--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

สงครามประชาชน


คอลัมน์ .ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดื้อ

คาดว่าตลอดทั้งสัปดาห์นี้ข่าวสารบ้านเมืองคงจะวนเวียนอยู่กับเรื่องการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ และข่าวสารเรื่องความรุนแรงส่วนใหญ่น่าจะออกมาจากทางฝั่งของรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาคนของรัฐบาลก็พูดเรื่องความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา

ความจริงเรื่องการโหมกระแสเรื่องความรุนแรงมองได้ 2 แง่มุม

แง่มุมหนึ่งมองได้ว่าเป็นการเตือนไม่ให้กลุ่มที่จะใช้ความรุนแรงลงมือทำอะไร เพราะว่ารัฐบาลรู้ไปหมดว่ามีความเคลื่อนไหวอย่างไรกันบ้าง

แง่มุมหนึ่งมองได้ว่าเป็นการเขย่าขวัญประชาชนคนธรรมดาที่ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่ม กับสี เพราะการโหมประโคมข่าวเรื่องความรุนแรงของคนในรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐได้ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกหวาดกลัวว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นมาจริงๆ

ความรู้สึกหวาดกลัวที่เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วไปมองในแง่ของยุทธศาสตร์ถือว่ารัฐบาลประสบความสำเร็จ เพราะทำให้คนทั่วไปรู้สึกไม่ดีกับผู้ชุมนุมที่เคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งทำให้รัฐบาลได้แนวร่วมไปโดยปริยาย

แต่สิ่งที่คนในรัฐบาลและนักการเมืองฝั่งรัฐบาลไม่น่าทำคือการปลุกให้ประชาชนคนกรุงเทพฯออกมาต่อต้านการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพราะมันสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกันได้

รัฐบาลอาจคิดว่าการปลุกให้คนกรุงเทพฯออกมารักษาชุมชนของตัวเองจะช่วยให้รัฐบาลมีความชอบธรรมในการดำเนินการกับคนเสื้อแดงอย่างใดอย่างหนึ่งมากขึ้น เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นที่ชุมชนนางเลิ้งเมื่อตอนเหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อปีที่แล้ว แต่รัฐบาลเองก็ต้องไม่ลืมว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ชุมชนนางเลิ้งในช่วงสงกรานต์เลือดนั้นมีข้อสงสัยมากมายที่รัฐบาลยังไม่ให้คำตอบ โดยเฉพาะข้อสงสัยที่ว่าคนที่เอาปืนออกมายิงใส่ผู้ชุมนุมนั้นเป็นคนนางเลิ้งจริงหรือไม่

มีใครแฝงเข้าไปสร้างสถานการณ์ขึ้นมาหรือเปล่า

เหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นที่พัทยา ที่มีภาพคนเสื้อน้ำเงินเอาหนังสติ๊กยิงใส่คนเสื้อแดง ถือไม้ไล่ตีคนเสื้อแดง

เหตุการณ์เหล่านี้ทั้งสื่อ ทั้งฝ่ายคนเสื้อแดงบันทึกภาพเอาไว้ได้อย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่คิดแม้แต่จะเสาะหาความจริงหรือดำเนินการกับคนเหล่านั้น คงมีแต่การดำเนินการกับคนเสื้อแดงอยู่ฝ่ายเดียว

คำถามคือมีการสอบสวนเพื่อเอาผิดกับคนพวกนี้บ้างหรือไม่ ออกหมายจับไปบ้างหรือไม่ เพราะมีภาพถ่ายปรากฏหน้าตาเป็นหลักฐานที่ชัดเจน

ไม่ได้อยากจะรื้อฟื้นอะไร แต่อยากเตือนเอาไว้ว่าการปลุกให้ประชาชนออกมาต่อต้านประชาชนมันอาจได้ไม่คุ้มเสีย เพราะอาจเป็นน้ำผึ้งหยดเดียวที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาอย่างคาดไม่ถึงได้



**********************************************************************

“ศาลไทย... ไม่ใช่ศาลทาส (นะโว้ย)!!!”


เมื่อหนังสือ “รัดทำมะนวย ฉบับหัวคูณ” ของผู้เขียน ออกสู่สายตาท่านผู้อ่าน สร้างความฮือฮาให้กับสังคม เพราะเห็นชื่อหนังสือแปลกดี อีกทั้งพรรค “พลังประชาชน” นำไปแจกให้สมาชิกพรรค จนได้มีการวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนาๆ ถึงขั้นคำว่า “รัดทำมะนวย” ถูกนำไปขึ้นปกหนังสือพิมพ์อย่าง “มติชน” ด้วยซ้ำ
หนังสือเล่มนี้กลายเป็นเป้าโจมตี จากผู้คนที่คิดว่าชื่อหนังสือนั้นไม่ถูกหู หลายคนวิจารณ์ทั้งๆที่ยังเคยไม่อ่าน หรือแม้แต่เห็นหนังสือเล่มดังเสียด้วยซ้ำไป หนึ่งในนั้น ก็คือ
นายวิชา มหาคุณ
คนที่เคยเป็นผู้พิพากษาศาลสูง อย่างนายวิชาฯ ซึ่งต่อมาได้ผันตัวมาเป็น ป.ป.ช. ด้วยคำสั่งของ ‘ไอ้บังกบฏ’ โดยพระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง ตามที่มีกฎหมายที่ได้ให้เป็นพระราชอำนาจ แต่มีการหนังสือของสำนักนายก ที่อ้างว่ามีการยืนยันจากสำนักราชเลขาธิการ แต่ไม่เคยมีหลักฐานมาปรากฏต่อสาธารณะชนเลย
ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่จะถลกให้เห็นดำเห็นแดงกันอีกที ว่าการแอบอ้างอย่างนั้น
จริงหรือเท็จอย่างไร!?

นายวิชา ได้ให้สัมภาษณ์สถานีวิทยุคลื่น Fm 97 เกี่ยวกับหนังสือ ว่า
ช่างเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม คนทำหนังสือเล่มนี้ต้องมีวุฒิภาวะต่ำอะไรทำนองนั้น
ผมดันฟังรายการนั้นอยู่พอดี เลยเขียนคอลัมน์โต้คำพูดของอีตาวิชาฯ ลงในเว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์ เมื่ออังคารที่ 20 พฤศจิกายน 2550 ว่า
...คนมีวุฒิภาวะสูงอย่างนายวิชาฯ เห็นปกหนังสือรัดทำมะนวยแล้ว ก็คงรีบร้อนผวนคำเร็วไปหน่อยกระมัง
...เลยติดอยู่แค่ปก เพราะยอมรับโต้งๆในประโยคต่อมาว่า
ยังไม่ได้อ่านเนื้อใน ของหนังสือเล่มนี้เลย !
ผมยังเขียนต่อไปอีกด้วย ว่า
...ฟังแล้วผมไม่เชื่อหูตัวเอง
นี่ขนาดคนเป็นผู้พิพากษา ยังตัดสินคนเขียน ทั้งๆที่ยังอ่านหนังสือไม่พ้นปก
เท่ากับว่า นายวิชาฯ ตัดสินหนังสือด้วยปก!
เขาว่า นายวิชาฯเป็น ‘นักเรียนนอก’ น่าจะต้องทราบดีกว่า ‘นักเรียนใน’ ว่า ฝรั่งเขาเตือนกันมาแต่ยุคโบราณเอาไว้หนักหนา คือ
Do not judge the book by its cover!
อย่างนี้ เวลาจำเลยที่รูปลักษณ์ไม่เข้าตานายวิชาฯมาสู่ศาล ยังไม่ทันไต่สวนสวนทวนความ สืบพยานกัน นายวิชาฯมิพิพากษาประหารชีวิตเขาไปเลยหรือครับ?
นึกไม่ถึงว่า ตุลาการอย่างนายวิชาฯ ลืม “หลักอินทภาษ” อันหมายถึง “โอวาทของพระอินทร์” ซึ่งเสด็จลงจากเทวโลก มาประทานคำสอนบรรดาตุลาการทั้งหลาย ในครั้งบรรพกาลว่า
ยามจะพิพากษาอรรถคดีทั้งปวง จะต้องทำตนให้ปลอดจากอคติทั้งสี่ คือ โมหาคติ(โง่) โทสาคติ(โกรธ) ฉันทาคติ(หลง/รัก) ภยาคติ(กลัว)
ลืมเสียแล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่งหลักการของเทวดา ที่พวกนักเรียนกฎหมาย บอกผมเมื่อตรวจสอบไปว่า
...นายวิชาฯเคยสอน “หลักอินทภาษ” ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเองด้วยซ้ำ...
อย่างนั้นหรือครับ...
...ถึงได้วินิจฉัยผม และงานของผมออกมาอย่างนี้?
ไม่ได้อยากพูดจาว่ากล่าว แต่เมื่อมากล่าวหากัน โดยไม่เบิ่งตาอ่านที่ผมเขียนนั้น ว่ามีเนื้อหาอย่างไรเสียก่อน
จึงต้องขออนุญาตพูดจาว่ากล่าว และตักเตือนสติกันเอาไว้บ้าง
ถึงกระนั้นผมก็มองในแง่ดีว่า นายวิชาฯไม่ได้รังเกียจปกหนังสือหรอก แต่ที่ท่านว่าหยาบคายนั้น อาจเป็นเพราะพออ่านชื่อหนังสือปั๊บ ปุ่มในหัวของนายวิชาฯ ก็...
...แอ่นแอ๊น เปิดออกโดยอัตโนมัติ แล้วเสียงผวนก็ดังแบบไซเรนเสียงโหยหวน ก็แผดจนกึกก้อง ให้ได้ยิน...
เต็มหัวกบาล...ของนายวิชาฯเองต่างหาก
จริงหรือ...ไม่จริงล่ะ!?....
นั่นเป็นข้อความ ที่ผมเขียนโต้นายวิชาฯไป รายละเอียดท่านหาอ่านได้ในหนังสือ “เหี้ยส่องกระจก” แต่ที่นำมาเล่าในวันนี้ เพราะเนื้อหาของการเขียนในวันนี้ เกี่ยวเนื่องกับหลักอินทภาษที่อ้างถึงข้างต้น
วันนี้ ผมไม่ได้มาวิพากษ์วิจารณ์นายวิชาฯเพิ่มเติมหรอกครับ หากแต่จะมายืนยันซ้ำอีกครั้ง ในสิ่งที่ผมได้เขียนต่อท้าย เพิ่มเข้าไปในบทความตอนที่แล้วว่า
...หลังฟังคำตัดสินคดียึดทรัพย์แล้ว และแม้จะเคารพในคำพิพากษา แต่ผม ‘ไม่’ อาจเห็นพ้องด้วย โดยเฉพาะการที่ศาลยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร อย่างหน้าชื่นตาบาน
ตรงนี้รับไม่ได้เลย!!! (เขียนบทความ ‘ดักหน้า’ เอาไว้แล้วด้วย) ...
ขอเรียนยืนยัน ต่อท่านผู้อ่านที่เคารพว่า ผมเองนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลงจุดยืนในเรื่องการสอบสวนคุณทักษิณ และได้คัดค้านกระบวนการสอบสวนดำเนินคดีมาตั้งแต่ต้น เพราะ...
ในฐานะที่มีประสบการณ์ในด้านการสอบสวนมาก่อน ไม่ว่าจะในฐานะพนักงานสอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวน และอาจารย์สอน และผู้แต่งตำราการสอบสวนคดีอาญา ผมมองออกตั้งแต่ต้น ถึงแผนการทางกฎหมายของ “ไอ้มีชัย กบาลใส” หรือที่ผมเรียกว่า Butler Lawyer ด้วยความพยายามจะสร้างความชอบธรรม ในการแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนพิเศษอย่าง ค.ต.ส. ซึ่งประกอบด้วยปรปักษ์กับทักษิณล้วนๆ โดยคำสั่งอันไม่ชอบธรรมของ “ไอ้บัง กบฏ” แล้วนำมาผูกกับกระบวนการที่ชอบธรรมตามกฎหมาย ในชั้นพนักงานอัยการและศาล ทั้งๆที่กระบวนการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็ยังบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น และยังใช้ต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตาม“ศุภนิติกระบวน” ( Due Process) โลกปัจจุบัน...เขารับกันไม่ได้!

ดังนั้น วันนี้ต้องออกมายืนยันอีกครั้งว่า ในความเห็นส่วนตัวของผม เห็นว่าคำพิพากษาศาลฎีกาที่รับรองคำสั่งของคณะปฏิวัตินั้น ว่าชอบด้วยกฎหมาย เพราะมีอำนาจ “รัฎฐาธิปัตย์” ซึ่งมีมาตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2501 เพราะตอนนั้นจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใครไม่เห็นด้วยก็ไม่กล้าแสดงออก เพราะกลัวแกจะลากเอาตัวไป “ปุ!...ปุ!” ซึ่งเป็นคำพูดของผู้คนในสมัยนั้น คือ
เอาไป “ยิงเป้า” เสีย!

จึงน่าเห็นใจที่ศาลฎีกาในสมัยนั้น ต้องพิพากษาด้วย “ภยาคติ” เพราะความกลัวอำนาจจอมพลสฤษดิ์ฯ ทั้งๆที่คำว่า “รัฎฐาธิปัตย์” ที่อ้างกันในคำพิพากษานั้น...
...ไม่เคยมีปรากฏในพจนานุกรม ของประเทศไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน ไม่ว่าฉบับเก่าหรือฉบับใหม่ด้วยซ้ำไป!...
การพิพากษาด้วยความ “กลัว” หรือโดยหวาดหวั่นว่าภัยนั้นจะมาถึงตนและครอบครัว ผู้พิพากษาศาลฎีกาเมื่อ ปี พ.ศ.2501 จึงต้องยอมฝ่าฝืนหลัก “อินทภาษ” อันเป็นหลักของผู้ดำรงฐานะเป็นตุลาการไทย ได้ยึดถือกันมาแต่ในอดีตกาล โดยจำต้องพิพากษาไปเพราะ“ภยาคติ” นั่นเอง!
แต่...ไม่น่าเชื่อว่า เวลาผ่านมาถึงครึ่งศตวรรษแล้ว คือ กว่า 50 ปีแล้วก็ตาม แต่ผู้พิพากษาของเรา ก็ยังคงรักษาความเกรงกลัวอำนาจของคณะปฏิวัติรัฐประหาร ไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งๆที่ยุคนี้บ้านเมืองของเราได้เปลี่ยนแปลงไปมาก อีกทั้งโลกก็ไม่ยอมรับในอำนาจเถื่อน ที่มาจากปากกระบอกปืนนานแล้วด้วย
ความหวาดกลัวของผู้พิพากษา ต่ออำนาจเถื่อน จากการปฏิวัติรัฐประหาร ยังแสดงออกปรากฏให้เห็นชัดเจน
ในคำพิพากษา ของศาลเอง!

ผมเองนั้นทั้งบริภาษ ทั้งคัดค้าน ในการกระทำของ 'ไอ้บังกบฏ’ กับพรรคพวก มาตั้งแต่พวกมันยังอยู่ในอำนาจด้วยซ้ำไป เพราะเห็นว่า
การที่ผู้พิพากษาแสดงความยำเกรง ต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม หรืออำนาจที่มาจากปากกระบอกปืน เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะผู้พิพากษาได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า จะรักษารัฐธรรมนูญ แต่ดันกลับไปยอมรับในอำนาจเถื่อน ที่มาล้มล้างรัฐธรรมนูญ แถมยังตีตรารับรอง ด้วยคำพิพากษาเสียเองอีกด้วย ทำกันมายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว ไม่ยอมแก้ไข ไม่ยอมพิจารณาว่าอะไรที่เป็นเรื่องถกต้องชองธรรม
แล้วอย่างนี้แล้ว เราจะไปมองหน้าชาวโลก ได้อย่างไร!?
จะไม่เป็นการหนุนให้บ้านเมืองเรา วิ่งวนเวียนกันอยู่ในวังวน ของการปฏิวัติรัฐประหาร อย่างนั้นหรือ!!?
นี่เองเป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ผมเขียนบทความลง โดยให้ชื่อคอลัมน์ว่า “คณะผู้พิพากษาต้องเป็น ‘ธงนำ’ ในการต่อต้านรัฐประหาร" ลงในผู้จัดการออนไลน์ เมื่อ 17 ก.ค.2550 ในขณะนั้นคมช.ยังอยู่ในอำนาจด้วยซ้ำ!
ที่เขียนอย่างนั้น ความมุ่งหมายของผมก็เพื่อกระตุ้นให้บรรดา “ท่านเปา” ทั้งหลาย ซึ่งพิพากษาในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ อย่าไปยอมก้มหัวให้อำนาจปากกระบอกปืน และนำลงรวมเล่ม ในหนังสือ“รัดทำมะนวย-ฉบับหัวคูณ!” ที่ดังลั่นสนั่นเมือง
จากนั้นอีก 1 ปี ผมได้เขียนกระแทกซ้ำเข้าไปอีก ด้วยบทความชื่อ “วันรพี” ...เตือนใจท่านผู้พิพากษา ให้กล้าหาญ ต่อต้านเผด็จการ!!! ลงหนังสือพิมพ์ ‘ประชาทรรศน์’ รายวัน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2551 และ www.vattavan.com ดูได้ตาม content_page_detail.php?cont_id=68
บทความดังกล่าว ผมยุตรงๆให้ท่านผู้พิพากษากระด้างกระเดื่อง ต่อการปฏิวัติรัฐประหาร เพราะผมเชื่อว่า
หากผู้พิพากษาผินหน้าไปในทิศทางใด มวลมหาประชาชนคนไทย ก็จะหันหน้าไปในทิศทางนั้น!
เหตุการณ์ที่ผู้พิพากษา แข็งขืนต่ออำนาจคณะรัฐประหารนั้น ปรากฏขึ้นมาให้เห็น ในหลายประเทศแล้ว!!

บอกตรงๆว่า ที่เขียนอย่างนั้น ผมไม่ได้คิดว่า จะมีผลทำให้ผู้พิพากษา ออกมาสนับสนุนความเห็นของตัวเอง แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะเห็นพ้องด้วยว่า การยึดอำนาจด้วยกำลังนั้น เป็นความเลวทรามต่ำช้า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่คนเราส่วนใหญ่นั้น ก็ยังกลัวการบังคับด้วยอาวุธด้วยกันทั้งนั้น
ท่านผู้อ่าน ที่เคารพครับ
เวลานี้โลกของเรามีเจริญก้าวหน้า การเรียกร้องความเป็นธรรมในสังคมโลกนั้น มีการเคลื่อนไหวคึกคักอย่างต่อเนื่อง เรื่องสิทธิมนุษยชนกลายเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมากๆ แม้แต่ชาติมหาอำนาจสำคัญอย่างจีน ยังถูกกดดันได้ด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน
แล้วสำมะหาอะไรกับประเทศไทย ที่เป็นเพียงประเทศขนาดย่อม เมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหารขึ้นมา ก็ต้องพบกับแรงกดดันของชาติมหาอำนาจ มีผลกระทบมากมาย สร้างความเสียหายให้กับประเทศอย่างใหญ่หลวง ตัวอย่างก็มีอย่างที่เห็น เช่น กะอีแค่เรื่องซื้ออาวุธ รัฐบาลสุรยุทธ์ ณ เขายายเที่ยง ที่มาจากการรัฐประหาร ยังทำไม่ได้ เพราะอเมริกา....ไม่ขายให้!
จะไปซื้อเครื่องบินรบตระกูล F ของอเมริกัน ที่เคยใช้กันมานานก็ทำไม่ได้ ต้องไปซื้อเครื่องบินรบแบบ Gripen ที่เราไม่คุ้นเคยมาใช้ แถมสื่อฝรั่งยังนินทาว่า เครื่องบินที่สวีเดนนำมาขายให้นั้น ดันเป็นเครื่อง Rebuild หรือเอาเครื่องบินยกเครื่องใหม่ มาขายต่อให้อีกด้วย ไม่ใช่เครื่องบินใหม่สดซิงๆ อย่างที่ว่ากัน
เขาเลยนินทาว่า...ฟาดกันเปรมไปเลย!
ดังนั้น คนไทยต้องตระหนักกันให้จงดีว่า เรื่องการยึดอำนาจด้วยปืนนั้น เป็นเรื่องที่โลกเขาไม่ยอมรับกัน แต่เมืองไทยเรานั้นน่าแปลกที่ดันยอมรับ และรับกันดักดานนานยาว
ซึ่งเป็นเรื่อง...น่าอับอายนัก!
แถมรัฐประหารเสร็จ ดันมีผู้พิพากษาหลายนาย ยอมก้าวลงจากบัลลังก์อันมีเกียรติยิ่ง ลงไปรับใช้เผด็จการในตำแหน่งแห่งที่ต่างๆ รวมทั้งทางการเมืองด้วย
ที่ร้ายไปยิ่งกว่านั้น แม้แต่ตัวประธานศาลฎีกาเอง ก็ยังมีกรณีถูกกล่าวหาว่า ร่วมกับประธานศาลปกครอง องคมนตรี และอดีตนายทหารที่เคยก่อการยึดอำนาจแต่ไม่สำเร็จ ไปทะลึ่งไปสุมที่บ้านของ ‘ไอ้ห้วล้าน-หัวร้าย’ อย่าง ‘ไอ้ปี้’
เพื่อวางแผนรัฐประหาร...ดูเขาทำ!
ผมจึงเขียนบทความลงใน vattavan.com และหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ โดยให้ชื่อคอลัมน์ว่า “ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แต่ ‘สุมกบาล’ เพื่อก่อกบฏ!” (ท่านที่สนใจ อ่านต่อได้ใน www.vattavan.com/detail.php?cont_id=139)
บัดนี้ ประธานศาลฎีกาที่ถูกกล่าวหา ก็ยังไม่เคยออกมาโต้ตอบ แถมยังมีข่าวโดนลอบสังหารเข้าไปอีก
...เลยหายหัวจ้อยไปเลย!

จึงไม่น่าแปลก จากพฤติกรรมต่างๆที่ผมกล่าวมา เป็นสาเหตุทำให้สถานะของผู้พิพากษา ที่เคยได้รับการยกย่องอย่างสูงจากสังคม กลับต้องตกต่ำลง เพราะโดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากมาย ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง อย่างไม่เคยปรากฏมาในประวัติศาสตร์ของชาติเรามาก่อน...
น่าเสียดายนัก!
เขียนมาถึงตรงนี้ ผมอยากให้ท่านผู้พิพากษาทั้งหลาย
ไตร่ตรองให้จงดีว่า...
ท่านทั้งหลาย จะยินยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหาร ต่อไปอีกหรือไม่? หรือ
ท่านทั้งหลาย จะลุกขึ้นมาแสดงความกล้าหาญ ด้วยการสลัดแอกของ “ไอ้บังกบฏ” หรือคณะรัฐประหาร ทิ้งไปหรือไม่?
ลองคิดดูเอาเองก็แล้วกัน แต่หากท่านผู้พิพากษาจะยืนยัน
เสียงแข็งว่า...
ศาลจำต้องยอมรับอำนาจของคณะปฏิวัติ เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีอีกต่อไป เพราะเคยยอมรับกันไว้แล้ว ก่อนหน้านั้นถึง 50 ปี จำต้องรับต่อๆไป ใครยึดอำนาจได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นองค์ “รัฎฐาธิปัตย์” และคำสั่งของบุคคลนั้น ศาลก็จะถือว่าเป็นกฎหมายต่อไป ไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้
...อย่างนั้นหรือ
ผมเองก็เกรงว่า หากจะยอมรับกันแบบนั้น ในอนาคตข้างหน้า เมื่อลูกหลานของเรามองย้อนกลับมา ในประวัติศาสตร์คำพิพากษาของศาลไทย พวกเขาอาจบันทึกว่า
“เป็นที่น่าเสียใจ ที่ศาลไทยของเราในอดีต ยอมก้มหัวศิโรราบให้กับการปฏิวัติรัฐยึดอำนาจ จึงได้พิพากษารับรองอำนาจอันไม่ถูกต้อง ชอบธรรม ของผู้ก่อการรัฐประหาร คำพิพากษาเหล่านั้น ได้ประจานตัวผู้พิพากษาเอง และมีผลทำให้ระบบยุติธรรมของไทยเสียหายอย่างร้ายแรง จนทำให้ศาลไทยของเรา กลายเป็น “ศาลทาส” ในสายตาของนานาอารยะประเทศ...”
เห็นไหมครับ! ลูกหลานของเราในยุคต่อไป อาจบันทึกในทำนองนี้ ก็เป็นได้...
ใครจะไปรู้!!
ฉะนั้น บทความในวันนี้ จึงได้เขียนขึ้น โดยมีความมุ่งหมาย ที่จะกระตุ้นให้บรรดาผู้พิพากษาทั้งหลาย ได้เกิดความสำนึกที่ถูกต้องตามครรลองคลองธรรม โดยตัด ‘ภยาคติ’ หรือความกลัวภัยออกไป แล้วเชิดหน้าด้วยความกล้าหาญ ตั้งจิตร่วมกันให้มั่น ในการที่จะต่อต้านคำสั่งอันไม่ชอบธรรม กดขี่ประชาชน และทำลายหลักการปกครองของชาติ อันเนื่องมาจากการปฏิวัติรัฐประหาร
อยากเห็นบรรดาตุลาการทั้งหลาย มีสำนึกเฉกเช่น ท่านกีรติ
กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ที่รักษาสถาบันตุลาการ ด้วยการเขียนคำวินิจฉัยส่วนตน อย่างองอาจหาญกล้า เป็นการตบหน้าและทำลายวงจรอุบาทว์ ของอำนาจรัฐประหารที่ครอบงำศาลไทยมายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ท่ามกลางความยินดีปรีดาของผู้คนที่รักความเป็นธรรม จนเป็นที่ชื่นชมของบรรดานักกฎหมายทั่วโลก ซึ่งได้รับ “จดหมายฟ้องโลก” ของผม ดังที่ได้กราบเรียนให้ท่านผู้อ่านไปแล้ว

สุดท้ายนี้ ขอให้ผู้พิพากษาทุกท่าน ประสานมือกันและเดินก้าวออกมา ยืดอกและเชิดหน้า มองให้กว้างไกลไปโลกอารยะ ที่มีความเป็นอิสระ มีเสรีภาพ และตั้งเจตนารมณ์ร่วมกันว่า
จะยืนหยัดเพื่อพิทักษ์ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ของประชาชนคนชาติไทย ด้วยการปฏิเสธการใช้กำลังบังคับมนุษย์ด้วยปากกระบอกปืน...
อย่างเด็ดขาด...หนักแน่น!
ขอท่านผู้พิพากษาทั้งหลาย จงพร้อมใจตะโกนให้ดังกึกก้องฟ้าเมืองไทย สะเทือนสะท้าน จนได้ยินกันไปทั้งโลกว่า

“ศาลไทยของพวกกู... ไม่ใช่ศาลทาส (นะโว้ย)!!!”


ที่มา.วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
**********************************************************

ก.เกษตรฯ ตั้ง กก.สอบโกงฝนหลวง


ก.เกษตรฯ ตั้ง กก.สอบโกงฝนหลวง ถ้าไม่ทำจะลุยถึง ป.ป.ช. "ผอ.สำนักฯ" ยันไม่มีล็อคประมูลสารเคมี

ผอ.สำนักฝนหลวงฯยัน ไม่มีล็อคประมูลสารเคมีทำฝนหลวง เพียงแต่มีผู้ผลิตน้อยรายเลยได้หน้าเดิมๆ สตง.เดินหน้าสั่ง จนท.คุ้ยข้อมูลวันนี้ แนะเปิดประมูลนานาชาติถ้าใน ปท.มีการผูกขาด ชี้ถ้าไม่แก้ไขเกรงจะเสียหายต่อโครงการพระราชดำริ กมธ.ทรัพย์ฯเสนอ ก.เกษตรฯ ตั้ง กก.สอบโกงฝนหลวง ถ้าไม่ทำจะลุยถึง ป.ป.ช.

จากกรณี "มติชน" ตรวจสอบพบข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดประกวดราคางานจัดซื้อสารเคมีที่นำมาใช้ในการทำฝนหลวง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งในส่วนของสารยูเรีย และเกลือแป้ง ส่อเค้าว่าจะมีปัญหาเรื่องการผูกขาดของเอกชนเกิดขึ้น เนื่องจากการประกวดราคาในช่วงหลายปีที่ผ่าน แม้ว่าจะมีการใช้วิธีการอี-ออคชั่น แต่มักมีเอกชนไม่กี่รายเข้ามาร่วมการประมูลและได้งานไป โดยเบื้องต้นผู้รับผิดชอบของกระทรวงเกษตรฯ ออกมาระบุว่าสาเหตุมาจากสินค้าเหล่านี้ มีผู้ผลิตในประเทศอยู่น้อยราย

ผู้สื่อข่าว "มติชน" รายงานว่า จากการตรวจสอบข้อมูลการประกวดราคาจัดซื้อสารเคมีทำฝนหลวงจนถึงปี 2550 พบว่า นอกเหนือจากสารยูเรีย และเกลือแป้งแล้ว สารแคลเซี่ยมอ๊อกไซด์ก็มีการผูกขาดของเอกชนในการเข้ามาประกวดราคาเดียวกัน

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบผลการประกวดราคาจัดซื้อแคลเซี่ยมฯ ในเว็บไซด์ กรมบัญชีกลาง "www.gprocurement.go.th" พบว่ามีการแจ้งผลการประกวดราคาจัดซื้อสารชนิดนี้ ไว้ 3 ครั้ง คือ ปี 2550 มีการแจ้งผลการจัดซื้อจำนวน 2,000 ตัน เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2550 โดยใช้วิธีการอี-ออคชั่นเช่นกัน มีเอกชนมายื่นซอง 3 ราย คือ บริษัท กรุงเทพแต่งแร่ จำกัด บริษัท เจมอน จำกัด บริษัท เอส.เอ.แคลเซี่ยม จำกัด เบื้องต้นบริษัทเอส.เอ.แคลเซี่ยม จำกัด ได้รับการคัดเลือกโดยเสนอราคาที่ตันละ 6,240 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,480,000 บาท

ต่อมามีการแจ้งผลการประกวดราคาจัดซื้ออีกครั้งเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2551 รวม1,300 ตัน แต่ครั้งนี้มีเอกชนเข้ามายื่นซอง เพียง 2 รายเท่านั้น คือบริษัทไลม์มาสเตอร์ จำกัด และบริษัทกรุงเทพแต่งแร่ จำกัด ส่วนบริษัท เอส.เอ.แคลเซี่ยมฯไม่ได้เข้าร่วม เบื้องต้น บริษัท ไลม์มาสเตอร์ จำกัดฯเป็นผู้ชนะ รายการที่ 1 ส่งมอบคลังสารฝนหลวง จ.นครสวรรค์ ราคาตันละ 5,852 บาท จำนวน 400 ตัน เป็นเงิน 2,340,800 บาท รายการที่ 2 ส่งมอบคลัง จ.เชียงใหม่ ราคาตันละ 6,250 บาท จำนวน 400 ตัน เป็นเงิน 2,500,000 บาท รายการที่ 4 ส่งมอบ คลัง กทม.ฯ ราคาตันละ 5,500 บาท จำนวน 300 ตัน เป็นเงิน 1,650,000 บาท รวม 3 รายการ เป็นเงินทั้งสิ้น 6,490,800 บาท ส่วนบริษัท กรุงเทพแต่งแร่ฯ ได้รับอนุมัติไป 1 รายการ คือ รายการที่ 3 ส่งมอบ คลัง จ.นครราชสีมา ราคาตันละ 5,780 บาท จำนวน 200 ตัน เป็นเงินทั้งสิ้น 1,156,000 บาท

ขณะที่ในจัดซื้ออีกครั้ง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2552 ปริมาณ 800 ตัน มีเอกชนเข้ามายื่นซอง เพียงแค่ 2 ราย คือ บริษัทกรุงเทพแต่งแร่ฯ และบริษัท ไลม์มาสเตอร์ฯ เหมือนเดิม ผลบริษัทไลม์มาสเตอร์ฯ ชนะในการจัดส่งสารที่คลัง นครราชสีมา ราคาตันละ 6,100 บาท จำนวน 600 ตัน เป็นเงิน 3,660,000 บาท ส่วนบริษัท กรุงเทพแต่งแร่ฯ ชนะการประกวดราคาจัดส่งสารคลัง กทม. ราคาตันละ 6,000 บาท จำนวน 200 ตัน เป็นเงิน 1,200,000 บาท

นายวราวุธ ขันติยานันท์ ผู้อำนวยการสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะบริษัทเอกชนที่ขายสินค้านี้ในประเทศมีอยู่ไม่กี่ราย ซึ่งก็เหมือนกับกรณีสารชนิดอื่นๆ จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

ส่วนที่มีข้อมูลว่าในรายงานผลการตรวจสอบกรณีการจัดซื้อยูเรียที่สำนักฝนหลวงฯ ส่งไปให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาระบุชื่อบริษัทเอกชนตัวอักษรย่อ "ไอ" ชนะประมูลมากกว่า 6-7 ครั้ง จากเกือบ 10 ครั้งตั้งแต่ปี 2548 ที่ผ่านมา ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการผูกขาดยูเรีย ขณะที่การจัดซื้อเกลือแป้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีเพียงแค่ 1-2 ราย ชนะประมูลจัดซื้อเช่นกันนั้น นายวราวุธกล่าวว่า"ไม่สามารถให้ความชัดเจนเรื่องนี้ได้ เนื่องจากข้อมูลไม่ได้อยู่กับตัว"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าไม่ได้มีการล๊อคประมูลสารแต่ละชนิด นายวราวุธ กล่าวว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการประกวดราคาจัดซื้อสารแต่ละครั้งใช้วิธีอี-ออคชั่น เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตทุกรายแข่งขันอย่างเต็มที่ และก็มีการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ไม่ได้มีการปกปิดอะไร แต่เมื่อเราประชาสัมพันธ์ไปแล้วมีเอกชนเข้ามาน้อยราย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันŽ

นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโลภาส รองผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กล่าวว่า ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ จะให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกการประกวดราคาจัดซื้อสารฝนหลวงทุกชนิด เพื่อดูว่าการดำเนินงานแต่ละครั้งเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องคุณภาพของสารนั้นจะเชิญนักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมสอบด้วย ส่วนกรณีที่ทางสำนักฝนหลวงฯ อ้างว่า ที่มีบริษัทเอกชนไม่กี่แห่งเข้าร่วมประมูลเพราะมีผู้ผลิตน้อยรายนั้น ก็จะเข้าไปตรวจสอบเช่นกัน หากเป็นจริง กระทรวงเกษตรฯน่าจะทบทวนรูปแบบใหม่ อาทิ ขยายกฎเกณฑ์การประมูลให้เอกชนต่างชาติเข้าร่วมได้ ไม่ใช่นั่งรับสภาพ ปล่อยให้เอกชนหน้าเดิมๆเข้ามา ขณะที่คุณภาพสินค้าก็ไม่มีการพัฒนา

"ถ้าอะไรที่มันทำแล้วให้งานดีขึ้น ก็ควรลงมือทำ แต่ถ้ามีปัญหาแล้วไม่ยอมทำ ก็อาจเป็นไปได้ว่า มีใครบ้างกลุ่มเห็นว่าทำแบบนี้ดีแล้ว ไม่อยากเปลี่ยนแปลงอะไร หน้าฉากแกล้งทำว่าใช้วิธีอี-ออคชั่น แต่เบื้องหลัง เพราะทุกอย่างทุกกำหนด แบ่งปั่นผลประโยชน์อะไรกันลงตัวแล้ว จะเรื่องที่น่าผิดหวังที่สุด สุดท้ายโครงการฝนหลวงซึ่งได้ชื่อว่าเป็นโครงการพระราชดำริ ก็จะช่องโหว่ทำให้ผู้ไม่หวังดีเข้ามาแสวงหาประโยชน์ เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับโครงการชุมชนพอเพียงมาแล้ว" นายพิศิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่เชื่อว่าสารเคมีที่นำมาใช้ในการทำฝนหลวงในประเทศจะมีเอกชนไม่กี่รายผลิตได้ เพราะสารเหล่านี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไร เช่น สารยูเรียที่นำมาใช้ ก็ไม่แตกต่างจากยูเรียที่นำไปใช้ทำปุ๋ยเคมี ซึ่งมีเอกชนที่ผลิตจำนวนมาก ที่แต่ละครั้งมีผู้เข้าร่วมน้อยรายอาจจะมีการตกลงอะไรกันไว้หรือไม่ จากข้อมูลที่ตนได้รับแจ้งจากข้าราชการในกระทรวงเกษตรฯ ก็ได้รับการยืนยันมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นจริง จากการที่ฝายการเมืองพยายามที่เข้าไปล้วงลูกซึ่งทำให้ข้าราชการลำบากใจอย่างมากŽน.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า กระทรวงการเกษตรฯจะต้องเร่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบปัญหานี้ หากไม่ทำคณะกรรมาธิการจะตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจสอบเอง โดยตนจะขอมติที่ประชุมในวันที่ 10 มี.ค.นี้หากพบทุจริตจะส่งเรื่องให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาผู้แทนราษฎรรับไปดำเนินการต่อ เพื่อให้สามารถส่งเรื่องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป

"คนที่จะมาเป็นคณะกรรมการต้องเป็นบุคคลที่สังคมให้การยอมรับ อาทิ พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ นพ.บรรลุ ศิริพาณิชย์ หรือ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ไม่ใช่ตั้งคนในสำนักฝนหลวงฯเข้ามาตรวจสอบกันเอง ทั้งนี้ ในปี 2545-46 ก็เคยมีการทุจริตโครงการฝนหลวง โดยเปลี่ยนสารทำฝนหลวงเป็นสารไม่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ 3 รายแต่น่าแปลกที่เป็นแค่ข้าราชการชั้นผู้น้อย ทั้งที่การมูลค่าการทุจริตสูงถึง 100 ล้านบาท" นายนริศ กล่าวและว่าอยากให้ผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯทั้งรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพราะโครงการฝนหลวงเป็นโครงการในพระราชดำรีที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้รับชื่อเสียงด้านการสร้างสิ่งประดิษฐ์และเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก นอกจากนี้ยังทำให้พระองค์ได้รับทูลเกล้าฯถวายรางวัลนักประดิษฐ์โลกด้วย


ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

คาด เสธ.แดงอยู่คุกยาว ตร.ห้ามประกัน


ตำรวจกองปราบปรามสอบปากคำ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง พร้อมพวกรวม 8 คน หลังถูกแจ้งข้อหาช่วยผู้กระทำความผิด หรือผู้ต้องหา ไม่ให้ต้องโทษ ด้วยการให้พำนักแก่ผู้นั้น หรือซ่อนเร้น ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร

ส่วน นายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์ หรือ เคทอง ถูกจับตามหมายจับของศาลมีนบุรี ด้วยข้อหาปลุกปั่นและข่มขู่ให้ผู้อื่นเกิดความกลัว และตามหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ด้วยความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ พร้อมถูกแจ้งข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันควร แต่ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสธ และอ้างว่า สำนวนไม่ตรงตามข้อเท็จจริง

หลังการสอบปากคำ ทนายความของเสธ.แดง ใช้โฉนดที่ดินมูลค่า 900,000 บาท ยื่นขอประกันตัว แต่ตำรวจไม่อนุญาต จึงควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม และจะส่งฝากขังที่ศาลอาญารัชดา ในวันพรุ่งนี้ (8 มี.ค.)

**********************************************************

Thai Red Australia แถลงการณ์ต่อต้านการมาเยือนของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ


สืบเนื่องจากการที่ กลุ่มพลังประชาธิปไตยไทยออสเตรเลีย ได้ออกแถลงการณ์เพื่อประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ ในการต่อต้านและคัดค้านการทำรัฐประหารและการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปแล้ว เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ทางกลุ่มได้ติดตามสถานการณ์ในประเทศไทยอย่างใกล้ชิดมาอย่างต่อเนื่อง และซึ่งมีข้อมูลและหลักฐานแสดงอันเชื่อได้ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ ได้ร่วมมือกับกองทัพ สร้างสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศ เพื่อเป็นข้ออ้างให้เกิดความชอบธรรมในการทำรัฐประหารและยึดอำนาจจากประชาชน อีกครั้ง รวมถึงการใช้เป็นข้ออ้าง ในการปราบปรามประชาชน ซึ่งออกมาใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญในการเรียกร้องประชาธิปไตยคืนหลังจากถูกทหาร ยืดไปตั้งแต่ 19 กย 2549

การที่นาย อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ยืนยันที่จะเดินทางออกนอกประเทศ ในช่วงที่ประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตเช่นปัจจุบัน อันอาจนำไปสู่การเสียเลือดเนื้อของพี่น้องคนไทยในชาตินั้น แสดงให้เห็นภาวะผู้นำที่บกพร่อง ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจะต้องกำกับดูแล และแก้ไขปัญหาของประเทศในภาวะวิกฤต แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเลือกที่จะเดินทางมาเยือนประเทศออสเตรเลียแทน ดังนั้น การเดินทางมาออสเตรเลียในครั้งนี้ จึงไม่สามารถพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากแสดงให้เห็นถึงเจตนาของนายอภิสิทธิ์ ฯ ดังนี้

1. เปิดโอกาสให้กลุ่มทหารที่กระหายอำนาจในกองทัพกระทำการรัฐประหารโดยสะดวก เพื่อเป็นหนทางในการลงจากอำนาจแบบชอบธรรม เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ ฯ เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศได้เลยในระยะเวลาที่ได้ บริหารประเทศมา และเพื่อ อำพรางตนเองว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับทหารที่ทำการรัฐประหาร

2. เพื่อหลบเลี่ยง หน้าที่และความรับผิดชอบกรณีเกิดความรุนแรงขึ้น อันจะนำไปสู่การยอมจำนนและประกาศยุบสภา ตามเสียงเรียกร้องของประชาชนจำนวนมาก ที่แสดงการไม่ยอมรับการบริหารงานของรัฐบาล

3. เพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการให้อยู่ต่อไป

4. มีพฤติกรรมในการขอลี้ภัยทางการเมืองกรณีเกิดรัฐประหารไม่สำเร็จซึ่งโดยข้อ เท็จจริงแล้วเป็นการหลบหนีคดีอาญาเนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ได้ทำร้ายและฆ่าประชาชนจำนวนมาก
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น กลุ่มพลังประชาธิปไตยไทยออสเตรเลีย จึงขอคัดค้านการเดินทางมาเยือนออสเตรเรียของนาย อิภิสิทธิ์ เวชาชีวะ ระหว่าง 13 - 17 มีนาคม 2553 โดยจะดำเนินการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพภายใต้กฎหมายของประเทศออสเตรเลีย ดังนี้

1. ยื่นจดหมายถึง นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เพื่อคัดค้านการมาเยือนของ นาย อภิสิทธิ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทสไทย โดยมีเหตุผลในการยื่นคัดค้านดังนี้
• พรรคการเมืองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้เป็นพรรคการเมืองที่ได้รับฉันทานุมัติ จากเสียงสนับสนุนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ให้เป็นผู้บริหารประเทศจากการเลือกตั้ง
• นายอภิสิทธิ์ ฯ ได้รับการสนับสนุนในทางลับ จากการดำเนินการของคณะทหารที่ร่วมกันทำรัฐประหาร โค่นล้มรัฐธรรมนูณ ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยถูกต้องของประชาชน ตามหลักการประชาธิปไตยที่สากลประเทศ รวมทั้งประเทศออสเตรเลียยอมรับ เมือวันที่ 19 กันยายน 2549
• รัฐบาลโดยการนำของนายอภิสิทธ์ สังให้มีการการปราบปรามประชาชนผู้บริสุทธิ์ ด้วยการใช้อาวุธเข่นฆ่าเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2552 โดยไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดหรือตามที่สากลยอมรับ
• เป็นรัฐบาลซึ่งไม่ปฎิบัติตามกฎหมาย เรื่องพื้นฐานทางด้านสิทธิมนุษย์ชน ซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์กรสหประชาชาติ จะต้องยอมรับและปฎิบัติตาม
• คนไทยในประเทศออสเตรเลียไม่ประสงค์จะให้รัฐบาลออสเตรเลียนำภาษีที่ได้จาก ประชาชนซึ่งส่วนหนึ่งเป็นภาษีที่เก็บจากคนไทยที่มีถิ่นอาศัยและประกอบอาชีพ ในประเทศออสเตรเลียไปใช้ในการต้อนรับผู้นำที่มาจากเผด็จการ

2. นัดหมายกลุ่มคนไทยผู้รักประชาธิปไตยที่เห็นด้วยกับการคัดค้านการเดินทางมา เยือนของนายอภิสิทธิ์ ฯ ในวันระหว่างวันที่ 13-17 มีนาคม 2553 เพื่อแสดงออกถึงการไม่ยอมรับผู้นำที่มาจากระบบเผ็ดจการ ในทุกสถานที่ ที่นายอภิสิทธิ์ ฯ มีกำหนดการในประเทศออสเตรเลีย

ทั้งนี้จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน


THAI RED AUSTRALIA
7 มีนาคม 2553
ที่มา.konthaiuk
**********************************************

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ณัฐวุฒิ"ซัด"เปรม"ประกาศตัวชัดรับสงครามเสื้อแดง-อำมาตย์ ปูดคลังแสงทภ.4ถูกงัดอาวุธสงครามหายเพียบ

แกนนำแดงจวก"เปรม"เปิดตัวชัดพร้อมรับศึกเสื้อแดงแล้ว ลั่นเป็นสงครามระหว่างปชช.กับอำมาตย์อย่างแท้จริง เล็งแฉข้อมูลธุรกรรมอำพราง7มี.ค. อ้างคลังแสงทภ.4ถูกงัด ทั้งปืนพก-ระเบิดเอ็ม67-กระสุนปืนล่องหนกว่า3พันนัด

"ณัฐวุฒิ"ปูดคลังแสงทภ.4ถูกงัด

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพมหานครในวันที่ 14 มีนาคม ว่า ได้รับรายงานมาเช่นกันว่าจะมีการก่อวินาศกรรม แต่ยืนยันได้ว่าไม่ได้เกิดจากคนเสื้อแดงแน่ เพราะไม่คิดที่จะก่อเหตุความรุนแรงใดๆ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พยายามเปิดเผยถึงข่าวดังกล่าวต้องการใส่ร้ายป้ายสีคนเสื้อแดง หวังให้สังคมเข้าใจว่าเป็นกลุ่มที่พยายามก่อนเหตุ

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ทราบมาว่าเมื่อคืนวันที่ 3 มีนาคม คลังอาวุธของกองพันทหารช่างที่ 401 ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพภาคที่ 4 ถูกงัดแงะ โดยมีอาวุธและวัตถุระเบิดหายไปหลายรายการ อาทิ ระเบิดเอ็ม 67 หายไปจำนวน 69 ลูก กระสุนปืนเอชเค 3,100 นัด และปืนพกอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในกองทัพได้อย่างไร ทำไมรัฐบาลและหน่วยความมั่นคงต้องปกปิดข่าวนี้ หรือมีเจตนาที่จะเอาของพวกนี้ไปสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายคนเสื้อแดง ถ้าไม่ใช่หน่วยรักษาความปลอดภัยของกองทัพเป็นอย่างไร ทำไมถึงปล่อยให้มีการงัดแงะคลังแสงได้

"ทราบว่าขณะนี้มีการสั่งให้จเรทหารเข้าไปตรวจสอบแล้ว พร้อมกับกำชับให้ปกปิดข่าวนี้เป็นความลับ แต่ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด เรื่องนี้นายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง จะอธิบายอย่างไร" นายณัฐวุฒิกล่าว

ชี้"เปรม"เปิดตัวชัดรับศึกแดงแล้ว

นายณัฐวุฒิกล่าวถึงกรณี พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เพื่อรายงานสถานการณ์เคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 14 มีนาคม ว่า อธิบายได้อย่างชัดเจนว่า การต่อสู้คนเสื้อแดงครั้งนี้ไม่ได้ต่อสู้กับนายอภิสิทธิ์ แต่สู้กับ พล.อ.เปรม ซึ่งการที่ พล.อ.เปรมเปิดตัวให้ผบช.น.เข้าพบเพื่อสอบถามสถานการณ์กลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของประธานองคมนตรี กรณีนี้จึงเหมือนกับ พล.อ.เปรมเตรียมตัวที่จะรับศึกครั้งนี้แล้ว

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยังทราบมาว่ารายงานข่าวที่ปรากฏตามสื่อมวลชนด้วยว่า พล.อ.เปรมยังได้สอบถามกับ ผบช.น.ถึงวิธีการจับกุมตน นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดงให้ได้ก่อนวันชุมนุมใหญ่ ซึ่งตำรวจชี้แจงไปว่ามีมีช่องทางที่จะสามารถทำได้

7มี.ค.แฉธุรกิจอำมาตย์ต้อนรับ

นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การที่ พล.อ.เปรมเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ถือเป็นประโยชน์สูงสุดกับคนเสื้อแดงเป็นอย่างยิ่ง เป็นสงครามอย่างแท้จริง เพราะตัวจริงเสียงจริงเปิดหน้าออกมาแล้ว ซึ่งสมรภูมิรบระหว่างประชาชนกับอำมาตย์กำลังจะเริ่มขึ้น โดย พล.อ.เปรมเป็นผู้บัญชาการในฝ่ายอำมาตย์

"เพื่อเป็นการต้อนรับมหาอำมาตย์ที่เปิดหน้าชนกับคนเสื้อแดง ก็พร้อมที่จะต้อนรับอย่างสาสม โดยวันที่ 7 มีนาคม จะเปิดข้อมูลความไม่ชอบมาพากลในการดำเนินธุรกรรมอำพรางของบรรดาเครือข่ายอำมาตย์ให้สังคมได้รับทราบ โดยเฉพาะพฤติกรรมของมูลนิธิรัฐบุรุษที่นำของบริจาคมาขาย"นายณัฐวุฒิกล่าวอ้าง


ที่มา.มติชนออนไลน์
*******************************************

บูมเมอแรง


ข่าวสดรายวัน
วันที่ 06 มีนาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 19 ฉบับที่ 7037
คอลัมน์ เหล็กใน

ในที่สุดการคาดการณ์ของคนในสังคมส่วนหนึ่ง ที่มองว่าคดียึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะประเด็นการซุกหุ้นด้วยการโอนให้ลูกๆ จะกลายเป็น "บูมเมอรแรง" ย้อนกลับไปกระแทกใส่รัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลชุดนี้ ก็เป็นจริงขึ้นมา

เมื่อนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว. และกลุ่มส.ส.เพื่อไทย ส่วนหนึ่งยื่นหนังสือถึงป.ป.ช. ให้สอบสวนคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันเกี่ยวกับการถือครองหุ้นในบริษัท

โดยตั้งข้อสังเกตว่ามีรัฐมนตรีหลายคนใช้วิธีโอน หรือขายหุ้นให้คนใกล้ชิด โดยเฉพาะลูกๆ

พร้อมนำคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองที่เล่นงานพ.ต.ท.ทักษิณ กรณีโอนและขายหุ้นให้ลูกตัวเอง มาเปรียบเทียบด้วย

เพราะผู้พิพากษามองว่าพ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้ถือครองหุ้นที่แท้จริงแม้หุ้นทั้งหมดจะอยู่ในชื่อลูกๆ ก็ตาม!?

จากหลักฐานที่นำมายื่นต่อป.ป.ช. มีการระบุชื่อรัฐมนตรีหลายคนว่ามีลักษณะการโอน หรือซื้อขายหุ้นเหมือนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีผิด

โดยยกตัวอย่างรายของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ซึ่งโอนหุ้นของตัวเองและสามีให้กับลูกๆ 3 คน มูลค่าเกือบๆ 300 ล้านบาท

ที่น่ากังขากว่านั้นในวันที่โอนหุ้น ลูกๆ 3 คนทำเรื่องกู้เงินจากพ่อตัวเองคนละ 95.8 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 287.4 ล้านบาท

มีคนตั้งข้อสังเกตว่าเงินกู้ และมูลค่าหุ้นที่ซื้อ-ขายกันระหว่างพ่อ-แม่-ลูกนั้น ใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง!?

นอกจากนี้ส.ว.จอมแฉ และส.ส.เพื่อไทย ยังอ้างถึงรัฐมนตรีอีกหลายคนและคู่สมรสที่ใช้วิธีการเดียวกันนี้โอนหุ้นให้ลูกๆ ก่อนเข้ารับตำแหน่ง เพื่อเลี่ยงปัญหาการถือครองหุ้นเกิน 5%

แต่ส่วนใหญ่ใช้วิธีโอนให้ดื้อๆ ไม่มีการทำนิติกรรมลูกยืมเงินพ่อ-แม่ เหมือนรายของคุณหญิงกัลยา

งานนี้จึงเป็นเผือกร้อนที่ตกใส่มือป.ป.ช. ว่าจะทำอย่าง ไรกับการร้องเรียนเรื่องดังกล่าว

และจะสอบสวนไปถึงขนาดไหน

เพราะหากดูคำพิพากษาศาลฎีกาฯ กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ เฉพาะกรณีซุกหุ้นแล้ว แทบแยกไม่ออกว่าต่างกับรัฐมนตรีอื่นๆ ตรงไหน

กรณีนี้ดูไปแล้วก็เหมือน "บูมเมอแรง" ที่เหวี่ยงฟาดหัวพ.ต.ท.ทักษิณ จนน็อกพื้น

และตอนนี้ "บูมเมอแรง" ที่ชื่อ "ซุกหุ้น" กำลังวนกลับมาหาเจ้าของ

หลบให้ดีก็แล้วกัน!?

รวมไปถึงองค์กรอิสระต้องมีคำตอบสวยๆ ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย หรือจะเล่น "กั๊ก" ไม่ออกอะไรเลย โดยซื้อเวลาไปเรื่อยๆ

เพราะตอนนี้ข้อหา "2 มาตรฐาน" กำลังแรงเสียด้วย


**********************************************

พรรคเพื่อแผ่นดิน แตกกลุ่มโคราชลาออกจาก กก.บห


พผ.แตกกลุ่มโคราชลาออกจาก กก.บห. สะพัด"ไพโรจน์"กับ"ชาญชัย"ไม่ลงรอยกันหวังเรียกโควต้าคืนเปิดทาง"ไชยยศ"

พรรคเพื่อแผ่นดินร้าวหนักกลุ่มโคราชยกขบวนลาออก "รมว.ไอซีทีกับรมช.คลังพร้อมส.ส.นครราชสีมา" สะพัดแกนนำไม่ลงรอยกัน ระหว่างว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์กับ"ชาญชัย" เรื่องการบริหารงานพรรคและประสานงาน เคยให้แสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่ง รมว.อุตสาหกรรมเรียกโควต้าคืนเปิดทางให้"ไชยยศ"

"พผ." ร้าวกลุ่มโคราชลาออก

กรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) พรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กลุ่มโคราช ของว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำ พผ. ทยอยยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง กก.บห. เมื่อประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีกระแสข่าวว่าเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์กับนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะหัวหน้า พผ. โดยมีรายงานข่าวเมื่อวันที่ 5 มีนาคม ว่า กก.บห.สายโคราชที่ลาออก ประกอบด้วย ร.ต.(หญิง) ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) และ นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ลาออกจากตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค นายประนอม โพธิ์คำ ส.ส.นครราชสีมา นายสมพงษ์ พิศาลกิจวนิช นายทุนพรรค และนายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ ส.ส.นครราชสีมา ลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค นอกจากนี้ นายไชยยศ จิรเมธากร กลุ่มวังพญานาคของนายพินิจ จารุสมบัติ แกนนำ พผ. ยังยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค โดยทั้งหมดให้เหตุผลในการลาออกว่า ดำรงตำแหน่งมาตามสมควรแล้ว จึงต้องการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้ามาแสดงบทบาทบ้าง และทั้ง 6 คนจะทำหนังสือแจ้งเรื่องการลาออกให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับทราบในช่วงต้นสัปดาห์หน้า

ส.ส.ปัดแกนนำพรรคขัดแย้ง

ทั้งนี้ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี พผ. ครั้งที่ 1/2553 ที่โรงแรมบางกอก รีสอร์ท วันเดียวกันนี้ (5 มีนาคม) เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปรากฏว่าไม่มีรัฐมนตรีและ ส.ส.กลุ่มโคราช เข้าร่วมประชุมแต่อย่างใด ขณะที่นายไชยยศซึ่งเข้าร่วมประชุม แต่ไม่ทำหน้าที่เลขานุการที่ประชุม ทำให้นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ รองหัวหน้าพรรค กลุ่มวังพญานาค ต้องทำหน้าที่เลขานุการที่ประชุมแทน

ด้านนายชาญชัยปฏิเสธว่าไม่มีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการ พผ. นายสิทธิชัยเพียงแต่ทำหน้าที่เลขานุการที่ประชุมพรรคเท่านั้น

ขณะที่นายประนอมให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรองเลขาธิการพรรคจริง เพราะเห็นว่าสถานการณ์การเมืองในขณะนี้มีความไม่แน่นอน อาจมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ หากต้องลงสมัครรับเลือกตั้งโดยที่ยังดำรงตำแหน่ง กก.บห.อาจจะสุ่มเสี่ยง จึงตัดสินใจลาออกก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่สามัญของพรรค เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ๆ เข้ามารับหน้าที่แทน

"ส่วนที่ที่ประชุมพรรคไม่ได้หยิบยกวาระการแต่งตั้ง กก.บห.ชุดใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลงขึ้นหารือในที่ประชุมนั้น ผมไม่ทราบเรื่อง แต่ขอยืนยันว่า การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างหัวหน้ากลุ่มโคราชกับหัวหน้า พผ.อย่างแน่นอน" นายประนอมกล่าว

เคยกดดันให้"ชาญชัย"ไขก๊อก

รายงานข่าวแจ้งว่า การลาออกจากตำแหน่ง กก.บห.ของกลุ่มโคราช เกิดขึ้นระหว่างมีกระแสข่าวความไม่ลงรอยระหว่างว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์กับนายชาญชัย ในเรื่องการบริหารงานพรรค และการประสานงานกับ ส.ส. โดยก่อนหน้านี้ ส.ส.กลุ่มโคราชเคยกดดันให้นายชาญชัยให้ความสำคัญกับการทำงานให้พรรคมากขึ้น ถึงขั้นเรียกร้องให้แสดงสปิริตด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม แล้วกลับมาทำหน้าที่หัวหน้าพรรคอย่างเต็มตัว ขณะที่อีกกระแสหนึ่งระบุว่า แกนนำบ้านเลขที่ 111 (อดีต กก.บห.ไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองในคดียุบพรรค) ต้องการเรียกโควต้ารัฐมนตรีคืนจากนายชาญชัย เพื่อเปิดทางให้นายไชยยศที่คั่วเก้าอี้รัฐมนตรีมาหลายครั้ง เข้ามารับเก้าอี้แทนในการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) "อภิสิทธิ์ 5" ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

"ระยะหลังนายไชยยศมีความสนิทสนมกับกลุ่มโคราชค่อนข้างมาก แต่ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ ยังต้องการรักษาโควต้ารัฐมนตรีของกลุ่มโคราช 2 ตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเอาไว้เหมือนเดิม" แหล่งข่าวกล่าว


ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************

ม.ล.ปลื้ม. สื่ออำมาตย์หล่อหลอมมวลชนให้เกลียดนักการเมือง-เบื่อการเลือกตั้ง


ที่มา.ประชาไท
ม.ล. ณัฏฐกรณ์ เทวกุล
ผู้ดำเนินรายการ “DailyDose” ทาง www.voicetv.co.th


สื่ออำมาตย์ต้องการหล่อหลอมให้เยาวชนดูถูกเหยียดหยามผู้เเทนประชาชน... “ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เป็นกรณีตัวอย่างรวบยอดที่แสดงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการใช้ประโยชน์จากระบอบรัฐสภาโดยเผด็จการอำมาตยาธิปไตย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ รัฐสภาที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กที่อ่อนแอ ให้มีรัฐบาลหุ่นเชิดไร้อำนาจที่แท้จริงในการบริหารแผ่นดิน แต่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถและไม่อาจแก้ปัญหาของประชาชนได้ เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย นักการเมืองคือต้นเหตุแห่งปัญหาและความเลวร้ายทั้งปวง ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งตนเองด้วยการใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไปเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาของพวกเขา”

นั่นเป็นเพียงบางส่วนของบทความ "การปฏิวัติของประชาชนในประเทศไทย" ของรศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ ที่ผมประทับใจเหลือเกิน เเต่หากจะวิเคราะห์ต่อมาถึงบทบาทของสื่อเเล้ว เวลาที่มีความพยายามในการผลักดันบางสิ่งบางอย่าง ที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการทางการเมืองที่ก้าวหน้าอย่างเช่นการเเก้รัฐธรรมนูญ ไม่รู้ว่า บก. ของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์, เเนวหน้า, หรือ Manager เป็นอะไรนักหนา พยายามพาดหัวข่าวเพื่อ Discredit ความตั้งใจนั้นๆ จะเเก้รัฐธรรมนูญก็ดันไปเรียกว่าจะ 'ชำเรา' กฏหมายหลักของประเทศที่ตอนคมช. ยึดอำนาจไม่เห็น ไทยโพสต์ , เเนวหน้า, หรือ Manager ประณามพล.อ. สนธิ บุญยรัตกลินว่าข่มขื่นหรือกระทำชำเรารัฐธรรมนูญฉบับประชาชนตรงไหนเลย เคยร่างกันมาเเทบตาย เเถมออกมาเชียร์ด้วยซ้ำเวลาที่มีคณะปฏิวัติไปฉีกมันซะ มันน่าเสียดายที่หนังสือพิมพ์ที่กองบก. ของหน้าการเมืองที่ยังไม่สยบต่ออำนาจหรือเข้าไปอยู่ในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยนั้นกลับเป็นฉบับที่ถูกเเย่งซีนโดยฉบับที่สร้างความเเตกเเยกในสังคม เยาวชนควรจะอ่านหนังสือพิมพ์ Post Today ไทยรัฐหรือมติชนเพื่อข่าวสารทางการเมืองมากกว่าฉบับอื่นๆ ที่ผมตำหนิไปในข้างต้นเพราะอย่างน้อยก็ยังถือว่าเขายังเสนอข่าวอย่างเป็นกลาง มิใช่ปลุกปั่นให้สังคมดูหมิ่นเหยียดหยามนักการเมืองอย่างสุดโต่ง ถึงเเม้ว่าสื่อมวลชนหลายสำนักก็ยังจะมีอคติต่อนักการเมืองส่วนใหญ่ก็ตาม

ถ้าดูในกรณีของ Manager ตั้งใจเล่นบทบาทอย่างชัดเจน ในการหล่อหลอมให้ผู้อ่านไม่ไว้วางใจในผู้เเทนที่เขาเลือกเข้าไปทำงาน ไม่ว่าหลังจากนี้การเมืองจะพัฒนาหรือไม่พัฒนาไปในทิศทางไหนมันเป็นบทบาทของ ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ On-Print หรือ On-Line ในการกำหนดว่า เราทุกคนจะเทิดทูนองค์กรที่ไม่มีใครกล้าเเตะอย่าง ปปช., กกต., คตง., ศาลฎีกาเเผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง, ศาลปกครอง, ศาลรัฐธรรมนูญ หรือเทิดทูนองค์กรเเละสถาบันที่เป็นตัวเเทนของประชาชนเเละยึดติดกับความต้องการของทุกคน

ทั้งที่จริงๆ แล้วและสำคัญมากว่าองค์กรเหล่านี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบได้ด้วยมือของประชาชนเอง บทบาทนี้เป็นบทบาทสำคัญเเละยิ่งใหญ่มาก กองบก.เเละผู้ที่เป็นเจ้าของสื่อส่วนใหญ่บางท่านอาจได้ตัดสินใจเลือกข้างไปเเล้วว่าจะสนับสนุนฝ่ายไหน การเลือกข้างนั้นสะท้อนถึงอุดมการณ์ของเเต่ละท่านเองเเละบุคลากรในสื่อนั้นๆ เอง ส่วนใครผิดใครถูกนั้น เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเล่มไหน เว็บไซต์ไหนหรือใครคนไหน เลือกเดินในเส้นทางที่ตอบสนองความต้องการของผู้อ่านจริงๆ เเละเล่มไหนหรือเว็บไซต์ไหนเลือกโจมตีนักการเมืองเเละพรรคการเมืองด้วยอคติส่วนตัวที่ได้รับการหล่อหลอมมา

**************************************************************

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

อย่ายุ่ง นรกจะกิน ‘กบาล’

รู้สึกตกใจกับการเปิดเผยว่า...รัฐบาลได้มีการส่งกำลังไป “ติดตามพระสงฆ์” ซึ่งเมื่อได้ยินรายชื่อบัญชีของพระสงฆ์แล้วถึงกับตะลึง...
เพราะพระสงฆ์แต่ละรูปนั้นไม่ใช่พระธรรมดา อย่างเช่น...พระสงฆ์ที่เป็นถึงอธิการบดีของมหาจุฬาลงกรณ์ฯ และ อีกหลายต่อหลายรูป
ล้วนแล้วแต่เป็น “พระผู้ใหญ่” เป็นที่เรียกว่า “เป็นเจ้าคุณ” หรือจะเรียกชื่อเป็นทางการว่า “พระราชาคณะ”

ความจริงพระสงฆ์ท่านไม่ยุ่งการเมืองอยู่แล้ว...แต่ดูเหมือนว่าการเมืองในฝ่ายผู้มีอำนาจมักจะดึงเอาพระสงฆ์เข้าไปเกี่ยวข้อง

มีข่าวกระเด็นออกมาว่า...บางวัดมีรถทหารไปจอดเฝ้าดูพฤติกรรมอยู่หลังวัดหน้าวัด พระบางรูปโดนติดตามเฝ้าพฤติกรรม
ความจริงพระสงฆ์ท่านไม่มีอาวุธอะไรอยู่แล้ว...ใครจะนิมนต์ท่านไปไหนท่านก็ไปหมด จึงไม่เข้าใจว่า...ทำไมผู้มีอำนาจจึงเฝ้าระแวง
สงสัยพระสงฆ์

อีกประการหนึ่งหากสงสัยการใด...การจะจับพระสงฆ์นั้นต้องไปแจ้งต่อ “เจ้าคณะปกครอง” ก่อน จากนั้นจึงนิมนต์ท่านไปสอบต่อหน้า
เจ้าคณะปกครอง เว้นเสียความผิดซึ่งหน้า “อาญาแผ่นดิน” นั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

การไปแสดง อำนาจบาตรใหญ่ ใส่พระ...ทั้งๆ ที่พระท่านมีบาตรใบเล็กกว่า...เป็นการไม่สมควรทั้งสิ้น การที่รัฐบาลเอาการเมืองไปยุ่ง
กับพระบอกได้เลยว่า “คิดผิด” และเตรียมตัวนับถอยหลังคืนวันแห่งการพ้นสภาพจากการเป็นรัฐบาลได้เลย

ด้วยเพราะพระสงฆ์ระดับผู้ใหญ่แต่ละรูป...บวชเรียนมายาวนานกว่า 20 ปีขึ้นไป...มีลูกศิษย์ลูกหาไม่ใช่น้อยๆ คิดเล่นๆว่า...
พระรูปหนึ่งมีลูกศิษย์หมื่นคน

แล้วพระสงฆ์ใหญ่ๆ ทั่วประเทศที่โดนบัญชีรายชื่อนั้น รวมๆ กันแล้วมีลูกศิษย์กว่า “สามแสนคน” หากคิดแบบหลวมๆ เท่ากับว่า...
รัฐบาลก่อเหตุให้หมางใจกับคนกว่าสามแสนคน โดยมิใช่เรื่อง

แม้แต่ชื่อของพระที่เป็น เลขาฯ ของเจ้าคณะพระบางกอกฯ ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการตำรวจก็โดนไปด้วย หรือแม้แต่ เลขาฯ ของวัดภูเขาทอง
ก็โดนด้วย

นี่เกิดอะไรขึ้น...ผู้มีอำนาจคิดอะไรอยู่? ยิ่งขนเอากำลังพลไปแสดงอำนาจละม้ายคล้ายการข่มขู่อยู่บริเวณวัด...ยิ่งไม่ควรเป็นการใหญ่
ท่านจะเล่นการเมืองกับใครก็เล่นไป...แต่ไม่ควรไปยุ่งกับพระสงฆ์ท่าน เพราะการที่เข้าไปยุ่งกับพระมากเท่าไหร่...นรกที่รอมนุษย์บาปหนา
จะรอท่านอยู่รำไร

แม้ว่าท่านรองนายกฯ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” บอกว่า สามารถแยกแยะออกระหว่าง “บุญ” กับ “บาป” ท่านอาจแยกแยะสิ่งเหล่านี้ออก...
แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านแยกแยะออกหรือไม่ ก็ต้องไปถามกันดู

คิดไม่ถึงว่าวันนี้ “พระสงฆ์” จะโดนหางเลขไปด้วยกับเรื่องของการเมือง อย่าลืมว่า...ประเทศไทยไม่ใช่เหมือนประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่
ทางตอนเหนือ...ซึ่งมีการออกมาเดินขบวนแล้วจะไล่ทุบไล่ฆ่ากัน สิ่งที่ผู้มีอำนาจกำลังทำ...เท่ากับท่านกำลัง “ผลักใสไล่ส่ง”
สัญลักษณ์แห่งคุณงามความดีการแสดงออกมาเช่นนี้เป็นการ “เร่งปฏิกิริยา” ให้รัฐบาลรีบกลับไปเป็นฝ่ายค้านเร็วขึ้น

และเชื่อว่า...หากเปรียบเทียบกับความ “ผิดบาป” ที่คิดจ้องทำลายล้างผู้มีธรรมอย่างพระผู้ใหญ่ซึ่งปฏิบัติดีปฏิบัติงามมาร่วม 20 ปี
หากรัฐบาลผู้สร้างเรื่องสร้างราวในเวลานี้กลับเป็นฝ่ายค้าน...อย่างน้อย 20 ปีจึงจะได้กลับมาเป็นรัฐบาลใหม่อีกครั้ง...เรียกว่า...
เป็นการตอบสนองตามบุญและตามกรรม

หรือรัฐบาลลืมไปว่า...พระสงฆ์แต่ละรูปที่ท่านไปแตะไปเฝ้านั้น แต่ละรูปเป็นเพียงแค่พระธรรมดา บอกได้เลยว่า “คิดผิด”
เพราะพระสงฆ์แต่ละรูปนั้นล้วนมีสมณะศักดิ์ทั้งสิ้น ภาษาราชการเรียกว่า “พระราชาคณะ” หากไม่เข้าใจคำว่า “พระราชาคณะ”
สามารถไปเปิดดูพจนานุกรม...แล้วจะได้หูตาสว่างกันเสียที!

ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************************

** หลงอำนาจ **

แค่คำหรูๆ..เมื่อ รัฐบาล ที่ ประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ พร้อม “พรรคร่วม” โดยที่มี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
คำแรกที่ประกาศคือ ขอสร้าง “ความสมานฉันท์” ขึ้นในประเทศ..ในขณะที่ ประชาชนระส่ำระสาย “แตกแยก”ไปทั่วทุกมุมเมืองใ
ห้ความมั่นใจว่า “รัฐบาล” นี้จะนำความ “ปรองดอง” กลับมาสู่แผ่นดินอีกครั้ง

ทีแรก..นึกว่ารัฐบาลจะส่งความ “ปรองดอง” มาให้..ที่ไหนได้กลับกลายเป็นไห “ยาดอง” ไปฉิบ!!

ยิ่งยกซด ยิ่งเมากันหัวทิ่มหัวตำ!! โดยเฉพาะ พลพรรคประชาธิปัตย์ ที่ใช้มุมปากซ้ายเรียกร้องสมานฉันท์ แต่มุมปากขวา “ด่าไฟแลบ”
เป็นจรวด ตามสไตล์ถนัด??

หมดสิ้นกันทีในเรื่อง “ความรัก ความสามัคคี” แห่งชาติ!! เพราะ “ยาดอง” ที่ รัฐบาลขนมาให้ประชาชน “ซดดื่ม” กันทั่วประเทศนั้น
ขณะนี้ออกฤทธิ์ซ่านไปทั่วแล้ว..

ยิ่งมองลึกลงไปก็ยิ่งเห็นการบริหารงานของ รัฐบาล นี้ว่า “เหลื่อมล้ำ” ให้ประชาชนแตกออกเป็นหลายมาตรฐานโดยที่ยึดตัวเองลูกเมีย
และ พวกพ้องเพื่อความอยู่รอดเป็นหลัก!!

ดูได้ที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศก้องอย่างไม่อายฟ้าดินว่า รัฐมนตรี คนไหนที่ต้องการ รถป้องกันกระสุนขอให้มาเบิกได้
เพื่อเอาไปไว้ใช้ป้องกัน “ตนเอง” และ “ศักราช”..เพราะมีเงิน 40,000ล้านบาท เป็นงบที่ทำเอาไว้ซื้อรถกันกระสุน เพื่อ “รัฐมนตรี”
คณะนี้โดยเฉพาะ!!

อพิโธ่-โถอพิถัง มันเงินภาษีของประชาชนชัดๆมองอนาคตการบริหารงานของ “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ดูแล้วประเทศรอดยากโว้ย

ภาษิตฝรั่งว่าไว้ Power corrupts...แปลว่า “อำนาจ ทำให้คนหลงผิด”

ที่ “เทือก” แถกเหงือกพูดออกมากลาง ครม.นี้ ไม่ได้หลงผิด..แต่ “หลงอำนาจ”!!


ที่มา.Konthaiuk
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
*******************************************************************************

รู้ไปหมด แม้แต่ ‘มดจะนอน’ !!!


แต่ “เลวไม่มีที่ติ”....เมื่อไม่รู้ “หัวอก” แห่งความเดือดร้อน ของราษฎร?? ทั้ง เปิดปม! และ เปิดโปง! กันอย่างตาเห็น “เงิน” ของ
“อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไหลพลั่กๆ มาหนุน “ม็อบแดง” การผนึกรวมตัว ของ “ชาวนา” ผู้เป็น “กระดูกสันหลังของชาติ”
ที่ราคาข้าว “ตกต่ำ”...มันก็พูด “รานน้ำใจ” ว่าเป็นการเสแสร้งที่ “เกษตรกรแห่งแผ่นดิน” ออกมาเย้ว ๆ ..เพราะต้องการ “เตะตัดขา”
ล้มรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”...ที่ว่า ราคาข้าวตกวูบ เป็นข้ออ้างที่ขาดเหตุผล!!!!!
“ชาวไร่ชาวนา” เดือดร้อนแท้ ๆ .....มันยังไม่แยแส?.....เอาสีข้างเข้าแถ ช่างเลวพิกล??

********************************************************

เหมือน ‘หมาล่าเนื้อ’!

พอหมด “เขี้ยวเล็บ” มันก็เขี่ยทิ้งไม่เหลือ???ไม่ต้องดูอื่นไกล ทั้ง “มังกรพันปี” บรรหาร ศิลปอาชา และ “ห้อยสยาม” เนวิน ชิดชอบ
ดูไปแล้ว กลายเป็น “จิ้งจอก” ที่หมดสภาพ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เล่นเกมง่องแง่ง ..ไม่ให้ความสำคัญ ไปแล้วล่ะครับ
ฉะนั้น, จึงไม่อยากเห็น “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ต้องเป็นดุจดัง “พยัคฆ์ล่าเนื้อ” ...พอหมดความจำเป็น “อำมาตยาธิปไตย” และ “พลเรือนคราบฮิตเล่อร์” มันก็จ้องเล่นงานให้ม้วย!!!!!ดู “บรรหารกับเนวิน” เป็นตัวอย่าง......เดี๋ยวนี้เขาเริ่มสลัดทิ้งขว้าง?.
....แถมยังตั้งข้อหา “ยัดตะราง” ให้อีกด้วย?

**********************************************

เป็นเหมือน ‘พวกตาบอดคลำช้าง’!

ไม่น่าเชื่อ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะ “ขาดมาตรฐาน” ไปเสียทุกอย่าง??
ท่านอ้าง “ทีวีเสื้อแดง” พีเพิลชาแนล ปลุกปั่น ยั่วยุ ให้คน “แข็งข้อ-แข่งอำนาจ” กับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”ที่สร้างความแตกแยก ระส่ำระสาย
ของ “ช่องทีวีหัวตะขาบ” ยังไม่มีคำสั่งเล่นงาน จาก “รัฐมนตรีสาทิตย์” จ้องปิด ตัดไฟ การแพร่ฉาย ของ “คนเสื้อแดง”...เหมือนจงใจ
“ราดน้ำมันใส่กองไฟ” ให้ “กองทัพนักรบไร้ดาว ชาวเสื้อแดง” เขาลุกฮือ ต้านกับความไม่ชอบธรรมในทุกสิ่ง!!“ท่านสาทิตย์” มีมาตรฐาน
แค่ไหน ไม่ทราบ...แต่การทำเช่นนี้ไม่จ๊าบ?....คนเขารับไม่ได้จริง ๆ ?

******************************************************

หมดยุค หมดสภาพ แล้วโดนคุมกำเนิด!

ในที่สุด “กลุ่มดุสิต ๙๙” ของ “ซูเปอร์เค” เกษม จาติกวณิช ผู้สนิทสนมกับ “ซูเปอร์ป๋า” ก็กลับมาแจ้งเกิด???
เมื่อได้หลานคนโปรด คนดี อย่าง “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก้าวขึ้นมาเป็นทายาท คุมอำนาจการเมืองเสร็จสรรพ
เป็นการ “ต่อยอด” รับใช้ “ซูเปอร์ป๋า” อย่างไม่ขาดตอน ซะด้วยสิครับทั้ง “ซูเปอร์เค” และ “หลานกร” ต่างเป็น “หมากชั้นดี” ที่ “ซูเปอร์ป๋า”
วางเกม ให้มีบทบาททางการเมือง เพื่อเข่นคู่แข่งให้ดับรัศมี!!!!เอาเป็นว่า ทั้ง “ซูเปอร์แค” และ “หลานกร”.....รับบทตามขั้นตอน?...
ที่เขาป้อนบทให้เป็น “นอมินี”?

***********************************************

‘ปรัชญา ๖ ประการ’ ตกหล่น หดหาย!

“ปู่จิ้น” นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ในฐานะเจ้าของรหัส “มท. ๑”ท่านได้ให้ ข้อคิดประจำใจ ๖ ประการ แก่ สส.พรรคภูมิใจไทย
ที่ “ปู่จิ้น” เป็นหัวหน้าพรรคเอาไว้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ๑. มีสติปัญญา ๒. มีความอดกลั้น ๓. มีความอดทน ๔. รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
๕. ให้อภัยและอโหสิ ๖. เป็นผู้มีคุณธรรม
แต่หลักการดีๆ ที่ไม่ให้ “โกงกิน” ไม่ให้ “ทุจริต” กับไม่เป็น “มอตโต้” เอาไว้เตือนใจให้ “ส.ส.พรรคภูมิใจไทย” ได้นำไปปฏิบัติ!
ทั้งเรื่องการ “ทุจริตและโกงกิน”....ล้วนเป็นหัวใจหลักทั้งสิ้น?...แต่กลับไม่ยึดโยงเอามาเป็นข้อบัญญัติ? ตกหล่น หดหายไป
แบบนี้เดี๋ยวลูกพรรค “เข้าใจไม่ถี่ถ้วน” นำมาปฏิบัติผิดๆ เกิดความเสียหายในภายหน้าน่ะขอรับท่าน!


ที่มา.konthaiuk
โดย.การบูร
****************************************************************************