรู้ ไม่เคยไยดีดังนั้นการเสียชีวิตของ

พ.ต.อ.สมเพียร หรือจ่าเพียร จึงไม่ใช่ปรากฏการณ์แห่งความจริงที่ดีสำหรับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และไม่ได้เป็นเรื่องดีสำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยุคที่นายอภิสิทธิ์ นั่งเป็นประธาน คณะกรรมการตำรวจ (ก.ตร.) โดยที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบกิจการตำรวจเพียงแต่ว่าในวันนี้ที่คนไทยสะเทือนใจไปทั่ว แต่วิญญูชนจอมปลอมบางคน จนวันนี้ก็ยังคงไม่รู้สึกใดๆ จากเรื่องนี้เลย แม้แต่กระทั่ง

ประโยคที่สะเทือนใจประชาชนคนไทยเป็นอย่างยิ่ง ที่ว่า“หรือจะให้ผมเป็นพลตำรวจเอกตอนที่ผมเสียชีวิตแล้ว”ก็ไม่ได้ทำให้นักการเมืองบางกลุ่มเกิดความละอายแก่ใจขึ้นมาได้เลย ทั้งๆ ที่นั่นคือการประจานพฤติกรรมการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการตำรวจของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แท้ๆความอัปลักษณ์ของระบบบริหารในการที่จนป่านนี้ยังไม่สามารถแต่งตั้ง ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.ตัวจริงได้ รวมทั้งความเป็นจริงที่ว่า พล.ต.อ. ปทีป ตัน

ประเสริฐ ก็คงเป็นได้แค่รักษาราชการแทนไปจนกระทั่งเกษียณอายุยังไม่ทุเรศอัปลักษณ์เท่ากับว่า การจากไปของวีรบุรุษที่แท้จริงอย่าง “จ่าเพียร” ทำให้เห็นชัดว่ามีผลประโยชน์มากมายมหาศาลเกิดขึ้นในกระบวนการแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจยุคนี้โผรายชื่อ หรือกระดาษรายชื่อโยกย้าย ที่ควรจะเป็นแค่ “เปเปอร์” ธรรมดาๆ ที่ไม่ควรจะต้องให้ตำรวจดีๆ ต้องตายไปนั้น เมื่อมาเจอความหน้าหนาระดับกำแพง หรือ “วอล” ยังต้องเรียกพี่จึงกลายเป็นเสมือน “วอลเปเปอร์” แห่ง

เครือข่ายอำนาจ ที่ทำให้การโยกย้ายแต่งตั้งตำรวจในยุคนี้ปั่นป่วนวุ่นวายสุดจะคณานับและเป็นต้นเหตุให้นายตำรวจดีๆ ที่มีผลงานมาชั่วชีวิต ควรที่จะได้กลับไปอยู่กับลูกเมีย กลับไปนั่งจิบน้ำชาในช่วงบั้นปลายหลังเกษียณ กลับต้องมาเสียชีวิตสังเวยผลประโยชน์โยกย้ายแต่งตั้งของเครือข่ายโยงใยนักการเมืองโดยเฉพาะขณะนี้ที่กระฉ่อนไปทั่วภาคใต้ และกำลังกระฉ่อนฉาวไปทั่วประเทศ ก็คือ มีการพูดถึงไอ้โม่งตัวแสบที่เป็นคนดึงชื่อของ พ.ต.อ.สมเพียร ออกจากโผปักษ์

ใต้ มีนกกรงหัวจุก ที่สร้างชื่อเสียง หน้าตา บารมีให้กับเศรษฐีแต่ในเครือข่ายนักการเมืองขั้วอำนาจปัจจุบัน มีตัวแสบชื่อ ส. ไม่รู้ว่าชอบเลี้ยงนกกรงหัวจุกหรือเปล่า แต่คนชอบเรียกเป็น “ส.หัวจุก” ซึ่งก็ไม่ได้มีคุณงามความดีเท่านกกรงหัวจุกสักนิด แต่กลับสามารถกอบโกยสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้เป็นนายได้อย่างมหาศาลเพราะมีดีกรีเป็นอดีตนักการเมืองท้องถิ่น นิยมและคลั่งไคล้ในศิลปะวอลเปเปอร์เป็นอย่างยิ่ง จึงได้เข้ามาในเครือข่ายผลประโยชน์การเมือง และ

การแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจในรัฐบาลชุดนี้ทั้งๆ ที่หากดูประวัติแล้ว อยู่กับใครก็ยาก ขนาดส่งไปทำหน้าที่ให้คอยช่วยเหลือเลขาฯ ของคนที่มีตำแหน่งในกรุงเทพฯ หรือ กทม. ก็ยังออกลายจนอยู่ไม่ได้ ทั้งๆ ที่ตอนที่ถูกยัดเข้าไป ก็ประกาศปาวๆ ว่าเป็นระดับ “มือขวา” ของคนที่มีอำนาจ ที่อยู่ใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์แถมยังเคยปรากฏภาพจับไม้จับมือกับนายอภิสิทธิ์ ให้เห็นกันแว๊บๆ ด้วยเหมือนกัน คนทั่วไปใครฟังหรือบังเอิญเห็น... ก็มักจะเชื่อว่าใหญ่จริงที่สำคัญเป็นที่รู้กัน

ทั่วว่ามีอิทธิพลในการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ เพราะมี “แบ็ค” ดี ก็เหมือนมี “วอลเปเปอร์” สีสันสดสวยฉาบทา ลบความเลอะเทอะที่อยู่เบื้องหลังสิ่งที่ยืนยันว่า ส.หัวจุกตัวแสบนั้น แสบจริงๆ ก็คือ ในการเสนอโยกย้ายแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรนั้น ทาง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ.10 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเทียบเท่ารองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เห็นด้วยกับการให้โยกย้าย พ.ต.อ.สมเพียรตามที่ขอย้ายมาดังนั้นในวันที่ พล.ต.อ.อดุลย์ ทำหน้าที่เป็น

ประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พ.ต.อ.สมเพียร จึงรู้สึกเจ็บช้ำใจเป็นยิ่งนัก ขนาดผ่านไปแล้ว ยังมีการไปดึงชื่อออกเปลี่ยนชื่อใหม่กันได้หน้าด้านๆ จะไม่ให้แค้นใจแทนจ่าเพียรได้อย่างไรเพราะ พล.ต.อ.อดุลย์เอง ก็ได้รับฉายาว่า “สุภาพบุรุษด้ามขวานทอง” ดูแลปัญหาภาคใต้มาตลอด จึงรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไรฉะนั้นการเสียชีวิตของ พ.ต.อ.สมเพียร ก็มาจากฝีมือของ ส.หัวจุกตัวแสบ ที่มีกำแพงผนังให้พิงอย่างมั่นคงนั่นเองแถมเมื่อเรื่องบานปลาย ยังใช้วิชา

มารกลบเกลื่อน ปล่อยข้อมูลไปว่า จ่าเพียรจะขอไปอยู่ที่ สภอ.กันตัง ซึ่งหากทุกคนมุ่งเป้าไปตรงนี้ ก็จะเจอแต่แพะ!! ไม่มีวันที่จะสามารถพิสูจน์ได้เลยว่า มีการใช้เงินใช้ทองเพื่อเขี่ยจ่าเพียร!! เพราะในความเป็นจริง จ่าเพียรหรือ พ.ต.อ.สมเพียร ไม่ได้ขอโยกย้ายไปที่ สภอ.กันตัง!!!แสบมั้ยล่ะไอ้จุก จู้ฮุกกรู ปล่อยม่านควันตัดตอนเสียอย่างนั้นแหละดังนั้นยังไม่สาย หากนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และเป็น ประธาน ก.ตร. จะไถ่บาปด้วยการแค่ตรวจสอบดูว่า จริงๆ

แล้วจ่าเพียร ขอโยกย้ายไปลงที่ไหน??แล้วก็ดูว่า ใครมาเสียบแทนตรงนั้น หากมือสะอาดจริงอย่างที่สร้างภาพ ก็จะสืบย้อนต่อไปได้แล้วว่า มีเรื่องผลประโยชน์กันจริงหรือไม่???ถ้าไม่จริง ทำไมจึงมีการดึงชื่อ พ.ต.อ.สมเพียรออกในวินาทีสุดท้ายถ้านายอภิสิทธิ์ แน่จริง และไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์คนรอบข้างจริง... งานนี้เชือดให้ดูกันทั้งประเทศหน่อยเป็นไร!!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************

สนนท.แพร่คำแถลงถึงชาว กทม.เฝ้าระวังหากมีการสร้างสถานการณ์

สนนท.เผยแพร่เอกสารถึงชาว กทม. สอดส่องดูแลหากผู้มีอำนาจรัฐสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อหาเหตุปราบผู้ชุมนุม เตือนผู้ลงมือปราบปรามประชาชนในอนาคตจะถูกจารึกชื่อว่าเป็นอาชญากร

วันนี้ (24 มี.ค.) สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) เผยแพร่ “คำแถลง... ถึง ชาวกรุงเทพมหานคร” ความยาว 2 หน้ากระดาษ แจกจ่ายในพื้นที่ต่างๆ ทั่ว กทม. เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์การชุมนุม หากเกิดการปราบปรามผู้ชุมนุม โดยเอกสารวิเคราะห์ว่า ฝ่ายผู้กุมอำนาจรัฐ ได้แก่รัฐบาล ฝ่ายทหาร และผู้มีอำนาจบัญชาการ กำลังสร้างเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นเพื่อปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกำลังอาวุธ โดยอาจมีการสร้างเงื่อนไขเพื่อให้เกิดการปราบปรามเช่น ผู้มีอำนาจสร้างสถานการณ์ให้ชาว กทม. เดือดร้อน และมีการป้ายสีให้เกลียดชังคนเสื้อแดง เช่น มีคนใส่เสื้อแดงปิดหน้าข่มขู่คุกคามตามที่สาธารณะ ช่วงกลางคืนเกิดเหตุระเบิด ยิงจรวดตามสถานที่ของฝ่ายที่เข้าใจกันว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามของคนเสื้อแดง

โดยในเอกสารของ สนนท. ระบุว่า การสร้างสถานการณ์ดังกล่าวหากเกิดขึ้นก็เพื่อ “ให้เกิดปรากฏการณ์ อันธพาลการเมืองของคนเสื้อแดงขึ้น” และขอความร่วมมือว่า “หากท่านพบเห็นพฤติการณ์เช่นว่า ขอความร่วมมือให้ท่านแจ้งเจ้าหน้าที่จับกุมดำเนินคดี และ/หรือกรุณาถ่ายภาพส่งให้กับเรา เพื่อเปิดโปงแผนชั่วและเผยความเป็นจริง โดยสุจริตใจ”

เอกสารของ สนนท. อ้างต่อไปว่า หากปฏิบัติการสร้างภาพ “อันธพาลการเมือง เสื้อแดง” สำเร็จเพียงพอให้สังคมโน้มเอียง ขั้นตอนต่อมาของฝ่ายอำนาจรัฐคือ ใช้นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยและบุคคลที่น่าเชื่อถือทางสังคม ออกมากระพือข่าวโจมตีผ่านสื่อหลากหลายชนิด เพื่อทำลายความชอบธรรมของคนเสื้อแดง อีกด้านหนึ่ง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามด้วยกำลังอาวุธของฝ่ายรัฐ

เมื่อกระบวนการการสร้างภาพบิดเบือนได้ผลจะมีการแทรกแซงจากอำนาจรัฐ เพื่อสร้างให้เกิดสถานการณ์ความวุ่นวายขนาดใหญ่ขึ้น ในลักษณะฝูงชนไร้การควบคุมเป็นภาพคนเสื้อแดงที่บ้าคลั่ง เช่นเดือนเมษายนปีที่แล้ว ขณะที่แกนนำหลัก พยายามจัดระเบียบมวลชนอย่างยากลำบาก

เอกสารยังอ้างว่าหากสถานการณ์อันเลวร้ายตามที่ระบุ “จะนำไปสู่ “การปราบปรามด้วยกำลังอาวุธ” ของฝ่ายรัฐที่เชื่อว่าตัวเองชอบธรรมแล้ว และตามมาด้วยการ “จับแกนนำ” และปิดหรือควบคุมสื่อฯ” สนนท. ยังอ้างว่า หากเป็นเช่นนี้การโฆษณาของฝ่ายรัฐจะยังกระทำอย่างต่อเนื่องไปอีก ในการป้ายสีและใส่ร้ายคนเสื้อแดง

เอกสารยังอ้างว่า “เนื่องจากจำนวนคนเสื้อแดงที่ชุมนุมในแต่ละวันเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของคนเสื้อแดงทั้งประเทศ เช่น สมาชิกกลุ่ม นปช.อุดรฯ มีมากกว่า 2 แสนคน, สมาชิกพรรคเพื่อไทยมากกว่า 20 ล้าน, ตลอดทั้งผู้รักความเป็นธรรมในประเทศ เป็นต้น คนกว่าครึ่งประเทศจะเกิดความเคืองแค้น เพราะรู้สึกถูกกระทำ ประณาม และถูกรังแกมาตลอด 4 ปี แล้วยังจะต้องเสียเลือด เสียเนื้อ อีกจำนวนมาก จะยิ่งตอกย้ำวาทกรรมที่ว่า “เราทำอะไรก็ผิด คุณทำอะไรถูกหมด” ที่คนเสื้อแดงเน้นย้ำมาโดยตลอด”

และยังประเมินว่าหากมีการปราบปรามอย่างรุนแรง อาจมีการจลาจล เกิดการดื้อแพ่ง รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ จะไม่สามารถแก้วิกฤตและรักษาเสถียรภาพไว้ได้ อย่างมากสุดจะอยู่ได้ไม่เกิน 1-3 ปี ประชาชนจะหันมาเรียกร้องรัฐบาลเลือกตั้ง

เอกสาร สนนท. เตือนฝ่ายที่คิดจะใช้วิธีปราบปรามผู้ชุมนุมว่า “เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งฝ่ายประชาธิปไตยแม้จะถูกปราบปรามและสูญเสียไปมาก แต่จะเพิ่มจำนวนผู้เห็นด้วยขึ้นอย่างมหาศาล ทุกภูมิภาค รัฐบาลประชาธิปไตยจะได้รับเลือกตั้ง และจะดำเนินการรื้อฟื้นข้อเท็จจริงของโศกนาฏกรรม เปิดเผยผู้ก่อการปราบปราม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด ประชาชนจะได้ทราบความจริง สำหรับผู้ที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามประชาชน ชื่อและสกุลของท่านจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย (ท่านจะเป็นแพะแทนเจ้านายท่านที่สั่งปราบปราม) ในฐานะอาชญากรของไทย”

ตอนท้ายของเอกสาร สนนท. เขียนว่า “พวกเราไม่ต้องการให้เกิดเรื่องร้ายเหล่านี้เพียงต้องการแสดงออกทางการเมือง โดยการเรียกร้องอย่างสงบและสันติตามสิทธิ อันพึงมีพึงได้ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของพลเมืองกว่า 30 ล้านคน เราพร้อมและปรารถนาที่จะดำเนินกิจกรรมภายใต้แนวทางสันติวิธีโดยสงบ ไม่ว่าจะใช้เวลายาวนานกี่เดือน กี่ปีก็ตาม โดยให้ชาวกรุงเทพมหานครได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อการบรรลุเป้าหมายในการสร้างประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และสังคมที่เท่าเทียมกันให้เกิดขึ้น เพื่อคนทุกผู้ทุกนาม”

“สำหรับผู้ที่เห็นและเข้าใจพวกเราขอความกรุณาเผยแพร่เอกสารชี้แจงความเข้าใจต่อกันไปให้ทั่ว ไม่แน่หากประชาชนกรุงเทพฯ หนุนช่วยฝ่ายประชาธิปไตย พี่น้องร่วมแผ่นดินอาจจะไม่ต้องบาดเจ็บล้มตาย ประเทศชาติจะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้” ตอนท้ายของเอกสาร สนนท. ระบุ

ที่มา.ประชาไท.
************************************************

เคลื่อนพลรอบกรุง ไล่อภิสิทธิ กินเนสบันทึกสถิติ


เสื้อแดงประกาศเคลื่อนพลรอบกรุง ครั้งที่ 2 เพื่อขับไล่ นายกรัฐมนตรี 27 มี.ค. ขู่ ไม่ลาออก - ยุบสภา ม็อบมามากเป็นสถิติโลก แน่ จี้ พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงส่งทหารคุมม็อบแดง ปฏิวัติซ่อนรูปหรือไม่...

นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาระหว่างกลุ่ม นปช. และ รัฐบาล ว่า เบื้องต้น นายกรัฐมนตรี ยังคงพยายามเตะถ่วง โดยการพยายามที่จะขยายกรอบการเจรจา รวมทั้งอ้างว่าไม่ทราบว่าทางกลุ่ม นปช. จะส่งใครมาเจรจา ทั้งที่ฝ่ายเสื้อแดง ยืนยันไปแล่้วว่า จะส่งนายวีระ มุสิกพงศ์ จตุพร พรหมพันธุ์ นพ.เหวง โตจิราการ และ ตนเองไปร่วมการเจรจา กับ นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวแล้วก็ตาม ด้านกรอบการเจรจา นั้น ก็ได้ยืนยันไปแล้วว่า นายกรัฐมนตรี จะต้องยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งในเมื่อหากนายกรัฐมนตรี มีความจริงใจที่จะเจรจา ก็ควรที่จะยุติการยืดระยะเวลาได้ แล้ว

นอกจากนี้ นายณัฐวุฒิ ยังได้กล่าวตำหนิ การที่รัฐบาล ใช้กำลังทหารมารักษาความปลอดภัย สถานที่ราชการสำคัญ ต่าง ๆ ใกล้สถานที่ชุมนุม เช่นในกรณี อาคารรัฐสภา โดยไม่มีการเปิดเผยสังกัดที่มา ทำราวกับ ส่งกำลังทหารเหล่านั้น ออกมาทำสงคราม จนสร้างความสับสนให้กับประชาชน นอกจากนี้ การที่ให้ ส.ส.ต้องเดินเท้าเข้าไปประชุมสภา ยังถือเป็นการลดเกียรติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจากประชาชน อีกด้วย จึงอยากเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผู้บัญชาการทหารบก ออกมาชี้แจงกับประชาชนว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการดำเนินการปฏิวัติเงียบ หรือไม่

ส่วนที่ทางรัฐบาลตั้งวอร์รูม พรรคร่วมรัฐบาล เพื่อรับมือการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง นั้น ถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่ควรอยู่ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่ทั้งนี้ ตนเองชื่อว่า น่าจะเป็นเพียงวอร์รูมของกลุ่มพ่อมดหมอผี และนักเลงโต ของคนในรัฐบาล เช่น กลุ่มเสื้อน้ำเงิน และกลุ่ม ส.ส.สุราษฎรธานี มากกว่า และทางกลุ่มเสื้อแดงจะไม่ตอบโต้ในทุกกรณีจากการดำเนินการดังกล่าว ที่ไม่ถูกต้องและชอบธรรมตามกฎหมาย

และ ทางกลุ่มเสื้อแดง ขอเตือน นายกรัฐมนตรี เอาไว้ว่า หากก่อนวันที่ 27 มี.ค.2553 ยังไม่ตัดสินใจยุบสภา ก็จะถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ถูกคนออกมาเดินขบวนไล่มากที่สุด โดยในวันดังกล่าวเชื่อว่าจะมีผู้มาร่วม มากเป็น 2 - 3 เท่า ของการเดินขบวนรอบกรุงรอบแรก เมื่อวันที่ 20 มี.ค. แน่นอน ทั้งนี้ทางกลุ่มเสื้อแดง จะได้ประสานสื่อมวลชนต่างประเทศ และ นิตยสารกินเนสบุ๊ค ออฟ เวิร์ด เรคคอร์ด ให้มาจดบันทึกการเดินขบวนในครั้งนี้ ด้วย เพื่อเป็นพยานให้กับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ในครั้งนี้ ด้วย

และหากพบว่าการมีทหารออกมาขัดขวาง หรือ ตั้งด่านสกัด การเดินขบวนดังกล่าว กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะขอใช้สิทธิแหกด่านสกัดดังกล่าวทั้งหมดด้วยมือเปล่า แต่ขอยืนยันว่า จะเป็นการดำเนินแบบสันติวิธี

ที่มา. Pitakthai.com
*******************************************************

เปิดประเด็น"อุทธรณ์"ยึดทรัพย์ทักษิณ อ้างข้อมูลใหม่"ม.ล.ฤทธิเทพ-วรเจตน์"

เปิดอุทธรณ์ข้อต่อสู้เฮือกสุดท้ายของทักษิณ คดียึดทรัพย์ ทนายใหญ่ "ฉัตรทิพย์" พร้อมยื่นภายใน 26 มีนาคม อ้างหลักฐานใหม่ รวมถึงพยานหลักฐานที่ยื่นไปแล้ว แต่ศาลไม่ได้พิจารณา วงในเชื่อ ทีมทนายหยิบบทวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ธรรมศาสตร์ และตุลาการเสียงข้างน้อย "ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล" ไปใช้เป็นประเด็นใหม่ในการต่อสู้


การยื่นอุทธรณ์ในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน จะครบกำหนดภายในสิ้นเดือนนี้ กล่าวกันว่า อุทธรณ์จะเป็นกระบวนการต่อสู้ครั้งสุดท้ายตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ เดิมพันครั้งนี้จึงสูงยิ่ง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คณะใหม่ อาจยืนคำพิพากษาศาลฎีกา หรืออาจยกฟ้อง หรืออาจยกอุทธรณ์ ทุกอย่างเป็นไปได้ แต่ที่แน่ ๆ ทักษิณและครอบครัวดิ้นสุดฤทธิ์

ทนายทักษิณอุทธรณ์ ตีความหลักฐานใหม่

นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การยื่นอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว จำนวน 46,373 ล้านบาท ขณะนี้ทีมทนายความได้ร่างคำอุทธรณ์ไว้แล้ว ความยาวกว่า 100 หน้า คาดว่าจะยื่นอุทธรณ์ได้ภายในสัปดาห์นี้ เร็วที่สุดอาจจะยื่นวันที่ 22 มีนาคมนี้ แต่ถ้ามีการตรวจทานคำร่างอุทธรณ์แล้วจะต้องปรับแต่งรายละเอียดเพิ่มเติม ก็จะยื่นภายในวันที่ 26 มีนาคม โดยการยื่นอุทธรณ์จะครบกำหนดวันที่ 28 มีนาคมนี้

"การยื่นอุทธรณ์ของทีมทนายได้พิจารณาถึงเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมทั้งหลักความยุติธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การตีความตามตัวอักษรว่าพยานหลักฐานใหม่ หมายถึงพยานหลักฐานที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเท่านั้น แต่กรณีที่มีการนำเสนอพยานหลักฐานไปแล้ว แต่ไม่ได้มีการหยิบยกมาวินิจฉัย ก็ถือได้ว่าพยานหลักฐานที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยเป็นหลักฐานใหม่ ซึ่งทีมทนายความจะชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงและความเป็นเหตุเป็นผล"

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า มีการ เตรียมการเพื่อยื่นอุทธรณ์ในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยทีมทนายความได้พิจารณาทุกประเด็นอย่างครบถ้วน รวมทั้งได้ศึกษาบท วิเคราะห์คำพิพากษา ที่ทำขึ้นโดยอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้ง 5 ท่าน เพื่อประกอบในการอุทธรณ์ด้วย

อ้างคำวินิจฉัย ม.ล.ฤทธิเทพ ไปใช้ประโยชน์

รายงานข่าวแจ้งว่า อุทธรณ์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ บางส่วนจะอ้างอิงถึง คำวินิจฉัยส่วนตัวของ ม.ล.ฤทธิเทพ เทวกุล รองประธานศาลฎีกา ซึ่งเป็นตุลาการ "คนเดียว" ในองค์คณะคดียึดทรัพย์ ที่วินิจฉัยว่า ทักษิณไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติ

ประเด็นสำคัญของ ม.ล.ฤทธิเทพ คือการอธิบายว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปไม่ได้มีค่าสูงเพิ่มขึ้นผิดปกติ จากการไต่สวนไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้สั่งการ หรือมอบนโยบายต่าง ๆ ทั้ง 5 กรณี และยังรับฟังไม่ได้ว่า รัฐมนตรีแต่ละกระทรวงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ พ.ต.ท. ทักษิณ ทุกกรณีไป ประเด็นนี้ยังมีมูลเหตุไม่ชัดแจ้งพอและเป็นเหตุผลที่ถูกโต้แย้งได้ เพราะรัฐมนตรีย่อมเป็นผู้มีอำนาจวางแนวนโยบายในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวงที่ตนต้องรับผิดชอบโดยอิสระ

จากการไต่สวนได้ความว่า กรณีดาวเทียมไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมที่ใหญ่และดีที่สุดในโลก เป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกที่มีหลายช่องสัญญาณ ทำงานได้หลากหลายกว่า มีประสิทธิภาพสูง คุณสมบัติทางเทคนิคดีกว่าดาวเทียมทั่วไป และยังทำให้ประชาชนสามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้ในราคาที่ถูกลง ย่อมเป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของประเทศที่ต้องการศักยภาพทางยุทธศาสตร์ เพื่อชิงความได้เปรียบทางด้านธุรกิจสื่อสารทางดาวเทียม

"หุ้นชินคอร์ปจึงเปรียบได้กับเพชรเม็ดงามที่ผู้ครอบครองต่อรองราคาซื้อขายได้สูง อันเป็นสิ่งปกติในกลไกทางธุรกิจและการ ซื้อขายหลักทรัพย์"

นอกจากนี้ บริษัทในเครือชินคอร์ปลงทุนจ้างบุคลากรที่มีความรู้เฉพาะด้านกิจการ ทำให้ได้เปรียบด้านแผนธุรกิจการค้า และมีผลประกอบการที่ดี รวมทั้งเกิดความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ ได้มากกว่า ผู้ประกอบการรายอื่นอีกหลายรายที่ไม่ได้ลงทุนในด้านนี้

เมื่อเปรียบเทียบดัชนีราคาหุ้นของ ชินคอร์ปกับหุ้นของบริษัทอื่น ๆ ที่ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นที่นิยมของ ผู้ลงทุนซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงเวลาเดียวกัน ก่อนมีการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็กแล้ว เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นราคาขึ้นลงที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด

ทำลายน้ำหนักสมเกียรติ ทีดีอาร์ไอ

รายงานข่าวแจ้งว่า คำตัดสินของศาลฎีกาในส่วน 5 โครงการที่เอื้อประโยชน์กับชินคอร์ป ศาลฎีกาอ้างอิงคำไต่สวนของ ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ นักวิจัยจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ เกือบทั้งหมด

อย่างไรก็ตามจากบทวิเคราะห์ของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ หลายประเด็นเป็นการหักล้าง ดร.สมเกียรติโดยตรง ซึ่งคาดว่าทีมทนายความได้ใช้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์ทางวิชาการของ ดร.วรเจตน์ อย่างเต็มที่

ดร.วรเจตน์กล่าวว่า คำวินิจฉัยของศาลกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็นเกี่ยวกับโทรคมนาคมว่า ในส่วนเนื้อหาที่ว่าเป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่หรือไม่นั้น เป็นการพูดมุมเดียว ไม่ถามถึงผู้ที่ประกอบกิจการในตลาดว่ามีมุมมองต่อเรื่องนี้อย่างไร และวิเคราะห์รอบด้านหรือไม่

"ผมไม่เห็นด้วยเรื่องการกีดกันและเอื้อประโยชน์ เพราะดูสัญญาระหว่างบริษัทมือถือที่ทำกับรัฐวิสาหกิจของรัฐ และส่วนกฎหมายที่ออกมา วัตถุประสงค์ของภาษีสรรพสามิตยังไม่พบว่ากีดกันรายใหม่ จริง ๆ มี 2 ประเด็น คือ 1.ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ 2.กีดกันรายใหม่หรือไม่"

ทั้งนี้ปัญหาโทรศัพท์มือถือไม่เหมือนที่ไหนในโลก และการให้สัมปทานเกิดก่อน คุณทักษิณเป็นนายกฯ ซึ่งปกติเวลาให้สัมปทานรัฐจะเป็นหน่วยเดียว แต่ของไทยมี 2 แห่งแยกค่าย คือ 1.องค์การโทรศัพท์ฯให้สัมปทานเอไอเอส เป็นรายแรกที่เข้าสู่ตลาด 2.การสื่อสารฯให้สัมปทานดีแทค และทรูมูฟ เมื่อเอไอเอสเป็นคู่สัญญาโดยตรงกับองค์การโทรศัพท์ฯก็จ่ายค่าสัมปทาน

ขณะที่ดีแทคและทรูมูฟต้องเชื่อมต่อโครงข่ายขององค์การโทรศัพท์ฯ ทำให้ต้นทุนไม่เท่ากัน ในเวลาต่อมามีการแปรรูปองค์การโทรศัพท์ฯเป็นบริษัททีโอที การสื่อสารฯเป็นบริษัท กสท โทรคมนาคม เปลี่ยนทุนเป็นหุ้น และกระทรวงการคลังถือหุ้น 100% เมื่อเข้าสู่ตลาดก็อาจเอาหุ้นไปขาย ประเด็นคือตอนแปรรูป ทั้ง 2 หน่วยงานยังได้สืบสิทธิ์ตามสัญญาสัมปทานเดิมต่อไปตลอดอายุสัมปทาน ปัญหาคือทีโอทีเอาเงินไปใช้ก่อนเหลือค่อยส่งคลัง

รัฐบาลขณะนั้นแก้ปัญหาโดยการออกภาษีสรรพสามิต 10% ส่งไปที่คลัง และ 15% จ่ายให้ทีโอที ซึ่งเอไอเอสไม่ได้จ่ายน้อยลงยังจ่าย 25% เหมือนเดิม จึงไม่เห็นว่า รัฐเสียประโยชน์ ส่วนเอื้อประโยชน์หรือไม่ ประเด็นที่ต้องพูดกันคือยังไม่มีการเข้าสู่ตลาด แต่ถ้าสมมติว่า 10% ยังอยู่ ถามว่าจะกีดกันรายใหม่หรือไม่

ดร.วรเจตน์กล่าวต่อว่า รายใหม่ต้องขออนุญาตที่ กทช. ไม่ใช่สัมปทาน จะมีต้นทุนที่ให้รัฐ ซึ่งไม่ได้สูงกว่ารายเดิมมากนัก ขณะที่ยังไม่มีฐานลูกค้า ฉะนั้นไม่แน่ใจว่าจะเกิดรายใหม่ได้สักเท่าไร แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าต้องทำให้แข่งขันได้ ถามว่าเป็นการกีดกันหรือไม่ อย่างน้อยดูจากต้นทุนก็ไม่ใช่การกีดกัน

ต่อสู้ประเด็นแก้สัญญาพรีเพด

ดร.วรเจตน์กล่าวถึงการทำสัญญาพรีเพดว่า เดิมแอ็กเซสชาร์จจ่าย 200 บาท/เบอร์ ซึ่งดีแทคกับทรูมูฟมีภาระตรงนี้ เป็นเหตุผลว่าทำไมกำไรเอไอเอสจึงเยอะ เพราะต้นทุนน้อยกว่า เป็นปัญหามาตั้งแต่แรกในการเข้าสู่ตลาดที่ไม่พร้อมกัน พอดีแทคทำพรีเพดก็พบว่าเป็นแบบนี้จะประกอบกิจการนี้ไม่ได้แน่ เดือนไหนคนใช้ไม่ถึง 200 บาท ขาดทุนแน่จึงขอแก้สัญญาลดราคาแอ็กเซสชาร์จเพื่อให้แข่งขันได้

เมื่อเอไอเอสเห็นว่าดีแทคขอแก้ไขได้ก็ขอบ้าง แต่ศาลบอกว่าไม่เกี่ยวกัน ซึ่งผมเห็นว่าตรงนี้ฟังได้ แต่การขอแก้ไขเป็นเรื่องธุรกิจ เหตุที่เอไอเอสขอแก้เป็นคนละเรื่องกับผล ถ้าแก้ไขแล้วรัฐไม่เสียประโยชน์ และผู้บริโภคได้ประโยชน์ก็แก้ได้

เมื่อเอไอเอสขอแก้ บอร์ดทีโอทีบอกว่าถ้าจะแก้ ต้องไปลดค่าบริการ ซึ่งมีค่าโทร.ลดลงช่วงหนึ่ง เพราะเอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งให้ทีโอทีลดลง จึงลดราคาให้ผู้บริโภคเมื่อลดราคาก็มีการแข่งขันในตลาด กลไกในตลาดก็เดิน แม้เป็นกลไกที่เอไอเอสยัง ได้เปรียบ

"ถามว่าเอไอเอสลดราคา ทำให้ทีโอทีเสียประโยชน์ไหม คำตอบคือไม่ ฐานลูกค้าเอไอเอสมากขึ้น มีรายได้มากขึ้น ส่งส่วนแบ่งรายได้ให้ทีโอทีมากขึ้น ในภาพรวมจึงได้ส่วนแบ่งรายได้มากกว่าเดิม ศาลให้น้ำหนักกับประเด็นของ อ.สมเกียรติ แต่อีกด้านที่ไม่ปรากฏในคำพิพากษา ซึ่งคนในวงการอธิบายให้ฟัง แต่ศาลยอมรับอยู่ในคำพิพากษา ศาลบอกว่าจริง เพราะนี่เป็น fact เราไม่ได้เถียงเรื่องข้อเท็จจริง ศาลยอมรับว่าทีโอทีได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ก็บอกอีกว่า ทำให้เอไอเอสได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย ซึ่งความจริงแล้วการที่ลูกค้ามากขึ้นเป็นเรื่องปกติทางธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องประหลาด


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
**************************************************

ก็แค่ ...เกมซื้อเวลา "มาร์ค-กรณ์" รัฐบาล"แลนด์ลอร์ด" ใกล้หมดเวลา "ภาษีที่ดิน"ส่อแห้ว!!!


สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำระหว่าง คนรวย กับ คนจน สูงที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จนกลายเป็นปัจจัยหนึ่งแห่งวิกฤตความขัดแย้งระหว่างเหลืองกับแดง ภาษีที่ดิน คือ เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญในการแก้ปัญหา แต่ดูเหมือน ทุกรัฐบาล ที่ผ่านมา ไม่มีใครกล้า ผลักดันกฎหมายภาษีที่ดิน อย่างจริงใจ แม้กระทั่งรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ประธานาธิบดีบารัก โอบามา สร้างประวัติศาสตร์ อีกครั้ง ด้วยการโน้มน้าวให้สภาผู้แทนราษฎร สหรัฐ ฯ อนุมัติร่างกฎหมายยกเครื่องระบบประกันสุขภาพของชาวอเมริกันครั้งใหญ่ไปเมื่อวันอาทิตย์ (21 มี.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนฉิวเฉียดเพียง 219 ต่อ 212 เสียง


ผู้นำการเมือง แบบ โอบามา คือ ตำนานของการนักการเมือง ที่กล้าต่อสู้เพื่อหลักการ เพื่อการปฎิรูปที่ยิ่งใหญ่ เพื่อชาวอเมริกัน
แต่ นักการเมือง บ้านเรา น้อยนักที่กล้าต่อสู้ เพื่อการปฎิรูปเรื่องใหญ่ ๆ โดยเฉพาะ การปฎิรูปการจัดเก็บภาษีที่ดิน


นักเศรษฐศาสตร์การเมือง เชื่อว่า ภาษีที่ดิน จะลดความเหลื่อมล้ำ ระหว่างคนรวยและคนจน ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
" ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคือจุดเริ่มต้นของการลดการกักตุนที่ดินเพื่อเก็งกำไร และยังทำให้องค์กรปกครองท้องถิ่นมีรายได้ 90,000 ล้าน และยังเป็นการจัดระบบการถือครองทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ สำคัญที่สุดคือภาษีที่ดินจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย "
รัฐบาลในอดีต มักใช้วิธี เตะลูกออก เพราะไม่อยากเสี่ยง และอาจเป็น เพราะตัวเองมีส่วนได้เสีย ?


รัฐบาลอำมาตย์ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ โดย ขุนคลัง ที่ชื่อ "ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ " ก็เขี่ยลูกออกเช่นกัน
เหตุผลของ ฉลองภพ คือ ภาษีที่ดิน ควรเป็นเรื่องของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เหตุผลส่วนตัว อาจเป็นเพราะ เทคโนแครต ผู้นี้ สะสมที่ดิน 11 แปลง มูลค่ากว่า 55.2 ล้านบาท


มาถึง รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่มีขุนคลังชื่อ นายกรณ์ จาติกวณิช ทั้งสองให้สัมภาษณ์หลังเป็นรัฐบาลไม่นานว่า จะผลักดันภาษีที่ดิน ส่วนภาษีมรดก ยังไม่เหมาะสม
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ...ก็ไม่เคยเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ แม้เพียงเข้าใกล้ ครม.


จากต้นปี 2552 มาจนใกล้หมดไตรมาสแรก ปี 2553 กระทั่งเวลาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เหลือไม่ถึง 1 ปี และคาดว่า นับจากกองทัพแดง บุกกรุงเทพ ยิ่งทำให้เชื่อว่า เวลาของรัฐบาลเหลือน้อยเต็มที จนไม่น่าจะผลักดัน ภาษีที่ดิน ผ่านสภา ได้ทันเวลา


" เวลาที่ดีที่สุดในการผลักดันภาษีที่ดิน ผ่านพ้นไปแล้ว เพราะชั่วโมงนี้ เสียงของรัฐบาล เปราะบาง พร้อมจะไปได้ตลอดเวลา" นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวยืนยัน
ล่าสุด นายกรณ์ พูดอีกครั้งว่า วันอังคาร 30 มีนาคม จะนำภาษีที่ดิน เข้าสู่ที่ประชุมครม. อย่างแน่นอน
แต่ใคร จะเชื่อ ว่า นายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ จะพูดจริง เพราะหากนับจำนวน ครั้ง ที่ทั้งสอง พูดว่า จะนำภาษีที่ดิน เข้าครม. รอบนี้ก็ เกินครั้งที่ 5 ไปแล้ว ...
หากร่างกฎหมายภาษีที่ดินจะไปไม่ถึงฝั่ง ก็อาจต้องโทษนักการเมืองในสภาและกลุ่มทุนใหญ่ที่กักตุนที่ดิน


" ประชาชาติธุรกิจ " เปิดบัญชีทรัพย์สิน โดยเฉพาะพอร์ตที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของนักการเมืองครั้งล่าสุด เพื่อจะดูผลประโยชน์ได้เสียของท่านผู้ทรงเกียรติ และอาจทำให้ชาวบ้านได้เห็นจุดยืนของ ฯพณฯ ต่อร่างกฎหมายได้เป็นอย่างดี
จากการตรวจสอบแลนด์ลอร์ดตัวจริงเสียงจริง น่าจะได้แก่นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ผู้ก่อตั้งพรรคชาติไทยพัฒนา


บนเส้นทางการเมืองถึงวันนี้ "หลงจู๊" บรรหาร แห่งสุพรรณบุรี มีที่ดินสะสมทั้งในกรุงเทพฯ สุพรรณบุรี ชัยนาท และนนทบุรี รวม 201 แปลง มูลค่ารวม 1,707.4 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบ้าน 3 หลัง มูลค่า 73 ล้านบาท
แต่ถ้านับรวมเฉพาะที่ดินนายบรรหารและคุณหญิงแจ่มใส มีที่ดินรวมกันประมาณ 1,893 ไร่ โดยเฉพาะที่ดินทำเลทองย่านถนนจรัญสนิทวงศ์ รวมมูลค่า 176 ล้านบาท ถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน 180 ล้านบาท และบริเวณ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 850 ล้านบาท


ขณะที่รัฐบาลโอบามาร์ค รัฐมนตรีที่มีที่ดินมากที่สุด ได้แก่นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง มี 42 แปลง 580.7 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน จ.ระยอง จ.เชียงใหม่ และ จ.สระบุรี นอกจากนี้ยังมีบ้าน 3 หลัง มูลค่ารวม 63.8 ล้านบาท นับเฉพาะบ้านแขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ (ดอนเมือง) หลังเดียว มีมูลค่าถึง 50 ล้านบาท


นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.ท่องเที่ยวฯ และภริยา มี 16 แปลง 379.3 ล้านบาท ส่วนบ้านมี 2 หลัง มูลค่า 40 ล้านบาท นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ภริยาและบุตรไม่บรรลุนิติภาวะ มี 32 แปลง 324.9 ล้านบาท ส่วนบ้าน 3 หลัง มีมูลค่ารวมกัน 40.5 ล้านบาท


นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน และภริยา มีรวมกัน 24 แปลง 220.4 ล้านบาท


อีกคนคือนักการเมืองรุ่นเก๋าลายคราม นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน และภริยา มีที่ดินรวม 51 แปลง 104.8 ล้านบาท ส่วนสิ่งปลูกสร้างมีรวมกัน 13 หลัง มูลค่า 123.1 ล้านบาท ส่วนนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน มีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง จำนวน 8 หลัง มูลค่า 17 ล้านบาท


ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีที่ดินเพียง 2 แปลง 19.5 ล้านบาท


"เทพเทือก" นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ มีทรัพย์สิน 98.2 ล้านบาท นับเฉพาะที่ดินมี 50 แปลง มูลค่า 79.4 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นที่ดินใน อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนสิ่งปลูกสร้างมีคอนโดมิเนียมเขตบางเขน 1 ห้อง และบ้านพักที่ ต.มะขามเตี้ย อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี 2 หลัง รวมมูลค่า 5.9 ล้านบาท


ขณะที่รัฐมนตรีที่รวยที่สุดใน ครม.มาร์ค คือนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และภริยา มีที่ดินรวม 26 แปลง 147.1 ล้านบาท


แลนด์ลอร์ดตัวจริงในพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. นอกจากทรัพย์สิน 600 กว่าล้านบาทแล้ว คุณชายหมูยังมีที่ดินสะสม 40 แปลง 72-2-60 ไร่ มูลค่า 590 ล้านบาท


เอาเข้าจริงแล้ว คุณชายสุขุมพันธุ์ได้รับที่ดินมรดกจากพระบิดา 25 แปลง 13-1-60 ไร่ อยู่ในกรุงเทพฯ 12 แปลง ใน อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 3 แปลง ส่วนที่ดินของคุณชาย จำนวน 15 แปลง อยู่ใน ต.บางปลากด อ.องครักษ์ จ.นครนายก 1 แปลง ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 1 แปลง ต.ประชาธิปัตย์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 1 แปลง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ 9 แปลง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 3 แปลง รวมมูลค่า 480.5 ล้านบาท


นี่คือ บทพิสูจน์ แลนด์ลอร์ด กับความจริงใจ ในการผลักดันภาษีที่ดิน


อย่างที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แห่งไทยซัมมิท ฟันธงว่า " ผมคิดว่าทั้งคุณกรณ์ และคุณอภิสิทธิ์คงไม่มีความกล้าพอที่จะผลักดันภาษีที่ดิน เพราะเรื่องนี้ ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของคนชั้นตัวเองจริงๆ "


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

ต้นไม้ป่วยประชาธิปไตยป่วย

ต้นไม้ = ประชาธิปไตย
เพลี้ย = รัฐบาลที่กัดกินประชาธิปไตย
รัฐธรรมนูญ๕๐ = เพลี้ยที่ถูกปล่อยจาก คมช.
รัฐธรรมนูญ๔๐ = ยากันเพลี้ย
ขณะนี้เราเห็นว่าต้นไม้เสียหายไม่ปกติต้องได้รับการดูแลอย่างใส่ใจ ถ้าเราอยู่เฉย นั่งมองดูต้นไม้นั้นถูกกัดกิน นับวันจะเหี่ยวเฉาลง การออกมาเรียกร้องของมวลชน คือการแสดงออกที่จะบอกว่า เราจะไม่อยู่เฉย ต้องกำจัดเหตุที่ทำให้ต้นไม้เสียหาย คือตัวกัดกินต้นไม้นั้นเอง การกำจัดเพลี้ย ถ้าใช้ยาแรงก็จะทำให้ต้นไม้ได้รับความเสียหายไปด้วย ควรเป็นยาที่ไม่ทำให้ต้นไม้เสียหาย นั้นคือเรียกร้องโดยสันติ เป็นยาที่ไม่ทำลายระบบของการเรียกร้องที่ถูกต้อง ต้นไม้ไม่ใช่ของเพลี้ยอย่างเดียว ประชาชนก็มีสิทธิชื่นชมต้นไม้ ประชาธิปไตยไม่ใช่ของรัฐบาลอย่างเดียว ทำอย่างไรไม่ให้เพลี้ยกัดกินต้นไม้ ทำอย่างไรไม่ให้รัฐบาลกัดกินประชาธิปไตย ทำให้เพลี้ยเห็นว่าต้นไม้ไม่ใช่อาหารของมัน

ใช้ยาที่ทำให้เพลี้ยเข้าใจว่าต้นไม้นี้กินไม่ได้ ใช้มวลชน หรือสิ่งซึ่งรักษาประชาธิปไตย ที่ทำให้รัฐบาลเข้าใจว่า ประชาธิปไตยนี้ ทำลายไม่ได้ เปลี่ยนต้นไม้ที่เพลี้ยกินได้เป็นต้นไม้ที่เพลี้ยกินไม่ได้ เปลี่ยนประชาธิปไตยที่รัฐบาลทำลายได้เป็นประชาธิปไตยที่รัฐบาลทำลายไม่ได้ เราจะทำให้เพลี้ยเปลี่ยนความคิด เราต้องเคลือบผิวต้นไม้ว่าไม่ใช่ต้นไม้ เราจะทำให้รัฐบาลเปลี่ยนความคิด เราต้องเคลือบประชาธิปไตย ว่าผิวนอกที่เราสัมผัสอยู่นี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว หยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ประชาธิปไตยจะได้เจริญเติมโตเป็นต้นไม้ที่มั่นคงแข็งแรงเป็นสิ่งสวยงาม เป็นประโยชน์ต่อผู้ชื่นชม และพบเห็น รัฐบาลอย่าหลงเข้าใจผิดคิดว่าปัจจุบันยังคงเป็นประชาธิปไตยอยู่ แล้วกัดกินอย่างเอร็ดอร่อยไม่ลืมหูลืมตา ไม่ฟังเสียงผู้คนที่เขาเฝ้าดู การเหี่ยวเฉาของต้นประชาธิปไตยนี้อยู่ ต้นไม้ป่วยประชาธิปไตยป่วย ไม่ออกดอกออกผลก็พอทน แต่แปลกพิกลที่ล้วงหล่นทุกวันจนเหลือแต่กิ่งก้าน หมดใบบานไม่สะพรั่งชื่นชุ่มเหมือนแต่ก่อน ขอให้ย้อนก่อนปรับเปลี่ยนเป็น รัฐธรรมนูญ๕๐ ก่อนที่ คมช. จะปล่อยเพลี้ยทำลายประชาธิปไตย

สิ่งควรทำ
ลดน้ำ พรวนดิน ให้ปุ๋ย ใส่ยา
เรียกร้อง สันติ อหิงสา ยุบสภา ใช้รัฐธรรมนูญ๔๐ คืนอำนาจประชา
ปลูกต้นประชาธิปไตยขึ้นมาใหม่ ใส่ใจดูแล ให้สวยสดและงดงาม

โดย. ชาญชัย พุฒิกานนท์
************************************************

24มี.ค. รัฐเปิดสภากลางวงเสื้อแดง


ประเด็นร้อนวันที่ 24 มี.ค.คนเสื้อแดงจะเอาอย่างไรกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันนี้ แต่ที่แน่ๆ ทหาร ตำรวจ วางกำลังรอบรัฐสภาพร้อมเครื่องกีดขวางเต็มพิกัด และปิดการจราจรบนถนน 8 สายรอบรัฐสภา ใครมีความจำเป็นเดินทางสัญจรผ่านย่านนั้นโปรดตรวจสอบข้อมูลและติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด

1. บรรยากาศทางการเมืองทะมึนขึ้นอีกหลายดีกรี เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันนี้และวันพรุ่งนี้ ภายใต้การคุ้มครองดูแลของกองทำลังทหารที่วางกำลังโดยรอบรัฐสภา วาระพิจารณาในวันที่ 24 มี.ค. ส่วนใหญ่เป็นร่างกฎหมายที่ยังค้างอยู่ ส่วนวันที่ 25 มี.ค. จะพิจารณากระทู้ทั่วไปและกระทู้ที่ค้างมาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว และยังมีเรื่องที่ฝ่ายค้านขอหารือเรื่องการเสนอญัตติด่วนในการตั้งคณะกรรมาธิการติดตามปัญหาราคาข้าวตกต่ำ ต้องดูว่าแกนนำคนเสื้อแดงจะปล่อยให้กลไกรัฐสภา และกลไกรัฐทำหน้าที่ตามกฎหมายหรือไม่


2. ความเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทย แม้จะมีมติให้ สส.เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่นายสุชาติ ลายน้ำเงิน สส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย ประกาศว่าจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า โดยเรียกร้องให้มวลชนคนเสื้อแดงไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภาตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที

3. หันไปดูกิจกรรมของคนเสื้อแดงวันนี้ หลังจากที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีกบดานยกเลิกการพบปะผ่านวิดีโอลิงก์ไป 2 คืนติดกัน สองทุ่มคืนนี้ ท่านผู้หญิงวิระยา ชวกุล จัดกิจกรรมเสริมส่งแก้ต่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยจะนำคนเสื้อแดงจุดเทียนชัยถวายพระพร 1 แสนเล่ม เพื่อให้สังคมเห็นภาพการเทิดทูนสถาบันของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้

4. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แจ้งให้ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ให้รับทราบว่า ทางพรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องต้องกันให้ตั้งวอร์รูมขึ้นมาเพื่อประเมินสถานการณ์ และให้คำแนะนำรัฐบาลในการเดินเกมการเมือง โดยในวันนี้จะมีการเสนอคนจากต่างพรรคมาร่วมทีม เพื่อให้เห็นว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังสัมพันธ์มั่นคง

5. คดียึดทรัพย์ยังไม่จบ พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งให้ทนายความ นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ไปยืนอุทธรณ์การยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีรายละเอียดมากกว่า 100 หน้า ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา

6. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) แถลงดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมประจำเดือน ก.พ. 2553 ที่มีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดี สอดคล้องกับยอดการส่งออกในเดือน ก.พ. ที่ขยายตัวในทิศทางที่ดี รวมทั้งจะเปิดเผยยอดการผลิตและส่งออกรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ของเดือน ก.พ. ณ ห้องประชุม ส.อ.ท.1 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

7. นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ แถลงข่าวคณะกรรมการร่วมไทยพม่า เพื่อความร่วมมือด้านการค้า ผลักดันให้เกิดการค้าระหว่างทั้งสองประเทศให้เพิ่มมากขึ้น ที่กระทรวงพาณิชย์

8. สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟตตา) เข้าพบนายอรรถชัย บุรกรรมโกวิท ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อหารือภาพรวมด้านการท่องเที่ยว และผลักดันแผนด้านการตลาดร่วมกัน ที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

9. ตลาดหุ้นเครื่องร้อนทำท่าจะวิ่งต่อ ไม่สะดุ้งสะเทือนกับสถานการณ์ความไม่สงบด้านการเมือง บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทย ดัชนียังคงทะยานตัวในแดนบวก โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศ ที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ระหว่างชั่วโมงการซื้อขายดัชนีต่ำสุดที่ระดับ 774.75 จุด และปิดที่ระดับสูงสุดที่ 784.48 จุด บวก 10.23 จุด หรือ 1.32% ดัชนีปรับตัวสูงสุดในรอบ 22 เดือน

อีกงานที่น่าสนใจ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ แถลงผลการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ครั้งที่ 1/2553 เรื่องความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้น ช่วง มี.ค.ธ.ค. 2553 รวมทั้งแถลงข่าวงานประกาศรางวัลนักวิเคราะห์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2009

ด้านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนา สำรวจภาวะตลาดทุน ครั้งที่ 3/2553 โดยเป็นการนำเสนอผลการวิจัยเรื่อง “หลากหลายมิติของสภาพคล่องในตลาดหุ้นไทย : นัยต่อการกำหนดกลยุทธ์การซื้อขายและเสถียรภาพของตลาดหุ้น”

10. ขณะที่สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ร่วมลงนามในสัญญาความร่วมมือทางการเงินกับสถาบันการเงิน เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนแก่ สปป.ลาว ในโครงการปรับปรุงถนนและระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ และโครงการปรับปรุงถนนหมายเลข 3 (R3)

11. ในวันเดียวกัน น.ส.เพรามาตร หันตรา รองอธิบดีกรมสรรพากร ร่วมลงนามความร่วมมือการให้บริการยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ต/รับชำระภาษีผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ร่วมกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส อำนวยความสะดวกในการชำระภาษีของประชาชน

ที่มาโพสต์ทูเดย์
************************************************