การเจรจาระหว่างแกนนำนปช.กับรัฐบาลล้มลง ตั้งแต่ยังไม่ทันตั้งไข่
เนื่องจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เล่นแง่ ไม่ยอมลงมาพูดคุยเอง
ความจริงข้อเรียกร้องม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 13-14 มี.ค. คือให้ยุบสภา
แต่นายกฯ ออกโทรทัศน์ไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้อง ระหว่างม็อบเคลื่อนขบวนไปฟังคำตอบ ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
จนกระทั่งมีการยกระดับกดดัน เทเลือดราดทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านพักส่วนตัว
กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังยืนยันเรียกร้องให้ยุบสภา
เมื่อนายอภิสิทธิ์ยังเพิกเฉยได้อีก ก็มีการจัดขบวนเคลื่อนพลระยะทางเกือบ 50 ก.ม. ไปทั่วกรุงเทพฯ โดยมีคนออกมาร่วมกว่า 5 หมื่นคน เพื่อยืนยันข้อเรียกร้องเดิม
รัฐบาลก็ยังไม่ยินยอมอีก แต่ก็เริ่มเสียงอ่อน เพราะคงเห็นขบวนม็อบแดงยาวเหยียด
แต่ดันจะส่งคนอย่าง นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ซึ่งก็รู้อยู่ว่าคุยกันไม่ได้ให้ไปเจรจา
ต่อมาเปลี่ยนเป็น นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ทั้งๆ ที่ข้อเรียกร้องม็อบอยากจะคุยกับนายกฯ เท่านั้น
ความจริงข้อเรียกร้องให้ยุบสภา ผิดหลักไปจากระบอบประชาธิปไตยหรือไม่
นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์-อาจารย์มหาวิทยาลัย ยืนยันว่าไม่ และยังบอกอีกว่าเป็นข้อเรียกร้องที่เบาที่สุดแล้ว
หรือที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ไม่เคยเรียกร้องประเด็นนี้
แม้แต่เรื่องผิดหลักการประชาธิปไตย อย่างการเรียกร้องนายกฯ พระราชทาน ยังบังอาจทำมาแล้ว
ล่าสุด นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานนปช. ได้ออกแถลงการณ์ในนาม นปช. ฉบับที่ 3 เรื่อง "ยืนยันข้อเรียกร้องยุบสภา พร้อมเจรจากับนายกฯ"
เรียกร้องต่อนายอภิสิทธิ์ว่าให้ยุบสภาทันที เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน และยืนยันไม่มีข้อเรียกร้องอื่นใดนอกเหนือจากนี้
นปช.ยินดีเจรจาโดยผู้มีอำนาจเต็มของแต่ละฝ่าย ฝ่ายรัฐบาลต้องเป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น เพราะมีอำนาจตัดสินใจยุบสภา
เมื่อยุบสภาแล้ว ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต้องสลายตัวทันทีเพื่อให้ประเทศชาติกลับสู่ปกติ และต้องเปิดโอกาสให้ทุกพรรคหาเสียงเต็มที่โดยไม่มีการขัดขวาง
ให้การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม เป็นเครื่องตัดสินความขัดแย้งทางการเมือง ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องยอมรับ เพื่อให้ประเทศต้องเดินหน้าต่อไปได้
เมื่ออีกฝ่ายเปิดไพ่ แบข้อเสนออย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้
ต้องดูว่านายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์จะว่าอย่างไร
จะยอมทนอยู่ในตำแหน่งต่อไป ดันทุรัง ลากยาว เพราะคิดว่ามีอำนาจพิเศษสนับสนุน
ขณะที่ประชาชนไม่เอาด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ต้องคิดให้หนัก
อย่าลืมว่าตอนได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้สง่างามนัก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
*************************************************
วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553
ทำไมไม่กล้ายุบ (รัฐบาลโจร)
ในกัมปนาทระเบิด
จากเหตุลอบวางระเบิด มาจนถึงการใช้อาวุธสงครามอย่างเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่สถานที่ราชการที่ถูกระบุว่าเป็น "เป้าหมาย"
และล่าสุดคือการใช้อาวุธสงครามที่มีอานุภาพรุนแรงขึ้นอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ซึ่งคาดว่าเป้าหมายคือกระทรวงกลาโหมนั้น
แม้ในยามสถานการณ์ปกติธรรมดาก็จะต้องถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
ก็ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่ทั้งละเอียดอ่อนและต้องการประสิทธิภาพ-ความร่วมมือจากส่วนต่างๆ ของสังคมในการแก้ไขปัญหา
มิให้การลอบก่อการร้ายเช่นนี้ลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
เพราะเป้าหมายของการก่อการร้ายทุกครั้งในโลก ก็คือเพื่อความกลัว ความหวาดระแวง และความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับสังคม
ฉะนั้น สังคมซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการก่อการร้ายโดยตรง จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว ไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการให้เป็น
ด้วยการขจัดความกลัวโดยการร่วมกันสอดส่องดูแล ให้เบาะแสของผู้ลงมือก่อการ ขจัดความหวาดระแวงด้วยการไม่กล่าวหากันลอยๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไร้ข้อมูลเหตุผล
และระงับความปั่นป่วนวุ่นวายด้วยการรักษาความสงบสันติในส่วนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้ใช้ชีวิตตามปกติ หรือผู้ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
และที่จริงแล้ว กลุ่มคนผู้ที่สามารถลงมือก่อการร้ายเช่นนี้ก็มีไม่มากนัก เพราะนอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธสงครามแล้ว
ยังจะต้องเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่า มี "อิทธิพล" หรือ "บารมี" บางประการที่ดูแลตนเองอยู่ มิให้ถูกจับกุมหรือลงโทษตามกฎหมาย
ผู้ที่สามารถให้ความมั่นใจกับกลุ่มผู้ลงมือทำการละเมิดกฎหมายเช่นนี้ ก็มีอยู่ไม่มากนักในสังคมไทย ไม่ว่าจะในกลุ่มไหน
ถ้าการรักษากฎหมายเป็นไปอย่างเข้มแข็งจริงจัง และโปร่งใส เหตุร้ายเช่นนี้ก็จะค่อยๆ สร่างซาไป
แต่ถ้าไม่สามารถยับยั้งเสียงระเบิดได้ อนาคตของประชาชนไทยก็น่าหวั่นวิตก
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************
และล่าสุดคือการใช้อาวุธสงครามที่มีอานุภาพรุนแรงขึ้นอย่างเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี ซึ่งคาดว่าเป้าหมายคือกระทรวงกลาโหมนั้น
แม้ในยามสถานการณ์ปกติธรรมดาก็จะต้องถือว่าเป็นปัญหาร้ายแรงอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีการชุมนุมของกลุ่มประชาชนที่ไม่พอใจรัฐบาล
ก็ยิ่งเป็นสถานการณ์ที่ทั้งละเอียดอ่อนและต้องการประสิทธิภาพ-ความร่วมมือจากส่วนต่างๆ ของสังคมในการแก้ไขปัญหา
มิให้การลอบก่อการร้ายเช่นนี้ลุกลามบานปลายยิ่งขึ้น
เพราะเป้าหมายของการก่อการร้ายทุกครั้งในโลก ก็คือเพื่อความกลัว ความหวาดระแวง และความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นกับสังคม
ฉะนั้น สังคมซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการก่อการร้ายโดยตรง จะต้องตั้งสติไม่หวั่นไหว ไม่เกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ผู้ก่อการร้ายต้องการให้เป็น
ด้วยการขจัดความกลัวโดยการร่วมกันสอดส่องดูแล ให้เบาะแสของผู้ลงมือก่อการ ขจัดความหวาดระแวงด้วยการไม่กล่าวหากันลอยๆ เพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไร้ข้อมูลเหตุผล
และระงับความปั่นป่วนวุ่นวายด้วยการรักษาความสงบสันติในส่วนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นประชาชนผู้ใช้ชีวิตตามปกติ หรือผู้ที่ออกมาชุมนุมทางการเมือง
และที่จริงแล้ว กลุ่มคนผู้ที่สามารถลงมือก่อการร้ายเช่นนี้ก็มีไม่มากนัก เพราะนอกจากจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธสงครามแล้ว
ยังจะต้องเป็นกลุ่มที่มีความเชื่อว่า มี "อิทธิพล" หรือ "บารมี" บางประการที่ดูแลตนเองอยู่ มิให้ถูกจับกุมหรือลงโทษตามกฎหมาย
ผู้ที่สามารถให้ความมั่นใจกับกลุ่มผู้ลงมือทำการละเมิดกฎหมายเช่นนี้ ก็มีอยู่ไม่มากนักในสังคมไทย ไม่ว่าจะในกลุ่มไหน
ถ้าการรักษากฎหมายเป็นไปอย่างเข้มแข็งจริงจัง และโปร่งใส เหตุร้ายเช่นนี้ก็จะค่อยๆ สร่างซาไป
แต่ถ้าไม่สามารถยับยั้งเสียงระเบิดได้ อนาคตของประชาชนไทยก็น่าหวั่นวิตก
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ บทบรรณาธิการ
***********************************************
วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
แถลงการณ์ยัน 'หลวงตามหาบัว' ไม่สังฆกรรมเสื้อแดง

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาดแถลงการณ์ยัน "หลวงตามหาบัว" ไม่เคยบริจาคเงิน มอบวัตถุมงคลให้ม็อบ ตามที่สื่อเสนอข่าว ไม่มีมูลความจริงนำพาไปสู่ความแตกแยกทั้งในด้านพระพุทธศาสนา รวมทั้งวัด...
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. พระอาจารย์สุดใจ ทันตมโน รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี กล่าวว่า คณะสงฆ์วัดป่าบ้านตาดได้ออกแถลงการณ์ว่า ตามที่มีข่าวทางสื่อมวลชนเสนอข่าวว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ได้บริจาคเงิน และมอบวัตถุมงคลให้กับกลุ่มบุคคลในการเข้าไปร่วมแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้น ทางวัดป่าบ้านตาดขอชี้แจงว่า การนำเสนอข้อมูลข่าวสารดังกล่าว โดยอ้างหลวงตามหาบัว เข้าไปเกี่ยวข้อง เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และไม่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความแตกแยกทั้งในด้านพระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชน ตลอดจนนำความเสื่อมเสียเข้าไปภายในวัดได้ ซึ่งข้อมูลข่าวสารที่กลุ่มบุคคลเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนต่างๆนั้น ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด.
ที่มา.ไทยรัฐออนไลน์
***************************************************
"วงกต" ชี้ ปัญหาแต่งตั้งสมเพียร เหตุตั้งศชต.แยก3จว.ย้าย
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเคยไปปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาก่อน และอยู่ในยุคบุกเบิกศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า(ศปก.ตร.สน.) มองเห็นปัญหาเรื่องการแต่งตั้งและการปฏิบัติงานของตำรวจในจังหวัดชายแดนภาคใต้มานานแล้ว เห็นว่าปัญหาแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.บันนังสตา จ.ยะลา ส่วนหนึ่งเกิดมาจากการติดกฎระเบียบการย้ายข้ามกองบัญชาการ ซึ่งทำให้การแก้ปัญหากำลังพลโดยการโยกย้ายคนของจากศูนย์ปฏิบัติการจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศชต.) มีปัญหามองว่าส่วนหนึ่งสืบเนื่องจาก การตั้ง ศชต. ที่แยก จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ออกมาจาก บช.ภ.9 ขณะที่โครงสร้างการทำงานของศชต.เองก็ยังไม่ ตอบโจทย์การแก้ปัญหา ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เป็นรูปแบบการก่อการร้าย
พล.ต.อ.วงกต กล่าวว่า ตนเห็นว่าควรยุบ ศชต.เสียแล้วให้ 3 จังหวัดไปรวมกับ บช.ภ.9 เหมือนเดิม แล้ว ตั้งบช.ใหม่ ขึ้นมา โดยเอาตำแหน่งที่ศชต.มีโครงสร้างบางส่วนของศชต.มารวมกับ ศปก.ตร.สน.ที่ยังซ้อน ศชต.อยู่ในขณะนี้ แล้วตั้งเป็นบช.ใหม่ ที่ เป็นหน่วยปฏิบัติงานพิเศษในพื้นที่ ซึ่งตนออกแบบโครงสร้างไว้แล้ว เรียกชื่อ กองบัญชาการตำรวจปฏิบัติการพิเศษชายแดนใต้ ซึ่งจะรับผิดชอบงานด้านก่อความไม่ สงบโดยตรง
รองผบ.ตร. กล่าวว่า เห็นควรว่าตร.ควรเร่งเรื่องสิทธิประโยชน์ตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเบื้องต้น ก.ตร.ควรยกเว้นหลักเกณฑ์การย้ายข้ามภาคให้กับตำรวจ ศชต.ในตอนนี้ก่อน เพื่อแก้ปัญหา ที่กำลังพลในพื้นที่อ่อนล้ามากในขณะนี้ นอกจากนี้ ตนเห็นว่าการให้สิทธิทวีคูณในการนับอายุราชการนั้นควรทำ แต่เห็นว่าการใช้วันทวีคูณให้สิทธิในการแต่งตั้งเลื่อนสูงขึ้นก็ควรให้ใช้ได้ในกรณีเลื่อนตำแหน่งขึ้นใน 3 จังหวัด เท่านั้น จะเอาสิทธิทวีคูณไปขอขึ้นที่อื่นไม่ได้ แต่หลังจากนั้นหากจะย้ายไปบช.อื่น ไปขึ้นที่อื่นก็ต้องใช้กติกาเดียวกับตำรวจที่อื่นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับตำรวจทุกๆคน
ที่มา .เนชั่นทันข่าว
***********************************************
พล.ต.อ.วงกต กล่าวว่า ตนเห็นว่าควรยุบ ศชต.เสียแล้วให้ 3 จังหวัดไปรวมกับ บช.ภ.9 เหมือนเดิม แล้ว ตั้งบช.ใหม่ ขึ้นมา โดยเอาตำแหน่งที่ศชต.มีโครงสร้างบางส่วนของศชต.มารวมกับ ศปก.ตร.สน.ที่ยังซ้อน ศชต.อยู่ในขณะนี้ แล้วตั้งเป็นบช.ใหม่ ที่ เป็นหน่วยปฏิบัติงานพิเศษในพื้นที่ ซึ่งตนออกแบบโครงสร้างไว้แล้ว เรียกชื่อ กองบัญชาการตำรวจปฏิบัติการพิเศษชายแดนใต้ ซึ่งจะรับผิดชอบงานด้านก่อความไม่ สงบโดยตรง
รองผบ.ตร. กล่าวว่า เห็นควรว่าตร.ควรเร่งเรื่องสิทธิประโยชน์ตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเบื้องต้น ก.ตร.ควรยกเว้นหลักเกณฑ์การย้ายข้ามภาคให้กับตำรวจ ศชต.ในตอนนี้ก่อน เพื่อแก้ปัญหา ที่กำลังพลในพื้นที่อ่อนล้ามากในขณะนี้ นอกจากนี้ ตนเห็นว่าการให้สิทธิทวีคูณในการนับอายุราชการนั้นควรทำ แต่เห็นว่าการใช้วันทวีคูณให้สิทธิในการแต่งตั้งเลื่อนสูงขึ้นก็ควรให้ใช้ได้ในกรณีเลื่อนตำแหน่งขึ้นใน 3 จังหวัด เท่านั้น จะเอาสิทธิทวีคูณไปขอขึ้นที่อื่นไม่ได้ แต่หลังจากนั้นหากจะย้ายไปบช.อื่น ไปขึ้นที่อื่นก็ต้องใช้กติกาเดียวกับตำรวจที่อื่นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับตำรวจทุกๆคน
ที่มา .เนชั่นทันข่าว
***********************************************
ระดมทหาร-ตร.4.7หมื่น คุมม็อบแดง27มีค.
เมื่อเวลา 14.20 น. ได้มีการประชุมคณะกรรมการกองอำนวยการความมั่นคงภายในราชอาณาจักร โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผอ.รมน.เป็นประธานในการประชุม โดยได้มีการอนุมัติการจัดอัตรากำลังพลของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส) ในการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)ในการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 3 จังหวัด คือ กรุงเทพทั้งจังหวัด พื้นที่ 2 อำเภอในจ.นนทบุรี และพื้นที่ 5 อำเภอในพื้นที่จ.สมุทรปราการ ระหว่างวันที่ 24-30 มี.ค.นี้
โดยได้มีการจัดกำลังทั้งสิ้นประมาณ 4.7 หมื่นอัตรา เพิ่มจากเดิมที่มีประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงเมื่อวันที่ 12-23 มี.ค.ที่ผ่านมาที่อนุมัติไปแค่ 3.3 หมื่นอัตรา ทั้งนี้ กำลังพลทั้งหมดจะมีทั้งสิ้น 208 กองร้อย เพิ่มจากเดิมที่มีแค่ 164 กองร้อย สำหรับทั้ง 208 กองร้อย ประกอบไปด้วย ทหารจำนวน 123 กองร้อย และ ตำรวจ 74 กองร้อย
อย่างไรก็ตามกำลังพลเหล่านี้เป็นส่วนปฏิบัติการที่ใช้ตามแผนการจัดวางกำลังที่ได้รับการอนุมัติในเบื้องต้นไม่นับกำลังเสริมที่เตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้งอีกประมาณ 1.7 หมื่นนาย ซึ่งกำลังที่คาดว่าจะใช้หลังจากนี้ทั้งหมด ประมาณ 6.4 หมื่นนาย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************
โดยได้มีการจัดกำลังทั้งสิ้นประมาณ 4.7 หมื่นอัตรา เพิ่มจากเดิมที่มีประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงเมื่อวันที่ 12-23 มี.ค.ที่ผ่านมาที่อนุมัติไปแค่ 3.3 หมื่นอัตรา ทั้งนี้ กำลังพลทั้งหมดจะมีทั้งสิ้น 208 กองร้อย เพิ่มจากเดิมที่มีแค่ 164 กองร้อย สำหรับทั้ง 208 กองร้อย ประกอบไปด้วย ทหารจำนวน 123 กองร้อย และ ตำรวจ 74 กองร้อย
อย่างไรก็ตามกำลังพลเหล่านี้เป็นส่วนปฏิบัติการที่ใช้ตามแผนการจัดวางกำลังที่ได้รับการอนุมัติในเบื้องต้นไม่นับกำลังเสริมที่เตรียมพร้อมอยู่ในที่ตั้งอีกประมาณ 1.7 หมื่นนาย ซึ่งกำลังที่คาดว่าจะใช้หลังจากนี้ทั้งหมด ประมาณ 6.4 หมื่นนาย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************
"ทหารเฮ" มิสแม็กซิม แห่มอบดอกไม้ให้กำลังใจ ราบ11
เมื่อเวลา 16.00 น. ที่บริหน้าประตูทางเข้าร. 11 รอ. น.ส.ศุภวรรณ สุจินดา จีเอ็มนิตยสารแม็กซิม ได้นำคณะนางแบบ เดอะซูปเปอร์โมเดล 2010 จำนวน 3 คน ประกอบด้วยด้วยน.ส.ชมพูนุช เกลียดคำหมอ น.ส.วาศิณีย์ เปลี่ยนกับ และน.ส.เพ็ญพร พุ่มพ่วง ติดต่อมายัง พล.ต.จิรเดช สิทธิประณีต เลขานุการกองทัพบก เพื่อเดินทางมาให้กำลังใจกับทหาร ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบในช่วงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่ ร. 11 รอ.
โดยทางพล.ต.จิรเดช ให้คณะ มิสแม็กซิม สามารถเดินทางมาให้กำลังทหาร และมอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจได้ แต่จะให้ทำกิจกรรมได้ที่บริเวณหน้าประตู ร. 11 รอ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง ศอ.รส. ได้จัดเจ้าหน้าที่ทหารประกอบด้วย พล.ต.จิรเดช สิทธิประณีต เลขานุการกองทัพบก พล.ต.อุกฤษฎ์ ณรงค์วิทย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ในฐานะ ผู้บัญชาการเหตุการณ์พื้นที่ ร. 11 รอ. และบก.ศอ.รส. และพ.ท.วิบูลย์ ศรีเจริญยิ่ง รองผบ.พัน.ร.มทบ. 11 เป็นผู้นำแถวทหารจำนวน 1 หมู่ เข้ารับดอกไม้ และการให้กำลังใจจากเหล่านางแบบแม็กซิม โดยมีผู้สื่อข่าว และช่างภาพ จำนวนมากได้มาทำข่าวและบันทึกภาพ ซึ่งถือว่าเป็นสีสัน และลดความตรึงเครียดในช่วงอากาศร้อนในพื้นที่ ร. 11 รอ. โดยเฉพาะบรรดาทหารที่ต้องล้าจากสภาพอากาศ ทำให้ทหารหลายนายเริ่มมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อบรรดานางแบบมอบดอกไม้ และซับเหงื่อ พร้อมส่งรอยยิ้มและร่วมถ่ายรูป ทำให้ทหารหลายนายดูมีขวัญ และกำลังใจดีขึ้น เช่นเดียวกับผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่ ใน ร. 11 รอ.ได้ผ่อนคลายด้วย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
********************************************
โดยทางพล.ต.จิรเดช ให้คณะ มิสแม็กซิม สามารถเดินทางมาให้กำลังทหาร และมอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจได้ แต่จะให้ทำกิจกรรมได้ที่บริเวณหน้าประตู ร. 11 รอ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง ศอ.รส. ได้จัดเจ้าหน้าที่ทหารประกอบด้วย พล.ต.จิรเดช สิทธิประณีต เลขานุการกองทัพบก พล.ต.อุกฤษฎ์ ณรงค์วิทย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 ในฐานะ ผู้บัญชาการเหตุการณ์พื้นที่ ร. 11 รอ. และบก.ศอ.รส. และพ.ท.วิบูลย์ ศรีเจริญยิ่ง รองผบ.พัน.ร.มทบ. 11 เป็นผู้นำแถวทหารจำนวน 1 หมู่ เข้ารับดอกไม้ และการให้กำลังใจจากเหล่านางแบบแม็กซิม โดยมีผู้สื่อข่าว และช่างภาพ จำนวนมากได้มาทำข่าวและบันทึกภาพ ซึ่งถือว่าเป็นสีสัน และลดความตรึงเครียดในช่วงอากาศร้อนในพื้นที่ ร. 11 รอ. โดยเฉพาะบรรดาทหารที่ต้องล้าจากสภาพอากาศ ทำให้ทหารหลายนายเริ่มมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เมื่อบรรดานางแบบมอบดอกไม้ และซับเหงื่อ พร้อมส่งรอยยิ้มและร่วมถ่ายรูป ทำให้ทหารหลายนายดูมีขวัญ และกำลังใจดีขึ้น เช่นเดียวกับผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่ ใน ร. 11 รอ.ได้ผ่อนคลายด้วย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
********************************************
ส่อยึดอำนาจ
เพื่อไทยปลุกเสื้อแดงล้อมทหารปิดสภา จวกส่อยึดอำนาจ
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ทหารล้อมสภาพร้อมปิดไม่ให้เจ้าหน้าที่หรือส.ส.เข้าไปในสภา ว่า ขณะนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะประเมินดูสถานการณ์ หากประเมินแล้วว่ามีการปิดสภาในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) ที่จะมีการประชุมสภา ในคืนนี้ตนและส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ไปประกาศเรียกร้องให้คนเสื้อแดงทั้งที่อยู่ในกทม.และทั่วประเทศไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภาอีกชั้น ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที
"การที่ทหารบุกเข้าไปในสภาแล้วปิดล้อมเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นการปฎิวัติเงียบ เพราะปกติแล้วทหารมักจะยึดฝ่ายบริหาร แต่การไปยึดฝ่ายนิติบัญญัติเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นและเท่ากับเป็นการยึดอำนาจของประเทศด้วย" นายสุชาติ กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ทหารล้อมสภาพร้อมปิดไม่ให้เจ้าหน้าที่หรือส.ส.เข้าไปในสภา ว่า ขณะนี้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะประเมินดูสถานการณ์ หากประเมินแล้วว่ามีการปิดสภาในวันพรุ่งนี้ (24 มี.ค.) ที่จะมีการประชุมสภา ในคืนนี้ตนและส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ไปประกาศเรียกร้องให้คนเสื้อแดงทั้งที่อยู่ในกทม.และทั่วประเทศไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภาอีกชั้น ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที
"การที่ทหารบุกเข้าไปในสภาแล้วปิดล้อมเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นการปฎิวัติเงียบ เพราะปกติแล้วทหารมักจะยึดฝ่ายบริหาร แต่การไปยึดฝ่ายนิติบัญญัติเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นและเท่ากับเป็นการยึดอำนาจของประเทศด้วย" นายสุชาติ กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
“เหล็กใน ข่าวสด”ทึ่งปรากฏการณ์“แดงทั้งกรุงเทพ” เตือน“ปชป.”ยิ่งดิ้น ยิ่งทำ“ไพร่”
“เหล็กใน ข่าวสด”ทึ่งปรากฏการณ์“แดงทั้งกรุงเทพ” เตือน“ปชป.”ยิ่งดิ้น ยิ่งทำ“ไพร่”ชิงชัง“อำมาตย์”
“แดง”ทั้งกรุงเทพ
เหล็กใน
กรุงเทพแดงไปทั้งเมืองเมื่อวันเสาร์ สร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ให้กับสังคมไทย
คนเรือนหมื่นเรือนแสนเคลื่อนขบวนไปทั่วกรุงเทพระยะทางไกลถึง 50 ก.ม.
ไม่เคยปรากฏมาก่อน
คนเสื้อแดงทำได้ ทำสำเร็จ !
บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยดีตั้งแต่ต้นจนจบ
ได้กระแสตอบรับเกินความคาดหมาย
การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงครั้งนี้ เป้าประสงค์สำคัญเพื่อ "ทักษิณ" ก็จริง
ทว่าตอนนี้มีเป้าซ้อนเป้า ประเด็นซ้อนประเด็นขึ้นมาอีก
นั่นคือเรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์ ?
ผู้คนที่ออกมาร่วมม็อบ ไม่ใช่เพียงเพราะทักษิณ เพื่อทักษิณ โดยทักษิณ เท่านั้น
ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเพราะมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน
เรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์
ไพร่-อำมาตย์ กลายเป็นประเด็นใหม่ ใหญ่ แหลมคม หวังผลได้
จุดติดเรียบร้อย !
น่าประหวั่นพรั่นพรึงขนาดไหน ดูอาการฝ่ายรัฐบาลสองสามวันมานี้ก็คงเห็น
อภิสิทธิ์ สุเทพ สาทิตย์ ปณิธาน กระทั่งทหาร
ออกอาการกันหมด ?
ระดมตอบโต้ ชี้แจง แถลงการณ์
กลายเป็นจุกจิก ยุบยิบ หยุมหยิม เก้ๆกังๆ หันรีหันขวาง
ทว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งขยายความเป็นอำมาตย์
ยิ่งอยากจบก็เหมือนยิ่งยุบรรดาราษฎรเต็มขั้นทั้งบ้านทั้งเมือง
เลือดไพร่สูบฉีดให้ออกมาเรียกร้องต่อสู้
ถึงเวลาต้องปลดปล่อย ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง !!
ไพร่-อำมาตย์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความแตกต่างระหว่างชนชั้น
เจ้านายกับขี้ข้... คนรวยกับคนจน ผู้มีอำนาจกับสามัญชน
มีเส้นกับไม่มีเส้น ??
สังคมไทยบ่มเพาะ สั่งสม เก็บกด เรื่องราวระหว่างชนชั้นมาต่อเนื่องยาวนาน
ความอัดอั้น อึดอัด คับแค้นแผ่กระจายอยู่ทุกหัวระแหง
เป็นไฟสุมขอนรอเวลาคุกรุ่น เป็นระเบิดรอเวลาจุดชนวน
เมื่อมีคนเปิดประเด็นขึ้นมา คนตามจึงหลั่งไหลล้นหลามโดยไม่ต้องนัดหมาย
และไม่ต้องจ้าง
ม็อบเสื้อแดงมากันหลากหลาย ไม่ว่าเพื่อทักษิณ เพื่ออุดมการณ์ เพื่อเงิน หรือเพื่ออะไรก็ตาม
ม็อบที่มาเพื่อเปลี่ยนแปลงอำมาตย์ ปลดปล่อยไพร่
จะมีส่วนต่อผลแพ้ชนะ
โดยไม่ต้องรอตีความตัวตนทักษิณ
จริงๆ แล้วเป็นไพร่ หรืออำมาตย์ !?
ที่มา ข่าวสดรายวัน
************************************************
“แดง”ทั้งกรุงเทพ
เหล็กใน
กรุงเทพแดงไปทั้งเมืองเมื่อวันเสาร์ สร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ให้กับสังคมไทย
คนเรือนหมื่นเรือนแสนเคลื่อนขบวนไปทั่วกรุงเทพระยะทางไกลถึง 50 ก.ม.
ไม่เคยปรากฏมาก่อน
คนเสื้อแดงทำได้ ทำสำเร็จ !
บรรยากาศโดยรวมเป็นไปด้วยดีตั้งแต่ต้นจนจบ
ได้กระแสตอบรับเกินความคาดหมาย
การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงครั้งนี้ เป้าประสงค์สำคัญเพื่อ "ทักษิณ" ก็จริง
ทว่าตอนนี้มีเป้าซ้อนเป้า ประเด็นซ้อนประเด็นขึ้นมาอีก
นั่นคือเรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์ ?
ผู้คนที่ออกมาร่วมม็อบ ไม่ใช่เพียงเพราะทักษิณ เพื่อทักษิณ โดยทักษิณ เท่านั้น
ยังมีจำนวนไม่น้อยที่ออกมาเพราะมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมกัน
เรื่องไพร่ เรื่องอำมาตย์
ไพร่-อำมาตย์ กลายเป็นประเด็นใหม่ ใหญ่ แหลมคม หวังผลได้
จุดติดเรียบร้อย !
น่าประหวั่นพรั่นพรึงขนาดไหน ดูอาการฝ่ายรัฐบาลสองสามวันมานี้ก็คงเห็น
อภิสิทธิ์ สุเทพ สาทิตย์ ปณิธาน กระทั่งทหาร
ออกอาการกันหมด ?
ระดมตอบโต้ ชี้แจง แถลงการณ์
กลายเป็นจุกจิก ยุบยิบ หยุมหยิม เก้ๆกังๆ หันรีหันขวาง
ทว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งขยายความเป็นอำมาตย์
ยิ่งอยากจบก็เหมือนยิ่งยุบรรดาราษฎรเต็มขั้นทั้งบ้านทั้งเมือง
เลือดไพร่สูบฉีดให้ออกมาเรียกร้องต่อสู้
ถึงเวลาต้องปลดปล่อย ถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลง !!
ไพร่-อำมาตย์ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความแตกต่างระหว่างชนชั้น
เจ้านายกับขี้ข้... คนรวยกับคนจน ผู้มีอำนาจกับสามัญชน
มีเส้นกับไม่มีเส้น ??
สังคมไทยบ่มเพาะ สั่งสม เก็บกด เรื่องราวระหว่างชนชั้นมาต่อเนื่องยาวนาน
ความอัดอั้น อึดอัด คับแค้นแผ่กระจายอยู่ทุกหัวระแหง
เป็นไฟสุมขอนรอเวลาคุกรุ่น เป็นระเบิดรอเวลาจุดชนวน
เมื่อมีคนเปิดประเด็นขึ้นมา คนตามจึงหลั่งไหลล้นหลามโดยไม่ต้องนัดหมาย
และไม่ต้องจ้าง
ม็อบเสื้อแดงมากันหลากหลาย ไม่ว่าเพื่อทักษิณ เพื่ออุดมการณ์ เพื่อเงิน หรือเพื่ออะไรก็ตาม
ม็อบที่มาเพื่อเปลี่ยนแปลงอำมาตย์ ปลดปล่อยไพร่
จะมีส่วนต่อผลแพ้ชนะ
โดยไม่ต้องรอตีความตัวตนทักษิณ
จริงๆ แล้วเป็นไพร่ หรืออำมาตย์ !?
ที่มา ข่าวสดรายวัน
************************************************
เสื้อแดงเคลื่อนไหวด้วยใจ
กลายเป็นข่าวใหญ่โต เมื่อ สุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรี ออกมาแฉถึงกระบวนการการต่อท่อน้ำเลี้ยง ยื้อลมหายใจม็อบแดงหลังปรับทัพ ก๊อกสอง ผ่าน "ส., ป., พ." 3 อดีตนักการเมืองระดับนายทุน เจ้าของธุรกิจการค้าระหว่างประเทศพร้อมระบุว่ามีกระจายเงินให้ สส.เพื่อไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานคนละ 15 ล้านบาท เพื่อระดมคนมาร่วมชุมนุมกับม็อบเสื้อแดงที่ถนนราชดำเนิน
งานนี้ "เสี่ยแดง" พิชัย นริพทะพันธุ์อดีต รมช.คลัง มีคุณสมบัติเข้าข่ายต้องสงสัย ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงโดยตรงและไม่รู้เรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่อ้างถึง โดยยืนยันว่าทำงานให้กับพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว จะมีก็แต่การบริจาคเงินให้กับพรรคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีบันทึกรายงานการบริจาคที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 ครั้งในปีที่แล้ว ครั้งแรก 5 ล้านบาท ครั้งที่สอง 2 ล้านบาท
"ผมไม่ได้มีอย่างอื่นเกี่ยวข้องกับเสื้อแดง แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดว่าเสื้อแดงผิด ผมเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นไปด้วยความตั้งใจ อย่าไปคิดว่าเขามีท่อน้ำเลี้ยงจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเชื่อว่าเสื้อแดงมาด้วยจิตใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ บางทีเราคนกรุงเทพฯ สมัยก่อนอาจจะไปคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเกิดได้มีโอกาสลงพื้นที่อยากให้คนกรุงเทพฯ ได้สัมผัสคนต่างจังหวัดว่าเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งความคิดเขาไปไกลมากแล้วอย่าไปมองว่าเขามาเพราะเอาเงินไปให้ ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าความเข้าใจจะผิด เพราะคนเสื้อแดงเขาจะมีการระดมทุนของเขาเองด้วย หลังๆ คนเสื้อแดงเขาไปประชุมต่างจังหวัดเขาเสียเงินนะ ไม่ได้ได้เงิน ในต่างจังหวัดนี่มีการประชุมเยอะมาก ที่ผมรู้ก็มีคนมาเล่าให้ฟัง เรียนตรงๆ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อแดงเลย เพียงแต่สัมผัสกับ สส. เขามาเล่าให้ฟัง แต่คนที่มาอาจจะมีรายได้น้อย กลุ่มเสื้อแดงอาจจะต้องไปอำนวยความสะดวก"
ในแง่ภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าเป็นนายทุนพรรค"พิชัย" อธิบายว่า ส่วนตัวก็มีเงินใช้บ้างแต่ไม่ได้ใช้เยอะแต่ถามว่าการเมืองทุกประเทศก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แต่ต้องมองว่าเราใช้เงินไปเพื่ออะไรต้องดู ส่วนตัวก็ไม่ได้ไปใช้ซื้อเสียงหรือใช้ทางไม่ถูก แต่เรื่องการปฏิบัติงานของพรรคบางครั้งจำเป็นต้องใช้ก็ต้องใช้ ดังนั้นอย่าไปมองว่าการใช้ทุนเป็นสิ่งไม่ดี
ส่วนที่มองว่าการเข้ามาถนนการเมืองของกลุ่มทุนเพื่อกอบโกยนั้น "พิชัย" ออกตัวว่า คนที่มาทำงานให้ประเทศต้องคิดว่า หนึ่งตัวเองพร้อมไหม มีเงินไหม ไม่ใช่มาเพื่อกอบโกย อย่างบางพรรคในอดีตจนหมดเลยพอมาเป็นรัฐบาลแล้วรวยหมดเลย อย่างนั้นหรือที่คุณต้องการมันไม่ใช่ ต้องมองว่าคนที่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านมาทำงานเพื่อประเทศด้วยวัตถุประสงค์อะไร จะเข้ามาเก็บเกี่ยวหรืออยากทำให้ประเทศดีขึ้น
"ผมอยากให้มองที่ความคิด วิธีคิด มากกว่าจะบอกว่าคนนี้มีเงินหรือไม่มีเงิน อย่างคุณทักษิณ เงินทุนเต็มเลย แต่ทำไมคนคิดว่าคุณทักษิณเก่ง ผมก็อยากให้คนมองว่าผมมีวิธีคิดที่ทำให้ประเทศชาติเจริญ มากกว่าผมเป็นนายทุน"
แต่หลังจากมีเรื่องการยึดทรัพย์ขึ้นมา คนรวยคนไหนอยากจะมายุ่งการเมือง สมมติมีเงินเล่นหุ้นในตลาดอยู่พันล้านบาท บริหารประเทศ เจริญขึ้นไป 5,000 ล้านบาท ถึงเวลาบอกว่ายึด 4,000 ล้านบาท ถ้าเป็นอย่างนี้คนรวยที่ไหนอยากเข้ามา ต่อไปจะมีแต่คนจนที่เข้ามาแล้วทำให้ตัวเองรวย ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรให้ยึดเงินที่ทุจริตก็ไปซ่อนที่อื่นถามว่ามี สส.มาไถเงินบ้างหรือไม่ พิชัย ยืนยันว่า ไม่มี "ผมเองไม่มีมุ้ง บริจาคก็ตรงเข้าพรรค ไม่ใช่ไม่รักสส. แต่อยากให้เป็นระบบ และผมไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร กับคุณทักษิณก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่ได้รับคำสั่ง ซึ่งหาก สส.คนไหนมาขอให้ช่วยอะไรถ้าช่วยได้ก็ช่วย
"เสี่ยแดง" ออกตัวในความเป็นแดงของเขาว่า เป็นแดง ขาว น้ำเงิน ตามสีธงชาติ แต่จริงๆ แล้วแดงของเขาหมายถึงการอยากเห็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ยุติธรรม แต่คงไม่ใช่แนวฮาร์ดคอร์เหมือนแดงสยาม ทิศทางของโลกที่จะเป็นในอนาคตมีสองฝั่งต่างกัน ฝั่งหนึ่งมีการควบคุมดูแลทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายอยากเห็นว่าเลือกตั้งต้องสมบูรณ์ ใครมาก็ต้องมีสิทธิมีเสียงบริหารประเทศเต็มที่ ทั้งสองภาพยังขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งทางออกคือทำอย่างไรให้สองฝั่งไปด้วยกันได้
ทั้งนี้ ระบบควบคุมหรือที่ฝั่งเสื้อแดงเรียกว่าระบอบอำมาตย์ในอดีตอาจจะจำเป็นต้องมีการควบคุมเมื่อคนส่วนมากในประเทศเขายังไม่รู้เรื่อง มีการควบคุมไม่ให้มีการทุจริต แต่ระยะหลังไม่ใช่ กลายเป็นการปล่อยให้การทุจริตเกิดขึ้น เพื่อให้ตัวเองรักษาอำนาจได้ ซึ่งถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นในระยะยาวต้องดูว่าทิศทางต้องเปลี่ยนหรือเปล่า อย่างคนขาวที่คุมทุกอย่างในแอฟริกา เมื่อวันหนึ่งคนดำเขาต้องการปกครองตัวเองก็ต้องปล่อยเขา
แม้ที่ผ่านมาจะมีหลายฝ่ายพยายามเสนอ "ทางออก" ให้กับสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบันแต่สุดท้ายดูจะยากในการนำไปสู่การปฏิบัติ "เสี่ยพิชัย" ประเมินว่าต้องเริ่มจากให้ทุกคนหาเป้าหมายที่ต้องการในอนาคตก่อน อย่างประชาธิปไตยสมบูรณ์เห็นตรงกันหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้ถึงจุดนั้น
หากมองตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดงให้ยุบสภา ก็เพราะที่ผ่านมาการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลมีเบื้องหลัง ดังนั้นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็เพื่อให้เห็นว่าประชาชนจะเอาไง ประชาธิปัตย์จะทำประเทศเป็นไงก็หาเสียงไปเลย ใครจะแก้รัฐธรรมนูญ ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายประชาชนเลือกอะไรก็ต้องจบ เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่งั้นก็เดินไม่ได้
"ถ้าเราไม่ยอมรับกติกานี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะยอมรับกติกาไหนจะให้คนไม่กี่คนมาตัดสินใจประเทศนี้มันไม่ใช่ ถ้าประเทศนี้จะเจ๊ง ก็ต้องเจ๊งเพราะคนส่วนใหญ่"
"พิชัย" ประเมินการบริหารงานของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในช่วงที่ผ่านมาว่า แม้จะแอบเชียร์ เพราะจังหวะดี เข้ามาใหม่การศึกษาดี หน้าตาดี พูดจาดี แต่ถ้ามีวิธีการทำงานที่ดี ป่านนี้ปัญหาคงไม่เยอะขนาดนี้ ปัญหาคือ มีการถือข้าง และเอาใจฝั่งที่เชียร์ แต่คนที่ไม่เชียร์ไม่ดูแลคนที่เป็นผู้นำต้องลอยตัวเหนือความขัดแย้งและดูว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเขาจะต้องเห็นภาพนี้
ที่สำคัญนาทีนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะมาฝันอยากได้อำนาจปัญหาคือ บ้านกำลังไฟไหม้ ทำอย่างไรต้องดับไฟก่อน สมมติไฟไหม้ห้องครัว ไปดับห้องรับแขก ซึ่งปัจจุบันเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปแก้ได้อย่างไร ก็ลามไปทั้งบ้าน ซึ่งเมื่อไฟไหม้ก็ต้องดับไฟก่อน แล้วค่อยมานั่งคุยกันทีหลัง
นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับคนจน ให้พวกเขาได้มีโอกาสได้โต ถ้ามองทางเศรษฐกิจ ประเทศจะเจริญได้ต้องทำให้คนระดับล่างรวยก่อน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นฐานของพีระมิด เพราะคนรวยเพียงไม่กี่คนจะรวยขึ้นไม่มีประโยชน์จีดีพีจะโต 4-8% แต่คนจนยังมีรายได้ 100-200 บาท/วัน ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ต้องยึดแนวดูโอแทรกต์ ให้คนข้างล่างมีรายได้เพิ่มขึ้น ให้เป็นเถ้าแก่ เข้าถึงแหล่งทุน กองทุนหมู่บ้านลดปลดหนี้ คู่กับพัฒนาคนด้านบน
"แต่ต้องสอนให้เขาหา ไม่ใช่กู้มาแล้วหาไม่เป็น ที่ผ่านมาคนจนรู้สึกว่าทำกับเขาเหมือนเป็นขอทาน เอาเงิน เอาข้าวผ้าห่ม มาแจก แต่ความจริงเขาไม่ต้องการ เขาบอกว่าให้เบ็ดเขาซิ อย่าให้ปลา ถามว่าทำไมแท็กซี่ถึงแดงหมด คุณอภิสิทธิ์ต้องคิดเรื่องนี้"
เปิดสัมพันธ์'ทักษิณ-พิชัย'
ย้อนไปสมัยวัยรุ่น "พิชัย" ต้องปฏิเสธถนนการเมืองจากคำชักชวนของ ชวน หลีกภัยที่สนิทสนมกับคุณพ่อของเขาเมื่อต้องเลือกเส้นทางธุรกิจเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อที่เพิ่งเสียชีวิต ทำได้เพียงแต่เอาใจช่วยประชาธิปัตย์อยู่ห่างๆ จนห่างเหินกันไปในที่สุดในช่วงหลัง
จากนั้นด้วยความสนิทสนมส่วนตัวกับ สุวิทย์ คุณกิตติทำให้เขาเบนเข็มมาอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดิน พร้อมดันลูกชาย "พชร นริพทะพันธุ์" ที่หลงใหลในเส้นทางการเมืองมารับหน้าที่ รองโฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปี
แต่ด้วยความที่รู้จักกับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดช่องให้ได้มาพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนถูกคอ จากแนวคิดที่จูนกันติดและมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง รมช.คลัง ด้วยคำการันตีว่า "เก่ง วิธีคิดใช้ได้"แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในกระทรวงการคลัง แต่ก็ผลักดันนโยบายหลายเรื่องให้นำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยเฉพาะการผลักดัน มาตรการภาษีเรียกเก็บจากคนที่มีฐานะ ยังได้กำหนดพฤติกรรมของคน ซึ่งมีหลายรายการที่ยังค้างอยู่ในลิสต์ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ
สำหรับมุมมองที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว "พิชัย" ยอมรับว่าเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ แล้วนำมาปรับใช้ ยิ่งไปอยู่ต่าง
ประเทศยิ่งเก่ง จนมีวิสัยทัศน์ระดับโลกตรงนี้อยากเห็นรัฐบาลมีการประนีประนอม นำความรู้ความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยเหลือประเทศ อย่างสหรัฐไปจับแฮกเกอร์มือดีๆ มา ก็เอามาใช้งาน ได้ประโยชน์มากกว่าเอาไปติดคุก ปัจจุบันเราไปเสียเวลากับกระบวนการไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ปิดสนามบินความเสียหายเท่าไหร่ ค่าเสียโอกาสเท่าไหร่ จากที่เคยแข่งกับสิงคโปร์ไปต้องมาแข่งกับเวียดนาม
"ผมกับคุณทักษิณจูนกันติด เวลาเสนอไอเดีย ตอนเป็นรัฐบาลจะทำอย่างนี้ ถ้าเป็นพรรคอื่นจะถามว่าได้เงินเท่าไหร่ แต่คุณทักษิณไม่คิด คิดว่าประชาชนได้อะไรก่อน ผมยืนยันเลยว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ยอ อย่างกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล ไม่มีใครได้เงินเข้ากระเป๋าเงินลงถึงประชาชนจริงๆ ไม่เหมือนชุมชนพอเพียงที่มีการปั่นของมาขาย "พิชัย" อธิบายต่อว่า เรื่องการเสนอโครงการและหวังกิน30-40% ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีได้กิน มีการไล่บี้เข้มงวดจนมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีประจำ ซึ่งคุณทักษิณเป็นอย่างนั้นจริงๆงบประมาณห้ามแตะ เครียดจะตายต้องปั้นผลงาน เงินก็ไม่ได้ คนถึงเกลียด เพราะอยู่กับทักษิณแล้วไม่ได้เงิน
ส่วนความแตกต่างระหว่าง ประชานิยมของทั้ง ทักษิณและอภิสิทธิ์"พิชัย" อธิบายว่า รัฐบาลขณะนี้ไม่มีวิธีคิดหาเงิน อภิสิทธิ์ไม่เคยหาเงิน เอาเงินจากพ่อ ไม่รู้ว่าการค้าหาเงินอย่างไร ต้องผลิตสินค้าอะไร เอาอะไรไปขาย แต่คุณทักษิณรู้ เริ่มตั้งแต่ขายภาพยนตร์ดิ้นรนหาเงินเลี้ยงตัวเอง
"รัฐบาลต้องฝึกให้ชาวบ้านหาเงิน ประกอบกับการให้เงิน พอมีรายได้แล้ว จากนั้นทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น ก่อนเปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ แล้วค่อยๆ ยกระดับการจ่ายภาษี เพราะคนจนจะจ่ายภาษีได้ไง รัฐสวัสดิการจะต้องมาหลังจากประชานิยม ไม่ใช่แบบแจกฟรี แต่ต้องเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ หากินได้เพิ่มขึ้น"
นายกฯ ต้องมีทีมงานที่ฉลาด เปิดกว้างเอาคนมีประสบการณ์ แต่คนรอบข้างคุณอภิสิทธิ์ไม่มีใครทำธุรกิจ หรือทำก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้สุดท้ายมองไม่เห็นภาพ ประทานโทษคุณอภิสิทธิ์มองในเชิงอำมาตย์ นึกว่าจะซื้อใจจากประชาชนโดยการให้อย่างเดียวไม่ได้เขาข้ามตรงนั้นไปแล้ว ไปถึงจุดที่เขาต้องหาเงินเองได้แล้ว.
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
โดย...ทีมข่าวการเมือง
************************************************
งานนี้ "เสี่ยแดง" พิชัย นริพทะพันธุ์อดีต รมช.คลัง มีคุณสมบัติเข้าข่ายต้องสงสัย ได้ออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับคนเสื้อแดงโดยตรงและไม่รู้เรื่องท่อน้ำเลี้ยงที่อ้างถึง โดยยืนยันว่าทำงานให้กับพรรคเพื่อไทยเพียงอย่างเดียว จะมีก็แต่การบริจาคเงินให้กับพรรคอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีบันทึกรายงานการบริจาคที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 ครั้งในปีที่แล้ว ครั้งแรก 5 ล้านบาท ครั้งที่สอง 2 ล้านบาท
"ผมไม่ได้มีอย่างอื่นเกี่ยวข้องกับเสื้อแดง แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดว่าเสื้อแดงผิด ผมเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นไปด้วยความตั้งใจ อย่าไปคิดว่าเขามีท่อน้ำเลี้ยงจริงๆ แล้วส่วนตัวผมเชื่อว่าเสื้อแดงมาด้วยจิตใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศ บางทีเราคนกรุงเทพฯ สมัยก่อนอาจจะไปคิดอย่างนั้น แต่ถ้าเกิดได้มีโอกาสลงพื้นที่อยากให้คนกรุงเทพฯ ได้สัมผัสคนต่างจังหวัดว่าเขาคิดกันอย่างไร ซึ่งความคิดเขาไปไกลมากแล้วอย่าไปมองว่าเขามาเพราะเอาเงินไปให้ ผมฟังแล้วก็รู้สึกว่าความเข้าใจจะผิด เพราะคนเสื้อแดงเขาจะมีการระดมทุนของเขาเองด้วย หลังๆ คนเสื้อแดงเขาไปประชุมต่างจังหวัดเขาเสียเงินนะ ไม่ได้ได้เงิน ในต่างจังหวัดนี่มีการประชุมเยอะมาก ที่ผมรู้ก็มีคนมาเล่าให้ฟัง เรียนตรงๆ ว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสื้อแดงเลย เพียงแต่สัมผัสกับ สส. เขามาเล่าให้ฟัง แต่คนที่มาอาจจะมีรายได้น้อย กลุ่มเสื้อแดงอาจจะต้องไปอำนวยความสะดวก"
ในแง่ภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าเป็นนายทุนพรรค"พิชัย" อธิบายว่า ส่วนตัวก็มีเงินใช้บ้างแต่ไม่ได้ใช้เยอะแต่ถามว่าการเมืองทุกประเทศก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แต่ต้องมองว่าเราใช้เงินไปเพื่ออะไรต้องดู ส่วนตัวก็ไม่ได้ไปใช้ซื้อเสียงหรือใช้ทางไม่ถูก แต่เรื่องการปฏิบัติงานของพรรคบางครั้งจำเป็นต้องใช้ก็ต้องใช้ ดังนั้นอย่าไปมองว่าการใช้ทุนเป็นสิ่งไม่ดี
ส่วนที่มองว่าการเข้ามาถนนการเมืองของกลุ่มทุนเพื่อกอบโกยนั้น "พิชัย" ออกตัวว่า คนที่มาทำงานให้ประเทศต้องคิดว่า หนึ่งตัวเองพร้อมไหม มีเงินไหม ไม่ใช่มาเพื่อกอบโกย อย่างบางพรรคในอดีตจนหมดเลยพอมาเป็นรัฐบาลแล้วรวยหมดเลย อย่างนั้นหรือที่คุณต้องการมันไม่ใช่ ต้องมองว่าคนที่มีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้านมาทำงานเพื่อประเทศด้วยวัตถุประสงค์อะไร จะเข้ามาเก็บเกี่ยวหรืออยากทำให้ประเทศดีขึ้น
"ผมอยากให้มองที่ความคิด วิธีคิด มากกว่าจะบอกว่าคนนี้มีเงินหรือไม่มีเงิน อย่างคุณทักษิณ เงินทุนเต็มเลย แต่ทำไมคนคิดว่าคุณทักษิณเก่ง ผมก็อยากให้คนมองว่าผมมีวิธีคิดที่ทำให้ประเทศชาติเจริญ มากกว่าผมเป็นนายทุน"
แต่หลังจากมีเรื่องการยึดทรัพย์ขึ้นมา คนรวยคนไหนอยากจะมายุ่งการเมือง สมมติมีเงินเล่นหุ้นในตลาดอยู่พันล้านบาท บริหารประเทศ เจริญขึ้นไป 5,000 ล้านบาท ถึงเวลาบอกว่ายึด 4,000 ล้านบาท ถ้าเป็นอย่างนี้คนรวยที่ไหนอยากเข้ามา ต่อไปจะมีแต่คนจนที่เข้ามาแล้วทำให้ตัวเองรวย ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ไม่มีอะไรให้ยึดเงินที่ทุจริตก็ไปซ่อนที่อื่นถามว่ามี สส.มาไถเงินบ้างหรือไม่ พิชัย ยืนยันว่า ไม่มี "ผมเองไม่มีมุ้ง บริจาคก็ตรงเข้าพรรค ไม่ใช่ไม่รักสส. แต่อยากให้เป็นระบบ และผมไม่ได้ขึ้นตรงกับใคร กับคุณทักษิณก็เป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นไม่ได้รับคำสั่ง ซึ่งหาก สส.คนไหนมาขอให้ช่วยอะไรถ้าช่วยได้ก็ช่วย
"เสี่ยแดง" ออกตัวในความเป็นแดงของเขาว่า เป็นแดง ขาว น้ำเงิน ตามสีธงชาติ แต่จริงๆ แล้วแดงของเขาหมายถึงการอยากเห็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ยุติธรรม แต่คงไม่ใช่แนวฮาร์ดคอร์เหมือนแดงสยาม ทิศทางของโลกที่จะเป็นในอนาคตมีสองฝั่งต่างกัน ฝั่งหนึ่งมีการควบคุมดูแลทุกอย่าง แต่อีกฝ่ายอยากเห็นว่าเลือกตั้งต้องสมบูรณ์ ใครมาก็ต้องมีสิทธิมีเสียงบริหารประเทศเต็มที่ ทั้งสองภาพยังขัดแย้งกันอยู่ ซึ่งทางออกคือทำอย่างไรให้สองฝั่งไปด้วยกันได้
ทั้งนี้ ระบบควบคุมหรือที่ฝั่งเสื้อแดงเรียกว่าระบอบอำมาตย์ในอดีตอาจจะจำเป็นต้องมีการควบคุมเมื่อคนส่วนมากในประเทศเขายังไม่รู้เรื่อง มีการควบคุมไม่ให้มีการทุจริต แต่ระยะหลังไม่ใช่ กลายเป็นการปล่อยให้การทุจริตเกิดขึ้น เพื่อให้ตัวเองรักษาอำนาจได้ ซึ่งถือว่าผิดวัตถุประสงค์ ดังนั้นในระยะยาวต้องดูว่าทิศทางต้องเปลี่ยนหรือเปล่า อย่างคนขาวที่คุมทุกอย่างในแอฟริกา เมื่อวันหนึ่งคนดำเขาต้องการปกครองตัวเองก็ต้องปล่อยเขา
แม้ที่ผ่านมาจะมีหลายฝ่ายพยายามเสนอ "ทางออก" ให้กับสถานการณ์ความขัดแย้งปัจจุบันแต่สุดท้ายดูจะยากในการนำไปสู่การปฏิบัติ "เสี่ยพิชัย" ประเมินว่าต้องเริ่มจากให้ทุกคนหาเป้าหมายที่ต้องการในอนาคตก่อน อย่างประชาธิปไตยสมบูรณ์เห็นตรงกันหรือไม่ ถ้าเห็นด้วยแล้วก็ต้องหาทางว่าจะทำอย่างไรให้ถึงจุดนั้น
หากมองตามข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดงให้ยุบสภา ก็เพราะที่ผ่านมาการเปลี่ยนขั้วรัฐบาลมีเบื้องหลัง ดังนั้นการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ก็เพื่อให้เห็นว่าประชาชนจะเอาไง ประชาธิปัตย์จะทำประเทศเป็นไงก็หาเสียงไปเลย ใครจะแก้รัฐธรรมนูญ ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายประชาชนเลือกอะไรก็ต้องจบ เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่งั้นก็เดินไม่ได้
"ถ้าเราไม่ยอมรับกติกานี้ เราก็ไม่รู้ว่าจะยอมรับกติกาไหนจะให้คนไม่กี่คนมาตัดสินใจประเทศนี้มันไม่ใช่ ถ้าประเทศนี้จะเจ๊ง ก็ต้องเจ๊งเพราะคนส่วนใหญ่"
"พิชัย" ประเมินการบริหารงานของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในช่วงที่ผ่านมาว่า แม้จะแอบเชียร์ เพราะจังหวะดี เข้ามาใหม่การศึกษาดี หน้าตาดี พูดจาดี แต่ถ้ามีวิธีการทำงานที่ดี ป่านนี้ปัญหาคงไม่เยอะขนาดนี้ ปัญหาคือ มีการถือข้าง และเอาใจฝั่งที่เชียร์ แต่คนที่ไม่เชียร์ไม่ดูแลคนที่เป็นผู้นำต้องลอยตัวเหนือความขัดแย้งและดูว่าจะแก้ไขอย่างไร ซึ่งเขาจะต้องเห็นภาพนี้
ที่สำคัญนาทีนี้ไม่ใช่เวลาที่ใครจะมาฝันอยากได้อำนาจปัญหาคือ บ้านกำลังไฟไหม้ ทำอย่างไรต้องดับไฟก่อน สมมติไฟไหม้ห้องครัว ไปดับห้องรับแขก ซึ่งปัจจุบันเป็นอย่างนี้ แล้วจะไปแก้ได้อย่างไร ก็ลามไปทั้งบ้าน ซึ่งเมื่อไฟไหม้ก็ต้องดับไฟก่อน แล้วค่อยมานั่งคุยกันทีหลัง
นอกจากนี้ ต้องให้ความสำคัญกับคนจน ให้พวกเขาได้มีโอกาสได้โต ถ้ามองทางเศรษฐกิจ ประเทศจะเจริญได้ต้องทำให้คนระดับล่างรวยก่อน โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นฐานของพีระมิด เพราะคนรวยเพียงไม่กี่คนจะรวยขึ้นไม่มีประโยชน์จีดีพีจะโต 4-8% แต่คนจนยังมีรายได้ 100-200 บาท/วัน ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ต้องยึดแนวดูโอแทรกต์ ให้คนข้างล่างมีรายได้เพิ่มขึ้น ให้เป็นเถ้าแก่ เข้าถึงแหล่งทุน กองทุนหมู่บ้านลดปลดหนี้ คู่กับพัฒนาคนด้านบน
"แต่ต้องสอนให้เขาหา ไม่ใช่กู้มาแล้วหาไม่เป็น ที่ผ่านมาคนจนรู้สึกว่าทำกับเขาเหมือนเป็นขอทาน เอาเงิน เอาข้าวผ้าห่ม มาแจก แต่ความจริงเขาไม่ต้องการ เขาบอกว่าให้เบ็ดเขาซิ อย่าให้ปลา ถามว่าทำไมแท็กซี่ถึงแดงหมด คุณอภิสิทธิ์ต้องคิดเรื่องนี้"
เปิดสัมพันธ์'ทักษิณ-พิชัย'
ย้อนไปสมัยวัยรุ่น "พิชัย" ต้องปฏิเสธถนนการเมืองจากคำชักชวนของ ชวน หลีกภัยที่สนิทสนมกับคุณพ่อของเขาเมื่อต้องเลือกเส้นทางธุรกิจเป็นเสาหลักของครอบครัวแทนคุณพ่อที่เพิ่งเสียชีวิต ทำได้เพียงแต่เอาใจช่วยประชาธิปัตย์อยู่ห่างๆ จนห่างเหินกันไปในที่สุดในช่วงหลัง
จากนั้นด้วยความสนิทสนมส่วนตัวกับ สุวิทย์ คุณกิตติทำให้เขาเบนเข็มมาอยู่กับพรรคเพื่อแผ่นดิน พร้อมดันลูกชาย "พชร นริพทะพันธุ์" ที่หลงใหลในเส้นทางการเมืองมารับหน้าที่ รองโฆษกพรรคเพื่อแผ่นดิน ด้วยวัยเพียงแค่ 24 ปี
แต่ด้วยความที่รู้จักกับ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยาพ.ต.ท.ทักษิณ เปิดช่องให้ได้มาพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จนถูกคอ จากแนวคิดที่จูนกันติดและมีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง รมช.คลัง ด้วยคำการันตีว่า "เก่ง วิธีคิดใช้ได้"แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ในกระทรวงการคลัง แต่ก็ผลักดันนโยบายหลายเรื่องให้นำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยเฉพาะการผลักดัน มาตรการภาษีเรียกเก็บจากคนที่มีฐานะ ยังได้กำหนดพฤติกรรมของคน ซึ่งมีหลายรายการที่ยังค้างอยู่ในลิสต์ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ
สำหรับมุมมองที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว "พิชัย" ยอมรับว่าเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาดมาก ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ แล้วนำมาปรับใช้ ยิ่งไปอยู่ต่าง
ประเทศยิ่งเก่ง จนมีวิสัยทัศน์ระดับโลกตรงนี้อยากเห็นรัฐบาลมีการประนีประนอม นำความรู้ความสามารถของ พ.ต.ท.ทักษิณ ช่วยเหลือประเทศ อย่างสหรัฐไปจับแฮกเกอร์มือดีๆ มา ก็เอามาใช้งาน ได้ประโยชน์มากกว่าเอาไปติดคุก ปัจจุบันเราไปเสียเวลากับกระบวนการไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ปิดสนามบินความเสียหายเท่าไหร่ ค่าเสียโอกาสเท่าไหร่ จากที่เคยแข่งกับสิงคโปร์ไปต้องมาแข่งกับเวียดนาม
"ผมกับคุณทักษิณจูนกันติด เวลาเสนอไอเดีย ตอนเป็นรัฐบาลจะทำอย่างนี้ ถ้าเป็นพรรคอื่นจะถามว่าได้เงินเท่าไหร่ แต่คุณทักษิณไม่คิด คิดว่าประชาชนได้อะไรก่อน ผมยืนยันเลยว่าเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ยอ อย่างกองทุนหมู่บ้าน เอสเอ็มแอล ไม่มีใครได้เงินเข้ากระเป๋าเงินลงถึงประชาชนจริงๆ ไม่เหมือนชุมชนพอเพียงที่มีการปั่นของมาขาย "พิชัย" อธิบายต่อว่า เรื่องการเสนอโครงการและหวังกิน30-40% ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีได้กิน มีการไล่บี้เข้มงวดจนมีการเปลี่ยนรัฐมนตรีประจำ ซึ่งคุณทักษิณเป็นอย่างนั้นจริงๆงบประมาณห้ามแตะ เครียดจะตายต้องปั้นผลงาน เงินก็ไม่ได้ คนถึงเกลียด เพราะอยู่กับทักษิณแล้วไม่ได้เงิน
ส่วนความแตกต่างระหว่าง ประชานิยมของทั้ง ทักษิณและอภิสิทธิ์"พิชัย" อธิบายว่า รัฐบาลขณะนี้ไม่มีวิธีคิดหาเงิน อภิสิทธิ์ไม่เคยหาเงิน เอาเงินจากพ่อ ไม่รู้ว่าการค้าหาเงินอย่างไร ต้องผลิตสินค้าอะไร เอาอะไรไปขาย แต่คุณทักษิณรู้ เริ่มตั้งแต่ขายภาพยนตร์ดิ้นรนหาเงินเลี้ยงตัวเอง
"รัฐบาลต้องฝึกให้ชาวบ้านหาเงิน ประกอบกับการให้เงิน พอมีรายได้แล้ว จากนั้นทำอย่างไรให้คนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้น ก่อนเปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ แล้วค่อยๆ ยกระดับการจ่ายภาษี เพราะคนจนจะจ่ายภาษีได้ไง รัฐสวัสดิการจะต้องมาหลังจากประชานิยม ไม่ใช่แบบแจกฟรี แต่ต้องเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ หากินได้เพิ่มขึ้น"
นายกฯ ต้องมีทีมงานที่ฉลาด เปิดกว้างเอาคนมีประสบการณ์ แต่คนรอบข้างคุณอภิสิทธิ์ไม่มีใครทำธุรกิจ หรือทำก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้สุดท้ายมองไม่เห็นภาพ ประทานโทษคุณอภิสิทธิ์มองในเชิงอำมาตย์ นึกว่าจะซื้อใจจากประชาชนโดยการให้อย่างเดียวไม่ได้เขาข้ามตรงนั้นไปแล้ว ไปถึงจุดที่เขาต้องหาเงินเองได้แล้ว.
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th)
โดย...ทีมข่าวการเมือง
************************************************
พท.จ่อขึ้นเวทีแดงหากยังไม่นำทหารออกจากสภา
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะประเมินดูสถานการณ์กรณีที่มีการนำกำลังทหารเข้าในสภาพร้อมกับไปปิดสภาไม่ให้ส.ส.หรือเจ้าหน้าที่เข้าไปในสภา โดยหากประเมินแล้วว่ามีการปิดสภาในวันพรุ่งนี้(24 มีค. )ที่จะมีการประชุมสภา ในคืนนี้ตนและส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งจะไปขึ้นเวทีกลุ่มเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้า ไปประกาศเรียกร้องให้คนเสื้อแดงทั้งที่อยู่ในกทม.และทั่วประเทศไปปิดล้อมทหารที่อยู่ในสภา ตั้งแต่ช่วงเช้าก่อนที่จะมีการประชุมสภาทันที เพราะการที่ทหารบุกเข้าไปในสภาแล้วปิดล้อมเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นเหมือนเป็นการปฎิวัติเงียบ เพราะปกติแล้วทหารมักจะยึดฝ่ายบริหารแต่การไปยึดฝ่ายนิติบัญญัติเช่นนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นและเท่ากับเป็นการยึดอำนาจของประเทศด้วย
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
***********************************************
ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
***********************************************
‘บิ๊กตู่’ รู้ดีกว่าใคร!
จะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิดกระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช.ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดงการเจรจาระหว่างนายกฯ อภิสิทธิ์ กับ นปช.ที่ล้มเหลว เป็นสิ่งที่สังคมคาดเอาไว้อยู่แล้ว หากดูมาตรฐานรัฐบาลที่เล่นเกมซื้อเวลามาตลอด ซ้ำยังมีการอาศัยกระบอกเสียงของรัฐปล่อยข่าวรายวันตลอดวาจาปราศรัย น้ำใจเชือดคอเป็นสุภาษิตสอนใจคนไทยมาช้านาน ว่าอย่าได้หลงเชื่อคารมใครง่ายๆ โดยเฉพาะคนที่เวลาพูดก็ดี๊ดี ทุกอย่างดูเหมือนมีเหตุผลที่
จะยกความดีให้ตัวเองส่วนปัญหา ความผิดพลาดเลวร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายโยนออกไปให้คนอื่นหมดบางครั้งไม่เว้นแม้แต่พรรคพวกเดียวกันเองด้วยซ้ำซึ่งคนแบบนี้โบราณบอกว่า เป็นพวก “รู้จักหน้าไม่รู้จักใจ”โชคร้ายที่สถานการณ์การเมือง และการทำลายล้างกันทางการเมืองในรอบนี้ กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มนายทหารสาย คมช. เลือกที่จะใช้นอมินี เป็นคนประเภทปากปราศัยน้ำใจเชือดคอปัญหาต่างๆ ก็เลยไม่ยอมที่จะจบดังนั้นจึงไม่น่าจะแปลกใจที่ตลอดระ
เวลา 1 ปี กับอีก 3 เดือนของการเป็นนายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ปัญหาต่างๆ จึงไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เลยแม้แต่สักข้อเดียวการที่จะสร้างความสมานฉันท์ สร้างสันติทางการเมือง วันนี้คงเห็นแล้วว่าการเผชิญหน้ายังคงเหมือนเดิม ซ้ำยังทำให้เกิดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกด้วยในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยังเป็นเพียงราคาคุย
หรือประติมากรรมน้ำลายของทั้งนายอภิสิทธิ์ และคู่หูอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยืนกรานว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ฟื้นแล้ว แต่กลับยังปรากฏคนที่เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆกว่าครึ่งที่มาจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เสียที ก็บรรดาพี่น้องเกษตรกรที่เดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำ และปัญหาวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักในขณะนี้ซึ่งเฉพาะแค่เรื่องภัยแล้งที่เกษตรกรโอดโอยกันลั่นๆ แต่นายอภิสิทธิ์
และคนที่ดูแลด้านเศรษฐกิจอย่างนายกรณ์ กลับยังไม่มีการกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลืออะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดูแลไปตามยะถากรรมแต่ที่สำคัญที่สุด ที่เห็นชัดถึงความล้มเหลวของรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ ก็คือเรื่องของความเสมอภาคกันของกฎหมายภายใต้มาตรฐานเดียวทุกวันนี้ความเสมอภาคไม่ต้องพูดถึง ร้ายที่สุดก็คือ ภาพ 2 มาตรฐานเด่นชัดตลอดระยะเวลาปีเศษ ว่าไม่เพียงไม่มีการคิดจะแก้ไขเรื่อง 2 มาตรฐาน แต่นับวันยิ่งทำให้สังคม
ประชาชน และเกษตรกรเห็นชัดในเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเรื่อยๆและเป็นสาเหตุให้เกินกว่าครึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเรือนแสนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภาเที่ยวนี้ มาเพราะเรื่อง 2 มาตรฐานและคงต้องขอสอนจระเข้ว่ายน้ำ ว่าหากยังดำรงภาพ 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นับวันกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะมากขึ้นเรื่อยๆ... จะหาว่าไม่เตือน แรงกดดันของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความ
มั่นคง และนายทหารสาย คมช. รวมทั้งกลุ่ม 40 สว. บรรดาแกนนำม็อบพันธมิตร และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนรัฐบาลอยู่ จะบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงรัฐบาลได้แรงหนุนจากพรรคร่วมยืนยันชัดเจนสวนคำเรียกร้องให้ยุบสภา ว่าไม่ยุบสภาแน่นอนแต่ข่าวที่ออกไปทั่วโลก กับจำนวนคนที่มาชุมนุมที่เป็นเรือนแสนจริง ซึ่งชัดเจนจากบรรดาสื่อต่างประเทศรายงานข้อเท็จจริงไปทั่วโลกว่าคนมีจำนวนมากเพียงใด ดังนั้นแม้จะมีการพยายามกล่าวอ้างผ่านสื่อที่รัฐ
ครอบงำอยู่ว่ามีคนจำนวนไม่มาก แต่รัฐบาลเองก็รู้สึกสะท้านไหวต่อการกดดันในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงได้มีการใช้แผนรับมือที่ออกมาจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ หรือ ศอ.รส. ว่าต้องเล่นบทตี 2 หน้า... รับมือกลุ่มคนเสื้อแดงด้านหนึ่งที่เป็นทางเปิดเผย ก็ให้นายอภิสิทธิ์ พยายามพูดเหมือนพร้อมประนีประนอมพร้อมเจรจา เพื่อให้เกิดข้อยุติ มีการอาศัยกระบอกเสียงที่รัฐครอบงำในทุกกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ สถานีโทรทัศน์ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็น
กระบอกเสียงที่ชัดเจนที่สุด ใช้ทั้งนายอภิสิทธิ์ พูดเอง คนรอบข้างพูด นักวิชาการที่คัดเลือกจำเพาะเจาะจงแล้วให้มาพูด เพื่อต้องการสร้างภาพว่ารัฐบาลพร้อมเจรจา แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเองที่ไม่ยอมเจรจาทั้งๆ ที่ภาพความเป็นจริงตลอดมาในเรื่องของการเจรจาใดๆ ก็ตามในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่สำคัญที่สุดก็คือการเจรจาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เกมซื้อเวลา ที่คนทั้งประเทศ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลรู้ซึ้งไปตามๆ กันแต่ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ นายดิเรก
ถึงฝั่ง ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่วันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เคยหยิบข้อสรุปมาใช้ แถมไม่เคยให้ราคาเลยสักนิดแล้ววันนี้ที่การเจรจาระหว่าง นปช. กับนายอภสิทธิ์ล่ม ก็เพราะเป็นความจงใจลึกๆ ของรัฐบาลเองนั่นแหละ... เรื่องอะไรที่นายอภิสิทธิ์จะยอมเจรจาคนเดียว ถึงเวลาโบ้ยไม่ได้ ไม่มีใครให้โบ้ยก็เสร็จกันพอดีแต่แน่นอนว่า ในภาพเบื้องหน้า ทุกอย่างต้องให้ดูดีไว้ก่อนว่าพร้อมเจรจา แม้ว่าจะซุกตัวอยู่ในราบ 11 ก็ตาม ต้องยืนกระต่ายขาเดียว
ว่า “พร้อมเจรจา” ไปเรื่อยๆ ซื้อเวลาไปให้นานที่สุด เพราะคนรอบข้างให้ข้อมูลกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ต้องกลัวของไม่จริง ม็อบรับจ้าง เดี๋ยวสักพักก็ไปแล้ว... ซึ่งไม่รู้ว่าคราเคราะห์หรือไม่ เพราะคนขนาดได้เกียรตินิยมจากออกซฟอร์ด กลับดันเชื่อเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย... กองเชียร์รอบข้างเลยยิ้มแก้มตุ่ยอย่างไรก็ตาม ในเบื้องหลังแล้วเป็นหนังคนละม้วน เพราะนายอภิสิทธิ์ ยึดติดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้อนเข้ามุมประจานกันจนหมดทุกเรื่อง แต่ที่สำคัญที่สุดทำให้ความ
เป็นครอบครัว “เวชชาชีวะ” กระทบกระเทือนอย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวของนายอภิสิทธิ์ ที่ต้องพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องไปหลบอยู่ในราบ 11 ในขณะที่นางพิมพ์เพ็ญ และบุตร 2 คนคือ มะปราง และ ปัณ ต้องอยู่อย่างวิตกกังวลที่บ้านสุขุมวิท 31จนเป็นที่มาให้เกิดข่าวลือว่า การเข้าไปลี้ภัยใน ราบ 11 ของมาร์ค จะถือว่าเป็นการมา ”พึ่งบารมีทหาร” หรือถูกทหารยึดเอาตัวเป็นตัวประกัน จะทำอะไร กองทัพรู้หมด ก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่างจะยุบ
สภาก็ทำไม่ได้ เพราะมหาอำมาตย์ใหญ่ไม่ยอมให้ยุบ ทหารและกองทัพจึงทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาของมหาอำมาตย์คอยติดตาม นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ทุกย่างก้าว และทุกอิริยาบท??แต่ในอีกมุมหนึ่งมีคนมองกันว่า....สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในเวลานี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์มีทางเลือกนน้อยลง จึงต้องกัดฟันจับมือกับนายสุเทพ และที่สำคัญคือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกุมกลไกในเรื่องกระบอกเสียงไว้ในมือ เล่นเกมใต้ดินในลักษณะสู้ยิบตาจะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิด
กระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆ ทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของ
กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งประเมินแล้วเชื่อว่า ยิ่งแรงกดดันยิ่งมาก จะยิ่งมีการเล่นใต้ดินหนักหน่วงมากขึ้น จะมีเหตุระเบิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้กลุ่มคนเสื้อแดงหมดความชอบธรรมให้ได้เดิมคนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องยิง M79 ใส่ ร.1รอ. ด้วย??? มาวันนี้นายสุเทพก็ได้ช่วยเฉลยให้สังคมถึงบางอ้อ เพราะนายสุเทพ พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.
อ.ธีระวัฒน์ บุณยประดับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ทบ. และพล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. เดินทางไปยังบ้านพักรับรองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ที่อยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เพื่อไปอวยพรเนื่องในวันคล้ายเกิดครบรอบ 56 ปีของพล.อ.ประยุทธ์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2553ที่แท้ M79 ใต้ดินต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฮึ่มนี่เอง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************
จะยกความดีให้ตัวเองส่วนปัญหา ความผิดพลาดเลวร้าย สิ่งไม่ดีทั้งหลายโยนออกไปให้คนอื่นหมดบางครั้งไม่เว้นแม้แต่พรรคพวกเดียวกันเองด้วยซ้ำซึ่งคนแบบนี้โบราณบอกว่า เป็นพวก “รู้จักหน้าไม่รู้จักใจ”โชคร้ายที่สถานการณ์การเมือง และการทำลายล้างกันทางการเมืองในรอบนี้ กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และกลุ่มนายทหารสาย คมช. เลือกที่จะใช้นอมินี เป็นคนประเภทปากปราศัยน้ำใจเชือดคอปัญหาต่างๆ ก็เลยไม่ยอมที่จะจบดังนั้นจึงไม่น่าจะแปลกใจที่ตลอดระ
เวลา 1 ปี กับอีก 3 เดือนของการเป็นนายกรัฐมนตรี ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ ปัญหาต่างๆ จึงไม่สามารถแก้ไขให้ลุล่วงไปได้เลยแม้แต่สักข้อเดียวการที่จะสร้างความสมานฉันท์ สร้างสันติทางการเมือง วันนี้คงเห็นแล้วว่าการเผชิญหน้ายังคงเหมือนเดิม ซ้ำยังทำให้เกิดการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ออกมาเรียกร้องระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกด้วยในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ยังเป็นเพียงราคาคุย
หรือประติมากรรมน้ำลายของทั้งนายอภิสิทธิ์ และคู่หูอย่างนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ยืนกรานว่าเศรษฐกิจดีแล้ว ฟื้นแล้ว แต่กลับยังปรากฏคนที่เดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆกว่าครึ่งที่มาจากต่างจังหวัดเข้ามาชุมนุมเรียกร้องให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เสียที ก็บรรดาพี่น้องเกษตรกรที่เดือดร้อนจากราคาพืชผลตกต่ำ และปัญหาวิกฤตภัยแล้งอย่างหนักในขณะนี้ซึ่งเฉพาะแค่เรื่องภัยแล้งที่เกษตรกรโอดโอยกันลั่นๆ แต่นายอภิสิทธิ์
และคนที่ดูแลด้านเศรษฐกิจอย่างนายกรณ์ กลับยังไม่มีการกระตือรือร้นที่จะช่วยเหลืออะไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ดูแลไปตามยะถากรรมแต่ที่สำคัญที่สุด ที่เห็นชัดถึงความล้มเหลวของรัฐบาล และนายอภิสิทธิ์ ก็คือเรื่องของความเสมอภาคกันของกฎหมายภายใต้มาตรฐานเดียวทุกวันนี้ความเสมอภาคไม่ต้องพูดถึง ร้ายที่สุดก็คือ ภาพ 2 มาตรฐานเด่นชัดตลอดระยะเวลาปีเศษ ว่าไม่เพียงไม่มีการคิดจะแก้ไขเรื่อง 2 มาตรฐาน แต่นับวันยิ่งทำให้สังคม
ประชาชน และเกษตรกรเห็นชัดในเรื่อง 2 มาตรฐานมากขึ้นเรื่อยๆและเป็นสาเหตุให้เกินกว่าครึ่งของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเรือนแสนที่มาเรียกร้องให้ยุบสภาเที่ยวนี้ มาเพราะเรื่อง 2 มาตรฐานและคงต้องขอสอนจระเข้ว่ายน้ำ ว่าหากยังดำรงภาพ 2 มาตรฐานอย่างชัดเจนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ นับวันกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงจะมากขึ้นเรื่อยๆ... จะหาว่าไม่เตือน แรงกดดันของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ แม้ว่ารัฐบาล นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความ
มั่นคง และนายทหารสาย คมช. รวมทั้งกลุ่ม 40 สว. บรรดาแกนนำม็อบพันธมิตร และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องหรือให้การสนับสนุนรัฐบาลอยู่ จะบอกว่าไม่มีอะไรน่าห่วงรัฐบาลได้แรงหนุนจากพรรคร่วมยืนยันชัดเจนสวนคำเรียกร้องให้ยุบสภา ว่าไม่ยุบสภาแน่นอนแต่ข่าวที่ออกไปทั่วโลก กับจำนวนคนที่มาชุมนุมที่เป็นเรือนแสนจริง ซึ่งชัดเจนจากบรรดาสื่อต่างประเทศรายงานข้อเท็จจริงไปทั่วโลกว่าคนมีจำนวนมากเพียงใด ดังนั้นแม้จะมีการพยายามกล่าวอ้างผ่านสื่อที่รัฐ
ครอบงำอยู่ว่ามีคนจำนวนไม่มาก แต่รัฐบาลเองก็รู้สึกสะท้านไหวต่อการกดดันในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงได้มีการใช้แผนรับมือที่ออกมาจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ หรือ ศอ.รส. ว่าต้องเล่นบทตี 2 หน้า... รับมือกลุ่มคนเสื้อแดงด้านหนึ่งที่เป็นทางเปิดเผย ก็ให้นายอภิสิทธิ์ พยายามพูดเหมือนพร้อมประนีประนอมพร้อมเจรจา เพื่อให้เกิดข้อยุติ มีการอาศัยกระบอกเสียงที่รัฐครอบงำในทุกกรณีโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ สถานีโทรทัศน์ NBT ของกรมประชาสัมพันธ์ เป็น
กระบอกเสียงที่ชัดเจนที่สุด ใช้ทั้งนายอภิสิทธิ์ พูดเอง คนรอบข้างพูด นักวิชาการที่คัดเลือกจำเพาะเจาะจงแล้วให้มาพูด เพื่อต้องการสร้างภาพว่ารัฐบาลพร้อมเจรจา แต่กลุ่มคนเสื้อแดงเองที่ไม่ยอมเจรจาทั้งๆ ที่ภาพความเป็นจริงตลอดมาในเรื่องของการเจรจาใดๆ ก็ตามในยุครัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ที่สำคัญที่สุดก็คือการเจรจาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่เกมซื้อเวลา ที่คนทั้งประเทศ รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลรู้ซึ้งไปตามๆ กันแต่ที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ นายดิเรก
ถึงฝั่ง ที่ถูกอุปโลกน์ให้เป็นประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ ที่วันนี้นายอภิสิทธิ์ไม่เคยหยิบข้อสรุปมาใช้ แถมไม่เคยให้ราคาเลยสักนิดแล้ววันนี้ที่การเจรจาระหว่าง นปช. กับนายอภสิทธิ์ล่ม ก็เพราะเป็นความจงใจลึกๆ ของรัฐบาลเองนั่นแหละ... เรื่องอะไรที่นายอภิสิทธิ์จะยอมเจรจาคนเดียว ถึงเวลาโบ้ยไม่ได้ ไม่มีใครให้โบ้ยก็เสร็จกันพอดีแต่แน่นอนว่า ในภาพเบื้องหน้า ทุกอย่างต้องให้ดูดีไว้ก่อนว่าพร้อมเจรจา แม้ว่าจะซุกตัวอยู่ในราบ 11 ก็ตาม ต้องยืนกระต่ายขาเดียว
ว่า “พร้อมเจรจา” ไปเรื่อยๆ ซื้อเวลาไปให้นานที่สุด เพราะคนรอบข้างให้ข้อมูลกรอกหูอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ต้องกลัวของไม่จริง ม็อบรับจ้าง เดี๋ยวสักพักก็ไปแล้ว... ซึ่งไม่รู้ว่าคราเคราะห์หรือไม่ เพราะคนขนาดได้เกียรตินิยมจากออกซฟอร์ด กลับดันเชื่อเป็นจริงเป็นจังเสียด้วย... กองเชียร์รอบข้างเลยยิ้มแก้มตุ่ยอย่างไรก็ตาม ในเบื้องหลังแล้วเป็นหนังคนละม้วน เพราะนายอภิสิทธิ์ ยึดติดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้อนเข้ามุมประจานกันจนหมดทุกเรื่อง แต่ที่สำคัญที่สุดทำให้ความ
เป็นครอบครัว “เวชชาชีวะ” กระทบกระเทือนอย่างมากโดยเฉพาะครอบครัวของนายอภิสิทธิ์ ที่ต้องพลัดพรากจากกันชั่วคราว เพราะนายอภิสิทธิ์ต้องไปหลบอยู่ในราบ 11 ในขณะที่นางพิมพ์เพ็ญ และบุตร 2 คนคือ มะปราง และ ปัณ ต้องอยู่อย่างวิตกกังวลที่บ้านสุขุมวิท 31จนเป็นที่มาให้เกิดข่าวลือว่า การเข้าไปลี้ภัยใน ราบ 11 ของมาร์ค จะถือว่าเป็นการมา ”พึ่งบารมีทหาร” หรือถูกทหารยึดเอาตัวเป็นตัวประกัน จะทำอะไร กองทัพรู้หมด ก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่างจะยุบ
สภาก็ทำไม่ได้ เพราะมหาอำมาตย์ใหญ่ไม่ยอมให้ยุบ ทหารและกองทัพจึงทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาของมหาอำมาตย์คอยติดตาม นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ ทุกย่างก้าว และทุกอิริยาบท??แต่ในอีกมุมหนึ่งมีคนมองกันว่า....สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในเวลานี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์มีทางเลือกนน้อยลง จึงต้องกัดฟันจับมือกับนายสุเทพ และที่สำคัญคือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งกุมกลไกในเรื่องกระบอกเสียงไว้ในมือ เล่นเกมใต้ดินในลักษณะสู้ยิบตาจะเห็นว่า การยิง M79 ก็ดี การระเบิด
กระทรวงกลาโหม และการระเบิดที่ทำการใหม่ของ ป.ป.ช. ทั้งๆ ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ ซึ่งทุกกรณีถ้ากลุ่มเสื้อแดงทำจริงก็ต้องถือว่าปัญญาอ่อนขั้นรุนแรง เพราะไม่ได้อยู่ในแนวยุทธศาตร์ที่จะช่วยให้ชนะเลย แถมยังจะไปเข้าล็อกข้อกล่าวหาว่าใช้ความรุนแรงด้วยแต่ทั้งนายสุเทพ และเครือข่ายเนวิน ไม่กลัวเรื่องที่จะถูกจับโกหกรายวัน เพราะเป็นประเภท 5 ห่วงคาราวะอยู่แล้ว จึงยังคงสนุกกับการให้ข่าว หรือใช้ช่องทางกระบอกเสียง ซัดโครมๆ ทันทีว่า สงสัยว่าจะเป็นฝีมือของ
กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งประเมินแล้วเชื่อว่า ยิ่งแรงกดดันยิ่งมาก จะยิ่งมีการเล่นใต้ดินหนักหน่วงมากขึ้น จะมีเหตุระเบิดมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้กลุ่มคนเสื้อแดงหมดความชอบธรรมให้ได้เดิมคนยังงงๆ อยู่ว่า ทำไมต้องยิง M79 ใส่ ร.1รอ. ด้วย??? มาวันนี้นายสุเทพก็ได้ช่วยเฉลยให้สังคมถึงบางอ้อ เพราะนายสุเทพ พร้อมด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.วิโรจน์ บัวจรูญ ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พล.
อ.ธีระวัฒน์ บุณยประดับ ผู้ช่วยผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผบ.ทบ. และพล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. เดินทางไปยังบ้านพักรับรองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ที่อยู่ภายในกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) เพื่อไปอวยพรเนื่องในวันคล้ายเกิดครบรอบ 56 ปีของพล.อ.ประยุทธ์เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2553ที่แท้ M79 ใต้ดินต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฮึ่มนี่เอง!!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************
ยิงเอ็ม79ใส่สธ.คล้อยหลัง"มาร์ค"ประชุมครม.เสร็จ2ครั้งติด รถเสียหาย4คัน คาดดิ่งจากทางด่วน ไร้คนเจ็บ
นายกฯรู้เรื่องยิง79เข้าสธ.แล้ว "ปณิธาน"เชื่อสร้างสถานการณ์
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุยิงเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูกเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขว่า รับทราบสถานการณ์แล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่เห็นว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งในพื้นที่ควบคุมถือว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เชื่อว่านายกฯได้รับรายงานแล้ว
เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า กำลังดูในรายละเอียด ซึ่งคิดว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง
เกิดเสียงบึ้มดังสนั่น 2 ครั้งบริเวณสนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 มี.ค. ทราบรายงานเบื้องต้นว่า บริเวณสนามกีฬา กระทรวงสาธารณะสุขมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งมีเสียงดังขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้งติดต่อกัน
เบื้องต้นมีรายงานข่าวว่า เสียงระเบิดดังมาจากข้างกองวิศวกรรมการแพทย์ ระหว่างโฆษกแถลงผลประชุมครม.ทำให้กระจกรถแตกแต่ยังไม่มีรายงานคนบาดเจ็บ มีรถได้รับความเสียหาย 4 คัน ทั้งกระจกแตก ยางแบน คาดว่าเป็นการยิง M79 จากทางด่วนซึ่งอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทั้งนี้จุดตกอยู่ห่างจากรั้วประมาณ 30 เมตร และห่างจากจุดที่มีประชาชนทำงานอยู่ไม่เกิน 100 เมตร แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจุดที่ตกเป็นลานจอดรถและลานกีฬา
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เสียงระเบิดเกิดขึ้นภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นจากกาารประชุม ครม.และเดินทางออกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเหตุยิงเอ็ม 79 จำนวน 2 ลูกเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขว่า รับทราบสถานการณ์แล้ว แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบในรายละเอียด แต่เห็นว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้เห็นว่ามีเรื่องเกิดขึ้น ซึ่งในพื้นที่ควบคุมถือว่าปลอดภัย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เชื่อว่านายกฯได้รับรายงานแล้ว
เมื่อถามว่าเหตุที่เกิดขึ้นถือว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า กำลังดูในรายละเอียด ซึ่งคิดว่าในพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีการวางกำลังเจ้าหน้าที่ไว้
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น ผบช.ภ.1 ได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุแล้ว และอยู่ระหว่างรอเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานเข้าไปตรวจสอบอีกครั้ง
เกิดเสียงบึ้มดังสนั่น 2 ครั้งบริเวณสนามกีฬากระทรวงสาธารณสุข
นายแพทย์ ชาตรี เจริญชีวะกุล ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 23 มี.ค. ทราบรายงานเบื้องต้นว่า บริเวณสนามกีฬา กระทรวงสาธารณะสุขมีเหตุระเบิดเกิดขึ้น ซึ่งมีเสียงดังขึ้นติดต่อกัน 2 ครั้งติดต่อกัน
เบื้องต้นมีรายงานข่าวว่า เสียงระเบิดดังมาจากข้างกองวิศวกรรมการแพทย์ ระหว่างโฆษกแถลงผลประชุมครม.ทำให้กระจกรถแตกแต่ยังไม่มีรายงานคนบาดเจ็บ มีรถได้รับความเสียหาย 4 คัน ทั้งกระจกแตก ยางแบน คาดว่าเป็นการยิง M79 จากทางด่วนซึ่งอยู่ห่างไปไม่มากนัก ทั้งนี้จุดตกอยู่ห่างจากรั้วประมาณ 30 เมตร และห่างจากจุดที่มีประชาชนทำงานอยู่ไม่เกิน 100 เมตร แต่ยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากจุดที่ตกเป็นลานจอดรถและลานกีฬา
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เสียงระเบิดเกิดขึ้นภายหลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เสร็จสิ้นจากกาารประชุม ครม.และเดินทางออกจากกระทรวงสาธารณสุขแล้ว
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)