ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตผ่าน twitter.com/Thaksinlive ก่อนช่วงเวลาที่จะมีคำพิพากษาในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ว่า "ขอยืนยันว่าเงินทั้งหมดเป็นเงินที่ผมและครอบครัวหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานมันสมองไม่เคยโกงดังที่ถูกกล่าวหา เมื่อปี 2537 แสดงบัญชีไว้กว่า 60,000 ล้าน ไม่ว่าพรุ่งนี้ผลจะเป็นอย่างไร น้ำใจของพี่น้องที่ห่วงใยและคอยให้กำลังใจผม/ครอบครัวนั้นมันยิ่งใหญ่ที่ผมและครอบครัวจะจดจำไปนานแสนนานไม่มีวันลืม"
นอกจากนี้ ยังทวิตถึงน.ส.แพรทองธาร ชินวัตร หรือ อุ๊งอิ๊ง ลูกสาวคนเล็ก เป็นภาษาอังกฤษ ว่า "นอนหลับให้สนิท อย่ากังวลไปเลย เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้นลูกรัก" (Sleep tight, don′t worry. We will be together forever regardless what′s happening loog rak)
ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ โอ๊ค ลูกชายคนโต ทวิตถึงคดียึดทรัพย์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ก.พ. ว่า "วันศุกร์ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า voicetv ถ่ายทอดสดเกาะติดวันพิพากษาจากทุกที่ และที่ดูไบ โดยคุณตวงพร อัศววิไล"
ที่มา:มติชนออนไลน์
**************************************************
วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
** อุ๊แม่เจ้า!!! 7.6 หมื่นล้าน กองสูงกว่าเอเวอเรสต์ !! **
วันตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,621,603,061.05 บาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและคนใกล้ชิด
ถือเป็น “วันหยุดโลก หยุดประเทศไทย” ที่ประชาชนชาวไทยแทบทุกคนรอคอยมาตั้งแต่วันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา
26 กุมภาพันธ์ คนไทยจะนั่งหายใจเข้าหายใจออกก็ ยึด-ไม่ยึด อยู่กันทั้งวันจนกว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาเสร็จ
แม้ว่าประชาชนคนไทยจะได้ยินคำว่า เงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท กันมาจนชินหู และรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
กับการพูดถึงเงิน ที่มีจำนวนมากถึงหมื่นล้านบาท
แต่ไม่ใช่เรื่องที่ชินตาและชินมือ ที่เงินจำนวนมหาศาลนี้จะมากองอยู่ตรงหน้าให้ได้เห็นให้ได้สัมผัส
ลองมานึกดูเล่นๆ ว่า ถ้าเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านกว่าบาท มากองไว้ตรงหน้าจะมีจำนวนมากขนาดไหน
ถ้าวัดความสูงจากพื้นดินจนถึงยอดบนสุดจะสูงถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ที่สูงที่สุดในโลกหรือไม่
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่ความสูง 8,848 เมตร ขณะที่เงินแบงก์พัน 1 ล้านบาทมีความสูง 5 นิ้ว
เมื่อนำเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท มาตั้งเรียงกันจะสูงถึง 3.8 แสนนิ้ว หรือ 9,500 เมตร
เท่ากับว่าเงินก้อนนี้สูงกว่าภูเขาเอเวอเรสต์ 652 เมตร และสูงกว่าตึกเบิร์จ กาลิฟาห์ ของดูไบ ตึกที่ได้ชื่อว่ามีความสูงที่สุดในโลก
ถึง 11.8 เท่า เพราะ เบิร์จ กาลิฟาห์ มีความสูงเพียง 800 เมตรเท่านั้น
สำหรับประชาชนคนเดินดินอย่างเราๆ จะมีโอกาสได้จับเงินก้อนโตมหาศาลบ้างหรือไม่
และถ้าเรามีเงินจำนวนมากขนาดนี้ จะเอาเงินไปทำอะไรดี ต้องใช้อีกกี่ปีถึงจะใช้หมด
ไม่ว่าใครจะเอาเงินไปใช้ทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งแรกที่หลายๆ คนอยากทำคือ “นั่งนับเงิน”
แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้ ต้องใช้เวลากี่วัน กี่เดือน กี่ปีถึงจะนับครบ
พนักงานธนาคารแห่งหนึ่งบอกว่า ปกติธนาคารจะใช้เวลานับเงินประมาณ 4 นาทีต่อเงิน 1 ล้านบาทที่เป็นแบงก์พันทั้งหมด โดยจะนับ 2 ครั้ง
ครั้งแรกจะให้พนักงานนับมือก่อน เพื่อเป็นการตรวจหาแบงก์ปลอมไปในตัวด้วย ซึ่งการนับด้วยมือนันจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3 นาที
ซึ่งก็แล้วแต่ควมสามารถเฉพาะบุคคลว่าจะสามารถนับได้เร็วแค่ไหน
จากนั้นก็จะนำไปนับด้วยเครื่องนับเงินซึ่งจะใช้เวลา 1 นาที รวมเบ็ดเสร็จก็ใช้เวลา 4 นาทีต่อการนับเงิน 1 ล้านบาท
ซึ่งนั่นก็แปลว่าถ้านั่งนับเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท จะต้องใช้เวลามากถึง 30,400 นาที หรือ 5,066.66 ชั่วโมง
หรือ 211.11 วัน หรือ 7.03 เดือน หรือกว่าครึ่งปีกันทีเดียว
โดยการนับต้องอยู่ในเงื่อนไขใช้คนเพียงคนเดียวนับตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีการลุกไปไหนเลย ไม่ต้องกินข้าวกินปลา หรือไม่ต้องเข้าห้องน้ำ
หรือถ้ารู้สึกว่าจำนวนเงินมากเกินไป ขี้เกียจมานั่งนับเงิน แต่อยากรู้ว่าเงินจำนวน7.6 หมื่นล้านบาทนี้มีน้ำหนักเท่าไหร่
ก็ลองเอาเงินมาชั่งน้ำหนักกันดู
เงิน 1 ล้านบาทและเป็นแบงก์พันทั้งหมด จะมีน้ำหนักประมาณ 0.4 กิโลกรัม แปลว่าเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้าน
จะมีน้ำหนักถึง 30,400 กิโลกรัม หรือ 30.40 ตัน !!!!
ซึ่งหากใช้รถบรรทุกขนาด 4 เพลา 8 ล้อ ยาง 12 เส้น ซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่สุดที่กรมทางหลวงอนุญาตให้ขนส่งได้ในน้ำหนักที่ไม่เกิน
30 ตัน ยังไม่สามารถที่จะใช้รถบรรทุกมาขนได้ในรอบเดียว
แต่หากจะมานั่งวัดความยาวดูว่า หากจะนำเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทมาต่อกัน จะได้ความยาวเท่าไหร่
โดยความยาวของแบงก์พันมีขนาด 16.2 เซนติเมตร หากนำมาวางต่อกันจะได้ความยาวถึง 12,312 กิโลเมตร
โอ้วววววว!!! สุโค่ยยยยยยยย มันสามารถนำมาวางบนถนนจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปถึง อ.เบตง จ.ยะลา
ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดและใต้สุดของประเทศ มีระยะทาง 1,640 กิโลเมตร ได้ถึง 7.5 เที่ยว
นอกจากนี้จากข้อมูลของแบงก์ชาติ ระบุว่า ขนาดของธนบัตรใบละ 1,000 บาท มีขนาด 7.2 *16.2 เซนติเมตร
หากนำเงิน 7.6 หมื่นล้านมาวางต่อกันก็จะได้พื้นที่ถึง 88,646.4 ตารางกิโลเมตร ซึ่งสามารถวางทับจังหวัด ที่มีเนื้อที่มากที่สุด
ของประเทศ คือ จ.นครราชสีมา ซึ่งมีเนื้อที่มากถึง 20,493.964 ตารางกิโลเมตรได้ถึง 4.3 เท่า !!!!!!!
หากสามารถนำมาปูทับภาคกลางของประเทศไทยซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 90,100 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ 22 จังหวัด ได้เกือบทั้งภาค
หรือหากนำมาแบ่งให้คนไทยทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนประชากรไทย (ธ.ค.2552) 67 ล้านคน
เฉลี่ยจะได้เงินคนละ 1,134.32 บาท
แต่ถ้าจะแจกจ่ายให้แต่ละครัวเรือนนั้น รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน (6 เดือนแรก ปี 2552) ตกครัวเรือนละ 21,135 บาท
ถ้านำมาแจกจ่ายให้แต่ละครัวเรือน ก็จะแจกได้ถึง 3,595,930 ครัวเรือน
แต่หากจะนำเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์ให้ประเทศ โดยการนำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 (SP1)
วงเงิน 119,000 ล้านบาทของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เงิน 7.6 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 64% ของโครงการ SP1 ทีเดียว
บุษราคัม ศิลปลาวัลย์
***************************************************************************
ถือเป็น “วันหยุดโลก หยุดประเทศไทย” ที่ประชาชนชาวไทยแทบทุกคนรอคอยมาตั้งแต่วันที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษา
26 กุมภาพันธ์ คนไทยจะนั่งหายใจเข้าหายใจออกก็ ยึด-ไม่ยึด อยู่กันทั้งวันจนกว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาเสร็จ
แม้ว่าประชาชนคนไทยจะได้ยินคำว่า เงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท กันมาจนชินหู และรู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
กับการพูดถึงเงิน ที่มีจำนวนมากถึงหมื่นล้านบาท
แต่ไม่ใช่เรื่องที่ชินตาและชินมือ ที่เงินจำนวนมหาศาลนี้จะมากองอยู่ตรงหน้าให้ได้เห็นให้ได้สัมผัส
ลองมานึกดูเล่นๆ ว่า ถ้าเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านกว่าบาท มากองไว้ตรงหน้าจะมีจำนวนมากขนาดไหน
ถ้าวัดความสูงจากพื้นดินจนถึงยอดบนสุดจะสูงถึงยอดเขาเอเวอเรสต์ที่สูงที่สุดในโลกหรือไม่
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ยอดเขาเอเวอเรสต์ ที่ความสูง 8,848 เมตร ขณะที่เงินแบงก์พัน 1 ล้านบาทมีความสูง 5 นิ้ว
เมื่อนำเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท มาตั้งเรียงกันจะสูงถึง 3.8 แสนนิ้ว หรือ 9,500 เมตร
เท่ากับว่าเงินก้อนนี้สูงกว่าภูเขาเอเวอเรสต์ 652 เมตร และสูงกว่าตึกเบิร์จ กาลิฟาห์ ของดูไบ ตึกที่ได้ชื่อว่ามีความสูงที่สุดในโลก
ถึง 11.8 เท่า เพราะ เบิร์จ กาลิฟาห์ มีความสูงเพียง 800 เมตรเท่านั้น
สำหรับประชาชนคนเดินดินอย่างเราๆ จะมีโอกาสได้จับเงินก้อนโตมหาศาลบ้างหรือไม่
และถ้าเรามีเงินจำนวนมากขนาดนี้ จะเอาเงินไปทำอะไรดี ต้องใช้อีกกี่ปีถึงจะใช้หมด
ไม่ว่าใครจะเอาเงินไปใช้ทำอะไรก็ตาม แต่สิ่งแรกที่หลายๆ คนอยากทำคือ “นั่งนับเงิน”
แต่เงินจำนวนมากขนาดนี้ ต้องใช้เวลากี่วัน กี่เดือน กี่ปีถึงจะนับครบ
พนักงานธนาคารแห่งหนึ่งบอกว่า ปกติธนาคารจะใช้เวลานับเงินประมาณ 4 นาทีต่อเงิน 1 ล้านบาทที่เป็นแบงก์พันทั้งหมด โดยจะนับ 2 ครั้ง
ครั้งแรกจะให้พนักงานนับมือก่อน เพื่อเป็นการตรวจหาแบงก์ปลอมไปในตัวด้วย ซึ่งการนับด้วยมือนันจะใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 3 นาที
ซึ่งก็แล้วแต่ควมสามารถเฉพาะบุคคลว่าจะสามารถนับได้เร็วแค่ไหน
จากนั้นก็จะนำไปนับด้วยเครื่องนับเงินซึ่งจะใช้เวลา 1 นาที รวมเบ็ดเสร็จก็ใช้เวลา 4 นาทีต่อการนับเงิน 1 ล้านบาท
ซึ่งนั่นก็แปลว่าถ้านั่งนับเงิน 7.6 หมื่นล้านบาท จะต้องใช้เวลามากถึง 30,400 นาที หรือ 5,066.66 ชั่วโมง
หรือ 211.11 วัน หรือ 7.03 เดือน หรือกว่าครึ่งปีกันทีเดียว
โดยการนับต้องอยู่ในเงื่อนไขใช้คนเพียงคนเดียวนับตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีการลุกไปไหนเลย ไม่ต้องกินข้าวกินปลา หรือไม่ต้องเข้าห้องน้ำ
หรือถ้ารู้สึกว่าจำนวนเงินมากเกินไป ขี้เกียจมานั่งนับเงิน แต่อยากรู้ว่าเงินจำนวน7.6 หมื่นล้านบาทนี้มีน้ำหนักเท่าไหร่
ก็ลองเอาเงินมาชั่งน้ำหนักกันดู
เงิน 1 ล้านบาทและเป็นแบงก์พันทั้งหมด จะมีน้ำหนักประมาณ 0.4 กิโลกรัม แปลว่าเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้าน
จะมีน้ำหนักถึง 30,400 กิโลกรัม หรือ 30.40 ตัน !!!!
ซึ่งหากใช้รถบรรทุกขนาด 4 เพลา 8 ล้อ ยาง 12 เส้น ซึ่งเป็นรถขนาดใหญ่สุดที่กรมทางหลวงอนุญาตให้ขนส่งได้ในน้ำหนักที่ไม่เกิน
30 ตัน ยังไม่สามารถที่จะใช้รถบรรทุกมาขนได้ในรอบเดียว
แต่หากจะมานั่งวัดความยาวดูว่า หากจะนำเงินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทมาต่อกัน จะได้ความยาวเท่าไหร่
โดยความยาวของแบงก์พันมีขนาด 16.2 เซนติเมตร หากนำมาวางต่อกันจะได้ความยาวถึง 12,312 กิโลเมตร
โอ้วววววว!!! สุโค่ยยยยยยยย มันสามารถนำมาวางบนถนนจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ไปถึง อ.เบตง จ.ยะลา
ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดและใต้สุดของประเทศ มีระยะทาง 1,640 กิโลเมตร ได้ถึง 7.5 เที่ยว
นอกจากนี้จากข้อมูลของแบงก์ชาติ ระบุว่า ขนาดของธนบัตรใบละ 1,000 บาท มีขนาด 7.2 *16.2 เซนติเมตร
หากนำเงิน 7.6 หมื่นล้านมาวางต่อกันก็จะได้พื้นที่ถึง 88,646.4 ตารางกิโลเมตร ซึ่งสามารถวางทับจังหวัด ที่มีเนื้อที่มากที่สุด
ของประเทศ คือ จ.นครราชสีมา ซึ่งมีเนื้อที่มากถึง 20,493.964 ตารางกิโลเมตรได้ถึง 4.3 เท่า !!!!!!!
หากสามารถนำมาปูทับภาคกลางของประเทศไทยซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 90,100 ตารางกิโลเมตร กินพื้นที่ 22 จังหวัด ได้เกือบทั้งภาค
หรือหากนำมาแบ่งให้คนไทยทั่วประเทศ โดยข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวนประชากรไทย (ธ.ค.2552) 67 ล้านคน
เฉลี่ยจะได้เงินคนละ 1,134.32 บาท
แต่ถ้าจะแจกจ่ายให้แต่ละครัวเรือนนั้น รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน (6 เดือนแรก ปี 2552) ตกครัวเรือนละ 21,135 บาท
ถ้านำมาแจกจ่ายให้แต่ละครัวเรือน ก็จะแจกได้ถึง 3,595,930 ครัวเรือน
แต่หากจะนำเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์ให้ประเทศ โดยการนำมาใช้ในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 1 (SP1)
วงเงิน 119,000 ล้านบาทของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เงิน 7.6 หมื่นล้านบาทคิดเป็น 64% ของโครงการ SP1 ทีเดียว
บุษราคัม ศิลปลาวัลย์
***************************************************************************
เครื่องเคียงคดียึดทรัพย์
วันนี้บางท่านก็บอกว่าเป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง บางท่านก็บอกว่าเป็นวันไม่ธรรมดาที่จะต้องมีการ ตัดสินคดีสำคัญทางการเมือง และจะเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองอีกวันหนึ่ง นานาจิตตัง
ความเปลี่ยนแปลงหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์จะตามมาอย่างไร เป็นคลื่นใต้น้ำ ยากที่จะคาดเดา ทุกอย่างอาจกลับเข้าสู่ความสงบ หรือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ เป็นไปได้ทั้งนั้น
คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมูลเหตุจากการขายหุ้นจำนวน 1,487.7 ล้านหุ้น มูลค่า 73,269 ล้านบาท ให้กับกองทุนเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 และนำมาซึ่งข้ออ้างในการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยเช่นกัน
ในทางธุรกิจ ในทางกฎหมายข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ลงคะแนนเลือกองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้เมื่อ 2 กันยายน 2551 เป็นจำนวน 9 ท่านด้วยกัน
เนื่องด้วยระยะเวลาในการพิจารณาคดีค่อนข้างจะยาวนานต่อมาได้มี องค์คณะลาออก 4 ท่าน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน และได้มีการตั้งผู้พิพากษาท่านอื่นเข้ามาเป็นองค์คณะจนครบองค์ประชุม
มีข้อโต้แย้งจากฝ่ายจำเลย เกี่ยวข้องกับองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งเป็นเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องมาจากคดีทางการเมืองที่ผ่านมา รวมทั้งข้อกฎหมายที่แตกต่างกันระหว่างรัฐธรรมนูญปี 2540 กับปี 2550 ทั้งอายุผู้พิพากษาและอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีในชั้นศาลต่างๆ สุโขทัยธรรมาธิราช อดีต สสร.แสดงความเห็นกรณีดังกล่าวว่า การพิจารณาคดีจะใช้ระบบการดำเนินคดีอาญาตามปกติทั่วไป ตามวิธีพิจารณาความอาญา และศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นศาลที่ตั้งขึ้นมาเพื่อนักการเมืองโดยเฉพาะเท่านั้น
สำหรับที่มาขององค์คณะที่พิจารณาคดีจะถูกเลือกในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หมุนเวียนกันไป ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิ่งเต้นช่วยเหลือคู่ความ ดังนั้น องค์คณะผู้พิพากษาก็จะพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ว่าจะไม่ยึดทรัพย์ จะยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือคืนบางส่วน
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายก็คือ การขายหุ้นชินคอร์ปฯ ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ หุ้นสัญชาติไทยและหุ้นกระดานต่างประเทศ ให้บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้ง และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ เป็นการขายหุ้นในสัดส่วนเดิมหรือไม่ ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนต่างด้าวในบริษัทชินคอร์ปฯหรือไม่ และแม้ไม่มีการแก้กฎหมายจะมีผลอย่างไรกับการขายหุ้น
มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ
ต้องอาศัยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาประกอบในการพิจารณาคดี ดังนั้น คดีสำคัญที่จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีในวันนี้ ไม่เฉพาะเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองเท่านั้น แต่จะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องระหว่างธุรกิจกับการเมืองทำนองนี้ต่อไปด้วย
บนพื้นฐานความเป็นธรรมและความชอบธรรม.
ที่มา:ไทยรัฐ
คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
โดย.หมัดเหล็ก
*******************************************************************
ความเปลี่ยนแปลงหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์จะตามมาอย่างไร เป็นคลื่นใต้น้ำ ยากที่จะคาดเดา ทุกอย่างอาจกลับเข้าสู่ความสงบ หรือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ เป็นไปได้ทั้งนั้น
คดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีมูลเหตุจากการขายหุ้นจำนวน 1,487.7 ล้านหุ้น มูลค่า 73,269 ล้านบาท ให้กับกองทุนเทมาเส็ก เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 และนำมาซึ่งข้ออ้างในการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ด้วยเช่นกัน
ในทางธุรกิจ ในทางกฎหมายข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรอยู่ที่ดุลพินิจของศาล ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาได้ลงคะแนนเลือกองค์คณะผู้พิพากษาคดีนี้เมื่อ 2 กันยายน 2551 เป็นจำนวน 9 ท่านด้วยกัน
เนื่องด้วยระยะเวลาในการพิจารณาคดีค่อนข้างจะยาวนานต่อมาได้มี องค์คณะลาออก 4 ท่าน ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน และได้มีการตั้งผู้พิพากษาท่านอื่นเข้ามาเป็นองค์คณะจนครบองค์ประชุม
มีข้อโต้แย้งจากฝ่ายจำเลย เกี่ยวข้องกับองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งเป็นเหตุผลที่เกี่ยวเนื่องมาจากคดีทางการเมืองที่ผ่านมา รวมทั้งข้อกฎหมายที่แตกต่างกันระหว่างรัฐธรรมนูญปี 2540 กับปี 2550 ทั้งอายุผู้พิพากษาและอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีในชั้นศาลต่างๆ สุโขทัยธรรมาธิราช อดีต สสร.แสดงความเห็นกรณีดังกล่าวว่า การพิจารณาคดีจะใช้ระบบการดำเนินคดีอาญาตามปกติทั่วไป ตามวิธีพิจารณาความอาญา และศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นศาลที่ตั้งขึ้นมาเพื่อนักการเมืองโดยเฉพาะเท่านั้น
สำหรับที่มาขององค์คณะที่พิจารณาคดีจะถูกเลือกในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา หมุนเวียนกันไป ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิ่งเต้นช่วยเหลือคู่ความ ดังนั้น องค์คณะผู้พิพากษาก็จะพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน ว่าจะไม่ยึดทรัพย์ จะยึดทรัพย์ทั้งหมด หรือคืนบางส่วน
ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายก็คือ การขายหุ้นชินคอร์ปฯ ของบุคคลในครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ ซึ่งมี 2 ส่วนคือ หุ้นสัญชาติไทยและหุ้นกระดานต่างประเทศ ให้บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้ง และบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ เป็นการขายหุ้นในสัดส่วนเดิมหรือไม่ ได้มีการเปลี่ยนแปลงสัดส่วนการถือครองหุ้นของคนต่างด้าวในบริษัทชินคอร์ปฯหรือไม่ และแม้ไม่มีการแก้กฎหมายจะมีผลอย่างไรกับการขายหุ้น
มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ
ต้องอาศัยความเห็นของผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะมาประกอบในการพิจารณาคดี ดังนั้น คดีสำคัญที่จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีในวันนี้ ไม่เฉพาะเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองเท่านั้น แต่จะเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาคดีที่ซับซ้อนเกี่ยวข้องระหว่างธุรกิจกับการเมืองทำนองนี้ต่อไปด้วย
บนพื้นฐานความเป็นธรรมและความชอบธรรม.
ที่มา:ไทยรัฐ
คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
โดย.หมัดเหล็ก
*******************************************************************
"แม้ว"ทิ้งทวนซัดรัฐบาลผู้ชายหรือเปล่าชี้นำยึดทรัพย์ บอก7.6หมื่นล้านได้ก่อนเล่นการเมืองวอนศาลเมตตา

คืนสุดท้ายก่อนศาลตัดสิน "แม้ว"อ้าง7.6หมื่นล้านบริสุทธิ์หวังศาลเมตตา ซัดรบ.ไม่แมนชี้นำศาล-ปิดประตูตีแมว บอกไม่ว่ายึด-ไม่ยึดยังเดินหน้าหาประชาธิปไตย วอน"เสื้อแดง"นั่งฟังอยู่บ้าน
เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการทอล์ค อะราวด์ เดอะเวิลด์ ซึ่งออกอากาศผ่านเว็บไซต์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "พีเพิล ชาแนล" ว่า "ในวันพรุ่งนี้ ( 26 กุมภาพันธ์ ศาลฎีกานัดพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท) เป็นวันสำคัญในชีวิตของผมและประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ผมยังออกรายการปกติอยู่"
"ในวันพรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดียึดทรัพย์และทางอัยการ โดยการบังคับของคตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ) ที่ขอศาลให้เปลี่ยนอายัดเป็นยึด เราได้ร้องค้านไปไม่รู้จะออกไง แต่ดูเหมือนรัฐบาลจะรู้หรือแทรกแซงศาลก็ไม่รู้เพราะนายสาทิตย์ (วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี) ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังศาลมีคำพิพากษารัฐบาลได้เตรียมการประสานช่อง 11 วิทยุชุมนุม กอ.รมน. 4,000 คลื่น เพื่อที่จะถ่ายทอดสดและหลังจากนั้นก็จะเชิญนักการด้านกฎหมาย คตส.มารุมสกรัมผม สรุปแล้วปิดประตูตีแมวหรือไม่" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
"ผมฝากความหวังไว้ที่กระบวนการยุติธรรมว่า ชัดเจนเหลือเกินว่าเงินทองที่ครอบครัวมีมาก่อนเล่นการเมืองหวังว่าศาลจะให้ความเมตตาเรื่องนี้ ผมไม่รู้พรุ่งนี้ผลออกมาไง ผมอาจโดนอะไรไม่รู้ แต่เราต้องเคารพศาลอย่าเพิ่งไปวิจารณ์ แต่รัฐบาลวิจารณ์นำหน้าไปแล้วรู้ว่าจะโดนยึด บอกว่าเหมาะสมที่จะต้องยึด ทั้งที่รัฐบาลรู้ว่าทรัพย์สินเหล่านี้มีมาก่อนเป็นนักการเมือง อยากจะบอกว่าผมเป็นคนโดนกลั่นแกล้งแท้ๆ ยังเก็บอาการอยู่ แต่คนแกล้งเขาเก็บอาการไม่อยู่ ต้องถามว่าเป็นผู้ชายหรือไม่"
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า พี่น้องเสื้อแดงไม่ต้องไปศาลให้นั่งฟังอยู่บ้านอย่างสันติ เพราะตนและครอบครัวไม่ได้ไป รัฐบาลมีเครือข่ายให้ฟังเยอะ ไม่ว่าเกิดอะไร การเรียกร้องต้องมีต่อ เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยด้วยสันติ และใช้กระบวนการด้านรัฐสภา และสิทธิเสรีภาพของประชาชนอันจะเรียกร้องตามประชาธิปไตย เรื่องนี้จะต้องดำเนินการด้วยสันติวิธี
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรวันพรุ่งนี้ ก็ขอให้รู้ว่ายังเป็นคนเดิมที่จะเรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมของสังคมไทยต่อไปเพื่อความผาสุกของพี่น้องทั้งประเทศ และแน่นอนว่าด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ที่มา: มติชนออนไลน์
***************************************************************
คำประกาศแดงสยาม

แดงสยามกำเนิดขึ้นแล้วในเมืองไทย ตามสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวไทย โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใด คนไทยทุกคนที่เคารพในตนเองและผู้อื่น ด้วยจิตใจอันเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง คือสมาชิกโดยธรรมชาติของแดงสยาม
นานมาแล้วที่คนไทยถูกปฏิเสธสิทธิ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยตกเป็นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเชื่อด้วยอำนาจรัฐ แบบเผด็จการ จนลุ่มหลง ในทิศทางอันเป็นมิจฉาทิฐิ ระบบใดๆที่ถูกสร้างขึ้นมาในระบบอันฉ้อฉนย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมทั้งของสังคม และสมาชิกทุกผู้ทุกนาม
เราถูกทำให้เชื่อว่าคนไทยไม่ต้องการความเปลี่ยนแปลงทั้งๆที่ความเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับกฏเกณฑ์ทางประวัติศาสตร์และปรัชญา พื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
เราถูกทำให้เชื่อว่าประชาธิปไตย เป็นเรื่องเลวร้าย พรรคการเมืองไม่ใช่ทางออกสู้ระบอบเผด็จการไม่ได้
เราถูกทำให้เชื่อว่าเศรษฐกิจแบบอุปถัมภ์แบบอำมาตย์เป็นครรลองหลักของวิถีไทย ทั้งๆที่ผู้ชี้นำดำรงสภาพอยู่ในทุนนิยมชนิดล้าหลังและกำปัจจัยที่บันดาลความ มั่นคงทางเศรษฐกิจไว้ทั้งหมด
เราถูกทำให้เชื่อว่าเมืองไทยเป็น ประชาธิปไตยแล้ว ทั้งๆ ที่กองทัพ ตุลาการ พรรคการเมือง ระบบราชการ ระบบการศึกษา สื่อมวลชน เป็นต้น ล้วนสนับสนุนความเป็นเผด็จการแทบทุกมิติ
แดงสยามต้องการให้ปวงชนชาวไทยได้รับสิทธิ เสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดบต่อสู้เพื่อให้เกิดประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นในบ้านเมืองและจะต่อสู้โดยไม่ หยุดยั้งถึงจะใช้เวลานาขนาดข้ามรุ่นข้ามสมัย
โดยประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องมีปัจจัยชี้ขาดดังต่อไปนี้
1. อำนาจสูงสุดต้องเป็นของปวงชนชาวไทย
2. บุคคลต้องมีเสรีภาพอันบริบูรณ์
3. สังคมต้องเสมอภาค
4. กฏหมายต้องศักดิ์สิทธ์และเป็นธรรมด้วยมาตรฐานเดียวกัน
5. ผู้ถืออำนาจรัฐแทนประชาชนต้องมาจากการเลือกตั้ง
ขอเชิญปวงชนชาวไทยได้ตื่นขึ้นรับความสว่างอันเกิดขึ้นจากระบอบประชาธิปไตย และเห็นควมมืดมนของฝ่ายเผด็จการที่ครอบงำสังคมไทยมาจนกระทั่งปัจจุบัน เพื่อสร้างสังคมประชาธิปไตยแท้จริงขึ้นเพื่อตัวเราและปวงชนชาวไทยรุ่นต่อๆ ไป
นี่คือภารกิจ "แดงสยาม"
โดยจักรภพ เพ็ญแข
**************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
** ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ **
-หนังชีวิต 16 มิล ที่ต้องใช้เสียงพากษ์ ยังด้อยพัฒนากว่า “ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม” ภายใต้การนำแสดงของ “อภิสิทธิ์เด็กดื้อ”
กำลังจะลาโรง เพราะไม่มีคนดู รายได้ไม่เข้าเป้า เป็นหนี้เขารุงรัง....
- เป็นบุญของประเทศอย่างไร? ที่ได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องถาม “คนพูด”!! แต่ ประทานโทษ!!
ช่วงนี้คงไม่สะดวก เพราะถูก “เสื้อแดง” รุกหนักเหลือเกิน??.....
- อนิจจา วัตตะสังขารา สังขารไม่เที่ยงแท้หนอ!! ขัดใจมานานปีกว่า ไปไหนมาไหนถูก “คนเสื้อแดง” ไล่ส่งทุกจังหวัดทั้งประเทศ
พอโกรธได้ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ประกาศด้วยความแค้น!! เดือนหน้าจะยกเลิกการใช้น้ำประปาฟรี!! ถือเป็นละครบทเศร้า
อีกบทของประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีเป็น “เด็ก” แล้วก็ “ดื้อ”!!.....
- คนไทยทั่วไปข้องใจ “คำสั่งใคร?” ที่ห้ามเมียทหารใส่เสื้อแดงไปชุมนุม? ขู่ดื้อๆ ใครฝ่าฝืนถูกจับได้ จะไล่ออกจากแฟลตในค่าย
เรื่องอย่างนี้ ที่จะต้องรีบตอบให้ชัดเจน คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่าให้ “ประชาชน” กับ “ทหาร” ถ่างช่องว่างให้กว้างกว่านี้.....
- ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ กระทรวงคลังคาดหวังเอาง่ายๆ จีดีพีไตรมาสแรกปี 53 โตร้อยละ 5 เพราะรัฐบาลไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ
เหมือนปีก่อน แต่แค่เสี้ยววินาทีก็สลดใจ! คนไทยเกิดวิตกกังวล เมื่อรู้ชื่อ รัฐมนตรีมือใหม่หัดขับ ชื่อ กรณ์ จาติกวณิช เพื่อนรัก
อสิทธิ์ เวชชาชีวะ!! ....
- อธิบดีกรมสุขภาพจิต นายแพทย์ชาตรี บานชื่น แนะ!! การบริโภคข่าวสารมากเกินไป จะทำให้คนไทยหงุดหงิดมากขึ้น
ปัญหาทางการเมือง ควรรับข้อมูลทั้งสองด้าน ล่าสุด คนไทยเครียดขึ้นเรื่อยๆ เป็นโรคซึมเศร้า กว่า 3 ล้านคน.....
- “กุหลาบพิษ” จะขอบคุณ “คุณหมอชาตรี” ถ้ากล้าๆ กว่านี้!! ช่วยบอกประชาชนตรงๆ ว่า รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”
จะทำให้เครียดมากกว่ารายการอื่นๆ 3 เท่าตัว ใช่หรือไม่ใช่??...
- หายหน้าหายตาไปพร้อม “เสื้อกั๊กตัวโปรด” มีใครพบเห็น ธีรยุทธ บุญมี ช่วยกระซิบบอกด้วยว่า ให้โผล่หน้าออกมาเสนอไอเดีย
มองเหรียญด้านเดียว อย่างที่ชอบทำ ยามนี้ บ้านเมืองกำลังจะวิบัติบรรลัย นอนหลับทับสิทธิ์อยู่ที่ใหน? โผล่หน้าออกมาทำตัว
เป็นศาสดาอีกเหอะ!! คนไทยอภัยให้ทุกอย่าง!!.....
- ส่วนอีกคนอาจารย์จุฬาฯ ที่ “ดังเปรี้ยงชั่วข้ามวัน” เพราะฉีกบัตรเลือกตั้ง รศ.ดร.ไชยยันต์ ไชยพร ไม่โผล่ออกมาพูดอะไรมั่ง!
หรือมาสัมผัสรัฐบาลที่เกิดจากค่ายทหารชุดนี้ แล้วเกิดชอบใจ ระบอบมาร์ค (ซิสต์) จึงไม่ออกมาขวางคลอง??.....
- กองทัพไทยยังยืนยันและเชื่อมั่นGT 200 ดีกว่าหมา ?? ไม่กี่วันที่ผ่านมา ทหารโคกโพธิ์ ออกตรวจระเบิด เครื่องชี้ระเบิด
ราคา “ล้านกว่า” ทำท่าจะแพ้หมา เพราะหาระเบิดไม่พบ แต่กลับ ระเบิดตูมตามในเวลาต่อมา มีคนบาดเจ็บ 2 คน!!
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะรายงาน ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าอย่างไร??.....
- ถ้าไม่พูดจะน่ารักกว่ามั้ย?? สุเทพ เทือกสุบรรณ ลืมไปหรือไร? วันนี้เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แต่ออกมา
“พล่ามและพล่อย” ประเมิน “ม็อบเสื้อแดง” ต่ำกว่าแสนคนหลังตัดสินคดีทักษิณได้อย่างไร?? มันเหมือนสวมวิญญาณ
“กระดาษติดฝาบ้านอย่างไอ้นาธาน” ที่ไม่ได้ใช้ปากพูด!!....
โดย.กุหลาบพิษ
*********************************************************************
กำลังจะลาโรง เพราะไม่มีคนดู รายได้ไม่เข้าเป้า เป็นหนี้เขารุงรัง....
- เป็นบุญของประเทศอย่างไร? ที่ได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องถาม “คนพูด”!! แต่ ประทานโทษ!!
ช่วงนี้คงไม่สะดวก เพราะถูก “เสื้อแดง” รุกหนักเหลือเกิน??.....
- อนิจจา วัตตะสังขารา สังขารไม่เที่ยงแท้หนอ!! ขัดใจมานานปีกว่า ไปไหนมาไหนถูก “คนเสื้อแดง” ไล่ส่งทุกจังหวัดทั้งประเทศ
พอโกรธได้ที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ประกาศด้วยความแค้น!! เดือนหน้าจะยกเลิกการใช้น้ำประปาฟรี!! ถือเป็นละครบทเศร้า
อีกบทของประเทศที่มีนายกรัฐมนตรีเป็น “เด็ก” แล้วก็ “ดื้อ”!!.....
- คนไทยทั่วไปข้องใจ “คำสั่งใคร?” ที่ห้ามเมียทหารใส่เสื้อแดงไปชุมนุม? ขู่ดื้อๆ ใครฝ่าฝืนถูกจับได้ จะไล่ออกจากแฟลตในค่าย
เรื่องอย่างนี้ ที่จะต้องรีบตอบให้ชัดเจน คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อย่าให้ “ประชาชน” กับ “ทหาร” ถ่างช่องว่างให้กว้างกว่านี้.....
- ตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่ กระทรวงคลังคาดหวังเอาง่ายๆ จีดีพีไตรมาสแรกปี 53 โตร้อยละ 5 เพราะรัฐบาลไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ
เหมือนปีก่อน แต่แค่เสี้ยววินาทีก็สลดใจ! คนไทยเกิดวิตกกังวล เมื่อรู้ชื่อ รัฐมนตรีมือใหม่หัดขับ ชื่อ กรณ์ จาติกวณิช เพื่อนรัก
อสิทธิ์ เวชชาชีวะ!! ....
- อธิบดีกรมสุขภาพจิต นายแพทย์ชาตรี บานชื่น แนะ!! การบริโภคข่าวสารมากเกินไป จะทำให้คนไทยหงุดหงิดมากขึ้น
ปัญหาทางการเมือง ควรรับข้อมูลทั้งสองด้าน ล่าสุด คนไทยเครียดขึ้นเรื่อยๆ เป็นโรคซึมเศร้า กว่า 3 ล้านคน.....
- “กุหลาบพิษ” จะขอบคุณ “คุณหมอชาตรี” ถ้ากล้าๆ กว่านี้!! ช่วยบอกประชาชนตรงๆ ว่า รายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์”
จะทำให้เครียดมากกว่ารายการอื่นๆ 3 เท่าตัว ใช่หรือไม่ใช่??...
- หายหน้าหายตาไปพร้อม “เสื้อกั๊กตัวโปรด” มีใครพบเห็น ธีรยุทธ บุญมี ช่วยกระซิบบอกด้วยว่า ให้โผล่หน้าออกมาเสนอไอเดีย
มองเหรียญด้านเดียว อย่างที่ชอบทำ ยามนี้ บ้านเมืองกำลังจะวิบัติบรรลัย นอนหลับทับสิทธิ์อยู่ที่ใหน? โผล่หน้าออกมาทำตัว
เป็นศาสดาอีกเหอะ!! คนไทยอภัยให้ทุกอย่าง!!.....
- ส่วนอีกคนอาจารย์จุฬาฯ ที่ “ดังเปรี้ยงชั่วข้ามวัน” เพราะฉีกบัตรเลือกตั้ง รศ.ดร.ไชยยันต์ ไชยพร ไม่โผล่ออกมาพูดอะไรมั่ง!
หรือมาสัมผัสรัฐบาลที่เกิดจากค่ายทหารชุดนี้ แล้วเกิดชอบใจ ระบอบมาร์ค (ซิสต์) จึงไม่ออกมาขวางคลอง??.....
- กองทัพไทยยังยืนยันและเชื่อมั่นGT 200 ดีกว่าหมา ?? ไม่กี่วันที่ผ่านมา ทหารโคกโพธิ์ ออกตรวจระเบิด เครื่องชี้ระเบิด
ราคา “ล้านกว่า” ทำท่าจะแพ้หมา เพราะหาระเบิดไม่พบ แต่กลับ ระเบิดตูมตามในเวลาต่อมา มีคนบาดเจ็บ 2 คน!!
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะรายงาน ว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าอย่างไร??.....
- ถ้าไม่พูดจะน่ารักกว่ามั้ย?? สุเทพ เทือกสุบรรณ ลืมไปหรือไร? วันนี้เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แต่ออกมา
“พล่ามและพล่อย” ประเมิน “ม็อบเสื้อแดง” ต่ำกว่าแสนคนหลังตัดสินคดีทักษิณได้อย่างไร?? มันเหมือนสวมวิญญาณ
“กระดาษติดฝาบ้านอย่างไอ้นาธาน” ที่ไม่ได้ใช้ปากพูด!!....
โดย.กุหลาบพิษ
*********************************************************************
** วันที่ถูกจารึก **
วันนี้แล้ว...วันประวัติศาสตร์วันแห่งการยึดทรัพย์ เจ็ดหมื่นหกพันล้าน ของคนในตระกูล ชินวัตร..
เงินและจำนวนมหาศาลของมันไม่ใช่สาระสำคัญของประวัติศาสตร์..แต่มันจะเป็นเริ่มต้นของอวสานของหลักการและเหตุผล
ของผู้คนบนแผ่นดินนี้ เพียงเพราะต้องการหักล้างเอาชนะกันในทางการเมือง..
ผู้ชนะสามารถกระทำการเช่นใดก็ได้อย่างไรก็ได้ กับผู้พ่ายแพ้..มันก็เหมือนกับการปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคหนึ่งของประเทศจีน...
ไม่มีศัตรูคนใดของเจียงจิงและสมุนทั้งสาม..รอดพ้นจากการถูกคุกคามและบุกทำลาย..มาดามเจียงจิงอ้างอิงบางคำพูดของประธานเหมา..
ก่อกรรมทำเข็ญให้กับคนทั้งแผ่นดิน
แต่..ไม่มีความอยุติธรรมใดๆ จะคงทนอยู่ได้...ชีวิตและโลกดำรงตนอยู่ได้ ก็เพราะบนแกนหมุนของมันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง.
.ในที่สุดความถูกต้องชอบธรรมก็จะต้องกลับคืนมา
ทว่ามันเดินมาเหนือหลุมศพของสมาชิกแห่งแก๊งออฟโฟร์..และเชือกคอคนของมาดามเจียงจิง
กลับมาถึงเรื่องราวของการยึดทรัพย์...เงินทั้งสิ้นนั้นมันมาจากหุ้นที่ถูกขาย..และหุ้นที่ถูกขายในขันเดียวกันนั้น
มันไม่ใช่ของ ทักษิณ ชินวัตร..แต่ลำพังมันเป็นกรรมสิทธิ์..ของผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ชอบธรรมตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกสาว ลูกชาย
คุณหญิงผู้ภริยา หรือ บรรณพจน์ ดามาพงษ์..
เขาเหล่านั้น..ไม่ได้เล่นการเมือง ไม่มีอำนาจหน้าที่หรือบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดิน..และทรัพย์สินเหล่านั้นมีมาแล้ว
ก่อนหน้าที่ ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาสู่การเมือง..และทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมาจากอำนาจทางการเมืองของทักษิณ..
และมันเคยมีราคาถึงแสนล้านมาแล้วก่อนหน้า..มันจึงไม่ใช่วัวกินหญ้า..ในทัศนคติของโคหรือควายไม่ว่าผลของมันจะเป็นอย่างไร...
มันก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของประเทศไทย..
มันเป็นผลพวงที่จะชี้ชัดไปในอนาคตของประเทศว่า..ในยุคอันมืดมนยุคหนึ่ง..ประเทศของพวกเขาปี้ป่นลงอย่างไร..
กับการแย่งชิงอำนาจของผู้ทรงอำนาจที่ขาดทั้งหิริโอตัปปะ
มันจะเป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงจากประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งไปสู่อีกประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง
โดย พญาไม้
************************************************************************
เงินและจำนวนมหาศาลของมันไม่ใช่สาระสำคัญของประวัติศาสตร์..แต่มันจะเป็นเริ่มต้นของอวสานของหลักการและเหตุผล
ของผู้คนบนแผ่นดินนี้ เพียงเพราะต้องการหักล้างเอาชนะกันในทางการเมือง..
ผู้ชนะสามารถกระทำการเช่นใดก็ได้อย่างไรก็ได้ กับผู้พ่ายแพ้..มันก็เหมือนกับการปฏิวัติวัฒนธรรมในยุคหนึ่งของประเทศจีน...
ไม่มีศัตรูคนใดของเจียงจิงและสมุนทั้งสาม..รอดพ้นจากการถูกคุกคามและบุกทำลาย..มาดามเจียงจิงอ้างอิงบางคำพูดของประธานเหมา..
ก่อกรรมทำเข็ญให้กับคนทั้งแผ่นดิน
แต่..ไม่มีความอยุติธรรมใดๆ จะคงทนอยู่ได้...ชีวิตและโลกดำรงตนอยู่ได้ ก็เพราะบนแกนหมุนของมันมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง.
.ในที่สุดความถูกต้องชอบธรรมก็จะต้องกลับคืนมา
ทว่ามันเดินมาเหนือหลุมศพของสมาชิกแห่งแก๊งออฟโฟร์..และเชือกคอคนของมาดามเจียงจิง
กลับมาถึงเรื่องราวของการยึดทรัพย์...เงินทั้งสิ้นนั้นมันมาจากหุ้นที่ถูกขาย..และหุ้นที่ถูกขายในขันเดียวกันนั้น
มันไม่ใช่ของ ทักษิณ ชินวัตร..แต่ลำพังมันเป็นกรรมสิทธิ์..ของผู้ที่ถือกรรมสิทธิ์ที่ชอบธรรมตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกสาว ลูกชาย
คุณหญิงผู้ภริยา หรือ บรรณพจน์ ดามาพงษ์..
เขาเหล่านั้น..ไม่ได้เล่นการเมือง ไม่มีอำนาจหน้าที่หรือบทบาทในการบริหารราชการแผ่นดิน..และทรัพย์สินเหล่านั้นมีมาแล้ว
ก่อนหน้าที่ ทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาสู่การเมือง..และทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นมาจากอำนาจทางการเมืองของทักษิณ..
และมันเคยมีราคาถึงแสนล้านมาแล้วก่อนหน้า..มันจึงไม่ใช่วัวกินหญ้า..ในทัศนคติของโคหรือควายไม่ว่าผลของมันจะเป็นอย่างไร...
มันก็จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของประเทศไทย..
มันเป็นผลพวงที่จะชี้ชัดไปในอนาคตของประเทศว่า..ในยุคอันมืดมนยุคหนึ่ง..ประเทศของพวกเขาปี้ป่นลงอย่างไร..
กับการแย่งชิงอำนาจของผู้ทรงอำนาจที่ขาดทั้งหิริโอตัปปะ
มันจะเป็นวันแห่งการเปลี่ยนแปลงจากประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งไปสู่อีกประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง
โดย พญาไม้
************************************************************************
** วันตัดสิน **
และแล้ว “วันนี้” ก็มาถึง!การพิจาณาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้าน ของ “ทักษิณ ชินวัตร” โดยเจ้าตัวมิอาจมานั่งฟังคำตัดสิน
“ต่อหน้า” การอ่านคำของผู้พิพากษาวันนี้ถือเป็นวันสำคัญ...และเป็นวันตัดสินซึ่งต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน “ความยุติธรรม” อันโปร่งใส
และหนักแน่น
แม้ใครจะคิดว่า “ผลตัดสิน” เป็นเรื่องที่ถูกต้อง...ไม่ถูกต้อง...ถูกใจ...หรือไม่ถูกใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง ความคิดเห็น และ
ความรู้สึกส่วนตัว
แต่สำหรับ “ผู้นั่งบัลลังค์” อ่านคำพิพากษา...บุคคลเหล่านี้จะมี “ความพิเศษ” เนื่องด้วยอาชีพที่ใช้ประกอบการ “ทำมาหากิน”
พิเศษตรงไหน? พิเศษตรงที่...เขาสามารถทำจิตใจให้เป็น “สมาธิ” ยึดมั่นใน “อักขระ” ตัวอักษร...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บุคคลที่เป็น “ผู้พิพากษา” ไม่มีใครไม่ให้ “ความเคารพ”
เพราะบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คือ สิ่งที่นำมาตัดสินชีวิตผู้คนจำนวนมาก วันนี้จะมีประชาชนออกมาเต็มทั่วท้องถนน...
มิใช่เพราะเป็นคดีที่มีมูลค่าสูง 76,000 ล้าน...แต่พวกเขายังต้อง “ดำเนินชีวิต” อยู่บนผืนแผ่นดินนี้ กระทั่งวันที่ร่างกายไร้ความรู้สึก
ประชาชนขอเพียง “ความเสมอภาค” ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม...
ทักษิณ ชินวัตร เป็นใคร? แล้วพวกเขาเป็นใคร? หากชะตากรรมของบุคคลมัน “ซ้ำรอย” ประชาชนคนธรรมดาจะทำอย่างไรในอนาคต
หากทุกวันต้อง “สะดุ้งตื่น” กับชีวิตบนประเทศ “ไร้กฎเกณฑ์” และในหัวสมองมีแต่ความกลัว “ผู้มีอำนาจ” ที่ใช้กำลังควบคุมประเทศนี้
ผมเชื่อว่า...ไม่มีอะไรต้อง “กดดัน” กับการจับจ้องมองดูคดีของผู้คนทั่วโลก พวกท่านทำหน้าที่ของความเป็น “ผู้พิพากษา”
ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนอย่างเต็มที่...ทำให้สุดความสามารถ...อย่างเต็มกำลัง
เพราะวันนี้เป็นเพียงวันตัดสิน “คดีความ” ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” แต่วันนี้มิใช่วันตัดสิน “ชะตาชีวิต”
ของคนไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
โดย.ภูผาหิน
******************************************************************************
“ต่อหน้า” การอ่านคำของผู้พิพากษาวันนี้ถือเป็นวันสำคัญ...และเป็นวันตัดสินซึ่งต้องตั้งอยู่บนพื้นฐาน “ความยุติธรรม” อันโปร่งใส
และหนักแน่น
แม้ใครจะคิดว่า “ผลตัดสิน” เป็นเรื่องที่ถูกต้อง...ไม่ถูกต้อง...ถูกใจ...หรือไม่ถูกใจ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียง ความคิดเห็น และ
ความรู้สึกส่วนตัว
แต่สำหรับ “ผู้นั่งบัลลังค์” อ่านคำพิพากษา...บุคคลเหล่านี้จะมี “ความพิเศษ” เนื่องด้วยอาชีพที่ใช้ประกอบการ “ทำมาหากิน”
พิเศษตรงไหน? พิเศษตรงที่...เขาสามารถทำจิตใจให้เป็น “สมาธิ” ยึดมั่นใน “อักขระ” ตัวอักษร...โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บุคคลที่เป็น “ผู้พิพากษา” ไม่มีใครไม่ให้ “ความเคารพ”
เพราะบทบัญญัติแห่งกฎหมาย คือ สิ่งที่นำมาตัดสินชีวิตผู้คนจำนวนมาก วันนี้จะมีประชาชนออกมาเต็มทั่วท้องถนน...
มิใช่เพราะเป็นคดีที่มีมูลค่าสูง 76,000 ล้าน...แต่พวกเขายังต้อง “ดำเนินชีวิต” อยู่บนผืนแผ่นดินนี้ กระทั่งวันที่ร่างกายไร้ความรู้สึก
ประชาชนขอเพียง “ความเสมอภาค” ที่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม...
ทักษิณ ชินวัตร เป็นใคร? แล้วพวกเขาเป็นใคร? หากชะตากรรมของบุคคลมัน “ซ้ำรอย” ประชาชนคนธรรมดาจะทำอย่างไรในอนาคต
หากทุกวันต้อง “สะดุ้งตื่น” กับชีวิตบนประเทศ “ไร้กฎเกณฑ์” และในหัวสมองมีแต่ความกลัว “ผู้มีอำนาจ” ที่ใช้กำลังควบคุมประเทศนี้
ผมเชื่อว่า...ไม่มีอะไรต้อง “กดดัน” กับการจับจ้องมองดูคดีของผู้คนทั่วโลก พวกท่านทำหน้าที่ของความเป็น “ผู้พิพากษา”
ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนอย่างเต็มที่...ทำให้สุดความสามารถ...อย่างเต็มกำลัง
เพราะวันนี้เป็นเพียงวันตัดสิน “คดีความ” ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” แต่วันนี้มิใช่วันตัดสิน “ชะตาชีวิต”
ของคนไทยที่ชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร”
โดย.ภูผาหิน
******************************************************************************
ชินคอร์ปฯ เป็นคำตอบชั้นดี
ชินคอร์ป’ เป็นคำตอบชั้นดี
มาตรฐาน” แห่งความ “เป็นธรรม” ในประเทศนี้ ไม่มี??? “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ขายหุ้นแบบยกล็อต เทขายทอดตลาด
ให้กับ “เทมาเส็ก” ของสิงคโปร์...เพื่อวางระบบ “นักการเมือง” เข้ามา “เล่นการเมือง” ต้องไม่มี “ธุรกรรมอำพราง” ให้แปลกใจ
“คตส.” ของ “นาม ยิ้มแย้ม” ซึ่งเป็นยักษ์มีกระบอง ด้วยอำนาจแต่งตั้ง ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นักปฏิวัติคนดัง
เพราะ “ทักษิณ” ไม่ได้ขายหุ้นให้กับ “สิงคโปร์” ผ่าน “เทมาเส็ก” เพียงบริษัทเดียว... “ดีแทค” ก็เทกระจาดขายต่างชาติเช่นกัน...
“ซีพี” ก็ขายให้กับ “บริษัททรู” ของฮอลแลนด์ “ธนาคารกรุงเทพ” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ฯลฯ ก็ขายหุ้นแก่ต่างชาติ
จนเหลือหุ้นกระจิบกระจ้อย เหมือนกัน!!! ถ้าสอบ..ต้องสอบให้เรียบ....เท่าที่เห็นเขาไล่เหยียบ?...ตามจ้องเสียบ “ทักษิณ” เท่านั้น??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ตีปลาหน้าไซ!!!
ที่ตัดสิน “ยึดทรัพย์ ๗.๖ หมื่นล้าน”...แล้ว “มาร์ค ปากปลาหมอ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่าไม่มีอะไร??? ล้วนเป็นการ “ลดโทน”
ความรุนแรง ทางความคิดของ “มาร์ค” เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบอย่างไรก็ดี, ตัดสิน “ยึด” หรือ “ยกฟ้อง”กระทั่ง “ยึดบางส่วน”
สถานการณ์ก็ไม่จบเพราะที่เขามา “ทวงคืนอำนาจประเทศไทย” จากเหล่า “ อำมาตยาธิปไตย” ที่หนุน “ทายาทอสูร”..
จึงไม่เกี่ยวข้อง กับ “คดียึดทรัพย์”!!!! ถ้า “มาร์ค” ยังเป็น “นายกฯ”......ปัญหาก็แก้ไม่ตก?...เมืองไทยก็ตกนรก อยู่เหมือนเดิม
แหละครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เหยียบบ่า ‘จนหลังแอ่น’!!!
อยู่กับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เคยสร้างเรื่อง ให้เกิดความเจ็บใจ เป็น “แค้นตาแม้น”??? นับจาก “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ”
แหกด่านปราสาทหินพิมาย มารับใช้ “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีแต่เก๊กซิมเจ็บอก
เพราะการจ้องเชือด เรื่องซื้อคอมพิวเตอร์ ๓,๐๐๐ บาท ทำให้ “พรรคภูมิใจไทย” เสียหายยกก๊กและหากมีการส่งเรื่องไปให้ “ปปช.”
แล้วฟันธงลงมาว่าผิดฉกรรจ์....คนของพรรคภูมิใจไทย ไล่เรียงมา ..ไม่ว่า “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล หรือ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ”
น้องเลิฟ ของ “ครูใหญ่เนวิน” ต้องเหงื่อไหลไคลหยด!!!“ประชาธิปัตย์” เขาเล่นไม้แรง....ขืนใครดื้อแพ่ง?...เขาเอาเข้าตะแลงแกง
ทั้งหมด?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เหมือน ‘พยัคฆ์ที่ติดปีก’!!!
รวมตัว รวมพลัง กันเหมือนทุกครั้ง ใครก็สู้ไม่ได้อีก??แต่ว่าวันนี้ “๓ ทหารเสือ” แห่ง “ค่ายบูรพาพยัคฆ์” สายสัมพันธ์หย่อน..
อ่อนตัวลงมาไม่ค่อยจะปึ๋งปั๋ง“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
ยัง ปึ้กปั้ก! แน่นเปรี๊ยะ! รักกันเปรี้ยงปร้าง!ส่วน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. นั่นเป็นคลื่นลูกใหญ่ ที่ทาง
“นายกฯ มาร์ค” เอาใจกันสุดสุด!!!ใครจะเชื่อว่า “บูรพาพยัคฆ์”....ต้องมาแทงกั๊ก...เกิดอาการรักคุด?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ดีแต่จะพูด ‘ปากเปียกปากแฉะ’!!!
แต่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไร้วุฒิภาวะ หยั่งกะ ที่เขาพูด เอาไว้เลยแหละ??ตีแต่ “หน้าไพ่” ลักไก่ กันไป วันๆ
เรียกร้องให้ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาติดคุก กันอยู่นั่นทีกับ “ผู้ก่อการร้าย” ยึดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ
“นายกฯ มาร์ค” หุบปากเงียบเป็นสาก!!!! “ไอ้โจรห่า-ห้าร้อย” ทำชาติยับ.....ไม่เห็นลุยหน้าสั่งจับ?...ไม่คิดขยับทำอะไรมั่ง
เลยหรือ “มาร์ค” ?
โดย.การบูร
***************************************************************************
มาตรฐาน” แห่งความ “เป็นธรรม” ในประเทศนี้ ไม่มี??? “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ขายหุ้นแบบยกล็อต เทขายทอดตลาด
ให้กับ “เทมาเส็ก” ของสิงคโปร์...เพื่อวางระบบ “นักการเมือง” เข้ามา “เล่นการเมือง” ต้องไม่มี “ธุรกรรมอำพราง” ให้แปลกใจ
“คตส.” ของ “นาม ยิ้มแย้ม” ซึ่งเป็นยักษ์มีกระบอง ด้วยอำนาจแต่งตั้ง ของ “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นักปฏิวัติคนดัง
เพราะ “ทักษิณ” ไม่ได้ขายหุ้นให้กับ “สิงคโปร์” ผ่าน “เทมาเส็ก” เพียงบริษัทเดียว... “ดีแทค” ก็เทกระจาดขายต่างชาติเช่นกัน...
“ซีพี” ก็ขายให้กับ “บริษัททรู” ของฮอลแลนด์ “ธนาคารกรุงเทพ” และ “ธนาคารไทยพาณิชย์” ฯลฯ ก็ขายหุ้นแก่ต่างชาติ
จนเหลือหุ้นกระจิบกระจ้อย เหมือนกัน!!! ถ้าสอบ..ต้องสอบให้เรียบ....เท่าที่เห็นเขาไล่เหยียบ?...ตามจ้องเสียบ “ทักษิณ” เท่านั้น??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ตีปลาหน้าไซ!!!
ที่ตัดสิน “ยึดทรัพย์ ๗.๖ หมื่นล้าน”...แล้ว “มาร์ค ปากปลาหมอ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ บอกว่าไม่มีอะไร??? ล้วนเป็นการ “ลดโทน”
ความรุนแรง ทางความคิดของ “มาร์ค” เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบอย่างไรก็ดี, ตัดสิน “ยึด” หรือ “ยกฟ้อง”กระทั่ง “ยึดบางส่วน”
สถานการณ์ก็ไม่จบเพราะที่เขามา “ทวงคืนอำนาจประเทศไทย” จากเหล่า “ อำมาตยาธิปไตย” ที่หนุน “ทายาทอสูร”..
จึงไม่เกี่ยวข้อง กับ “คดียึดทรัพย์”!!!! ถ้า “มาร์ค” ยังเป็น “นายกฯ”......ปัญหาก็แก้ไม่ตก?...เมืองไทยก็ตกนรก อยู่เหมือนเดิม
แหละครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เหยียบบ่า ‘จนหลังแอ่น’!!!
อยู่กับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เคยสร้างเรื่อง ให้เกิดความเจ็บใจ เป็น “แค้นตาแม้น”??? นับจาก “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ”
แหกด่านปราสาทหินพิมาย มารับใช้ “รัฐบาลประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีแต่เก๊กซิมเจ็บอก
เพราะการจ้องเชือด เรื่องซื้อคอมพิวเตอร์ ๓,๐๐๐ บาท ทำให้ “พรรคภูมิใจไทย” เสียหายยกก๊กและหากมีการส่งเรื่องไปให้ “ปปช.”
แล้วฟันธงลงมาว่าผิดฉกรรจ์....คนของพรรคภูมิใจไทย ไล่เรียงมา ..ไม่ว่า “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล หรือ “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ”
น้องเลิฟ ของ “ครูใหญ่เนวิน” ต้องเหงื่อไหลไคลหยด!!!“ประชาธิปัตย์” เขาเล่นไม้แรง....ขืนใครดื้อแพ่ง?...เขาเอาเข้าตะแลงแกง
ทั้งหมด?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เหมือน ‘พยัคฆ์ที่ติดปีก’!!!
รวมตัว รวมพลัง กันเหมือนทุกครั้ง ใครก็สู้ไม่ได้อีก??แต่ว่าวันนี้ “๓ ทหารเสือ” แห่ง “ค่ายบูรพาพยัคฆ์” สายสัมพันธ์หย่อน..
อ่อนตัวลงมาไม่ค่อยจะปึ๋งปั๋ง“บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม กับ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.
ยัง ปึ้กปั้ก! แน่นเปรี๊ยะ! รักกันเปรี้ยงปร้าง!ส่วน “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. นั่นเป็นคลื่นลูกใหญ่ ที่ทาง
“นายกฯ มาร์ค” เอาใจกันสุดสุด!!!ใครจะเชื่อว่า “บูรพาพยัคฆ์”....ต้องมาแทงกั๊ก...เกิดอาการรักคุด?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ดีแต่จะพูด ‘ปากเปียกปากแฉะ’!!!
แต่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไร้วุฒิภาวะ หยั่งกะ ที่เขาพูด เอาไว้เลยแหละ??ตีแต่ “หน้าไพ่” ลักไก่ กันไป วันๆ
เรียกร้องให้ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาติดคุก กันอยู่นั่นทีกับ “ผู้ก่อการร้าย” ยึดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ
“นายกฯ มาร์ค” หุบปากเงียบเป็นสาก!!!! “ไอ้โจรห่า-ห้าร้อย” ทำชาติยับ.....ไม่เห็นลุยหน้าสั่งจับ?...ไม่คิดขยับทำอะไรมั่ง
เลยหรือ “มาร์ค” ?
โดย.การบูร
***************************************************************************
ยึดทรัพย์ ไม่หมู
นับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด พร้อมที่สุดในทุกด้านของพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศในนามคนเสื้อแดงที่จะกำชัยเหนืออำมาตย์ที่ชราภาพและแพ้สงครามที่ลาวและร่มเกล้าของนางเฒ่า ทุกหมู่บ้านในภาคเหนือภาคอีสานเกือบร้อยเปอร์เซ็นเป็นคนเสื้อแดง ชาวปักษ์ใต้และคนภาคกลางรวมทั้งตะวันออกเป็นจากเหลืองเป็นแดงเพิ่มขึ้นทุกวัน ชัดเจนขนาดนี้ย่อมเป็นสัญญานบ่งบอกถึงชัยชนะที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด พร้อมกับนำพาให้ประเทศเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ประกาศก้องให้ชาวโลกได้เห็นตัวอย่างการต่อสู้อย่างทรหดสันติและอดทนรอคอยด้วยความชาญฉลาดของคนเสื้อแดง ใครๆก็รู้ว่าจุดอ่อนของทหารนั้นคือต้องอยู่ในที่แจ้งและสวมเครื่องแบบ จึงไม่สามารถรับมือได้กับการต่อสู้แบบกองโจร หากคนเสื้อแดงบางส่วนเปลี่ยนสีเป็นชาวบ้านทั่วไปในวันลุกฮือและก่อจราจล ถามว่าทหารจะยิงใคร การปฏิวัติของปชช.จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ข้าราชการทหารเลวเพียงไม่กี่คนจะปราชัยและต้องข้อหาเป็นกบฏหากยังไม่ลามือและเลิกสั่งการการกระทำที่ผิดกฎหมายทำร้ายปชช. รวมทั้งต้องรับศึกหลายด้านไม่ว่าจะเป็นพวกเดียวกันเอง นิสิตนักศึกษา คนชนชั้นกลาง และมวลมหาประชาชนคนเสื้อแดงที่อัดแน่นด้วยอุดมการณ์ปชต. จนข้าราชทหารเลวอย่างประยุทธ์ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยได้ และต้องถูกชำระโทษในที่สุด ดังเห็นได้จากถนอมประภาส รวมทั้งกรณีแม่ค้าราชวัตรรุมตีทหาร และไม่สามารถใส่เครื่องแบบขึ้นรถเมล์ลได้มาแล้วครั้งหนึ่งในอดีต
ทักษิณนั้นใช้ความดีและความจริงในการต่อสู้ ทำให้ดูเหมือนจะแพ้แต่ไม่แพ้ ทักษิณเป็นปรากฎการณ์ของเมืองไทยในแง่ของความรักชาติรักประชาชนอย่างเต็มเปี่ยมจริงใจ กินนอนกับชาวบ้าน กางเต้นท์นอนเร่งงานสนามบินสุวรรณภูมิจนแล้วเสร็จ ทำธุรกิจประสบความสำเร็จร่ำรวยจึงเข้ามาเล่นการเมือง ยอมเสียสละความสุขสบายด้วยอุดมการณ์อยากเห็นคนไทยหายจนตามหนังสือตามองดาวเท้าติดดิน เป็นคนไทยระดับโลก เป็นนายกที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยที่เคยมีมา ทั่วโลกยอมรับและให้ความช่วยเหลือแม้ยามตกยาก จนกษิตผู้ก่อการร้ายสากลได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ทักษิณได้ทำให้ชาวบ้านได้รับเงินโดยตรงไม่ถูกหักหัวคิวไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบในกองทุนหมู่บ้านที่ทำให้ได้ฝึกการบริหารงานกันเอง เช่นกลุ่มสัจจะจ.ตราด ชาวบ้านสามารถพบแพทย์และรับการรักษาผ่าตัดได้ด้วยเงินเพียง30บาท ชาวบ้านสามารถฝึกฝนการเป็นนักธุรกิจได้ด้วยโอท็อป ในขณะที่นางเฒ่า ลิ้มโกเต็ก และข้าราชทหารบางคนที่ไม่เคยออกรบ ไม่เคยทำอะไรให้คนไทยนอกจากทำนาบนหลังคน จึงไม่น่าแปลกและไม่มีอะไรซับซ้อนเมื่อความจริงถูกตีแผ่ในโลกยุคไซเบอร์ที่มิอาจปิดกั้น มวลมหาประชาชนคนเสื้อแดงจึงขยายตัวลุกลามมากขึ้นทุกวันที่ผ่านไป ยิ่งนานวันคงไม่ต้องพูดว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนำซ้ำอำมาตย์ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ในเรื่องเขายายเที่ยง และเขาสอยดาว ชาวภาคตะวันออก เยาวราช การรถไฟ หันมาใส่เสื้อสีแดง ความดีที่มีขันติมั่นคง และพูดดีคิดดีของทักษิณนั่นเองเป็นจุดแข็งที่ทำให้ทุกคนยอมรับเลื่อมใส
ทักษิณเป็นนักธุรกิจที่รักษาคำพูด เป็นคนพูดง่าย จิตใจดี เป็นสุภาพบุรุษที่หักหลังใครไม่เป็นและใช้วิธีการสกปรกไม่เป็นเหมือนฝ่ายตรงข้าม ความเมตตาของทักษิณได้แผ่ซ่านเข้าไปอยู่ในใจของคนไทยและเพื่อนๆพี่น้องชาวจปร.ทุกคน จึงไม่แปลกที่ตำรวจ ทหารเรือ และทหารนักรบจะรู้สึกเห็นใจและเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงโค่นล้มอำมาตย์ในที่สุด หากยังปล่อยให้รัฐบาลจอมกู้บริหารประเทศอยู่ เพราะใช้เงินโดยเจตนาหวังอม ทั้งเช็ค2,000บาทช่วยชาติ และเงินประกันราคาที่ไม่มีใครรู้ว่ามีใครได้รับเงินครบหรือไม่ เงิน800,000ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยทวีคูณนั้น เวลาต้องชำระคืนนั้นนานเท่าไหร่กว่าจะหมด และถ้าหาเงินไม่เป็นไม่มีจ่ายจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ประเทศไทยจะกลายเป็นทาสและตกเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติในที่สุดเหมือนอาร์เจนติน่าหรือไม่ ประเทศจะแตกเป็นเสี่ยงแบ่งแยกเหนืออีสานตะวันออกใต้ตามคำทำนายของนิติภูมิหรือไม่ ทุกอย่างเป็นเรื่องใกล้ตัวของพวกเราคนไทยทุกคนที่น่าสะพรึงกลัว ปัญหาที่ส่อเค้าก่อตัวจากการสร้างหนี้ของปชป.ที่อาจทำให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน ทั้งหลายทั้งมวลเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดที่พวกเราคนไทยจะนิ่งนอนใจไม่ได้อีกต่อไป
9เดือนหลังจากสงกรานต์เลือด เสื้อแดงเพิ่มขึ้น แม้ว่าเคยแตกพ่ายและถูกยิงตายที่สามเหลี่ยมดินแดง และได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆเป็นจำนวนมาก แต่การชุมนุมและยอดบริจาคกลับถี่ขึ้นเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นแดงทั่วแผ่นดิน ทำให้เห็นได้ว่าเวลาคนไทยตื่นลุกขึ้นสู้นั้น สู้ขาดใจไม่เหมือนชาติอื่น จนก้าวข้ามผ่านความเป็นความตายไปแล้วขณะนี้ ไม่ว่าข้าราชการทหารจะปฏิวัติหรือไม่ก็ตาม เสื้อแดงก็จะบีบพื้นที่ให้อำมาตย์มีที่ยืนเหลือน้อยลงจนไม่สามารถยืนอยู่ได้อยู่ดี การมีนิสัยชอบทรยศหักหลังคนอื่นเสร็จศึกฆ่าขุนพลของนางเฒ่าตามที่มนูญกฤตได้เขียนจดหมายไว้ จะทำให้ไม่มีใครไว้วางใจนางเฒ่าได้อีก ถามว่าถ้าเปิดบริษัทฯทำการค้าแข่งกัน ทักษิณแบ่งเปอร์เซ็นให้แก่ทุกคนในคดียึดทรัพย์ กับนางเฒ่าจะแบ่งเงินที่ปล้นคนอื่นมาแบ่ง คนที่คิดได้จะเลือกยืนข้างไหน ใครจะกล้าเชื่อนางเฒ่าจอมทรยศหักหลัง ตรงกันข้ามทักษิณรักษาคำพูดและเครดิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นเพราะเป็นนักบริหารนักธุรกิจมืออาชีพแบบเต็มตัว
ที่มา. ประชาไท เวบบอร์ด
*************************************************************************
ทักษิณนั้นใช้ความดีและความจริงในการต่อสู้ ทำให้ดูเหมือนจะแพ้แต่ไม่แพ้ ทักษิณเป็นปรากฎการณ์ของเมืองไทยในแง่ของความรักชาติรักประชาชนอย่างเต็มเปี่ยมจริงใจ กินนอนกับชาวบ้าน กางเต้นท์นอนเร่งงานสนามบินสุวรรณภูมิจนแล้วเสร็จ ทำธุรกิจประสบความสำเร็จร่ำรวยจึงเข้ามาเล่นการเมือง ยอมเสียสละความสุขสบายด้วยอุดมการณ์อยากเห็นคนไทยหายจนตามหนังสือตามองดาวเท้าติดดิน เป็นคนไทยระดับโลก เป็นนายกที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยที่เคยมีมา ทั่วโลกยอมรับและให้ความช่วยเหลือแม้ยามตกยาก จนกษิตผู้ก่อการร้ายสากลได้แต่นั่งมองตาปริบๆ ทักษิณได้ทำให้ชาวบ้านได้รับเงินโดยตรงไม่ถูกหักหัวคิวไม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบในกองทุนหมู่บ้านที่ทำให้ได้ฝึกการบริหารงานกันเอง เช่นกลุ่มสัจจะจ.ตราด ชาวบ้านสามารถพบแพทย์และรับการรักษาผ่าตัดได้ด้วยเงินเพียง30บาท ชาวบ้านสามารถฝึกฝนการเป็นนักธุรกิจได้ด้วยโอท็อป ในขณะที่นางเฒ่า ลิ้มโกเต็ก และข้าราชทหารบางคนที่ไม่เคยออกรบ ไม่เคยทำอะไรให้คนไทยนอกจากทำนาบนหลังคน จึงไม่น่าแปลกและไม่มีอะไรซับซ้อนเมื่อความจริงถูกตีแผ่ในโลกยุคไซเบอร์ที่มิอาจปิดกั้น มวลมหาประชาชนคนเสื้อแดงจึงขยายตัวลุกลามมากขึ้นทุกวันที่ผ่านไป ยิ่งนานวันคงไม่ต้องพูดว่าจะเกิดอะไรขึ้น หนำซ้ำอำมาตย์ไม่สามารถแก้ตัวอะไรได้ในเรื่องเขายายเที่ยง และเขาสอยดาว ชาวภาคตะวันออก เยาวราช การรถไฟ หันมาใส่เสื้อสีแดง ความดีที่มีขันติมั่นคง และพูดดีคิดดีของทักษิณนั่นเองเป็นจุดแข็งที่ทำให้ทุกคนยอมรับเลื่อมใส
ทักษิณเป็นนักธุรกิจที่รักษาคำพูด เป็นคนพูดง่าย จิตใจดี เป็นสุภาพบุรุษที่หักหลังใครไม่เป็นและใช้วิธีการสกปรกไม่เป็นเหมือนฝ่ายตรงข้าม ความเมตตาของทักษิณได้แผ่ซ่านเข้าไปอยู่ในใจของคนไทยและเพื่อนๆพี่น้องชาวจปร.ทุกคน จึงไม่แปลกที่ตำรวจ ทหารเรือ และทหารนักรบจะรู้สึกเห็นใจและเข้าร่วมกับคนเสื้อแดงโค่นล้มอำมาตย์ในที่สุด หากยังปล่อยให้รัฐบาลจอมกู้บริหารประเทศอยู่ เพราะใช้เงินโดยเจตนาหวังอม ทั้งเช็ค2,000บาทช่วยชาติ และเงินประกันราคาที่ไม่มีใครรู้ว่ามีใครได้รับเงินครบหรือไม่ เงิน800,000ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยทวีคูณนั้น เวลาต้องชำระคืนนั้นนานเท่าไหร่กว่าจะหมด และถ้าหาเงินไม่เป็นไม่มีจ่ายจะเกิดอะไรขึ้นตามมา ประเทศไทยจะกลายเป็นทาสและตกเป็นเมืองขึ้นของชาวต่างชาติในที่สุดเหมือนอาร์เจนติน่าหรือไม่ ประเทศจะแตกเป็นเสี่ยงแบ่งแยกเหนืออีสานตะวันออกใต้ตามคำทำนายของนิติภูมิหรือไม่ ทุกอย่างเป็นเรื่องใกล้ตัวของพวกเราคนไทยทุกคนที่น่าสะพรึงกลัว ปัญหาที่ส่อเค้าก่อตัวจากการสร้างหนี้ของปชป.ที่อาจทำให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน ทั้งหลายทั้งมวลเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดที่พวกเราคนไทยจะนิ่งนอนใจไม่ได้อีกต่อไป
9เดือนหลังจากสงกรานต์เลือด เสื้อแดงเพิ่มขึ้น แม้ว่าเคยแตกพ่ายและถูกยิงตายที่สามเหลี่ยมดินแดง และได้รับบาดเจ็บต้องเข้ารับการักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆเป็นจำนวนมาก แต่การชุมนุมและยอดบริจาคกลับถี่ขึ้นเพิ่มมากขึ้น จนกลายเป็นแดงทั่วแผ่นดิน ทำให้เห็นได้ว่าเวลาคนไทยตื่นลุกขึ้นสู้นั้น สู้ขาดใจไม่เหมือนชาติอื่น จนก้าวข้ามผ่านความเป็นความตายไปแล้วขณะนี้ ไม่ว่าข้าราชการทหารจะปฏิวัติหรือไม่ก็ตาม เสื้อแดงก็จะบีบพื้นที่ให้อำมาตย์มีที่ยืนเหลือน้อยลงจนไม่สามารถยืนอยู่ได้อยู่ดี การมีนิสัยชอบทรยศหักหลังคนอื่นเสร็จศึกฆ่าขุนพลของนางเฒ่าตามที่มนูญกฤตได้เขียนจดหมายไว้ จะทำให้ไม่มีใครไว้วางใจนางเฒ่าได้อีก ถามว่าถ้าเปิดบริษัทฯทำการค้าแข่งกัน ทักษิณแบ่งเปอร์เซ็นให้แก่ทุกคนในคดียึดทรัพย์ กับนางเฒ่าจะแบ่งเงินที่ปล้นคนอื่นมาแบ่ง คนที่คิดได้จะเลือกยืนข้างไหน ใครจะกล้าเชื่อนางเฒ่าจอมทรยศหักหลัง ตรงกันข้ามทักษิณรักษาคำพูดและเครดิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นเพราะเป็นนักบริหารนักธุรกิจมืออาชีพแบบเต็มตัว
ที่มา. ประชาไท เวบบอร์ด
*************************************************************************
เฉพาะกิจนับถอยหลังวันพิพากษา
ยึด7.6หมื่นล้าน
ส่งท้ายคอลัมน์ “เฉพาะกิจนับถอยหลังวันพิพากษา ยึด 7.6 หมื่นล้าน” ด้วยปมสำคัญที่จะนำไปสู่การยกหรือยึด ทรัพย์ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ในส่วนข้อสนับสนุนที่ฝ่ายถูกกล่าวหา แย้ง คตส.ว่าไม่ใช่ผู้ถือหุ้น ชินคอร์ป
เริ่มจากมิติแรกในกรณีที่ คตส. มีคำสั่งให้กรมสรรพากร ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ ของนาย พานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา จากบริษัทแอมเพิลริชฯ โดยระบุว่า เป็นการซื้อในฐานะกรรมการบริษัท จึงมีผลตามกฎหมายอย่างชัดแจ้งว่า คตส. ยอมรับว่า หุ้นชินคอร์ปฯ เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลทั้งสองจนก่อให้เกิดภาระภาษีจากการได้ กรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นมา เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้แล้ว หุ้นจำนวน เดียวกันนั้น จึงไม่อาจถูกกล่าวอ้างว่ายังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาในเวลาเดียวกันนั้นได้อีก
มุมมองถัดมา คือหลังจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้แก่ผู้รับโอนไปแล้ว ไม่ปรากฏว่า ทั้งคู่เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท ชินคอร์ปฯ ตั้งแต่โอนหุ้นให้บุคคลดังกล่าวไปแล้ว โดยผู้รับโอนหุ้นเป็นผู้เข้าประชุมผู้ถือหุ้น และมีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้ถือ หุ้นรายใหญ่ของบริษัท และเป็นผู้ได้รับเงินปันผล โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
อีกมิติที่น่าสนใจคือ ไม่มีการนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น ให้แก่กองทุนเทมาเส็คมามอบให้แก่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” คงมีการนำมาชำระเฉพาะเงินค่าหุ้นที่ซื้อไป รวมแล้วเป็นเงินเพียงประมาณ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น หลังจากชำระเงินดังกล่าวเสร็จในต้นปี 2549 เงินที่เหลืออีกเกือบ 70,000 ล้านบาท ก็ยังคงฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของผู้ที่เป็นเจ้าของหุ้นมาเป็นเวลากว่าปีก่อนที่จะถูกอายัด
นอกจากนี้ หากว่ามีการถือหุ้นแทนกันจริง เมื่อนายพานทองแท้ ถือหุ้นที่ซื้อจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ไว้แล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องมาขายให้นางสาวพิณทองทา เป็นผู้ถือหุ้น ต่อไป โดยเฉพาะนางสาวพิณทองทา ก็ ซื้อหุ้นจากพี่ชายถึง 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ ประมาณ 1 ปี คือในปี พ.ศ.2545 และ 2546 เพราะหากเป็นการถือหุ้นแทนจริงก็ไม่ต้องโอนต่อให้แก่คนในครอบครัวเดียว กันอย่างเปิดเผย
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นแทนผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 2,000,000 หุ้นนั้น ถ้าการซื้อขาย หุ้นระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับบุคคลในครอบครัวเป็นการโอนให้ถือหุ้นแทนก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งมาให้นางสาวยิ่งลักษณ์ถือหุ้นแทน เพียง 2,000,000 หุ้น เพราะสามารถโอน หุ้นจำนวน 2,000,000 หุ้น ให้นายพานทองแท้ ซึ่งรับโอนหุ้นไปเป็นจำนวนถึง 30,900,000 หุ้น ถือแทนได้อยู่แล้ว
โดยเนื้อหาในตอนท้าย “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” พยายามชี้ให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาของ คตส. ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ถึงการถือหุ้นแทน อีกทั้งฝ่ายผู้ร้องเองก็ไม่มีพยานบุคคลที่สามารถนำสืบหักล้างพยานเอกสารทางทะเบียนของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านว่าไม่มีการขายหุ้นกันจริง ข้อเท็จจริง ในการไต่สวนทั้งหมดของ คตส. จึงเป็นเพียงการสันนิษฐาน คาดเดา โดยปราศจาก หลักฐาน
ในเมื่อปมการซุกหุ้นคือประเด็นใหญ่ ที่จะนำไปสู่การยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” จึงต้องติดตามกันดูว่าในท้ายที่สุด แล้ว ศาลสถิตยุติธรรมจะเห็นเช่นเดียวกัน ผู้ถูกกล่าวหาหรือให้น้ำหนักไปทางคำร้องของ คตส.
26 ก.พ.นี้ ย่อมได้ข้อยุติ และเมื่อศาลมีพิพากษาออกมาแล้ว ทุกฝ่ายในสังคม ควรให้ความเคารพ เพื่อนำพาประเทศไทย ก้าวพ้นห้วงแห่งความขัดแย้ง เพราะถือว่า คำสั่งศาลเป็นที่สุดแล้ว
ที่มา http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413343317
ส่งท้ายคอลัมน์ “เฉพาะกิจนับถอยหลังวันพิพากษา ยึด 7.6 หมื่นล้าน” ด้วยปมสำคัญที่จะนำไปสู่การยกหรือยึด ทรัพย์ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ในส่วนข้อสนับสนุนที่ฝ่ายถูกกล่าวหา แย้ง คตส.ว่าไม่ใช่ผู้ถือหุ้น ชินคอร์ป
เริ่มจากมิติแรกในกรณีที่ คตส. มีคำสั่งให้กรมสรรพากร ประเมินเรียกเก็บภาษีเงินได้จากการซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ ของนาย พานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา จากบริษัทแอมเพิลริชฯ โดยระบุว่า เป็นการซื้อในฐานะกรรมการบริษัท จึงมีผลตามกฎหมายอย่างชัดแจ้งว่า คตส. ยอมรับว่า หุ้นชินคอร์ปฯ เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลทั้งสองจนก่อให้เกิดภาระภาษีจากการได้ กรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นมา เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้แล้ว หุ้นจำนวน เดียวกันนั้น จึงไม่อาจถูกกล่าวอ้างว่ายังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาในเวลาเดียวกันนั้นได้อีก
มุมมองถัดมา คือหลังจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯ ให้แก่ผู้รับโอนไปแล้ว ไม่ปรากฏว่า ทั้งคู่เข้าไปเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท ชินคอร์ปฯ ตั้งแต่โอนหุ้นให้บุคคลดังกล่าวไปแล้ว โดยผู้รับโอนหุ้นเป็นผู้เข้าประชุมผู้ถือหุ้น และมีชื่อในบัญชีรายชื่อผู้ถือ หุ้นรายใหญ่ของบริษัท และเป็นผู้ได้รับเงินปันผล โดยไม่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
อีกมิติที่น่าสนใจคือ ไม่มีการนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น ให้แก่กองทุนเทมาเส็คมามอบให้แก่ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” คงมีการนำมาชำระเฉพาะเงินค่าหุ้นที่ซื้อไป รวมแล้วเป็นเงินเพียงประมาณ 5,000 ล้านบาทเท่านั้น หลังจากชำระเงินดังกล่าวเสร็จในต้นปี 2549 เงินที่เหลืออีกเกือบ 70,000 ล้านบาท ก็ยังคงฝากไว้ในบัญชีเงินฝากของผู้ที่เป็นเจ้าของหุ้นมาเป็นเวลากว่าปีก่อนที่จะถูกอายัด
นอกจากนี้ หากว่ามีการถือหุ้นแทนกันจริง เมื่อนายพานทองแท้ ถือหุ้นที่ซื้อจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” ไว้แล้ว ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องมาขายให้นางสาวพิณทองทา เป็นผู้ถือหุ้น ต่อไป โดยเฉพาะนางสาวพิณทองทา ก็ ซื้อหุ้นจากพี่ชายถึง 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ ประมาณ 1 ปี คือในปี พ.ศ.2545 และ 2546 เพราะหากเป็นการถือหุ้นแทนจริงก็ไม่ต้องโอนต่อให้แก่คนในครอบครัวเดียว กันอย่างเปิดเผย
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นผู้ถือหุ้นแทนผู้ถูกกล่าวหาจำนวน 2,000,000 หุ้นนั้น ถ้าการซื้อขาย หุ้นระหว่างผู้ถูกกล่าวหากับบุคคลในครอบครัวเป็นการโอนให้ถือหุ้นแทนก็ไม่จำเป็นต้องแบ่งมาให้นางสาวยิ่งลักษณ์ถือหุ้นแทน เพียง 2,000,000 หุ้น เพราะสามารถโอน หุ้นจำนวน 2,000,000 หุ้น ให้นายพานทองแท้ ซึ่งรับโอนหุ้นไปเป็นจำนวนถึง 30,900,000 หุ้น ถือแทนได้อยู่แล้ว
โดยเนื้อหาในตอนท้าย “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” พยายามชี้ให้เห็นว่า ข้อกล่าวหาของ คตส. ไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ถึงการถือหุ้นแทน อีกทั้งฝ่ายผู้ร้องเองก็ไม่มีพยานบุคคลที่สามารถนำสืบหักล้างพยานเอกสารทางทะเบียนของฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านว่าไม่มีการขายหุ้นกันจริง ข้อเท็จจริง ในการไต่สวนทั้งหมดของ คตส. จึงเป็นเพียงการสันนิษฐาน คาดเดา โดยปราศจาก หลักฐาน
ในเมื่อปมการซุกหุ้นคือประเด็นใหญ่ ที่จะนำไปสู่การยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” และ “คุณหญิงพจมาน” จึงต้องติดตามกันดูว่าในท้ายที่สุด แล้ว ศาลสถิตยุติธรรมจะเห็นเช่นเดียวกัน ผู้ถูกกล่าวหาหรือให้น้ำหนักไปทางคำร้องของ คตส.
26 ก.พ.นี้ ย่อมได้ข้อยุติ และเมื่อศาลมีพิพากษาออกมาแล้ว ทุกฝ่ายในสังคม ควรให้ความเคารพ เพื่อนำพาประเทศไทย ก้าวพ้นห้วงแห่งความขัดแย้ง เพราะถือว่า คำสั่งศาลเป็นที่สุดแล้ว
ที่มา http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413343317
** เพราะไว้วางใจ “องค์คณะผู้พิพากษา” **
“ทางสายกลาง” ไม่มีในโลกของนักการเมือง
-วันพรุ่งนี้! คดียึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่สังคมในประเทศและต่างประเทศ “จับตามอง” ไม่มีใครรู้ว่ามันจะ ออกหัว หรือ
ออกก้อย...เว้นแต่พวกที่ชอบออกมาพูดพล่าม “ตั้งธง” ทำตัวเป็น เจ้าเข้าทรง...รู้ไปทุกเรื่อง...แต่ไม่รู้อย่างเดียวนั่นคือ
ความจริง...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่...ผู้มีอำนาจตัดสินคดีความในประเทศนี้ยังมี คนดี และ คนกล้า...ทำดีเพื่อแผ่นดิน และกล้าทำ
ในสิ่งที่ถูกต้อง...26 กุมภา 2553 จะเป็นวันพิสูจน์คำพูด “ถ้ากระบวนการยุติธรรมสิ้นอิสระ ประชาก็ขาดที่พึ่ง” ชัดเจนที่สุด!...
-ด้านแกนนำเสื้อแดง วีระ จตุพร และ ณัฐวุฒิ...ต่างออกมายืนยันจะไม่มีการ “เคลื่อนไหว” เพราะไว้วางใจ “องค์คณะผู้พิพากษา”
ให้ตัดสินกันอย่างเต็มที่...ไม่เข้าไปยุ่ง...ไม่เข้าไปแทรกแซง...เว้นแต่ใครจะมา ไม่มีสิทธิ์ไปห้าม!...เชื่อว่า ความน่าสนใจจะเกิดขึ้น
หลังวันตัดสินคดียึดทรัพย์...เพราะไม่รู้คนไทยหลายพวกจะ...ใช้เลือดล้างด้วยเลือด หรือไม่?... ไพร่ฟ้าหน้าใส กับ กาลี
ผู้ทำให้บ้านเมืองนี้วุ่นวาย...จะต้องสู้รบปรบมือกันไปอีกกี่เดือน อีกกี่ปี หรือสงครามนี้ไม่มีวันจบสิ้น...เพราะฝ่ายมี “อำนาจในมือ”
ยังครอบครอง “กะลา” ใบนี้อย่างเป็นสุข...เลือดล้างด้วยเลือด...มันยิ่ง “สกปรก” น่ะท่าน!...
-ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร...“ปู่ชัย” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัฐสภาพูดไว้น่าคิด!...แย้มด้วยเสียงเบาๆ “ลูกเป็ด” เนวิน อาจพลิกขั้วกลับมา
กอดกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งที่ก่อนหน้าประกาศมั่นไม่มีการ “เผาผี” แถมเปรียบ “ทักษิณ” กับ “สุเทพ” เมื่อก่อนเป็นอย่างไร...
เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร...พูดแบบนี้ทำให้คิดไปไกล...หรือทั้งสองท่านกำลังเป็น “กิ๊ก” มองตาก็รู้ใจกัน?...
-งานนี้คนที่ซวยหนีไม่พ้น “กุมารทอง” มาร์คเด็กดื้อ ต้องใช้ชีวิต “นายกรัฐมนตรี” ตื่นตัว...เพราะไม่รู้ “อีแอบ” คนใดจะเอามีด
มาแทงข้างหลัง...เจ็บลึกไปถึงหัวใจ...วัดผลกันแค่การประชุม ก.ต.ช. ในวันนี้...เพราะเอกสารในมือ “มาร์ค” พร้อมเสนอ ผบ.ตร.
คนใหม่ ชื่อ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” แต่จะไปรอดหรือล่มปากอ่าว...บ่าย 2 โมงนี้รู้กัน!...
-หาก “มาร์ค” ตั้งได้จะได้รับคำชื่นชมจาก “ใครบางคน” ที่คอยนั่งลุ้นนั่งเชียร์...โดยเฉพาะพ่อยกแม่ยก “พันธมิตรฯ”
หากทำไม่ได้ “มาร์ค” จะได้ยินเสียงก่นด่าของคนกลุ่มนี้ว่า...ไม่แข็ง อ่อนหัด คุมไม่ได้ สมควรลาออก...สรุป! ผบ.ตร. เขาตั้งตาม
“หลักการ” หรือ “หลักกู” นายกรัฐมนตรีต้องเดินตามนิ้วชี้ของคนบางคนเท่านั้นหรือ?...
-เสียงแว่วในวง “พันธมิตร” กุหลาบหนามคม “ปอง” อัญชลี ไพรรีรักษ์ ผู้ทำหน้าที่ก่อการดีแห่งพลพรรค “ผ้าคาดเหลือง”
ทำไมประเทศออสเตรเลียไม่เห็นความดีความชอบ...ขอวีซ่าครั้งที่ 3 ไม่ผ่าน!...หรือนี่คือ “ความจริง” ที่ทั่วโลกกำลังประนาม...
ไม่รู้เสียแล้วว่า “เดี๊ยนรู้จักใคร” รัฐมนตรีต่างประเทศหน่ะรู้จักไหม...ทูตโดดเดี่ยวไม่มีใครคบที่ชื่อ กษิต ภิรมย์...
ที่มา:konthaiuk
*************************************************************************
-วันพรุ่งนี้! คดียึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่สังคมในประเทศและต่างประเทศ “จับตามอง” ไม่มีใครรู้ว่ามันจะ ออกหัว หรือ
ออกก้อย...เว้นแต่พวกที่ชอบออกมาพูดพล่าม “ตั้งธง” ทำตัวเป็น เจ้าเข้าทรง...รู้ไปทุกเรื่อง...แต่ไม่รู้อย่างเดียวนั่นคือ
ความจริง...ไม่เชื่ออย่าลบหลู่...ผู้มีอำนาจตัดสินคดีความในประเทศนี้ยังมี คนดี และ คนกล้า...ทำดีเพื่อแผ่นดิน และกล้าทำ
ในสิ่งที่ถูกต้อง...26 กุมภา 2553 จะเป็นวันพิสูจน์คำพูด “ถ้ากระบวนการยุติธรรมสิ้นอิสระ ประชาก็ขาดที่พึ่ง” ชัดเจนที่สุด!...
-ด้านแกนนำเสื้อแดง วีระ จตุพร และ ณัฐวุฒิ...ต่างออกมายืนยันจะไม่มีการ “เคลื่อนไหว” เพราะไว้วางใจ “องค์คณะผู้พิพากษา”
ให้ตัดสินกันอย่างเต็มที่...ไม่เข้าไปยุ่ง...ไม่เข้าไปแทรกแซง...เว้นแต่ใครจะมา ไม่มีสิทธิ์ไปห้าม!...เชื่อว่า ความน่าสนใจจะเกิดขึ้น
หลังวันตัดสินคดียึดทรัพย์...เพราะไม่รู้คนไทยหลายพวกจะ...ใช้เลือดล้างด้วยเลือด หรือไม่?... ไพร่ฟ้าหน้าใส กับ กาลี
ผู้ทำให้บ้านเมืองนี้วุ่นวาย...จะต้องสู้รบปรบมือกันไปอีกกี่เดือน อีกกี่ปี หรือสงครามนี้ไม่มีวันจบสิ้น...เพราะฝ่ายมี “อำนาจในมือ”
ยังครอบครอง “กะลา” ใบนี้อย่างเป็นสุข...เลือดล้างด้วยเลือด...มันยิ่ง “สกปรก” น่ะท่าน!...
-ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร...“ปู่ชัย” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัฐสภาพูดไว้น่าคิด!...แย้มด้วยเสียงเบาๆ “ลูกเป็ด” เนวิน อาจพลิกขั้วกลับมา
กอดกับ “ทักษิณ ชินวัตร” ทั้งที่ก่อนหน้าประกาศมั่นไม่มีการ “เผาผี” แถมเปรียบ “ทักษิณ” กับ “สุเทพ” เมื่อก่อนเป็นอย่างไร...
เดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร...พูดแบบนี้ทำให้คิดไปไกล...หรือทั้งสองท่านกำลังเป็น “กิ๊ก” มองตาก็รู้ใจกัน?...
-งานนี้คนที่ซวยหนีไม่พ้น “กุมารทอง” มาร์คเด็กดื้อ ต้องใช้ชีวิต “นายกรัฐมนตรี” ตื่นตัว...เพราะไม่รู้ “อีแอบ” คนใดจะเอามีด
มาแทงข้างหลัง...เจ็บลึกไปถึงหัวใจ...วัดผลกันแค่การประชุม ก.ต.ช. ในวันนี้...เพราะเอกสารในมือ “มาร์ค” พร้อมเสนอ ผบ.ตร.
คนใหม่ ชื่อ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” แต่จะไปรอดหรือล่มปากอ่าว...บ่าย 2 โมงนี้รู้กัน!...
-หาก “มาร์ค” ตั้งได้จะได้รับคำชื่นชมจาก “ใครบางคน” ที่คอยนั่งลุ้นนั่งเชียร์...โดยเฉพาะพ่อยกแม่ยก “พันธมิตรฯ”
หากทำไม่ได้ “มาร์ค” จะได้ยินเสียงก่นด่าของคนกลุ่มนี้ว่า...ไม่แข็ง อ่อนหัด คุมไม่ได้ สมควรลาออก...สรุป! ผบ.ตร. เขาตั้งตาม
“หลักการ” หรือ “หลักกู” นายกรัฐมนตรีต้องเดินตามนิ้วชี้ของคนบางคนเท่านั้นหรือ?...
-เสียงแว่วในวง “พันธมิตร” กุหลาบหนามคม “ปอง” อัญชลี ไพรรีรักษ์ ผู้ทำหน้าที่ก่อการดีแห่งพลพรรค “ผ้าคาดเหลือง”
ทำไมประเทศออสเตรเลียไม่เห็นความดีความชอบ...ขอวีซ่าครั้งที่ 3 ไม่ผ่าน!...หรือนี่คือ “ความจริง” ที่ทั่วโลกกำลังประนาม...
ไม่รู้เสียแล้วว่า “เดี๊ยนรู้จักใคร” รัฐมนตรีต่างประเทศหน่ะรู้จักไหม...ทูตโดดเดี่ยวไม่มีใครคบที่ชื่อ กษิต ภิรมย์...
ที่มา:konthaiuk
*************************************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)