--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

รุนแรงเพิ่มขึ้น เปรมอยู่ในแผ่นดินไทยไม่ได้แล้วแค้นจัดโดนโห่ไล่กลางงานศพ

คืบหน้าล่าสุด

1 เสธแดงได้รับประกันตัวมาแล้วแต่เคทองไม่ได้ประกันตัว แสดงว่าศาลชั้นต้นมีความเป็นกลางอยู่มาก เพราะเราทำนายผลไม่ได้ แต่ถ้าศาลฎีกา คดีไหนคดีนั้น รู้ผลล่วงหน้า แล้วก็มีพวกศาลกันเองหรือพวกอำมาตย์ออกมายกกันเองว่าตัดสินเที่ยงตรง ทั้งที่สถาบันเพิร์ธให้คะแนนกระบวนการยุติธรรมไทยรองโหล่ในเอเซีย พอมีคนมาโต้ประเด็นศาล เลขาศาลยังชี้ข้อกฎหมายผิดๆ ออกมาตลอดเวลา

2 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นถึงประธานองคมนตรี ทำตัวเดินเหินเลียนแบบเจ้า ชอบให้คนกราบเท้า วันนี้ใจสั่น ขณะที่กำลังเดินไปที่นั่งงานพระราชทานเพลิงศพพ.อ.(พิเศษ) บริบูรณ์ ไทยสมุทร นายทหารติดตามและเป็นนายทหารคนสนิท ( ท.ส. ) ที่วัดสุทธจินดาวรวิหาร อ.เมืองนครราชสีมา โดนคนเสื้อแดงเปิดเครื่องขยายเสียงและโห่ไล่ เปรมถึงกับหันมามองตาเข้มด้วยความแค้นและอาย มานั่งที่นั่งก็หน้าหมองอาย เก็บอารมณ์ไม่อยู่อย่างชัดเจน ขาดความสง่าของรัฐบุรุษ ดีว่ามีตำรวจและทหาร 500 คนป้องกันแดง 50 คนเข้าถึงตัว
นี่ไง รัฐบุรุษไทย ไปไหนไม่ได้แล้ว ไปกินสุกี้ไปโรงแรมไหน คนรู้ไล่ทันที ไปงานศพ คนเขาไม่ได้ลบหลู่คนตาย แต่เขาเห็นว่า คนพรรค์นี้ไม่ควรไปในงานศพ ก็โห่ไล่
ไม่รู้จะหนาไปถึงไหน ลาออกไปสักคน บ้านเมืองก็คลายวิกฤติได้ แต่มันเลือกจะตายคาตำแหน่งลาภยศ อือ คนเป็นรัฐบุรุษเขามีหัวคิดได้แค่นี้

3. เมื่อประธานสภาอุตสาหกรรมประกาศสนับสนุนรัฐบาลใช้ทหารปราบม็อบ วัดศรีบุญเรือง วัดใหญ่ในเชียงใหม่ ก็ประกาศระดมพุทธศาสนิกชนล้มทหารโจร และรัฐบาลโจรขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับคณะสงฆ์จำนวนมากประกาศสู้กับทรราช แม้มหาเถระสมาคมจะออกมาห้ามเป็นพิธี แต่วันนี้ ชาววัดเขาก็ไม่ยอมให้นายทุนสมคบโจรปล้นชาติต่อไปแล้ว ตรงข้ามกับพระฝ่ายเหลือง วัดป่าบ้านตาดได้ถอนตัวจากพรรค ปชป ไปแล้วไปเลย เนื่องจากไม่พอใจที่ ปชป เตรียมปล้นทองหลวงตาช่วยชาติ ก็คงเหลืออลัชชีสันติอโศกที่ไม่ใช่วัดใหญ่วัดโต แต่เป็นพวกอลัชชีที่คณะสงฆ์ไทยจับสึกยังสนับสนุนรัฐบาลโจรอยู่ นั่นคือ ที่มั่นสุดท้ายทางศาสนาของรัฐบาล

4. ความแตกแล้ว รัฐบาลเย้ยหยันแดงมีพลเหลือไม่ถึงหมื่นห้า แดงแตกกันเอง แดงเข้ากรุงไม่เกินแสน แต่ดูการเตรียมตัวของรัฐบาลทหารตำรวจห้าหมื่นคน อือ รับม็อบแค่แสนนี่นะ มีการเตรียมโรยเรือใบรอบพระนครให้ยางรถกระบะกลุ่มเสื้อแดงแตก เตรียมรถดับเพลิงฉีดไล่ผู้ชุมนุมสี่สิบคัน ตรงนี้ขอบคุณ เพราะแดงจะได้ยึดเอาไปฉีดไล่ทหารราบ 11 ก่อนเลย และรถส้วมเตรียมไว้สู้กับทหารจากปราจีนบุรี

ทั้งหมด ตอกย้ำแล้วว่า ศึกแดงเดือดหนักหนากว่ารัฐบาลโม้ไว้มาก รัฐบวมกลัวขนาดพยายามส่งฟอร์เวิร์ดเมล์ให้คนอย่าร่วมแดง ก็เจอคนเสื้อแดงฟอร์เวิร์ดเมล์กลับให้คนมาร่วมชุมนุมมากๆ
ดูตามข่าวเหล่านี้ สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่ทหารจะลากปืนและรถถังมาปราบประชาชนข้าง มากของประเทศเสียแล้ว สถานการณ์การเมือง คนเสื้อแดงจึงไม่ได้เป็นรองตามที่รัฐบาลกำลังหลอกประชาชนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ถ้าแดงไร้นำยา แมงสาปจะมาดิ้นพราดๆ ทำไมทางช่องหอยม่วง และทีวีทุกช่อง นั่นแสดงแล้วว่า พวกเราเข้มแข็งและศัตรูว้าวุ่นและกำลังตระหนกตกใจกลัวอย่างรุนแรง !!!!

ที่มา.Konthaiuk
โดย.NADO
************************************************

ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโลกถึงวันดี-เดย์ในวันที่ 14 มีนาคม!!!!

ข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงในวันที 14 มีนาคมได้แพร่สะพัดไปทั่วโลก ข่าวในต่างประเทศหนังพิมพ์ในต่างประเทศต่างวิเคราะห์
ถึงสถานการณ์ อาจเกิดการจราจลครั้งใหญ่ในประเทศไทยเพื่อล้างความสกปรกโสโครก ของระบบสองมาตรฐานที่ได้ปฏิบัติต่อประชาชาชน
คนไทยมาช้านาน ฉะนั้นจึงเป็นจุดสนใจของทั่วโลกว่าประเทศไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงในวันที่ 14นี้ก็ได้ และชาติต่างๆได้เตือนนักท่องเที่ยว

ที่จะเดินทางมาไทย ให้เลี่กเลี่ยงที่จะมาประเทศไทยในช่วงอันตรายนี้ ให้เลื่อนไปในอาทิตย์อื่นเมื่อสถานการณ์สงบลง ข่าวยังได้ตีแผ่ว่าคน
ชั้นสูงของรัฐบาลต่างเตรียมเผ่นออกต่างประเทศกันเป็นแถว อ่านข่าวแล้วทำให้งงว่าทำไมจึงต้องเตรียมเผ่นกัน ใหนปากดีนักละออกโพเดี่ยม
พูดให้แตกแยกในประเทศแล้วหนีกันทำไม? บริหารประเทศจนกางเกงในก็ไม่เหลือ ประชาชนเกลียดกันไปทั่ว แดงผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด หนีทำไม มาแก้ปัญหาก่อนซีจ๊ะ ขี้กองอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด หากจะไปช่วยโกยขี้ของตัวเองเอาไปด้วยนะจ๊ะ


ที่มา.konthaiuk
โดย.NADO
*****************************************************

คดียึดทรัพย์:รัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ กับบรรทัดฐานที่สังคมไทยยังต้องการคำตอบ


โดย จาตุรนต์ ฉายแสง

กรณีการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตนี้ ได้มีการร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว ทั้งในสาระของกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าทั้งหมดทุกประเด็นชอบด้วยกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นที่สุด และย่อมมีผลผูกพันศาลและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญด้วย

การที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนำเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้วขึ้นมาพิจารณาอีก และวินิจฉัยไปในทางตรงข้าม จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ…


ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ ผมได้คาดการณ์ว่าทรัพย์สินทั้ง 76,000 ล้านคงถูกยึดทั้งหมด โดยผมได้บอกไว้ด้วยว่าที่ผ่านมาผมมักทายการเมืองแม่น แต่ครั้งนี้ผมอยากให้ทายผิด และถ้าทายผิดผมก็จะดีใจ

ผลการตัดสินออกมา ปรากฏว่าผมทายผิด แต่ผมกลับไม่ได้ดีใจ ซ้ำร้ายยังรู้สึกสลดใจอย่างยิ่งด้วย

ที่ว่าทายผิดนั้นฟังเผินๆก็อาจจะเข้าใจไปได้ว่าเพราะมีการยึดทรัพย์ไม่หมดทั้ง76,000 ล้าน

แต่ในความเห็นของผมนั้น ที่ทายผิดคือ จากผลของคำพิพากษา ในที่สุดจะมีการยึดทรัพย์มากกว่า 76,000 ล้านอีกมาก นอกจากนั้นยังจะมีคดีร้ายแรงตามมาอีกหลายคดีดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปบ้างแล้วด้วย

ก่อนการตัดสินคดีนี้ ผมได้เสนอความเห็นต่อคดีนี้และเรื่องที่เกี่ยวกับคดีนี้ไปบ้างแล้ว หลังการตัดสินคดี ผมเห็นว่าผลการตัดสินคดีนี้ได้เสนอปัญหาสำคัญๆเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและระบบยุติธรรมของประเทศ ในฐานะที่ผมสนใจที่จะผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญและปฏิรูประบบยุติธรรม ผมจึงเห็นว่าควรเสนอความคิดเห็นเพื่อให้สังคมไทยได้ร่วมกันพิจารณาต่อไป

ผมคงไม่อยู่ในวิสัยที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในรายละเอียด และคิดว่าถ้าให้ทำหน้าที่อย่างนั้นคงไม่เป็นประโยชน์เท่าใดนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้สันทัดกรณีจะดีกว่า

สิ่งที่ผมคิดว่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าก็คือ การหยิบประเด็นใหญ่ๆที่เห็นว่ามีประเด็นที่สังคมไทยควรจะได้นำมาศึกษาทำความเข้าใจกันอย่างจริงจังต่อไป โดยเฉพาะคำถามในเชิงหลักการและเชิงระบบของสังคมไทยอยู่หลายประการ ที่หากไม่ทำความเข้าใจและหาหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องให้ได้แล้ว ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยต่อไปอีกยาวนาน ประเด็นที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

๑.การรัฐประหารและกลไกที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้นเป็นทางออกสำหรับการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่

หากไม่มีการรัฐประหาร ไม่มีประกาศ คปค.ฉบับที่ ๓๐ และไม่มีการตั้งคตส.ที่มีอำนาจอย่างนี้ ย่อมไม่อาจมีการพิจารณาคดีอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วได้

ดูจากคำพิพากษาในตอนท้ายก็จะเห็นว่า คำวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์นั้นไม่ได้อาศัยพรบ.ปปช.อย่างเดียว แต่อาศัยประกาศ คปค.ฉบับที่๓๐ด้วย

คดียึดทรัพย์จึงเป็นผลต่อเนื่องจากการรัฐประหารและการออกคำสั่งของคณะรัฐประหาร

ผู้ที่ยืนยันความจริงในข้อนี้ได้อย่างดีก็คือรัฐมนตรีวาการกระทรวงการคลังคนปัจจุบันนั่นเอง ที่ออกมารำพึงว่า
“วันนี้สิ่งที่ผมคิดคือ ถ้าไม่มีการปฏิวัติในปี ๔๙ และไม่มี คตส. เราจะเห็นความยุติธรรมปรากฏในคดีนี้หรือไม่”


เพียงแต่ว่าท่านถึงกับเห็นการรัฐประหารและการตั้ง คตส.เป็นเรื่องดีงาม เหมือนกับการ “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” ไป

คตส.ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความผิดของบุคคลคณะเดียวเป็นการเฉพาะ คือคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนการยึดอำนาจเท่านั้น และยังประกอบด้วยบุคคลหลายคนที่วางตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหาอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างยิ่ง คตส.ทำหน้าที่เป็นทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการได้พร้อมๆกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามระบบกฎหมายปรกติของประเทศ และยังสามารถดำเนินการโดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความตามปรกติ

คตส.กระทำการโดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อการกระทำผิดกฎหมายก็เพราะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำใดๆขององค์กรอย่างคตส.เป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

เมี่อคตส.มีที่มาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมและยังดำเนินการในลักษณะที่ไม่ชอบธรรมด้วย แม้คดีนี้จะตัดสินโดยศาลที่ไม่ได้มาจากคณะรัฐประหาร แต่เมื่อคดีเกิดขึ้นได้ก็เนื่องจากมีการรัฐประหาร และคณะรัฐประหารก็ยังได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการออกคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมด้วยแล้ว ความชอบธรรมในการพิจารณาตัดสินคดีนี้จึงได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย

การแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่อาศัยการรัฐประหารเป็นจุดเริ่มต้น จึงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ได้

๒. ปัญหาหลักการเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจและการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

เรื่องที่คตส.กล่าวหาว่าดร.ทักษิณเอื้อประโยชน์และทำให้รัฐเสียหายนั้นมีอยู่ ๕ เรื่องด้วยกัน มีอยู่ ๒ เรื่องที่คตส.เห็นว่าเป็นเรื่องที่ทำไปโดยครม.ที่มีดร.ทักษิณเป็นหัวหน้า คือเรื่องการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตและการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ประเทศพม่า ส่วนอีก ๓ เรื่องเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำโดยครม. แต่คตส.เห็นว่าดร.ทักษิณในฐานะหัวหน้ารัฐบาลย่อมมีอำนาจมากพอที่จะไปสั่งการให้เกิดการกระทำเหล่านั้นขึ้นได้

เรื่องทั้ง ๕ เรื่องมีลักษณะคล้ายกันอยู่บางประการคือ ทุกเรื่องเป็นการกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์หรือทำให้รัฐเสียหาย ทั้งๆที่ไม่มีการทำผิดกฎหมาย

การออกมาตรการต่างๆตามที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีบ้าง คณะกรรมการของทางราชการบ้าง หรือคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจบ้าง การดำเนินการต่างๆนั้นเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้

การออกมาตรการต่างๆของรัฐที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐ เอกชนและประชาชนนั้น จะทำอย่างไรจึงจะดีย่อมมีความเห็นแตกต่างกันได้เสมอ เมื่อผู้รับผิดชอบดำเนินการไปโดยเห็นว่าดี อาจมีคนส่วนหนึ่งเห็นว่าไม่ดีก็ได้

ปัญหามีว่าเมื่อมีคนเห็นว่าไม่ดีแล้ว อย่างไรจึงถึงขั้นที่จะลงโทษผู้รับผิดชอบได้ หากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่นออกมาตรการไปทั้งๆที่กฎหมายไม่อนุญาตให้ทำได้ ฝ่าฝืนกฎหมายหรือละเว้นที่จะปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเหล่านั้นย่อมต้องถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษ

ผู้ที่ควรทำหน้าที่ในการตัดสินลงโทษคือศาลยุติธรรม

แต่ถ้าการดำเนินการนั้นไม่ผิดกฎหมาย การพิจารณาว่าการดำเนินการอย่างไรดีหรือดี จะใช้มาตรการหนึ่งๆให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐหรือเอกชนหรือประชาชนอย่างไรจึงจะดี ย่อมเป็นปัญหานโยบาย ที่ฝ่ายบริหารจะต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาและประชาชน

คำถามในเชิงระบบก็คือ ฝ่ายตุลาการพึงเข้ามาเป็นผู้ตัดสินในทางนโยบายมากน้อยเพียงใด นี่ก็คือปัญหาหลักการเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างอธิปไตย ๓ ฝ่าย

ในบรรดาเรื่องทั้ง ๕ เรื่องนั้น เรื่องที่ควรกล่าวถึงเป็นพิเศษคือเรื่องการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต

เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาที่สำคัญที่สุดในบรรดาข้อกล่าวหาทั้ง ๕ ข้อ และเป็นเรื่องที่มีปัญหาในเชิงหลักการและเชิงระบบที่ใหญ่ที่สุดด้วย

ผมจะไม่ลงในรายละเอียด แต่ในฐานะที่อยู่ในครม.ที่ออกกฎหมายนั้นด้วย ก็พอทราบถึงเหตุผลและความเป็นมาพอเล่าสู่กันฟังได้บ้าง

ความจริงแล้วการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตไม่ได้เป็นความริเริ่มของครม.ทักษิณหรือตัวดร.ทักษิณเลย เรื่องนี้มีความเป็นมามาตั้งแต่ปี๒๕๓๙ ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลกหรือ WTO ทำให้ประเทศไทยต้องเปิดเสรีโทรคมนาคม ในปี ๒๕๔๐ สมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงได้มีแผนแม่บทพัฒนากิจการโทรคมนาคมขึ้น โดยได้รับอนุมัติจากครม. ตามแผนดังกล่าวนี้มีหลักอยู่ ๓ ประการคือ

๑). ต้องยกเลิกการผูกขาดขององค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทย

๒). จัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อกำกับดูแลกิจการโทรคมนามคม

๓). ต้องแปรรูป กสท.และทศท.เป็นบริษัทมหาชน เพื่อที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยรัฐบาลจะถือหุ้นเพียง๓๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือถือโดยประชาชน

แผนนี้ได้มีการดำเนินการต่อเนื่องโดยรัฐบาลต่อๆมา และจากหลักการ ๓ประการข้างต้นนี้เอง จึงเป็นที่มาของการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต

รัฐวิสาหกิจจำนวนมากได้รับผลประโยชน์จากสัมปทานซึ่งเกิดขึ้นได้จากความเป็นองค์กรของรัฐและใช้อำนาจตามกฎหมาย เมื่อจะเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีเอกชนและประชาชนเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของ จึงมีปัญหาต้องพิจารณาว่าผลประโยชน์จากสัมปทานนั้นควรยกให้ประชาชนผู้ถือหุ้นเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของทั้งหมดและตลอดไปหรือไม่ ข้อสรุปที่ดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ผลประโยชน์ที่เกิดจากการอาศัยความเป็นรัฐไม่ควรติดตามองค์กรไปด้วยทั้งหมด จนเป็นประโยชน์แก่เฉพาะผู้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทมหาชนเท่านั้น

ในกรณีการแปรรูป ทศท. ภาษีสรรพสามิตจึงเป็นทางออก ทางออกที่เห็นร่วมกันของหน่วยงานต่างๆจำนวนมากที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการคลัง การโทรคมนาคม และด้านอื่นๆ

ไม่ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ย่อมต้องใช้วิธีเดียวกัน

เมื่อมีการออกกฎหมายภาษีสรรพสามิตแล้ว ก็ได้มีการออกมติครม.เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกเจ้าสามารถนำเอาภาษีสรรพสามิตไปหักออกจากค่าสัมปทานได้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือให้รัฐมีรายได้ในรูปของภาษีสรรพสามิต โดยผู้ประกอบการจ่ายเท่าเดิม

วิธีนี้ความจริงแล้วทำให้รัฐมีรายได้มากกว่าการคงรายได้ในรูปสัมปทานไว้ทั้งหมดด้วยซ้ำ เพราะในแต่ละปี ทศท.ส่งเงินรายได้เข้าคลังแต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ในขณะที่ทุกบาททุกสตางค์จากภาษีสรรพสามิตเป็นรายได้เข้าคลังทั้งหมด


ข้อกล่าวหามีว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการออกกฎหมายสรรพสามิต แล้วให้นำภาษีสรรพสามิตไปหักออกจากค่าสัมปทานตามข้อตกลงในสัญญาสัมปทานนั้นเป็นการใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่สุจริต แทรกแซงองค์กรอิสระ กีดกันผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ และเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท เอไอเอส

ข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้ ถ้าจะอธิบายในแต่ละประเด็น ก็สามารถทำได้ไม่ยาก แต่คงไม่มีประโยชน์มากนัก ที่ควรกล่าวถึงมากกว่าและสำคัญอย่างยิ่งก็คือ ประเด็นข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นใหม่ แต่เป็นประเด็นที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาคัดค้านการออกกฎหมายสรรพสามิต และการออกมาตรการยอมให้นำภาษีสรรพสามิตไปหักจากส่วนแบ่งรายได้มาก่อนแล้ว

หลังจากการออกกฎหมายและมาตรการดังกล่าว สส.ฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งได้ยื่นเรื่องคัดค้านในประเด็นเดียวกันนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว

ผลปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการออกกฎหมายและมาตรการดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน หักล้างข้อกล่าวหาเดียวกันนี้มาแล้วในทุกประเด็น

ผมได้นำข้อเปรียบเทียบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กับคำวินิจฉัยศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาไว้ด้วยแล้ว(เอกสารแนบ ๑)

ปัญหาจึงมีต่อไปว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ดังกล่าวแล้ว เหตุใดศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงยังสามารถนำประเด็นเดียวกันมาพิจารณาใหม่ได้ จนนำไปสู่ข้อสรุปว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตตามข้อกล่าวหา เป็นการเอื้อประโยชน์ ทำให้รัฐเสียหาย และทำให้มีทรัพย์สินมากขึ้นผิดปรกติ ร่ำรวยผิดปรกติ และต้องถูกยึดทรัพย์ในที่สุด

นี่เป็นปัญหาเชิงหลักการว่าด้วยการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และเป็นปัญหาเชิงระบบว่าด้วยการแบ่งแยกขอบเขตอำนาจหน้าที่และการถ่วงดุลกันของอำนาจอธิปไตยทั้งสาม

การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ออกเป็นฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการนั้น เป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คู่กับความเป็นนิติรัฐ ยึดหลักนิติธรรม แตกต่างจากระบอบการปกครองที่ให้รัฐบาลอยู่เหนือกฎหมาย เป็นกฎหมายเสียเอง หรือทำหน้าที่ตัดสินคดีความได้เองด้วย

ในการแบ่งแยกอำนาจนี้ให้ฝายบริหารบริหารบ้านเมืองไปแต่ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย จะลงโทษใครก็ต้องใช้กฎหมายที่เขียนขึ้นโดยชอบ คือโดยความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่ นั่นคือต้องมีฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากประชาชนมาทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย โดยทั่วไปแล้วก็มักกำหนดให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเสนอกฎหมายได้ แต่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่จะเห็นชอบให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ได้

การจะให้ทุกคนทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เป็นหน้าที่ของศาล

หากฝ่ายบริหารก็ดี หรือฝ่ายนิติบัญญัติก็ดีทำผิดกฎหมาย ศาลย่อมมีหน้าที่ลงโทษได้

ตราบใดที่กฎหมายที่ออกไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายใหม่ย่อมสามารถแก้กฎหมายที่มีอยู่แล้วเสียอย่างไรก็ได้ การออกกฎหมายให้มีเนื้อหาสาระอย่างหนึ่งอย่างใดจึงไม่อาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไปได้

หากมีผู้เห็นว่ากฎหมายที่ออกนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญก็สามารถร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยก็คือศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ศาลอื่นจะพิจารณาว่าการเสนอกฎหมายของฝ่ายบริหารและการเห็นชอบให้ออกกฎหมายของรัฐสภาเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ จึงไม่อาจกระทำได้

ยิ่งจะพิจารณาว่าการออกกฎหมายนั้นดีหรือไม่ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ยิ่งไม่ได้ เพราะนั่นเป็นปัญหานโยบายที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อสภาและประชาชน

กรณีการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตนี้ ได้มีการร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว ทั้งในสาระของกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าทั้งหมดทุกประเด็นชอบด้วยกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นที่สุด และย่อมมีผลผูกพันศาลและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญด้วย

การที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนำเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้วขึ้นมาพิจารณาอีก และวินิจฉัยไปในทางตรงข้าม จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

๓.ปัญหาการคุ้มครองกรรมสิทธิ์เอกชนจากการยึดเป็นของรัฐ

ทรัพย์สินที่ถูกยึดในครั้งนี้เป็นเงินในบัญชีในธนาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมายในชื่อของลูกๆและน้องของดร.ทักษิณ บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง ไม่มีกฎหมายให้ยึดทรัพย์บุคคลเหล่านี้ได้ จะยึดได้ก็ต่อเมื่อเงินเหล่านี้เป็นของดร.ทักษิณเอง

คตส.กล่าวหาว่าเงินนี้มาจากการขายหุ้น หุ้นที่คตส.เห็นว่าเป็นของดร.ทักษิณ

หุ้นเหล่านี้เดิมเป็นของดร.ทักษิณและภรรยาจริง

แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่ารัฐมนตรีจะถือหุ้นของบริษัทเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไม่ได้ หรือจะถือหุ้นของบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐก็ไม่ได้ รัฐมนตรีคนใดมีหุ้นดังกล่าวอยู่ก่อนเข้ารับตำแหน่งจึงต้องขายหรือโอนให้ผู้อื่นไปเสีย ดร.ทักษิณจึงได้โอนหุ้นที่มีอยู่ให้ลูกและน้องไปก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง

ข้อกล่าวหาเรื่องโอนหุ้นแบบอำพราง ถือหุ้นแทนกัน ซุกหุ้น ปกปิดทรัพย์สิน จึงเข้ามาตรงนี้

เมื่อถือว่าดร.ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง ก็สามารถโยงไปยังเรื่องเอื้อประโยชน์ ทำให้รัฐเสียหาย มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปรกติ ร่ำรวยผิดปรกติ และดังนั้นจึงยึดทรัพย์ได้

หุ้นเป็นของใครและเงินในธนาคารเป็นของใครจึงเป็นประเด็นสำคัญเป็นอันดับแรก

คตส.กล่าวหาว่าการโอนหุ้นเป็นการโอนแบบอำพรางไม่ได้โอนจริง เหตุผลสำคัญคือ การที่ดร.ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกนั้นซื้อขายกันในราคาถูกกว่าปรกติ เมื่อลูกรับหุ้นมาแล้วก็ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ นานๆจะเข้าประชุมผู้ถือหุ้นครั้งหนึ่ง เวลาขายหุ้นให้เทมาเส็ค เทมาเส็คก็ไม่ได้ติดต่อกับลูกผู้มีชื่อเป็นเจ้าของหุ้น แต่กลับไปติดต่อกับลุงคือนายบรรณพจน์แทนเป็นต้น

ข้อกล่าวหาเหล่านี้มีน้ำหนักพอที่จะถือว่าหุ้นเหล่านี้ยังคงเป็นของดร.ทักษิณอยู่หรือไม่

ดร.ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกที่บรรลุนิติภาวะแล้วและน้อง ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามไว้

เมื่อกฎหมายอนุญาตให้โอนให้ลูกได้ การจะดูว่าซื้อขายกันในราคาเท่าไร ถูกหรือแพงผิดปรกติหรือไม่ ย่อมไม่สามารถใช้บรรทัดฐานอย่างปรกติได้ เพราะพ่ออาจจะให้ลูกเปล่าๆก็ยังได้

ส่วนการที่มีหุ้นแล้ว นานๆจะเข้าประชุมครั้งหนึ่งก็เป็นเรื่องวิธีการดูแลธุรกิจของแต่ละคนที่อาจเลือกใช้วิธีอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ

ยิ่งเวลาขาย เทมาเส็คไม่ได้ติดต่อกับเจ้าของหุ้นเอง แต่กลับไปติดต่อกับลุง ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องผิดปรกติที่ลูกคนหนึ่งจะไว้ใจผู้ที่เป็นพี่ชายของแม่ตนเองให้ช่วยคิดและตัดสินใจแทนตนได้

ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่อาจทำให้หุ้นที่โอนให้ลูกไปแล้วอย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายกลับมาเป็นของพ่อไปได้

ตลอดระยะเวลาก่อนการขายหุ้น หุ้นนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของดร.ทักษิณ แต่เป็นของน้องและลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เมื่อขายแล้วได้เงินมา ก็ไม่ได้อยู่ในบัญชีธนาคารในชื่อของดร.ทักษิณ แต่อยู่ในบัญชีของน้องและลูก

ทรัพย์สินทั้งหมดจึงเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมายของน้องและลูกของดร.ทักษิณ

การที่ศาลตัดสินตามข้อกล่าวหาของคตส.ว่าทรัพย์สินยังเป็นของดร.ทักษิณ เพราะฉะนั้นจึงให้ยึดทรัพย์สินนั้นได้ มีคำถามใหญ่ๆตามมาอีกมากเช่น

ประเทศไทยเป็นประเทศเสรี รัฐธรรมนูญทุกฉบับรับรองกรรมสิทธิ์เอกชน ไม่อนุญาตให้รัฐยึดทรัพย์สินของเอกชนมาเป็นของรัฐได้ หากจะเวนคืนก็ต้องชดใช้ จะริบก็ต้องเกิดจากการกระทำผิดกฎหมายของเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้น

แต่ถ้ามองจากของลูกและน้องของดร.ทักษิณซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินตามกฎหมายอยู่ ก็จะเกิดคำถามว่าทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคนๆหนึ่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายอาจตกเป็นของผู้อื่นไปได้ด้วยเหตุใดบ้าง และทรัพย์สินเอกชนจะถูกยึดเป็นของรัฐได้ด้วยเหตุใดบ้าง

จากกรณีที่เกิดขึ้น มีคำถามว่าการที่คนๆหนึ่งได้ทรัพย์สินเป็นหุ้นมาด้วยการซื้ออย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องเปิดเผยในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อขายให้ผู้อื่นก็ทำสัญญาด้วยตนเองเป็นนิติกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และต่อมาก็ได้ฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สัญญานิติกรรมที่ถูกต้องในระบบของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยและในระบบธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย ไม่อาจปกป้องทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆไม่ให้ทรัพย์สินเหล่านั้นต้องตกเป็นของรัฐเนื่องจากการกระทำผิดของผู้อื่นได้เลยหรือ

ในกรณีเดียวกันนี้ เมื่อมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์แล้ว ยังมีปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่น่าสนใจตามมาอีกคือ ทรัพย์สินที่เหลือจากการยึดทรัพย์เป็นของใคร

ในเมื่อศาลเห็นว่าทรัพย์สินเป็นของดร.ทักษิณจึงสั่งให้ยึดได้ ทรัพย์สินที่เหลือจากการยึดก็ต้องเป็นของดร.ทักษิณ แต่ทำไมกระทรวงการคลังสั่งให้ยึดทรัพย์สินที่เหลือไว้เพื่อให้ลูกของดร.ทักษิณใช้ชำระภาษีจากการขายหุ้น

แสดงว่ากระทรวงการคลังยังถือว่าทรัพย์สินที่เหลือไม่ใช่ของดร.ทักษิณ แต่เป็นของลูก โดยดูว่าเงินอยู่ในบัญชีใครก็เป็นของคนนั้น

เท่ากับว่ารัฐกำลังตีความแต่ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่เกิดกับเอกชนและความยุติธรรมเลย

ความไม่ชัดเจนในเรื่องกรรมสิทธิ์เช่นนี้อาจมีผลให้เจ้าของเงินไม่ได้เงินคืนไปได้ง่ายๆ ต้องรอไปเรื่อยๆจนกระทั่งถูกอายัด หรือยึดทรัพย์จากกรณีอื่นๆอีกก็เป็นได้

๔.จะคำนวณจำนวนทรัพย์สินที่เพิ่มมากขึ้นผิดปรกติอย่างไร

ผมได้วิจารณ์ทฤษฎีวัวกินหญ้าไว้แล้วว่าเป็นความคิดที่เลอะเทอะที่สุด ทฤษฎีนี้ดูจะไม่เป็นที่ยอมรับ และในที่สุดทรัพย์สินก็ถูกยึดไปบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด

เนื่องจากกรณีที่ถูกกล่าวหาเกิดขึ้นในระหว่างที่ทรัพย์สินอยู่ในรูปของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อจะคำนวณว่าควรยึดเท่าไรและควรคืนให้เท่าไรจึงใช้ราคาหลักทรัพย์เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ โดยใช้วันที่ผู้ถูกกล่าวหาเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเส้นแบ่ง

นี่เท่ากับถือว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่มีการซื้อขายหุ้นเป็นการเพิ่มขึ้นโดยผิดปรกติทั้งหมด

แต่มูลค่าหุ้นขึ้นมาก จากสาเหตุอะไรแน่และจะคำนวณกันอย่างไร

หุ้นของบริษัทต่างๆส่วนใหญ่ก็ขึ้นลงตามดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ จากวันที่ผู้ถูกกล่าวหาเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ขายหุ้น ก็ปรากฏว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทใหญ่ๆในตลาดหลักทรัพย์ก็ขึ้นตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์กันทั้งนั้น

การจะคิดว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะมีการออกมาตรการต่างๆเท่านั้นจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

เหตุใดจึงไม่มีการคำนวณว่ามาตรการหนึ่งๆทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าใด

นอกจากนี้ยังมีคำถามต่อไปได้อีกว่า เหตุใดจึงไม่ใช้วันที่เริ่มออกมาตรการเป็นเส้นแบ่งแทนที่จะใช้วันเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นการถือว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกกล่าวหาตั้งแต่ต้นจนวันที่ขายหุ้น ล้วนเป็นเหตุให้ทรัพย์สินมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นทั้งสิ้น

ลำพังการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นย่อมไม่สามารถถือเป็นเหตุของการมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปรกติได้

เมื่อดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาหุ้นในวันที่ออกมาตรการต่างๆแล้ว ก็จะยิ่งเห็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือในวันที่ออกมาตรการ ๒ - ๓ มาตรการแรกๆนั้น ปรากฏว่าราคาหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ กลับต่ำกว่าวันที่ผู้ถูกกล่าวหาเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มิได้สูงขึ้นอย่างที่อาจมีความเข้าใจกัน

นี่อาจเป็นสาเหตุที่ไม่อาจใช้วันที่ออกมาตรการเป็นเส้นแบ่ง เพราะถ้าใช้วันเหล่านั้น มูลค่าหุ้นที่กลับลดลงก็จะขัดแย้งกับข้อสรุปที่ว่ามาตรการต่างๆนั้นเป็นสาเหตุให้มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น

เรื่องนี้จึงจะเป็นปัญหาต่อไปว่าในกรณีที่มีการกล่าวหาว่าทรัพย์สินที่อยู่ในรูปของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นผิดปรกตินั้น จะคำนวณกันอย่างไรจึงจะเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

คดียึดทรัพย์นี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะมีผู้คนจำนวนมากศึกษาและวิพากษ์วิจารณ์กันไปอีกนาน ผมหวังว่าความเห็นดังที่ได้เสนอมานี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจคดีนี้ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจปัญหาจากการรัฐประหาร ปัญหาจากกระบวนการตุลาการภิวัตน์ และผู้ที่ต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และปฏิรูประบบยุติธรรมให้มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง

คงจะนำไปใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางสร้างสรรค์ต่อไปได้บ้างตามสมควร

อาวุธทำลายอำมาตย์ new version


ก่อนที่จะเริ่มงานใหญ่ ประชาชนจะใช้อะไรเป็นอาวุธที่ไม่ผิดกฎหมาย อาวุธที่จะทำลายอำมาตย์และเครือข่ายได้เฉียบขาดของประชาชนคือการรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเท่านั้น ความสมัครสมานสามัคคีมีมากเท่าใดย่อมมีพลังอำนาจมากทวีคุณ งานยากจะเป็นงานง่าย งานหนักจะเป็นงานเบา และประชาชนจะได้อาวุธที่มีอนุภาพร้ายทำลายอำมาตย์และเครือข่ายได้อย่างไม่ผิดกฎหมาย ไม่ต้องมีใครต้องตกเป็นผู้ต้องหา และไม่ต้องขอใครไปประกันใคร

วิธี ต้องทดลองใช้กับงานขนาดเล็กๆก่อนเป็นการซักซ้อมให้แต่ละคนเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะการต่อสู้ต้องมีผลแพ้และชนะ เมื่อต้องการจะเป็นฝ่ายชนะที่ประชาชนไม่เคยได้ การฝึกฝนจนเกิดทักษะในการใช้
อดีตประชาชนมือเปล่าไม่อาจล้มรัฐบาลได้ แต่ปัจจุบันถ้าประชาชนรู้จักลำดับใช้อำนาจของประชาชนจะเป็นอาวุธที่สามารถเปลี่ยนแปลงการปกครองได้อย่างสงบ อะไรควรใช้ วิธีรณรงค์ อะไรควรใช้วิธีประชาวิจารณ์ อะไรควรใช้วิธีประชามติ ทั้งสามวิธีเป็นอาวุธต่างระดับของประชาชน อยู่ที่ว่าจะใช้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพ ล้ม ล้าง ทำลายเป้าหมายของประชาชนได้ดังใจ การร่วมแรงร่วมใจเป็น มติประชาคมเท่านั้นจึงจะทำให้ประชาชนเป็นฝ่ายชนะ
การทดลองใช้กับงานในลำดับรองๆผลการชนะจะทำให้เกิดความมั่นใจในวงกว้าง เกิดความฮึกเหิม หรือถ้าไม่อาจสามารถทำอะไรได้ก็จะได้รู้ว่าถ้าต้องการชนะ ประชาชนต้องแก้ไขปัญหาที่เป็นจุดอ่อนคืออะไร อย่างไร?

เป้าหมายล้มอำมาตย์เป็นงานใหญ่ เมื่ออำมาตย์แทรกอำนาจในโครงสร้าง เป้าหมายที่จะทำลายได้คือการแก้ไขที่โครงสร้าง ด้วยการใช้ มติประชาคม จะเป็นชัยชนะที่จะอยู่ในใจของทุกคนตราบนานเท่านาน ว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยของคนไทยรุ่นใหม่ใช้นวัตกรรมใหม่ ใช้ภูมิปัญญา หล่อหลอมเป็นอาวุธ สามารถนำพาการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติตามวิถีประชาธิปไตย โดยไม่มีใครต้องมาล้มตาย หรือบาดเจ็บเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกันระหว่างอำตยาธิปไตยนิยมกับประชาธิปไตยนิยม เราจะนิยมในอุดมการณ์ไหน เราก็ต่าง เป็นคนไทยด้วยกัน

งานทดสอบพลังด้วยการรณรงค์ เลิกใช้บริการ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ทุกสาขา ซึ่งเป็นหนึ่งสถาบันการเงินที่สนับสนุนกลุ่มอำมาตย์ ถ้าประชาชนทำได้ชัยชนะลำดับอื่นไม่ไกลเกินกำลัง การล้มกลุ่มอำมาตย์จึงมีวิธีเดียวที่พวกเขาเกรงกลัว ความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มติประชาคม คืออาวุธของประชาชน พ่อไม่ต้องทิ้งงาน แม่ไม่ต้องหยุดขายของ เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยก็ไม่ลำบากใจมติเลิกใช้บริการธนาคารจะมีพลังกระเทือนถึงราคาหุ้น ทำลายทักษิณด้วยกรณีขายหุ้น ดาบแรกคืนสนองที่สะใจยิ่งกว่าการจะเผา เมื่อผู้ใช้บริการทั้งหลายคือประชาชน กิจการอยู่ได้ด้วยประชาชน แต่กลับร่วมทำร้ายประชาชน ร่วมทำร้ายระบอบการปกครอง ถึงเวลาประชาชนต้องให้บทเรียนแก่พวกเขาเป็นการโต้ตอบ ถ้าไม่มีคนใช้บริการเขาก็อยู่ไม่ได้ เริ่มที่ตัวเราก่อน อย่าลืมนี่คือดาบแรก จากนั้นในวาระการเลือกตั้งที่จะมาถึงมติประชาคมเสนอให้มีมติยกเลิกรัฐธรรมนูญ50 พรรคการเมืองไหนสนองประชาชนจะเลือกเป็นดาบที่สอง นี่คือดาบอาญาสิทธิ์คืนสนองของประชาชนต่อมือที่มองเห็น

ที่มา.konthaiuk
โดย.PPTเชียงใหม่
****************************************

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสื้อแดงสงขลาไม่สนกม.มั่นคงยันพาเหรดชุมชุมใหญ่กทม.

นายไสว ณ พัทลุง แกนนำนปช.สงขลา เปิดเผยวันที่ 8 มีนาคมว่า จากการหารือสมาชิกในพื้นที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะเดินทางเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯในวันที่ 14 มีนาคมอย่างแน่นอนไม่ว่ารัฐบาลจะพยายามหาวิธีการและรูปแบบการสกัดกั้นไม่ให้ประชาชนเข้าไปร่วมชุมนุนด้วยการประกาศพรบ.ความมั่นคงในพื้นที่กรุงเทพฯก็ตาม แต่เนื่องจากสมาชิกทุกคนได้แสดงเจตจำนงค์เอาไว้แล้วตั้งแต่แรก

อีกทั้งก่อนหน้านี้ได้มีการระดมทุนเพื่อหารายได้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้เงินประมาณ 100,000 บาท ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าสมาชิกทุกคนพร้อมที่จะเดินทางเข้าร่วมชุมนุมอย่างแน่นอน โดยไม่หวั่นไหวต่ออุปสรรคใดๆ เนื่องจากทุกคนตั้งใจเอาไว้แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้สมาชิกประมาณ 200 คนจะทยอยเดินทางในวันที่ 12 มี.ค.เป็นต้นไป โดยใช้รถยนต์ส่วนตัวและรถโดยสารประมาณ 30 คัน โดยได้นัดพบกันที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราชก่อนเคลื่อนขบวนพร้อมกัน

"เราตั้งใจแล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ไปด้วยความสมัครใจและไม่ใช้ความรุนแรงเด็ดขาด โดยได้เน้นย้ำกับสมาชิกทุกคนห้ามพกพาอาวุธใดๆแม้แต่มีดคัตเตอร์ก็ห้าม เนื่องจากไม่อยากให้เกิดปัญหาระหว่างการเดินทางที่เชื่อว่าฝ่ายรัฐอาจหาหนทางเพื่อสกัดกั้นกลุ่มประชาชนได้"

ที่มา.มติชนออนไลน์
*******************************************

เสื้อแดงชนะแล้วไง?

คอลัมน์ .เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

เป็นที่ทราบกันอยู่โดยทั่วไปว่ามวลชนคนเสื้อแดงเขานัดชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลกันในวันที่ 14 มี.ค. นี้ และจะเริ่มเคลื่อนขบวนกันตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อเข้ามารวมตัวกันในกรุงเทพฯ

เป้าหมายของการชุมนุมก็ชัดเจนว่าเขาต้องการขับไล่รัฐบาลเทพอุ้มสม ที่ได้อำนาจมาด้วยวิธีการพิเศษ เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้งแต่ได้เป็นรัฐบาล

ช่างสมกับคำโบราณที่ว่า แข่งเรือแข่งพายยังพอแข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนามันแข่งกันไม่ได้จริงๆ แม้จะเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรคการเมือง ดูภายนอกเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจะง่อนแง่นแต่ภายในกลับแข็งโป๊ก เพราะมีนั่งร้านชั้นดีคอยช่วยค้ำยันอยู่ตลอดเวลา

เรื่องพลังแฝงที่คอยให้การสนับสนุนรัฐบาลนั้นคนภายนอกอาจจะไม่ค่อยเชื่อ แต่หากอยากรู้ต้องลองไปถามคนในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลดูว่าเจออะไรกันมาบ้าง

นี่เห็นว่าล่าสุดก็มีเสียงเข้มๆผ่านโทรศัพท์มาหาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค เตือนว่าอย่าแม้แต่จะคิดที่จะสลับร่างสร้างรัก ถอนตัวออกจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพื่อกลับไปหารักเก่าอย่างพรรคเพื่อไทย

เอาล่ะ เดี๋ยวจะไกลไปมากจากหัวเรื่องที่จั่วเอาไว้ในตอนต้น

การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 14 มี.ค. นี้ จากที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับใครหลายคนที่ติดตามการเมืองมา พอจะจับประเด็นได้ว่าหลายคนมีความห่วงใยการชุมนุม

ความห่วงใยประการหนึ่งคือ จะมีการสร้างสถานการณ์อะไรขึ้นมาเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกวาดล้างผู้ชุมนุมหรือไม่ เพราะดูเหมือนข่าวสารที่ออกจากฝั่งรัฐบาลจะมุ่งสร้างภาพให้คนเสื้อแดงเป็นพวกชอบความรุนแรง มีการให้ข่าวอยู่ตลอดเวลาถึงเรื่องการฝึกอาวุธ จนล่าสุดคือมีระเบิดและกระสุนหายจากคลังแสงของทหาร

ที่น่าแปลกคือหายที่จังหวัดพัทลุง แต่โยงมาถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ทั้งที่พัทลุงนั้นเป็นพื้นที่ของใครก็รู้ๆกันอยู่

นี่กำลังสร้างฉากอะไรกันหรือไม่ ตั้งเป็นคำถามเอาไว้ ไม่ได้กล่าวหาใคร

ความห่วงใยอีกประการหนึ่งคือ หากมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมจำนวนมากจริงอย่างที่พูดกันไว้ บรรดาแกนนำจะควบคุมฝูงชนได้หรือไม่ และจะสกรีนคนที่มาร่วมได้อย่างไรว่าใครแดงแท้ ใครแดงเทียม ใครจะแฝงเข้ามาเพื่อทำอะไรหรือไม่

ทำให้ห่วงกันว่าความตั้งใจที่จะชุมนุมโดยสงบอาจจบลงด้วยการกลายเป็นผู้ร้ายก็ได้

ความห่วงใยอีกประการที่ห่วงกันมากคือ การต่อสู้ครั้งนี้จะชนะรัฐบาลเทพอุ้มสมด้วยวิธีการใด จริงหรือที่ว่าหากมีคนออกมาร่วมเป็นแสนเป็นล้านจะทำให้นายกรัฐมนตรียอมลาออก หรือยอมที่จะยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

ข้อห่วงใยประการสุดท้ายอันนี้เป็นข้อห่วงใยของผู้เขียนเอง คือแม้จะชนะ นายกรัฐมนตรียอมลาออกหรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แล้วจะยังไงต่อ

ในความคิดของผู้เขียนเห็นว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะยอมยุบสภา พรรคเพื่อไทยจะชนะเลือกตั้ง แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นชัยชนะของคนเสื้อแดง เพราะไม่มีอะไรการันตีได้ว่าการชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลจะสามารถทำทุกอย่างอย่างที่ประกาศเอาไว้ได้

ดูตัวอย่างได้จากรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่มีตำแหน่งแต่ไร้ซึ่งอำนาจ

บ้านเมืองวันนี้เราคงต้องยอมรับความจริงประการหนึ่งว่า อำนาจนอกระบบใหญ่กว่าอำนาจในระบบเหมือนมดกับช้าง

การจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างที่พูดกันจึงเป็นเป้าหมายที่ไกลและเลือนราง ยกเว้นว่าจะต้องยอมเหนื่อยสู้กันอย่างต่อเนื่องยาวนาน ค่อยๆทำกันไปทีละนิด ทีละหน่อย

หากจะไปให้ถึงเป้าหมายเห็นทีต้องออกแรงเหนื่อยกันอีกนาน

**********************************************************************

สงครามประชาชน


คอลัมน์ .ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดื้อ

คาดว่าตลอดทั้งสัปดาห์นี้ข่าวสารบ้านเมืองคงจะวนเวียนอยู่กับเรื่องการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ และข่าวสารเรื่องความรุนแรงส่วนใหญ่น่าจะออกมาจากทางฝั่งของรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาคนของรัฐบาลก็พูดเรื่องความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา

ความจริงเรื่องการโหมกระแสเรื่องความรุนแรงมองได้ 2 แง่มุม

แง่มุมหนึ่งมองได้ว่าเป็นการเตือนไม่ให้กลุ่มที่จะใช้ความรุนแรงลงมือทำอะไร เพราะว่ารัฐบาลรู้ไปหมดว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรกันบ้าง

แง่มุมหนึ่งมองได้ว่าเป็นการเขย่าขวัญประชาชนคนธรรมดาที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม กับสี เพราะการโหมประโคมข่าวเรื่องความรุนแรงของคนในรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐได้ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกหวาดกลัวว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นมาจริงๆ

ความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปมองในแง่ของยุทธศาสตร์ถือว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จ เพราะทำให้คนทั่วไปรู้สึกไม่ดีกับผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทำให้รัฐบาลได้แนวร่วมไปโดยปริยาย

แต่สิ่งที่คนในรัฐบาลและนักการเมืองฝั่งรัฐบาลไม่น่าทำคือการปลุกให้ประชาชนคนกรุงเทพฯออกมาต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพราะมันสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้

รัฐบาลอาจคิดว่าการปลุกให้คนกรุงเทพฯออกมารักษาชุมชนของตัวเองจะช่วยให้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการดำเนินการกับคนเสื้อแดงอย่างใดอย่างหนึ่งมากขึ้น เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นที่ชุมชนนางเลิ้งเมื่อตอนเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้ว แต่รัฐบาลเองก็ต้องไม่ลืมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชุมชนนางเลิ้งในช่วงสงกรานต์เลือดนั้นมีข้อสงสัยมากมายที่รัฐบาลยังไม่ให้คำตอบ โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่าคนที่เอาปืนออกมายิงใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นคนนางเลิ้งจริงหรือไม่

มีใครแฝงเข้าไปสร้างสถานการณ์ขึ้นมาหรือเปล่า

เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นที่พัทยา ที่มีภาพคนเสื้อน้ำเงินเอาหนังสติ๊กยิงใส่คนเสื้อแดง ถือไม้ไล่ตีคนเสื้อแดง

เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งสื่อ ทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่คิดแม้แต่จะเสาะหาความจริงหรือดำเนินการกับคนเหล่านั้น คงมีแต่การดำเนินการกับคนเสื้อแดงอยู่ฝ่ายเดียว

คำถามคือมีการสอบสวนเพื่อเอาผิดกับคนพวกนี้บ้างหรือไม่ ออกหมายจับไปบ้างหรือไม่ เพราะมีภาพถ่ายปรากฏหน้าตาเป็นหลักฐานที่ชัดเจน

ไม่ได้อยากจะรื้อฟื้นอะไร แต่อยากเตือนเอาไว้ว่าการปลุกให้ประชาชนออกมาต่อต้านประชาชนมันอาจได้ไม่คุ้มเสีย เพราะอาจเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างคาดไม่ถึงได้



**********************************************************************

“ศาลไทย... ไม่ใช่ศาลทาส (นะโว้ย)!!!”


เมื่อหนังสือ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ของผู้เขียน ออกสู่สายตาท่านผู้อ่าน สร้างความฮือฮาให้กับสังคม เพราะเห็นชื่อหนังสือแปลกดี อีกทั้งพรรค “พลังประชาชน” นำไปแจกให้สมาชิกพรรค จนได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ ถึงขั้นคำว่า “รัดทำมะนวย” ถูกนำไปขึ้นปกหนังสือพิมพ์อย่าง “มติชน” ด้วยซ้ำ
หนังสือเล่มนี้กลายเป็นเป้าโจมตี จากผู้คนที่คิดว่าชื่อหนังสือนั้นไม่ถูกหู หลายคนวิจารณ์ทั้งๆที่ยังเคยไม่อ่าน หรือแม้แต่เห็นหนังสือเล่มดังเสียด้วยซ้ำไป หนึ่งในนั้น ก็คือ
นายวิชา มหาคุณ
คนที่เคยเป็นผู้พิพากษาศาลสูง อย่างนายวิชาฯ ซึ่งต่อมาได้ผันตัวมาเป็น ป.ป.ช. ด้วยคำสั่งของ ‘ไอ้บังกบฏ’ โดยพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ตามที่มีกฎหมายที่ได้ให้เป็นพระราชอำนาจ แต่มีการหนังสือของสำนักนายก ที่อ้างว่ามีการยืนยันจากสำนักราชเลขาธิการ แต่ไม่เคยมีหลักฐานมาปรากฏต่อสาธารณะชนเลย
ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่จะถลกให้เห็นดำเห็นแดงกันอีกที ว่าการแอบอ้างอย่างนั้น
จริงหรือเท็จอย่างไร!?

นายวิชา ได้ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุคลื่น Fm 97 เกี่ยวกับหนังสือ ว่า
ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม คนทำหนังสือเล่มนี้ต้องมีวุฒิภาวะต่ำอะไรทำนองนั้น
ผมดันฟังรายการนั้นอยู่พอดี เลยเขียนคอลัมน์โต้คำพูดของอีตาวิชาฯ ลงในเว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์ เมื่ออังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ว่า
...คนมีวุฒิภาวะสูงอย่างนายวิชาฯ เห็นปกหนังสือรัดทำมะนวยแล้ว ก็คงรีบร้อนผวนคำเร็วไปหน่อยกระมัง
...เลยติดอยู่แค่ปก เพราะยอมรับโต้งๆในประโยคต่อมาว่า
ยังไม่ได้อ่านเนื้อใน ของหนังสือเล่มนี้เลย !
ผมยังเขียนต่อไปอีกด้วย ว่า
...ฟังแล้วผมไม่เชื่อหูตัวเอง
นี่ขนาดคนเป็นผู้พิพากษา ยังตัดสินคนเขียน ทั้งๆที่ยังอ่านหนังสือไม่พ้นปก
เท่ากับว่า นายวิชาฯ ตัดสินหนังสือด้วยปก!
เขาว่า นายวิชาฯเป็น ‘นักเรียนนอก’ น่าจะต้องทราบดีกว่า ‘นักเรียนใน’ ว่า ฝรั่งเขาเตือนกันมาแต่ยุคโบราณเอาไว้หนักหนา คือ
Do not judge the book by its cover!
อย่างนี้ เวลาจำเลยที่รูปลักษณ์ไม่เข้าตานายวิชาฯมาสู่ศาล ยังไม่ทันไต่สวนสวนทวนความ สืบพยานกัน นายวิชาฯมิพิพากษาประหารชีวิตเขาไปเลยหรือครับ?
นึกไม่ถึงว่า ตุลาการอย่างนายวิชาฯ ลืม “หลักอินทภาษ” อันหมายถึง “โอวาทของพระอินทร์” ซึ่งเสด็จลงจากเทวโลก มาประทานคำสอนบรรดาตุลาการทั้งหลาย ในครั้งบรรพกาลว่า
ยามจะพิพากษาอรรถคดีทั้งปวง จะต้องทำตนให้ปลอดจากอคติทั้งสี่ คือ โมหาคติ(โง่) โทสาคติ(โกรธ) ฉันทาคติ(หลง/รัก) ภยาคติ(กลัว)
ลืมเสียแล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่งหลักการของเทวดา ที่พวกนักเรียนกฎหมาย บอกผมเมื่อตรวจสอบไปว่า
...นายวิชาฯเคยสอน “หลักอินทภาษ” ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเองด้วยซ้ำ...
อย่างนั้นหรือครับ...
...ถึงได้วินิจฉัยผม และงานของผมออกมาอย่างนี้?
ไม่ได้อยากพูดจาว่ากล่าว แต่เมื่อมากล่าวหากัน โดยไม่เบิ่งตาอ่านที่ผมเขียนนั้น ว่ามีเนื้อหาอย่างไรเสียก่อน
จึงต้องขออนุญาตพูดจาว่ากล่าว และตักเตือนสติกันเอาไว้บ้าง
ถึงกระนั้นผมก็มองในแง่ดีว่า นายวิชาฯไม่ได้รังเกียจปกหนังสือหรอก แต่ที่ท่านว่าหยาบคายนั้น อาจเป็นเพราะพออ่านชื่อหนังสือปั๊บ ปุ่มในหัวของนายวิชาฯ ก็...
...แอ่นแอ๊น เปิดออกโดยอัตโนมัติ แล้วเสียงผวนก็ดังแบบไซเรนเสียงโหยหวน ก็แผดจนกึกก้อง ให้ได้ยิน...
เต็มหัวกบาล...ของนายวิชาฯเองต่างหาก
จริงหรือ...ไม่จริงล่ะ!?....
นั่นเป็นข้อความ ที่ผมเขียนโต้นายวิชาฯไป รายละเอียดท่านหาอ่านได้ในหนังสือ “เหี้ยส่องกระจก” แต่ที่นำมาเล่าในวันนี้ เพราะเนื้อหาของการเขียนในวันนี้ เกี่ยวเนื่องกับหลักอินทภาษที่อ้างถึงข้างต้น
วันนี้ ผมไม่ได้มาวิพากษ์วิจารณ์นายวิชาฯเพิ่มเติมหรอกครับ หากแต่จะมายืนยันซ้ำอีกครั้ง ในสิ่งที่ผมได้เขียนต่อท้าย เพิ่มเข้าไปในบทความตอนที่แล้วว่า
...หลังฟังคำตัดสินคดียึดทรัพย์แล้ว และแม้จะเคารพในคำพิพากษา แต่ผม ‘ไม่’ อาจเห็นพ้องด้วย โดยเฉพาะการที่ศาลยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร อย่างหน้าชื่นตาบาน
ตรงนี้รับไม่ได้เลย!!! (เขียนบทความ ‘ดักหน้า’ เอาไว้แล้วด้วย) ...
ขอเรียนยืนยัน ต่อท่านผู้อ่านที่เคารพว่า ผมเองนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงจุดยืนในเรื่องการสอบสวนคุณทักษิณ และได้คัดค้านกระบวนการสอบสวนดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้น เพราะ...
ในฐานะที่มีประสบการณ์ในด้านการสอบสวนมาก่อน ไม่ว่าจะในฐานะพนักงานสอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวน และอาจารย์สอน และผู้แต่งตำราการสอบสวนคดีอาญา ผมมองออกตั้งแต่ต้น ถึงแผนการทางกฎหมายของ “ไอ้มีชัย กบาลใส” หรือที่ผมเรียกว่า Butler Lawyer ด้วยความพยายามจะสร้างความชอบธรรม ในการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนพิเศษอย่าง ค.ต.ส. ซึ่งประกอบด้วยปรปักษ์กับทักษิณล้วนๆ โดยคำสั่งอันไม่ชอบธรรมของ “ไอ้บัง กบฏ” แล้วนำมาผูกกับกระบวนการที่ชอบธรรมตามกฎหมาย ในชั้นพนักงานอัยการและศาล ทั้งๆที่กระบวนการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ยังบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น และยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตาม“ศุภนิติกระบวน” ( Due Process) โลกปัจจุบัน...เขารับกันไม่ได้!

ดังนั้น วันนี้ต้องออกมายืนยันอีกครั้งว่า ในความเห็นส่วนตัวของผม เห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่รับรองคำสั่งของคณะปฏิวัตินั้น ว่าชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีอำนาจ “รัฎฐาธิปัตย์” ซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2501 เพราะตอนนั้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวแกจะลากเอาตัวไป “ปุ!...ปุ!” ซึ่งเป็นคำพูดของผู้คนในสมัยนั้น คือ
เอาไป “ยิงเป้า” เสีย!

จึงน่าเห็นใจที่ศาลฎีกาในสมัยนั้น ต้องพิพากษาด้วย “ภยาคติ” เพราะความกลัวอำนาจจอมพลสฤษดิ์ฯ ทั้งๆที่คำว่า “รัฎฐาธิปัตย์” ที่อ้างกันในคำพิพากษานั้น...
...ไม่เคยมีปรากฏในพจนานุกรม ของประเทศไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไม่ว่าฉบับเก่าหรือฉบับใหม่ด้วยซ้ำไป!...
การพิพากษาด้วยความ “กลัว” หรือโดยหวาดหวั่นว่าภัยนั้นจะมาถึงตนและครอบครัว ผู้พิพากษาศาลฎีกาเมื่อ ปี พ.ศ.2501 จึงต้องยอมฝ่าฝืนหลัก “อินทภาษ” อันเป็นหลักของผู้ดำรงฐานะเป็นตุลาการไทย ได้ยึดถือกันมาแต่ในอดีตกาล โดยจำต้องพิพากษาไปเพราะ“ภยาคติ” นั่นเอง!
แต่...ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมาถึงครึ่งศตวรรษแล้ว คือ กว่า 50 ปีแล้วก็ตาม แต่ผู้พิพากษาของเรา ก็ยังคงรักษาความเกรงกลัวอำนาจของคณะปฏิวัติรัฐประหาร ไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งๆที่ยุคนี้บ้านเมืองของเราได้เปลี่ยนแปลงไปมาก อีกทั้งโลกก็ไม่ยอมรับในอำนาจเถื่อน ที่มาจากปากกระบอกปืนนานแล้วด้วย
ความหวาดกลัวของผู้พิพากษา ต่ออำนาจเถื่อน จากการปฏิวัติรัฐประหาร ยังแสดงออกปรากฏให้เห็นชัดเจน
ในคำพิพากษา ของศาลเอง!

ผมเองนั้นทั้งบริภาษ ทั้งคัดค้าน ในการกระทำของ 'ไอ้บังกบฏ’ กับพรรคพวก มาตั้งแต่พวกมันยังอยู่ในอำนาจด้วยซ้ำไป เพราะเห็นว่า
การที่ผู้พิพากษาแสดงความยำเกรง ต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม หรืออำนาจที่มาจากปากกระบอกปืน เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะผู้พิพากษาได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะรักษารัฐธรรมนูญ แต่ดันกลับไปยอมรับในอำนาจเถื่อน ที่มาล้มล้างรัฐธรรมนูญ แถมยังตีตรารับรอง ด้วยคำพิพากษาเสียเองอีกด้วย ทำกันมายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว ไม่ยอมแก้ไข ไม่ยอมพิจารณาว่าอะไรที่เป็นเรื่องถกต้องชองธรรม
แล้วอย่างนี้แล้ว เราจะไปมองหน้าชาวโลก ได้อย่างไร!?
จะไม่เป็นการหนุนให้บ้านเมืองเรา วิ่งวนเวียนกันอยู่ในวังวน ของการปฏิวัติรัฐประหาร อย่างนั้นหรือ!!?
นี่เองเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ผมเขียนบทความลง โดยให้ชื่อคอลัมน์ว่า “คณะผู้พิพากษาต้องเป็น ‘ธงนำ’ ในการต่อต้านรัฐประหาร" ลงในผู้จัดการออนไลน์ เมื่อ 17 ก.ค.2550 ในขณะนั้นคมช.ยังอยู่ในอำนาจด้วยซ้ำ!
ที่เขียนอย่างนั้น ความมุ่งหมายของผมก็เพื่อกระตุ้นให้บรรดา “ท่านเปา” ทั้งหลาย ซึ่งพิพากษาในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ อย่าไปยอมก้มหัวให้อำนาจปากกระบอกปืน และนำลงรวมเล่ม ในหนังสือ“รัดทำมะนวย-ฉบับหัวคูณ!” ที่ดังลั่นสนั่นเมือง
จากนั้นอีก 1 ปี ผมได้เขียนกระแทกซ้ำเข้าไปอีก ด้วยบทความชื่อ “วันรพี” ...เตือนใจท่านผู้พิพากษา ให้กล้าหาญ ต่อต้านเผด็จการ!!! ลงหนังสือพิมพ์ ‘ประชาทรรศน์’ รายวัน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2551 และ www.vattavan.com ดูได้ตาม content_page_detail.php?cont_id=68
บทความดังกล่าว ผมยุตรงๆให้ท่านผู้พิพากษากระด้างกระเดื่อง ต่อการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะผมเชื่อว่า
หากผู้พิพากษาผินหน้าไปในทิศทางใด มวลมหาประชาชนคนไทย ก็จะหันหน้าไปในทิศทางนั้น!
เหตุการณ์ที่ผู้พิพากษา แข็งขืนต่ออำนาจคณะรัฐประหารนั้น ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ในหลายประเทศแล้ว!!

บอกตรงๆว่า ที่เขียนอย่างนั้น ผมไม่ได้คิดว่า จะมีผลทำให้ผู้พิพากษา ออกมาสนับสนุนความเห็นของตัวเอง แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะเห็นพ้องด้วยว่า การยึดอำนาจด้วยกำลังนั้น เป็นความเลวทรามต่ำช้า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คนเราส่วนใหญ่นั้น ก็ยังกลัวการบังคับด้วยอาวุธด้วยกันทั้งนั้น
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เวลานี้โลกของเรามีเจริญก้าวหน้า การเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมโลกนั้น มีการเคลื่อนไหวคึกคักอย่างต่อเนื่อง เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากๆ แม้แต่ชาติมหาอำนาจสำคัญอย่างจีน ยังถูกกดดันได้ด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน
แล้วสำมะหาอะไรกับประเทศไทย ที่เป็นเพียงประเทศขนาดย่อม เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นมา ก็ต้องพบกับแรงกดดันของชาติมหาอำนาจ มีผลกระทบมากมาย สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง ตัวอย่างก็มีอย่างที่เห็น เช่น กะอีแค่เรื่องซื้ออาวุธ รัฐบาลสุรยุทธ์ ณ เขายายเที่ยง ที่มาจากการรัฐประหาร ยังทำไม่ได้ เพราะอเมริกา....ไม่ขายให้!
จะไปซื้อเครื่องบินรบตระกูล F ของอเมริกัน ที่เคยใช้กันมานานก็ทำไม่ได้ ต้องไปซื้อเครื่องบินรบแบบ Gripen ที่เราไม่คุ้นเคยมาใช้ แถมสื่อฝรั่งยังนินทาว่า เครื่องบินที่สวีเดนนำมาขายให้นั้น ดันเป็นเครื่อง Rebuild หรือเอาเครื่องบินยกเครื่องใหม่ มาขายต่อให้อีกด้วย ไม่ใช่เครื่องบินใหม่สดซิงๆ อย่างที่ว่ากัน
เขาเลยนินทาว่า...ฟาดกันเปรมไปเลย!
ดังนั้น คนไทยต้องตระหนักกันให้จงดีว่า เรื่องการยึดอำนาจด้วยปืนนั้น เป็นเรื่องที่โลกเขาไม่ยอมรับกัน แต่เมืองไทยเรานั้นน่าแปลกที่ดันยอมรับ และรับกันดักดานนานยาว
ซึ่งเป็นเรื่อง...น่าอับอายนัก!
แถมรัฐประหารเสร็จ ดันมีผู้พิพากษาหลายนาย ยอมก้าวลงจากบัลลังก์อันมีเกียรติยิ่ง ลงไปรับใช้เผด็จการในตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ รวมทั้งทางการเมืองด้วย
ที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้น แม้แต่ตัวประธานศาลฎีกาเอง ก็ยังมีกรณีถูกกล่าวหาว่า ร่วมกับประธานศาลปกครอง องคมนตรี และอดีตนายทหารที่เคยก่อการยึดอำนาจแต่ไม่สำเร็จ ไปทะลึ่งไปสุมที่บ้านของ ‘ไอ้ห้วล้าน-หัวร้าย’ อย่าง ‘ไอ้ปี้’
เพื่อวางแผนรัฐประหาร...ดูเขาทำ!
ผมจึงเขียนบทความลงใน vattavan.com และหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ โดยให้ชื่อคอลัมน์ว่า “ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่ ‘สุมกบาล’ เพื่อก่อกบฏ!” (ท่านที่สนใจ อ่านต่อได้ใน www.vattavan.com/detail.php?cont_id=139)
บัดนี้ ประธานศาลฎีกาที่ถูกกล่าวหา ก็ยังไม่เคยออกมาโต้ตอบ แถมยังมีข่าวโดนลอบสังหารเข้าไปอีก
...เลยหายหัวจ้อยไปเลย!

จึงไม่น่าแปลก จากพฤติกรรมต่างๆที่ผมกล่าวมา เป็นสาเหตุทำให้สถานะของผู้พิพากษา ที่เคยได้รับการยกย่องอย่างสูงจากสังคม กลับต้องตกต่ำลง เพราะโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง อย่างไม่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์ของชาติเรามาก่อน...
น่าเสียดายนัก!
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมอยากให้ท่านผู้พิพากษาทั้งหลาย
ไตร่ตรองให้จงดีว่า...
ท่านทั้งหลาย จะยินยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร ต่อไปอีกหรือไม่? หรือ
ท่านทั้งหลาย จะลุกขึ้นมาแสดงความกล้าหาญ ด้วยการสลัดแอกของ “ไอ้บังกบฏ” หรือคณะรัฐประหาร ทิ้งไปหรือไม่?
ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน แต่หากท่านผู้พิพากษาจะยืนยัน
เสียงแข็งว่า...
ศาลจำต้องยอมรับอำนาจของคณะปฏิวัติ เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีอีกต่อไป เพราะเคยยอมรับกันไว้แล้ว ก่อนหน้านั้นถึง 50 ปี จำต้องรับต่อๆไป ใครยึดอำนาจได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นองค์ “รัฎฐาธิปัตย์” และคำสั่งของบุคคลนั้น ศาลก็จะถือว่าเป็นกฎหมายต่อไป ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
...อย่างนั้นหรือ
ผมเองก็เกรงว่า หากจะยอมรับกันแบบนั้น ในอนาคตข้างหน้า เมื่อลูกหลานของเรามองย้อนกลับมา ในประวัติศาสตร์คำพิพากษาของศาลไทย พวกเขาอาจบันทึกว่า
“เป็นที่น่าเสียใจ ที่ศาลไทยของเราในอดีต ยอมก้มหัวศิโรราบให้กับการปฏิวัติรัฐยึดอำนาจ จึงได้พิพากษารับรองอำนาจอันไม่ถูกต้อง ชอบธรรม ของผู้ก่อการรัฐประหาร คำพิพากษาเหล่านั้น ได้ประจานตัวผู้พิพากษาเอง และมีผลทำให้ระบบยุติธรรมของไทยเสียหายอย่างร้ายแรง จนทำให้ศาลไทยของเรา กลายเป็น “ศาลทาส” ในสายตาของนานาอารยะประเทศ...”
เห็นไหมครับ! ลูกหลานของเราในยุคต่อไป อาจบันทึกในทำนองนี้ ก็เป็นได้...
ใครจะไปรู้!!
ฉะนั้น บทความในวันนี้ จึงได้เขียนขึ้น โดยมีความมุ่งหมาย ที่จะกระตุ้นให้บรรดาผู้พิพากษาทั้งหลาย ได้เกิดความสำนึกที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม โดยตัด ‘ภยาคติ’ หรือความกลัวภัยออกไป แล้วเชิดหน้าด้วยความกล้าหาญ ตั้งจิตร่วมกันให้มั่น ในการที่จะต่อต้านคำสั่งอันไม่ชอบธรรม กดขี่ประชาชน และทำลายหลักการปกครองของชาติ อันเนื่องมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร
อยากเห็นบรรดาตุลาการทั้งหลาย มีสำนึกเฉกเช่น ท่านกีรติ
กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่รักษาสถาบันตุลาการ ด้วยการเขียนคำวินิจฉัยส่วนตน อย่างองอาจหาญกล้า เป็นการตบหน้าและทำลายวงจรอุบาทว์ ของอำนาจรัฐประหารที่ครอบงำศาลไทยมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ท่ามกลางความยินดีปรีดาของผู้คนที่รักความเป็นธรรม จนเป็นที่ชื่นชมของบรรดานักกฎหมายทั่วโลก ซึ่งได้รับ “จดหมายฟ้องโลก” ของผม ดังที่ได้กราบเรียนให้ท่านผู้อ่านไปแล้ว

สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้พิพากษาทุกท่าน ประสานมือกันและเดินก้าวออกมา ยืดอกและเชิดหน้า มองให้กว้างไกลไปโลกอารยะ ที่มีความเป็นอิสระ มีเสรีภาพ และตั้งเจตนารมณ์ร่วมกันว่า
จะยืนหยัดเพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของประชาชนคนชาติไทย ด้วยการปฏิเสธการใช้กำลังบังคับมนุษย์ด้วยปากกระบอกปืน...
อย่างเด็ดขาด...หนักแน่น!
ขอท่านผู้พิพากษาทั้งหลาย จงพร้อมใจตะโกนให้ดังกึกก้องฟ้าเมืองไทย สะเทือนสะท้าน จนได้ยินกันไปทั้งโลกว่า

“ศาลไทยของพวกกู... ไม่ใช่ศาลทาส (นะโว้ย)!!!”


ที่มา.วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
**********************************************************

ก.เกษตรฯ ตั้ง กก.สอบโกงฝนหลวง


ก.เกษตรฯ ตั้ง กก.สอบโกงฝนหลวง ถ้าไม่ทำจะลุยถึง ป.ป.ช. "ผอ.สำนักฯ" ยันไม่มีล็อคประมูลสารเคมี

ผอ.สำนักฝนหลวงฯยัน ไม่มีล็อคประมูลสารเคมีทำฝนหลวง เพียงแต่มีผู้ผลิตน้อยรายเลยได้หน้าเดิมๆ สตง.เดินหน้าสั่ง จนท.คุ้ยข้อมูลวันนี้ แนะเปิดประมูลนานาชาติถ้าใน ปท.มีการผูกขาด ชี้ถ้าไม่แก้ไขเกรงจะเสียหายต่อโครงการพระราชดำริ กมธ.ทรัพย์ฯเสนอ ก.เกษตรฯ ตั้ง กก.สอบโกงฝนหลวง ถ้าไม่ทำจะลุยถึง ป.ป.ช.

จากกรณี "มติชน" ตรวจสอบพบข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดประกวดราคางานจัดซื้อสารเคมีที่นำมาใช้ในการทำฝนหลวง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในส่วนของสารยูเรีย และเกลือแป้ง ส่อเค้าว่าจะมีปัญหาเรื่องการผูกขาดของเอกชนเกิดขึ้น เนื่องจากการประกวดราคาในช่วงหลายปีที่ผ่าน แม้ว่าจะมีการใช้วิธีการอี-ออคชั่น แต่มักมีเอกชนไม่กี่รายเข้ามาร่วมการประมูลและได้งานไป โดยเบื้องต้นผู้รับผิดชอบของกระทรวงเกษตรฯ ออกมาระบุว่าสาเหตุมาจากสินค้าเหล่านี้ มีผู้ผลิตในประเทศอยู่น้อยราย

ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการประกวดราคาจัดซื้อสารเคมีทำฝนหลวงจนถึงปี 2550 พบว่า นอกเหนือจากสารยูเรีย และเกลือแป้งแล้ว สารแคลเซี่ยมอ๊อกไซด์ก็มีการผูกขาดของเอกชนในการเข้ามาประกวดราคาเดียวกัน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบผลการประกวดราคาจัดซื้อแคลเซี่ยมฯ ในเว็บไซด์ กรมบัญชีกลาง "www.gprocurement.go.th" พบว่ามีการแจ้งผลการประกวดราคาจัดซื้อสารชนิดนี้ ไว้ 3 ครั้ง คือ ปี 2550 มีการแจ้งผลการจัดซื้อจำนวน 2,000 ตัน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2550 โดยใช้วิธีการอี-ออคชั่นเช่นกัน มีเอกชนมายื่นซอง 3 ราย คือ บริษัท กรุงเทพแต่งแร่ จำกัด บริษัท เจมอน จำกัด บริษัท เอส.เอ.แคลเซี่ยม จำกัด เบื้องต้นบริษัทเอส.เอ.แคลเซี่ยม จำกัด ได้รับการคัดเลือกโดยเสนอราคาที่ตันละ 6,240 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,480,000 บาท

ต่อมามีการแจ้งผลการประกวดราคาจัดซื้ออีกครั้งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2551 รวม1,300 ตัน แต่ครั้งนี้มีเอกชนเข้ามายื่นซอง เพียง 2 รายเท่านั้น คือบริษัทไลม์มาสเตอร์ จำกัด และบริษัทกรุงเทพแต่งแร่ จำกัด ส่วนบริษัท เอส.เอ.แคลเซี่ยมฯไม่ได้เข้าร่วม เบื้องต้น บริษัท ไลม์มาสเตอร์ จำกัดฯเป็นผู้ชนะ รายการที่ 1 ส่งมอบคลังสารฝนหลวง จ.นครสวรรค์ ราคาตันละ 5,852 บาท จำนวน 400 ตัน เป็นเงิน 2,340,800 บาท รายการที่ 2 ส่งมอบคลัง จ.เชียงใหม่ ราคาตันละ 6,250 บาท จำนวน 400 ตัน เป็นเงิน 2,500,000 บาท รายการที่ 4 ส่งมอบ คลัง กทม.ฯ ราคาตันละ 5,500 บาท จำนวน 300 ตัน เป็นเงิน 1,650,000 บาท รวม 3 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 6,490,800 บาท ส่วนบริษัท กรุงเทพแต่งแร่ฯ ได้รับอนุมัติไป 1 รายการ คือ รายการที่ 3 ส่งมอบ คลัง จ.นครราชสีมา ราคาตันละ 5,780 บาท จำนวน 200 ตัน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,156,000 บาท

ขณะที่ในจัดซื้ออีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2552 ปริมาณ 800 ตัน มีเอกชนเข้ามายื่นซอง เพียงแค่ 2 ราย คือ บริษัทกรุงเทพแต่งแร่ฯ และบริษัท ไลม์มาสเตอร์ฯ เหมือนเดิม ผลบริษัทไลม์มาสเตอร์ฯ ชนะในการจัดส่งสารที่คลัง นครราชสีมา ราคาตันละ 6,100 บาท จำนวน 600 ตัน เป็นเงิน 3,660,000 บาท ส่วนบริษัท กรุงเทพแต่งแร่ฯ ชนะการประกวดราคาจัดส่งสารคลัง กทม. ราคาตันละ 6,000 บาท จำนวน 200 ตัน เป็นเงิน 1,200,000 บาท

นายวราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะบริษัทเอกชนที่ขายสินค้านี้ในประเทศมีอยู่ไม่กี่ราย ซึ่งก็เหมือนกับกรณีสารชนิดอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

ส่วนที่มีข้อมูลว่าในรายงานผลการตรวจสอบกรณีการจัดซื้อยูเรียที่สำนักฝนหลวงฯ ส่งไปให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาระบุชื่อบริษัทเอกชนตัวอักษรย่อ "ไอ" ชนะประมูลมากกว่า 6-7 ครั้ง จากเกือบ 10 ครั้งตั้งแต่ปี 2548 ที่ผ่านมา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการผูกขาดยูเรีย ขณะที่การจัดซื้อเกลือแป้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีเพียงแค่ 1-2 ราย ชนะประมูลจัดซื้อเช่นกันนั้น นายวราวุธกล่าวว่า"ไม่สามารถให้ความชัดเจนเรื่องนี้ได้ เนื่องจากข้อมูลไม่ได้อยู่กับตัว"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าไม่ได้มีการล๊อคประมูลสารแต่ละชนิด นายวราวุธ กล่าวว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการประกวดราคาจัดซื้อสารแต่ละครั้งใช้วิธีอี-ออคชั่น เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตทุกรายแข่งขันอย่างเต็มที่ และก็มีการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ไม่ได้มีการปกปิดอะไร แต่เมื่อเราประชาสัมพันธ์ไปแล้วมีเอกชนเข้ามาน้อยราย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันŽ

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโลภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กล่าวว่า ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกการประกวดราคาจัดซื้อสารฝนหลวงทุกชนิด เพื่อดูว่าการดำเนินงานแต่ละครั้งเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องคุณภาพของสารนั้นจะเชิญนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบด้วย ส่วนกรณีที่ทางสำนักฝนหลวงฯ อ้างว่า ที่มีบริษัทเอกชนไม่กี่แห่งเข้าร่วมประมูลเพราะมีผู้ผลิตน้อยรายนั้น ก็จะเข้าไปตรวจสอบเช่นกัน หากเป็นจริง กระทรวงเกษตรฯน่าจะทบทวนรูปแบบใหม่ อาทิ ขยายกฎเกณฑ์การประมูลให้เอกชนต่างชาติเข้าร่วมได้ ไม่ใช่นั่งรับสภาพ ปล่อยให้เอกชนหน้าเดิมๆเข้ามา ขณะที่คุณภาพสินค้าก็ไม่มีการพัฒนา

"ถ้าอะไรที่มันทำแล้วให้งานดีขึ้น ก็ควรลงมือทำ แต่ถ้ามีปัญหาแล้วไม่ยอมทำ ก็อาจเป็นไปได้ว่า มีใครบ้างกลุ่มเห็นว่าทำแบบนี้ดีแล้ว ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร หน้าฉากแกล้งทำว่าใช้วิธีอี-ออคชั่น แต่เบื้องหลัง เพราะทุกอย่างทุกกำหนด แบ่งปั่นผลประโยชน์อะไรกันลงตัวแล้ว จะเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุด สุดท้ายโครงการฝนหลวงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโครงการพระราชดำริ ก็จะช่องโหว่ทำให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาแสวงหาประโยชน์ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับโครงการชุมชนพอเพียงมาแล้ว" นายพิศิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าสารเคมีที่นำมาใช้ในการทำฝนหลวงในประเทศจะมีเอกชนไม่กี่รายผลิตได้ เพราะสารเหล่านี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เช่น สารยูเรียที่นำมาใช้ ก็ไม่แตกต่างจากยูเรียที่นำไปใช้ทำปุ๋ยเคมี ซึ่งมีเอกชนที่ผลิตจำนวนมาก ที่แต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมน้อยรายอาจจะมีการตกลงอะไรกันไว้หรือไม่ จากข้อมูลที่ตนได้รับแจ้งจากข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้รับการยืนยันมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นจริง จากการที่ฝายการเมืองพยายามที่เข้าไปล้วงลูกซึ่งทำให้ข้าราชการลำบากใจอย่างมากŽน.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า กระทรวงการเกษตรฯจะต้องเร่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบปัญหานี้ หากไม่ทำคณะกรรมาธิการจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบเอง โดยตนจะขอมติที่ประชุมในวันที่ 10 มี.ค.นี้หากพบทุจริตจะส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎรรับไปดำเนินการต่อ เพื่อให้สามารถส่งเรื่องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป

"คนที่จะมาเป็นคณะกรรมการต้องเป็นบุคคลที่สังคมให้การยอมรับ อาทิ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ นพ.บรรลุ ศิริพาณิชย์ หรือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ไม่ใช่ตั้งคนในสำนักฝนหลวงฯเข้ามาตรวจสอบกันเอง ทั้งนี้ ในปี 2545-46 ก็เคยมีการทุจริตโครงการฝนหลวง โดยเปลี่ยนสารทำฝนหลวงเป็นสารไม่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ 3 รายแต่น่าแปลกที่เป็นแค่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ทั้งที่การมูลค่าการทุจริตสูงถึง 100 ล้านบาท" นายนริศ กล่าวและว่าอยากให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯทั้งรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะโครงการฝนหลวงเป็นโครงการในพระราชดำรีที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้รับชื่อเสียงด้านการสร้างสิ่งประดิษฐ์และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก นอกจากนี้ยังทำให้พระองค์ได้รับทูลเกล้าฯถวายรางวัลนักประดิษฐ์โลกด้วย


ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

คาด เสธ.แดงอยู่คุกยาว ตร.ห้ามประกัน


ตำรวจกองปราบปรามสอบปากคำ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง พร้อมพวกรวม 8 คน หลังถูกแจ้งข้อหาช่วยผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องหา ไม่ให้ต้องโทษ ด้วยการให้พำนักแก่ผู้นั้น หรือซ่อนเร้น ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร

ส่วน นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือ เคทอง ถูกจับตามหมายจับของศาลมีนบุรี ด้วยข้อหาปลุกปั่นและข่มขู่ให้ผู้อื่นเกิดความกลัว และตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พร้อมถูกแจ้งข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ และอ้างว่า สำนวนไม่ตรงตามข้อเท็จจริง

หลังการสอบปากคำ ทนายความของเสธ.แดง ใช้โฉนดที่ดินมูลค่า 900,000 บาท ยื่นขอประกันตัว แต่ตำรวจไม่อนุญาต จึงควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม และจะส่งฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในวันพรุ่งนี้ (8 มี.ค.)

**********************************************************

Thai Red Australia แถลงการณ์ต่อต้านการมาเยือนของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


สืบเนื่องจากการที่ กลุ่มพลังประชาธิปไตยไทยออสเตรเลีย ได้ออกแถลงการณ์เพื่อประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ ในการต่อต้านและคัดค้านการทำรัฐประหารและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ทางกลุ่มได้ติดตามสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดมาอย่างต่อเนื่อง และซึ่งมีข้อมูลและหลักฐานแสดงอันเชื่อได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ได้ร่วมมือกับกองทัพ สร้างสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศ เพื่อเป็นข้ออ้างให้เกิดความชอบธรรมในการทำรัฐประหารและยึดอำนาจจากประชาชน อีกครั้ง รวมถึงการใช้เป็นข้ออ้าง ในการปราบปรามประชาชน ซึ่งออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเรียกร้องประชาธิปไตยคืนหลังจากถูกทหาร ยืดไปตั้งแต่ 19 กย 2549

การที่นาย อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ยืนยันที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ในช่วงที่ประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นปัจจุบัน อันอาจนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยในชาตินั้น แสดงให้เห็นภาวะผู้นำที่บกพร่อง ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจะต้องกำกับดูแล และแก้ไขปัญหาของประเทศในภาวะวิกฤต แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเลือกที่จะเดินทางมาเยือนประเทศออสเตรเลียแทน ดังนั้น การเดินทางมาออสเตรเลียในครั้งนี้ จึงไม่สามารถพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากแสดงให้เห็นถึงเจตนาของนายอภิสิทธิ์ ฯ ดังนี้

1. เปิดโอกาสให้กลุ่มทหารที่กระหายอำนาจในกองทัพกระทำการรัฐประหารโดยสะดวก เพื่อเป็นหนทางในการลงจากอำนาจแบบชอบธรรม เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ฯ เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้เลยในระยะเวลาที่ได้ บริหารประเทศมา และเพื่อ อำพรางตนเองว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับทหารที่ทำการรัฐประหาร

2. เพื่อหลบเลี่ยง หน้าที่และความรับผิดชอบกรณีเกิดความรุนแรงขึ้น อันจะนำไปสู่การยอมจำนนและประกาศยุบสภา ตามเสียงเรียกร้องของประชาชนจำนวนมาก ที่แสดงการไม่ยอมรับการบริหารงานของรัฐบาล

3. เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการให้อยู่ต่อไป

4. มีพฤติกรรมในการขอลี้ภัยทางการเมืองกรณีเกิดรัฐประหารไม่สำเร็จซึ่งโดยข้อ เท็จจริงแล้วเป็นการหลบหนีคดีอาญาเนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ได้ทำร้ายและฆ่าประชาชนจำนวนมาก
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กลุ่มพลังประชาธิปไตยไทยออสเตรเลีย จึงขอคัดค้านการเดินทางมาเยือนออสเตรเรียของนาย อิภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ระหว่าง 13 - 17 มีนาคม 2553 โดยจะดำเนินการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมายของประเทศออสเตรเลีย ดังนี้

1. ยื่นจดหมายถึง นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เพื่อคัดค้านการมาเยือนของ นาย อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทสไทย โดยมีเหตุผลในการยื่นคัดค้านดังนี้
• พรรคการเมืองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับฉันทานุมัติ จากเสียงสนับสนุนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้เป็นผู้บริหารประเทศจากการเลือกตั้ง
• นายอภิสิทธิ์ ฯ ได้รับการสนับสนุนในทางลับ จากการดำเนินการของคณะทหารที่ร่วมกันทำรัฐประหาร โค่นล้มรัฐธรรมนูณ ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยถูกต้องของประชาชน ตามหลักการประชาธิปไตยที่สากลประเทศ รวมทั้งประเทศออสเตรเลียยอมรับ เมือวันที่ 19 กันยายน 2549
• รัฐบาลโดยการนำของนายอภิสิทธ์ สังให้มีการการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการใช้อาวุธเข่นฆ่าเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือตามที่สากลยอมรับ
• เป็นรัฐบาลซึ่งไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย เรื่องพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษย์ชน ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์กรสหประชาชาติ จะต้องยอมรับและปฎิบัติตาม
• คนไทยในประเทศออสเตรเลียไม่ประสงค์จะให้รัฐบาลออสเตรเลียนำภาษีที่ได้จาก ประชาชนซึ่งส่วนหนึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากคนไทยที่มีถิ่นอาศัยและประกอบอาชีพ ในประเทศออสเตรเลียไปใช้ในการต้อนรับผู้นำที่มาจากเผด็จการ

2. นัดหมายกลุ่มคนไทยผู้รักประชาธิปไตยที่เห็นด้วยกับการคัดค้านการเดินทางมา เยือนของนายอภิสิทธิ์ ฯ ในวันระหว่างวันที่ 13-17 มีนาคม 2553 เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับผู้นำที่มาจากระบบเผ็ดจการ ในทุกสถานที่ ที่นายอภิสิทธิ์ ฯ มีกำหนดการในประเทศออสเตรเลีย

ทั้งนี้จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน


THAI RED AUSTRALIA
7 มีนาคม 2553
ที่มา.konthaiuk
**********************************************

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ณัฐวุฒิ"ซัด"เปรม"ประกาศตัวชัดรับสงครามเสื้อแดง-อำมาตย์ ปูดคลังแสงทภ.4ถูกงัดอาวุธสงครามหายเพียบ

แกนนำแดงจวก"เปรม"เปิดตัวชัดพร้อมรับศึกเสื้อแดงแล้ว ลั่นเป็นสงครามระหว่างปชช.กับอำมาตย์อย่างแท้จริง เล็งแฉข้อมูลธุรกรรมอำพราง7มี.ค. อ้างคลังแสงทภ.4ถูกงัด ทั้งปืนพก-ระเบิดเอ็ม67-กระสุนปืนล่องหนกว่า3พันนัด

"ณัฐวุฒิ"ปูดคลังแสงทภ.4ถูกงัด

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 14 มีนาคม ว่า ได้รับรายงานมาเช่นกันว่าจะมีการก่อวินาศกรรม แต่ยืนยันได้ว่าไม่ได้เกิดจากคนเสื้อแดงแน่ เพราะไม่คิดที่จะก่อเหตุความรุนแรงใดๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามเปิดเผยถึงข่าวดังกล่าวต้องการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง หวังให้สังคมเข้าใจว่าเป็นกลุ่มที่พยายามก่อนเหตุ

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทราบมาว่าเมื่อคืนวันที่ 3 มีนาคม คลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 401 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพภาคที่ 4 ถูกงัดแงะ โดยมีอาวุธและวัตถุระเบิดหายไปหลายรายการ อาทิ ระเบิดเอ็ม 67 หายไปจำนวน 69 ลูก กระสุนปืนเอชเค 3,100 นัด และปืนพกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในกองทัพได้อย่างไร ทำไมรัฐบาลและหน่วยความมั่นคงต้องปกปิดข่าวนี้ หรือมีเจตนาที่จะเอาของพวกนี้ไปสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายคนเสื้อแดง ถ้าไม่ใช่หน่วยรักษาความปลอดภัยของกองทัพเป็นอย่างไร ทำไมถึงปล่อยให้มีการงัดแงะคลังแสงได้

"ทราบว่าขณะนี้มีการสั่งให้จเรทหารเข้าไปตรวจสอบแล้ว พร้อมกับกำชับให้ปกปิดข่าวนี้เป็นความลับ แต่ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด เรื่องนี้นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง จะอธิบายอย่างไร" นายณัฐวุฒิกล่าว

ชี้"เปรม"เปิดตัวชัดรับศึกแดงแล้ว

นายณัฐวุฒิกล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อรายงานสถานการณ์เคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 14 มีนาคม ว่า อธิบายได้อย่างชัดเจนว่า การต่อสู้คนเสื้อแดงครั้งนี้ไม่ได้ต่อสู้กับนายอภิสิทธิ์ แต่สู้กับ พล.อ.เปรม ซึ่งการที่ พล.อ.เปรมเปิดตัวให้ผบช.น.เข้าพบเพื่อสอบถามสถานการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของประธานองคมนตรี กรณีนี้จึงเหมือนกับ พล.อ.เปรมเตรียมตัวที่จะรับศึกครั้งนี้แล้ว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยังทราบมาว่ารายงานข่าวที่ปรากฏตามสื่อมวลชนด้วยว่า พล.อ.เปรมยังได้สอบถามกับ ผบช.น.ถึงวิธีการจับกุมตน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดงให้ได้ก่อนวันชุมนุมใหญ่ ซึ่งตำรวจชี้แจงไปว่ามีมีช่องทางที่จะสามารถทำได้

7มี.ค.แฉธุรกิจอำมาตย์ต้อนรับ

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การที่ พล.อ.เปรมเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ถือเป็นประโยชน์สูงสุดกับคนเสื้อแดงเป็นอย่างยิ่ง เป็นสงครามอย่างแท้จริง เพราะตัวจริงเสียงจริงเปิดหน้าออกมาแล้ว ซึ่งสมรภูมิรบระหว่างประชาชนกับอำมาตย์กำลังจะเริ่มขึ้น โดย พล.อ.เปรมเป็นผู้บัญชาการในฝ่ายอำมาตย์

"เพื่อเป็นการต้อนรับมหาอำมาตย์ที่เปิดหน้าชนกับคนเสื้อแดง ก็พร้อมที่จะต้อนรับอย่างสาสม โดยวันที่ 7 มีนาคม จะเปิดข้อมูลความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินธุรกรรมอำพรางของบรรดาเครือข่ายอำมาตย์ให้สังคมได้รับทราบ โดยเฉพาะพฤติกรรมของมูลนิธิรัฐบุรุษที่นำของบริจาคมาขาย"นายณัฐวุฒิกล่าวอ้าง


ที่มา.มติชนออนไลน์
*******************************************