--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

พท.ดาหน้าจวก"กรณ์"โพสต์เฟซบุ๊ค หนุนปฏิวัติไม่เหมาะสม-ไร้มารยาท.

พท.ดาหน้าจวก"กรณ์"โพสต์เฟซบุ๊ค หนุนปฏิวัติไม่เหมาะสม-ไร้มารยาท ขัดรธน.ม.68 ร้อง"มาร์ค" เรียกมาตบปาก

พท.ดาหน้าจวก"กรณ์"โพสต์เฟซบุ๊ค หนุนปฏิวัติไม่เหมาะสม-ไร้มารยาท ชี้ขัดรธน.ม.68 ร้อง"มาร์ค" เรียกมาตบปาก"ประชา"เตรียมแฉชื่อคนรบ.ซุกหุ้นสัปดาห์หน้า ชทพ.ร่วมติง ย้ำรัฐประหารไม่ควรเกิดขึ้นอีก

พท.จวก"กรณ์"โพสต์เฟซบุ๊ค หนุนปฏิวัติไม่เหมาะสม

ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐนะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน แถลงเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ถึงกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊คของตัวเอง เกี่ยวกับการยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่าถือเป็นผลดีส่วนหนึ่งของการปฏิวัติรัฐประหาร ว่า รู้สึกเสียใจที่พรรคประชาธิปัตย์เห็นชอบกับเผด็จการและพฤติกรรมการโพสต์ข้อความของนายกรณ์ ถือว่าไม่เหมาะสม แสดงให้เห็นอาการเคียดแค้น ต้องการเห็นพ.ต.ท.ทักษิณถูกยึดทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งถ้าตนเป็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ จะเรียกนายกรณ์มาตบปาก ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่ห้ามไม่ให้บุคคลล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย

ด้านนายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฏหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน กล่าวว่า การที่นายกรณ์โพสต์ข้อความลงเฟซบ็คระบุว่าศาลสั่งยึดทรัพย์พ.ต.ท.ทักษิณเพียงแค่นี้ยังไม่พอ ถือว่าไม่มีมารยาท เพราะควรจะดูว่าพ.ต.ท.ทักษิณอุทธรณ์ภายใน 30 วันหรือไม่ก่อน จึงขอฝากถามนายกรณ์ว่าบรรพบุรุษของนายกรณ์เคยประพฤติชั่วไว้บ้างหรือไม่ กรณีการนำรถเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งตนจะติดตามเรื่องนี้ว่าเป็นอย่างไร ตนอยากให้นายกรณ์ตอบมาว่าบรรพบุรุษคนนั้นคือใคร นอกจากนี้ ตนจะใช้มาตรการเกลือจิ้มเกลือ

นายประชา กล่าวต่อว่า ในสัปดาห์หน้าตนจะนำหุ้นที่ผูกพันกับคนในรัฐบาลนี้มาเปิดเผย จะได้รู้ว่าผู้นำรัฐบาลนี้มีการซุกซ้อนหุ้นไว้ใช้เป็นกระสุนดินดำอย่างไร และขอให้นายกรณ์ตอบมาให้ชัดว่าความจริงนายอภิสิทธิ์เกิดที่ไหน ในประเทศไทยหรืออังกฤษ และเคยใช้เอกสารเท็จกับองค์กรอิสระหรือไม่ อีกทั้ง เคยมีการทำเอกสารไปยังองค์อิสระเพื่อให้ช่วยเหลือให้นายอภิสิทธิ์พ้นผิดหรือไม่ ถ้านายกรณ์ตอบมาแล้ว ตนก็จะนำเอกสารหลักฐานมาชี้แจงให้ชัด

ชทพ.ติง"กรณ์"หนุนรัฐประหาร ย้ำไม่อยากให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) กล่าวเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ถึงกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุผ่านเฟซบุคถึงการสนับสนุนรัฐประหารเมื่อปี 2549 ที่ทำให้ศาลฎีกาตัดสินคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า การปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของนายกรณ์นั้น ที่จะรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินต่อไป แต่ไม่ชื่นชมในฐานะการเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เพราะการแสดงความคิดเห็นการเมืองในลักษณะโอนเอียงสนับสนุนการรัฐประหารหรือยึดอำนาจรัฐ ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามระบอบประชาธิปไตยสิ้นเชิง จึงขอท้วงติงเพราะไม่อยากให้ประชาชนและเยาวชนไทยในขณะนี้ มีพื้นฐานการยึดติดว่าการรัฐประหารจะสร้างความยุติธรรมได้

"หากไม่มีการรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ประพฤติมิชอบจริง ที่สุดแล้วกระบวนการยุติธรรมอาจจะช้าหรือเร็วที่สุดกระบวนการยุติธรรมจะทำหน้าที่เอง ขอย้ำว่าการแนวคิดดังกล่าวของนายกรณ์ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ดังนั้น เราเป็นนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง ควรจะแสดงท่าทีชัดเจนว่าต่อต้านไม่เห็นด้วยต่อการยึดอำนาจรัฐประหารใดๆ" นายวัชระ กล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************************

** ตายเดี่ยว-ตายหมู่ !!! **

ยังไม่ผ่านสัปดาห์แรกคดีประวัติศาสตร์ “โดเรแม้ว” อุณหภูมิการเมืองก็ร้อนระอุ ทั้งระเบิดและการสั่งไล่ล่าของ “หล่อหลักลอย”
ที่จะเอาผิดในทางอาญาและอื่นๆอีก

เป็นบันไดขั้นสุดท้ายที่ต้อง “สะเด็ดน้ำ” จะตายจริงหรือตายทั้งเป็นก็ตาม!

บ้านเมืองวันนี้จึงไม่ต้องพูดเรื่อง “ใครดี ใครชั่ว”

เพราะมีแต่ “กูต้องชนะ มึงต้องตาย”

โดยเฉพาะสังคม “สัตว์การเมือง” ที่ต่างก็เป็น “เสือซุ่ม” เตรียมทั้งกระสุนและพวกพ้องเพื่อรอการเมืองกระดานใหม่ ที่พร้อมจะ “ผสมพันธุ์”
กับสัตว์ได้ทุกประเภท

เพราะถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ปฏิเสธเรื่อง “กิเลสและตัณหา” ไม่ได้ ไม่ว่าจะดี จะชั่ว จะรวย จะจน จะซวย จะเฮง หรืออีกหลาย “จะๆๆๆ”...
ทุกคนก็หนีไม่พ้น “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”

แม้แต่ “ผู้อาวุโส” วันนี้ยังหดหัวเหมือนเต่า เพราะถ้าออกมาพูดเรื่องความยุติธรรม เป็นธรรม และชอบธรรม ก็เหมือนการประจานตัวเอง

แต่พวกผมหงอกผมขาว “กะโหลกกะลา” กลับฟิตจัด เปิดศูนย์บัญชาการใหญ่ใส่เครื่องแบบเต็มยศลงมาเล่นเอง ไม่กลัวใครจะประณามว่า
“แก่แล้วไม่เจียมตัว”

เพราะถือว่า “ยิ่งแก่ยิ่งมัน” ไม่รู้ว่ากิน “โก๋แก่” มากไปหรือไม่ จึง “ยิ่งแก่ยิ่งโลภ ยิ่งมากตัณหา”!

เหมือน “เทพลิ้ม” ที่เป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่ “สงครามครั้งสุดท้าย” วันนี้หลุดโลก กู่ไม่กลับแล้วนั้น ยังมี “นางฟ้า” หน้าแฉล้มคอยปรนนิบัติ
อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษอีก...(555)

การไล่ล่าและไล่ยึด “โดเรแม้ว” หลังจากตั้งธงแรกผ่านไปด้วยการ “ยึดทรัพย์” ก็ต้องเริ่มชูธงใหม่ “ยัดเข้าคุก” ให้ได้ ทั้งที่ “ธงแรก”
ทั่วโลกยังตั้งคำถามถึงอำนาจและความชอบธรรมของสังคมไทยว่าด้วยเรื่องอำนาจและคำสั่ง “วงรอุบาทว์” ที่อยู่เหนือ “นิติรัฐและนิติธรรม”
ที่ทำลายทั้งประชาธิปไตยและล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุดของบ้านเมือง

จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไม “วงจรอุบาทว์” จึงอยู่ยงคงกระพันมากว่า 77 ปี โดยมี “สีเขียว” คอยปกป้องและขอส่วนบุญไม่ต่างกับ “ผีเปรต”

ตราบใดที่ “สงครามยังไม่สิ้นสุด” นอกจากจะไม่สามารถ “นับศพเด็กไม่มีเส้น” แล้ว ยังต้องจับตาเกมกดดันและต่อรองที่จะเข้มข้น
จนหยดสุดท้าย

เกมนี้อยู่ใต้กระดานที่มีการต่อรองกันมาอย่างยาวนาน แม้จะมีการพยายามขัดขวางและล้มกระดานจาก “อีแอบ” อย่างสุดฤทธิ์สุดเดชก็ตาม

แม้จะไม่มี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” แต่ยังมีมหกรรม “ลด แลก แจก แถม” ที่ทำให้ทุกฝ่ายพอใจ!

แต่งานนี้อาจมีคน “ตายเดี่ยว” ไม่ใช่ “ตายหมู่”!


โดย.นายหัวดี
ที่มา.konthaiuk

**********************************************************************

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

"บิ๊กจิ๋ว" อ้างรธน.หนุนแดงถอดผู้พิพากษายึดทรัพย์ "ทักษิณ" ได้


นปช.ล่าชื่อถอดองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทั้ง 9 คน ละเมิดรธน.ฉีกทิ้งคำวินิจฉัยศาลรธน.
แต่ไปยึดคำสั่งคณะปฏิวัติ ศาลเตือนลงชื่อมั่วเจอฟ้องกลับ หากไม่พบพฤติการณ์ตามข้อกล่าวหา
ป.ป.ช.ปวดหัวแดงยื่นสอบศาล อ้าง "วัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก"
"จิ๋ว"อ้างรธน.ยื่นถอดได้


"ชวลิต"อ้างรธน.หนุนแดงยื่นถอดผู้พิพากษายึดทรัพย์"ทักษิณ"

เมื่อวันที่ 3 มี.ค. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีคนเสื้อแดงจะเข้าชื่อเพื่อยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษา
คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 271 ว่า ยังไม่ทราบ แต่เมื่อกลไกตามรัฐธรรมนูญตามตัวบท
กฎหมาย ก็ทำได้อยู่แล้ว


นปช.ล่าชื่อถอดองค์คณะ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ
คนเสื้อแดง กล่าวเมื่อวันที่ 2 มีนาคม ว่า

ภายในสัปดาห์นี้ จะมีกระบวนจากภาคประชาชนแสดงตนถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทั้ง 9 คน ซึ่งตนจะร่วมลงชื่อถอดถอน
ร่วมกับประชาชนอีกกว่า 20,000 คนด้วย โดยเหตุผลการถอดถอนมาจากกรณีที่องค์คณะผู้พิพากษากระทำการละเมิดรัฐธรรมนูญ
มาตรา 216 วรรค 5 ที่ระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
แต่องค์คณะไม่ยอมยึด พ.ร.ก.แปลงภาษีสรรพสามิต ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยว่า พ.ร.ก.ดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญถึง 2 ครั้ง
มาพิจารณา แต่กลับไปพิจารณากฎหมายที่มาจากคณะปฏิวัติ

"เรามีบทเรียนจากการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว ดังนั้น ครั้งนี้เราจะยื่นรายชื่อประชาชนเพียง
2 หมื่นเศษๆ เท่านั้น ส่วนรายชื่อที่คาดว่าจะมีเป็นแสนเป็นล้านนั้นจะเพิ่มเติมไปภายหลัง เพื่อแสดงให้เห็นว่ามีคนไทยจำนวนเท่าไหร่
ที่ไม่พอใจการทำหน้าที่องค์คณะผู้พิพากษา" นายจตุพร กล่าว

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่จะมีประชาชนเข้าชื่อยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษานั้น
เป็นเรื่องของภาคประชาชน พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่ใช่คนเข้าไปสั่งการ


ศาลเตือนลงชื่อมั่วเจอฟ้องกลับ

นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำเสื้อแดง จะรวบรวมรายชื่อยื่นถอดถอน
ผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า

แม้จะเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การจะถอดถอนก็ต้องแจ้งข้อกล่าวหาที่ชัดเจนตามหลักเกณฑ์ที่เป็นเงื่อนไขการยื่นถอดถอน
ไม่ใช่เพียงแค่การคัดลอกคำหรือข้อกฎหมายในรัฐธรรมนูญมากล่าวอ้าง แต่ต้องมีข้อกล่าวหาชัดเจนว่าการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาองค์คณะ
นั้นผิดอย่างไร มีหลักฐานอะไร ลำพังแค่การลงชื่อครบตามจำนวนที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้ทำให้ถอดถอนได้
ถ้าไม่มีข้อกล่าวหาที่ชี้ให้เห็นพฤติการณ์กระทำผิดต่อตำแหน่งที่ชัดเจน

นายวิรัชกล่าวว่า อยากเตือนผู้จะลงชื่อว่า ต้องดูให้ดีก่อนว่ามีข้อกล่าวหาชัดเจนหรือไม่ เพราะหากลงชื่อแล้วถ้ากระบวนการตรวจสอบ
พบว่าผู้พิพากษาไม่มีพฤติการณ์ตามข้อกล่าวหา แล้วจะอ้างว่าตอนลงชื่อไม่รู้ไม่ได้ การใช้สิทธิใดๆ ตามรัฐธรรมนูญก็ต้องมีหน้าที่และ
ความรับผิดชอบตามมาด้วย โดยตนในฐานะที่เป็นเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม พร้อมจะใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินการ
หากมีการลงชื่อถอดถอนและสุดท้ายพบว่าไม่มีการกระทำตามที่กล่าวหา

"ผู้พิพากษาไม่ได้หวั่นไหวว่าจะมีการยื่นถอดถอน ไม่ว่าจะมีสองหมื่นหรือล้านชื่อ แต่ถ้าลงชื่อแล้วไม่มีการกล่าวหาถึงพฤติการณ์
ที่ชัดเจนจะยื่นถอดถอน หรือตรวจสอบแล้วไม่พบการกระทำตามข้อกล่าวหา อาจถูกฟ้องดำเนินคดีได้โดยคนที่ลงชื่อจะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้"
นายวิรัช กล่าว


"พท." ดันกม.ให้ส.ส.ตรวจสอบศาล

นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พรรค พท.นำคำวินิจฉัยมาวิเคราะห์
เห็นว่ามีจุดที่น่าพิจารณา 3 จุด คือ

1.การนำกฎหมายที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับประชาชน คือ ประกาศคณะปฏิวัติ มาใช้เป็นหลักในการพิจารณาคดี ในฐานะพรรคการเมือง
ควรเสนอให้ทบทวน อะไรที่จำเป็นต้องยกเลิกก็ต้องเสนอเป็นกฎหมายให้ยกเลิก เพราะประกาศคณะปฏิวัติถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตย

2.การตรวจสอบการใช้ดุลพินิจและการทำหน้าที่ขององค์คณะ ก่อนหน้านี้ ส.ส.ไม่สามารถยื่นกระทู้ต่อสภา เพื่อสอบถามการทำงาน
ของศาลได้ แต่เมื่อเกิดกรณี ป.ป.ช.ใช้อำนาจตรวจสอบศาล ก็เป็นช่องทางที่อาจจะเสนอเป็นกฎหมายให้อำนาจ ส.ส.ตรวจสอบศาลได้ และ

3.การที่ศาลระบุว่าตราสารหนี้ที่ใช้เป็นการสากล และถือว่าถูกต้องใช้ได้กลับถูกระบุว่ามีความเคลือบแคลง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ
ความน่าเชื่อถือในต่างประเทศ จึงควรพิจารณาทบทวน โดยฝ่ายกฎหมายจะเสนอต่อที่ประชุมพรรคเพื่อให้เสนอเป็นกฎหมายต่อสภาต่อไป


ป.ป.ช.ปวดหัวแดงยื่นสอบศาล

น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะยื่นขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบองค์คณะ 9 คน
ที่พิจารณาคดียึดทรัพย์ว่า

คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะ ป.ป.ช.ยังมีความเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พิพากษาบางส่วน กรณีตั้งอนุกรรมการไต่สวนผู้พิพากษา
ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ถูกกล่าวหาออกหมายจับอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) มิชอบอยู่
เหมือนกับความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก

"อย่างไรก็ตาม กฎหมาย ป.ป.ช.และรัฐธรรมนูญก็เขียนเอาไว้ว่า ป.ป.ช.สามารถไต่สวนความผิดทางอาญากับผู้พิพากษาได้ ที่ผ่านมา
ก็เคยไต่สวนอดีตผู้อาวุโสในศาลฎีกาคนหนึ่งมาแล้ว ส่วนการนัดพบนายสบโชค สุขารมณ์ ประธานศาลฎีกาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เพื่อทำความเข้าใจนั้น ทางประธานศาลฎีกายังไม่ได้นัดหมายวันกลับมา โดยนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ยืนยันว่า
ต้องหาโอกาสพบเพื่อทำความเข้าใจให้ได้ " น.ส.สมลักษณ์ กล่าว

ที่มา:konthaiuk

****************************************************************************

มองนิติรัฐ-นิติธรรมอีกรอบเรามีคำตอบอะไรกับกรณียึดทรัพย์?

คอลัมน์ .โต๊ะกลมระดมความคิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ดร.ดำรงค์ เปลี่ยนศรีศร

เรื่องของนิติรัฐ Rechtsstaat เป็นถ้อยคำที่เราพูดถึงกันบ่อยภายหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ซึ่งใช้ควบคู่ไปกับอีกคำคือ นิติธรรม

นิติรัฐเป็นถ้อยคำซึ่งใช้กันในประเทศที่มีระบบประมวลกฎหมายถือกำเนิดจากภาคพื้นยุโรป มีรากฐานของกฎหมายโรมัน Jus Civille เป็นแม่แบบ หมายถึงระบบบริหารรัฐหรือสังคมที่ถือกฎหมายเป็นใหญ่ เป็นการปกครองโดยกฎหมาย แต่มิใช่เป็นการใช้กฎหมายตามอำเภอใจของผู้มีอำนาจ สำหรับประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบ “คอมมอนลอว์” มีประเทศอังกฤษเป็นต้นแบบนั้น ก็จะอ้างถึงหลัก “นิติธรรม” หรือ Rule of Law จากกรณีทั้งของหลักนิติรัฐและนิติธรรมที่เรามักใช้ควบคู่กันไปก็ยังมีรายละเอียดแตกต่างในความหมายที่ควรทำความเข้าใจ (อ่านรายละเอียดของ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในเว็บไซต์ Newskythailand.com)

โดยหลักการนิติรัฐ กฎหมายไม่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม เพราะภายใต้กฎหมายนั้นบุคคลจะต้องเสมอภาคกัน มีสิทธิที่จะรู้ก่อนล่วงหน้าว่ากฎหมายจะมุ่งประสงค์บังคับให้ตนต้องปฏิบัติอย่างไร? รู้ว่าถ้าฝ่าฝืนจะเกิดผลร้ายอะไร? บุคคลจะได้ประพฤติปฏิบัติตนให้ถูกต้องสอดคล้องกับกฎหมาย แนวความคิดพื้นฐานเหล่านี้ยังเกี่ยวข้องไปสู่หลักต่างๆอีกมากมาย เป็นต้นว่า ถ้าไม่มีความผิดก็ไม่มีโทษโดยปราศจากกฎหมาย ห้ามการลงโทษซ้ำซ้อน การลงโทษโดยออกกฎหมายย้อนหลัง ฯลฯ ด้วยความเข้าใจเช่นนี้หลักนิติรัฐจึงเป็นการปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของปวงชน แน่นอนที่นิติรัฐมีความสัมพันธ์กับรัฐธรรมนูญซึ่งกำหนดให้อำนาจของรัฐต้องผูกพันอยู่กับกฎหมาย กฎหมายนั้นกำหนดขอบเขตภารกิจของรัฐ มีกลไกที่จะควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ ตลอดจนกฎหมายยังต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล

ดังนั้น รัฐที่มุ่งสนใจที่ใช้แต่เพียงกฎหมายออกมาบังคับ ผู้ปกครองผูกตัวเองเฉพาะกฎหมายโดยไม่สนใจว่ากฎหมายและกระบวนการจะถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่? ผู้ปกครองและรัฐเช่นนี้จึงไม่ใช่นิติรัฐอย่างแน่นอน การพร่ำพูดถึงแต่เรื่องห้ามประพฤติผิดกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมและหลักประกันของสิทธิเสรีภาพ จึงเท่ากับเป็นรัฐที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทั้งแสวงหาอำนาจ รักษาอำนาจ ตลอดจนกำจัดคู่แข่งขันทางอำนาจ...สภาพเช่นนี้มีอยู่ในสังคมไทย ซึ่งก็น่าคิดว่าจะเป็นผลนำไปสู่อะไรที่สังคมจะต้องมีบทเรียนร่วมกัน?

เรากล่าวถึงหลักนิติธรรม (Rule of Law) ต้องเริ่มต้นจากการที่กษัตริย์อังกฤษเมื่ออดีตมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครอง ดำรงตนอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่ใช้บังคับในบ้านเมือง ทั้งกฎหมายลายลักษณ์อักษรของรัฐสภาหรือคอมมอนลอว์ ซึ่งพัฒนาขึ้นมาโดยศาล ต่อมาด้วยพัฒนาการทางการเมืองรัฐสามารถแก้ไขปัญหาของกษัตริย์อังกฤษที่มีอำนาจเหนือรัฐสภาและเหนือศาล และศาลก็ได้เข้าไปมีบทบาทยืนยันความเป็นกฎหมายสูงสุดของคอมมอนลอว์ จะเป็นกษัตริย์ก็ดี รัฐสภาก็ตาม จะไปตรากฎหมาย ออกกฎเกณฑ์ใดๆให้ขัดกับคอมมอนลอว์ย่อมไม่ได้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงว่าศาลจะมีอำนาจสูงสุด เพราะต้องผูกพันกับกฎหมายที่รัฐสภาได้ตราขึ้น จะไปอ้างคอมมอนลอว์เพื่อปฏิเสธกฎหมายซึ่งรัฐสภาตราขึ้นมาไม่ได้ ระบบคงมีการถ่วงดุลกันเช่นนี้!

หลักนิติธรรมจึงเกี่ยวข้องกับความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา มีสาระสำคัญได้แก่ การที่บุคคลทุกคนจะต้องเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใดย่อมอยู่ภายใต้ปรกติธรรมดาของแผ่นดินคือ ไม่มีการใช้อภิสิทธิ์ มีข้อยกเว้นหรือเลือกที่รักมักที่ชัง หลักนิติธรรมจึงต้องปฏิเสธความคิดและพฤติกรรมต่างๆที่จะสร้างความไม่เสมอภาคทางกฎหมาย...มีคำถามว่ากรอบแนวคิดเช่นนี้อาจทำให้รัฐสภากลายเป็นอำนาจสูงสุดได้ ซึ่งความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะการตรากฎหมายยังขึ้นอยู่กับเจตจำนงของประชาชน เมื่อพรรคการเมืองเสียงข้างมากอยู่ในรัฐสภา ก็เป็นเหตุผลที่ว่าจะต้องระมัดระวังในการออกกฎหมายที่ไปกระทบสิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคการเมืองไม่มีใครกล้าเสี่ยงต่ออนาคตของการเลือกตั้ง? หลักนิติธรรมจึงสร้างให้เกิดการคาดหมายได้ล่วงหน้าจากผลการกระทำของรัฐ ความชัดเจนของกฎหมาย ความแน่นอนมั่นคงของกฎหมาย แม้กระทั่งความสะดวกที่จะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ฯลฯ

การมีรัฐบาลปัจจุบันที่เป็นเช่นนี้ มีรัฐธรรมนูญเช่นนี้ มีองค์กรอิสระและกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ที่ถูกวิจารณ์ถึงระบบยุติธรรมสองมาตรฐาน มีอำนาจนอกระบบจากเครือข่ายของอำมาตย์ เราคงห่างไกลที่จะไปพูดถึงหลักการของนิติธรรมและนิติรัฐ รัฐเช่นนี้จึงเป็นเพียงรัฐสมอ้างว่ามีนิติรัฐและนิติธรรม ภายใต้สภาพเงื่อนไขทั้งหมดจึงไม่มีความเป็นธรรมใดๆ ตัวอย่างคำพิพากษาในกรณียึดทรัพย์ก็พอให้คำตอบว่าทั้งนิติรัฐกับนิติธรรมของเรามีมาตรฐานตรงไหน?

**********************************************************************

ฟ้า.กับ วิบากแห่งสังคมบ้า!!!?

วิบากแห่งสังคมบ้า
บนอัตตาท้าทายทำลายสิ้น
ความดื้อรั้นจึ่งเดิมพันเอาแผ่นดิน
ตวัดลิ้นพ่นลมแห่งความลวง

สำเร็จแล้วฤาความใคร่ได้เสพสม
บนความทุกข์ระทมที่ใหญ่หลวง
แห่งมหาประชาชนคนทั้งปวง
ที่ติดบ่วงใต้หลุมดำ ช้ำ ลำเค็ญ

แม้นปีนป่ายตะเกียกตะกายกันสุดฤทธิ์
บ่วงโซ่รัดแน่นสนิทนับร้อยเส้น
ผูกอาญาบ้าระห่ำเกินจำเป็น
ได้รู้เห็น ก็ใจหาย แทบวายวาง

แหงนมองฟ้าแสงเจิดจ้าตาแสบร้อน
จะอ้อนวอนเวทนาจากฟ้าบ้าง
ฟ้าก็หม่นมืดมิดปิดหนทาง
ประกายแสงสุกสว่างจางหายไป

แม้นกริ่งเกรงก็มิอาจจะก้มหน้า
แหงนมองฟ้าบางคราฟ้าสดใส
ดูเหมือนว่าฟ้าจะปลอบประโลมใจ
เกิดความหวังครั้งใหม่ไม่สงกา

แหงนมองฟ้าเวลาสางฟ้าอ่อนแสง
สีส้มแดงดุจสวรรค์เหนือชั้นฟ้า
ภาพที่เห็นเช่นลำแสงเมตตา
เปี่ยมล้นกรุณาเกินกว่าใคร

จึ่งวางจิตวางใจให้กับฟ้า
เมฆใหญ่น้อยลอยมาเหมือนอยู่ใกล้
ครั้นเอื้อมมือไขว่คว้า...รู้ว่าไกล
ฟ้าอยู่ในภาพสวรรค์อันเรืองรอง

แหงนมองฟ้าหม่นมัวก็ตัวสั่น
ฟ้าพิโรธเลื่อนลั่นสนั่นก้อง
เมฆทะมึนมืดดำสร้างทำนอง
สายฟ้าฟาดตวาดร้องเริงระบำ


ที่มา. Konthaiuk
โดย.ฟ้าคลุมดิน
.......................................................................

หลุดพ้น..

“ประชาธิปัตย์” ต้องการเป็นตัวของตัวเอง...และไม่อยากตกเป็น “ขี้ปาก” ของใครอีกต่อไป?

นโยบาย “ประชานิยม” กับการตอบคำถามผู้สื่อข่าวของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยฯ” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้นำประเทศ ให้คำตอบแก่คนไทย...

เรากำลังจะ “หลุดพ้น” จากการบริหารประเทศแบบ ประชานิยม และเข้าสู่การบริหารแบบ รัฐสวัสดิการสิทธินายกรัฐมนตรีให้ความหมายว่า...
รัฐสวัสดิการสิทธิ หมายถึง การดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

ขณะที่ ประชานิยม คือการหยิบนโยบาย ให้ใจคน ด้วยสิ่งแอบแฝงเพื่อหวังผลทางการเมืองพร้อมยืนยัน “เสียงแข็ง” ต่อผู้สื่อข่าว...ทุกคนต้องเข้าใจใน “คำพูดของผม” เพราะทั้งสองนโยบายเป็นหลักการบริหารที่ “แตกต่างกัน”

สิ่งหนึ่งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สื่อสารไปถึงประชาชน คือ รัฐบาลนี้ต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง”

รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไป “ลอกเลียนแบบ” นโยบายของใคร...หรือถูกมองว่าสร้างคะแนนนิยมด้วยวิธี “คล้ายคลึงกัน”

ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ทำได้...แต่ทำได้ไม่ดีเท่า...ถึงขั้น “ต่ำกว่ามาตรฐาน” จนเกิดการเปรียบเทียบ...อุปมาอุปมัยเหมือน
“เด็กประถมลอกการบ้าน” ขนาดไปลอกเขา...ตัวเองยังลอกมาแบบผิดๆ แล้วแบบนี้จะให้ประชาชนฝากชีวิต...และฝากปากท้อง
ไว้กับ “รัฐบาล” ได้อย่างนั้นหรือ?

ต้นตำรับ “ประชาธิปัตย์” คือ “ประชานิยม” แต่ทำไมประชาชนกลับนึกถึงประชานิยมโดยมีสัญลักษณ์เป็นใบหน้า “ทักษิณ ชินวัตร”

มันมิใช่เพราะเหตุผลอื่นใด...นั่นเป็นเพราะประชาธิปัตย์ “ทำลายล้าง” ตัวท่านเองประชาธิปัตย์ “พูด” แต่ “ไม่เคยทำ”

หรือเป็นเพราะ “ทำไม่ได้” ใช้เวลาหมดไปกับการเชือดเฉือนศัตรูทางการเมืองด้วยคมปาก

โดยเฉพาะหลักการบริหารประเทศ...มันไม่ได้อยู่ที่ “คำเรียกหา” ว่าบุคคลใดเป็นผู้เรียกขานคนแรก หากแต่อยู่ที่ “การจดจำ”
ของประชาชนว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยได้รับ...เคยได้สัมผัส

“ทักษิณ ชินวัตร” ทำสำเร็จเพราะลงมือทำ...ประชาธิปัตย์ล้มเหลวเพราะมัวแต่ยกหางกันเอง

ไม่เชื่อลองดมดู...มือใครเหม็น...นั่นแปลว่า “ยกหาง” ไม่ดูตาม้าตาเรือ!

ที่มา:konthaiuk
โดย.ภูผาหิน
******************************************************************************

แผ่นดินไม่กลบหน้า ผมจะไม่เลิกสู้!!

เมืองไทยกำลังกลายเป็นประเทศ “คนกินคน” ริษยา อาฆาต เหี้ยมเกรียม!! เพราะ “รัฐบาลร่างทรงอำมาตย์”


- วาทะที่น่าสมเพช ชวนทุเรศที่สุดในรอบ 200 ปี ที่มีประเทศไทยมา คือ การประกาศจะเอา ทรัพย์สิน 46.000 ล้าน
ที่ยึดมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาใช้หนี้ 800,000 ล้านที่กู้มาโกงกัน!!.....

- สองกุมารจอมสร้างหนี้จากอ๊อกซฟอร์ด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ กรณ์ จาติกวณิช คิดเหมือนคนที่ไม่ใช่ ผู้นำประเทศ และ
รัฐมนตรีคลัง ข่าวอย่างนี้ถึงหูชาวโลก จะมีใครคิดค้าขายกับ THAILAND อีก?? เพราะพฤติกรรมมันเหมือนโจร หรือนักปล้น!!......

- เจ็บปวดน่ะของแน่!! แต่ ทักษิณ ชินวัตร สวมวิญญาณ “นักสู้” ไม่ยอมแพ้อำมาตย์เด็ดขาด?? ประกาศเตือนข้ามประเทศ
“รังแกผมมากไป!! อำมาตย์จะแกล้งผมต่อ ขอให้คิดกันให้ดีๆ แผ่นดินไม่กลบหน้า ผมจะไม่เลิกสู้!!” ใครคือหัวแถว “อำมาตย์”
จะประมาทก็ตามใจ!!.....

- เฉลิม อยู่บำรุง คิดอะไรในใจ “กุหลาบพิษ” ไม่อาจยืนยันแทน แต่ สุรจิตร ยนต์ตระกูล ส.ส.มหาสารคาม ยังยืนยัน! ส.ส.อีสาน
ส่วนใหญ่ เห็นตรงกัน “ขุนศึกฝั่งธน” ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำการอภิปรายมากที่สุด....

- แปลไทยเป็นไทยว่า ส.ส.อีสาน ยังหนุนสุดตัวให้เสนอชื่อ “เฉลิม อยู่บำรุง” เป็นนายกรัฐมนตรีสำรอง ในญัตติ “ไม่วางวางใจ”
รัฐบาลมาร์ค ร่างทรงอำมาตย์!!......

- เพิ่งเห็น “นักวิชาการ” พูดจาเข้าท่าไม่เป็นขี้ข้าใคร!! ดร.เจษฎ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม วิจารณ์
เทศกาลปาระเบิดแบงก์กรุงเทพ ได้ตรงเป้า!! “หน่วยข่าวกรองของไทยไม่ได้เรื่องเลย ไม่สามารถตามวางสายข่าว ให้รู้ว่า
ข้อมูลที่ฝ่ายก่อการร้ายส่งต่อกันอย่างไ?” ....

- ตลกกว่า “ตลกคาเฟ่”?? รายชื่อ แบล็กลิสต์ ที่น่าจะเรียกว่า “แบล็คเมล์” 201 ชื่อที่ฮือฮากันนักหนา “กุหลาบพิษ” เห็นแล้ว
ได้แต่ปลง!! เกือบทุกคนคัดชื่อมาจาก คนเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย และเพื่อนทักษิณ เออ!ถ้ามี “เทพเทือก-เทพไท-ปณิธาน”
ปะปนเข้าไปมั่งถึงจะถือเป็น “ของแปลก!!......

- ใช้ยุทธวิธี “ป่าล้อมเมือง” ?? คนเสื้อแดง ทยอยกันชุมนุมหลายจังหวัดทุกภาค ก่อนทะลักยกพลเข้ากรุงจำนวนล้าน ตามสโลแกน
“แดงทั้งแผ่นดิน” ในวันที่ 14 มีนา!! ถ้า สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ มาร์คจอมดื้อรั้น จะยึดมั่นกับ “ความประมาท” อาจไม่มีแผ่นดินอยู่??.....

ที่มา:konthaiuk
โดย.กุหลาบพิษ
**************************************************************************

วิกฤติระลอกใหม่

เหตุระเบิดบริเวณธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่สีลม และอีก 3-4 จุดใน กทม.และปริมณฑล แค่เริ่มต้นของวิกฤติบ้านเมืองระลอกใหม่ รูปแบบใหม่ และวิธีการต่อสู้แนวใหม่ จะเป็นสงครามกลางเมือง นำประเทศไปสู่กับดักวงจรอุบาทว์ รัฐบาลเตรียมรับกับสถานการณ์รุนแรง พร้อมที่จะตัดเชือด

พร้อมที่จะแตกหัก

แนวรบครั้งสำคัญ ทั้งในสภานอกสภา ทั้งเครื่องมือกลไกของรัฐคาดว่าจะสะเด็ดน้ำได้ในเดือน เม.ย.นี้ จับตาการโยกย้ายข้าราชการ ทหาร ตำรวจ บรรดาขุนศึกนายกองที่จะต้องใช้เป็นตัวแทนในการสู้รบ รวมทั้งสื่อมวลชนที่จะถูกดึงเข้าสู่มรสุมการเมือง ครั้งสำคัญ

การเมืองนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปห้ามกะพริบตา

เป็นที่รู้กันอยู่ว่าประเทศที่ถูกจับตา และคาดว่าจะเป็น ประเทศชั้นนำทางด้านเศรษฐกิจ มีอยู่ 5 ประเทศด้วยกัน ที่เรียกกันว่า BRIIC คือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย รัสเซีย และบราซิล

ดังนั้น ไม่ว่าอุตสาหกรรม การผลิต การลงทุน เทคโนโลยีหรือแม้แต่เม็ดเงินลงทุน การเงินการธนาคาร จะมุ่งไปประเทศเหล่านี้เป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการลงทุนใหม่ และการพัฒนาทางด้านธุรกิจในรูปแบบใหม่จึงเป็นที่ถูกจับตามากที่สุด

ในยุโรปมีปัญหาเรื่องของต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบในการผลิต ที่สู้ ประเทศคลื่นลูกใหม่ ไม่ได้ โดยเฉพาะจีนที่เป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมทุกประเภท สหภาพยุโรปมองหาฐานการลงทุนใหม่

ในประเทศเหล่านี้ มี ประเทศที่เป็นโลกมุสลิม อยู่อย่างน้อยก็ 2 ประเทศ ในประเทศจีนมีชาวมุสลิมอยู่จำนวนไม่น้อย ตลาดการค้า ใหม่กำลังมองไปที่ ตลาดตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกหรือการท่องเที่ยว

ลำพังจีน อินโดนีเซีย หรืออินเดียคงไม่สามารถรองรับการโถมทะลักของการเคลื่อนย้ายการลงทุนแบบทันทีทันใดได้ โอกาสนี้ประเทศไทยจึงเป็นประตูสำคัญที่จะรองรับการเคลื่อนย้ายทุนครั้งสำคัญ

อยากจะแนะให้ไปร่วมงาน World Halal Congress ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 19-24 มี.ค.นี้ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ที่จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย จะได้เห็นของจริง

สาระสำคัญของงานนี้ ไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะรวบรวมเอาธุรกิจอาหารฮาลาลทั่วโลกมาประชุมร่วมกันที่นี่ ซึ่งน่าจะมีเกือบ 200 บริษัท แต่เป็นสิ่งที่ผู้บริหาร ห้างขายปลีกขายส่งยักษ์ใหญ่ของโลก อาทิ วอร์มาร์ท เทสโก้ โลตัส หรือเนสท์เล่ จะมาแถลงจุดยืนว่าธุรกิจ การค้าขายในโลกอนาคตอันใกล้นี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

อยากจะบอกว่าประเทศไทยใกล้ตกขบวนและเสียโอกาสครั้งสำคัญ ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยัง กระเหี้ยนกระหือรือไม่เลิก ยังมองไม่เห็นโลกอนาคต ยังยึดติดกับในอดีตและอำนาจที่ไม่ชอบธรรม.

ที่มา:ไทยรัฐ
คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
โดย.หมัดเหล็ก
**********************************************************

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

'ตุลาการภิวัฒน์' วันนี้ 'แทรกแซง??'


ศาลเองก็ยังมี 'ปุจฉา'

คดีใหญ่โตมโหฬารทางการเมืองในไทยคดีหนึ่งเพิ่งจะมีคำพิพากษาออกมา โดยที่ดูเหมือนว่าองค์กรต่าง ๆ ตามกระบวนการยุติธรรมจะมีการดำเนินกลไกในทางที่สอดประสานกันอย่างราบรื่น แต่ในอีกบางแง่บางมุม ตอนนี้สังคมไทย อาจจะต้องจับจ้องมองไปยังองค์กรสำคัญอย่างน้อย 2 ส่วน เพราะมี “กรณีเห็นต่าง” ...

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่ผู้พิพากษาท่านหนึ่ง อนุมัติออกหมายจับบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยงานด้านการยุติธรรมหน่วยงานหนึ่ง ในคดีถูกบุคคลทางการเมืองฟ้องหมิ่นประมาท แล้วต่อมามีนักวิชาการสายกฎหมายมหาวิทยาลัยรัฐบางท่าน ได้สนับสนุนการใช้อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในการไต่สวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาท่านดังกล่าวนี้

จากกรณีนี้ นายพรเทพ อัมพรกลิ่นแก้ว อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ระบุว่า... ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งใน (3) ของมาตรา 19 บัญญัติไว้ว่า... (3) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม ตามที่มีนักวิชาการบางท่านหยิบยกมาตรา 19 (3) ขึ้นมาสนับสนุนการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ในการไต่สวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา ในกรณีที่ได้อ้างถึงข้างต้นนั้น... “มิได้แยกแยะให้ชัดเจนว่า การใช้ดุลพินิจในลักษณะใดเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และกรณีใดเป็นการใช้ดุลพินิจลักษณะที่เป็นการใช้อำนาจตุลาการโดยแท้ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือองค์กรอื่นใด ก็ไม่อาจแทรกแซงได้”

อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ระบุต่อไปว่า... ตามมาตรา 19 (3) ที่ว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” นั้น มีคำจำกัดความไว้ชัดเจนในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.เดียวกัน ว่าหมายถึง “ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่ง หรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” แต่ถ้อยคำที่ว่า “ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม” มิได้จำกัดความไว้ทั้งใน พ.ร.บ.นี้ และกฎหมายอื่นใด ซึ่งในแง่ของกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็นคำธรรมดาสามัญทั่วไปที่กฎหมายมิได้ให้ความหมายไว้เฉพาะ

ดังนั้น การใช้ “ดุลพินิจ” ของผู้พิพากษาในกรณีที่ได้อ้างถึงแต่ต้น ภายในกรอบที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี และเป็นอำนาจหน้าที่ ซึ่งไม่ว่าฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานใด ก็มิอาจแทรกแซงได้ แม้ว่าการใช้ดุลพินิจนั้นจะไม่เป็นที่พอใจหรือสมประโยชน์ของผู้ได้รับผลกระทบ บุคคลที่ไม่พอใจการใช้ดุลพินิจย่อมสามารถอุทธรณ์ ฎีกาได้ เมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จะหมายความว่าการใช้ “ดุลพินิจ” ของผู้พิพากษาเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือไม่ ?

หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีผู้พิพากษาท่านใดกล้าใช้ดุลพินิจในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมเป็นแน่แท้ และอาจถูกมองได้ว่า การใช้อำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลได้ถูกแทรกแซง ซึ่งขัดกับหลักการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ต้อง “เป็นอิสระและไม่ลำเอียง” ทำนองเดียวกันกับการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่งอนุญาโตตุลาการ

อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ระบุอีกว่า... ศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาให้เป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส ชอบด้วยกฎหมาย และปราศจากอคติ ศาลยุติธรรมไม่เคยปกป้องผู้พิพากษาที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือแม้กระทั่งประพฤติตนไม่เหมาะสม และในกรณีการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาดังที่อ้างถึงข้างต้น ก.ต.ก็ได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วทราบว่า เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และปราศจากอคติ ซึ่งการออกหมายจับเป็นเพียงมาตรการหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมในชั้นสอบสวนเท่านั้น ส่วนผิดหรือไม่ผิดนั้น ต้องว่ากันในชั้นพิจารณา

“สำหรับการใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมต้อง อยู่ภายในขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ซึ่งไม่รวมถึงการตรวจสอบการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เพราะจะเป็นการก้าวล่วง หรือแทรกแซงการใช้ดุลพินิจของศาล หากก้าวล่วง หรือแทรกแซงได้ แล้วใครล่ะจะตรวจสอบการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ?” ...อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ทิ้งท้ายในเชิงปุจฉา-ตั้งคำถาม

ทั้งนี้ ณ ที่นี้เองก็ยืนยันว่า เชื่อมั่นว่าศาล ป.ป.ช. ตลอดจนองค์กร-บุคลากรด้านการยุติธรรมอื่น ๆ ต่างก็มีเป้าหมายสูงสุดคืออำนวยความยุติธรรมให้บังเกิด ซึ่งจากที่ว่ามาทั้งหมดก็เป็นแต่เพียงสะท้อนกรณีเห็นต่าง...

ในยุคสังคมไทยมีกรณีใหญ่ ๆ ทางกฎหมายที่ถูกตั้ง “ปุจฉา”

ในยุคที่ “ตุลาการภิวัฒน์” กำลังเป็นคำที่คนไทยสนใจ ??.

ที่มา.เดลินิวส์
**********************************************************

ผมยังจำวันแรกที่รู้จักคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้


ผมยังจำวันแรกที่รู้จักคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้ วันที่ ดาวเทียมไทคม 1 ถูกยิงออกจากฐานส่ง เฟรนกายอาน่า

ตอนนั้นยังเด็กๆอยู่เลยครับ รู้แต่ว่าเฮ้ย ประเทศเรามีดาวเทียมแล้วว่ะ
รอดูถ่ายทอดสด เปิดทีวีมาเจอ คนชื่อทักษิณ ชินวัตร อ่อคนนี้เจ้าของหรอวะ
ทักษิณกำลังถวายรายงานอยู่ ลุ้นแทบตาย เพราะเห็นแกใช้คำราชาศัพท์ติดๆ ขัดๆ คงตื่นเต้นเหมือนกัน ที่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดมาก ลุ้นไปซาบซึ้งไป
ซาบซึ้งที่มีบุคคลสำคัญของประเทศ ให้ความสนใจสิ่งที่เรียกว่าดาวเทียม (จำไม่ได้ว่าน้ำตาไหลหรือเปล่า)

ตอนนั้นบรรยากาศชื่นมื่นมากครับ ใครเคยดูมั่ง
นึกถึงวันนั้นแล้วนึกถึงวันนี้ Posted Image ไม่อยากจะเชื่อเลย
ถ้าตอนนั้นมีไทม์แมชชีน ต่อให้ทักกี้เองก็คงไม่เชื่อว่าจะมีวันนี้

ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************

** คุณูปการยึดทรัพย์ !!!! **

พูดกระแหนะกระแหนเรื่อยว่า คอยดูเถอะหากศาลตัดสินไม่ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เมื่อไหร่ก็จะมีคน (พวกเสื้อแดง) บอกว่า
ศาลยุติธรรม แต่หากศาลสั่งยึดทรัพย์ ก็จะมีคน (เสื้อแดง) กล่าวหาว่า ศาลไม่ยุติธรรม

ก็ไม่รู้คนพูดใช้อะไรคิด ทีพวกตัวเองปล่อยข่าว มีการติดสินบนผู้พิพากษา 5,000 ล้านบาท เพื่อหวังอะไร ไม่ใช่ต้องการดิสเครดิตศาล
หรือ เรื่อง เอาดีใส่ตัว โยนชั่วคนอื่น เก่งนัก

ที่จริงไม่ต้องรัก “ทักษิณ” เลย แต่ยอมรับหรือไม่ว่า หลัง 19 ก.ย. 49 อุตส่าห์ ลากรถถังออกมาล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง ปู้ยี่ปู้ยำประเทศ
ฉีก รธน.ทิ้ง ทำลายหลักนิติ ธรรมสูงสุด แล้วประเทศได้อะไร

นอกจากมีการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน เพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องจบกฎหมายจากฝรั่งเศสก็สัมผัสได้ ทำไมใช้กฎหมายย้อนหลัง
ยุบพรรคไทยรักไทย แต่ รธน.ปิศาจกลับบัญญัติ ม.309 ให้มีการนิรโทษกรรมคนทำปฏิวัติโดยไม่ต้องรับผิดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

“อัปยศ” ไหม

ทำไม ทำกับข้าว ถูกถอดจากนายกรัฐมนตรี แถมใช้พจนานุกรมอ้างอิงอีก แต่ตุลาการบางคนสอนพิเศษในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
รับค่าสอนชั่วโมงละหลายพัน กลับอ้างเป็นวิทยาทาน ไม่ใช่ ลูกจ้าง

ยังมีเรื่องสำคัญ แอบเปลี่ยนองค์คณะในบางคดี เพื่อให้ผลตัดสินเป็นตามธงที่ตั้งไว้ ก็ภาวนาให้สักวันมีผู้กล้าออกมา เปิดเผยข้อเท็จจริง
ให้โลกรู้ทีเถอะ แทนที่จะรู้ในวงจำกัด นี่ล่ะทำให้ ตุลาการภิวัตน์ ถูกตั้งคำถามมากมาย

ไม่แปลกหรอกที่ คนเสื้อแดง รู้สึกว่า พวกกูทำอะไรผิดหมด พวกมึงทำอะไร ถูกหมด เพราะเสื้อแดงยึดอนุสาวรีย์ฯ ถูกฟ้องศาลใน 3 วัน
อีกสียึดทำเนียบฯ (ถอนฟ้องดื้อ ๆ) ยึดสนามบินฯ ยังลอยนวลจนป่านนี้ เหมือนอำมาตย์รุกป่ายอดเขาไม่ผิด ชาวบ้านรุกป่าเชิงเขาติดคุก

ยังมีอีก คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของ ปชป. ที่จะนำไปสู่การยุบพรรค ก่อนหน้านี้การยุบพรรคง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
แค่เชื่อได้ว่าก็ถูกเชือดแล้ว แต่คดีนี้ กกต. ยืนยันต้องมี หลักฐานพิสูจน์ ชัดจึงจะเข้าข่าย

นี่ล่ะ 2 มาตรฐาน

แต่เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสกับผู้พิพากษา ณ รพ.ศิริราช ตอนหนึ่งว่า ขอให้ผู้พิพากษายึดถือความยุติธรรม
ความเป็นกลาง ทรงเน้นเป็นกลางแท้ ๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ก็เหมือนฟ้ามาโปรด นี่ล่ะคือสิ่งที่ ผู้รักความเป็นธรรมถวิลหาและเรียกร้องตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ ยึดหลักกู
อย่างที่พวกชอบเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น กล่าวหาเลย

แล้วเมื่อคดียึดทรัพย์ ศาลฎีกาฯแผนกนักการเมือง พิพากษาให้ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะผิดทุกข้อหาที่ตั้งไว้
แต่ยังเมตตา ไม่ยึดเงินก่อนมาเล่นการเมือง (ปี 43) 3 หมื่นล้านบาท คืนให้ (ถ้าไม่ถูกเรียกเก็บภาษีจนหมดตัว)

ย่อมถือว่าเรื่องนี้จบแล้ว ศาลได้ทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณ หรือคนเสื้อแดง จะพอใจหรือไม่ก็แล้วแต่ จะสงสารว่าคนที่รักถูกรังแกก็คิดได้ แต่ยังไง ก็เปลี่ยนคำพิพากษาไม่ได้แล้ว
เหนืออื่นใดน่าจะถือเป็น คุณูปการใหญ่หลวง ต่อการชุมนุมใหญ่ 14 มี.ค. ด้วยซ้ำ การเรียกร้องประชาธิปไตยเที่ยวนี้จะได้เลิกถูกกล่าวหาว่า
สู้เพื่อ (เงิน) ทักษิณเสียที

คุณูปการอีกเรื่องคือ ทำให้ย้อนไปถึงบรรยากาศวันยุบพรรค คำชี้ขาดวันนั้น คือ “เชื่อได้ว่า” แต่วันยึดทรัพย์คือ “ได้มา... โดยไม่สมควร”.

โดย.ดาวประกายพรึก
Dailynews 2-3-2010

**********************************************************************************

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

นี่หรือประชาธิปไตย

ดังที่ทราบกันดีว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น
จะต้องมีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็นส่วนๆ คือ 1.อำนาจบริหาร 2.อำนาจนิติบัญญัติ 3.อำนาจตุลาการ แต่ทั้งนี้ประเทศไทย
ยังมี องค์กรณ์อิสระ เช่น กกต. ปปช. ที่คอยถ่วงดุลอำนาจดังกล่าว ไม่ให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ กฏหมายรัฐธรรมนูญกำหนด
องค์กรณ์เหล่านี้ จะทำหน้าที่ ตราบเท่าที่กฏหมายกำหนดให้ทำ

ท่านที่เคารพ น่าเศร้า ที่อำนาจตุลาการที่คิดว่าน่าจะถ่วงดุลทางการเมือง หรืออำนาจอื่นๆ จะไม่สามารถเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่
นักการเมืองหรือประชาชนหวังว่าจะเป็นกลางทางการเมือง ปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง
ดังที่ท่านทราบกันดี มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ชนชั้นใด ก็ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นกิเลศ ที่ครอบงำตนเอง
1.อำนาจ
2.ความมั่งคั่ง

คำถาม อำนาจ ตุลาการและ บริหาร ถูกครอบงำโดยใครหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะมี ตุลาการไว้ทำไม่
เราทุกคนในประเทศนี้ ต้องการความยุติธรรม ในเมื่อตุลาการให้ความยุติธรรมแก่เราไม่ได้ ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
และจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐนี้ จะได้รับการคุ้มจากกฏหมายเท่าเทียมกันหรือ
รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจเป็นฉบับไหนๆ ก็รองรับ สิทธิ รองรับความเสมอภาค ในตัวบองบุคคล
แล้วทำไมยังคงมีการแบ่งแยกชนชัน การกีดกันทางสังคม ประเทศไทยที่กำลังพัฒนา กลายเป็นด้อยพัฒนา
แล้วเราจะเอาอะไรไปต่อรองกับนานาประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง

ทั้งนี่ ผมไม่ได้ต้องการที่จะวิจารณ์ หรือทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแก่ประเทศ
ผมเพียงต้องการให้ ตุลาการ และหน่วยงานที่เกียวข้อง ทำหน้าที่ของตนให้ดีหน่อย
อย่าให้ใครเขาด่าเราได้ ว่าไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม หรือท่านเห็นว่าตนมีกฏหมายอยู่ในมือแล้วจะทำอะไรก็ได้
คนจนไม่ได้เรียนกฏหมาย เขาไม่รู้ ท่านก็บอกว่าเขาโง่ นี่หรือผู้ใช้กฏหมาย
บางทีคดีที่ท่านตัดสินไป ชาวบ้านที่ไม่ได้เรียนกฏหมายอย่างพวกท่าน เขาก็อาจตัดสินได้ดีกว่าพวกท่านด้วยซ้ำ
จำขอวอนไปยังทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ท่านอย่าใช้แต่สติปัญญาอย่างเดียว
ท่านต้องใช้จิตใต้สำนึกขั้นพื้นฐาน เรามาพิจารณาด้วย และให้มองถึงความเสมอภาคที่ทุกคนพึงได้รับตามกฏหมาย


...จริงหรือที่กฏหมายทำเพื่อประชาชนทุกหมู่เหล่า...
...กำลังของชาติ...


ที่มา.konthaiuk
************************************************************