--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ดร.วรเจตน์ " ลั่น สังคม"นิติรัฐ" ต้องไม่ใช้ความเชื่อ ตัดสินลงโทษคน


ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ไม่ใช่ นายแบบโฆษณาแอร์หน้าร้อน แต่เป็นนักวิชาการที่จุดไฟ กลางพายุ เพื่อบอกกับสังคมว่า การทำลายทักษิณ เพียงคนเดียว โดยการทุบทำลายหลักกฎหมายทั้งหมด อาจได้ไม่คุ้มเสีย แล้วต่อไปจะเอาอะไรไปสอนหนังสือนักศึกษา เพราะสิ่งที่อยู่ในตำรา กับ การใช้กฎหมาย วันนี้ เป็นคนละเรื่อง !!!


คำพิพากษาศาลฎีกา คดียึดทรัพย์ ทักษิณ ศาลเขียนคำวินิจฉัยกลาง 187 หน้า ใช้เวลาอ่าน เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นานกว่า 7 ชั่วโมง
ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และเพื่อนนักวิชาการ เสียงข้างน้อย เขียนบทวิเคราะห์(วิจารณ์) คำพิพากษาศาลฎีกา 32 หน้า ใช้เวลาเขียนนานกว่า 7 วัน
ประชาชาติธุรกิจ อ่าน คำพิพากษาศาลฎีกา 187 หน้า แล้วอ่าน บทวิเคราะห์ของ ดร. วรเจตน์ อีก 32 หน้า
ก่อนไปสัมภาษณ์ ดร. วรเจตน์ บนชั้น 4 คณะนิติศาสตร์ สนทนากันตั้งแต่ 10 โมงเช้า ไปจนถึง 13.30 น.
ชั่วโมงนี้ อาจารย์ทั้ง 5 ถูกเหน็บแนมว่า องครักษ์พิทักษ์ จอมปลวก หรือว่าที่จริงแล้ว พวกเขาเป็น นักวิชาการผู้กล้าหาญ... ผู้กล้าจุดไฟกลางพายุ
ล่าสุด สิ้นเดือนนี้ ทนายทักษิณ ต้องยื่นอุทธรณ์ คดียึดทรัพย์ อันเป็นการต่อสู้ เฮือกสุดท้ายของอดีตนายกฯ อะไรคือ อุทธรณ์ อะไรคือ ข้อมูลใหม่ และอะไร คือ ความบกพร่องทางวิชาการของสังคมไทย ....ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้


@@@ อาจารย์จะภูมิใจหรือเสียใจ ถ้าบทวิเคราะห์ 32 หน้าของอาจารย์ไปปรากฏในคำอุทธรณ์ของคุณทักษิณ เกือบหมดเลย

ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่เป็นปัญหาของผมเลย นี่ผมบอกเลยนะครับ มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า มีการโพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ต ถามว่าทำไมไม่มาจ้างอาจารย์กลุ่มนี้ ...ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ได้ยุ่งกับคดีนี้ตั้งแต่แรก ไม่เคยเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผมทำให้กับสังคม
ความมุ่งหมายของผมมีอย่างเดียวคือ ผมต้องการให้สังคมเห็นอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีการพูดกัน เอาความรู้มาเถียงกัน ผมไม่อยากให้สังคมถูกพัดพาไปโดยกระแสในด้านเดียว เท่านั้นเอง และผมคิดว่าความจริงคือความจริง ความรู้คือความรู้ ไม่อยากให้ใช้ความเชื่อ ไม่อยากให้ใช้อคติ พูดก็พูดเถอะ ธรรมชาติประทานสติปัญญาให้เรา ประทานสมองให้เรา เราต้องคิด ต้องใช้มันให้มาก อคติไม่ต้องใช้มากเพราะสังคมไทยใช้มาเยอะแล้ว ซึ่งที่ผมพูดมา หรือที่กลุ่มห้าอาจารย์พูด เราพูดในเชิงกฎหมาย เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับคำพิพากษานี้ ไม่ได้สนับสนุนความชอบธรรมอะไรในทางการเมืองให้กับคุณทักษิณ เพราะคำพิพากษานี้เป็นเรื่องการขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ก็ต้องว่ากันตามเกณฑ์ทางกฎหมาย
เพราะเรื่องทางการเมือง ต้องประเมินอีกอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์อีกแบบหนึ่งเป็นคนละเกณฑ์กัน แต่นี่เรากำลังจะเอา 2 เกณฑ์มาเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่ใช่เรื่องที่ผมภูมิใจหรือไม่ภูมิใจ และมีคนถามว่านี่ผมช่วยคุณทักษิณหรือ? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณ ผมขอบอกว่า ถ้าจะดูช่วยไปดูที่เนื้อหา สังเกตไหมว่าแถลงการณ์เที่ยวนี้ เราพูดเรื่องรัฐประหารน้อยนะ ทั้งที่เป็นประเด็นใหญ่สุดเพราะเป็นต้นสายของทุกอย่างที่ตามมา หมายความว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นสืบทอดมาจากรัฐประหาร มันควรจะใช้ไม่ได้ แต่ที่พูดตรงนี้น้อย เพราะเราต้องการให้ดูเรื่องเนื้อหา เพราะมีการพูดกันว่าอย่าไปเถียงเรื่องรัฐประหารและเอาเป็นว่าถ้าเข้าสู่ระบบปกติมันผิดไหมอย่างไร
ผมก็เลยบอกว่าคุณลืมเรื่องรัฐประหารไปเลยก็ได้ คุณเริ่มต้นอ่านจากเนื้อหาในบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์เลย ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องรัฐประหารด้วย ผมไม่อยากให้ทุกคนว่าประเด็นพวกนี้เป็นเรื่องเทคนิค พอเป็นเรื่องเทคนิคแล้วคิดว่ายุ่งยากซับซ้อนแล้วเชื่อๆ ตามๆ กันไป ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น


@@@ในตอนที่ทักษิณ มีอำนาจก็อาจสั่งการโดยไม่ปรากฏหลักฐาน เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้เพราะทุกอย่างถูกควบคุมโดยทักษิณ ที่วางคนของตัวเองเอาไว้หมด แล้วอาจารย์อาจจะมองไม่เห็นสิ่งที่ทักษิณ สั่งรัฐมนตรี ให้ทำโครงการที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป
ผมคิดว่าความคิดแบบนี้อันตราย ถ้าเราใช้ "ความเชื่อ" ลงโทษคน จะเกิดอะไรขึ้น เช่น เชื่อว่าคนขี้ยาฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ทำ แต่คนเชื่อว่ามันฆ่าข่มขืนก็ให้ประหารชีวิตมันไป
ผมเชื่อในหลักการ และอยากจะบอกแบบนี้ว่า ภายใต้การต่อสู้ทางการเมืองที่มีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจำนวนมากเข้าร่วมวงต่อสู้ กลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มต่างต้องการช่วงชิงชัยชนะให้กับตัวเอง การต่อสู้ก็มีวิธีการหลายวิธี เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การให้ข้อมูลด้านเดียว การให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ต่างๆ เหล่านี้ทำกันมา คนคนหนึ่งอาจจะทำ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลของการโฆษณาชวนเชื่ออาจจะทำให้คนเชื่อว่าไอ้หมอนี่ทำ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเชื่อนั้นใช้ไม่ได้ในทางกฎหมาย ถ้าคุณจะเชื่ออย่างไรนั้นก็ว่ากันทางการเมือง
ถ้าคุณอยากจะยึดทรัพย์คุณทักษิณ คุณรัฐประหารล้มเขาแล้ว คุณออกประกาศยึดไปเลย ส่วนในอนาคตถ้าเขาจะกลับมาจะนิรโทษกรรมอะไร ก็เป็นเรื่องในอนาคตข้างหน้า แต่ถ้าจะใช้กระบวนการทางกฎหมาย ก็ต้องมีเหตุผล
ผมกำลังจะบอกว่า เรากำลังเอา 2 เรื่อง มาปนกัน เพราะการรัฐประหาร มันเป็นเรื่องอำนาจ เป็นเรื่องปืน รถถัง มันเถื่อนเพราะมันไม่จำเป็นต้องให้เหตุผล แต่กระบวนการยุติธรรม กระบวนการตามกฎหมาย มันใช้เหตุผล มันมีหลัก ใช้ความเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่อย่างงั้น ก็ไม่ต้องเรียนวิชานิติศาสตร์ ไม่อย่างงั้นผมก็ไปเรียนวิชายิงปืนสิ ผมจะมาเรียนกฎหมายทำไม และถ้าผมเชื่อว่าใครทำผิดผมก็ยิงมันเลย ถ้ามันชั่วนัก
ผมจะบอกว่าทั้ง 2 อย่างนี้ มันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไปด้วยกันไม่ได้ และถ้าเอามาผสมกันมันจะสร้างความเสื่อมให้กับตัวระบบ ที่เราสร้างขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำอะไร คุณก็ทำไปสิ ตั้งแต่ตอนที่คุณมีปืน ที่คุณคิดว่าทำด้วยความหวังดี ทั้งๆที่การรัฐประหารมันเป็นความเถื่อน แต่คุณคิดว่าต้องทำเพราะว่าไอ้ระบบธรรมดามันใช้ไม่ได้ คุณก็ให้เหตุผลไป ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องของผม แต่เมื่อเข้าสู่กลไกทางกฎหมาย เกิดระบบรัฐธรรมนูญ คุณต้องทำตามหลัก จะเอาความเชื่อมาใช้ไม่ได้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าที่เราเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ถูก นี่เราอยู่ในยุคของการพิสูจน์ยุคของเหตุผลนะครับ หรือว่าผมเข้าใจผิด ที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยู่ในยุคของเหตุผล



@@@ ประเด็นการอุทธรณ์คดียึดทรัพย์คุณทักษิณ มีแง่มุมมองทางวิชาการ หรือไม่

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เข้าใจและเป็นปัญหากลไกซ่อนรูปในรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายหลายคนก็มองไม่เห็น เราพูดเรื่องอุทธรณ์ ว่าพอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้ว มีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน ไปยังที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา หลายคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ บางคนก็บอกว่านี่ไงมีการประกันสิทธิเสรีภาพ เรื่องการอุทธรณ์ กระบวนการนี้เป็นธรรมเพราะเปิดให้มีการอุทธรณ์ไปยังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
แต่เรื่องนี้คนรู้น้อยมากว่าจริงๆแล้วมันใช่การอุทธรณ์หรือไม่ ไปถามในทางสากลจากนักกฎหมายในโลกนี้ทั้งโลก จะรู้ว่าที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550 นี่มันไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ แม้จะเขียนว่า"อุทธรณ์" ก็จริง แต่เนื้อหามันไม่ใช่ อันนี้มันซ่อนปมอีกอันหนึ่ง
เพราะสิ่งที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น เป็นลูกผสม ระหว่างการอุทธรณ์กับการขอให้พิจารณาใหม่ หรือการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ในทางกฎหมายแล้ว เรื่องทั้งสองเรื่องนี้มีหลักคิดที่ต่างกัน ยกตัวอย่างคดีอาญา มีบุคคลคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ต่อมาพนักงานสอบสวนก็สอบสวนมีการส่งเรื่องไปที่อัยการและอัยการฟ้องไปที่ศาล เมื่อมีการตัดสินคดีแล้วมีการอุทธรณ์ ฎีกา เมื่อศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกายืน คดีถึงที่สุดที่ศาลฎีกา
ต่อมาเมื่อเขาอยู่ในคุก พบพยานหลักฐานว่าเขาไม่ใช่คนกระทำความผิด ระบบกฎหมายจะเปิดช่องให้เขา ขอให้พิจารณาใหม่ หรือว่ารื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งการอุทธรณ์กับการขอให้พิจารณาใหม่มีความแตกต่างกัน เพราะการอุทธรณ์ คือการที่คู่ความในคดี ซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลในระดับล่าง โต้แย้งคำพิพากษาของศาลขึ้นไปยังศาลระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่า สามารถอุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย หรืออาจให้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายอันนี้แล้วแต่ระบบกฎหมายจะวางกลไกไว้
แต่ที่สำคัญที่ต้องเน้นก็คือการอุทธรณ์เป็นการเปิดโอกาสให้คู่ความได้โต้แย้งตัวคำพิพากษาของศาล โดยไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานใหม่ คือพยานหลักฐานอาจเป็นของเดิมทั้งหมดเลยก็ได้ แต่อุทธรณ์หรือโต้แย้งว่าศาลล่างตีความกฎหมายไม่ถูก หรือถ้าเป็นการยอมให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ก็โต้แย้งว่าการรับฟังข้อเท็จจริงมีความผิดพลาด นี่คือการโต้แย้งในประเด็นต่างๆที่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้ว หรือโต้แย้งประเด็นข้อกฎหมายขึ้นไปให้ศาลในระดับสูงกว่าตรวจสอบคำพิพากษาของศาลล่างว่าถูกต้องหรือไม่ นี่เรียกว่าการอุทธรณ์
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้อีกแล้ว คดีอาจถึงที่สุดในศาลฎีกา หรือศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้น หากไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกาขึ้นศาลสูงแล้วแต่กรณี เมื่อคดีมันจบ หลักก็คือ คำพิพากษาก็เสร็จเด็ดขาด ผูกพันคู่ความในคดี ทีนี้เป็นไปได้ว่าคำพิพากษาอาจผิดพลาด ซึ่งระบบกฎหมายที่ยอมรับหลักความยุติธรรม ต้องยอมรับว่ามันเกิดความผิดพลาดได้เวลาที่ศาลมีคำพิพากษา เพราะฉะนั้น ระบบกฎหมายอย่างนี้ แม้ด้านหนึ่งจะต้องรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงแน่นอนของคำพิพากษาของศาลซึ่งถึงที่สุดแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งระบบกฎหมายก็ต้องรักษาความยุติธรรมด้วย
ที่นี้จะรักษาความยุติธรรมยังไงให้ได้ดุลกับความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ คำตอบก็คือเขาก็จะเปิดช่องเอาไว้ว่าหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว มีการพบพยานหลักฐานใหม่ ว่าที่ศาลตัดสินไปนั้นไม่ถูก เขาก็จะเปิดโอกาสให้คนซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วนั้น ยื่นคำร้องรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่นี้ หลักในทางสากลคือ คดีอาจจบไปแล้ว กี่ปีก็ได้ แต่อาจจะจำกัดเวลาขั้นสูงไว้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่เกิน 3o ปี หรือไม่เกินระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีพยานหลักฐานใหม่ คุณต้องยื่นเสียอาจจะภายใน 30 วัน เช่น คดีจบ ไปแล้ว 5 ปี แล้วคุณพบพยานหลักฐานอันนี้ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด คุณก็นำไปยื่น เพื่อรื้อฟื้นคดีที่จบไปแล้วนั้นให้ศาลมาพิจารณาใหม่ ตรรกะจะเป็นแบบนี้ จะเห็นได้ว่าหลักการอุทธรณ์คำพิพากษา กับหลักการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ตั้งอยู่บนฐานคิดที่แตกต่างกัน มีเหตุผลรองรับไม่เหมือนกัน
แต่รัฐธรรมนูญไทย 50 ได้สร้างระบบประหลาดขึ้นมาซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นการสรรสร้างของคนร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ เขาบอกว่า คนที่ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปที่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน แต่ต้องปรากฏพยานหลักฐานใหม่ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่การอุทธรณ์ในความหมายแท้ๆ ที่ใช้ในทางกฎหมายและก็ไม่ใช่การขอให้พิจารณาใหม่ด้วย
ที่ผมบอกว่าไม่ใช่การอุทธรณ์ เพราะว่าคุณไปบีบเขาว่าเขาต้องมีพยานหลักฐานใหม่ภายใน 30 วันนี้ และคุณต้องมีพยานหลักฐานใหม่ มันก็เลยไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ เพราะการอุทธรณ์ในทางระบบที่รับกันทั่วไปในสากลไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่การรื้อฟื้นพิจารณาคดีใหม่ด้วยเพราะคุณไปจำกัดเขาว่าเขาต้องทำภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ไม่ใช่ 30 วันนับแต่วันที่พบพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจจะผ่านไป 5 ปี 10 ปี ก็ได้

@@@ หลักการอุทธรณ์ จึงมั่วๆ กันอยู่ระหว่าง 2 หลัก?
ถูกต้อง มันมั่วสุดๆเลยเลยไม่ใช่มั่วๆ กันอยู่แต่ มันไม่มีหลักอะไรเลยตรงนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดมากในทางระบบ อันนี้ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ เพราะที่พูดๆกันอยู่นี่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง นี่พูดจริงๆ หลายคนทำให้ผมรู้สึกว่ามีปัญหามากในทางความรู้ เพราะไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้วพูดไป ไม่อธิบายให้สุด อธิบายทำให้รัฐธรรมนูญ ๕๐ นี่ดูดีเท่านั้น ทำให้สังคมเข้าใจผิด หลักก็เสียหมด
ประเด็นคือ ถ้าเอาตามตัวบทลายลักษณ์อักษรนี่ ทนายความของคุณทักษิณ ต้องเจอหลักฐานใหม่ จึงจะสามารถอุทธรณ์ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นธรรมกับคนที่ถูกลงโทษ ดังนั้นถ้าหากจะประกาศต่อโลกว่าระบบกฎหมายไทยยอมให้อุทธรณ์ได้ก็ต้องไม่กำหนดเงื่อนไขเรื่องพยานหลักฐานใหม่ เพราะจะเป็นไปได้ยังไงที่บังคับให้เขาต้องหาพยานหลักฐานใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา ไม่ยังงั้นอย่าเที่ยวไปพูดกับใครๆว่ารัฐธรรมนูญ ๕๐ นี้เป็นธรรมแล้วเพราะยอมให้มีการอุทธรณ์ได้ ทั้งๆที่เอาเข้าจริงไม่ใช่เรื่องอุทธรณ์ แต่ทีนี้ครั้นจะสนับสนุนให้เขาอุทธรณ์เต็มที่ หรือแม้แต่อุทธรณ์เฉพาะในประเด็นข้อกฎหมาย คุณก็เกรงอีก เพราะศาลที่ตัดสินเป็นศาลฎีกาแล้ว ก็เลยเอาเป็นระบบมั่วๆ อย่างนี้มาในรัฐธรรมนูญมันเลยเป็นปัญหา อธิบายให้เป็นเหตุเป็นผลไม่ได้

@@@ เป็นประเด็นขอให้พิจารณาในเนื้อหา?
เรื่องแรกที่ต้องฝ่าด่านคือว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้าหากไปถึงที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ถ้ามีการอุทธรณ์ ศาลต้องดูว่ามีพยานหลักฐานใหม่หรือไม่ ตามถ้อยคำตามของตัวบท ซึ่งการเขียนรัฐธรรมนูญอย่างนี้ก็น่าเห็นใจคนที่เป็นผู้พิพากษาตุลาการในการตีความอยู่เหมือนกัน อันนี้จะไปโทษเขาไม่ได้ อันนี้เป็นปัญหาที่ต้นทางของรัฐธรรมนูญ ที่ออกแบบมาแบบนี้ คือออกแบบมาประหลาดแบบนี้ แต่ว่าเมื่อตัวบทเป็นอย่างนี้ ก็อยู่ที่ผู้พิพากษาแล้วว่าจะใช้ศิลปะการตีความยังไงให้รับกับหลักการและความเป็นธรรม อันนี้อยู่ที่การตีความคำว่าพยานหลักฐานใหม่แล้ว ว่าจะเข้าใจยังไง จะเข้าใจไปถึงพยานหลักฐานที่อ้างมาในชั้นต้นด้วย แต่ไม่ได้นำเข้าสู่การชั่งน้ำหนักในคำพิพากษาหรืออย่างน้อยไม่ปรากฏในคำพิพากษาด้วยหรือไม่ อันนี้น่าสนใจ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

เสื้อแดงเปิดเกมรุกต่อประกาศไล่กดดัน"มาร์ค"ทุกที่ เตรียมลุยชาติไทยพัฒนาถก"เติ้ง"ถอนตัวร่วมรบ.

เสื้อแดงเปิดเกมรุกต่อตามกดดันมาร์คทุกที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 18.30 น. วันที่ 20 มีนาคม แกนนำ นปช.เปิดแถลงข่าวถึงผลการเคลื่อนขบวนกลุ่มคนเสื้อแดงชักชวนให้คน กทม.มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การเคลื่อนขบวนครั้งนี้ที่เป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่เกิดเหตุรุนแรง ชี้ให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯก็ไม่พอใจรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน จึงอยากฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากอยากรักษาชีวิตทางการเมืองและไม่ต้องการเป็นนายกฯที่มีคนออกมาขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอให้ประกาศยุบสภาโดยเร็ว ส่วนที่มีกระแสข่าวการปาขวดน้ำ และเกิดการกระทบกระทั่งที่รุนแรงในระหว่างเคลื่อนขบวนไปจุดต่างๆ ใน กทม.ก็ไม่จริง

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า แกนนำจะประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การชุมนุมให้เข้มข้นมากขึ้น หลังจากนี้อาจมีการใช้มาตรการแบ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไปทุกที่ที่นายอภิสิทธิ์ไป ในจำนวนหลักหมื่นคน หากนายอภิสิทธิ์เคลื่อนไหวใน กทม.ก็จะแบ่งกลุ่มจากผู้ชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศคอยตามนายอภิสิทธิ์ทุกที่ แต่หากไปต่างจังหวัดก็จะระดมคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดกดดันนายอภิสิทธิ์

แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ส่วนการเดินทางไปพรรคชาติไทยพัฒนาวันที่ 21 มีนาคม เพื่อขอหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ในการเรียกร้องให้พรรคถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลนั้น ยังไม่มีข้อสรุป

"วีระ"โวคนกรุงหนุนคนเสื้อแดงลั่นรัฐบาลยุบสภาได้แล้ว

นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวบนเวทีปราศรัยคนเสื้อแดง วันที่ 20 มีนาคมถึงภาพรวมในการเคลื่อนไหวทั่วกทม.ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าภาพรวมการเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะมีคนมาร่วมมาก ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนขบวนไปทั้งหมดในคราวเดียวได้ และต้องแยกขบวนออกเป็น 2 ส่วนตลอดเส้นทางก็ได้รับการต้อนรับจากคนกทม.เป็นอย่างดี 90-99 % ประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลควรตัดสินใจเรื่องยุบสภาได้แล้ว

นายวีระ กล่าวว่า ในวันที่ 21 มีนาคม มีความคิดว่า ถ้าคนเสื้อแดงหายเหนื่อยแล้วอยากขอกำลังประชาชนประมาณ 2,000 คน เดินทางไปยังพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อไปถามนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือตัวแทนของพรรค ว่า จะยินดีทำเพื่อประชาชนหรือไม่ และถามว่าทำไมตอนนี้ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีเกียรติ ยังจะรักษาเกียรติของคนที่เคยทำประชาธิปไตยมาหรือไม่ โดยจะมีการประชุมแกนนำอีกครั้งเพื่อแถลงให้ประชาชนทราบต่อไป

ขณะที่ขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ค้างอยู่ตามถนนสายต่างๆก็ได้ทยอยเดินทางกลับมารวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ

เสื้อแดงกลับถึงสะพานผ่านฟ้าแล้วเตรียมประกาศชัยชนะ6โมงเย็น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วันที่ 20 มีนาคม ขบวนดาวฤกษ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนได้เดินทางกลับถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น.จะแถลงข่าวประกาศชัยชนะขอการเคลื่อนพลต่อไป

หัวขบวนเสื้อแดงถึงสะพานกรุงเทพฯท้ายอยู่ที่แยกคลองตัน

เวลา 15.10 น.ขบวนแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายจตุพร พรมหพันธุ์ แกนนำเป็นหัวขบวนได้เคลื่อนไปถึงสะพานกรุงเทพฯเพื่อข้ามฝั่งไปธนบุรีเข้าสู่วงเวียนใหญ่ ส่วนท้ายขบวนนำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อยู่ที่แยกคลองตัน มุ่งหน้าเข้าสุขุมวิท 71

ทั้งนี้มีเฮลิคอปเตอร์บินวนสำรวจขบวนคนเสื้อแดงอย่างใกล้ชิด

"จตุพร"ขอบคุณคนกรุงฯให้ความร่วมมือดี จี้"มาร์ค"ยุบสภาได้แล้ว

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 20 มี.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ทางช่องพีเพิลชาแนล ขณะผ่านบริเวณคลองเตยว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองที่ต้องการให้เปลี่ยนผ่าน ต้องการให้ยุบสภาคืนอำนาจแก่ประชาชน ทั้งนี้ ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดี

"ผมขอคารวะหัวใจของพี่น้องชาวกทม.ทุกคน เราต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ เพราะเราถูกปกครองอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยมา 3 ปีติดต่อกัน" นายจตุพรกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ว่า

เมื่อเวลา 14.00 น. หัวขบวนรถของกลุ่มเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนถึงหน้าตลาดคลองเตย ถ.พระราม4 มุ่งหน้าเข้าถ.สีลม โดยการจราจรเคลื่อนตัวได้เล็กน้อย ขณะที่รถบรรทุกของแกนนำเพิ่งผ่านหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3

เวลา 11.51 น. หัวขบวนรถของกลุ่มเสื้อแดง ได้เคลื่อนมาถึงห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ แล้ว โดยมีประชาชนมารอให้กำลังใจอย่างคับคั่ง ทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวเริ่มติดขัด

เวลา 11.30 น. หัวขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเลี้ยวขวาเข้าถ.ลาดพร้าวแล้ว ขณะที่สองข้างทางมีผู้สนับสนุนออกมาโบกมือให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

เวลา 11.10 น. ขบวนของผู้ชุมนุมเดินทางถึงถ.รัชดาภิเษก ผ่านหน้าอาคารฟอร์จูน และบริษัทไทยประกันชีวิต มุ่งหน้าถ.ลาดพร้าว ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตชั่วคราว

เวลา 10.40 น. หัวขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเดินทางถึงแยกเพชรบุรี-อโศกแล้ว โดยได้บีบแตรเสียงดังสนั่นถนน

เวลา 10.30 น. คนเสื้อแดงเดินทางถึงประตูน้ำ ถ.เพชรบุรี

เวลา 10.15 น. ขบวนคนเสื้อแดงได้เดินทางผ่านแยกยมราช เข้าถ.เพชรบุรีแล้ว ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้ช่องทางทั้งขาเข้าและขาออกบางส่วน ทำให้การจราจรบริเวณดังกล่าวติดขัดเป็นอย่างมาก

แดงเริ่มเคลื่อนขบวนรอบกทม.แล้ว "เหวง"ย้ำอหิงสาไม่ตอบโต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ว่า กลุ่มเสื้อแดงได้รวมตัวกันขบวนใหญ่บริเวณสะพานผ่านฟ้า โดยมีรถจักรยานยนต์นำหน้าขบวน จากนั้นเป็นกลุ่มรถยนต์และรถบรรทุกของแกนนำ ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงได้อัญเชิญรูปหล่อพระนเรศวรมหาราชขึ้นบริเวณรถด้วย โดยเรียกตัวเองว่า "ขุนศึกองค์ดำ" ก่อนออกเดินทางไปตามถนนต่างๆ รอบกรุงเทพฯ ในเวลา 10.00 น. อย่างไรก็ตาม ตลอดทางที่เสื้อแดงจะผ่านได้มีกลุ่มเสื้อแดงตั้งขบวนรอสมทบอีกด้วย

ขณะที่นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวบนเวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้า ว่า วันนี้ที่เราเดินขบวนเราจะทำ 3ไม่ คือ ไม่โกรธ ไม่รุนแรงและไม่ตอบโต้ รวมทั้ง 3 ส่ง คือ ส่งยิ้ม ส่งความรักและส่งความสุขให้ชาวกรุงเทพฯ

จากนั้นเวลา 09.50 น. นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงได้ขึ้นรถบรรทุกหัวขบวนนำขบวนคนเสื้อแดงออกเดินทางรอบกรุงเทพฯ แล้ว

แดงงดผ่านจรัญฯ-รพ.ศิริราช แกนนำหวั่นสร้างสถานการณ์ป้ายสี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ได้งดเคลื่อนขบวนผ่านเส้นทาง ถ.จรัญสนิทวงศ์-สะพานพระปิ่นเกล้าแล้ว เนื่องจากใกล้โรงพยาบาลศิริราช โดยแกนนำระบุว่าไม่ต้องการให้เกิดการสร้างสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมาประกาศต่อเนื่องว่าจะไม่มีการชุมนุมรอบโรงพยาบาลศิริาช

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ในระหว่างกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนรอบกรุงฯ ซึ่งแกนนำจะพยายามหาทางป้องกัน

ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

ตรวจเรือเหาะทบ. ส่อเค้าของ‘มือสอง’


ยังคงมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของโครงการจัดซื้อ "เรือเหาะตรวจการณ์" เพื่อใช้ในภารกิจแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลถึงราคาเรือเหาะที่แพงเกินจริง เพราะบริษัท กันตนา กรุ๊ป ซื้อมาถ่ายทำภาพยนตร์ในราคาเพียง 30 ล้านบาท
แต่ของกองทัพบกซื้อในราคาถึง 350 ล้านบาท จากข้อมูลพบว่า...กองทัพบกโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในฐานะที่

ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ใช้งบประมาณจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ทำสัญญาซื้อ “ระบบเรือเหาะตรวจการณ์” จาก บริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชันโดยเรือเหาะลำนี้ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น Aeros 40D S/N 21 หรือ สกาย ดรากอน (SKY DRAGON)ขณะเดียวกัน มีข้อสังเกตจากบุคคลในแวดวงธุรกิจเรือเหาะว่า ราคาเรือเหาะที่กองทัพจัดซื้อน่าจะแพงเกินไป เพราะเรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย ที่นำเข้าและจด

ทะเบียนก่อนที่กองทัพจะจัดซื้อ และมีขนาดใกล้เคียงกับเรือเหาะ “สกาย ดรากอน” นั้น มีราคาเพียง 30-35 ล้านบาทเท่านั้นเอง"เรือเหาะที่มีขนาดใกล้เคียงกับที่กองทัพจัดซื้อมากที่สุด คือเรือเหาะลำที่บริษัทแอร์ชิป เอเซีย นำเข้ามา โดยมีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ ราคาราว 30-35 ล้านบาทเท่านั้น"แหล่งข่าวซึ่งอยู่ในวงการธุรกิจเรือเหาะ อธิบายต่อว่า เรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย มีขนาดยาว 34 เมตร ขณะที่ของกองทัพ ตามสเปคที่นำเสนอสู่สาธารณะก่อนหน้านี้ มี

ขนาดยาว 47.35 เมตร ซึ่งก็ถือว่าไม่ใหญ่กว่ากันมากนัก แต่ราคาเฉพาะตัวบอลลูนกลับสูงถึง 230-260 ล้านบาทเรือเหาะ 1 ลำมีองค์ประกอบ 2 ส่วนหลักๆ คือตัวบอลลูน กับส่วนที่เป็นห้องนักบินติดเครื่องยนต์ ซึ่งเรือเหาะทุกลำจะมีเหมือนกันหมด ส่วนกล้องตรวจการณ์จะเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก จากเอกสารที่กองทัพเคยเปิดเผยออกมาระบุว่าเฉพาะตัวเรือบอลลูนมีราคา 260 ล้านบาท แต่เท่าที่ทราบในวงการที่พูดกันคือ 230 ล้านบาท ก็เท่ากับแพงกว่าเรือเหาะของแอร์

ชิป เอเซีย ถึง 200 ล้าน จึงมีเสียงวิจารณ์กันในหมู่คนที่รู้เรื่องเรือเหาะว่า ทำไมถึงเอากำไรกันมากมายขนาดนี้ทั้งนี้ แม้จากข้อมูลจะค่อนข้างชัดเจนว่า เรือเหาะของกองทัพไม่ได้ซื้อต่อจากบริษัทในประเทศ แต่ในวงการธุรกิจเรือเหาะก็ยังตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเรือเหาะที่ผลิตขึ้นใหม่จริงหรือไม่การผลิตเรือเหาะแต่ละลำจะต้องมีการขึ้นทะเบียนว่าผลิตปีไหน อย่างไร เรือเหาะที่กองทัพบกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่จริงต้องมีหลักฐานการขึ้นทะเบียน ถ้าไม่ใช่ของใหม่ก็ตรวจสอบได้ที่หลาย

ฝ่ายตั้งข้อสงสัยก็เพราะการสั่งซื้อเรือเหาะแต่ละลำต้องใช้ระยะเวลาในการผลิต สั่งแต่ละครั้งเกือบ 1 ปี แต่กองทัพบกมีเวลาเพียงพอแค่ไหนที่จะผลิตของใหม่ หรือใหม่เฉพาะเครื่องยนต์" แหล่งข่าว ตั้งข้อสังเกตหากไม่ได้จัดซื้อของใหม่ หรือไปซื้อลำที่บริษัทผู้ผลิตใช้ในการสาธิต จะส่งผลถึงอายุการใช้งาน เพราะเรือเหาะใหม่แต่ละลำมีอายุการใช้งาน 5-7 ปี ส่วนห้องนักบินมีอายุมากกว่า ฉะนั้นหากไปซื้อต่อมือสองมา ราคาที่จัดซื้อก็จะยิ่งแพง เนื่องจากอายุใช้งานจะสั้นกว่า

ที่ควรจะเป็นพ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า...ขณะนี้เรือเหาะยังไม่พร้อมใช้งาน แต่เมื่อพร้อมใช้งานจริงจะมีระบบเชื่อมสัญญาณระหว่างตัวเรือเหาะกับภาคพื้นทั้งหมด 30 จุด ทั้งหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ในพื้นที่ และกองบัญชาการกองทัพบก แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งยังไม่เรียบร้อย

ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************

มือมือป่วนกรุง ยิงถล่มกลาโหม เจ็บ 1

เวลา 22.30 น.พ.ต.ท.ชำนาญ คงเมือง พนักงานสอบสวน สบ.2 สน.สำราญราษฎร์รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดร้านชุบบุญนำ ซอยแพ่งภูธร ถนนอัษฎาง แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กทม.รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต่อมา พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.,พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทธิชัย ผบช.ส.เดินทางมาร่วมตรวจสอบด้วย ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าร้านดังกล่าวพบรอยสีขาวเป็นทางยาวประมาณ 15 ซม.นอกจากนี้ยังพบสายไฟบริเวณปากซอยห่างจากจุดเกิดประมาณ 5 เมตรได้รับความเสียหายขาดกระจุยกระจาย นอกจากนี้ ยังกระจกกระทรวงกลาโหมแตก ฝ้าได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกันก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เป็นเจ้าหน้าที่เก็บขยะกทม.

ต่อมา พ.ต.ท.ชำนาญได้รับแจ้งว่าพบรถกระบะแคปต้องสงสัย ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ตศ 9818 กทม.จอดอยู่ข้างโรงแรมสิริมิตรห่างจากจุดเกิดประมาณ 500 เมตร จึงได้เข้าทำการตรวจสอบพบกระจกด้านคนขับแตกเป็นรู โดยสามารถใช้มือล้วงเข้าไปเปิดประตูได้ และเมื่อเปิดประตูก็ยังพบคราบเลือดที่เบาะคนขับ นอกจากนี้ พบอาวุธปืนอาร์พีจี 1 กระบอก เครื่องยิงเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอกวางอยู่ภายในรถ โดยเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ บช.น.รายหนึ่งกล่าวว่า จากการตรวจสอบชิ้นส่วนของระเบิดพบเป็นลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะยิงใส่กระทรวงกลาโหม แต่เกิดผิดพลาด ลูกระเบิดไปชนสายไฟจึงเกิดระเบิดขึ้น และอีก1 ลูกคาดว่าน่าจะถูกมือคนร้ายก่อน

พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า จากการตรวจสอบรถต้องสงสัยพบเครื่องยิงกระสุนอาร์พีจี ระเบิดชนิดขว้างเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก อาวุธปืนทอมสันพร้อมกระสุนจำนวน 20 นัด เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะยิงผ่านกระจกรถเนื่องจากกระจกด้านหลังคนขับหลุดทั้งบาน อย่างไรก็ตาม ส่วนผู้ต้องสงสัยคาดว่าน่าจะได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาที่ รพ.วชิระ แต่เมื่อแพทย์สอบถามก็ได้หลบหนีไป

รายงานข่าวแจ้งว่า จาการสอบพยานผู้เห็นเหตุการณ์ คนร้ายมี 2 คนใช้รถคันดังกล่าวไปจอดที่เกิดเหตุ จากนั้นหนึ่งในคนร้ายรูปร่างสูง ใส่เสื้อสีดำ สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าลงมายืนข้างรถ จากนั้นคนร้ายที่อยู่ในรถได้ยิงออกมาจากรถแล้วไปโดนสายไฟ จากนั้นคนร้ายก็ขับหลบหนีออกมาจอดข้างโรงแรมดังกล่าวแล้วทั้่งสองคนก็เดินไปทางถนนราชดำเนิน

ช่วงเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่บนทางเท้าหน้าสรรพากรภาค 3 ถนนเจ้าฟ้าห่างจากหอศิลป์ประมาณ 50 เมตร รีบรุดไปตรวจสอบพบวัตถุดังกล่าวเป็นลักษณะแท่งระเบิดไดนาไมด์จำนวน 4 แท่งมัดรวมกัน มีเทปพันรอบ มีสายไฟโผล่ออกมา เจ้าหน้าที่จึงกันประชาชนออกและนำยางรถยนต์มาล้อมเอาไว้ก่อนให้เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดมาทำลาย โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ส.ส.เพื่อไทยประกาศยุติบทบาททางสภา ลั่นมาร์คต้องยุบสภา บริหารไม่ได้แล้ว

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 20 มี.ค.ที่พรรคเพื่อไทย ได้มี ส.ส.และแกนนำของพรรค ประมาณ 20 คน อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นายสงวน พรหมณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ได้ทยอยเข้าพรรค เพื่อหารือถึงสถานการณ์การเมือง ที่มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนไปทั่วกทม.ตามเส้นทางที่กำหนด ซึ่งได้ติดตามรายงานสดทางสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชแนลเป็นระยะ

โดยนายปลอดประสพ กล่าวภายหลังการหารือว่า วันนี้มี ส.ส.กว่า 20 คนมาอยู่ที่พรรค เพื่อหารือกันและได้โทรศัพท์หารือกับส.ส.ที่ไม่ได้มาด้วย โดยเห็นว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้อยู่ในภาววิกฤติ จึงเห็นว่า 1.ปริมาณคนที่ออกมาเคลื่อนไหววันนี้มามากมายทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รัฐบาลต้องตัดสินใจยุบสภาโดยทันที 2.หากไม่ยุบสภาและไม่ยอมให้ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลที่เขาศรัทธา ความสงบสุข ความปรองดองจะไม่มีวันเกิดขึ้น ต่อไปสังคมจะปริแยกกว่าเดิม

นายปลอดประสพ กล่าวว่า 3.ขณะนี้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะเกิดบรรยากาศสุญญากาศทางการบริหาร ต้องยุบสภาทันที เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่ประชาชนเชื่อถือ 4.ขอให้นายกฯหยุดใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ทันที และ 5.พรรคเพื่อไทยถือว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลบริการประเทศ ไม่ว่าใครก็ตามไม่ยอมให้เกิดสุญญากาศขึ้นในประเทศ ดังนั้นขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์ ตัดสนใจโดยทันที

ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า เป็นปรากฎการณ์ครั้งใหม่ของประเทศไทยในทางการเมืองที่มีประชาชนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เมื่อเจ้าของอำนาจทางตรงจากทั่วประเทศทั้งในกทม.และต่างจังหวัดออกมา เรียกร้องอำนาจประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องดำเนินการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ขอให้รัฐบาลหยุดยื้อเวลาทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องอื่นๆ เพราะเราถือว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรม ตอนนี้ถือว่ารัฐบาล และส.ส.ในสภาสิ้นสุดลงแล้วนอกจากนี้ขอให้ผู้มีอำนาจนอกระบบหยุดแทรกแซงการ บริหารของรัฐบาล หยุดสร้างความปั่นป่วนให้แก่ประเทศ ขอให้ทหารกลับเข้ากรมกองได้แล้ว ส่วนกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดง และได้ติดตามการรายงานข่าวของสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆนั้น พบว่ารัฐบาลคุมสื่อ มีการใช้สื่อสร้างสถานการณ์ ทำลายความน่าเชื่อถือของคนมาชุมนุม อาจก่อนให้เกิดความรุนแรงได้ ขอให้รัฐบาลหยุดแทรกแซงสื่อ และสื่อต้องทำหน้าที่ให้เป็นกลาง

ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะไม่ร่วมงานในสภาอีกต่อไป นายวรวัจน์ ตอบว่า เราจะหยุดบทบาทให้ความร่วมือการทำงานในสภาทุกด้าน จะไม่ใช่กลไกของสภาอีกต่อไป เพราะเราถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ต้องคืนอำนาจให้ปวงชน เราจะไม่ไปร่วมมือใดๆในสภา

เมื่อถามว่า เป็นมติพรรคเพื่อไทยที่จะไม่ทำงานในสภา นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราได้พูดกันแล้วในส่วนของส.ส.และแกนนำของพรรคแล้วเห็นว่า สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ยอมใช้กลไกของสภาในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นควรคืนอำนาจให้ประชาชนเมื่อถามว่าหากรัฐบาลยังเฉยเมยต่อข้อเรียกร้อง ไม่ยุบสภา นายวรวัจน์ตอบว่า วันนี้ไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีสามารถบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ ไม่มีใครฟังคำสั่งของรัฐบาลอีกต่อไป ปัญหานี้รัฐบาลต้องคิด นายกฯต้องสำนึกว่านักการเมืองย่อมเหนือกว่ากำลังอื่นใด ต้องตระหนักตรงนี้ถึงประชาชนและคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างไรก็ตามจะประสานงานไปยังนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้านให้ทราบเรื่องนี้ว่าไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการ ทำงานในสภา แม้ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปสภาก็ไม่ให้ความร่วามมือ อย่างไรก็ตามวันนี้ศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยของประชาชน(ศชปป.)ของพรรค เพื่อไทย ได้รับร้องร้องเรียนระหว่างที่มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนตามเส้นทางต่างๆว่า จนถึงขณะนี้ไม่มีปัญหาใด ไม่ได้ทำให้รถในกทม.ติด เพราะชาวกทม.ให้ความร่วมมือคงหันไปใช้เส้นทางอื่น แต่เกิดปัญหาระหว่างที่ผ่านย่านถนนรัชดา อาคารฟอร์จูน ที่มีเสื้อแดงทำร้ายพนักงานเคเอฟซี เบื้องต้นคาดว่าป็นการสร้างสถานการณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อส.ส.และแกนนำ ของพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวเสร็จ อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสด์ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายปลอดประสพ สุรัสวีดี นายไพจิต ศรีวขาน ส.ส.นครพนม ได้เดินออกไปบริเวณริมฟุตบาทหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ติดถนนพระราม 4 ซอยจินดาถวิล สมทบกับคนเสื้อแดงจำนวนมากอยู่ริมฟุตบาท เกาะกลางถนน และบนสะพานลอย ที่มารอต้อนรับขบวนเสื้อแดงที่วิ่งผ่านเส้นทางนี้มุ่งหน้าไปทางหัวลำโพง โดยได้เตรียมน้ำดื่ม ส้มโชกุล ชมพู่ ไว้ค่อยบริการ พอขบวนเสื้อแดงเคลื่อนผ่านมาบริเวณหน้าพรรค ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีการเปิดเพลงปลุกใจ ชูหัวใจและเท้าตบ โบกธงแดงปลิวไสวให้เข้าจังหวะเพลง โดยนายสมชาย ได้ขึ้นบนหลังคารถสองแถวที่จอดอยู่ข้างทาง ส่วนนางเยาวภา ขึ้นไปอยู่บนสะพานลอย โบกไม้โบกมือทักทาย


ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ
*******************************

กวีการเมือง



สอสอฉันเลือกแล้ว มีดี
ชนชั้วกลับโจมตี ข่มได้
รถถังไล่ราวี ตามล่า
นายกเราเลือกไว้ ท่านต้องหนีภัย

การเมืองไทยทั่วผู้ ครองสิทธิ์
เลือกท่านมาทำกิจ ใหญ่กว้าง
ปวงชนป่วยกายจิต ในที่ ใดนา
ดูทั่วทุกทิศสร้าง ส่งให้เทียมกัน

รัฐประหารย่อมได้ ทุษชน
เอาแต่พวกของตน แต่งตั้ง
ขุนตุลย์ท่านสากล กลับชั่ว
ตกอยู่อคติพลั้ง เสื่อมสิ้นยุติธรรม

รัฐธรรมนูญที่ใช้ ทุรกรรม
ตกแต่งสำแดงคำ แบ่งชั้น
สอวอครึ่งไยทำ เสกแต่ง ตั้งนา
อีกกึ่งหันเหกั้น แบ่งให้เลือกเอง

ทีมา.openthaidemocracy
*************************************************

เวลาแห่งชัยชนะของเสื้อแดงมาถึงจนได้ อำมาตย์อยากจบแบบไหน? แบบแดงนปช.หรือแดงสยาม?

หมดเวลาแล้วจริงๆสำหรับระบอบเผด็จการ ประชาชนได้ชัยชนะตั้งแต่ยุทธศาสตร์ถนนคนเดินตลาดประชาชนแล้ว ที่เหลือเป็นการเก็บฉากเท่านั้น ..ขึ้นอยู่กับว่า จะจบแบบที่ นปช.ต้องการ หรือถ้ามีการลงมือที่รุนแรง ก็คงต้องจบแบบแดงสยาม

ในตอนนี้ขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการยันกันอยู่อย่างไม่มีใครเสียเปรียบได้เปรียบใคร โดยที่ฝ่ายเผด็จการเห็นว่าฝ่ายประชาชนมีเงินน้อย สายป่านสั้น แม้ว่าจะจำนวนมากแต่ก็มีกรอบการทำงานในทางสันติไม่สามารถสร้างสถานการณ์ได้ ต้องรอฝ่ายทหารลงมือก่อนเท่านั้นจึงจะจุดกระแสเอาชนะได้

ส่วนฝ่ายเผด็จการก็หาทางสร้างสถานการณ์ต่างๆ ถ้าจุดติด คนเชื่อต่างชาติเชื่อและให้การรับรองก็จะยกเป็นเหตุปราบผู้ชุมนุมได้อย่างราบคาบโดยไม่ต้องกังวลเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นและศาลอาญาระหว่างประเทศที่จะตามมาลงโทษในภายหลัง

ต่อมาเมื่อคนเป็นล้าน ไม่เป็นที่สนใจของฝ่ายเผด็จการด้วยเห็นว่า อำนาจของตนทั้งด้านนิติบัญญัติ บริหารและตุลาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายทหารที่ตนเข้าใจว่ามีนั้นล้นเหลือ เสียงเรียกร้องของประชาชนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินและพร้อมที่จะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเหมือนหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา และเฝ้าดูคนประชาชนที่ต้องมาตากแดดเรียกร้องความยุติธรรม ความเป็นธรรมและประชาธิปไตยด้วยความเงียบเฉยไม่สนใจใยดี รอเวลาที่ประชาชนจากต่างจังหวัดหมดเงิน หมดตัว ถอนตัวด้วยความเหนื่อยล้าแล้วจึงจะลงมือ

โดยมีการคิดไว้อย่างรัดกุมว่าการลงมือครั้งนี้ต้องไม่ให้ผิดพลาดปล่อยให้ประชาชนตั้งตัวได้เหมือนสงกรานต์เลือดที่ผ่านมา

บทความนี้จะไม่ลงไปในเรื่องของยุทธศาสตร์และยุทธวิธีต่างๆเหมือนที่ผ่านๆมา เพราะเรารู้แล้วว่าศัตรูคือใคร มิตรคือใคร เราต้องแสวงหามิตรให้มากขึ้น ดึงศัตรูมาเป็นมิตร จำกัดศัตรูให้เล็กลง ขจัดหนอนออกไปจากขบวนการ ใช้สติปัญญาให้มากและชัยชนะจะอยู่ที่การได้ทหารมาเป็นฝ่ายเราทางใดทางหนึ่งเสมอ

แต่คำถามจะมาอยู่ที่แล้วจะทำอย่างไร..ต่างหาก

คืนวันที่ 18 มีนาคม 2553 เป็นวันที่ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศยุทธศาสตร์แห่งชัยชนะออกมาอย่างชัดเจน ในเรื่องถนนคนเดิน และ ผู้เขียนขอเติมให้ว่า “ ถนนคนเดิน ตลาดประชาชน (people market)”

ซึ่งทุกท่านคงทราบแนวคิดแล้วว่า จะให้มีการนำสินค้าของคนเสื้อแดงชาวประชาธิปไตยมาจำหน่ายโดยไม่ต้องเสียค่าที่แพงๆ มวลชนจากจังหวัดต่างๆตั้งแต่สนามหลวงมาถึงลานพระบรมรูปทรงม้า สามารถนำสินค้าโอทอป ของตนมาจำหน่ายได้ โดยไม่ต้องเสียภาษีรายได้เพิ่ม ไม่ต้องเสียค่าที่ ไม่ต้องแสดงรายได้เสียภาษี ฯลฯ

ประชาชนสามารถไปซื้อสินค้าราคาถูก นักท่องเที่ยวมีแหล่งจับจ่ายใช้สอย นอกเหนือจาก จตุจักร สนามหลวงสอง ตลาดไท สินค้าส่งออกกระทรวงพาณิชย์ สินค้าโอทอปเมืองทองธานี ฯลฯ มารวมกัน คนจะไหลมาเทมา

เท่ากับว่าคนมาร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงนับเป็นหลายล้านคนหมุนเวียนตลอดเวลา ถ้าจัดให้มีการจำหน่ายสินค้าตลอดวัน ตลอดคืนด้วยยิ่งคึกคักไม่มีเวลาจบสิ้น ทั้งชาวไทยและฝรั่งต่างชาติเมื่อมาในที่ชุมนุมคนเสื้อแดงก็จะได้รับข่าวสาร ได้รับสินค้าราคาถูก ได้ซึมซับแนวคิดประชาธิปไตยกินได้ ได้ซื้อสัญลักษณ์เสื้อแดงกลับบ้านด้วยว่าเป็นการอินเทรนด์ เท่ากับว่ายิ่งนานไป คนเสื้อแดงจะยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ไม่มีวันหมด

แทนที่เสื้อแดงซึ่งออกเงินกันมาชุมนุมเองไม่มีท่อน้ำเลี้ยง จะหมดเงิน หมดกำลัง ท่านทักษิณฯคิดยุทธศาสตร์ทำให้เป็นการเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส คนเสื้อแดงกลายเป็นยิ่งชุมนุมยิ่งมีเงิน ยิ่งนานยิ่งแข็งแกร่ง สามารถสร้างระบบเศรษฐกิจซ้อนเศรษฐกิจของระบอบอำมาตย์

สร้างระบบรัฐซ้อนรัฐขึ้นมาที่เรียกว่ารัฐไทยใหม่ได้ เงินหมุนเวียนมีแต่จะเข้ามาในชุมชนเสื้อแดง เมื่อได้เงินและไม่ต้องเสียค่าที่ ค่าทาง คนก็ยิ่งสมัครเป็นเสื้อแดงมากขึ้นทุกขณะเป็นทวีคูณ และน่าจะไม่ใช่ทวีคูณแบบอนุกรมเลขคณิตที่สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด แต่จะเป็นอนุกรมเรขาคณิตซึ่งจะเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แบบสองเป็นสี่ สี่เป็นสิบหก สิบหกเป็นสองร้อยห้าสิบหก เรื่อยๆ ไปอย่างน่าตกใจเมื่อคนกรุงเทพฯและจังหวัดใกล้เคียงเริ่มเข้ามาร่วมกิจกรรมในที่ชุมนุม

จำนวนคนที่จะเข้ามาร่วมและสายป่านที่ยาวขึ้นของคนเสื้อแดงนี่เองจะทำให้การชุมนุมของคนเสื้อแดงกลายเป็นหลายๆล้านคนได้ในเวลาอันสั้นมากๆและไม่ต้องกลัวการล้อมปราบของทหารอีก เพียงแต่ต้องมีการสร้างระบบการตรวจสอบและรักษาความปลอดภัยให้ดีขึ้นเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ยากเกินไป เต็นท์ของคนเสื้อแดงส่วนไหนขายของได้ขายของไป ส่วนไหนที่รับบริจาคก็จะมีคนเข้ามาบริจาคมากขึ้นด้วยทุนทรัพย์ที่สูงขึ้น และมีจำนวนมากขึ้น เพราะไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นกลุ่มใช้ความรุนแรงอย่างที่รัฐบาลกับฝ่ายเผด็จการพยายามใส่ร้ายป้ายสี

ประการสำคัญคือประชาชนที่เข้ามาใหม่จะทราบว่า ใครคือศัตรูของพวกเขา กลุ่มศักดินาคือใคร กลุ่มซากทัศนะทาสที่ไปรับใช้ศักดินาคือใคร กลุ่มอำมาตย์คือใคร

ทำไมระบบราชการจึงกดขี่ประชาชน ทำไมประชาชนจึงมีรายได้น้อย เป็นหนี้สินกันทั่วหน้า ทำไมข้าราชการเงินเดือนจึงต่ำ ทำไมคนบางกลุ่มจึงร่ำรวย บางกลุ่มจึงยากจนทั้งๆที่ประเทศเจริญขึ้น

กลุ่มผูกขาดทางธุรกิจคือใคร กลุ่มธุรกิจข้ามชาติที่สนับสนุนเหล่าอำมาตย์คือใคร

หนทางออกทางเศรษฐกิจของคนไทยคืออะไร การปลดปล่อยตัวเองจากการกดขี่ทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่านี้จะทำอย่างไร การซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในหมู่คนเสื้อแดงทำได้อย่างไร จะเกิดสถาบันการเงินของคนเสื้อแดงจะทำได้อย่างไร ฯลฯ

จนในที่สุดเป็นการมีชีวิตอยู่ในกลุ่มคนที่รักประชาธิปไตยทำกันอย่างไร และจำกัดวิถีชีวิต การดำรงอยู่และการให้ความสำคัญกับฝ่ายเผด็จการนั้นลดน้อยลงจนหมดไปในที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องสนใจชัยชนะในรัฐสภาเลย เพราะชัยชนะในท้องถนนราชดำเนินจะเป็นการแสดงถึงชัยชนะของทัพเหนือ อีสาน ภาคกลาง ตะวันออก ตะวันตกและทางใต้ต่อกรุงรัตนโกสินทร์อย่างสมบูรณ์

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฝ่ายเผด็จการไม่เคยนึกถึงหรือไม่อาจจะจินตนาการไปได้ถึง หลังจากการหลั่งเลือดชโลมแผ่นดินด้วยคนบริสุทธิ์นับแสนคน ปลดปล่อยอาถรรพ์ มนต์ดำที่ครอบงำประเทศมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทำให้ประชาชนคนไทย ตาสว่างไสวดุจได้แสงจากสปอทไลท์

ชัยชนะบนท้องถนนราชดำเนิน ที่อาจเรียกว่าถนนคนเดิน ตลาดประชาชน นี้คือชัยชนะแล้วที่เหลือเป็นการเก็บกวาดเผด็จการเท่านั้น

จริงอยู่แม้ว่ารัฐบาลจะยุบสภา หรือ ลาออก แต่ด้วยอำนาจทั้งปวงที่ได้สร้างเครือข่ายไว้ยากที่ฝ่ายประชาธิปไตยจะได้ชัยชนะจากในรัฐสภาหรือจากการเลือกตั้ง

ส่วนแนวทางการต่อสู้นอกสภาที่ขัดแย้งกันระหว่างนปช หรือแดงสยาม ก็สมควรจะได้ข้อยุติแล้วด้วยว่าทิศทางที่ท่านทักษิณฯได้ กำหนดไว้นี้คือการผ่าทางตันที่ชัดเจน เมื่อไม่ได้อำนาจรัฐด้วยวิถีทางรัฐสภา ประชาชนก็ยึดรัฐนั้นเสียเอง เมื่อประชาชนขยายตัวมากขึ้นด้วยเวลาอีกเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดการใช้กำลัง หรือการเลือกตั้งที่กำหนดเงื่อนไขโดยฝ่ายอำมาตย์ ประชาชนจะประสบชัยชนะในขั้นต่อไปเสมอ ด้วยว่าประชาชนชาวเสื้อแดงนั้นเองได้ยึดหัวใจของกรุงเทพมหานครฯนี้ไว้แล้ว

ถ้าถามใจฝ่ายเผด็จการว่าจะยอมให้เกิดภาวะนี้ต่อไปหรือไม่ที่ชาวเสื้อแดงสามารถชุมนุมไปได้อย่างไม่สิ้นสุด และจะสามารถขยายพื้นที่การชุมนุมออกไปได้ตลอดเวลาตามจำนวนสินค้าและร้านค้าที่จะมาวางขาย แย่งชิงส่วนแบ่งมูลค่าการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมาจากฝ่ายอำมาตย์และห้างร้านที่สนับสนุนมากขึ้นทุกทีๆ จนอาจล่มสลายพินาศลงได้ในเวลาอันไม่นานนัก

คำตอบจากฝ่ายเผด็จการแม้ว่าจะร่ำรวยมีอำนาจมหาศาลอยู่แล้วก็ตาม แต่ด้วยสันดานความเห็นแก่ตัวคงจะไม่ยอมอย่างแน่แท้และต้องสั่งการให้เกิดการปราบปรามให้ราบคาบอย่างรุนแรงแม้ว่าจะไม่สามารถสร้างสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆมารองรับได้ก็ตาม

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทหารที่เป็นเครื่องมือสำคัญของฝ่ายเผด็จการส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้จับอาวุธด้วยตนเองนั้นคงจะไม่ยอมรับในคำสั่งนั้นและการปฏิเสธคำสั่งที่เด็ดขาดของผู้มีอำนาจปกครองประเทศนี้ ก็จะกลายเป็นคำสั่งให้อำนาจเก่าที่ปกครองประเทศนี้ต้องอพยพออกไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ด้วยเหตุนี้เอง จึงเชื่อว่าฝ่ายเผด็จการคงต้องรีบลงมืออย่างเร่งด่วน ด้วยว่าหากปล่อยยุทธศาสตร์ของท่านทักษิณเป็นจริงขึ้นมาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จุดจบของฝ่ายเผด็จการนั้น ก็จะมองเห็นและเมื่อมีการลงมือก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใหญ่อย่างแน่นอน


ขึ้นอยู่กับว่า การลงมือนั้นรุนแรงและโหดเหี้ยมหรือไม่ ขนาดไหน ถ้าไม่รุนแรงนักก็จบแบบที่ นปช ต้องการคือระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข



ถ้ามีการลงมือที่รุนแรง ก็คงต้องจบแบบแดงสยาม ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร หรือเป็นอย่างไร ที่ว่าเกินจาก นปช ไปแต่หวังว่าจะไม่จบแบบปฏิวัติฝรั่งเศสหรือการเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐแบบฝรั่งเศสในอีก 86 ปีต่อมา


เมื่อทุกอย่างมาถึงทางตันแล้ว ชัยชนะก้าวแรกของประชาชนก็มาถึงแล้ว ที่เหลือเป็นการบีบให้ฝ่ายเผด็จการต้องตัดสินใจว่าจะกลับเข้าที่เข้าทางหรือต้องไปอยู่นอกประเทศ ซึ่งก็มีแค่สองทางเลือกจริงๆไม่เห็นทางอื่น

ถ้าไม่เลือกหนทางแห่งสันติหนทางแรกด้วยการยอมถอยและส่งสัญญาณให้องค์กรอิสระและฝ่ายตุลาการถอนตัวตาม มีการลงมือเมื่อไหร่ ฝ่ายประชาธิปไตยนำโดยท่านทักษิณฯประกาศรัฐบาลพลัดถิ่นทันที เรียกข้าราชการ ประชาชนมาเลือกข้างต่อสู้กับฝ่ายอำมาตย์

ฟรีทีวีทุกช่องตอนนั้นบางส่วนคงเลือกข้างประชาธิปไตยได้โดยไม่ต้องกลัวใคร ทหารบางส่วนจะประกาศตัวเป็นอิสระจากฝ่ายอำมาตย์ ต่างประเทศเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงมาทางฝ่ายประชาธิปไตยก็จะเข้ามารับรอรัฐบาลพลัดถิ่นอย่างรวดเร็ว

ถ้าไม่ยอมกันก็มีสงครามกลางเมือง

ในระหว่างนี้ด้วยอำนาจของรัฐบาลพลัดถิ่นตามกฎหมายระหว่างประเทศ ท่านทักษิณฯ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศไทยตามกฎหมายระหว่างประเทศนี้ จะสามารถประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิกองค์กรอิสระ ยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่ ยกเลิกคณะองคมนตรี นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาแก้ไขในเรื่องพระราชอำนาจด้วยว่า คณะองคมนตรีหมดไปแล้วและปรับปรุงด้วยมาตราในรัฐธรรมนูญปี 2475 ฉบับแรก หรือนำแบบสวีเดน ญี่ปุ่นมาใช้ จากนั้นประกาศแต่งตั้งข้าราชการ ประกาศวันเลือกตั้งด้วยรัฐธรรมนูญใหม่

ถ้ายอมในจุดนี้คงไม่ต้องหนีออกนอกประเทศก็จบได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ยอมก็จบอย่างนองเลือดเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ผลจะเป็นอย่างไรประวัติศาสตร์ในหลายประเทศก็มีให้ศึกษากันอยู่อย่างเหลือเฟือ

สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่ใช้เวลายาวนาน ได้มีเวลาทำการศึกษาและเรียนรู้แนวทางการต่อสู้ต่างๆอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง ประชาชนมีความรู้ในทางลึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประชาชนเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ใช่เพราะความยากจน หรือมัวเมาลุ่มหลงในตัวบุคคลอย่าง พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นความรู้ในทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยและเศรษฐศาสตร์การเมืองอย่างถึงแก่น

เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเป็นโดยสันติหรือรุนแรงก็ตามประเทศไทยจะมีระบอบการเมืองการปกครองเช่นเดียวกับประเทศยุโรปในปัจจุบัน ประชาชนจะมีวุฒิภาวะ มีการรักษาสิทธิและหน้าที่ของตัวเอง มีการรวมกลุ่มและกลายเป็นแรงหนุนเนื่องต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง ไม่สามารถที่จะมีระบอบเผด็จการใดๆมาครอบงำประชาชนได้อีกต่อไป

ดังนั้นจะเห็นแล้วว่าหมดเวลาแล้วจริงๆสำหรับระบอบเผด็จการ ประชาชนได้ชัยชนะตั้งแต่ยุทธศาสตร์ถนนคนเดิน ตลาดประชาชนแล้ว ที่เหลือเป็นการเก็บฉากเท่านั้น

โดย Pegasus
ที่มา.ไทยอีนิวส์
*************************************************

ผวา"สงครามไพร่"




รัฐบาลโหมประโคม สร้างข่าวว่าม็อบเสื้อแดงที่มาชุมนุมประท้วง จะก่อความรุนแรง สร้างความเดือดร้อนให้คนเมืองหลวง ทำลายเศรษฐกิจของประเทศ

โดยใช้สื่อทีวีเสนอเหตุการณ์เมื่อวันที่ 13 เม.ย. 2552 ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เพื่อให้หวาดผวาและเกลียดชังผู้ที่จะมาร่วมชุมนุม

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ปูดข่าวว่าม็อบมีแผนจะไล่ล่าจับตัวรัฐมนตรี เมียและลูก

ขณะเดียวกันก็ประกาศแจกรถกันกระสุนให้คณะรัฐมนตรีใช้ และเตรียมเซฟเฮาส์ให้อยู่

จากนั้น ก็เรียกประชุมหน่วยงานความมั่นคงก่อนจะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียงรวม 8 จังหวัด

พร้อมประกาศจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) ระดมกำลังทหารจากกองทัพภาคที่ 2 และกองทัพภาคที่ 3 มาสนธิกำลังกว่าครึ่งแสน พร้อมอาวุธครบมือ เพื่อข่มขู่ผู้ชุมนุม

แม้รัฐบาลจะหาสารพัดวิธีเพื่อหยุดยั้งม็อบ ทั้งสกัดกั้น ทั้งถ่วงรั้ง แต่ก็ไม่อาจทัดทานพลังของมวลชนได้

การชุมนุมในวันที่ 13-14 มี.ค. จึงมีประชาชนมาร่วมมากเป็นประวัติการณ์

มหาดไทยและสันติบาลบอกอยู่ที่ประมาณ 120,000 คน

แต่สำนักข่าวต่างประเทศระบุว่าน่าจะเกินนั้น

เป็นที่น่าสังเกตว่าประเด็นที่แกนนำม็อบนำมาพูดและใช้แสดงออกในครั้งนี้ คือรวมใจชาวไพร่ ขับไล่รัฐบาลอำมาตย์

โดนใจแนวร่วมคนยากจน คนชั้นล่าง คนต่างจังหวัดที่เข้ามาหาเช้ากินค่ำในกรุงเทพฯ หรือไม่นั้น

แกนนำบางคนถึงกับอึ้ง เพราะมีเสียงตอบรับ แสดงสัญลักษณ์ให้กำลังใจเต็มท้องถนน ทั้งระหว่างเดินทางเข้ากรุง หรือเคลื่อนขบวนออกจากสะพานผ่านฟ้าฯ

อีกคำหนึ่งที่รัฐบาลฟังแล้วแสลงใจ นั่นคือการเรียกยุทธวิธีการชุมนุมนี้ว่าเป็น "สงครามไพร่"

นายสุเทพคงหาวิธีโต้ตอบที่เนียนกว่านี้ไม่ได้ ก็เลยงัดเอาอาวุธเก่า ที่ใช้หากินมาตลอด นั่นคือบอกว่าเป็นวิธีการแบบคอมมิวนิสต์

ขณะที่ศอ.รส.ก็คงรับรู้ว่าสัญญะ"ไพร่"นั้น สามารถ กระตุกพลังเงียบ คนยากคนจนในเมืองได้จริง

จึงต้องขึ้นเว็บไซต์ชี้แจงอย่างรวดเร็ว อ้างว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง เพราะจากประวัติศาสตร์ชาติไทย ระบบไพร่ ระบบทาส ยกเลิกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว

ส่วนระบบขุนนาง-อำมาตย์ ก็ได้ยกเลิกบรรดา ศักดิ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 8 แล้วเช่นกัน

จึงถือว่าทุกคนมีสิทธิเสมอภาคในความเป็นคนไทยเช่นเดียวกัน

อ่านแล้วทั้งเชยและน่าขำ


ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
**************************************************

ไม่เชื่อ อย่าลบลู่นะ

ในที่สุดคำสาปที่สะกดไพร่ไว้ตั้งแต่ก่อตั้งกรุง ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป
ตำราโหราศาสตร์กล่าวไว้
การตั้งเสาหลักเมืองคู่กรุงและคำทำนายเมื่อครั้งก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์
มีการทำพิธีต่างๆ แต่มีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ 2 ประเด็น
ประเด็นที่ 1 การฝังไพร่ชายหญิงจำนวนหนึ่งทั้งเป็นไว้ในหลุมที่จะตั้งเสาหลักเมือง
อันเป็นคำสาปที่สะกดข่มไพร่สามัญชน
ประเด็นที่2 การผูกดวงเมืองให้ดาวอังคารหมายถึงทหารกุมลัคนาหมาุึยถึงกุมเมือง
โดยพราหมณ์ผู้ทำพิธีใช้โหราศาสตร์พิชัยสงคราม เพื่อการปกครองประเทศ

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2553
คนเสื้อแดงได้หลั่งเลือดชโลมดิน พร้อมพราหมณ์อ่านโองการแช่งเลือด เป็นมนต์ขาว
เป็นการถอนคำสาปที่เป็นมนต์ดำนี้โดยบังเอิญ ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว
การทำพิธีในครั้งนี้ จะไม่มีผู้ใดจะมาล้างได้
เพราะเลือดเหล่านี้ เป็นเลือดบริสุทธิ์ของสามัญชนที่บรรพบุรุษได้สละเลือด และชีวิตปกป้องประเทศ
ซึ่งศักดิ์สิทธิ์นัก หากผู้ใดอาจหาญมากระทำพิธีใด เพื่อลบล้างความศักดิ์สิทธ์ของพิธีนี้
จะไม่อาจกระทำได้ เพราะเป็นลิขิตฟ้า
และมันผู้นั้นจะประสบกับความวิบัติ หายนะไปเอง อย่างไม่น่าเชื่อ

ต่อมาจะต้องทำพิธีตัดไม้ข่มนามดาวทหารที่กุมดวงเมือง
เพื่อให้ดาวอันหมายถึงประชาชนกุมลัคนาของดวงเมืองแทนดาวทหาร
จะสอดคล้องกับคำทำนาย ถึง ยุคชาวศรีวิไล หมายถึงยุคของประชาชน ยุคประชาธิปไตย

นี่เป็นคำแนะนำตามหลัก โหราศาสตร์พิชัยสงคราม
ซึ่งผลเป็นที่ประจักษ์แล้วเมื่อวัที่ 16 และ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา
ในที่สุดคำสาปที่สะกดไพร่สามัญไว้ตั้งแต่ก่อตั้งกรุง ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป

ไม่เชื่อ อย่าลบลู่นะ ++++++++

by ตุลานิรนาม
***********************************************

วันศุกร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2553

การชุมนุมของคนเสื้อแดงเป็นประวัติศาสตร์อันน่าทึ่ง

ใจ อึ๊งภากรณ์ “เสื้อแดงสังคมนิยม” และสมาชิกคนเสื้อแดงอังกฤษ(แสดงทัศนะส่วนตัว)

การชุมนุมครั้งใหญ่ของคนเสื้อแดงในเสาร์อาทิตย์ 13/14 มีนาคม เป็นการสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ของขบวนการประชาธิปไตยไทย มันเป็นภาพที่แสดงให้เห็นว่าคนเสื้อแดงจะไม่หายไปไหน และเราไม่ใช่แค่ตัวแทนของคนส่วนน้อยในสังคมอีกด้วย การชุมนุมครั้งนี้ช่วยถล่มนิยายว่าคนกรุงเทพฯเป็นเสื้อเหลืองหรือไม่สนใจประชาธิปไตย เพราะเราเห็นภาพเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล คนงานก่อสร้าง คนงานโรงงาน พระสงฆ์ และประชาชนโดยทั่วไปในกรุงเทพฯ ที่ออกมาร่วมการชุมนุม สื่อมวลชนต่างประเทศบางฉบับถึงกับเสนอว่าภาพการชุมนุมครั้งนี้เป็นภาพของขบวนการ “ปลดแอกประชาชนกรุงเทพฯ จากอำนาจเผด็จการ”

การชุมนุมครั้งนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะคนธรรมดานับแสน ร่วมกันทุ่มเทเงินทอง เวลา และพลังงานในการมาร่วม มีการเรี่ยรายเงินและทรัพยากรในชุมชนต่างๆ มีการแจกอาหารและเงินค่าน้ำมันโดยประชาชนธรรมดาในกรุงเทพฯ มันเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยแท้และเพื่อหวังล้มอำมาตย์ และทั้งๆที่คนเสื้อแดงจำนวนมากรักทักษิณมากกว่าผู้นำชั้นสูงอื่นๆ ความรักนี้มีเหตุผล มันมาจากนโยบายรูปธรรมของพรรคไทยรักไทย มันไม่ได้มาจากความโง่เขลา และคนเสื้อแดงไม่ได้ถูกจูงถูกจ้างมาประท้วง เขาไม่ใช่เครื่องมือของทักษิณ และเขาสู้เพื่ออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าทักษิณ

ขบวนการเสื้อแดงตอนนี้มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะเป็นขบวนการที่คนยากคนจนทั่วประเทศร่วมสร้างขึ้นและมีส่วนร่วมสูงในสังคมเปิด ไม่ใช่การเคลื่อนไหวในป่าหรือในที่ลับ ขบวนการนี้มีตัวตนชัดเจนทั้งในเมืองและในชนบท ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต และมันมีลักษณะถาวรกว่าขบวนการประชาธิปไตยอื่นๆ เช่นขบวนการนักศึกษา

พฤติกรรม สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์

สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แสดงท่าที่อ่อนหัตถ์ทางการเมืองและเน้นการต่อสู้แบบปัจเจก เพราะในขณะที่มีการประท้วงอันยิ่งใหญ่เป็นประวัติศาสตร์ของมวลชนเสื้อแดง อ.สุรชัยไม่เสริมสร้างกำลังใจให้มวลชนเลย ไม่มองว่าเขาคือพลังหลักในการเปลี่ยนสังคม ไม่มองว่าเขาเป็นมิตรที่ต้องถนอมรัก และไม่แนะนำทางต่อสู้ต่อไปในลักษณะสร้างสรรค์ มีแต่พูดในทำนองที่จะทำลายจิตใจคนเสื้อแดง และตัดความมั่นใจให้เสียขวัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า อ.สุรชัย ไม่สนใจที่จะมีส่วนร่วมกับมวลชนนับแสนที่ออกมาสู้ แต่อยากจะหันหลังให้มวลชน เพื่อเดินตามแนว “วีรชนเอกชน” ของการ “จับอาวุธ” ต่อสู้กับอำมาตย์ที่เคยประกาศ มันเป็น “การปฏิวัติแบบเด็กเล่น” ซึ่งจะแค่จบลงด้วยความพ่ายแพ้และความตายเท่านั้น

ส่วนเสธ. แดง ก็เป็นอันธพาลสามัญ ที่อาจสร้างความเสียหายให้ขบวนการเสื้อแดงได้ โดยการสร้างภาพเพื่อเอามัน ซึ่งจะจบลงด้วยละครตะลกท่ามกลางความพ่ายแพ้เท่านั้น

ก้าวต่อไป?

เราไม่ควรลืมว่าแกนนำ โดยเฉพาะสามเกลอ เป็นผู้ที่จุดประกายไฟให้เกิดคนเสื้อแดงแต่แรก และมีส่วนสำคัญในการชักชวนให้คนเสื้อแดงออกมาเป็นแสนที่กรุงเทพฯ แต่ในการต่อสู้ทุกขั้นตอนต้องมีการทบทวนประเมิน ทั้งยุทธวิธีและแกนนำด้วย แกนนำที่จะนำมวลชนไปสู่ชัยชนะ อาจเป็นแกนนำเดิมตลอด หรือจะเป็นแกนนำใหม่ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องศักดิ์สิทธิ์ มันขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความสามารถในขั้นตอนต่างๆ สิ่งที่น่าทึ่งเกี่ยวกับคำพูดของแกนนำปัจจุบันในการเคลื่อนไหวที่พึ่งผ่านมา คือมีการพูดถึงประเด็น “ชนชั้น” มากขึ้นอย่างชัดเจน การต่อสู้กับอำมาตย์เพื่อสร้างประชาธิปไตยเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น ระหว่างคนชั้นล่างที่เป็นกรรมาชีพและเกษตรกร กับชนชั้นปกครองที่เป็นอภิสิทธิ์ชน

แต่ประเด็นที่เราทุกคนต้องมาร่วมกันคิดอย่างรวดเร็วคือ ก้าวต่อไปควรจะเป็นอย่างไร? เพราะการชุมนุมสองสามวันยากที่จะล้มอำมาตย์และจัดการกับอำนาจกองทัพได้ และการยืดเยื้อเสี่ยงกับการที่คนจะทยอยกลับบ้านและหมดกำลังใจ แกนนำต้องไม่สร้างภาพนิยายของชัยชนะที่จะเกิดง่ายๆ ต้องไม่พามวลชนเดินไปในทางการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์มากเกินไป และต้องรู้จักถนอมกำลังกายและใจของมวลชน เพื่อให้เราสามารถสู้ในเกมส์ใหญ่ระยะยาวได้

รู้จักศัตรู

ศัตรูของประชาชนและศัตรูของประชาธิปไตยคืออำมาตย์ แต่อำมาตย์คืออะไร? มันเป็นระบบ มันประกอบไปด้วยหลายสถาบัน และมันมีลัทธิหรือชุดความคิดที่ใช้สร้างความชอบธรรมให้มัน ศัตรูไม่ใช่แค่พรรคประชาธิปัตย์หรือรัฐบาลอภิสิทธิ์ และไม่ใช่แค่องค์มนตรี การยุบสภาเป็นสิ่งที่เราอยากเห็น แต่มันจะไม่สะเทือนอำนาจอำมาตย์เลย เราได้บทเรียนจากรัฐบาลพรรคพลังประชาชนไปแล้ว อำนาจสำคัญของอำมาตย์คือกองทัพ ถ้าเราไม่เอาใจใส่ตรงนี้เราจะไม่ชนะ และอำนาจซ่อนเร้นสำคัญของฝ่ายเรา คืออำนาจในการนัดหยุดงาน ถ้าช่วง 13/14 มีนาคมที่ผ่านมา มีการหยุดเดินรถต่างๆ หยุดก่อสร้าง หยุดทำงานในโรงงานและสถานที่ทำงานต่างๆ เราจะเห็นพลังของคนเสื้อแดงในอีกมิติที่สำคัญ และถ้าทหารยิงประชาชนการหยุดแจกจ่ายไฟฟ้าหรือน้ำก็จะมีพลังด้วย

ยุทธ์วิธี 4 ข้อ สำหรับการต่อสู้ในปัจจุบัน

1.ชนกับอำมาตย์ในเรื่องนโยบายการเมืองที่เป็นรูปธรรม

2.ชนกับอำมาตย์ด้วยลัทธิความคิด

3.ขยายฐานคนเสื้อแดง

4.สร้างหน่ออ่อนของอำนาจคู่ขนาน เพื่อแข่งกับอำมาตย์

1.ชนกับอำมาตย์ในเรื่องนโยบายการเมืองที่เป็นรูปธรรม

การเรียกร้องประชาธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเรียกร้องต่อไป แต่เราต้องเพิ่มความเข้มข้นของนโยบายการเมืองที่จะใช้ชนกับอำมาตย์ เราจะต้องประกาศอย่างชักเจนว่าถ้าฝ่ายคนเสื้อแดงชนะ เราจะนำนโยบายใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์แก่คนชั้นล่างมาใช้ และเราจะต้องท้าอำมาตย์ให้แสดงจุดยืนต่อนโยบายดังกล่าว เพราะเรารู้ดีว่าเขาไม่มีทางสนับสนุนสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคนชั้นล่าง

นโยบายสำคัญที่เราควรประกาศคือการสร้าง รัฐสวัสดิการ ในรูปแบบที่ให้สวัสดิการครบวงจร และถ้วนหน้าสำหรับประชาชนทุกคน ไม่ใช่แค่สวัสดิการให้ทานกับคนจน และเราต้องประกาศว่าเราจะใช้งบประมาณจากการเก็บภาษีอย่างดุเดือดกับเศรษฐีและคนรวย คนที่รวยที่สุดด้วย โดยไม่มีข้อยกเว้น ส่วนคนชั้นกลางและคนจนจะไม่มีการเก็บภาษีเพิ่ม

เราควรเสนอนโยบายเป็นรูปธรรมสำหรับเกษตรกรรายย่อย เช่นการตัดผลประโยชน์ของบริษัทซีพี(ของอำมาตย์) และเพิ่มประโยชน์ให้ชาวไร่ชาวนา ตัวอย่างเช่นการตั้งองค์กรของรัฐขึ้นมาเพื่อทำเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรรายย่อย คือองค์กรรัฐช่วยในการลงทุน ที่ดิน การพัฒนาเทคโนโลจี การรักษามาตรฐาน และการตลาด และเกษตรกรจะทำการผลิตส่งให้รัฐ แต่องค์กรรัฐนี้ต้องบริหารร่วมกันโดยผู้แทนเกษตรกร และผู้แทนของรัฐบาลประชาธิปไตย

เราควรเสนอนโยบายรูปธรรมสำหรับการสร้างสันติภาพในภาคใต้ โดยการถอนทหารตำรวจออกจากชุมชน และการเสนอเขตปกครองพิเศษพร้อมกับการใช้ภาษาท้องถิ่นในสถานที่ราชการ ชุมชนต้องมีอำนาจในการกำหนดระบบการศึกษา ต้องมีการลงโทษพวกทหารระดับสูงที่ทรมานและฆ่าประชาชนด้วย ในระดับชาติควรมีการส่งเสริมวันสำคัญของอิสลาม และชักชวนให้นักศึกษาเรียนรู้ภาษายะวีหรือภาษามาเลย์ ทั้งหมดนี้จะเป็นนโยบายก้าวหน้าที่ตัดฐานสนับสนุนของประชาธิปัตย์ในภาคใต้ได้

เราต้องเสนอให้มีการปฏิรูประบบศาลยุติธรรมแบบถอนรากถอนโคน ปลดศาลและผู้พิพากษาของอำมาตย์ที่รังแกประชาชนออกไป และนำคนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ความยุติธรรมเข้ามา พร้อมกันนั้นต้องเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนโดยมีระบบลูกขุน

2.ชนกับอำมาตย์ด้วยลัทธิความคิด

เราทราบดีจากรัฐประหาร ๑๙ กันยา และอาชญากรรมของพันธมิตรฯ ว่าอำมาตย์ใช้ลัทธิกษัตริย์ เพื่อให้ความชอบธรรมกับสิ่งชั่วร้ายที่ตนทำ โดยเฉพาะสิ่งที่พวกนายพลเขาทำ ดังนั้นเราต้องชักชวนประชาชนให้สิ้นศรัทธาในระบบกษัตริย์และทำอย่างเป็นระบบด้วย ไม่ใช่ออกมาสู้เพื่อล้มอำมาตย์ แล้วถอยหลังหนึ่งก้าวโดยการส่งเสริมให้คนเสื้อแดงเคารพลัทธิกษัตริย์ ซึ่งเท่ากับเป็นการมัดมือตัวเองเพื่อชกมวย

3.ขยายฐานคนเสื้อแดง

เราควรขยายอิทธิพลและเครือข่ายคนเสื้อแดงไปสู่ (1)ขบวนการสหภาพแรงงาน และ (2)ทหารเกณฑ์ระดับล่าง เพื่อให้เรามีพลังในรูปแบบใหม่ และเพื่อให้พวกนายพลเสื้อเหลืองใช้ทหารธรรมดาที่เป็นพี่น้องเราในการปราบปรามประชาชนไม่ได้ ตรงนี้ต้องอาศัยการลงพื้นที่เพื่อผูกมิตรส่วนตัว แต่ในระดับชาติเราควรประกาศนโยบายรูปธรรมที่เราจะใช้ถ้าคนเสื้อแดงชนะคือ

เราควรดึงคนงานมาเป็นพวกด้วยการเสนอให้เพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในทุกสถานที่ ให้สูงขึ้นถึงหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งมาตรการนี้ นอกจากจะลดความจนอย่างรวดเร็วและกระตุ้นตลาดภายในและการจ้างงานแล้ว จะเป็นแรงกดดันให้นายจ้างพัฒนากระบวนการผลิตและเทคโนโลจี ซึ่งรัฐช่วยตรงนี้ได้ ในประเทศสิงคโปร์เคยทำแบบนี้ และประเทศพัฒนาอย่างเกาหลีใต้ก็เพิ่มค่าจ้างได้โดยไม่ทำให้เศรษฐกิจพัง พร้อมๆ กับนโยบายค่าจ้างดังกล่าว เราต้องให้ความคุ้มกันจริงกับสหภาพแรงงาน และออกกฎหมายห้ามปรามการเลิกจ้างคนงานเพื่อเพิ่มกำไรของกลุ่มทุน

เราควรดึงทหารเกณฑ์มาเป็นพวกโดยประกาศปฏิรูปกองทัพแบบถอนรากถอนโคน พวกนายพลกาฝากที่แสวงหาอำนาจและความร่ำรวยผ่านการทำรัฐประหาร การคอร์รับชั่น และการยิงประชาชน เราต้องเอาออกให้หมด ต้องลดงบประมาณทหารด้วยการปลดนายพลและลดการซื้ออุปกรณ์ทางทหาร แต่ในขณะเดียวกันต้องเพิ่มเงินเดือนให้ทหารเกณฑ์ ต้องพัฒนาสภาพชีวิตของเขา ต้องมีโครงการฝึกฝีมือและพัฒนาทหารระดับล่างให้มีลักษณะมืออาชีพที่ใช้กู้ภัยในสังคมแทนการปราบประชาชน ในสำนักงานตำรวจก็ควรจะปฏิรูปแบบนี้ด้วย เพื่อให้ตำรวจรับใช้ประชาชนและไม่รีดไถคนจน

4.สร้างหน่ออ่อนของอำนาจคู่ขนาน เพื่อแข่งกับอำมาตย์

ในทุกพื้นที่ที่คนเสื้อแดงเป็นคนส่วนใหญ่ เราควรท้าทายอำนาจราชการในรูปแบบเล็กๆ น้อยๆ เช่นตั้งระบบยุติธรรมและความปลอดภัย หันหลังให้ศาลและการบัญชาการของรัฐส่วนกลาง ขยายสื่อมวลชนของเรา เข้าไปมีอำนาจบริหารโรงเรียนและศูนย์พยาบาล จัดตั้งระบบคมนาคมง่ายๆ ฯลฯ แล้วแต่ความสามารถและเหมาะสม เพื่อค่อยๆ ลดอำนาจศูนย์กลางของรัฐอำมาตย์ และเพื่อทำให้ง่ายขึ้นที่จะยึดอำนาจรัฐมาเป็นของประชาชนในอนาคต

ในสงครามทางการเมืองกับอำมาตย์ เราต้องก้าวไปข้างหน้า

แต่เราต้องเข้าใจว่าจะไม่แพ้ชนะกันง่ายๆ ในวันสองวัน

ที่สำคัญคือมวลชนคนเสื้อแดงเป็นแสนๆ และจุดยืนทางการเมืองจะเป็นเรื่องชี้ขาด

ที่มา.konthaiuk
************************************************

“เสื้อแดง”ขยายเส้นทางไปฝั่งธน

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ออนไลน์

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธ์ แกนนำ นปช. ร่วมกันแถลงข่าว โดยแจ้งถึงเส้นทางการเคลื่อนขบวนในวันพรุ่งนี้ (20 มี.ค.) ว่า ได้ขยายเส้นทางการเคลื่อนจากเดิมที่จะเคลื่อนเฉพาะฝั่งพระนคร ซึ่งจะเพิ่มการเคลื่อนขบวนไปฝั่งธนบุรีด้วย โดยในวันพรุ่งนี้เวลา 10.00 น. จะเคลื่อนขบวนออกจากสะพานผ่านฟ้าฯ ผ่านแยกยมราช เข้าถนนเพชรบุรี ผ่านประตูน้ำ เข้าแยกอโศก มุ่งหน้าแยกอสมท. ใช้เส้นรัชดาภิเษกจนถึงแยกรัชดา ลาดพร้าว และ เข้าสู่ถนนลาดพร้าวทั้งเส้น จนถึงเดอะมอลล์ บางกะปิ ตัดเข้าแยกลำสาลี เข้าถนนรามคำแหง ผ่านหน้า ม.รามคำแหง เข้าสู่แยกพระรามเก้ามุ่งหน้าแยกคลองตัน และตัดเข้า สุขุมวิท 71 ผ่านพระโขนงเข้าถนนสุขุมวิท กล้วยน้ำไท เข้า ถ.พระรามสี่ ผ่านคลองเตย ผ่านสนามมวยลุมพินี ตัดเข้าถนนสีลมที่แยกศาลาแดง มุ่งหน้าแยกบางรักเข้าถนนเจริญกรุง ผ่านวงเวียนโอเดียน ไปเยาวราชก่อนจะข้ามสะพานพระปกเกล้า เข้าสู่แยกบ้านแขก วงเวียนใหญ่ ถ.พระเจ้าตากสิน ผ่านแยกมไหศวรรย์ เข้าถ.รัชดา ถ.จรัญสนิทวงศ์ เลี้ยวขวาแยก 35 โบวล์ และข้ามสะพานพระปิ่นเกล้าก่อนจะกลับเข้าสู่ที่ชุมนุม ณ สะพานผ่านฟ้าอีกครั้ง

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในการชุมนุมจะมีการแจกใบปลิว เชิญชวนและทำความเข้าใจกับคน กทม. ให้เข้ามาร่วมชุมนุมไม่ว่าจะใส่เสื้อแดงหรือไม่ โดยเรียกว่าเป็นยุทธการดอกไม้หลากสี เพื่อมาร่วมปลดแอกการแบ่งแยกชนชั้นในประเทศไทย ใครจะใส่เสื้อสีอะไรก็มาชุมนุมได้ และเชื่อว่าการเคลื่อนขบวนนี้จะได้การตอบรับเป็นอย่างดี

******************************************************

"กต"เต้น! สั่งสถานทูตตรวจสอบ "แม้ว" อยู่ดูไบ จับตา"ทวิตเตอร์-โฟนอิน" ส่งข้อมูล"ยูเออี"ขับออก ปท.

กระทรวงต่างประเทศสั่งสถานเอกอัครราชทูตไทยอาบูดาบีตรวจสอบ"ทักษิณ"อยู่ในดูไบหรือไม่ พร้อมจับตาเนื้อหาทวิตเตอร์และโฟนอินเคลื่อนไหวทางการเมือง ส่งข้อมูลให้ยูเออีจัดการขับพ้นประเทศ


นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าววันที่ 19 มีนาคมว่า สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอาบูดาบี ประเทศยูเออี กำลังตรวจสอบว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ในดูไบจริงหรือไม่ และกำลังติดตามดูเนื้อหาข้อความในทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงดูว่าจะมีการโฟนอินหรือปราศรัยผ่านเว็บลิงก์มายังกลุ่มผู้ชุมนุมอีกหรือไม่


ถ้าพบว่ามีสิ่งที่บอกชัดว่ามีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ก็จะรวบรวมข้อมูลส่งให้ทางการยูเออีอีกครั้งเพื่อช่วยประสานไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้ยูเออีเป็นฐานในการขับเคลื่อนทางการเมืองตามที่ยูเออีเคยรับปากไว้ แต่คงไม่ไปก้าวก่ายอะไรกับกระทรวงต่างประเทศของยูเออี เพราะได้พูดทุกอย่างไปชัดเจนแล้ว


"ถือเป็นสิทธิที่ทางยูเออีจะให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาอยู่ในยูเออีหรือไม่ แต่เราจะติดตามดูว่าเมื่อเข้าไปในยูเออีแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณจะยังขับเคลื่อนทางการเมืองอีกหรือไม่ หากไม่มีการดำเนินการใดการจะอยู่ในยูเออีก็ถือเป็นสิทธิของพ.ต.ท.ทักษิณและทางการยูเออีโดยเราคงไม่ไปก้าวก่ายใดๆ"

ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************