--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พท.ซัดปณิธาน"เด็กเลี้ยงแกะ"เต้าข่าวน้ำเลี้ยง ร้องให้ลาออก


ที่รัฐสภา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง การธนาคารและสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎร แถลงว่า คณะอนุกรรมาธิการ เศรษฐกิจจุลภาคได้เชิญ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาชี้แจงกรณีพูดถึงการโอนเงินที่ผิดปกติจากต่างประเทศเข้ามาสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเฉพาะกรณีที่อ้างว่ามีการขนเงินผ่านด่านปอยเปต จำนวน 10-20 ล้านบาทต่อวัน โดยได้เชิญตัวแทนจากกระทรวงการคลัง การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมศุลการกร กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ ) และ ปปง.มาร่วมให้ข้อมูล ซึ่งหน่วยงานทั้งหมดชี้แจงตรงกันว่า ไม่พบข้อมูลการขนเงินผ่านมายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่พบการโอนเงินผิดปกติผ่านทางธนาคารตามที่มีการกล่าวหา นอกจากนี้ กรมศุลกากรยังระบุชัดเจนว่าไม่มีการขนเงินผ่านชายแดนปอยแปต รวมทั้งไม่มีความผิดปกติใดๆ หลังจากตรวจสอบทั้งเรื่องวัตถุที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นอุปกรณ์ขนเงิน หรือแม้แต่การตรวจสอบทางกล้องวงจรปิด


นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันกรมสอบสวนคดีพิเศษบอกว่า ยังไม่มีข้อมูล แต่จะไปพบนายกรณ์ จาติกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหน่วยข่าวกรอง เพื่อสอบถามข้อมูลตรงนี้ว่ามีหรือไม่ เป็นเรื่องน่าเสียใจที่นายปณิธานไม่มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการ แต่ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแล้วว่านายปณิธานเป็นเด็กเลี้ยงแกะสร้างเรื่องเต้าข่าว ก็อยากให้ออกมากล่าขอโทษในสิ่งที่พูด เพราะได้สร้างความเสียหายต่อผู้อื่น กล่าวหาโดยปราศจากหลักฐาน สร้างความแตกแยกในสังคม คนเป็นถึงรองเลาขาธิการนายกฯ ควรที่จะต้องรับผิดชอบคำพูด โดยมารยาทแล้ว ต้องพิจารณาตัวเอง โดยการลาออกไปเสีย

ที่มา:มติชนออนไลน์

ผู้พิพากษาในภาค5กว่า100คน ลงชื่อโต้ป.ป.ช.ไร้อำนาจตั้งกก.สอบศาลอยุธยา กรณีออกหมายจับอดีต อ.ดีเอสไอ

คณะข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมในภาค 5 ประกอบด้วย ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ผู้พิพากษาอาวุโสในศาล ผู้พิพากษา ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ศาลจังหวัดเชียงราย ศาลจังหวัดน่าน ศาลจังหวัดฝาง ศาลจังหวัดพะเยา ศาลจังหวัด แพร่ ศาลจังหวัดลำปาง ศาลจังหวัดลำพูน ศาลจังหวัดแม่สะเรียง ศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน ศาลจังหวัดเทิง กว่า 100 คน นำโดย นายเรืองชัย จันทร์แก้วแร่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดเชียงใหม่ ลงชื่อสนับสนุนแนวทางการดำเนินการของสำนักงานศาลยุติธรรม ที่ได้ทำหนังสือแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีตั้งอนุกรรมการไต่สวน นายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (ขณะนั้น) ว่ากระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อหน้าที่ในการยุติธรรม ที่อนุญาตให้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ผู้ต้องหาคดีหมิ่นประมาท โดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ต้องหา

โดยหนังสือสรุปว่า เหตุดังกล่าวได้มีการนำเสนอปัญหากรณีที่ผู้พิพากษา ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอย่างรอบครอบและสุจริตในการออกหมายจับต่อคณะกรรมการข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) และมอบให้นายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม รับไปดูแลเกี่ยวกับการคุ้มครองปกป้องผู้พิพากษาที่ได้ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความรอบครอบและสุจริต จึงขอสนับสนุนสำนักงานยุติธรรม ที่ทำหนังสือแจ้ง ป.ป.ช. ว่า ผู้พิพากษามีดุลพินิจอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายบัญญัติไว้ โดยไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลใด ซึ่งรวมถึงการออกหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากคู่ความไม่เห็นพ้องกับดุลยพินิจก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งได้

การกระทำใดๆไม่ว่าจะเป็นการใช้อิทธิพล โดยมิชอบการชักนำการกดดัน การข่มขู่หรือแทรกแซง ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมจากบุคคลใดเพื่อหวังผลการพิจารณาพิพากษาจึงไม่พึงกระทำ โดยเฉพาะการดำเนินการไต่สวนผู้พิพากษาในลักษณะที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลยพินิจของอนุกรรมการ ป.ป.ช. ในขณะที่ประเด็นข้อพิพาทของคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกา อาจกระทบต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลรวมทั้งหลักประกันความอิสระของผู้พิพากษาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550

พร้อมกันนี้ คณะข้าราชการตุลาการศาลยุติธรรมในภาค 5 ยังได้เป็นกำลังใจให้แก่นายอิทธิพล ผู้พิพากษาซึ่งได้รับผลกระทบต่อความไม่ถูกต้องครั้งนี้ด้วย


ที่มา:มติชนออนไลน์

หมาเฝ้าบ้านไม่เห่า !!!!????

มาเรื่อย ๆ มีแท็กซี่ มี ฮอนด้า ซีวิค เบียดขบวนรถนายกฯบนทางด่วน มียิงเอ็ม 79 ถล่มวิทยาลัยพาณิชย์พระนคร ข้างทำเนียบ วันตรุษจีน ไล่ ๆ กันมีผู้เอา ระเบิดซีโฟร์ หนัก 3 ปอนด์ ทิ้งไว้ ข้างรั้วศาลฎีกา ฝั่งคลองหลอด

ทั้ง 2 เหตุการณ์ เลือกทำวันหยุด ไม่มีใครมาทำงาน เลยไม่มีใครบาดเจ็บ มุ่ง “ป่วนเมือง” เป็นหลัก รายงานลับตำรวจ ยังระบุว่า ก่อน 26 ก.พ. ที่จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน จะมีลอบวางระเบิด 8 จุดสำคัญ

เช่น พระรูปทรงม้า พระที่นั่งอนันต์ฯ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นต้น พูดง่าย ๆ ป่วนเมือง เพื่อบีบให้เจรจา ว่างั้นเถอะ !!!

เกิดเหตุขึ้น ทุกคนนึก เสธ.แดง อีกแล้ว เจ้าตัวเองก็คงรู้ เลยปฏิเสธลั่น ไม่ได้ทำ ถ้าทำ ต้องโฆษณาสินค้า บอกก่อน ล่วงหน้า (บ้าหรือเปล่าเนี่ย) พร้อมโบ้ย ทหารกลุ่มคิดอยากปฏิวัติ 24 ชั่วโมง นั่นล่ะทำ

ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยัน พาณิชย์พระนครไม่ใช่เป้าหมาย เป้าหมาย คือทำเนียบรัฐบาล พร้อมย้ำ ฝ่ายก่อความรุนแรงจะไม่ได้สิ่งที่ต้องการ และยังไม่นำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้

แต่เตรียมการทั้งหมดไว้แล้ว

ที่จริง ระเบิดนี้ ก็ไม่ใช่ครั้งแรก 14 ม.ค. ที่ผ่านมา ก็มีมือมืด ถล่มเอ็ม 79 ใส่บก.ทบ. ใกล้ห้อง ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาแล้ว มีการระบุไปที่ เสธ. แดง แต่เอาเข้าจริง จนป่านนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้

ครั้งนี้ ซีกรัฐบาล และตำรวจ ที่ไม่กล้าระบุ ฝีมือใคร คงกลัวหน้าแหก เพราะ ล่าสุด เรื่องมือปาขี้ ใส่บ้านนายกฯ ก็เคยประโคมข่าวใหญ่โต โยงเรื่องยึดทรัพย์ เสื้อแดงแหง ๆ พูดเป็นตุเป็นตะ จ้าง 3 ล้านมาทำ

เอาเข้าจริง กลายเป็นพ่อค้าของเก่า เมียบอก สติไม่ค่อยดี โกรธตำรวจไม่จับสิงห์อมควัน เลยไปล้างแค้นนายกฯ แทน ไม่มีอะไรโยงเสื้อแดงเลย แต่ก็ไม่เห็นหน้าไหนออกมาขอโทษสักคน

เรื่องยิงเอ็ม 79 เรื่องปาระเบิด ใครทำต้องประณาม สาปแช่งให้ลงนรกซะ แต่บ้านเมืองที่มีแต่ ลับ ลวง พราง จะฟังอะไร ขอฟังหูไว้หูด้วย เพราะสิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่ สิ่งที่ใช่ ก็อาจเป็นเรื่อง ลวงโลก อย่างที่เกิดแล้ว

มาถึงเรื่อง จีที 200 คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ พา คกก. ไปพิสูจน์ด้วยกรรมวิธีพึลึกกึกกือมาก ห้ามนักข่าวเข้าห้องทดสอบ อ้างกลัวคนแยะ อุณหภูมิในห้องจะสูงขึ้น แล้วเครื่องจะหาระเบิดไม่เจอ

เครื่องบ้าอะไรเนี่ย

แล้วคนวางระเบิด จะจ้องซุกแต่ห้องอย่างที่ว่าหรือ มันก็วางไปทั่ว ร้านน้ำชา ตลาด โรงหนัง ธนาคาร ห้างขายรถ ป้อมตำรวจ มีฝนตก แดดออก แถมพลุกพล่านทั้งนั้น แล้วเครื่องบ้านี้ จะทำงานได้หรือ

สรุป ผลจะออกมา ดีเลิศยังไง ก็ฟังไม่ขึ้นแล้ว อีกเรื่อง จะผ่าพิสูจน์เครื่องอย่างที่อังกฤษทำ ก็ไม่ได้อีก อ้างว่า สัญญาระบุไว้ ซื้อแล้ว ห้ามผ่าพิสูจน์ นี่มัน สัญญาปัญญาอ่อน หรือไงเนี่ย

ยิ่งนานวัน ยิ่งชัด จีที 200 พันเครื่อง มูลค่าเกือบ 2,000 ล้าน มีทุจริตแน่ เพราะซื้อกันตั้งแต่ 4 แสน ยัน 1.4 ล้าน น่าแปลก ที่สื่อหยุดขุดคุ้ยดื้อ ๆ ไม่ตามต่อว่า บริษัท เอวิเอ แซทคอม มาจากไหน นายพล “ช” บ้านใหญ่แค่ไหน แล้ว อนุวัฒน์ ล่ะ เป็นใคร

ช่วยกัดไม่ปล่อยต่อไปเถอะ กราบล่ะ ทำหน้าที่ หมาเฝ้าบ้าน ให้สมศักดิ์ศรี หน่อยเถอะ เพราะ หมาแก่ (ขอยืมสำนวน ดนัย เอกมหาสวัสดิ์ มาใช้หน่อย) ตัวนี้ ไม่มีปัญญาทำเองน่ะ???.

ที่มา:เดลินิวส์
ดาวประกายพรึก

** ห้าแสนกับล้านห้า **

สัญญาแบบนี้ก็มีด้วย แค่การยอมรับในสัญญา ก่อนจะลงนามและจ่ายเงินให้กับการจัดซื้อจัดหา จีที 200 ก็แทบจะเอาผู้ลงนาม
ในสัญญาไปเข้าคุกได้แล้ว

มีอย่างที่ไหน..สัญญาระบุว่าผู้ซื้อจะรื้อและแกะอุปกรณ์จีที 200 ไม่ได้

ในข้างกล่องสินค้าทั้งหลาย..เขาจะเขียนไว้ว่า..บริษัทผู้ขายจะไม่ยอมรับผิดชอบหากผู้ซื้อเปิดหลังเครื่องเข้าไป..

แต่สำหรับ จีที 200 ห้ามแกะกล่อง..และดูเหมือนว่า..คณะกรรมการที่ตั้งกันขึ้นมา ก็รักษาสัญญากันอย่างเคร่งครัด
ทั้งๆ ที่การจะลงทุนแกะกล่อง ก็จะเสียหายแค่ราคาเครื่องเท่านั้น เพื่อจะดูว่า..ราคา 1 ล้าน หรือ 1 ล้าน 5 นั้น ราคามันมาจาก
วัสดุอุปกรณ์อะไร หากมันมีแค่กล่องเปล่าๆกับเสาชุบโครเมี่ยม ราคามันจะมาจากไหน..

นาฬิกาแพงๆเรือนละเป็นล้านๆนั้น มันก็สร้างมาจากทองคำทองขาว ข้างในมีทับทิมเป็นหมุดเป็นแกน...

ในทางวิทยาศาสตร์..ราคาของสินค้าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้..วิธีการทำงานของมันต้องอธิบายได้เท่าๆ กับความผิดพลาด

แต่ จีที 200 ได้รับการยกเว้น เอาแต่ความต่างของราคาที่แต่ละหน่วยราชการซื้อมาในราคาที่แตกต่างกันนั้น..ก็น่าจะมีผู้ต้องหา
เกิดขึ้นมาแล้ว..สินค้าชนิดเดียวกันในรูปแบบที่เหมือนกัน ราคามันแตกต่างกันได้อย่างไร ถ้ามันไม่ใช่การหาประโยชน์จากการจัดซื้อ
จัดหา

ประดา..ผู้เข้าร่วมการตรวจสอบและยืนยันว่า จีที 200 ใช้ได้นั้น..วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อความจริงมันยืนยันตัวของมันออกมา..
ท่านจะตกเป็นผู้ต้องหา..เพราะพวกท่านปกปักษ์รักษาผลประโยชน์ของคน มากกว่าผลประโยชน์ของชาติ

ให้วิทยาลัยฝ่ายช่าง...ผ่าเครื่องเข้าไปแล้ว สร้างมันขึ้นมาใหม่..ดูว่ามันจะใช้ได้หรือไม่...ถ้าใช้ได้แบบเดียวกัน แต่ราคามันแค่ร้อยแค่พัน..
จัดซื้อจัดหาเรื่องนี้มั นก็คอร์รัปชั่นขนานแท้

แต่เพราะว่า..จัดซื้อจัดหาเครื่องดังกล่าว..เกิดขึ้นในยุคแห่งการยึดอำนาจ..การยอมรับว่าทุจริตคอร์รัปชั่น..จะพาผู้ยิ่งใหญ่ไปเข้าคุก
ตกเป็นผู้ต้องหา..ก็เลยต้องตะแบงกันไป

แต่ในยุคที่การเมือง จะแพ้ชนะกันแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าแบบนี้ ถ้าฝ่ายชนะยังชนะอยู่ก็ไม่เป็นไร..แต่หากฝ่ายชนะปราชัย..
ท่านกรรมการทั้งหลาย คงต้องเสียหัวเสียคอกันเป็นแถว

ถูกต้อง..ดีเลว..คอร์รัปชั่นหรือไม่..พวกท่านทั้งหลายรู้อยู่กับใจ..แค่ราคาซื้อขายที่ต่างกัน ห้าแสนกับล้านห้า ประตูคุกก็เปิดหราอยู่แล้ว

โดย: พญาไม้

******************************************************************************

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มันผลักให้ผู้พิพากษาศาลยุติธรรมที่เป็นกลางทั่วประเทศ เห็นด้วยกับเคนเสื้อแดงแล้ว

ผู้พิพากษาภาค5ลงชื่อค้านปปช.สอบท่านเปากรุงเก่า
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 ก.พ. นางนุจรินทร์ จันทร์พรายศรี อธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 ได้เดินทางไปตรวจราชการที่ศาล จ.เชียงราย โดยมีผู้พิพากษาในพื้นที่ภาค 5 นำโดยนายเรืองชัย จันทร์แก้วแร่ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย นายวิโรม อินทรสโร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 5 นายวราเชน ชูพงศ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.ฝาง นายชวลิต ศรีสง่า ผู้พิพากษาอาวุโสศาล จ.เชียงราย นายเกียรติศักดิ์ ชัยวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว นายวิชชุพล สุขสวัสดิ์ ผู้พิพากษาศาล จ.เทิง นายสุวิชา สุขเกษมหทัย ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาล จ.เทิง ฯลฯ ให้การต้อนรับและใน

โอกาสนี้ทั้งหมดได้ร่วมกันยื่นหนังสือสนับสนุนนายวิรัช ชินวินิจกุล เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งได้มีหนังสือไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริจแห่งชาติ (ปปช.) ว่าศาลต้องมีดุลพินิจที่เป็นอิสระ หลังจาก ปปช.ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนนายอิทธิพล โสขุมา ผู้พิพากษาศาล จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ได้ออกหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ในข้อหาฐานหมิ่นประมาทไปเมื่อเร็วๆ นี้

นายเรืองชัย กล่าวว่าผู้พิพากษาในภาค 5 ทั้งหมด ซึ่งมีอยุ่จำนวน 22 แห่ง ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อกว่า 100 คน สนับสนุนการดำเนินการของนายวิรัช เพราะเราเห็นว่าผู้พิพากษาต้องมีดุลพินิจที่เป็นอิสระในการพิจารณาโดยเป็นไป ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และไม่อาจมีการแทรกแซงหรือก้าวล่วงจากหน่วยงานหรือบุคคลใด และหากคู่ความไม่เห็นพ้องกับดุลพินิจดังกล่าวก็ยังสามารถใช้สิทธิดำเนินการ ตามกฎหมายได้

นายเกียรติศักดิ์ ชัยวงษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล จ.เชียงราย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว กล่าวว่าการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาต้องมีความเป็นอิสระแต่เป็นไปตามที่ กฎหมายกำหนด สำหรับกรณีของนายอิทธิพลพบว่าได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ โดยได้ใช้ดุลพินิจตามกฎหมาย และได้มีการปรึกษาผู้พิพากษาในศาล จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนแล้วจึงค่อยมีการออกหมายจับดังกล่าว ดังนั้นการที่ถูก ปปช.ตรวจสอบอาจจะมีผลในอนาคตเพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกครอบงำ และดุลพินิจของศาลก็จะถูกเบี่ยงเบนไปจากหลักการได้


ที่มา:ข่าวสดออนไลน์

** 'เฉลิม' ตอกลิ่ม ! อยากเป็นใหญ่ อย่าทำตัว:'นางบังเงา' !! **

“เฉลิม” ไม่เผาผี “เจ๊หน่อย” ลั่นไม่ขอเอ่ยถึงตลอดชีวิต
ปูดเดือนหน้านักการเมืองใหญ่ถูกเชือดคดีทุจริต ยันไม่ได้งอนไม่มีชื่อเป็นนายกฯ
ย้ำรับได้เฉพาะคนในพรรค แขวะ “มิ่งขวัญ” อย่าทำตัวเป็นนางบังเงา อยากเป็นต้องออกแรง

วันที่ 17 ก.พ.2553 ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
แถลงยืนยันว่า ไม่งอนที่ไม่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรี ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะโอกาสใส่ชื่อและ
จะได้เป็นนายกฯ คงต้องรออีก 3 ชาติ บวกอีก 7 ชาติ

ทั้งนี้ ตนขอย้ำว่าจะไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากจะเสนอชื่อคนนอกมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะในพรรคเพื่อไทยก็มีสมาชิก
ถึง 190 คน แต่หาไม่ได้จริงๆ ก็ให้โหวตเลือกคนในพรรค เช่น ถ้าพรรคโหวตเลือกนายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย
หรือแคนดิเดตนายกฯ 5 คน ตนก็ไม่ขัดข้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อตน ตนไม่เคยงอนใครนอกจากภรรยาที่บ้าน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าสมาชิกพรรคเพื่อไทยเสนอให้ร.ต.อ.เฉลิม เป็นนายกฯ จะรับหรือไม่

ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ตนไม่เคยปฏิเสธว่าจะไม่รับ แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีคนนำ และการที่ตนมาทำหน้าที่
คณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็ไม่ใช่ผู้นำอภิปราย

ดังนั้น คนอยากจะเป็นนายกฯ ไม่ใช่มานั่งเฉยๆ อย่างนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ได้แต่นั่งจิบน้ำชา
ข้างเวทีแล้วรอส้มหล่น อยากเป็นใหญ่จะต้องแสดงบทบาท อย่าทำตัวเป็นนางบังเงา บัวบังใบ ไม่ทำอะไรแล้วทำให้พรรคมีปัญหา

ทั้งนี้ ที่ผ่านมายอมรับว่ามีความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง จะให้คนนอกมาเป็นนายกฯ ซึ่งถ้าทำเช่นนี้ก็ทำให้พรรคเสียแนวทางการเมือง

เมื่อถามว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ออกมาระบุว่าไม่ได้สกัดดาวรุ่ง

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนไม่อยากพูดถึงคุณหญิงสุดารัตน์ เพราะตนไม่ใช่ดาวรุ่ง ดาวค้างฟ้า ดาวสภา และในชีวิตทางการเมืองของตน
จะไม่เอ่ยชื่อคนๆ นี้อีกเลย

“เมืองไทยเป็นพุทธ ใครซื่อสัตย์สุจริต ชีวิตก็จะเจริญ แต่ถ้าใครปลิ้นปล้อน ทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ให้เป็นเรื่อง บางคนเข้าพรรค
สัปดาห์ละ 3 วัน แล้วเรียกนั่งเป็นประธานเรียกกรรมการใดๆ มาประชุม พอเอาเข้าจริงกลับบอกว่า ไม่เคยเข้าพรรค
ถ้าผมเข้าใจผิด หรือใส่ร้าย ก็ขอให้ความวิบัติมาเกิดกับผม อย่าได้เจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าคนปลิ้นปล้อนและกล่าวเท็จต่อสื่อมวลชน
ก็ขอให้ความวิบัติเกิดกับคนๆ นั้น

อย่านึกว่าผมไม่รู้ว่า ใครโทรศัพท์ไปล็อบบี้ให้ใครมาใส่ร้ายผม แต่ที่ผมภูมิใจในชีวิตการเมืองไม่เคยมีเรื่องทุจริต ซึ่งตั้งใจว่า
อายุ 65 ปี จะเลิกเล่นการเมือง และในสมัยรสช.ยึดอำนาจ ทหารไปค้นบ้านผม พบเงิน 8 แสนบาท

แต่เมื่อคราวปฏิวัติ 19 ก.ย.49 มีนักการเมืองบางคน ถูกค้นบ้านและถูกยึดเงินไป 800 ล้านบาท คนเราเล่นการเมือง
ต้องรู้ตัวว่ามีเรื่องทุจริตหรือไม่ บางคนลอยหน้าลอยตาในสังคม แต่พอกลับบ้านเอามือก่ายหน้าผาก เพราะความตายมาถึงแล้ว
เพราะเดือนหน้า (มีนาคม) จะมีการฌาปนกิจศพนักการเมืองบางคน เพราะมีเรื่องทุจริต” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว


ปชป.เย้ยพท.แย่งเก้าอี้นายกฯสมมุติ จี้ “แม้ว” ฟันธง ไม่ใช่นั่งบนภูดูหมากัดกัน

ที่รัฐสภา นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
กล่าวถึง กรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า

ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมา 1 ชุด โดยมีคณะทำงานรวม 33 คน
มีนายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก เป็นประธาน

ทั้งนี้ อยากให้พรรคเพื่อแสดงความเป็นเอกภาพ โดยระบุวันที่จะยื่นอภิปรายที่ชัดเจน เพราะที่ผ่านมาต่างคนต่างพูด
และตนเห็นด้วยที่จะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้นำในการอภิปราย แต่ ร.ต.อ.เฉลิม ต้องทำใจ เพราะพรรคเพื่อไทย
มีระบบนายใหญ่ นายหญิง มีระบบที่ผูกพันลึกซึ้ง แต่ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นเพียงข้าทาส หรือบ่าวนาย จึงต้องทำใจ

อย่างไรก็ตาม แค่ตั้งนายกฯสมมุติ ก็ยังแย่งกันถึงขนาดนี้ หากตั้งนายกฯจริงจะแก่งแย่งกันขนาดไหน
จึงอยากให้นายใหญ่ฟันธงไปเลย อย่าทำตัวที่ชาวบ้านบอกว่านั่งอยู่บนภูดูหมากัดกัน

ที่มา:konthaiuk

****************************************************************************

ความชอบธรรม

ประชาชนต่างเอือมระอากับข่าวการเมืองขณะนี้ เพราะไม่รู้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ แม้แต่ข่าวสารที่ออกจากรัฐบาลก็ยังเชื่อถือไม่ได้ เพราะคนของรัฐและสื่อของรัฐแทนที่จะนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาและเป็นไปในทางที่สร้างสรรค์ กลับให้ข่าวไม่ต่างกับการโฆษณาชวนเชื่อและปลุกระดม โดยเฉพาะคนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างนายกรัฐมนตรี

สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้จึงอึมครึมและสับสน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากรัฐบาล แม้แต่การตั้งด่านสกัดและตรวจสอบการเคลื่อนไหวของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด การตั้งคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคง (คตม.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ปลัดกระทรวง และหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นกรรมการ เพื่อติดตามสถานการณ์และตรวจสอบการดำเนินการในเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจดูเหมือนเป็นการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความไม่สงบหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

แต่หากรัฐบาลและคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรียังออกมาสร้างข่าว ปล่อยข่าว หรือตอบโต้ข่าว ก็ยิ่งเป็นการยั่วยุให้คนเสื้อแดงออกมาชุมนุมและต่อต้านรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมือง หรือสร้างความชอบธรรมที่จะให้กองทัพทำการรัฐประหาร ซึ่งสามารถทำได้ตลอดเวลา

ดังนั้น หากคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมอย่างสันติวิธี รัฐบาลก็ต้องเคารพสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม และต้องดูแลความสงบเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวาย หรือต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับทุกฝ่ายที่กระทำผิด

แต่ไม่ใช่รัฐบาลเป็นฝ่ายสร้างข่าว กุข่าว หรือเข้าไปเป็นฝ่ายที่ขัดแย้งเสียเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจและกฎหมายเข้าปราบปรามประชาชน ทั้งที่สถานการณ์ขณะนี้ก็ไม่มีวี่แววว่าคนเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรงเลย นอกจากประกาศว่าจะเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่อย่างสันติเพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน ไม่เกี่ยวกับการกดดันคณะตุลาการในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเลย

แต่ที่มีปัญหาขณะนี้เพราะคนใกล้ชิดและคนรอบข้างนายกรัฐมนตรีและสื่อของรัฐที่ออกมาให้ข่าว สร้างข่าวอย่างต่อเนื่องในลักษณะให้เกิดความเกลียดชังคนเสื้อแดงและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลหากจะมีการใช้กำลังเข้าปราบปราม



โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

"เสธ.แดง"จี้ผบ.ทบ.รับผิดชอบจีที 200 ลั่นต้องแจก"ของลับ"


พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งยกเลิกการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 ว่า ตนเคยดูการทดสอบใช้ที่ อ.บันนังสตา จ.ยะลา ยังสงสัยว่าจะตรวจได้หรือ เพราะเสาอากาศเหมือนเสาวิทยุบ้านหม้อ ตัวกระบอกเป็นพลาสติกหล่อ ไม่มีทรานซิสเตอร์เป็นกระป๋อง แล้วเอาการ์ดใบละสามบาทใส่เข้าไปเขย่าเพื่อส่งสัญญาณ ดูแล้วเหมือนกล่องเขย่าเซียมซี ตนเอากระสุนปืนและระเบิดวาง แต่ก็ตรวจไม่พบ

"มีอย่างที่ไหนใครเขาเดินหน้าลอยเฉิบๆ ตรวจระเบิด เอาหน้าเข้าไปหาระเบิดห่างแค่คืบเดียว เพราะปกติต้องใช้มีดแซะค่อยๆ หากว่าจะกู้ได้ค่อนข้างยาก แต่ที่ไหนได้จีที 200 เจ้าหน้าที่ต้องกินข้าวให้อิ่ม นอนให้หลับเดินเข้าหาระเบิด พอเอียงหน่อยถึงจะชี้ไปที่เป้าหมาย มันเป็นการตรวจระเบิดที่ปาหี่ ถามว่าราคา1.5 ล้านบาทอย่างนี้ต้องเอาของลับให้มันไป มีที่ไหนเครื่องกระป๋องอย่างนี้ราคาแพง เขย่ากันเหมือนกล่องเซียมซี สรุปแล้วใช้ไม่ได้" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวถึง พญ.คุณหญิง พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ระบุเครื่องจีที 200 ไม่ใช่อุปกรณ์หลักในการตรวจวัตถุระเบิดว่า เดิมหมอพรทิพย์เป็นหมอตรวจพยาธิ บรรดาอาจารย์ศิริราช เคยออกมาด่า ต่อมาเป็นหมอผ่าศพ ก็แปลกอยู่แล้ว จากหมอพยาธิมาเป็นหมอผ่าศพ ซ้ำยังมาเป็นหมอตรวจระเบิดอีก แล้ววันนี้มาเป็นหมอตรวจบัตรเอทีเอ็ม.กล่องเซียมซี จีที 200 สงสัยมันจะบ้ากันใหญ่แล้วถ้าไปเชื่อหมอพรทิพย์

เมื่อถามว่า พล.อ.อนุพงษ์​เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ต้องรับผิดชอบใช่หรือไม่ พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ตนเคยบอกมาเมื่อ 3 ปีที่แล้วว่าเรื่องนี้สงสัยมีคอมมิชชั่นเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ไม่มีคนเชื่อ เพราะราคาเครื่องละไม่น่าถึงหนึ่งพันบาท แพงเกินความจริง งานนี้เป็นการต้มกันระดับชาติพวกปัญญาอ่อน ผู้บัญชาการทหารบก ต้องรับๆไปเต็มในฐานะผู้จัดซื้อจัดหา เมื่อมีการสอบสวนเกิดขึ้น ผู้บัญชาการทหารบก ก็รับไปเต็มๆ คนเป็นผู้บัญชาการทหารบกจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะแจกจ่ายไปให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใช้งาน คดีอย่างนี้ต้องมีคนไปแจ้งความแล้วสู้คดีกันอีก 10 ปีก็ยังไม่เสร็จยื้อไปอีกนาน พอดีกับผู้บัญชาการทหารบกเกษียณอายุราชการไปเสียก่อน

ที่มา:มติชนออนไลน์

** ชิงสุกก่อนห่าม! **

ยังอยู่ในโลกของ “หล่อหลักลอย” และ “อีแอบใหญ่” เพราะตราบใดที่ยังไม่เกิด “สงครามครั้งสุดท้าย” ก็ยังไม่รู้ว่าใครแพ้ ใครชนะ
และยังนับศพประชาชนที่เป็น “เหยื่อบริสุทธิ์” ไม่ได้

10 วันอันตรายนับแต่นี้ไป ต้องจับตาดูให้ดีว่าใครจะเป็นฝ่ายที่ฆ่าประชาชน หรือสร้างสถานการณ์ให้ฆ่าประชาชน

เพราะกลุ่ม “อีแอบใหญ่” ยืนยันให้ “หล่อหลักลอย” ต้อง “ตัดไฟแต่ต้นลม” อย่างที่ “ปิศาจคาบไปป์” ปลุกผีคอมมิวนิสต์ว่า
พวก “เด็กไม่มีเส้น” เสื้อแดงวันนี้ไม่ใช่ชุมนุมแบบปรกติ แต่มีการจัดตั้งทั้งมวลชน แนวร่วม และกองกำลังมวลชนในจังหวัดต่างๆ
เหมือนพรรคคอมมิวนิสต์ในอดีต ที่ถือว่าน่ากลัวมาก

เฉพาะในกรุงเทพฯชุมนุมแค่ 50,000 คน แต่ 40,000 คน กระจายไปตามจุดเป้าหมาย ดาวกระจายเหมือน “เด็กเส้น” เสื้อเหลือง
ปิดล้อมจุดสำคัญแห่งละ 10,000 คน 4 แห่ง ส่วนอีก 10,000 คน เป็นกองกลางสนับสนุน แค่นี้กรุงเทพฯก็ “ใบ้กิน” เป็นอัมพาตทั่วกรุงแล้ว

คิดเองเออเองเหมือน “นกรู้” เหมือนกรณีระเบิดขณะนี้ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการส่งสัญญาณเพื่อให้ “หล่อหลักลอย” เลิก “เกาะโพเดียม” และ
เลิกกลัว “ก๊วนร่วมแก๊ง” จะหักหลัง แล้วหันมาใช้ “ของแข็ง” เล่นงาน “เด็กไม่มีเส้น”

เพราะแม้แต่ “สีเขียว” ยังถูกเปรียบเปรยเหมือนคาวบอยขี่ม้าพยศโชว์ไปวันๆ แค่ขี่ไม่ให้ตกจากหลังม้า ไม่ทำอะไรเลย
แต่ “ปิศาจคาบไปป์” ไม่ได้บอกว่าทำไมจึงเป็น “เขียวดื้อ” ไม่เชื่อฟัง “อีแอบ”

“อีแอบ” และพวกพ้องจึงชูรักแร้เป็นเอกฉันท์ ถ้าจำเป็นก็ต้องลอยแพทั้ง “หล่อหลักลอย” และ “เขียวดื้อ” เพื่อหา “จ๊อกกี้” คนใหม่
มารับใช้เยี่ยง “ทาสในเรือนเบี้ย” แทน

อย่างไรก็ตาม สงครามครั้งนี้ต้องล้าง “โดเรแม้ว” และพวกพ้องให้สะเด็ดน้ำให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจตามปรกติหรืออำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

แม้แต่อำนาจ “นอกระบบ” เพื่อเอามาอ้างความชอบธรรมในการใช้ “ศาลเตี้ย”!

ใครที่ออกมายืนยัน นั่งยัน และนอนยันว่าไม่มี “วงจรอุบาทว์”

“เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” จะไม่ลากรถถังและปืนออกมาฆ่าประชาชน

จึงโกหกหน้าด้านๆ เพราะถ้ามั่นใจขนาดนั้น โดยเฉพาะ “หล่อหลักลอย” และ “บิ๊กป๊อก” ต้องทำ “ป้ายยักษ์” ทุกมุมเมืองเลยว่า
“จะไม่มีวงจรอุบาทว์เด็ดขาด” ถ้า “ใครทำก็เห่ย...ยิ่งกว่าเสือเอ๋ง”

ส่วนประชาชนที่รักประชาธิปไตยก็ต้องออกมาชุมนุมทุกสี่แยก หรือศูนย์กลางชุมชน หยุดงานและไม่ร่วมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “พวกเห่ย”

“สงครามครั้งสุดท้าย” ของ “อีแอบ” จะทำให้บ้านเมือง “เลือดนองแผ่นดิน” หรือไม่ จึงอยู่ที่พลังของประชาชนที่รัก “ประชาธิปไตย”
และ “ความยุติธรรม” อย่างแท้จริง

เพราะโลกใบเล็กนิดเดียว ถ้า “อีแอบ” จะ “ชิงสุกก่อนห่าม” อยู่อย่าง “ทรราช” ได้ก็ให้มันรู้ไป!

โดย:นายหัวดี

**********************************************************************

** ใครเหนือกว่ากัน !!!! **

ช่วงนี้ใครเป็นคอการเมืองก็คงนั่งแทบไม่ติดพื้น เพราะต้องออกแรงลุ้นแรงเชียร์ ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงิน หรือ
เอาใจช่วย “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ว่าจะเอาตัวรอดจากขบวนการโค่นล้มรัฐบาลได้หรือไม่

แต่ถ้าให้คะแนนกันช่วงนี้ ต้องบอกได้ว่าการออกมา เปิดเผยข้อมูลของ แกนนำ นปช. ดูจะมีหลักฐานและน้ำหนักทำให้คนทั่วไป
เชื่อถือได้มากกว่า

คงเป็นเพราะ “วอร์รูม” ของนายใหญ่ มีทั้งตำรวจ ทหาร ข้าราชการที่เคยได้ดิบได้ดี ในช่วง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” เป็นใหญ่เป็นโต
ทางการเมือง แถมยังได้บุคคล หลากหลายอาชีพเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดวางยุทธศาสตร์ ประสิทธิภาพจึงไม่ธรรมดา เอาเป็นว่า
บุคลากรที่เข้ามาช่วยงาน อยู่ในหน่วยงานหลักที่ดูแลงานทางด้านความมั่นคง เอ่ยชื่อออกมาหลายคนคงนึกไม่ถึง

อย่างล่าสุดที่ “นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ออกมาตอบโต้ข้อหา “สู้แล้วรวย” และโชว์หลักฐานซึ่งเกี่ยวพันกับเงินบริจาคของ
“พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

แม้ว่าล่าสุดจะมีคำชี้แจงของนักธุรกิจที่ถูกพาดพิงว่า เป็นเงินที่ใช้ทำบุญร่วมกัน พร้อมทั้งแสดงหลักฐานว่าเส้นทางเงินไปอยู่ตรงไหน
ก็ต้องถือว่าประสิทธิภาพของ นปช. ไม่ธรรมดา ขนาดไม่ได้อยู่ในฝ่ายคุมกลไกอำนาจรัฐ ยังค้นหาหลักฐานสำคัญนำมาดิสเครดิต
ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้

ขณะที่ “วอร์รูม” ของพรรคประชาธิปัตย์ เท่าที่ผมติดตามความเคลื่อนไหว ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นการตอบโต้ หรือจุดประเด็นกล่าวหา
ฝ่ายตรงข้าม ส่วนใหญ่ล้วนแต่ เต็มไปด้วยโวหารและฟองน้ำลาย ไม่มีหลักฐานอะไรที่พอจะจับให้มั่นคั้นให้ตาย
ก็เห็นจะมีแต่เรื่อง นปช. บางคนใช้บริการของการบินไทย โดยมีข้อครหาว่าไม่ยอมซื้อตั๋วเครื่องบิน แต่เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนฟ้องร้อง
กันอยู่ในศาล

หรืออย่างล่าสุดที่มีการที่สมาชิกพรรคแกนนำรัฐบาลคนหนึ่งออกมาปูดข่าวว่า มีนักธุรกิจหรือนักการเมืองสนับสนุนทางการเงิน นปช.
ประกอบด้วย 1 “ส” ซึ่งเคยมีฐานะเป็นอดีตรัฐมนตรี 2 “พ” อดีตรัฐมนตรีและนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3 “ป” นักธุรกิจเครื่องดื่มชื่อดัง
4 “ส” เจ้าของห้างสรรพสินค้า และ 5 “ว” ทนายความ คอยทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์

พออ่านข่าวทีแรกหลายคนคงรู้สึกตื่นเต้น ยิ่งโฆษกพรรคประชาธิปัตย์อธิบายเส้นทางการโอนเงินด้วยวิธีการหรือรูปแบบต่าง ๆ
แต่พอซักไปซักมา ก็ยังไม่มีหลักฐานอะไร ที่พอจะเชื่อมโยง ให้ได้เห็นชัดว่า เกี่ยวข้องกับใครบ้าง ซึ่งกำลังอยู่ขั้นตอนการตรวจสอบ
ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่

แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” หรือการให้เงินสนับสนุนกับบรรดาแกนนำ นปช. หรือคนเสื้อแดง ผมคิดว่า “พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร”
อดีต ผบ.สส. ดูจะพูดจามีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมากที่สุด กับการออกมาบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณใช้เงินเป็นและเป็นคนขี้เหนียว
เนื่องจากข้อมูลที่ผมเคยได้รับ เงินสนับสนุนของบรรดานักเคลื่อนไหวซึ่งอยู่ในเครือข่ายของนายใหญ่ ไม่ได้โอนมาจากต่างประเทศ
แต่ขอให้บรรดานักธุรกิจและนักการเมืองที่สนิทชิดเชื้อ ช่วยกันระดมทุนเพื่อโค่นล้มรัฐบาล

ถ้าหาก พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยได้กลับเข้ามามีอำนาจฝ่ายบริหาร ก็จะตอบแทนบุญคุณ ด้วยการมอบเก้าอี้รัฐมนตรีหรือ
ตำแหน่งทางการเมืองให้ ผมจึงไม่แน่ใจว่าจะมีหน่วยงานไหนหาหลักฐานที่นำไปสู่ต้นทาง “ท่อน้ำเลี้ยง” ได้

เผลอ ๆ ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเจียนอยู่เจียนไป ระวังจะมีเจ้าหน้าที่รัฐสวมเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวไล่ฝ่ายบริหาร
และ จะเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้มีอำนาจแต่งตั้งที่ยึดคติ “เลือกเงินก็ไม่ได้ใจ”.

"เขื่อนขันธ์" Dailynews
***************************************************************************

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ฝ่ายมั่นคงเต้น!! สั่งสอบเอกสารลับจัดการ"ม็อบแดง"รั่ว "จตุพร"แฉจัดจนท.ป่าไม้6พันนายหวังใช้กำลังสกัด

"จตุพร" โชว์เอกสารลับ 37 หน้า อ้างฝ่ายความมั่นคงเตรียมจัดการม็อบแดง แฉ "สุวิทย์ " สั่งจัดกำลังจนท.ป่าไม้ 6 พันนายเข้ากรุงเทพฯเพื่อสกัดม็อบ รัฐบาลเต้นสั่งสอบข้อมูลรั่วถึงแกนนำ นปช.

จตุพรโชว์แผน"มั่นคง" จัดการม็อบ

ที่ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน อ่านเอกสารจากเพาเวอร์พ้อยท์จำนวน 37 หน้า ว่า เอกสารดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมฝ่ายความมั่นคง ที่ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ทั้งนี้ รัฐบาลให้ 38 จังหวัดเกณฑ์ประชาชนเพื่อไว้ชนกับคนเสื้อแดง

"ที่ประชุมหน่วยงานความมั่นคงตั้งสมมติฐานว่าให้จับแกนนำ 1 คนเพื่อลดผู้ชุมนุม 1 พันคน โดยเตรียมจับกุมแกนนำตามต่างจังหวัดก่อน แล้วค่อยจับกุมแกนนำอย่างพวกผมในตอนท้าย หากพวกผมโดนจับก่อนจะเกิดจลาจลได้ อีกทั้งการที่รัฐบาลจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยโรงพยาบาลศิริราช และหากมีการกระทำใดๆ เกิดขึ้น ขอให้หน่วยนาวิกโยธินที่อารักขาในหลวงอยู่อย่าไว้ใจกองทัพหน่วยอื่นอย่างเด็ดขาด" นายจตุพรกล่าว

แฉทส.สั่งจนท.ป่าไม้สกัดแดง

นายจตุพร กล่าวว่า วันที่ 17 กุมภาพันธ์ จะแถลงข่าวโดยจะนำเอกสารซึ่งลงนามโดยนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) สั่งการให้อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 6,000 นาย พร้อมอาวุธเข้ากรุงเทพฯในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นไปตามแผนสกัดเสื้อแดง

นายจตุพรกล่าวว่านอกจากนี้จะเปิดเผยเอกสารที่คณะ 11 สั่งจ่ายเช็คให้กับพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเป็นการเพิ่มเติม และเมื่อย้อนกลับไปดูความเคลื่อนไหวก่อนแต่งตั้งอดีตผบ.ตร.คนหนึ่ง พบว่ามีนักธุรกิจกลุ่มหนึ่งบริจาคเงินเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษมากกว่า 100 ล้านบาท ตั้งข้อสังเกตว่ามีความเชื่อมโยงกัน หากมูลนิธิรัฐบุรุษยืนยันในความโปร่งใส จะต้องออกมาแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือไม่ก็ให้ยื่นฟ้องร้องจะได้ใช้อำนาจศาลเรียกดูเอกสาร ทั้งนี้จะยังไม่เปิดเผยเอกสารดังกล่าวแต่ยืนยันว่ามีแน่นอน โดยนักธุรกิจกลุ่มดังกล่าวเป็นคนละกรณีกับคณะ 11

ฝ่ายความมั่นคงสอบเอกสารรั่ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสาร 37 หน้า ที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงนำมาแถลง มีเนื้อหาประกอบด้วย 1.ขั้นตอนการดำเนินงานตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ 2.แนวทางการใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน 3.แนวคิดการรักษาความสงบในต่างจังหวัดและปริมณฑล ซึ่งประเมินว่าผู้ชุมนุมใน 38 จังหวัดเพ่งเล็ง ประมาณ 2,000 คน(+)ต่อจังหวัด ส่วนจังหวัดอื่นๆ ประมาณ 200 คน(+) ใน 38 จังหวัด แยกเป็นอยู่ในพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 (ทภ.1) จำนวน 9 จังหวัด ทภ.2 จำนวน 17 จังหวัด ทภ.3 จำนวน 10 จังหวัด และทภ.4 จำนวน 2 จังหวัด

4.แนวคิดในการปฏิบัติ ใช้ตำรวจคลี่คลายก่อน ทหารสนับสนุนตามสถานการณ์ ใช้กำลัง 3-5 กองร้อย/จังหวัด มุ่งเน้น ป้องกันการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มมวลชน ป้องกันและแก้ไขปัญหาการก่อวินาศกรรม ป้องกันสถานที่ราชการสำคัญๆ 5.แผนการรักษาความสงบเรียบร้อยในกรุงเทพฯ คาดผู้ชุมนุมประมาณ 100,000 คน(+) กำหนดสถานที่เพิ่มระดับรักษาความปลอดภัย และกำหนดพื้นที่ออกเป็น 3 ชั้น 6.การจัดกำลังทหารในกรุงเทพ ทภ.1/กอ.รมน.ภาค 1 กำลัง 102 ร้อย รส.มีอุปกรณ์ 53 ร้อย รส. พื้นที่วางกำลัง 7 พื้นที่จุดตรวจเข้มแข็ง 12 จุด

ในเอกสารระบุตอนหนึ่งว่า "เจ้าหน้าที่จะใช้ทุกมาตรการที่มีอยู่เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมือง โดยทหารจะไม่แก้ไขปัญหาด้วยการปฏิวัติ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงกำลังตรวจสอบว่า เอกสารลับ 37 หน้าดังกล่าว หลุดออกมาถึงมือแกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้อย่างไร ใครเป็นคนส่งให้

ที่มา:มติชนออนไลน์

อำมาตย์น้อย!

ต้องยกให้ “ดร.ตุ๊ด” เจ้าของฉายา “”อำมาตย์น้อย” ว่า แค่ปีเศษๆก็สามารถเรียนรู้และใช้วิทยายุทธ์ “น้ำเน่า” ไม่แพ้ “สัตว์การเมือง” รุ่นลายครามเลย

ยิ่งมาดของ “นักวิชาการ” และการวางตัวที่ละม้ายคล้ายคลึง “หล่อหลักลอย” ทำให้คนทั่วไปให้ความเชื่อถือในคำพูดหรือความเห็นต่างๆที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว

โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์และความมั่นคงระหว่างประเทศ เพราะมีดีกรีเป็นดอกเตอร์ (ไม่ใช่ดีโอจี) ด้านรัฐศาสตร์จริงๆ ทั้งในเว็บไซต์ยังระบุว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและยุทธศาสตร์ทางทหาร

แต่เป็นธรรมดาของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะมนุษย์ที่แต่ละวันยังวนเวียนอยู่กับ “กิน ถ่าย และนอน” ที่เป็น “กิเลส-ตัณหา” ร่างกายและจิตใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงในตามกาลเวลาตามสภาวะแวดล้อม

วันนี้จึงอาจไม่เหมือนในอดีตและอนาคต

อย่าง “ดร.ตุ๊ด” ที่วันนี้มีคนมากมายที่อาจมีทั้งคนที่รู้สึกทึ่ง รู้สึกประทับใจ และรู้สึกเกลียดชัง

คำตอบง่ายๆที่อาจมีอีกหลายร้อยหลายพันคำตอบก็คือ เพราะวันนี้ “ดร.ตุ๊ด” ไม่ใช่นักวิชาการ แต่อยู่ในร่างของ “สัตว์การเมือง” ทั้งยังมีตำแหน่งถึง “กระบอกเสียงรัฐบาล”

จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม “ดร.ตุ๊ด” จึงวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมือง ทั้งเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียว หรือชายผู้มากบารมีที่ใส่เสื้อทรงกระบอก ได้สนุกไม่แพ้นิทานจักรๆวงศ์ๆ

เพราะนิทานไม่จำเป็นต้องเป็น “ความจริง” หรือจะเสกสรรค์ปั้นแต่งให้เป็นเรื่องราวของนรกหรือสวรรค์ จะให้ “โจร” เป็น “คนดี” หรือจะให้ “คนดี” เป็น “โจร” อย่างไรก็ได้

ยิ่งใน “บ่อน้ำเน่า” ของ “สัตว์การเมือง” ต้องแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ โดยไม่มีเส้นแบ่งความดีกับความชั่ว มีแต่ “พวกกู ของกู”

“นักวิชาการ” ที่เข้ามาจึงกลายร่างเป็น “นักวิชาเกิน” ที่ไม่ใช่จะลืมอดีต “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า” เท่านั้น บางคนยอม “”ขายตัว ขายวิญญาณ” เพียงเพื่อให้ได้เศษกระดูกจาก “สัตว์การเมือง”

แต่ “ดร.ตุ๊ด” ที่ทั้งหัวใจและร่างกายอุทิศให้กับ “ก๊วนสะตอ” เต็มตัว ทั้งยังเป็นเด็กสะตอจาก “หาดใหญ่” และมีศักดิ์เป็นถึง “หลานอำมาตย์” ตัวจริงเสียงจริงอีก

ถนนทุกสายที่จะเดินจึงฝันไปไกลถึงตำแหน่ง “ผู้นำสูงสุด” เช่นเดียวกับ “หล่อหลักลอย”

ที่สำคัญ “ดร.ตุ๊ด” ไม่ใช่แค่รักษาความ “สด” ไว้อย่างเหนียวแน่น ยังวางแผนที่จะโชว์กึ๋นเพื่อไต่เต้าขึ้นสู่ที่สูงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน โดยมี “พี่เลี้ยง” คอยประกบและชี้นำมาโดยตลอด

นิทาน “เด็กเสื้อแดงกับสุนัขอำมาตย์” จึงสนุกสุดพิสดาร!

คอลัมน์ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดี

**********************************************************************