เคยภูมิใจ ในศักดิ์ ราชสีห์
รับผิดชอบ หน้าที่ อันยิ่งใหญ่
บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ทุกผองภัย
เป็นชายชาติ มหาดไทย ทระนง
มาเสียศักดิ์ เสียศรี ขายขี้หน้า
ได้ตำแหน่ง โดยซื้อหา และผ่อนส่ง
เสียงเล่าอ้าง ด่างพร้อย ทั้งเผ่าพงศ์
มหาดไทย จักดำรง อยู่อย่างไร
เงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้า ก็อายดิน
จะทนคำ หยามหมิ่น ได้ถึงไหน
แบกยศ แบกศักดิ์ หนักบ่าไป
จะหาความ ภาคภูมิใจ ก็ไม่มี
แอบสยบ นบนอบ ในเถื่อนถ้ำ
ทุกตำแหน่ง ถูกขย้ำ สิ้นราศี
ทั้งข้าหลวง ข้าราช ขาดบารมี
แค่ห่มคลุม หนังราชสีห์ เยื้องลีลา
ฤา ถึงยุค หมดสิ้น ศักดิ์ราชสีห์
สยบยอม ให้ย่ำยี เยี่ยงขี้ข้า
เสพยศ เสพศักดิ์ อัครา
แต่อับอาย ขายขี้หน้า ราคามัน !
ว.แหวนลงยา
บทกวี ข้อคิด และบทความ ตามแรงกระตุ้นจากเหตุบ้านการเมือง
Permalink : http://www.oknation.net/blog/wachira89
****************************************************
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
บีบ 'ทอม ดันดี' พ้นคอนเสิร์ตใต้

นักร้องจอมยียวนเรียกร้องให้ศิลปินเพื่อชีวิตรายอื่นออกมาสู้ประชาชนให้มากกว่านี้ ย้ำอีกตนไม่ใช่แดง...
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ทอม ดันดี หรือนายพันทิวา ภูมิประเทศ นักร้องแนวเพลงเพื่อชีวิตชื่อดัง เปิดเผยกับไทยรัฐออนไลน์ หลังโผล่ขึ้นเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดง ว่า ได้ส่งผลกระทบต่อตัวเองเกินความคาดหมาย คือ มีการยกเลิกคอนเสิร์ตทางภาคใต้หลายแห่ง เช่น หาดใหญ่ ภูเก็ต จนทำให้ต้องเก็บของขึ้นมาพักที่ จ.เพชรบุรี อย่างไรก็ตาม ย้ำว่าตนเองไม่ได้เป็นเสื้อแดง แต่ที่ตัดสินใจขึ้นเวทีดังกล่าวก็เพราะต้องการทำเพื่อประชาชน พร้อมกับว่าศิลปินที่ชอบอ้างประชาชนหลายคนเป็นคนขี้ขลาดที่ไม่ลุกขึ้นมาต่อสู้
ทอม ดันดี เผยว่าสาเหตุที่ต้องขึ้นเวที นปช.นั้น เกิดจากการติดตามข้อมูลข่าวสารและรู้ว่ารัฐบาลปิดหูปิดตาประชาชน การบริหารงานของรัฐบาลทำให้ประชาชนเป็นหนี้สินเพิ่ม และสื่อถูกบิดเบือนการเสนอข่าว
"วันนี้ผมอยู่ที่เพชรบุรีครับ หลังจากขึ้นเวที นปช.ไปก็โดนไม่ให้ขึ้นคอนเสิร์ตหลายแห่งทางใต้ บางผับก็ที่สนิทกับผมก็ถูกสั่งปิดไปเลยก็มี เช่น ที่สงขลา ตรัง ก็มี ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเล่นกันแรงแบบนี้ ผมไม่ใช่เป็นเสื้อแดงนะ ที่ขึ้นเวทีเสื้อแดงก็เพราะเราอยากช่วยประชาชน คนรากหญ้า วันนี้กล่าวหาว่าผมรับเงินแสนเงินล้านขึ้นเวที ขอโทษเถอะครับถ้าใจไม่รักผมไม่ไปหรอก มันร้อนมากที่นั่น ผมไม่โกรธเลยใครจะว่าผมอย่างไร แต่ในฐานะที่เราเป็นคนของประชาชน ก็เรียกร้องว่าให้ทำอะไรเพื่อประชาชนบ้าง อย่างศิลปินที่ชอบพูดว่านักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ หรือลูกผู้ชายตัวจริง อะไรแบบนี้ ถามว่าเขาหากินกับประชาชนคนรากหญ้าแต่เคยต่อสู้เพื่อประชาชนไหม"
ทอมบอกอีกว่า ประชาชนไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่ามีงานทำ การได้อยู่ดีกินดี ได้ความรู้ การที่ตนเองออกมาเรียกร้องก็เพื่อสิ่งเหล่านี้มากกว่า.
ที่มา.oknation.net
หมวด : นักข่าวอาสา
*******************************************
“อภิสบ เวทนาจังว่ะ” ...เออ!...เวทนาจริงๆ ว่ะ!!?

เห็นป้ายในขบวนพาเหรดของนักศึกษาจุฬา-ธรรมศาสตร์ในวันบอลประเพณีแล้ว มีความรู้สึกว่า เขาและเธอเหล่านั้น ก้าวหน้ามากในทางกระแนะกระแหนนักการเมือง โดยเฉพาะการเรียกนายมาร์ค มุกควายว่า “อภิสบ เวทนาจังว่ะ” ซึ่งผมเห็นว่า เก๋ไก๋กว่าฉายาที่ผมตั้งให้ คือ
“อภิแสบ ภักดีโพเดียม”
ฉายา “อภิแสบ ภักดีโพเดียม” หรือ “มาร์ค มุกควาย” ที่ผมตั้งให้นั้น เมื่อเทียบกับ “อภิสบ เวทนาจังว่ะ” แล้ว ผู้คนเขาสนใจหรือเห็นคล้อยตามคำไหนมากกว่ากัน ลองเข้าไปค้นใน ‘กูเกิ้ล’ ก็คงจะพอทราบได้ว่า
ฉายาไหน? จะเหมาะกับหัวหน้าพรรค ‘ดักดาน’ มากกว่ากัน!
เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทางเคเบิลทีวี ช่อง HBO เขาเอาภาพยนตร์เก่าเรื่อง Truman มาฉาย เป็นหนังเกี่ยวกับชีวประวัติของประธานาธิบดี Harry S.Truman (แฮรี่ เอส ทรูแมน) แสดงนำโดย Gary Sinise หนังเรื่องนี้สร้างตั้งแต่ผี 1988 ผมดูหลาย ครั้งแล้ว ถึงกระนั้น เวลาเขาย้อนเอามาฉายใหม่ ผมเป็นต้องดู เพราะชอบคำพูดที่ใช้ในหนังเรื่องนี้มาก เพราะมีหลายประโยคที่คมคาย กินใจ และแม้เวลาที่ปรากฏตามภาพยนตร์ จะผ่านมานานกว่าหกทศวรรษแล้ว แต่สำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์ ก็ดูได้ไม่รู้เบื่อ
Harry S.Truman (แฮรี่ เอส ทรูแมน) เป็นผู้นำสหรัฐต่อจากประธานาธิบดี FDR หรือ Franklin Delano Roosevelt(แฟรงคลิน เดลาโน รูสเวลท์) ผู้ยิ่งใหญ่ถึงแก่อาสัญกรรมไปหลังจากปฏิญาณตัวรับตำแหน่งครั้งหลังสุดเพียง 3 เดือน และเป็นในยามที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังดำเนินไปด้วยความเข้มข้น ถึงแม้ในช่วงนั้น ฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังกลับได้เปรียบต่อฝ่ายอักษะก็ตาม
ทรูแมนซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีตอนนั้น ต้องขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแทนรูสเวลท์ และต้องกลายมาเป็นบุคคลสำคัญ ในการทำหน้าที่คัดท้ายนาวาของฝ่ายสัมพันธมิตร และชะตากรรมของมนุษยชาติ ในตอนปลายสงครามโลกครั้งที่สอง และรับภาระหนักของชาติและของโลกต่ออีกหลังหลังมหาสงคราม ท่ามกลางความไม่ค่อยเชื่อมั่นของคนอเมริกัน เพราะทรูแมนนั้น ไม่มีทางเทียบกับประธานาธิบดีรูสเวลท์ ซึ่งเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเพียบพร้อมไปเสียทั้งหมด ทั้งความรู้ ฐานะ ความฉลาด พูดก็เก่งและเป็นขวัญใจของคนอเมริกันอีกด้วย
แม้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว อเมริกันชนก็ยังไม่เชื่อมั่นในตัวของผู้นำผู้เงียบขรึมท่านนี้ด้วยซ้ำไป เพราะภาพพจน์ของประธานาธิบดีอย่าง FDR นั้น ยังอยู่ในหัวใจของอเมริกันชน จึงมองข้ามประธานาธิบดีอย่างทรูแมนไปหมด
หลังจากหมดสมัยแรกแล้ว ท่านทรูแมนได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง แต่ตกเป็นรองผู้สมัครพรรครีพับลิกันเป็นอย่างมาก เพราะขณะนั้น Thomas E.Dewey (โทมัส อี ดิวอี้) โด่งดังมาก เพราะเป็นอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์คและเป็นผู้ที่มีความสามารถทางกฎหมายโดดเด่นมาก
ผมยังจำได้ถึงคดีที่คุณโทมัส อี ดิวอี้ รับเป็นทนายความตั้งแต่ตัวเองไปศึกษาต่างประเทศครั้งแรก ซึ่งหากท่านผู้ใดเคยไปที่ศึกษากฎหมายอาญาในสหรัฐ หรืออบรมในสถาบัน F.B.I. หรือในสถาบันผู้เชี่ยวชาญในการสอบสวนคดีอาญา จะต้องพบกับคำที่เรียกกันว่า
"พยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ และเข้ามาสู่การพิจารณาหรือการรับรู้ของศาล" (Illegal evidence that comes to the court.)
วลีนี้แหละครับคุณดิวอี้ ใช้เป็นชั้นเชิงหลัก ในการว่าความให้กับจำเลยรายหนึ่งชื่อนายมัลลอรี่ ต้องหาข่มขืนผู้เสียหายในห้องซักผ้าใต้ถุนอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งตัวของนายคนนี้ทำงานอยู่ที่นั่นด้วย
ตำรวจเอาตัวนายมัลลอรี่ ไปซักถามที่สถานีตำรวจประมาณแปดชั่วโมง โดยยังไม่แจ้งข้อหาเสียก่อน แต่กลับแจ้งข้อหาเอาหลังจากที่เอาตัวไปไว้ที่สถานีตำรวจเวลานานแล้ว โดยนำเอาคำให้การรับสารภาพของจำเลย ก่อนที่จะมีการแจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิตามรัฐธรรมนูญอย่างถูกต้อง มาเป็นพยานหลักฐานปรักปรำจำเลย
ตรงนี้แหละครับ ที่คุณดิวอี้เอาการที่ 'ได้มา' (obtain) ซึ่งพยานหลักฐาน รวมทั้งคำรับสารภาพของผู้ต้องหาในชั้นตำรวจ มาเป็นข้อต่อสู้ว่าเป็น Illegal evidence that comes to the court และศาลตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี
ชื่อเสียงของคุณดิวอี้ก็ดังเป็นพลุแตก ต่อมาได้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นอัยการใหญ่รัฐนิวยอร์ค และเมื่อได้รับเลือกตั้ง ก็ได้ต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรมรวมทั้งพวกมาเฟีย จนมีชื่อเสียงเป็นที่ประทับใจคนอเมริกันเป็นอย่างมาก
เรียกว่าเป็น “ขวัญใจ” เลยก็ว่าได้!
แต่เมื่อลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับทรูแมน นักกฎหมายใหญ่ผู้นี้ กลับตกอยู่ในความประมาท ไม่ออกหาเสียงมากเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะว่า โพลทุกสำนักชี้ตรงกัน
โทมัส ดิวอี้ จะได้รับชัยชนะ อย่างง่ายดาย!
ฝ่ายทรูแมนเห็นว่าตัวเองเป็นรองตามโพล เพราะแม้ว่า
ท่านจะครองตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่างการเลือกตั้งก็จริง แต่ดูจะไม่เป็นที่นิยมของอเมริกานัก การสำรวจคะแนนเสียงโดยโพลต่างๆ ชี้ตรงกันว่า คุณดิวอี้ผู้ท้าชิง
น่าจะชนะแบบ ‘แบเบอร์’ ก็ว่าได้!
คนอย่างทรูแมนไม่สนใจผลโพล แต่กลับโหมหาเสียงอย่างหนัก โดยใช้รถไฟเป็นพาหนะ หรือที่เรียกว่าการหาเสียงแบบ "Whistle-stop" คือ การเดินทางไกลแบบกินนอนในรถขบวนพิเศษไปทั่วสหรัฐ
พอผลการเลือกตั้งออกมาจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคะแนน Popular Vote ของประธานาธิบดีคนใต้แท้ๆ ที่มีลักษณะเงียบขรึม แต่ “จริงใจ” กลับโด่งพรวดแซงตัวเต็งอย่างดิวอี้ไป กว่าล้านคะแนนด้วยซ้ำ
ระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีใครจะคิดว่าชาวไร่ธรรมดาเกิดใน Lamar, Missouri แล้วครอบครัวย้ายมาอยู่ Kansas, Missouri แดนใต้ของของสหรัฐ ผู้เคยเป็นนายทหารจากหน่วย Missouri National Guard เมื่อปลดประจำการแล้ว ได้รับเลือกตั้งเป็นผู้พิพากษา วุฒิสมาชิก และรองประธานาธิบดี และเป็นประธานาธิบดีที่ดูลักษณะภายนอกแล้ว หนังสือพิมพ์เรียกชายผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ว่า เป็น Plain Man คือดูธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่มีบุคลิกที่เป็นจุดเด่น เตะตาผู้คนแบบนักการเมืองดังๆ แต่ท่านผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า
ประธานาธิบดีที่ดูเป็นคนธรรมดาเรียบง่ายอย่างนี้แหละครับ กลับได้ทำงานและตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในโลก อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลย เช่น
สั่งทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรก ลงเมืองฮิโรชิมา ทำให้โลก
ตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อได้เห็นฤทธานุภาพของอาวุธมหาประลัยนี้ และตามมาด้วยการถล่มเมืองนางาซากิ แหลกเป็นจุน เพราะท่านประธานาธิบดีทรูแมนเห็นว่า อย่างไรเสียญี่ปุ่นก็จะยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญ ไม่ยอมแพ้แพ้เด็ดขาด ขืนส่งกำลังทหารอเมริกันรุกรบแตกหัก โดยยกพลขึ้นบกที่เกาะญี่ปุ่น ก็ต้องนำชีวิตคนอเมริกันไปเสี่ยงอีกจำนวนมหาศาล เพราะชาวซามูไรจะต้องปกป้องแผ่นดินแม่ แบบสุดใจขาดดิ้นเยี่ยงนักรบเลือด ‘บูชิโด’ จวบจนวาระสุดท้าย
แม้จะตายหมดทั้งประเทศ...ก็ยอม!
จึงเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ในการสั่งใช้อาวุธร้ายแรง ที่ต้องคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ก็ทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามได้ในที่สุด
งานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณูปการกับฝรั่งชาติยุโรป ที่ท่านประธานาธิบดีคนนี้ได้ทำไป อย่างที่ไม่มีใครลืมได้ที่ลงมือแก้เศรษฐกิจยุโรปที่แหลกยับหลังสงครามยาวนาน ด้วยแผนการมาร์แชล (ตามการเสนอของท่านพลเอก George C. Marshall) หรือที่เรียกชื่อเป็นทางการคือ แผนงานฟื้นฟูยุโรป (European Recovery Programme: ERP) จนยุโรปโงหัวขึ้นมาจากความเสียหายร้ายแรง ขึ้นมายืนอยู่องอาจได้ในเวทีโลก และหลังสงครามผู้นำสหรัฐที่ธรรมดาคนนี้อีกเหมือนกัน สั่งให้มีการปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือชาวเบอร์ลิน ที่ถูกรัสเซียปิดล้อมหลังสงคราม จนอดอยากกันทั้งเมือง ด้วยการลำเลียงอาหารและเวชภัณฑ์ทางอากาศครั้งมหึมากว่าแสนเที่ยว เพื่อไปเลี้ยงดูชาวเมืองที่หิวโหย ตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ถูกปิดล้อม
ที่ประทับใจผมมากอีกเรื่องหนึ่งคือ ผู้ชายธรรมดาๆอย่างประธานาธิบดีทรูแมนนี่แหละครับ ที่สั่งปลดนายพลห้าดาวอย่าง ดั๊กกลาส แมคอาเธอร์ ออกจากทุกตำแหน่งกลางศึกเกาหลี เพราะขุนพลท่านนี้ออกอาการที่จะ
ไม่ฟังคำสั่งของประธานาธิบดี ผู้บังคับชาเหนือตนโดยชอบด้วยกฎหมาย!
มิสเตอร์อภิแสบฯต้องจำเอาไว้เป็นตัวอย่างว่า ผู้นำต้อง
หาญกล้าอย่างนี้ อย่าไปทำตัวเป็น ‘ลูกกระเป๋ง’ ที่วันๆเอาแต่
กวัดๆแกว่งๆ อยู่ตรงหว่างขาของพวกทหารหนุ่ม และ...ทหารแก่!!
ยิ่งนานวัน ผู้คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์มากขึ้น ต่างตระหนักว่า ผู้ชายธรรมดาอย่างทรูแมน กลับเป็นประธานาธิบดีที่ยิ่งใหญ่มากๆ ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครคิดว่าท่านจะก้าวมาจนถึงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยซ้ำ ตอนที่รูสเวลท์เลือกท่านไปชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ตัวทรูแมนเองยังไม่เชื่อ ถึงกับโพล่งไปกับผู้ที่ท่านรูสเวลท์ให้ไปบอกว่า
"Tell him to go to hell!"
แม้กระทั่งตอนที่ชิงชัย ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีแข่งกับดิวอี้ เมื่อยังไม่มีการประกาศผลเป็นทางการ หนังสือพิมพ์อย่างChicago Tribune ที่มั่นใจว่าอย่างไรเสีย ทรูแมนต้องแพ้แน่ๆ ถึงกับพาดหัวและออกจำหน่ายก่อน ว่า
"Dewey Defeats Truman!"
ท่านผู้อ่านเห็นในภาพแสตมป์สหรัฐ ซึ่งแสดงรูปของประธานาธิบดี แฮรี่ เอส ทรูแมน ชูหนังสือพิมพ์ที่ลงพาดหัวว่า คู่ปรับคือ นายโทมัส ดิวอี้ มีชัยชนะเหนือตัวท่าน แต่ความจริงแพ้ขาดลอย
ชัยชนะอย่างนี้แหละครับ ที่หักปากกาเซียน ไม่ว่าจะเป็นนักวิจารณ์การเมืองทั้งหนังสือพิมพ์ และวิทยุ รวมทั้งโพลระดับเกจิแบบ “กัลลลอป” เพราะฉะนั้น ไอ้โพลโลซกแห่งไม่ว่าจะเป็นไอ้ “เอแบด โพล” (A-BAD POLL) หรือ “สวนดุสัตว์ โพล” (SUAN DUSAT POLL) ที่เลียตูดรัฐบาลจนน่าหมั่นไส้ อย่าได้ทะลึ่งทำผลโพลสั่วๆมา ให้ผู้คนเขาหัวร่อเยาะ ในความตอหลดเกินเหตุของพวกมัน จนทำให้ผู้คนเสียดสีไทยแลนด์ของเรากลายเป็น “ตอแหลแลนด์” กันไปแล้ว!
มาร์กาเร็ต ทรูแมน ลูกสาวคนเดียวของท่านทรูแมนได้พูดเอาไว้น่าสนใจคือ
“พ่อของฉันช้าไปเสียแทบจะทุกเรื่อง...ท่านเป็นทหารเมื่ออายุ 33 ปี...เป็นวุฒิสมาชิกเมื่ออายุ 50 ปี...และเป็นประธานาธิบดีเมื่ออายุ 60 ปี!”
ท่านยืนยันในหลักเกณฑ์ที่ว่า เสียงประชาชนนั้นเป็นใหญ่ ใครชนะการเลือกตั้ง คนนั้นก็มีอำนาจรัฐ เพราะฉะนั้นในฐานะที่เป็นผู้ถืออำนาจที่ได้รับจากประชาชน การปลดนายพลอย่างแมคอาเธอร์
จึงไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย!
ความเป็นอิสระชน และเป็นผู้นำที่เชื่อมั่นในเสียงของประชาชน ท่านทรูแมนจึงมุ่งทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ให้คนในชาติของเขา มีความเป็นอิสระในการกล้าตัดสินใจ ไม่ต้องไปกราบกราน หรือไปฟ้องให้ “ป๋าแก่” ให้คอยช่วยเหลือตนทุกลมหายใจ
รวมทั้งไม่ต้องเอาหัวกบาล ไปซุกที่หว่างขานายทหารคนไหนๆ...ให้ดูทุเรศทุรังกา อีกด้วย!
มาถึงวันนี้ ผมเองคิดว่า ท่านประธานาธิบดีรูสเวลท์ ผู้เป็นอัจฉริยะ ฉลาดหลักแหลม อ่านคนอย่าง ‘ทรูแมน’ ขาด ว่าผู้ชายที่เงียบขรึม แต่หนักแน่นและซื่อสัตย์อย่างนี้แหละครับ ที่จะนำรัฐนาวาของชาติที่ยิ่งใหญ่อย่างสหรัฐ ยามหน้าสิ่วหน้าขวานได้
ดูไปแล้ว...อเมริกันชนและผู้คนบ้านเมืองอื่นๆนั้น เขาช่างโชคดีนัก ที่ในประวัติศาสตร์มีผู้นำดีๆมากมาย แต่ครั้นหันมาดูเมืองไทยเรา ให้ใจหายในความขาดแคลนผู้นำประเทศดีๆ เลยต๊อกต๋อยแตกแยกอย่างที่เห็นกัน
ก็ขนาดนายกฯบ้านเราแท้ๆ บรรดานิสิตนักศึกษาที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ เขาคงเห็นความโลซก และไม่เอาไหนจริงๆ จนถึงกับตั้งฉายาให้ว่า
“อภิสบ เวทนาจังว่ะ”
อือม์..ดูๆไปมันก็ “น่าเวทนา” อย่างที่เด็กๆ เขาว่า...จริงๆว่ะ!
โดย.วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
************************************************
อย่าเอานโยบายหาเสียงมาปนเรื่องการต่อสู้ของเสื้อแดง
.การต่อสู้ของเสื้อแดงวันนี้ ที่เห็นว่าดำเนินอยู่ได้อย่างชอบธรรมพิเศษไปกว่าแค่การใช้ความเป็นประชาชนประท้วงรัฐบาลอยู่บนพื้นฐานสันติวิธีเท่านั้น คือการต่อสู้เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่จะจบวงจรรัฐประหาร ที่หมายถึงมีการแก้รัฐธรรมนูญ และการผลักดันให้สังคมนี้ยอมรับผลการเลือกตั้งอยู่เป็นส่วนประกอบของเป้าหมายจบวงจรอุบาทว์
ได้มีโอกาสฟังชาวเสื้อแดงที่เป็ยแกนนำปราศัยผ่านทางอินเทอร์เน็ต ได้ยินเสียงตะโกนกล่าวนโยบายดีอย่างนั้นอย่างนี้ที่ฝ่ายตนจะทำให้ได้ หรือนโยบายในอดีตที่ฝ่ายตนจะทำให้ได้
ถ้าเสื้อแดงจะทำให้การต่อสู้ของตนหนักไปในทางสงครามผลประโยชน์ แล้วผลักดันให้ยุบสภา คนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เปิดละครดูตั้งแต่ต้น มาเปิดตอนนี้ (มุขนี้ของคุณปลื้ม) จะคิดว่าเสื้อแดงเป็นพวกหนักไปทางแสวงหาผลประโนยช์เพื่อพวกพ้องตน แล้วมาบี้ให้ยุบสภาสนองตัณหาเชิงนโยบายเอาได้
ทั้งๆที่ศักดิ์ศรีของสงครามสันติวิธีเสื้อแดงในครั้งนี้ สูงกว่านั้นเพราะเสื้อแดงกำลังจะเป็นพลังหลักในการแก้ไขปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองระยาวของประเทศไทย แก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิการเมืองเพื่อสร้างให้ประเทศไทยมีกติกาการเมืองแบบชาวอารยะประเทศอื่นๆ ในความเป็นเสื้อแดงที่มีเป้าหมายแบบนี้จริงๆแล้วเสื้อแดงควรพวกที่ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใดด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นที่เสื้อแดงกำเนิดมาก็มาจากที่ไม่ยอมรับการเมืองแบบ ผู้มีอำนาจล้มกระดาน โดยมีทักษิณ ชินวัตรเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ
ถ้าเสื้อแดงยังเสไปทางเรื่องนโยบาย แอบแฝงหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งในอนาคตด้วย คิดว่าก็คงไม่ผิด มันเป็นเรื่องมวลชน แต่กระนั้นความชอบธรรมของเสื้อแดงที่จะป่าวประกาศให้มวลชนอื่น ที่อาจไม่ได้พึงใจในนโยบายเพื่อไทย หรือไม่ได้ฝักฝ่านนโยบายแบบไหนทั้งสิ้น ต้องคิดว่า แล้วฉันจะมากินขี้ทักษิณ ทำไม!!!!
Tags: รากหญ้า, สันติวิธี, เสื้อแดง
***********************************************
ได้มีโอกาสฟังชาวเสื้อแดงที่เป็ยแกนนำปราศัยผ่านทางอินเทอร์เน็ต ได้ยินเสียงตะโกนกล่าวนโยบายดีอย่างนั้นอย่างนี้ที่ฝ่ายตนจะทำให้ได้ หรือนโยบายในอดีตที่ฝ่ายตนจะทำให้ได้
ถ้าเสื้อแดงจะทำให้การต่อสู้ของตนหนักไปในทางสงครามผลประโยชน์ แล้วผลักดันให้ยุบสภา คนอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เปิดละครดูตั้งแต่ต้น มาเปิดตอนนี้ (มุขนี้ของคุณปลื้ม) จะคิดว่าเสื้อแดงเป็นพวกหนักไปทางแสวงหาผลประโนยช์เพื่อพวกพ้องตน แล้วมาบี้ให้ยุบสภาสนองตัณหาเชิงนโยบายเอาได้
ทั้งๆที่ศักดิ์ศรีของสงครามสันติวิธีเสื้อแดงในครั้งนี้ สูงกว่านั้นเพราะเสื้อแดงกำลังจะเป็นพลังหลักในการแก้ไขปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองระยาวของประเทศไทย แก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิการเมืองเพื่อสร้างให้ประเทศไทยมีกติกาการเมืองแบบชาวอารยะประเทศอื่นๆ ในความเป็นเสื้อแดงที่มีเป้าหมายแบบนี้จริงๆแล้วเสื้อแดงควรพวกที่ไม่ฝักฝ่ายฝ่ายใดด้วยซ้ำ จุดเริ่มต้นที่เสื้อแดงกำเนิดมาก็มาจากที่ไม่ยอมรับการเมืองแบบ ผู้มีอำนาจล้มกระดาน โดยมีทักษิณ ชินวัตรเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ
ถ้าเสื้อแดงยังเสไปทางเรื่องนโยบาย แอบแฝงหาเสียงเพื่อการเลือกตั้งในอนาคตด้วย คิดว่าก็คงไม่ผิด มันเป็นเรื่องมวลชน แต่กระนั้นความชอบธรรมของเสื้อแดงที่จะป่าวประกาศให้มวลชนอื่น ที่อาจไม่ได้พึงใจในนโยบายเพื่อไทย หรือไม่ได้ฝักฝ่านนโยบายแบบไหนทั้งสิ้น ต้องคิดว่า แล้วฉันจะมากินขี้ทักษิณ ทำไม!!!!
Tags: รากหญ้า, สันติวิธี, เสื้อแดง
***********************************************
ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แกะปมรัฐธรรมนูญ-ไขรหัส "มั่ว" อุทธรณ์หรือฟื้นคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ"

สัมภาษณ์พิเศษ
หลังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ "ทักษิณ ชินวัตร" มีคนที่ต้องทำการบ้านเพิ่มไม่น้อยกว่า 5 ฝ่าย
อย่างน้อยมีทนายฝ่าย "จำเลย" ที่ต้องหา "ข้อเท็จจริงใหม่" มาต่อสู้ในขั้นอุทธรณ์
อย่างน้อยก็มีองค์คณะในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อย่างน้อยก็มีผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ-อดีตรัฐมนตรีที่ผูกพันตามคำพิพากษา
นอกจากนี้ยังมีสำนักงานอัยการสูงสุดที่ต้องเตรียมข้อมูลฟ้องร้องกับผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิด จนทำให้ "จำเลย" ร่ำรวยผิดปกติ
1 ใน 5 ฝ่ายที่ทำการบ้านเพิ่มคือ นักวิชาการด้านกฎหมายที่ชื่อ "ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์"
บรรทัดต่อไปนี้คือ "คำตอบ" จากการคร่ำเคร่งค้นคว้า-ความจริง-ไม่อิงขั้วการเมือง
- หลังจากเข้ากระบวนการ 30 วัน ที่ศาลเปิดโอกาสให้อุทธรณ์แล้ว อาจารย์คาดหวังจะเห็นอะไร
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เข้าใจและเป็นปัญหากลไกซ่อนรูปในรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายหลายคนก็มองไม่เห็น เราพูดเรื่องอุทธรณ์ ว่าพอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้ว มีสิทธิอุทธรณ์ภายใน 30 วัน ไปยังที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา อาจารย์หลายคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ บางคนก็บอกว่า นี่ไงมีการประกันสิทธิเสรีภาพ เรื่องการอุทธรณ์ กระบวนการนี้เป็นธรรมเพราะเปิดให้มีการอุทธรณ์ให้ถึงที่สุด แต่เรื่องนี้คนรู้น้อยมากว่ามันใช่การอุทธรณ์หรือไม่ ไปถามในทางสากลจากนักกฎหมายในโลกนี้ทั้งโลก จะรู้ว่าที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550 นี่มันไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ แม้จะเขียนว่า "อุทธรณ์" ก็จริง แต่เนื้อหามันไม่ใช่ อันนี้มันซ่อนปมอีกอันหนึ่ง
เพราะสิ่งที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนั้นเป็นลูกผสมระหว่างการอุทธรณ์กับการขอให้พิจารณาใหม่ หรือการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ มันเป็นหลักการสำคัญ ทั้ง 2 อย่างนี้ต่างกัน ยกตัวอย่างคดีอาญา มีบุคคลคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ต่อมาพนักงานสอบสวนก็สอบสวนมีการส่งเรื่องไปที่อัยการและอัยการฟ้องไปที่ศาล เมื่อมีการตัดสินคดีแล้วมีการอุทธรณ์ ฎีกา เมื่อศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกายืน คดีถึงที่สุดที่ศาลฎีกา
ต่อมาเมื่อเขาอยู่ในคุก พบพยาน หลักฐานว่าเขาไม่ใช่คนกระทำความผิด ระบบกฎหมายจะเปิดช่องให้เขา ขอให้พิจารณาใหม่ หรือว่ารื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งการอุทธรณ์กับการพิจารณาใหม่มีความแตกต่างกัน เพราะการอุทธรณ์คือ การที่คู่ความในคดีซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลในระดับล่าง โต้แย้ง คำพิพากษาของศาลขึ้นไปยังศาลระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่า สามารถอุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย หรืออาจให้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
และการอุทธรณ์คือ การเปิดโอกาสให้ คู่ความได้โต้แย้งตัวคำพิพากษาของศาล โดยไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานใหม่ เพราะต้องใช้พยานหลักฐานอันเดิม แล้วอุทธรณ์ว่าศาลตีความกฎหมายไม่ถูก หรือถ้าเป็นการยอมให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ในกรณีที่ศาลฟังข้อเท็จจริงผิด นี่คือการโต้แย้งทุกประเด็น หรือโต้แย้งประเด็นข้อกฎหมายทุกเรื่องขึ้นไป เรียกว่าการอุทธรณ์
พอคดีจบแล้วถึงที่สุดแล้ว เมื่ออุทธรณ์ไม่ได้ เพราะมันจบ หลักก็คือ คำพิพากษาต้องเด็ดขาด ทีนี้เป็นไปได้ว่าคำพิพากษาอาจผิด ซึ่งระบบกฎหมายที่ยอมรับหลักความยุติธรรม เขาต้องยอมรับว่า มันเกิดความผิดพลาดได้เวลาที่ศาลมีคำพิพากษา เพราะฉะนั้นระบบกฎหมายอย่างนี้ได้รักษาไว้ซึ่งความมั่นคง แน่นอน ของคำพิพากษาของศาลซึ่งเป็นที่สุดแล้ว
แต่อีกด้านหนึ่งระบบกฎหมายก็ต้องรักษาความยุติธรรมด้วย เขาก็จะเปิดช่องเอาไว้ว่าในภายหลังที่ศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว มีการพบพยานหลักฐานใหม่ว่า ที่ศาลตัดสินไปนั้นไม่ถูก เขาก็จะเปิดโอกาสให้คนซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วนั้น ยื่นคำร้องรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่นี้ หลักในทางสากลคือ คดีอาจจบไปแล้วกี่ปีก็ได้ เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีพยานหลักฐานใหม่ คุณต้องยื่นเสีย อาจจะภายใน 30 วัน เช่น คดีจบไปแล้ว 5 ปี แล้วคุณบังเอิญเห็นพยานหลักฐานอันนี้ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่ผิด คุณก็นำไปยื่น ตรรกะจะเป็นแบบนี้
แต่รัฐธรรมนูญไทย 2550 ได้สร้างระบบประหลาดขึ้นมา ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นการครีเอตของคนร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ เขาบอกว่า คนที่ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯไปที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน แต่ต้องปรากฏพยานหลักฐานใหม่ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่ใช่การอุทธรณ์ในความหมายแท้ ๆ ที่ใช้ในทางกฎหมาย และก็ไม่ใช่การขอให้พิจารณาใหม่ด้วย
ที่ผมบอกว่าไม่ใช่การอุทธรณ์เพราะว่าคุณไปบีบเขาว่าเขาต้องมีพยานหลักฐานใหม่ภายใน 30 วันนี้ คุณต้องเจอพยานหลักฐานใหม่ มันก็เลยไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ เพราะการอุทธรณ์ไม่ต้องเจอพยานหลักฐานใหม่ในระบบ ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่การรื้อฟื้นพิจารณาคดีใหม่ด้วย เพราะคุณไปจำกัดเขาว่าเขาต้องทำภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา ไม่ใช่ 30 วันนับแต่วันที่พบพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจจะผ่านไป 5 ปี 10 ปี ก็ได้
- การอุทธรณ์จึงมั่ว ๆ ระหว่าง 2 หลัก ?
ถูกต้อง มันมั่วเลย ไม่ใช่มั่ว ๆ กันอยู่ แต่มันไม่มีหลักอะไรเลยตรงนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดมากในทางระบบ อันนี้ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ เพราะที่พูด ๆ กันอยู่นี่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง นี่พูดจริง ๆ หลายคนทำให้ผมดูถูกมาก ในทางความรู้ เพราะไม่เข้าใจประเด็น เหล่านี้แล้วพูดไป ทำให้สังคมเข้าใจผิด หลักก็เสียหมด
ประเด็นคือ ถ้าเอาตามตัวบทลายลักษณ์อักษรนี่ ทนายความของทักษิณต้องเจอหลักฐานใหม่จึงจะสามารถอุทธรณ์ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นธรรมกับคนที่ถูกลงโทษ ต้องให้มีการอุทธรณ์ได้ ครั้นจะสนับสนุนให้เขาอุทธรณ์เต็มที่ คุณก็เกรงอีก ก็เลยเอาเป็นระบบมั่ว ๆ อย่างนี้มาในรัฐธรรมนูญ มันเลยเป็นปัญหา
- เป็นประเด็นขอให้พิจารณาในเนื้อหา ?
ใช่ ๆ เพราะเรื่องแรกที่ต้องฝ่าด่านคือ ว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าหากไปถึงที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ถ้ามีการอุทธรณ์ เขาต้องดูว่ามีพยานหลักฐานใหม่หรือไม่ ตามถ้อยคำ ตามตัวบท ซึ่งการเขียนรัฐธรรมนูญอย่างนี้ก็น่าเห็นใจคนที่เป็นผู้พิพากษาตุลาการในการตีความอยู่เหมือนกัน อันนี้จะไปโทษเขาไม่ได้ อันนี้เป็นปัญหาที่ต้นทางของรัฐธรรมนูญที่ออกแบบมาแบบนี้ คือออกแบบมามั่ว ๆ แบบนี้
- อาจารย์จะภูมิใจหรือเสียใจ ถ้าบทวิเคราะห์ 32 หน้าของอาจารย์ปรากฏอยู่ในคำอุทธรณ์ของคุณทักษิณ
ไม่เป็นปัญหาของผมเลย..ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ได้ยุ่งกับคดีนี้ตั้งแต่แรก ไม่เคยเกี่ยวข้อง เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ ที่ผมทำให้กับสังคม
ความมุ่งหมายของผมมีอย่างเดียวคือ ผมต้องการให้สังคมเห็นอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีการพูดกัน เอาความรู้มาเถียงกัน ผมไม่อยากให้สังคมถูกพัดพาไปโดยกระแสในด้านเดียวเท่านั้นเอง และผมคิดว่า ความจริงคือความจริง ความรู้คือความรู้ ไม่อยากให้ใช้ความเชื่อ ไม่อยากให้ใช้อคติมาก เพราะใช้มาเยอะแล้ว ซึ่งผมพูดในเชิงกฎหมาย ไม่ได้สนับสนุนความชอบธรรมอะไรให้คุณทักษิณ
เพราะเรื่องทางการเมืองต้องประเมินอีกอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์อีกแบบหนึ่ง เป็นคนละเกณฑ์กัน แต่นี่เรากำลังจะเอา 2 เกณฑ์มาเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่ใช่เรื่องที่ผมภูมิใจหรือไม่ภูมิใจ และมีคนถามว่า นี่ผมช่วยคุณทักษิณหรือ ? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณ ผมขอบอกว่า ถ้าจะดูช่วยไปดูที่เนื้อหา สังเกตไหมว่าแถลงการณ์เที่ยวนี้เราพูดเรื่องรัฐประหารน้อยนะ ทั้งที่เป็นประเด็นใหญ่สุดเพราะเป็นต้นสายของทุกอย่างที่ตามมันควรจะใช้ไม่ได้โดยนัย แต่ที่พูดตรงนี้น้อยเพราะเราต้องการให้ดูเรื่องเนื้อหา เพราะมีการพูดกันว่า อย่าไปเถียงเรื่องรัฐประหารและเอาเป็นว่า ถ้าเข้าสู่ระบบปกติมันผิดไหม คุณลืมเรื่องรัฐประหารไปเลยก็ได้ ผมไม่อยากให้ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องเทคนิค คิดว่ายุ่งยากซับซ้อนแล้วเชื่อ ๆ ตาม ๆ กันไป
- ในตอนที่ทักษิณมีอำนาจก็อาจสั่งการโดยไม่ปรากฏหลักฐาน เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ เพราะทุกอย่างถูกควบคุมโดยทักษิณที่วางคนของตัวเองเอาไว้หมด แล้วอาจารย์อาจจะมองไม่เห็น
ผมคิดว่าความคิดแบบนี้อันตราย ถ้าเราใช้ "ความเชื่อ" ลงโทษคน จะเกิดอะไรขึ้น เช่น เชื่อว่าคนขี้ยาฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ทำ แต่คนเชื่อว่ามันฆ่าข่มขืนก็ให้ประหารชีวิตมันไป
ผมเชื่อในมุมนี้ ไม่ได้ไปสร้างความชอบธรรมให้คุณทักษิณ แต่อยากจะบอกแบบนี้ว่า ภายใต้การต่อสู้ทางการเมืองที่มีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจำนวนมากเข้าร่วมวงต่อสู้ กลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มต่างต้องการช่วงชิงชัยชนะให้กับตัวเอง ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การให้ข้อมูลด้านเดียว ต่าง ๆ เหล่านี้ทำกันมา คนคนหนึ่งอาจจะทำ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลของการโฆษณาชวนเชื่ออาจจะทำให้คนเชื่อว่าไอ้หมอนี่ทำ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเชื่อนั้นใช้ไม่ได้ในทางกฎหมาย ถ้าคุณจะเชื่ออย่างไรนั้นค่อยไปว่ากันทางการเมือง
ถ้าคุณอยากจะยึดทรัพย์คุณทักษิณ คุณรัฐประหารล้มเขาแล้ว คุณออกประกาศยึดไปเลย แล้วจะเอาหลักฐานอะไรก็ทำไป ส่วนในอนาคตถ้าคุณจะนิรโทษกรรมอะไร ก็เป็นเรื่องในอนาคตข้างหน้า แต่ถ้าจะใช้กระบวนการทางกฎหมายก็ต้องเป็นเหตุผล
ผมกำลังจะบอกว่า เรากำลังเอา 2 เรื่องมาปนกัน เพราะการรัฐประหารมันเป็นเรื่องอำนาจ เป็นเรื่องปืน รถถัง มันเถื่อน เพราะมันไม่จำเป็นต้องให้เหตุผล แต่กระบวนการยุติธรรม กระบวนการตามกฎหมาย มันใช้เหตุผล มันมีหลัก ใช้ความเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่อย่างงั้นก็ไม่ต้องเรียน ไม่อย่างงั้นผมก็ไปเรียนวิชายิงปืนสิ ผมจะมาเรียนกฎหมายทำไม และถ้าผมเชื่อว่าใครทำผิดผมก็ยิงมันเลย ถ้ามันชั่วนัก
ผมจะบอกว่าทั้ง 2 อย่างนี้มันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไปด้วยกันไม่ได้ และถ้าเอามาผสมกันมันจะสร้างความเสื่อมให้กับตัวระบบที่เราสร้างขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำอะไร คุณก็ทำไปสิ ตั้งแต่ตอนที่คุณมีปืน แล้วคุณก็ยอมรับว่ามันเป็นความเถื่อน ยอมรับว่า ทำด้วยความหวังดี เพราะว่า ไอ้ระบบธรรมดามันใช้ไม่ได้ คุณก็ให้เหตุผลไป ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องของผม แต่เมื่อเข้าสู่กลไกทางกฎหมาย เกิดระบบรัฐธรรมนูญ คุณต้องทำตามหลัก จะเอาความเชื่อมาใช้ไม่ได้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าที่เราเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ถูก นี่เราอยู่ในยุคของการพิสูจน์นะครับ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
************************************************
"สุเมธ-อักขราทร" 2 อำมาตย์ในพายุ "แดงไพร่"


เมื่อขุนนาง-ข้าราชการระดับสูง- คนในราชสำนัก-คนรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ถูกครหา
เพราะนักการเมืองทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ-ฝ่ายบริหาร ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในกรอบของสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรี
ฝ่ายตุลาการ-ฝ่ายข้าราชการ-ผู้นำ เหล่าทัพ จึงปรากฏตัวอยู่ในโครงสร้างอำนาจหลัก
แม้กระทั่ง 18 องคมนตรี ที่มีเกียรติประวัติจากการเป็นอดีตนายพล-ข้าราชการ-นักกฎหมายยังถูกพาดพิงว่า อิงการเมือง
ในนาม "ตุลาการภิวัตน์" ทำให้ "ดร.อักขราทร จุฬารัตน" ประธานศาลปกครองสูงสุด ต้อง "มอนิเตอร์" สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ถี่ยิบ-ต่อเนื่อง
ในนามของ "คนกลาง" ทำให้ "ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ถูกสปอตไลต์ฉายจับ ยามเกิดวิกฤตการเมือง
ปฐมเหตุการแห่งการพิพากษาคดี ยุบพรรคพลังประชาชน-คดีเขาพระวิหาร และเหตุแห่งอาหารค่ำพร้อมบทสนทนาใน "บ้านสุขุมวิท" ของ "ปีย์ มาลากุล" ทำให้ "ดร.อักขราทร" ถูก "ทักษิณและพวก" กาดอกจัน เป็นฝ่ายตรงข้าม
เศรษฐีหมื่นล้าน-นักโทษหนีคดี-อดีตนายกรัฐมนตรี-หัวขบวนไพร่ จึงตอกย้ำ-ปั่นราคา "ไพร่" บนเวทีการชุมนุมมั่วสุมทางความคิดของชนชั้น "รากหญ้า-สีแดง" กระทบ-กระเทียบไปถึง "ดร.อักขราทร" ในนามหัวขบวนตุลาการภิวัตน์
แม้ชื่อของ "ดร.สุเมธ" จะไม่ได้ "ถูกอ้าง" ในที่ชุมนุมของขบวนเศรษฐี-ไพร่
แต่ในวงนินทาของ "เศรษฐีใหม่" มักมีชื่อ ข้าราชการ-ราชสำนัก "ดร.สุเมธ" อยู่ในหัวข้อสนทนา
บ้างก็หาว่า ทำตัวเป็น "คนกลาง" เพื่อจะได้ตำแหน่ง บ้างก็กล่าวหาเป็นพวก "แอบอ้าง"
เมื่อเสียงครหา-นินทา ก้องไปถึงหู จึงมีเสียงสะท้อนจาก "ดร.สุเมธ"
"จะให้ทำอย่างไร...เราก็ไม่เคย ถ้าพระองค์ไม่เรียกก็ไม่เข้าเฝ้าฯ เรียกหาก็ เข้าเฝ้าฯ เรื่องอ้าง เรื่องข่าวลือ มันมีมา ตั้งแต่สมัยไหนแล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเรื่องหยุมหยิม เรื่องมูลฝอย ผมเคยอ่านหนังสือสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งว่า "เลิกนินทากันซะทีเถอะ" ขอให้พอทีเถอะ ข่าวโกหกคนโง่ก็เป็นเหยื่อ คนฉลาดฉุกคิดได้ก็รอดไป สำคัญว่ามีคนเชื่อหรือเปล่า...ทำไมถึงเชื่อกันง่าย"
เช่นเดียวกับ "ดร.อักขราทร" ที่เตรียมตัวจะสะท้อนเสียงนินทา-วาทกรรม ที่ถูกสร้างผ่าน "ฝ่ายแพ้" ในเครือข่าย "ทักษิณ" ต่อเนื่องทุกหย่อมหญ้า ในวันที่เกษียณ จากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ปลายปี 2553
ระหว่างนี้ จึงต้องเป็น "มีเดียมอนิเตอร์" เพื่อตรวจสอบ เสียงเล่า-เสียงลือ ผ่านสื่อทั้งหนังสือพิมพ์-วิทยุ-โทรทัศน์
"...ผมอ่านหนังสือพิมพ์วันละ 14-15 ฉบับ อ่านทุกวัน แล้วผมตาม มานาน ผมจะรู้ว่าใครเป็นใคร เดี๋ยวนี้รู้หมดแล้ว แต่ก็ยังต้องตามอยู่ เพราะยังอยู่ ในงาน แต่ถ้าปลอดเกษียณแล้ว ก็คงจะอ่านบ้างนิดหน่อย"
"ผมตามข่าวทุกวัน แต่ไม่เครียด เพราะเราเข้าใจว่า ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ เพียงแต่ให้รู้ว่าใครเป็นใครก็แล้วกัน ถ้าเขาอยากได้ความเห็นของเราจริง ๆ เราก็อธิบาย แต่ถ้าติดตามแบบไม่ใช้สติก็เครียด ถ้าไม่รู้ข่าวสารบ้านเมือง จะเครียดมากกว่า"
คนตุลาการ-ประมุขศาลประชาชน ตามอ่าน "เอาเรื่อง" แต่ในฐานะคนใกล้ชิดราชสำนัก เมื่อสถาบันถูกกระทบกระเทียบ จากฝ่ายต่าง ๆ "ดร.สุเมธ" จึงเปิดตัว- เปิดหน้า-ท้าชน
"โดนโจมตีว่าเป็นอำมาตย์ ผมจะเจียระไนให้ดูว่า อำมาตย์คนนี้ทำอะไรบ้าง เป็นคนทำงานพัฒนาชนบท เคยออกรบ โดดร่มกลางป่า ตอนนี้เป็นอดีตอำมาตย์ที่เกษียณ แต่ยังกินเงินเดือนอำมาตย์อยู่"
"ผมเป็นอำมาตย์ 100% ในชีวิตไม่เคยทำอะไร นอกจากเป็นข้าราชการ อำมาตย์ก็คือข้าราชการ มียศ มีศักดิ์ ใช่...แล้วไง แล้วตอนบ้านเมืองจนมุม ก็มีแต่พวกอำมาตย์กู้ชาติ จำนวนคนอวิชชามันเยอะ ถ้าเขาฟังก็ฟัง เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบ ทำตามบทบาทหน้าที่ ทำได้เท่านี้ แล้วก็ ทำไม่เคยหยุด"
ในอำนาจ-ในวงการเมือง "ดร.อักขราทร" ถูกลากเข้าสู่วงโคจรความขัดแย้ง จึงจำเป็นต้อง "รู้เขารู้เรา" อย่างทะลุถึงราก
"ผมรู้ว่าใครเป็นใคร รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ใครคิดอะไรอยู่ แต่เราก็ไม่ได้ไปยุ่งเขา"
ในปรากฏการณ์ "เหลือง-แดง" ตั้งแต่ปี 2538-2553 ยังไม่มีทีท่าจะถึงตอนอวสาน "ดร.อักขราทร" บอกว่า ถ้าจะให้จบ ต้องเลิกยึดติด-ยึดถือ ว่าตัวเองทำถูกกว่าคนอื่น และต้องไม่ "บิดเบือน" ข้อมูลของฝ่ายตัวเอง เพื่อให้คนส่วนใหญ่ได้ ตัดสินใจ บนฐานข้อมูลที่ถูกต้อง
"...วันนี้ อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด แม้จะไม่อยากให้เกิด แต่เวลานี้ มันเลยจุดที่จะพูดกันแบบมีเหตุมีผล เลยจุดนั้นไปแล้ว ฉะนั้นลองตั้งสติดู แล้วคิดว่าเราทุกคนรักบ้านเมืองหรือเปล่า รักแล้วทำอะไรบ้างที่ทำไม่ให้เกิดปัญหา"
"ดร.สุเมธ" ติดตามการเมือง อย่างเป็นห่วงและอยากเตือนสติ "ถ้ามีสติ จะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากให้ลูกหลานอยู่ที่นี่ ใครจะสร้างรัฐใหม่ ไปอยู่รัฐใหม่ เราไม่ไป เราจะอยู่รัฐเก่านี่แหละ"
เมื่อถูกเรียกร้อง-เป็นคนกลาง "ดร.สุเมธ" โยน-ย้อนกลับมา "สื่อนั่นแหละ คนกลาง ผมคาดหวังในพลังของ สื่อมาก ต้องนำมาใช้ในทางบวก ที่ผมพูดนี้พูดโดยบริสุทธิ์ใจ ผมเสนอว่า ควรเป็นสื่อ กู้ชาติ"
"ผมอยู่ตรงกลางจริง ๆ แดงก็ด่า เหลืองก็ด่า... อย่าพะวงว่าจะโดนด่า พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา โดนทำร้ายด้วย แล้วเราจะเหลืออะไร"
บ้านเมือง-กรุงรัตนโกสินทร์ จะรอดพ้นจากวิกฤตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอะไร "2 อำมาตย์" มีคำตอบ
ดร.สุเมธ : คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด
ดร.อักขราทร : การมีจริยธรรมก็คือ ต้องรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด ต้องยึดมั่นตรงนั้น และต้องยึดให้มั่น แม้ตัวเองจะเสียผลประโยชน์ ซึ่งตรงนี้แหละมันยาก เป็นเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ถ้าทำอย่างนี้ได้บ้านเมืองก็ไปรอด
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
คอลัมน์ มนุษย์การเมือง
โดย อิศรินทร์ หนูเมือง
*************************************************
ทำไมเราจึงต้องทำความเข้าใจคนเสื้อแดง
ประภาส ปิ่นตบแต่ง
“บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”
(กวีศรีรัตนโกสินทร์, มติชนสุดสัปดาห์)
“เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย”
(พิธีกรสถานีโทรทัศน์เสื้อเหลืองช่องหนึ่ง)
“คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”
(องค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ท่านหนึ่งบนเวทีพันธมิตรฯ)
ฯลฯ
คำกล่าวประณามดูถูก เหยียดหยาม พี่น้องเสื้อแดงของบรรดาองค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ คนชั้นกลางในเมือง ฯลฯ ซึ่งได้ลดทอนความเป็นคน การสร้างความเป็นคนอื่นในแก่ผู้คนในชนบทเป็นสิ่งที่เราได้ยินมาตลอดระยะเวลาในช่วงสงครามสี 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ และคงเป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้เราต้องมาช่วยกันทำความเข้าใจคนเสื้อแดง
ประเด็นที่จะพูดทั้งหมดคือ อย่าเข้าใจคนในชนบทด้วย “ทฤษฎีจูงวัวควาย”
การเคลื่อนไหวของชาวบ้านในชนบท คนจน คนรากหญ้า ฯลฯ ถูกครอบงำมายาวนานด้วยกรอบการอธิบายที่ขอเรียกว่า “ทฤษฎีจูงวัวควาย” ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากงานของ Riggs เรื่องรัฐราชการ (Bureaucratic Polity) ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1966 บางท่านเรียก ทฤษฎีอำมาตยาธิปไตย เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจทางการเมืองไทยอยู่ที่อำมาตย์หรือข้าราชการตลอดมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475
อีกชิ้นหนึ่งคือ งานของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง “สองนคราประชาธิปไตย” ที่มองว่าคนชนบทซึ่งมีจำนวนมากเป็นพวกไพร่ มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย คนพวกนี้จึงเป็นฐานเสียงผู้ตั้งรัฐบาลอัปรีย์ชน ส่วนคนในเมืองจำนวนน้อยแต่ฉลาด หลักแหลม ฯลฯ เป็นผู้ตรวจสอบ กำกับและล้มรัฐบาล
Riggs พบว่า สังคมไทยไม่องค์กรนอกภาครัฐ (Extra-Bureaucratic Polity) ประชาชนโดยทั่วไปมีลักษณะเฉื่อยชาทางการเมือง แต่งานของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง “มองการเมืองไทยผ่านองค์กรธุรกิจ” พบว่า ในช่วงตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นต้นมา ภาคธุรกิจได้เติบโตและเข้ามาแบ่งอำนาจทางการเมืองกับพวกอำมาตย์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจารย์เอนก พบว่า สังคมไทยเกิดองค์กรนอกภาครัฐขึ้นมาแล้ว แต่มีเพียงภาคธุรกิจเท่านั้นที่สามารถเข้ามาแบ่งอำนาจทางการเมืองและการตัดสินตกลงใจในกระบวนนโยบายสาธารณะมาจากรัฐราชการ
ส่วนชาวบ้านโดยเฉพาะในชนบท แม้จะมีการรวมกลุ่มก้อน หรือสังกัดเครือข่ายองค์กร แต่ก็มีลักษณะเป็นองค์กรจัดตั้งและกำกับโดยรัฐ หรืออยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์-ลูกน้อง ไม่ได้มีลักษณะเป็น “เสรีชน” ผู้ซึ่งหลุดพ้นจากวัฒนธรรมประเพณีที่ล้าหลัง เหมือนคนชั้นกลางในเมือง
งานเหล่านี้เป็นฐานทางวิชาการให้กับนักวิเคราะห์ทางการเมืองที่ใช้มองการเมืองของผู้คนในชนบทมายาวนาน และยังมีอิทธิพล ครอบงำ มาสู่การวิเคราะห์การเมืองของมวลชนที่กำลังขับเคี่ยวกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้
กรอบดังกล่าวนี้มองว่า ชาวบ้านในชนบทที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เพราะถูกลากพา หรือจูงจมูกเหมือนวันเหมือนควาย ไม่ว่าอธิบายแง่ไหน มุมไหน ยังไงคนพวกนี้ก็ยังถูกเข้าใจว่าเป็นไพร่วันยันค่ำ
ในมิติการเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง แม้ผู้คนเหล่านี้จะมาลงคะแนนเสียงด้วยสัดส่วนร้อยละที่สูงมาก แต่พวกเขามาลงคะแนนเลือกตั้งก็เพราะถูก “ลากพา” มาด้วยยุทธวิธีการขนคนของหัวคะแนน และแรงจูงใจด้านการซื้อสิทธิ-ขายเสียง
การเข้ามาร่วมเคลื่อนไหว ชุมนุม ก็เพราะมีพวกมือที่สามไปจ้างวานให้มาร่วมชุมนุม การเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับคนสีเสื้อไหนก็แล้วแต่ ก็เป็นเพราะถูกลากจูงมาด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ได้มาด้วยความคิดอุดมการณ์ หรือความเข้าใจในระดับนามธรรมที่สูงไปกว่าผลประโยชน์ที่มองเห็นได้ตรงหน้าเล็กๆ น้อยๆ
เหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวหรือแสดงบทบาททางการเมืองของผู้คนในชนบท ควรนำมาสู่การตั้งถามต่อกรอบการวิเคราะห์แบบทฤษฎีจูงวัวควายเสียที
ประการแรก ควรทำความเข้าใจสภาพความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นในชนบทว่า ได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงภาพของสังคมเกษตรกรรม กล่าวคือ ชีวิตต้องพึ่งพึงภายนอกทั้งด้านตลาด นโยบายการแก้ไขปัญหาหรือการช่วยเหลือสนับสนุนจากรัฐและองค์กรภายนอก รวมทั้งการดิ้นรนเข้าไปอยู่ในโรงงานหรือการพึ่งรายได้นอกภาพเกษตรกรรม ฯลฯ
สภาพเช่นนี้ ทำให้ผู้คนต้องเข้าไปสัมพันธ์การเข้าสังกัดกลุ่ม องค์กร รวมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือนโยบายสาธารณะทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพราะได้กลายเป็นเงื่อนไข/ปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอด
ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในชนบทก็คือ ผู้คนได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างใกล้ชิดแล้ว ดังจะเห็นได้ว่า ชาวบ้านเข้าสังกัดกลุ่มองค์กร และเครือข่ายการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย เช่น เครือข่ายหนี้สินชาวนา สมัชชาเกษตรรายย่อย สมัชชาคนจน ฯลฯ
รวมทั้งเข้าเข้าไปสังกัดกลุ่มองค์กรที่รัฐเข้าไปสนับสนุน ที่สำคัญคือ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากการสังกัดกลุ่มองค์กรในอดีต กล่าวคือ ไม่ได้มีลักษณะเป็นแบบกลุ่มที่จัดตั้งและควบคุมโดยรัฐ (state corporatism) ภาพของกลุ่มองค์กรที่มีบทบาทเพียงจัดแถวเตรียมต้อนรับหรือส่งข้าราชการชั้นสูงเริ่มหายหมดไปแล้ว
ประการที่สอง นโยบายสาธารณะ โครงการพัฒนาของรัฐ การจัดหรืออะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นทรัพยากรสำคัญเกี่ยวกับการผลิต และสภาพสวัสดิการ ฯลฯไม่ว่าจะเรียกประชานิยมชีวิตความเป็นอยู่หรือการทำมาหากินของผู้คน มีนัยสำคัญต่อสภาพดำรงชีพของผู้คน
แต่ผู้คนจะเข้าถึงได้ต้องเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับชุมชนด้วย เช่น เข้าสังกัดกลุ่มองค์กร เข้าไปสัมพันธ์กับหัวคะแนน ผู้ใหญ่บ้านกำนัน นายกอบต. ฯลฯ หรือมีความจำเป็นต้องเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
สิ่งเหล่านี้ จึงควรนำมาสู่ข้อสรุปใหม่เสียทีหรือไม่ว่า คนในชนบทเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และความรับรู้ทางการเมือง ตลอดจนท่าทีหรือความโน้มเอียงทางการเมือง และการเข้าไปมีส่วนในปฏิบัติการทางการเมือง ทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ
การเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองจึงไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นวัวเป็นควาย แต่เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งมีมาก่อนหน้าที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 4-5 ปีนี้แล้ว
การทำความเข้าใจเช่นนี้จึงนำไปสู่การแบ่งพวกเขา พวกเรา ด้วยการสร้างอารมณ์ของความเป็นอันหนึ่งเดียวของแต่ละฝ่ายได้ง่าย และจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระยะยาวที่จะยิ่งฝังลึกจนกลายเป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไข
ดังผลพวงของการมองคนชนบทเป็นคนอื่น การลดทอนความเป็นมนุษย์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่นำมาสู่การแรงเคลื่อนในการชุมนุมครั้งนี้อย่างชัดเจน ผู้คนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า เขามีตัวตน มีที่มีทางในสังคม โดยได้บุกเข้ามาเหยียบเมืองหลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ดังที่เราเห็นได้จากชุมนุมตั้งแต่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา
ที่มา.konthaiuk
*************************************************
“บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”
(กวีศรีรัตนโกสินทร์, มติชนสุดสัปดาห์)
“เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย”
(พิธีกรสถานีโทรทัศน์เสื้อเหลืองช่องหนึ่ง)
“คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”
(องค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ท่านหนึ่งบนเวทีพันธมิตรฯ)
ฯลฯ
คำกล่าวประณามดูถูก เหยียดหยาม พี่น้องเสื้อแดงของบรรดาองค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ คนชั้นกลางในเมือง ฯลฯ ซึ่งได้ลดทอนความเป็นคน การสร้างความเป็นคนอื่นในแก่ผู้คนในชนบทเป็นสิ่งที่เราได้ยินมาตลอดระยะเวลาในช่วงสงครามสี 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ และคงเป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้เราต้องมาช่วยกันทำความเข้าใจคนเสื้อแดง
ประเด็นที่จะพูดทั้งหมดคือ อย่าเข้าใจคนในชนบทด้วย “ทฤษฎีจูงวัวควาย”
การเคลื่อนไหวของชาวบ้านในชนบท คนจน คนรากหญ้า ฯลฯ ถูกครอบงำมายาวนานด้วยกรอบการอธิบายที่ขอเรียกว่า “ทฤษฎีจูงวัวควาย” ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากงานของ Riggs เรื่องรัฐราชการ (Bureaucratic Polity) ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1966 บางท่านเรียก ทฤษฎีอำมาตยาธิปไตย เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจทางการเมืองไทยอยู่ที่อำมาตย์หรือข้าราชการตลอดมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475
อีกชิ้นหนึ่งคือ งานของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง “สองนคราประชาธิปไตย” ที่มองว่าคนชนบทซึ่งมีจำนวนมากเป็นพวกไพร่ มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย คนพวกนี้จึงเป็นฐานเสียงผู้ตั้งรัฐบาลอัปรีย์ชน ส่วนคนในเมืองจำนวนน้อยแต่ฉลาด หลักแหลม ฯลฯ เป็นผู้ตรวจสอบ กำกับและล้มรัฐบาล
Riggs พบว่า สังคมไทยไม่องค์กรนอกภาครัฐ (Extra-Bureaucratic Polity) ประชาชนโดยทั่วไปมีลักษณะเฉื่อยชาทางการเมือง แต่งานของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง “มองการเมืองไทยผ่านองค์กรธุรกิจ” พบว่า ในช่วงตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นต้นมา ภาคธุรกิจได้เติบโตและเข้ามาแบ่งอำนาจทางการเมืองกับพวกอำมาตย์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจารย์เอนก พบว่า สังคมไทยเกิดองค์กรนอกภาครัฐขึ้นมาแล้ว แต่มีเพียงภาคธุรกิจเท่านั้นที่สามารถเข้ามาแบ่งอำนาจทางการเมืองและการตัดสินตกลงใจในกระบวนนโยบายสาธารณะมาจากรัฐราชการ
ส่วนชาวบ้านโดยเฉพาะในชนบท แม้จะมีการรวมกลุ่มก้อน หรือสังกัดเครือข่ายองค์กร แต่ก็มีลักษณะเป็นองค์กรจัดตั้งและกำกับโดยรัฐ หรืออยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์-ลูกน้อง ไม่ได้มีลักษณะเป็น “เสรีชน” ผู้ซึ่งหลุดพ้นจากวัฒนธรรมประเพณีที่ล้าหลัง เหมือนคนชั้นกลางในเมือง
งานเหล่านี้เป็นฐานทางวิชาการให้กับนักวิเคราะห์ทางการเมืองที่ใช้มองการเมืองของผู้คนในชนบทมายาวนาน และยังมีอิทธิพล ครอบงำ มาสู่การวิเคราะห์การเมืองของมวลชนที่กำลังขับเคี่ยวกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้
กรอบดังกล่าวนี้มองว่า ชาวบ้านในชนบทที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เพราะถูกลากพา หรือจูงจมูกเหมือนวันเหมือนควาย ไม่ว่าอธิบายแง่ไหน มุมไหน ยังไงคนพวกนี้ก็ยังถูกเข้าใจว่าเป็นไพร่วันยันค่ำ
ในมิติการเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง แม้ผู้คนเหล่านี้จะมาลงคะแนนเสียงด้วยสัดส่วนร้อยละที่สูงมาก แต่พวกเขามาลงคะแนนเลือกตั้งก็เพราะถูก “ลากพา” มาด้วยยุทธวิธีการขนคนของหัวคะแนน และแรงจูงใจด้านการซื้อสิทธิ-ขายเสียง
การเข้ามาร่วมเคลื่อนไหว ชุมนุม ก็เพราะมีพวกมือที่สามไปจ้างวานให้มาร่วมชุมนุม การเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับคนสีเสื้อไหนก็แล้วแต่ ก็เป็นเพราะถูกลากจูงมาด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ได้มาด้วยความคิดอุดมการณ์ หรือความเข้าใจในระดับนามธรรมที่สูงไปกว่าผลประโยชน์ที่มองเห็นได้ตรงหน้าเล็กๆ น้อยๆ
เหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวหรือแสดงบทบาททางการเมืองของผู้คนในชนบท ควรนำมาสู่การตั้งถามต่อกรอบการวิเคราะห์แบบทฤษฎีจูงวัวควายเสียที
ประการแรก ควรทำความเข้าใจสภาพความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นในชนบทว่า ได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงภาพของสังคมเกษตรกรรม กล่าวคือ ชีวิตต้องพึ่งพึงภายนอกทั้งด้านตลาด นโยบายการแก้ไขปัญหาหรือการช่วยเหลือสนับสนุนจากรัฐและองค์กรภายนอก รวมทั้งการดิ้นรนเข้าไปอยู่ในโรงงานหรือการพึ่งรายได้นอกภาพเกษตรกรรม ฯลฯ
สภาพเช่นนี้ ทำให้ผู้คนต้องเข้าไปสัมพันธ์การเข้าสังกัดกลุ่ม องค์กร รวมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือนโยบายสาธารณะทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพราะได้กลายเป็นเงื่อนไข/ปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอด
ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในชนบทก็คือ ผู้คนได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างใกล้ชิดแล้ว ดังจะเห็นได้ว่า ชาวบ้านเข้าสังกัดกลุ่มองค์กร และเครือข่ายการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย เช่น เครือข่ายหนี้สินชาวนา สมัชชาเกษตรรายย่อย สมัชชาคนจน ฯลฯ
รวมทั้งเข้าเข้าไปสังกัดกลุ่มองค์กรที่รัฐเข้าไปสนับสนุน ที่สำคัญคือ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากการสังกัดกลุ่มองค์กรในอดีต กล่าวคือ ไม่ได้มีลักษณะเป็นแบบกลุ่มที่จัดตั้งและควบคุมโดยรัฐ (state corporatism) ภาพของกลุ่มองค์กรที่มีบทบาทเพียงจัดแถวเตรียมต้อนรับหรือส่งข้าราชการชั้นสูงเริ่มหายหมดไปแล้ว
ประการที่สอง นโยบายสาธารณะ โครงการพัฒนาของรัฐ การจัดหรืออะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นทรัพยากรสำคัญเกี่ยวกับการผลิต และสภาพสวัสดิการ ฯลฯไม่ว่าจะเรียกประชานิยมชีวิตความเป็นอยู่หรือการทำมาหากินของผู้คน มีนัยสำคัญต่อสภาพดำรงชีพของผู้คน
แต่ผู้คนจะเข้าถึงได้ต้องเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับชุมชนด้วย เช่น เข้าสังกัดกลุ่มองค์กร เข้าไปสัมพันธ์กับหัวคะแนน ผู้ใหญ่บ้านกำนัน นายกอบต. ฯลฯ หรือมีความจำเป็นต้องเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
สิ่งเหล่านี้ จึงควรนำมาสู่ข้อสรุปใหม่เสียทีหรือไม่ว่า คนในชนบทเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และความรับรู้ทางการเมือง ตลอดจนท่าทีหรือความโน้มเอียงทางการเมือง และการเข้าไปมีส่วนในปฏิบัติการทางการเมือง ทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ
การเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองจึงไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นวัวเป็นควาย แต่เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งมีมาก่อนหน้าที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 4-5 ปีนี้แล้ว
การทำความเข้าใจเช่นนี้จึงนำไปสู่การแบ่งพวกเขา พวกเรา ด้วยการสร้างอารมณ์ของความเป็นอันหนึ่งเดียวของแต่ละฝ่ายได้ง่าย และจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระยะยาวที่จะยิ่งฝังลึกจนกลายเป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไข
ดังผลพวงของการมองคนชนบทเป็นคนอื่น การลดทอนความเป็นมนุษย์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่นำมาสู่การแรงเคลื่อนในการชุมนุมครั้งนี้อย่างชัดเจน ผู้คนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า เขามีตัวตน มีที่มีทางในสังคม โดยได้บุกเข้ามาเหยียบเมืองหลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ดังที่เราเห็นได้จากชุมนุมตั้งแต่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา
ที่มา.konthaiuk
*************************************************
กรรมการสิทธิฯ ชมทุกฝ่ายร่วมกันทำให้การชุมนุมสงบ

ศาสตราจารย์อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นัดพิเศษ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2553 ว่า กสม. ได้ปรึกษาหารือ โดยทำการประเมินสถานการณ์การชุมนุมสาธารณะ พิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการชุมนุมซึ่งร้องมายัง กสม. ตลอดจนทิศทางของ กสม. ในฐานะที่ทำหน้าที่เชื่อมกลไกต่าง ๆ ในสังคมมาหาทางออกจากวิกฤตร่วมกัน ที่ประชุมได้เห็นพ้องต้องกันว่า
๑) ขอแสดงความชื่นชมผู้ชุมนุม และรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ช่วยกันเฝ้าระวังติดตาม กำกับให้การชุมนุมเป็นไปด้วยดี โดยไม่เกิดความรุนแรง
๒) กสม. จะทำการรวบรวม วิเคราะห์ และศึกษา ข้อเรียกร้องที่กระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของผู้ชุมนุม ที่มีต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหาความเดือดร้อนของผู้ชุมนุมและประชาชน เพื่อหาทางออกของสังคมร่วมกันต่อไป
๓) เรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุม ที่แต่ละฝ่ายร้องมาที่ กสม. นั้น กสม.จะตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ โดยมีประธาน กสม. เป็นประธาน และกำลังทาบทามบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากสังคม เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
๔) เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมครั้งนี้มีความซับซ้อน อ่อนไหว และเปราะบาง ดังนั้น ทิศทางการดำเนินการของ กสม. ต่อไป จะต้องเป็นมติของคณะกรรมการทั้งชุดเท่านั้น
*************************************************
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553
ทักษิณปูดรัฐบาลเตรียมจับตัวแกนนำ นปช.
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิ้งค์มายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่า จากการสืบทราบ และจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เห็นสัญญาณชัดว่าพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ฟัง แต่แนวโน้มจะเล่นงานพวกเรามากกว่า ตอนที่ออกมาเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ต้องถามว่าพี่น้องจะอยู่ปกป้องและสู้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า ตนได้ข่าวมาว่าสองสามวันนี้จะมีการจับตัวแกนนำ พี่น้องจะปล่อยให้จับแกนนำหรือเปล่า นอกจากนี้สิ่งที่ประหลาด คือ นายกฯไปอยู่ในค่ายทหาร และทหารไปอยู่ในทำเนียบรัฐบาลแทน ดังนั้งสิ่งที่ตนต้องถามนายอภิสิทธิ์ว่าจะไปเป็นคอมแมน หรือจะไปถูกจองจำโดยทหาร สิ่งที่ตนรู้รู้ตอนนี้ คือ นายอภิสิทธิ์ไปติดนิสัยเผด็จการมาจากทหารมาเยอะ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
อาจารย์ มธ.ร้องสอบ"สุเทพ"รับข้อมูลCIAดักฟังโทรศัพท์ทักษิณ
นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารยย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับผ่านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ถึงนายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสมชาย เพศประเสริฐ ประธานกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ดำเนินการทางรัฐสภาตรวจสอบ กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายมั่นคง อ้างว่าได้รับข้อมูลข่าวกรองจาก CIA สหรัฐอเมริกา ซึ่งดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ก่อวินาศกรรมในประเทศไทยระหว่างการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
นายวรพล กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาและการตรวจค้นข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน CIA ซึ่งไม่เป็นความลับ พบว่า 1.ความเป็นไปได้ที่ CIA จะดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นศูนย์ เพราะการดักฟังโทรศัพท์ของประเทศสหรัฐฯ มีกฎหมายรองรับ ต้องขออนุมัติจากผู้อำนวยการ CIA และประธานาธิบดี ขณะที่การดักฟังโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือข่ายเกี่ยวข้องความั่นคง เช่น การดักฟังโทรศัพท์เครือข่ายบิน ลาเดน ดังนั้นการดักฟังถ้ากระทำโดยผิดกฎหมายจะส่งให้ประธานาธิบดี ถูกถอดถอนได้เหมือนกรณีคดีวอเตอร์เกท
การกล่าวของนายสุเทพจึงไม่มีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้มีการดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากจะมีการดักฟังจริงถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่ประเทศไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และ 2. ถ้ามีการดักฟังโทรศัพท์จริงและอ้างว่าหน่วยข่าวกรองส่งข่าวให้นายสุเทพทราบ อยากทราบว่านายสุเทพ มีอำนาจตามกฎหมาย หรือระเบียบใดของไทยที่จะดำเนินการดังกล่าว และมีข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฯ ใดที่ให้อำนาจนักการเมืองขอความร่วมมือเชิงจารกรรมกับ CIA ซึ่งเรื่องนี้ล่อแหลมในการดำเนินการ จึงต้องการให้นายสุเทพ ออกมาชี้แจงด้วยโดยไม่ได้ขอให้เปิดเผยที่ได้มาจาก CIA ถ้าจะอ้างว่าข้อมูลเป็นความลับ แต่ต้องการให้นายสุเทพ ชี้แจงว่ามีอำนาจตามกฎหมายและระเบียบใดของไทย รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฉบับไหนที่ให้อำนาจ
ด้านนายพร้อมพงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 23 มีนาคมนี้ ตนเองในฐานะที่ปรึกษา ประธานกรรมาธิการทหาร สภา ฯ จะนำหนังสือของนายวรพล ส่งให้นายสมชาย ประธานกรรมาธิการทหาร ดำเนินตรวจสอบเรียกนายสุเทพ สอบถามและชี้แจงต่อไป พร้อมกันนี้จะส่งหนังสือถึงประธานกรรมาธิการทหาร ประเทศสหรัฐด้วย
ที่มา.เนชั่นออนไลน์
*************************************************
นายวรพล กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาและการตรวจค้นข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน CIA ซึ่งไม่เป็นความลับ พบว่า 1.ความเป็นไปได้ที่ CIA จะดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นศูนย์ เพราะการดักฟังโทรศัพท์ของประเทศสหรัฐฯ มีกฎหมายรองรับ ต้องขออนุมัติจากผู้อำนวยการ CIA และประธานาธิบดี ขณะที่การดักฟังโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือข่ายเกี่ยวข้องความั่นคง เช่น การดักฟังโทรศัพท์เครือข่ายบิน ลาเดน ดังนั้นการดักฟังถ้ากระทำโดยผิดกฎหมายจะส่งให้ประธานาธิบดี ถูกถอดถอนได้เหมือนกรณีคดีวอเตอร์เกท
การกล่าวของนายสุเทพจึงไม่มีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้มีการดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากจะมีการดักฟังจริงถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่ประเทศไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และ 2. ถ้ามีการดักฟังโทรศัพท์จริงและอ้างว่าหน่วยข่าวกรองส่งข่าวให้นายสุเทพทราบ อยากทราบว่านายสุเทพ มีอำนาจตามกฎหมาย หรือระเบียบใดของไทยที่จะดำเนินการดังกล่าว และมีข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฯ ใดที่ให้อำนาจนักการเมืองขอความร่วมมือเชิงจารกรรมกับ CIA ซึ่งเรื่องนี้ล่อแหลมในการดำเนินการ จึงต้องการให้นายสุเทพ ออกมาชี้แจงด้วยโดยไม่ได้ขอให้เปิดเผยที่ได้มาจาก CIA ถ้าจะอ้างว่าข้อมูลเป็นความลับ แต่ต้องการให้นายสุเทพ ชี้แจงว่ามีอำนาจตามกฎหมายและระเบียบใดของไทย รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฉบับไหนที่ให้อำนาจ
ด้านนายพร้อมพงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 23 มีนาคมนี้ ตนเองในฐานะที่ปรึกษา ประธานกรรมาธิการทหาร สภา ฯ จะนำหนังสือของนายวรพล ส่งให้นายสมชาย ประธานกรรมาธิการทหาร ดำเนินตรวจสอบเรียกนายสุเทพ สอบถามและชี้แจงต่อไป พร้อมกันนี้จะส่งหนังสือถึงประธานกรรมาธิการทหาร ประเทศสหรัฐด้วย
ที่มา.เนชั่นออนไลน์
*************************************************
ความเป็นอิสระของตุลาการกับหลักนิติรัฐ
.jpg)
ความเป็นอิสระของตุลาการถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติรัฐและเป็นหลักค้ำจุนที่สำคัญของความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย หลักความเป็นอิสระของตุลาการนั้นหมายความว่า ตุลาการต้องเป็นอิสระทั้งจากภายนอก คือจากฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารรวมทั้งอิสระจากฝ่ายตุลาการด้วยกันเอง กล่าวคือ การพิจารณาคดีของผู้พิพากษาจะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตุลาการที่อาวุโสกว่าหรือผู้บังคับบัญชา ความเป็นอิสระของตุลาการนั้นสำคัญมาก และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผู้พิพากษาจะต้องวางตนให้เป็นที่ยอมรับหรือไว้วางใจของคนทั้งสังคม
หากวิญญูชนตั้งข้อสงสัยหรือเคลือบแคลงในตัวผู้พิพากษาท่านใดท่านหนึ่งหรือสงสัยต่อสถาบันแล้วก็อาจเป็นผลเสียแก่องค์กรตุลาการเองได้ ความไว้วางใจต่อองค์กรตุลาการว่าเป็นองค์กรที่จะอำนวยความยุติธรรมนั้นสำคัญมากและเป็นสิ่งที่จะต้องแสดงต่อสังคมให้ปรากฏชัดดังคำกล่าวของผู้พิพากษาอังกฤษนามว่า Lord Hewart ได้กล่าวไว้ในคดี R v Suusex Justice ex p McCharty [1924] คดีนี้มีข้อเท็จจริงย่อว่า นายแมคคาร์ธี คนขับมอร์เตอร็ไซด์ได้ขับรถโดยประมาท ซึ่งได้ถูกดำเนินคดี ปรากฎว่าจ่าศาลท่านหนึ่งซึ่งมีส่วนร่วมในการพิจาณาคดีของนายแมคคาร์ธีได้เป็นสมาชิกของสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายแห่งหนึ่งโดยที่นายแมคคาร์ธีไม่ทราบ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นตัดสินให้นายแมคคาร์ธีมีความผิด แต่นายแมคคาร์ธีอุทธรณ์โดยต่อสู้ว่า คำพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ ผู้พิพากษาที่ตัดสินให้นายแมคคาร์ธีมีความผิดได้เบิกความว่า การที่ตนตัดสินให้นายแมคคาร์ธีมีความผิดนั้น ตนเองไม่เคยปรึกษาต่อจ่าศาลเลยเกี่ยวกับรูปคดี
อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา Herwart ได้กล่าวว่า "ผู้พิพากษามิเพียงแต่ต้องแสดงให้ปรากฏชัดต่อคู่ความว่าตนดำรงความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องแสดงให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกด้วยว่าตนเองได้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมด้วย" (...justice should not only be done, but should manifestly and undoubtedly be seen to be done.) จากคำกล่าวของ Lord Hewart จึงมีวลีติดปากในหมู่ผู้พิพากษาอังกฤษว่า "Not only must justice be done; it must also be seen to be done"
ประเด็นที่ควรมีการอภิปรายก็คือ การที่มีอดีตตุลาการ 1 ท่านและอีก2 ตุลาการไปนั่งที่บ้านแห่งหนึ่งนั้นมีผลกระทบต่อความไว้วางใจของสาธารณชนเพียงใด ขัดกับหลักความเป็นอิสระของตุลาการหรือจริยธรรมของตุลาการหรือไม่อย่างไร1
-----
1 ในประมวลจริยธรรมของตุลาการข้อ ๑ กล่าวว่า "หน้าที่สำคัญของผู้พิพากษาคือ การประสาทความยุติธรรมเก่ผู้มีอรรถคดี…..ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน"
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ฟันธง ยังไม่มีแพ้-ชนะขณะนี้ เพราะเกมนี้ยาวไม่จบง่าย ๆ

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์แห่งสำนักท่าพระจันทร์ วิเคราะห์การเมือง หลัง มวลไพร่ เสื้อแดง บุกกรุง ยื่นข้อเสนอให้ รัฐบาล อภิสิทธิ์ ยุบสภา แต่ดูเหมือน ทั้งสองฝ่าย จะถือไพ่คนละใบ
การราดเลือดถูกบันทึกติดอันดับการประท้วงที่พิสดารที่สุดในโลก วันเสาร์ที่ผ่านมา ม็อบแดงเลื้อยไปทั่วกรุงเทพ บิ๊กจิ๋ว ลั่น นี่คือ ม็อบที่ยาวที่สุดในโลก พรุ่งนี้ ม็อบแดง จะทำลายสถิติอะไร อีก
ขณะที่ การเจรจาระหว่าง นายกฯ อภิสิทธิ์ และกลุ่มคนเสื้อแดง ยังเป็นแค่ การเล่นชั้นเชิง
"ดร.ชาญวิทย์" ให้สัมภาษณ์ ประชาชาติธุรกิจ ดังนี้
- วิเคราะห์ทางออกสถานการณ์การเมือง ที่แกนนำเสื้อแดงยื่นข้อเสนอต้องยุบสภาเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้ามองในแง่ดี คือคงจะมีการยุบสภาเพราะปริมาณและคุณภาพของฝ่ายเสื้อแดงน่าจะทำให้รัฐบาลหาทางออกให้กับสังคมด้วยการยุบสภาและเริ่มต้นไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จากนั้นคงมีการปฏิรูปการเมืองหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
แต่ถ้ามองในแง่ร้าย อาจจะมีการนองเลือดหรือมีเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่า "สงกรานต์เลือด" ในปีที่แล้ว เนื่องจากในปีนี้คงไม่มี "การเจ๊ากันไป" แค่นั้น และอาจมีการปราบปรามกำจัดบุคคลชั้นนำของฝ่ายเสื้อแดง
ในแง่นี้ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้สีแดงจะถูกปราบปรามไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ เช่นเดียวกับเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549 ที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ทำให้เรื่องจบ กระทั่งปีนี้ผ่านมาถึงปีที่ 4 แล้ว เรื่องยิ่งปานปลาย ฉะนั้นหากมีการปราบปรามกำจัดผู้นำบางคนก็จะยิ่งทำให้ทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ได้กำลังเพิ่มเติมยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะยุบสภาหรือมีการนองเลือดก็ไม่ได้ทำให้เรื่องจบในตอนนี้
- การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นปช.-เสื้อแดง แตกต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นในประวัติศาสตร์อย่างไร
ประเด็นที่เหมือนกันคือ เมื่อมีการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยาได้แล้ว ทักษิณไปอยู่ต่างประเทศเหมือนกับนายปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ แต่มีความแตกต่างตรงที่ยุคของทักษิณมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารกลับเข้ามาในประเทศและมีเงิน แต่คนรุ่นโน้นในปี 2475 เมื่อพระยาทรงสุรเดช หรือกระทั่งรัชกาลที่ 7 เมื่อทรงลี้ภัย สละราชสมบัติ ก็ไม่สามารถกลับมาได้ รวมทั้งนายปรีดี จอมพล ป. พล.ต.อ.เผ่า ก็กลับเมืองไทยไม่ได้
แต่ผมคิดว่าทักษิณและพรรคพวกเป็น สิ่งใหม่ในการเมืองไทย คือหลุดจากอำนาจไปแต่เรื่องก็ไม่จบ เพราะมี 1) เทคโนโลยี 2) เงิน และ 3) มีมวลชนจำนวนหนึ่งให้ความจงรักภักดีสนับสนุน ในแง่นี้การเมืองของเราไม่เหมือนที่เป็นมา เราจะได้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน
- มีการประเมินว่าปริมาณมวลชนที่มา รวมตัวกันเป็นจำนวนมากนั้น เพราะมีการจัดตั้งด้วยเงิน อาจารย์ประเมินอย่างไร
การเมืองก็ต้องมีการจัดตั้ง ซึ่งการจัดตั้งหรือการมีเงินเข้ามา ไม่ได้หมายความว่ามวลชนไม่มีพลัง ส่วนปรากฏการณ์พลังบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของมวลชนนั้น ในอดีตมีครั้งเดียวคือ เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เพราะถูกหลอกและถูกล้อมปราบเมื่อ 6 ตุลา 2519 นั่นเป็นครั้งเดียวที่มวลชนมาอย่างไร้เดียงสา
- ครั้งนี้มวลชนไม่ไร้เดียงสา ไม่ถูกหลอก
ส่วนปรากฏการณ์เดือนมีนาคม 2553 นี้ สำคัญมากในแง่ที่เรากำลังเดินมาถึงตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีการจัดตั้งที่เป็นระบบมาก ๆ ในการเข้ามาใช้เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครในการต่อรองอำนาจ ขณะเดียวกันก็มีคนเข้ามาร่วมมากอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึง และคนในส่วนบนของสังคมก็คาดไม่ถึงว่าจะมามากขนาดนี้
การเมืองที่เรารู้จักกัน หากไม่มีเงินก็ทำไม่ได้ การเมืองก็คือการเมือง เหตุการณ์ 14 ตุลา ผู้ใหญ่ไม่กล้าออกมาเล่น ทำให้เด็ก ๆ นักศึกษาหนุ่มสาวออกมาเล่น แต่ตอนนี้เด็ก ๆ บอกว่าการเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่...ก็ว่ากันไป
- มวลชนที่เข้าชุมนุมสมัยมีนาคม 2553 มีเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างไร
ผมคิดว่าการเมืองไทยได้ยกระดับมาก ๆ ในแง่ความรู้ ผมไม่เชื่ออย่างที่นักวิชาการเคยเชื่อกันว่า คนบ้านนอกคนชนบทชาวไร่ชาวนา โง่ แต่เราควรเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ว่า เขาไม่ยอมให้ถูกหลอกอีกต่อไปแล้วมากกว่า เพราะชาวบ้านเขารู้ทัน เขามี โทรศัพท์มือถือกันทุกบ้าน มีข้อมูลข่าวสาร เขาไม่ได้มีสภาพเป็นแบบที่เราเคยเชื่อกัน
เนื่องจากคนระดับล่างกำลังตื่นตัวและทวงสิทธิ สิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้คือ ลักษณะการต่อสู้ที่มีการชูคำ 2 คำ คือ คำว่า "ไพร่" และ "อำมาตย์" ถ้ามองแบบมาร์กซิสต์/ อาจบอกว่าเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น โดยการต่อสู้ครั้งนี้อาจไม่ใช่มาร์กซิสต์สกุลเหมาหรือเลนิน แต่ถูกแปลงให้เป็นไทย
เดิมทีคำว่า "ไพร่" มักจะถูกกวี นักเขียน นำมาใช้ แต่ไม่มีใครนำมาใช้ในความพยายามเข้าใจสังคมไทยว่าไพร่ คือสามัญชนคนทั่วไปที่กำลังเรียกสิทธิจากผู้ดี ชนชั้นสูง อภิสิทธิ์ชน ปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมาก จากเดิมที่ไพร่ถูกใช้ในแวดวงคนมีการศึกษา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง
- การต่อสู้ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องระหว่างคนชนบทกับคนในเมือง แต่เป็นเรื่องระหว่างไพร่กับคนชั้นสูง
เป็นการแบ่ง 2 ขั้วความจริงแล้วมีคนในเมืองจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเองมีฐานะเป็นคนชนบท และมีคนชนบทจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเองมีฐานะเป็นคนในเมือง ฉะนั้น คำอธิบายเรื่องคนชนบทกับคนเมืองอาจ ไม่พอ แต่ต้องอธิบายฐานะทางสังคม มากกว่าฐานะตามภูมิศาสตร์ว่าอยู่ตรงไหน
- รูปแบบการแพ้-ชนะของคนเสื้อแดงจะเป็นอย่างไร
ยังไม่มีแพ้-ชนะขณะนี้ เพราะเกมนี้ยาวไม่จบง่าย ๆ ถึงแม้หากมีการยุบสภาแล้วก็ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะจบ หรือหากมีการปราบปราม มีการนองเลือด มีคนดัง ๆ ตัวโต ๆ ถูกทำลายชีวิตแล้วเรื่องก็ยังไม่จบอยู่ดี
- ประเมินว่าระดับการชุมนุมครั้งนี้จัดว่า ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจได้หรือไม่
เหตุการณ์เดือนมีนาคม 2553 เป็น จุดหนึ่งของการขับเคลื่อนใน transition (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) โดยที่ transition อาจเป็น 100 ปีก็ได้ เพราะมีความพยายามของกระบวนการประชาธิปไตย มีความพยายามยึดอำนาจมาตั้งแต่ ร.ศ. 130 ต่อมามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นความเปลี่ยนแปลงที่มีมาเรื่อย ๆ หากพูดถึง 14 ตุลา 2516, พฤษภา 2535 การเกิดเหตุการณ์มีนา 2553 ก็อยู่ในกระบวนการทั้งหมดอันยาวนาน เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่บางครั้งใช้เวลาถึง 100 ปี
แต่เรามักหลอกตัวเองหรือมักถูกหลอกเสมอว่า ในอดีตเรามีความสมานฉันท์ ปรองดองสามัคคี โดยมองข้ามเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มองข้ามความขัดแย้งที่มีอยู่ในอดีต เช่น วังหลวงกับวังหน้า เมื่อเรามองข้ามเหตุการณ์เหล่านี้ เราจึงคิดว่าภาพในอดีตมีความปรองดอง
- ดังนั้น ความไม่เป็นเอกภาพของแกนนำเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นปัญหาหรือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี
ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากความคิดที่แตกต่าง ซึ่งไหลไปรวมกันที่จุดเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปในเหตุการณ์ 14 ตุลา คนก็คิดว่าเป็น unity (ความสามัคคี) แต่ความจริงไม่ใช่ และเหตุการณ์เคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์หลายครั้งทั้งในและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็มีความคิดที่แตกต่างกันในคนฝ่ายเดียวกัน
- ผู้ชุมนุมบางส่วนมีเป้าหมายสู้ให้ทักษิณกลับประเทศ บางส่วนต้องการจะโค่นอำมาตย์ เมื่อเป้าหมายแตกต่างขนาดนี้จะไหลไปรวมกันสู่จุดใด
ในประวัติศาสตร์ นักปฏิวัติมักจะมาทะเลาะกันเองหลังการต่อสู้จบแล้ว... สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ควรสู้ไปให้ถึงที่สุด ขออย่างเดียว อย่าใช้อาวุธฆ่ากัน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
****************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)