--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

กองทัพแตงโม


คอลัมน์ เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

เมื่อแรกที่ได้ยินคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง พูดถึงเรื่อง “กองทัพแตงโม” ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเรื่องเปรียบเปรยให้ขำตามสไตล์การพูดของคุณณัฐวุฒิ แต่เมื่อตั้งใจฟังเนื้อหาที่แกนนำเสื้อแดงผู้นี้ต้องการสื่อกับประชาชนก็ทำให้ฉุกคิด

“กองทัพแตงโม” ในความหมายของแกนนำเสื้อแดงคือทหารหลักในกองทัพที่แต่งชุดสีเขียวแต่หัวใจเป็นสีแดง เปรียบเหมือนลูกแตงโมที่เปลือกนอกเป็นสีเขียวแต่ผ่าข้างในออกมาเป็นสีแดง

แกนนำเสื้อแดงต้องการสื่อว่ากองทัพตอนนี้เต็มไปด้วยทหารแตงโม ทำให้คนเสื้อแดงล่วงรู้การเคลื่อนไหวของกองทัพได้ตลอด แม้หลายเรื่องจะประทับตราว่าเป็นเอกสารลับ แต่เอกสารลับที่ว่านั้นก็หลุดรอดมาอยู่ในมือของคนเสื้อแดงได้

เท่าที่จำได้เอกสารลับของกองทัพเริ่มรั่วไหลออกมาสู่คนเสื้อแดงตั้งแต่หลังการยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย. 2549 ตอนนั้นมีการวางแผนการกันทำอะไร เบิกงบลับมาใช้กันเท่าไร คนเสื้อแดงรู้หมด และนำมารายงานให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆ

ความจริงเรื่องเอกสารลับทางราชการที่หลุดรอดมาถึงมือคนเสื้อแดงไม่ได้มีเฉพาะเอกสารจากกองทัพเท่านั้น

เรื่องที่ฮือฮาก่อนหน้านี้ก็เป็นเอกสารลับจากกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอแผนดำเนินการขุดรากถอนโคน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคงของประเทศ

นี่ก็เท่ากับว่า “ทหารแตงโม” ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในกองทัพเท่านั้น แต่มีอยู่ทุกหน่วยงานราชการไทย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ไม่ว่าเครื่องแบบภายนอกจะเป็นสีอะไรก็ตาม แต่หัวใจของเขาเป็นสีแดง

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าสั่งข้าราชการได้เฉพาะกาย แต่หัวใจสั่งการพวกเขาไม่ได้

จำนวนข้าราชการและอาสาสมัครมากมายจากหลายหน่วยงานกว่า 50,000 คน ที่ถูกเกณฑ์มาทำหน้าที่ควบคุมการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ถึงมากด้วยปริมาณ แต่การทำหน้าที่อาจไม่ดุดันอย่างที่รัฐบาลต้องการให้เป็น

ที่เป็นห่วงกันว่าจะเกิดการเผชิญหน้าจนเกิดความรุนแรงนั้นก็น่าจะเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะว่าคนที่หัวใจสีแดงเหมือนกันย่อมไม่คิดที่จะทำร้ายกันอย่างแน่นอน

บางทีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อาจจะแพ้ภัยตัวเองหากกระเหี้ยนกระหือรือใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน ดังที่ประกาศตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วติดอาวุธเอาไว้ลุยปราบคนเสื้อแดง

บางทีชัยชนะของคนเสื้อแดงอาจจะได้มาเพราะข้าราชการไทย วันนี้ไม่ว่าภายนอกเขาจะสวมเครื่องแบบสีอะไร แต่ภายในของเขาเป็นสีแดงที่พร้อมจะแปรสภาพมาเป็นแนวร่วมได้ทุกเมื่อ ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วที่อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค อันเป็นที่ตั้งของกระทรวงยุติธรรม ที่สองสามวันมานี้ทราบมาว่าไฟฟ้าติดๆดับๆอยู่บ่อยๆ ทั้งที่อาคารอื่นข้างเคียงเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องกระแสไฟ

บางทีนายมาร์คอาจไว้ใจใครไม่ได้เลยแม้แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ

**********************************************************************

ครึ่งคนครึ่งสัตว์!


คอลัมน์ . ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดี

เป็นการเปิดศึกหรือประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อ “หล่อหลักลอย” ไฟเขียวประกาศใช้กฎหมายควบคุม “เด็กไม่มีเส้น” ระหว่างวันที่ 11-23 มีนาคม พร้อมงัดกฎหมายอีก 18 ฉบับที่ครอบคลุมทุกด้านมาบังคับใช้

นับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคมเป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง คนแก่คนเฒ่า มนุษย์เงินเดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ต้องทำใจและเห็นใจ “หมาต๋า” ที่จะตรวจเข้มยิ่งกว่าจับ “โจร”

ต้องดูว่า “หมาต๋า” จะใช้อะไรมาวินิจฉัยเพื่อใช้อำนาจในการกักตัว กักพาหนะ หรือจับกุมประชาชน!

และมี “หมาต๋า” อีกมากน้อยแค่ไหนที่ใส่ “เกียร์ว่าง”!

เหมือนเรื่องคลังอาวุธที่ล่องหนหายไป ซึ่ง “บิ๊กป๊อก” แอ่นอกยอมรับความบกพร่อง แต่ไม่ยอมรับเรื่องการทุจริต ถ้ามีจริงก็พร้อมจะ “ไขก๊อก” ทันที

อย่าลืมว่า “คำพูดเป็นนาย” จะได้ไม่ถูกประณามอย่าง “หล่อหลักลอย” ว่า “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า”

โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ของ “เด็กไม่มีเส้น” ครั้งนี้ “บิ๊กป๊อก” ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องแบกรับความเสี่ยง (ซวย) เพื่อค้ำประกันอำนาจ “หล่อหลักลอย” ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม

เพราะเรื่องความมั่นคงแยกไม่ออกจากอำนาจของ “สัตว์การเมือง”

แต่ความมั่นคงสามารถแยกความถูกต้องชอบธรรมได้!

ไม่ใช่รับใช้อำนาจอย่างหลงงมงาย หรือฆ่าได้แม้แต่ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ

เพราะ “สัตว์การเมือง” พันธุ์ “ไทยแท้” นั้นเหมือน “ลูกอ๊อด” ที่ยังมีวิวัฒนาการแค่มีขากับมีหาง

กว่าจะเป็นกบ เขียด คางคก หรืออึ่งอ่างได้เต็มตัว ถ้าไม่ “เดี้ยงตาย” ก็มักจะกลายพันธุ์เป็นพวก “ครึ่งคนครึ่งสัตว์”

เรื่องของ “อำนาจ” จึงเป็น “ของหวงของรัก” ที่ “สัตว์การเมือง” ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อจะได้มา

ยิ่ง “การรักษาอำนาจ” ยิ่งทำได้แม้แต่การขาย “จิตวิญญาณ” ตัวเอง!

การงัดกฎหมายครอบจักรวาลเพื่อคุม “เด็กไม่มีเส้น” จึงจะถูกบันทึกไว้ให้ลูกหลาน “สัตว์การเมือง” ได้รับรู้ถึงความเป็นพวก “ครึ่งคนครึ่งสัตว์” ที่ยังหลงงมงายและขายวิญญาณให้ “อีแอบ” ที่ยังนอนคว่ำนอนหงายอยู่กับการเกลียดและเคียดแค้น “โดเรแม้ว”

ทั้งที่สงครามครั้งนี้ “เด็กไม่มีเส้น” ก้าวข้ามความเป็นตัวตนของ “โดเรแม้ว” ไปไกลสุดกู่แล้ว

ไม่ว่า “แพ้” หรือ “ชนะ” ก็จะเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” ของ “อีแอบ” และ “โจรกบฏ” ที่ต้องยอมรับ “อำนาจของประชาชน”

**********************************************************************

‘มาร์ค’ ไม่แมน แขวะกระทั่ง ‘โอ๊ค-เอม’


เกมการเมืองสไตล์ที่พยายามแขวะว่าในการชุมนุมทุกครั้งญาติๆ และลูก ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยอยู่ร่วมด้วย และในการลงชื่อถวายฎีกา ญาติๆ ก็ไม่เคยร่วมลงชื่อด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ ในทางการเมือง ประชาธิปัตย์ ต้องการอย่างมากที่จะให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และร่วมลงชื่อในการถวายฎีกาจะได้กล่าวหาได้เต็มปากเต็มคำว่า เห็นมั้ยการชุมนุมของคนเสื้อแดงทำเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะลูกและเครือญาติก็อยู่ในขบวนการด้วยคนเช่นไร ก็ย่อมชอบที่จะคบคนลักษณะเช่นนั้น!!!

เป็นสิ่งที่สังคมไทยรุ่นปู่ย่าตาทวด สอนลูกหลานให้หัดสังเกตพฤติกรรมของคนมาโดยตลอดดังนั้นการที่บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เต็มไปด้วยคนประเภทนายกองร้องด่าท้าทาย คนประเภทตีหัวหมาด่าแม่คนอื่น รวมทั้งประเภทปากไม่สร้างสรรค์ซึ่งสังคมมีการตั้งคำถามมาตลอด แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่เคยที่จะห้ามปราม แถมบางคนยังมีตำแหน่งที่ใกล้ชิดติดตัวนายอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ

จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธเป็นอย่างอื่นได้ว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีสไตล์ ชื่นชอบการใช้ปากแบบไม่สร้างสรรค์สังคม???เพียงแต่ว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีต้นทุนสูง มีชาติตระกูลเป็นที่รู้จักในสังคม มีการศึกษาดี จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก แถมมีหน้าตาดี รวมทั้งมีอาจารย์ใหญ่ทางการเมืองที่ดี คือนายชวน หลีกภัยซึ่งนายชวนนั้น เป็นคนที่มีวาจาเชือดเฉือนก็จริง แต่สุขุมนุ่มลึก และรู้จังหวะจะโคนในการพูด ที่สำคัญไม่พร่ำเพรื่อ

จึงทำให้ได้รับการยกย่องฉายาให้เป็น “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง”ไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์ต้องการที่จะเลียนแบบสไตล์เชือดเฉือนของอาจารย์ใหญ่ชวน แต่บังเอิญพื้นนิสัยเดิมไปไม่ถึง แทนที่จะเป็นการเชือดเฉือน เลยเป็นได้แค่การเหน็บแนมเสียดสีเยาะเย้ยคนอื่นเป็นวิสัยของลูกผู้ชายไทยแท้หรือไม่? เป็นบุคลิกแมนหรือไม่?... น่าคิดแต่ที่แน่ๆ แทนที่จะเป็นภาพบวกก็เลยกลายเป็นภาพลบยิ่งปล่อยให้บรรดาคนรอบข้าง คนใกล้ชิดตัวนายอภิสิทธิ์ ปากคอเราะร้ายคนอื่นไปเรื่อยๆ

ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ ยิ่งติดลบไปเรื่อยๆแถมยังพลอยทำให้บรรดาคนอยากดังในพรรคประชาธิปัตย์ รุ่นใหม่ ยิ่งพลอยเลียนแบบตัวอย่างทำตามพฤติกรรมนี้ไปด้วย เพราะหวังให้เข้าตานายอภิสิทธิ์ จะได้เป็นทางลัดทางการเมืองภายในพรรคได้บ้างแล้วผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร บ้านเมืองปั่นป่วนและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหนักหน่วงมากที่สุด เพราะการใช้ปากของรัฐบาล ทำให้วันนี้สถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่

กลายเป็นถูกประโคมจากปากคนของรัฐบาล จากสื่อโทรทัศน์ที่รัฐบาลควบคุม จนกลายเป็นภาวะตึงเครียดเลวร้ายไปหมดแล้ว ... ทำให้สังคมไทยวิตกจริตว่าจะเป็นช่วงอันตรายอย่างที่รัฐบาลประโคมข่าวจริงๆคำถามจากความตื่นตระหนกว่อนไปทั่วสังคม ก็เพราะฝีปากของรัฐบาล ที่ต้องการเพียงแค่ให้สังคมคิดว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้นิยมความรุนแรง เป็นตัวอันตรายแต่วันนี้สังคมเมื่อเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นว่า กลไกของรัฐเว่อร์จนเกินเหตุ

โดยเฉพาะกลไกที่ผ่านการกำกับจัดฉากที่โยงใยกับนายเนวิน ชิดชอบ บุคคลที่ถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี แต่กลับสามารถทำงานการเมืองได้ทุกรูปแบบ โดยรัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ ไม่ทำอะไรเลยบุญคุณของการอุ้มนายอภิสิทธิ์ให้ได้เป็นนายกฯ และการกอดกันอย่างชื่นมื่นที่ปรากฏไปทั่วประเทศทั่วโลก มันดีอย่างนี้นี่เองอย่างไรก็ตามคำถามได้สะท้อนกลับใส่รัฐบาลอย่างรุนแรงเช่นกัน จนกระทั่งนายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมแต่

ขณะเดียวกัน ก็ยัง ใช้เรื่องการเดินทางไปต่างประเทศของนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาจีบปากจีบคอพูดโยงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าเป็นเหมือนการเตรียมหนีไปเสวยสุขต่างประเทศแล้วสะท้อนชัดถึงความไม่เป็นผู้ใหญ่ ระรานแม้แต่กระทั่งเด็ก ทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเป็นผู้นำที่สง่างาม ไม่ได้มีความเป็นลูกผู้ชายเลยแบบนี้แหละที่ทำให้มีการขานรับกันเป็นลูกระนาดใน ปชป. โดยนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรค

ก็ออกมาให้ข่าวเน้นเรื่องลูกๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมไปประเทศเยอรมนีเกมการเมืองสไตล์ที่พยายามแขวะว่าในการชุมนุมทุกครั้งญาติๆ และลูก ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยอยู่ร่วมด้วย และในการลงชื่อถวายฎีกา ญาติๆ ก็ไม่เคยร่วมลงชื่อด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ ในทางการเมือง ประชาชิปัตย์ ต้องการอย่างมากที่จะให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และร่วมลงชื่อในการถวายฎีกาจะได้กล่าวหาได้เต็มปากเต็มคำว่า

เห็นมั้ยการชุมนุมของคนเสื้อแดงทำเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะลูกและเครือญาติก็อยู่ในขบวนการด้วยครั้นพอเขารู้ทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อเกมสกปรกทางการเมือง ก็หันมาเล่นในแง่ที่ว่าทอดทิ้งหรือหลอกใช้คนเสื้อแดงเรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง... พฤติกรรมหมาป่าในนิทานอีสปจริงๆ ยังไงก็กล่าวหาว่าทำน้ำให้ขุ่นได้อยู่ดี ไม่ว่าจะทำจริงหรือไม่จริงแต่สิ่งที่สำคัญก็คือ นายอภิสิทธิ์เองก็มีลูก นายอภิสิทธิ์เองก็เป็นพ่อคน

ต้องถามว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ เป็นพฤติกรรมลูกผู้ชายหรือไม่ เป็นพฤติกรรมของนักการเมืองที่ดีที่พึงกระทำหรือไม่ กับการลากเรื่องลูกเข้ามาเป็นเหยื่อเกมการเมืองเช่นนี้รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งต้องถือว่าอยู่ในยุคของคนใจนักเลง เป็นอดีตกำนันคนดังแห่งเมืองสุราษฎร์ ซึ่งภาพลักษณ์เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวก็ยังกลับขานรับคำพูดของนายอภิสิทธิ์ว่าการที่ครอบครัวภรรยาและลูกเดินทางออกนอกประเทศในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ

ยิ่งทำให้พวกตนต้องระมัดระวังมากขึ้น มันเป็นสัญญาณที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังการพูดทั้งของนายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างที่สอดรับกันอย่งากลมกลืนต่อเนื่องเช่นนี้ จะให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากว่านี่คือเกมการเมืองแต่สิ่งที่ทำให้สังคมต้องหันมาฉุกใจคิดอย่างหนักก็คือ เป็นเกมการเมืองที่เหมาะสมและมีจริยธรรมเพียงใดการทำลายล้างกันทางการเมือง แล้วไปลากเอาลูกเอาคนในครอบครัวของเขามาทำลายด้วย วัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ???

คงต้องถามบรรดาผู้อาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายชวน หรืออย่างนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ว่า พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ควรใช้วิธีการในลักษณะนี้หรือไม่และสุดท้ายคงเห็นแล้วว่า การใช้กระบอกเสียงและปาก เพื่อทำลายการชุมนุมได้ส่งผลร้ายต่อบรรยากาศของประเทศเพียงใดรวมทั้งบรรดาคนปากกล้าทั้งหลาย เอาเข้าจริงๆ ก็เพิ่มการอารักขากันอุตลุด อย่างบริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ที่ ซ.สุขุมวิท 31 ก็มีการอารักขาอย่างเข้มงวด เอารถดับเพลิงมาจอดตลอด 24 ชั่วโมง

แถมเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รอบบ้านพักถึงขนาดเจ้าหน้าที่ มีการกันประชาชนที่ผ่านไปมาบริเวณหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ โดยขอให้ไปเดินฝั่งตรงข้ามแทน ห้ามเดินใกล้รั้วบ้าน และหากเจ้าหน้าที่เห็นว่าบุคคลใดมีท่าทีต้องสงสัย ก็จะตรวจค้นในขณะที่ นายสุเทพ ได้ เตรียมเซฟเฮาส์ให้คณะรัฐมนตรีแล้ว หากมีการร้องขอทั้งหมดก็ล้วนเกิดจากปากเป็นพิษทั้งสิ้นนั่นเอง

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

‘ทองแท้’ ย่อมไม่แพ้ไฟ!!!

มี “สมอง” และมี “ความคิด” อลังการสร้างสรรค์แบบบุกเบิก อยู่ที่ไหน เขาก็อยู่ซำบาย???เริ่มเป็นห่วงกับ ศัตรู “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะมี ๑ สมอง และ ๒ มือ หาเงิน “ยังชีพ” ได้หรือเปล่า หากต้อง “ลี้ภัย” ไปหลบตัวเมืองนอกเป็นห่วงเสียจริง กับ “ชายแก่วัย ๙๐ ฤดูฝน” ที่มีเอกลักษณ์ “หัวหงอก”จะหลอกใช้อำนาจ เหมือนตัวเอง ยังอยู่ในความยิ่งใหญ่ ในถ้ำ “บ้านเสาน้อย” คงไม่สวีวี่วีเป็นแน่...เพราะต่างประเทศนั้น เขาไม่นิยม “อำนาจ” สั่งการ “แบบอีแอบ” ทำตัวแสบๆ เช่นนี้ เขาไม่ยอมรับ????ฉะนั้น,รีบหาอาชีพใหม่ให้เร็วสุด .....หากต้องวิ่ง “หางจุกตูด?....จะได้ไม่หงุดหงิด ทีหลังไงล่ะครับ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวก ‘ปากบัดซบ’!!!!
แล้ว “ข้อเท็จจริง” ก็เปิดมาอ้าซ่า แดงโร่ กันทุกอย่างครบ???“คลังแสง” ของกองพันทหารช่างสนาม ๔๐๑ ค่ายอภัยบริรักษ์จ.พัทลุง ที่หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ได้เกิดเหตุการณ์หยกๆ ยืนยัน ถ่างขายัน มาจาก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. มีการยักยอกหายไปเนิ่นนาน....ใครที่บอกว่าถูก “โจรกรรม” ไปหมาดๆ ใหม่ๆ ล้วนเป็น “ไอ้มนุษย์ปากโกหก”ฉะนั้น, อยากให้ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กระตุกปลอกคอหมาคนใกล้ชิด ที่เที่ยวระราน ว่าเป็นฝีมือ “คนเสื้อแดง” ที่ว่า เอามา “ก่อวินาศกรรม”!!!!เรียกพวกนี้มาอบรม “อย่าให้โม้”......หยุดได้แล้วสำหรับความโง่?...และเลิกโชว์ความริยำ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ปิดประตูตีแมว’!!!!
จะมาทำกับ “คนเสื้อแดง” เป็น “ผักเป็นปลา” เหมือนเมื่อครั้ง “สงกรานต์เลือด” คงไม่ได้อีกแล้ว?????ความพร้อมสำหรับ “กองทัพประชาชนคนเสื้อแดง” ที่มาร่วมกันนั้น... “วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ถือว่า พร้อมสุดขีดการรักษาความปลอดภัย คุ้มครอง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ให้ปลอดภัย ทุกชีวิต“นักรบประชาธิปไตย” ผู้มาทวง “เสรีภาพ” และ “อิสระแห่งความคิด” จะปลอดภัยไร้กังวล!!!!ทหารที่แตกกลุ่มกับ “บูรพาพยัคฆ์”......เขาพร้อมปกปัก....รักษาชีพของประชาชน?????

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดาบนั้นคืนสนอง!!!!
แยกตัว แตกขั้ว ออกไปจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไป..บัดนี้ “กรรม” ก็ออนไลน์ เข้าอย่างจั๋งหนับ แล้วล่ะพี่น้องสำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ห้อยบุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ เดี๋ยวนี้แลไปข้างหลัง ส.ส.ในพรรคหายไป บานเบอะกลุ่ม “สรอรรถ กลิ่นประทุม” ตีตัวจาก หายไปเยอะ“ห้อยเนวิน” เคยก่อวีรเวรเอาไว้ กับ “ท่านทักษิณ” ...ตอนนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ตัวเองกำกับบทการแสดง เริ่มแตกร้าว ปริแยกกันเป็นกลุ่มๆ !!!!!!ไหนจะโดน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เตะตัดขา.....ส่งทีมตามเชือดตามฆ่า?....ยังมาเจอเรื่องนี้เอาอีก “เนวิน” ถึงกับกลุ้ม????????

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รังแก ‘น้อง’ เขา จนหมดอนาคต!!!
ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล นามสกุล “วงษ์สุวรรณ” ไม่เหลือหรอ กระทั่ง ภาพพจน์????ฉะนั้น, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ผู้ทำคลอดหลอดแก้ว “รัฐบาลเทพประทาน” ยกเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ให้กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังหงุดหงิดอย่างแรงเพราะถือว่า การปลด “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผดีต ผบ.ตร. ดูยังไง๊..ยังไง ก็เป็นการกลั่นแกล้งเมื่อ “เสื้อแดง” มาเปิดยุทธการ “ชิงเมือง” ชิงความชอบธรรม เอา “ประชาธิปไตยเต็มใบ” กลับคืนมา “บิ๊กป้อม” จึงอยากวางตัว อยู่เฉยๆ !!!!!ตั้ง “รัฐบาลเทพประทาน”มากับมือ......เสร็จแล้วก็ทำตัวดื้อ?.....เชือดชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเขาเสียหายเลย???????


ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.การบูร
****************************************************

แผ่นดินทรุด


เป็นเรื่องของจิตวิทยา..ตอนนี้ทั้ง วอร์รูม ของ “ฝ่ายรัฐบาล” และ วอร์รูม ของ “คนเสื้อแดง” ต่างก็ออกอาวุธใส่กันอย่างเต็มเหยียด!!“รัฐบาล”ได้เปรียบ เพราะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ โดยเฉพาะ “สื่อ” ที่สามารถ “กดปุ่ม” ก็พรึบพรั่บทั่วประเทศแล้วเพราะ..โอกาสเยี่ยงนี้เลย “ล่อ” ซะ!!ล่อด้วยการ อนุมัติงบฉุกเฉิน อีก “51

ล้านบาท” ให้กับ สำนักนายกฯ เพื่อส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศเข้าตีน “ไอ้เตี้ย รำเต้ย” ไปเต็มๆเพราะ “คอนเซ็ปต์” ไล่ทุบ “คนเสื้อแดง” เล่นไม่ยากส์อยู่แล้ว..แค่โยนข้อหา “ล้มเจ้า” ตามลูกถนัดของประชาธิปัตย์แค่นั้นจบคนเสื้อแดง หมดแผ่นดินไปเมื่อใด ภาพลักษณ์ของประเทศก็สวยหรูเมื่อนั้น!!โปรเจ็กต์สั้น..งานง่าย..เงินด่วน ช่อง “หอยม่วง” เลยรับอานิสงส์ “แบงก์ม่วง” ที่เทลงมายังกะห่าฝนอย่างเนียนๆศึกสำคัญครั้งนี้ มันอยู่ที่ว่า ใคร

คือ “ของจริง” กำชัยชนะไปหากเป็น “ของปลอม” ก็ หอบเสื่อ-หอบหมอน กลับบ้านเก่าไม่ต้องคิดมากรัฐบาลบอกว่า “เสื้อแดง”ที่มากันครั้งนี้ เป็น “แดงจัดตั้ง” แดงที่แบมือคอยรับเงินเป็นรายวันถ้าเป็น “หมื่นคน” ก็น่าจะเป็นไปได้กับข้อกล่าวหาที่ว่านี้หากเป็น “แสนคน” ก็ไม่น่าจะใช่แล้ว แต๋วจ๋า!!หรือทะยานขึ้นไปถึง “ครึ่งล้าน” หรือ “แดงล้านคน” ตรงนี้คงจะเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าเขามา “เพื่อเงิน” หรือ มาเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ที่พวกเขาโหยหาและก็คงจะ

หา “ช่องรับเงิน”ไม่ถูกว่ามันอยู่ตรงไหน??แต่..ที่รู้ๆ ตอนนี้ เศรษฐกิจหงิกแดก..นักท่องเที่ยวไม่มา คนค้า-คนขาย ตายสนิท ชาวรากหญ้า แทบจะ “รากเลือด”อยู่รอมร่อ..รัฐบาลก็บอกว่า สาเหตุนี้ เพราะ “คนเสื้อแดง” เป็นผู้กระทำให้เกิดหาได้หันมองดูตัวเอง ว่า การบริหารราชการแผ่นดินแบบ กู้ โกง กิน นั้น แผ่นดินมันทรุดต่ำยิ่งกว่าลำน้ำโขงแล้ว!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
****************************************

ตาลีตาเหลือก !!!!???

14 มีนาคม 53 แดงทั้งแผ่นดินนัดหมาย “รวมตัว” เพื่อเป้าหมายไกลเกินตัว “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือประชาธิปไตยที่ “สมบูรณ์” มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แดงอนุรักษ์นิยม...แดงเสรีนิยม...รวมถึงกลุ่มแดง “ฮาร์ดคอร์” พวกเขาจะรวมตัวเพื่อให้เกิดพลังต่อต้านกับ “ผู้กุมอำนาจ” ประเทศนี้หากประมาณการณ์คร่าวๆ จะมีประชาชนเข้าร่วมอย่างต่ำ “หลักแสนคน”ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของ “รัฐบาล” เพื่อรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมจำเป็นต้องมีนโยบายที่ “สอดคล้อง” ตรงกัน หาก

คนเสื้อแดงมาเพียงน้อยนิด “หยิบมือ” ผมเชื่อว่า...รัฐบาลคงไม่ “ตาลีตาเหลือก” ตั้งรับกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูตำรวจ–ทหาร “ชุดเฉพาะกิจ” เตรียมเข้าประจำการ 50,000 นาย...แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ด้านธุรการเช่น “ส่งเอกสาร”งานนี้ “นายสั่ง” จำเป็นต้องมา...เพื่อให้หันซ้ายหันขวาไปทางเดียวกัน!อย่าไปเชื่อพวก “ปากหอยปากปู” ต้องดูให้เห็นกับตาว่ายิ่งใกล้วันดีเดย์...รัฐบาลยิ่ง “ลนลาน” เพราะกลัวการรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้อีกต่อไป “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ส.ส.

กทม. ประชาธิปัตย์ ออกมาพูดพร่ำ 7 เหตุผลไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุม“ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน...ไม่วายกลัว “ตกขบวน” ออกมาโบ้ยคนต่างด้าว...หากมาชุมนุม “จับติดคุก” ทันที“ส.ส.หญิง” ประชาธิปัตย์ บางคน...ลุกขึ้น “มีปากมีเสียง” ปลุกระดม “คนกรุง” ให้ลุกขึ้นโวยวาย “ไม่เห็นด้วย” โดยฉพาะ “ผู้นำประเทศ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...จำเป็นต้องหยุดพัก “งานใหญ่” งดเดินทางไปต่างประเทศ...เพื่อมาดูแลงานที่ “ใหญ่กว่า” คือ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

มันหยุดไม่อยู่และยากต่อการควบคุม!หาก “คลื่นมหาชน” หลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศเข้า “เมืองกรุง” ด้วยความกระสันต้องการ “ล้มล้าง” อำนาจเถื่อนให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยงานนี้จะไม่มีคำว่า “อารมณ์ค้าง” ไม่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องโดนแรงเสียดทานถาโถมจนพ่ายล้า...เตรียมพบกับ “ไม้ตายคนเสื้อแดง” เพื่อปิดบัญชี!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************

รบครั้งนี้อย่างน้อยทำให้คนๆ หนึ่งช้ำใจ จะได้รู้ว่า "บารมีคุณ" ไม่เท่าที่คิดแล้ว


รบครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้คนๆ หนึ่งช้ำใจ จะได้รู้ว่า "บารมีคุณ" ไม่เท่าที่คิดแล้ว

ตอนสงกรานต์เลือด บางคนคิดว่าเสื้อแดงแพ้ แต่ในทางการเมือง "ผมถือว่าคนเสื้่อแดงได้มากกว่าเสีย" แต่ฝ่ายอำมาตย์นั้นในทางการเมืองถือว่าเสียไปมาก

นี่เป็นสงครามยืดเยื้อ จะประเมินผลได้ผลเสียเฉพาะหน้าไม่ได้
วันสงกรานต์เลือด คนเสื้อแดงแค่ยังไม่ชนะอำมาตย์ แต่ไม่ได้แตกทัพ

ผลได้ของสงกรานต์เลือด ทำให้คนตาสว่างขึ้นมาก มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เสื้อแดงก่อนหน้านั้น ยังไม่มีกลุ่มก้อนที่หนาแน่น ยังไม่มีการจัดตั้ง แกนนำยังไม่ได้เรียนรู้

ศึกเดือนมีนาคมนี้ คนเสื้อแดง พร้อมกว่าครั้งที่แล้ว การจัดตั้ง เครือข่ายทุกอย่าง เทียบกับปีที่แล้วนี้ เทียบกันไม่ได้เลย

หากเรายังไม่อาจเผด็จศึกได้ในครั้งนี้ ก็ไม่มีผลเสียอะไรมากนัก อย่างมากก็กลับบ้านกันไปเตรียม "รบรอบใหม่" อีกครั้ง

ผลได้ในศึกครั้งนี้คือ ทำให้คนเสื้อแดงที่ตาสว่างยังไม่สนิทดี

ตาสว่างจ้า รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง สามารถดึง Mastermind ตัวจริงเสียงจริง ออกมาให้เห็นรำไรได้ (แต่เห็นรำไรก็ทำให้ตาสว่างจ้าแล้ว)

นี่คือ ผลได้อย่างมโหฬาร

บวกกับแนวรบด้านอื่นๆ เช่น ชูพงษ์ เปลี่ยนระบอบ
งานนี้มีแต่ได้กับได้

ศึกเดือนมีนา เราถอยได้ เลิกทัพกลับได้ สู้ใหม่ได้
อำมาตย์แม้จะยังไม่แพ้ แต่จะ "อ่อนกำลังไปมาก"
หากฟลุ๊ก เราก็ชนะเลย

งานนี้ รบก็ต้องรบ สงครามครั้งนี้ปิดประตูแพ้
ศึกครั้งนี้จะทำให้เขา "ช้ำใจหนักยิ่งกว่าเดิม" หากถึงขั้นนองเลือด เขาก็จะได้รู้ว่า ประชาชนไม่เอาแล้ว

ศึกครั้งต่อไป เขาแทบจะไม่มีอะไรเหลือที่จะสู้แล้ว

โดย.ลูกชาวนาไทย
***************************************************

แค้นเก่า? ‘บี้’สุขุมพันธุ์...


อนิจจา กทม.ยุคคุณชายสุขุมพันธ์ ถูกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นเป็นเพียงเบี้ยบนกระดาน ใช้เดินเกมเพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯ และอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จนคน กทม.อึดอัดกันหมดแล้วไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว “สุขุมพันธ์” ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้งานเข้าเต็มๆ สำหรับกรุงเทพมหานคร ยุคที่มี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทั้งๆ ที่ตามปกติ หากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวกับผู้ว่าฯ กทม. ทุกอย่างก็น่าที่จะฉลุยแต่ใครจะคิดว่า ในยุคของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน

ระยะหลังๆ ดูเหมือน กทม.จะตกอยู่ในสถานะ “เบี้ย” ทางการเมือง อย่างไรพิกลแถมเป็นเบี้ยที่ต้องถูกด่า ถูกวิพาก์วิจารร์จากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นระยะๆตลอดเวลาอย่างเช่นการถูกให้เดินเกมปิดสนามหลวงเป็นระยะเวลา 300 วัน ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่า สนามหลวงเป็นพื้นที่หลักพื้นที่หนึ่งในการทวงคืนประชาธิปไตยของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อ กทม.มาสั่งปิดยาว 300 วันเสียงสะท้อนในเชิงลบย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า... จงใจ เจตนา หรือไม่???เช่นเดียว

กับการปิดสะพานลอยสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งทำให้รถติดวินาศสันตะโร ชยันโต กทม.กันลั่นๆ ทั้งเมือง ทำให้สุดท้าย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องออกมาขอโทษประชาชนซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ความสงสัยประดังขึ้นมาทันที เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศว่าจะมีการชุมนุมทวงคืนประชาธิปไตยในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อมีการ

ชิงจังหวะปิดสะพานลอย ทำให้การจราจรมีปัญหา ก่อนหน้าการชุมนุมเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น... ใครเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงก็อดสงสัยไม่ได้ทั้งนั้น ว่านี่มันน่าจะเป็นเจตนามากกว่าบังเอิญที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มีการปักใจเชื่อว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังจงใจใช้ กทม. เป็นเบี้ยในการเดินเกมการเมือง เพียงเพื่อรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ก็เพราะว่าในวันที่ 8 มีนาคม วันเดียวกับการประเดิมสั่งปิดสะพานลอยสาม

เหลี่ยมให้เดือดร้อนกันทั้งเมืองนั้นเอง ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ ได้มีการเรียก นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัด กทม. พร้อมทั้งหัวหน้าเขตใน กทม. ทั้ง 50 เขต มาประชุมอ้างสถานการณ์บ้านเมือง แล้วขอให้บรรดาหัวหน้าเขตไปปลุกระดมชาวบ้าน กับพวกพ่อค้าให้ออกมาต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการให้มีการร่วมมือกันติด Banner ต่อต้าน เรียกร้องความสงบสุข แน่นอนว่างานนี้ แม้แต่ส.ก. ส.ส. ของพรรคประชาธิปปัตย์ ก็ถูกขอให้มาร่วมดำเนินงานในครั้งนี้ด้วย

เช่นกันเล่นเอาบรรดาหัวหน้าเขตทั้งหมดนั่งอึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้เป็นเรื่องของการช่วงชิงและยึดครองอำนาจทางการเมืองของนักการเมือง ที่มีกลุ่มอำมาตยาธิปไตยหนุนหลังแล้วข้าราชการ กทม. ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ทำไมจึงต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยที่สำคัญบรรดาหัวหน้าเขตทั้ง 50 เขต ล้วนอยู่ในพื้นที่และต่างรู้ดีว่า ในพื้นที่นั้นมีสีแดง และมีสีเหลือง รวมทั้งมีสีขาวอยู่ด้วยทั้งนั้น การที่จะสะเหร่อแป๊ะไปขอ

ความร่วมมือแบบที่นายอภิสิทธิ์สั่งการ ก็มีแต่ซวยกับซวยนั่นแหละ ยิ่งหากมีการพลิกผันเปลี่ยนขั้วทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ อันตรายแน่ๆ อะไรไม่ร้ายเท่ากับว่า ไม่ใช่ให้ กทม. เป็นเบี้ยแค่ไปขอให้คนขึ้นป้ายผ้าต่อต้านคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ยังจะให้ กทม.ออกมาตรการห้ามรถที่ติดทะเบียนต่างจังหวัด โดยเฉพาะรถทะเบียน 6 จังหวัดรอบกรุงเทพฯ จะไม่ให้เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงที่คนเสื้อแดงชุมนุมงานนี้ป่วนหนักแน่ เพราะรถทะเบียนปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ ก็

ล้วนแล้วแต่เป็นรถเชิงพาณิชย์ รถที่ทำมาหากิน ขนพวกอาหาร ผักผลไม้ เนื้อ และเนื้อหมู เข้ามาส่งในกรุงเทพฯ เข้ามาส่งในตลาดขืน กทม. ประกาศออกมาจริง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจะพลอยลุกฮือขึ้นมาด้วย ทีนี้ล่ะได้กลายเป็นจราจลเลยแหละ เพราะเรื่องปากท้องการทำมาหากินของชาวบ้าน เอามาเป็นเกมการเมืองได้อย่างไรยังคลั่งไม่พอ... เพราะในการประชุมยังมีการเสนอมาตรการให้ปิดปั้มน้ำมันรอบกรุงเทพฯด้วย หวังบีบให้ผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุมนุม เข้า

กรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำมันเติม หรือหากเข้ามาได้ ก็จะไม่มีน้ำมันเติมกลับบ้านรวมทั้งยังคิดจะให้ กทม. สั่งห้ามรถอีแต๋น เข้ากรุงเทพฯ อีกด้วยนี่คืออาการคลั่งอำนาจ และการพยายามรักษาความมั่นคงของตนเอง โดยไม่มีการคำนึงถึงอะไรอีกแล้วดังนั้นเมื่อ ทางกทม. ได้มีการชี้แจงด้วยความลำบากใจว่า ตามบัญญัติอำนาจหน้าที่ของ กทม.นั้น มีหน้าที่ทำความสะอาด หาห้องน้ำ รักษาพยาบาล จัดการจราจร ดูแลทุกข์สุข ให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสีไหน

ก็ตามเล่นเอาบิ๊กประชาธิปัตย์นอกจากตกอยู่ในสภาวะหน้าหงายแล้ว ยังถึงกับทะลุขีดคลั่ง เพราะเหมือนกับเป็นการตอบเป็นนัยๆ ว่าไม่มีหน้าที่รับใช้พรรคการเมืองไม่มีหน้าที่เป็นเบี้ยบนกระดานการเมืองให้ใครซึ่งจะว่าไปก็โทษว่าทาง กทม. ที่ต้องตั้งการ์ดสูงระวังตัวไว้ก่อนไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา การเมืองรอบนี้ก็ใช้ กทม. ใช้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ให้เปลืองตัวจริงๆไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว

ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้จึงทำให้ครั้งนี้ถึงได้ หวังใช้ กทม.ให้ทำงานที่เสี่ยงต่อการ “กระทำเกินหน้าที่” ซึ่งเป็นอันตรายต่อหน่วยงานและข้าราชการ กทม.ทั้งหมดเป็นอย่างมากเป็นเกมอำมหิตและคบยากจริงๆ ของประชาธิปัตย์สไตล์คบยากของประชา

ธิปัตย์แบบนี้แหละที่ทำให้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่วิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) นายพินิจ จารุสมบัติ ในฐานะประธานรุ่น 9 ได้ขึ้นบนเวทีกล่าวต้อนรับ นักศึกษารุ่นที่ 10 ซึ่งมีนายบรรหาร ศิลปอาชา กับพวกรุ่นใหญ่ๆ ของประเทศอีกหลายคนอยู่ในรุ่นนี้ด้วย ทำให้มีคนแทบทุกพรรคการเมือง เป็นนักเรียนรุ่นที่ 10 ซึ่งวันนั้นท่ามกลาง วตท. ทั้งรุ่น 9 และรุ่น 10 ประมาณ 200 กล่าวคน นายพินิจ ได้มีการกล่าวว่า “ขอให้พี่บรรหารเพียงทำ ส.ส.ในสังกัดเปลี่ยนขั้ว ประเทศไทยจะ

เจริญก้าวหน้าสงบสุขทันที”เรียกเสียงเฮฮาได้ดังลั่น แต่เมื่อหลายๆ คนเหลือบไปเห็นหน้า นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ซึ่งเป็น วตท.รุ่น 9 นั่งอยู่ด้วย ทุกคนก็ขำไม่ออกเพราะตามข่าวบอกว่าหน้าตาของนายไตรรงค์ไม่ค่อยจะมีความสุขเอาเสียเลยแต่จะโทษใครได้ ทุกอย่างล้วนเกิดจาก ปชป.ยุคเด็กดื้อที่มีอำมาตย์อุ้มทั้งสิ้น... บ้านเมืองถึงวุ่นวายเช่นนี้

ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ทักษิณ"จวกรบ.ใช้วิชามารสกัดแดง


"ทักษิณ"จวกรบ.ใช้วิชามารสกัดแดง ปลุกต้องสู้อย่าหวั่นไหว เหน็บรบ.ประกาศใช้พ.ร.ก.บ่อยกว่ากระดาษชำระ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.45 น. วันที่ 10 มีนาคม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงค์เป็นภาษาเหนือไปยังเวที “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน” ของกลุ่มคนเสื้อแดง 4 จุด ประกอบด้วยอ. สูงเม่น จ. แพร่, อ. เชียงแสน จ. เชียงราย, อ. สันกำแพง จ. เชียงใหม่ และอ. อาจสามารถ จ. ร้อยเอ็ด โดยมีใจความตอนหนึ่งว่าในวันที่ 14 มีนาคมที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมีชุมนุมกัน มีข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งตนมาว่ามีความพยายามจะสกัดไม่ให้พวกเราเข้าไปในกรุงเทพฯ โดยมีการวางระบบเพื่อทำลายภาพลักษณ์กลุ่มเสื้อแดงเหมือนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถือเป็นวิชามารของรัฐบาล โดยกล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้นขอให้ชาวเสื้อแดงเตรียมกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ กล้องโทรศัพท์มือถือติดตัวไป หากเกิดเหตุการณ์อะไรให้ถ่ายรูปไว้เพื่อเอาไปฟ้องชาวโลก วันนี้เราต้องสู้ต่อ อย่าหวั่นไหว ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อม

พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวต่อว่า นอกจากนี้อยากฝากบอกไปยังผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เคยออกทีวีเรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ถ้าเป็นตนปลดแม่งไปแล้ว แต่วันนี้กลับมาปล่อยข่าวปฏิวัติ แทนที่จะไปออกทีวีปลดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นนายกฯ ที่ไม่มีความสง่างาม อย่างวันนี้ก็มีลุงจากจ. นครพนมกำขี้วัวจากบ้านเกิดไปปาบ้าน แสดงให้เห็นว่าคนมันบัดซบ ไม่มีความสง่างาม เพราะปล้นอำนาจประชาชน โดยมีศาล อำมาตย์ และทหารช่วยเหลือ

“ขอบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นภัยต่อบ้านเมือง แต้ต้องการเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้จะเข้ามาก่อความวุ่นวาย เราเป็นคนไทย รักแผ่นดินไทย ดังนั้นในวันที่ 14 มีนาคมนี้ใครมาได้ต้องมา ถ้าคนมามากขนาดนี้ แล้วมันเอาลวดหนามมาขวาง ก็ยกให้คว่ำไปเลย” พ.ต.ท. ทักษิณกล่าว

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูด"คำเมือง" กับชาวเสื้อแดงว่า รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บ่อยกว่ากระดาษชำระที่บ้านอีก ตอนช่วงสมัยที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศ พ.ร.ก.ทหารซื่อบื้อไม่ทำอะไรสักอย่าง สมัย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกพ.ร.ก.เพราะมีการยึดสนามบินแต่ทหารไม่ทำอะไรสักอย่าง เพราะกินภาษีประชาชนแต่ฟังอำมาตย์ เชื่อคำสั่งผู้มีบารมีนอกระบบ


ที่มา..มติชนออนไลน์
**************************************

พังเพราะอคติและความกลัว!

คอลัมน์ .เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

“แม้การปฏิวัติรัฐประหารจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้”

คำพูดของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตซีไอเอไทย เจ้าของฉายา “ปิศาจคาบไปป์” ไม่ใช่จะผ่านเลยไปเฉยๆ แม้จะรู้กันดีว่า น.ต.ประสงค์มีความคิดสีเหลืองทั้งสมอง แต่เรื่องการมองปัญหาบ้านเมืองถือว่าเป็นคนที่มองปัญหาได้เฉียบคมและชัดเจนคนหนึ่ง

โดยเฉพาะการติติงรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่ง น.ต.ประสงค์เชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต แต่ไม่เชื่อในรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล จึงได้พยายามให้นายอภิสิทธิ์มีความกล้าที่จะสั่งการหรือปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่มีปัญหาหรือส่อว่าจะมีปัญหา ไม่ใช่พะวงแต่ผลประโยชน์ของพรรคมากจนเกินไป

น.ต.ประสงค์จึงเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์วันนี้กำลังนับถอยหลังและใกล้ถึง “จุดเปลี่ยน” เพราะเชื่อว่าขณะนี้กระแสของความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไปมีปัญหากับระดับสูงขึ้นมาอีก

แต่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจนบ้านเมืองหายนะนั้น ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและคนในกองทัพคงไม่ยอม

เพราะฉะนั้นเงื่อนไขของการทำปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่อยู่ดีๆทหารจะออกมา แต่เพราะมีเงื่อนไขให้ทหารต้องออกมารักษาสถานการณ์ให้เกิดความมั่นคงและเป็นปรกติสุข

จะเป็นการขู่คนเสื้อแดง รัฐบาล หรือส่งสัญญาณเพื่อใครก็ตาม แต่ก็เหมือน “จิ้งจกทัก” ซึ่งประเทศไทยจิ้งจกเยอะจนยั้วเยี้ยอยู่แล้ว แถมยังมี “ตุ๊กแก” ตัวโตๆอีก

เรื่องการชุมนุมของคนเสื้อแดงจึงอาจทำให้เห็นปรากฏการณ์หลากหลายและมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ให้เห็นก็ได้

ความเงียบกับการทำสงครามข่าวสารนั้นต้องจับทิศทางและดูต้นตอให้ดี เพราะสถานการณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มีการสอดแทรกและสร้างเงื่อนไขที่สามารถทำให้เกิดสถานการณ์พลิกขั้ว พลิกอำนาจได้ง่ายๆ

ไม่ใช่ “น้ำผึ้งหยดเดียว” แต่เป็น “ดินพอกหางหมู” ของรัฐบาลที่มองแต่คนอื่นจนลืมมองดูตัวเองว่าขาและหางนั้นจมอยู่ในบ่อดินบ่อโคลนจนก้าวไปออก

ข้อมูลและข่าวสารที่ได้รับรายงานจากฝ่ายความมั่นคง ถ้าไม่กรองให้ดีหรือคนกรองมีอคติก็จะนำไปซึ่งการวางแผนที่ผิดพลาดได้ง่ายๆ

เพราะการให้ได้ชัยชนะนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะกับประชาชน

อย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาเตือนรัฐบาลที่ออกมาพูดแต่ความรุนแรงและการใช้มาตรการต่างๆเพื่อหยุดคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นท่าทีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

คือมองคนเสื้อแดงเป็น “ศัตรู” ของแผ่นดิน ทั้งที่คนเป็นล้านๆออกมาก็เพราะเห็นว่าบ้านเมืองไม่มีความยุติธรรมจึงต้องการให้นำประชาธิปไตยกลับคืนมา

ดังนั้น ความเห็น พล.อ.ชวลิตจึงยังเชื่อมั่นว่าวันนี้ทุกฝ่ายก็ยังสามารถแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงได้ เพราะเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือต้องพูดจากัน นั่งคุย ปรึกษาหารือกันหน่อย

“เขาก็ลูกหลาน พี่น้อง เพื่อนฝูงเราทั้งนั้น ก็แค่นั้นเอง ทำไมไม่มีหัวใจให้กันบ้าง สิ่งนี้สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่ถ้าไปสร้างเรื่องต่างๆให้มันเกิดขึ้นก็ยุ่ง ผมพยายามอธิบายให้แล้วว่าพบปะ พูดคุย เปิดให้โล่งหน่อยนะ ให้เขาได้แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะบ้าง ทุกอย่างก็จะง่ายลง เราทำกันมาให้เห็นตั้งเยอะแยะแล้วในอดีต”

แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์และพ่อบ้านที่มาดนักเลงกลับไม่เคยที่จะคิดอย่างนี้

เรื่องง่ายๆก็เลยกลายเป็นยุ่งยาก เพราะความอคติที่ฝังแน่นพอๆกับกลัวจะสูญเสียอำนาจ

สุดท้ายมันก็มีแต่ตกต่ำเป็นสาละวันเตี้ยลงๆ...แล้วยังทำให้บ้านเมืองพังพินาศไปด้วย

**********************************************************************

อำนาจรัฐกับการชุมนุมสาธารณะ


บทเรียนจากเหตุการณ์เดือนตุลาคมปี 2516 ปี 2519 และพฤษภาคม 2535 สอนให้สังคมไทยรู้ว่า การที่รัฐใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามการชุมนุมของประชาชนเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ และจะนำไปสู่การสูญเสียความชอบธรรมของผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง

แต่ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นแบบทดสอบทางความคิดที่ไม่ง่ายต่อสังคมไทยนัก เมื่อมีความคิดเห็นทางอุดมการณ์การเมืองที่หลากหลาย มีการชุมนุมประท้วงจากหลากหลายฝ่าย ที่ทั้งเพิ่มความถี่ และเพิ่มระดับความเข้มข้นมากขึ้น

หลายคนในสังคมมองเห็นว่า สังคมในปัจจุบันกำลังอยู่ในความแตกแยก เพราะเพียงแค่เลือกพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน หรือมีรสนิยมทางการเมืองที่แตกต่างกัน ถูกนิยามกลายเป็นเรื่องดี ชั่ว และผลกระทบก็คือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกละเลย การออกมาชุมนุมแต่ละครั้งมีทั้งความชอบธรรมและความเกลียดชัง

คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งที่เคยเชื่อในเรื่องเสรีภาพการแสดงออก เคยมีจุดยืนที่แน่วแน่ว่าการที่รัฐใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามการชุมนุมเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ มาวันนี้ความหนักแน่นในแนวคิดเหล่านั้นกลับอ่อนกำลังลง และเริ่มรู้สึกยินดีที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมบ้าง เพื่อให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

หรือความขัดแย้งในการเมืองไทย สร้างมาตรฐานใหม่ให้การชุมนุมในที่สาธารณะไปเสียแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีแค่มาตรฐานเดียว

ที่ผ่านมาพบว่า การชุมนุมของประชาชนหลายครั้งต้องเผชิญกับปลายทาง ด้วยการใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนทั่วไป ที่ให้ไฟเขียวต่อการปราบปรามการชุมนุม ดังเช่น

เหตุการณ์วันที่ 22 กรกฎาคม 2550 เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมบริเวณหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อเปิดทางเข้าออกบริเวณหน้ารัฐสภา

เหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน 2552 เจ้าหน้าที่ทหารใช้กำลังเข้าปราบปรามการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและบริเวณใกล้เคียงหลายจุด มีการใช้อาวุธปืนเอ็ม16ยิงขู่ และใช้กระสุนกระดาษยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อสลายการชุมนุม

และระยะหลังนี้ ไม่ต้องรอให้เกิดสถานการณ์การชุมนุม แต่ก็มีกรณีที่รัฐบาลชิงประกาศล่วงหน้าว่า เตรียมใช้เครื่อง LRAD หรือเครื่องขยายเสียงระยะไกล ในช่วงก่อนการนัดชุมนุมใหญ่ครบรอบ 3 ปีการรัฐประหาร ที่แย่ไปกว่านั้น ก่อนจะถึงวันชุมนุมดังกล่าว ในวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา เครื่อง LRAD นี้ก็ได้แสดงพลังของมัน โดยตำรวจนำมาใช้ในการชุมนุมของกลุ่มสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ที่ถูกเลิกจ้าง บริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อสลายการชุมนุม

ประสบการณ์เหล่านี้แสดงให้สังคมรู้สึกว่า แนวโน้มการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ดูจะเน้นที่การนำอาวุธมาใช้จัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม มากกว่าการประสานเจรจา การใช้ความอดทนและเข้าใจบนฐานของการเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก

ประเด็นที่สาธารณะชนให้ความสนใจมากขึ้น จึงมีทั้งเรื่องอาวุธที่อยู่ในมือรัฐ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐและวิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติ และประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ วิธีการแบบใดที่สามารถกระทำได้


เครื่องมือหรืออาวุธของเจ้าหน้าที่ที่นำมาใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุม

แก๊สน้ำตา เป็นอาวุธที่พบเห็นบ่อยในการใช้สลายการชุมนุม แก๊สน้ำตามีหลายประเภท ผู้ที่ถูกแก๊สน้ำตาจะมีอาการน้ำตาไหล น้ำมูกไหล มองไม่ชัด ระคายเคือง อาเจียน ถ้าสัมผัสปริมาณมาก อาจถึงขั้นตาบอดได้ คนทั่วไปไม่สามารถทนอยู่ในบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาได้ โดยทั่วไป เมื่อออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตา ประมาณ 1 ชั่วโมง อาการก็จะหายไปเอง จึงมองได้ว่าเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่ส่งผลกระทบร้ายแรง เป็นเครื่องมือสลายการชุมนุมที่ใช้ทั่วไปในต่างประเทศ ในปัจจุบันมีทั้งแบบยิง และแบบขว้าง ซึ่งในประเทศไทยก็นำมาใช้ทั้งสองแบบ

สเปรย์พริกไทย นอกจากจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวแล้ว สเปรย์พริกไทยยังถูกนำมาใช้ในการควบคุมการชุมนุมด้วย แท้จริงแล้ว สเปรย์พริกไทยเป็นสารสกัดจากพริก ไม่ใช่พริกไทย ผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ทำให้ตาปิดและมองไม่เห็นเป็นเวลา 30-45 นาที แสบตา ทำให้หายใจยาก พูดยาก ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต หลังจากถูกสเปรย์พริกไทยประมาณ 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงอาการจะหายไปเช่นกัน


กระสุนยาง เป็นอาวุธควบคุมการชุมนุมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยมานาน แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวมากนัก กระสุนยางใช้ยิงผ่านปืนบางชนิด ถ้ายิงโดนบริเวณท้องหรือลำตัวจะทำให้จุก ถ้าโดนบริเวณกระดูกอาจถึงขั้นกระดูกหัก และถ้าโดนกะโหลกศีรษะอาจทำให้กะโหลกศีรษะร้าวและอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นอาวุธอีกชนิดหนึ่งที่หลายประเทศใช้ในการปราบจราจล


เครื่อง LRAD เครื่องขยายเสียงระยะไกล เป็นอาวุธสงครามที่สหรัฐอเมริกาผลิตขึ้น ใช้ป้องกันเรือรบจากการโจมตีของเรือเล็ก ต่อมานำมาใช้เพื่อป้องกันการโจมตีของโจรสลัด และสหรัฐเคยนำมาใช้กับการควบคุมฝูงชนในอิรักด้วย LRAD มีลักษณะเป็นเครื่องขยายเสียง ใช้ในการประกาศ สื่อสารกับผู้ชุมนุม สามารถกำหนดทิศทางของเสียงได้ และสามารถส่งเสียงดังได้ถึง 151 เดซิเบล ซึ่งเป็นความดังที่ประสาทหูของคนทั่วไปจะรับไม่ได้ ผู้ที่อยู่ในระยะของเสียงจะเกิดอาการปวดแก้วหู คลื่นไส้ อาเจียน ทนไม่ไหว ต้องหลบให้พ้นจากแนวเสียง หากทนอยู่นานๆ อาจสูญเสียประสาทการได้ยินเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้

นอกจากที่กล่าวมา ในต่างประเทศยังมีอาวุธและอุปกรณ์อีกหลายชนิดที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับการควบคุมการชุมนุม เช่น ปืนไฟฟ้า ปืนถุงถั่ว ระเบิดกลิ่นเหม็น (Stink bomb) ระเบิดเสียง ปืนตาข่าย (Net gun) โฟมกาว (Gooey foam) สุนัขตำรวจ บางชนิดก็ได้รับการยอมรับให้ใช้ในการสลายการชุมนุมได้ บางชนิดก็ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ถึงผลกระทบว่าอาจจะรุนแรงเกินไป ซึ่งหากสถานการณ์การชุมนุมของไทยยังคงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ เราอาจจะได้เห็นเครื่องมือชนิดใหม่ๆ ในประเทศไทยอีกก็เป็นได้


กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “การเข้าสลาย” การชุมนุม
ที่ผ่านมา มีการพูดถึงการจัดการการชุมนุม โดยหลายฝ่ายเคยอยากเสนอให้มีการออกเป็นพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่สาธารณะ อย่างไรก็ดี ด้วยกฎหมายที่มีอยู่ทุกวันนี้ มีกลไกกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐจัดการต่อการชุมนุมได้อยู่แล้ว ได้แก่


ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ บรรดาผู้ที่กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ


ในประมวลกฎหมายอาญา ได้ระบุความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดฐานมั่วสุมกันแล้วเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกรัฐบาลมักระบุว่าผู้ชุมนุมมีความผิดตามกฎหมายมาตรานี้ จึงต้องใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งใช้ได้กับการชุมนุมแทบทุกรูปแบบ

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2551
มาตรา 108 ห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินเป็นขบวนแห่ หรือเดินเป็นขบวนใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร เว้นแต่
(๑) เป็นแถวทหารหรือตำรวจ ที่มีผู้ควบคุมตามระเบียบแบบแผน
(๒) แถวหรือขบวนแห่หรือขบวนใดๆ ที่เจ้าพนักงานจราจรได้อนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนด
มาตรา 109 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ บนทางเท้าหรือทางใดๆ ซึ่งจัดไว้สำหรับคนเดินเท้าในลักษณะที่เป็นการกีดขวางผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร


พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินขบวนกีดขวางการจราจร และห้ามผู้ใดทำด้วยประการใดๆ ที่เป็นการกีดขวางทางเท้า แต่จะเห็นว่า การชุมนุมตามท้องถนนแทบทุกกรณีก็เข้าข่ายการกีดขวางการจราจร หรืออย่างน้อยก็เป็นการกีดขวางทางเท้า เรียกได้ว่าเป็นกฎหมายที่มีโทษเบาแต่เจ้าหน้าที่อาจใช้อ้างได้เสมอเพื่อการเข้าสลายการชุมนุม

พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
มาตรา ๑๘ เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ภายในพื้นที่ ตามมาตรา ๑๕ ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้
(๒) ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนดในห้วงเวลาที่ปฏิบัติการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น
(๓) ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด



เป็นกฎหมายที่รัฐบาลชุดนี้นำมาประกาศใช้ก่อนมีการชุมนุมครั้งใหญ่ หรือมีเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดการชุมนุม เมื่อรัฐบาลประกาศใช้ในท้องที่ใดมีผลให้อำนาจในการตัดสินใจ การควบคุมดูแลการชุมนุมของทุกองค์กรโอนมาเป็นของผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี โดยมีหน่วยงานของทหารอยู่ในอำนาจการบริหารงาน และมีอำนาจออกข้อกำหนดต่างๆ เพื่อควบคุมการชุมนุม

พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้
(๒) ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้กฎหมายนี้ในท้องที่ที่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย ปัจจุบันประกาศใช้อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้อำนาจการแก้ไขสถานการณ์เป็นของนายกรัฐมนตรีผู้เดียวและนายกรัฐมนตรีมีอำนาจหลายประการที่เพิ่มขึ้นจากกฎหมายในยามปกติ และอาจออกข้อกำหนดมาควบคุมการชุมนุมต่างๆ ตลอดจนข้อกำหนดอื่นๆ ที่อาจเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพได้

หากว่าการชุมนุมครั้งใดเข้าข่ายผิดกฎหมายบทอื่นอีก เช่น มีการบุกรุกสถานที่ราชการ ทำลายทรัพย์สิน ส่งเสียงดังรบกวน หมิ่นประมาทบุคคล หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะมีเหตุผลมากขึ้นในการเข้าสลายการชุมนุม แม้แต่ข้อหากบฎ ก็ยังเคยนำมาใช้


หลักสากลในการสลายการชุมนุม
กฎหมายต่างๆ ที่ยกมานี้ ทำให้ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า ทุกครั้งที่มีความพยายามออกกฎหมายการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมักบอกว่า เจ้าหน้าที่รัฐจำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ เพื่อให้มี “เครื่องมือ” ในการบริหารจัดการผู้ชุมนุม นั้น มีความจำเป็นจริงหรือ กฎหมายเท่าที่มีอยู่นี้ยังไม่เพียงพอจะเป็น “เครื่องมือ” ให้เจ้าหน้าที่ได้หรือ

แทนที่จะมองการออกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่เป็นการมองจากฟากของรัฐว่าจะจัดการประชาชนอย่างไร ในทางตรงกันข้าม ฟากประชาชนต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหาเครื่องมือในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม และตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐที่จะมาควบคุมการชุมนุมให้มีมาตรฐาน

ในทางสากล แม้เรื่องนี้จะไม่ได้มีหลักสากลระหว่างประเทศที่ไทยมีพันธะร่วม แต่ก็พอจะมีมาตรฐานของวิธีการที่นานาประเทศนำมาใช้และเป็นที่ยอมรับกัน


กล่าวโดยสรุป เจ้าหน้าที่จะดำเนินการสลายการชุมนุมได้ ขั้นแรกต้องเริ่มจากการเจรจาหาทางออกก่อน หากไม่สำเร็จเจ้าหน้าที่ต้องประกาศให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามคำสั่ง หรือเตือนก่อนว่าจะสลายการชุมนุม จากนั้นต้องแสดงพลังเพื่อส่งสัญญาณ เช่น การกระแทกกระบองกับโล่ให้เกิดเสียง ถ้าผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัวต้องประกาศเตือนอีกครั้งแล้วจึงสามารถเข้าสลายการชุมนุมได้ โดยต้องเริ่มจากมาตรการเบาก่อนแล้วค่อยๆ หนักขึ้น คือ ใช้รถฉีดน้ำก่อน ถ้าไม่สำเร็จผลค่อยใช้แก๊สน้ำตา ไม่มีข้อกำหนดให้ใช้อาวุธหนัก หรืออาวุธสงครามได้และหลังจากการสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่ต้องเข้าเคลียร์พื้นที่ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และเยียวยาความเสียหายด้วย

การชุมนุมสาธารณะ เป็นวิธีการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ และแทบจะเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ผู้มีอำนาจน้อยกว่าสามารถหยิบมาใช้ได้อย่างเสมอภาคกัน ขณะเดียวกันการแสดงออกผ่านการชุมนุมก็จำเป็นที่จะต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลอื่น และไม่ละเมิดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย

การสลายการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐใช้วิธีการ อาวุธ เหตุผล และอาศัยกฎหมายที่ให้อำนาจแตกต่างกันไป ในแง่หนึ่งก็เป็นการกระทบสิทธิของผู้ชุมนุมเพราะไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องพบกับการสลายการชุมนุมเมื่อไร อย่างไร และเพราะอะไร ซึ่งบรรยากาศความไม่มั่นคงเช่นนี้ บั่นทอนการแสดงความคิดเห็นในสังคมประชาธิปไตยอย่างรุนแรง

เพราะฉะนั้นแล้ว การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ควรมีกรอบแนวทางหรือไม่และอย่างไร เพื่อคุ้มครองกลุ่มผู้ชุมนุมเองและคุ้มครองความสงบสุขของสังคม เงื่อนไขเช่นไรที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมได้ อาวุธอะไรที่จะนำมาใช้ได้ในแต่ละสถานการณ์ จะมีมาตรการใดที่ทำให้ผู้ที่เสียเปรียบอยู่แล้วไม่กลายเป็นผู้ถูกกระทำซ้ำอีก

ที่มา:ilaw bata
***************************************************

กฎการใช้กำลังของกองทัพไทยในการปราบปรามจลาจล


เป็นแนวทางที่ กห. กำหนดขึ้นภายใต้ความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี เพื่อควบคุมการใช้กำลังให้อยู่ภายใต้กฎหมาย และ เป็นแนวทางการใช้อาวุธต่อสถานการณ์ที่มีการจลาจลเกิดขึ้น เพื่อให้กำลังของกองทัพไทยสามารถใช้กำลังเพื่อบรรลุภารกิจ โดย กฎการใช้กำลัง นี้จะไม่เป็นข้อจำกัดที่ทำให้กำลังพลสูญเสียสิทธิในการป้องกันตนเอง

การใช้กำลัง
๑. ใช้กำลังตามความจำเป็นของสถานการณ์
๒. ก่อนการใช้กำลังให้มีการแจ้งเตือนก่อน เว้นแต่ในกรณีที่ฝ่ายเราถูกโจมตีก่อน
๓. การใช้กำลังเพื่อบังคับผู้ชุมนุมปฏิบัติตามคำสั่งหรือกรณีที่มีการฝ่าฝืนคำสั่ง
๓.๑ เตือนด้วยวาจาให้หยุดการกระทำหากไม่หยุดให้แสดงท่าพร้อมใช้กำลัง
๓.๒ หากฝ่าฝืนให้ใช้กำลังเพื่อกักตัวหรือทำการจับกุม โดยใช้กำลังที่เหมาะสม
๓.๓ การปฏิบัติต่อ สตรี เด็กและคนชราจะต้อเพิ่มความระมัดระวัง เหมาะสมกับสถานภาพ
๔. การใช้กำลังเข้าสลายฝูงชน ให้อยู่ในอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารในพื้นที่ ที่ได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบในการปราบปรามจลาจล
๕. การใช้กำลังป้องกันตนเองหรือทรัพย์สินของทางราชการ ป้องกันการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือปกป้องชีวิตผู้อื่นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง สามารถกระทำได้ตามความจำเป็น แต่ต้องพอสมควรแก่เหตุ

การใช้อาวุธ
๑. ใช้เฉพาะในสถานการณ์วิกฤติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
๒. หากสามารถกระทำได้ให้เตือนก่อนว่า จะใช้กำลังเข้าสลายฝูงชน
๓. การใช้กระบอง ให้ใช้ในกรณีผลักดันกลุ่มคนออกจากพื้นที่
๓.๑ ต้องเตือนก่อน เว้นแต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
๓.๒ หากจำเป็นต้องทำการตี ต้องไม่ตีที่บริเวณอวัยวะสำคัญ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือทำให้พิการ
๔. การยิงกระสุนยาง ให้ใช้ต่อเป้าหมายที่กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิตเรา โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จะต้องเล็งยิงให้กระสุนยางกระทบส่วนล่างของร่างกายของผู้ที่เป็นเป้าหมาย จะต้องไม่ยิงในระยะใกล้กว่า ๒๐ เมตร เว้นแต่มีภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อชีวิตซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
๕. การใช้น้ำฉีด ให้ใช้ในกรณีการสลายฝูงชน โดยใช้แรงดันเท่าที่จำเป็น และอย่าฉีดน้ำไปยังบริเวณอวัยวะที่บอบบาง เช่น ดวงตา
๖. การใช้สารควบคุมการจลาจลในการสลายฝูงชนอยู่ในอำนาจของ ผู้บังคับบัญชาทหารที่ไดรับคำสั่งให้รับผิดชอบในการปราบปรามการจลาจล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
๗. การใช้ ลูกระเบิดแก๊สน้ำตา
๗.๑ระยะยิง/ขว้าง ต้องไม่ต่ำกว่า ๒๕ เมตร
๗.๒ มุมการยิง/ขว้าง ต้องไม่ถูกยิงหรือขว้างไปโดนตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
๗.๓ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายแก่กลุ่มบุคคลใกล้เคียงที่ไม่เกี่ยวข้อง
๘.การใช้อาวุธประจำกาย สามารถทำได้ตามความจำเป็นเพื่อป้องกันตนเองหรือชีวิตผู้อื่น แต่จะต้องพอสมควรแก่เหตุ และให้ยุติการใช้ เมื่อภัยคุกคามนั้นสิ้นสุดลง
๙. ห้ามใช้อาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูงกว่าอาวุธประจำกาย เช่น เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม.๗๙ ลูกระเบิดสังหาร ระเบิดเพลิง ปืนกลเบา ปืนกลประจำรถถัง ปืนต่อสู้อากาศยาน เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ อาวุธที่ติดกับอากาศยานทุกชนิด

หมายเหตุ

- เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ต้องดำเนินการช่วยเหลือทางการแพทย์ : ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดควรได้รับการปฐมพยาบาลโดยเร็วที่สุด

- มาตรการเสริม ให้เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารที่ได้รับคำสั่ง หรือมอบอำนาจให้รับผิดชอบในการปราบจลาจล
ข้อแนะนำในการปฏิบัติของกำลัง รส.ในการควบคุมและสลายฝูงชน
จะต้องใช้มาตรการจาก เบาไปหาหนักเป็นลำดับ ดังนี้
1.ปจว.กับผู้ชุมนุมโดยรถติดเครื่องขยายของหน่วย
2. ใช้รถดับเพลิงฉีดเพื่อควบคุมฝูงชน
3. ใช้แก๊สน้ำตา
4.ใช้กำลังเข้าตัด ฝูงชน/ ควบคุมแกนนำ / รถ/เครื่องเสียง และ ผลักดัน ฝูงชนที่แตกแยก
5. ควบคุมพื้นที่

วิธีปฏิบัติเมื่อเข้าปะทะ
ถ้าการต้านทานไม่รุนแรง ให้ดันเท่านั้น ไม่ใช้กระบอง
ถ้าการดันไม่ได้ผลทำให้รูปขบวนถอย จำเป็นต้องใช้กระบองตามยุทธวิธี
การใช้แรงผลักดันอย่างเดียวจะไม่สามารถผลักดันให้ถอยหลังได้ จำเป็นต้องให้ฝูงชนผลักดันกันเองเนื่องจากความเจ็บปวดจะทำให้ไม่ต้องการปะทะเจ้าหน้าที่(แรงดันกลับ)