--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ยึดไม่ให้เหลืออะไรที่ตระกูลชินวัตรมี!!!???

แต่เที่ยวนี้ผมอยากแชร์ความสงสัยบางประการ จากการถกเถียงกันมาพอสมควรว่า เงิน 76,000 ล้านจะถูกยึดหมดทั้งก้อนหรือไม่?

ในความคิดของผมนั้น ผมคิดว่าการยึดทรัพย์คุณทักษิณครั้งนี้

ไม่ใช่ยึดแค่บางส่วน

ไม่ใช่ยึดแค่ทั้งก้อน

แต่น่าจะยึดมากกว่านั้น คือมากกว่า 76,000 ล้าน ยึดให้หมดเท่าที่ครอบครัวชินวัตรยังมี พูดง่ายๆ คือเอากันให้ตายกันไปข้างนึงเลย

ผลการพิจารณาหรือพิพากษา มันสามารถจะออกมาได้ในแบบที่เราไม่คาดคิด และยิ่งมีอัยการออกมาพูดว่าหลักฐานบางอย่างเกี่ยวข้องกับคดีซุกหุ้น หากผิดจริงสามารถเอาผิดเพิ่มขึ้นและติดคุกเพิ่มได้อีกนี่ยิ่งทำให้น่าสงสัย

หากย้อนไปก่อนหน้านี้มีใครบางคนพูดว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจจะมีมูลค่ามากกว่า 76,000 ล้าน

ก่อนหน้านี้ มีการพิทักษ์ทรัพย์กรณีที่ดินรัชดา

ก่อนหน้านี้มีการจุดประเด็น ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์

จากสิ่งที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมเริ่มเกิดความสงสัยตามมา

ผมกำลังสงสัยว่าเป็นไปได้ไหมว่า คำวินิจฉัยอาจจะออกมาในระดับที่รุนแรงถึงรุนแรงมาก

มากในระดับที่ 76,000 ล้านที่อายัดไว้ อาจจะไม่พอให้ยึด อาจจะมีการตีค่าความเสียหายสูงยิ่งกว่าเงินก้อนนี้และจะนำมาสู่การยึดทรัพย์ อื่นๆที่ได้มาอย่างสุจริตของตระกูลชินวัตร

ทรัพย์ใดๆที่ครอบครัวชินวัตรครอบครองอยู่และไม่เกี่ยวข้องกับคดี อาจจะถูกยึดเพิ่มเพื่อนำมาชดใช้ความเสียหายที่ตีมูลค่าสูงจนเกินจริง ไม่ว่าจะเป็นบัญชี เงินฝาก ที่ดิน อาคาร หรือทรัพย์สินอื่นๆ พูดง่ายๆว่าอะไรที่ยังมีอยู่ถ้ายึดได้ก็จะถูกยึดทั้งหมด

ถามว่าเพื่ออะไร? ก็เพื่อเหยียบทักษิณให้จม ให้ทักษิณไม่เหลืออะไรในประเทศนี้อีก

"อาจจะ" เพื่อล้างแค้นที่สูญเสียบ้านพักบนยอดเขา เอาคืนที่คนเสื้อแดงบุกเขาสอยดาวจนนายทุนอำมาตย์ยับเยินจนหมดความน่าเชื่อถือ

การตัดสินอาจเกิดการขยายผลในคดีอื่นเพื่อมิให้โอกาสที่ทักษิณจะกลับมาเหยียบประเทศไทยในขณะที่พวกเขายังมีอำนาจอยู่

ผมเชื่อ เชื่อในความอำมหิตของคนพวกนี้ อะไรเขาก็ทำได้ทั้งนั้น ขนาดสุมหัวกันคิดวางแผนฆ่าเขายังกล้าคิด และกล้าทำ

กะอีแค่เหยียบครอบครัวชินวัตรให้จมด้วยอำนาจตุลาการ ให้สาสมกับที่คุณทักษิณบังอาจคิดสู้ไม่เลิก แค่นี้ทำไมพวกเขาจะทำไม่ได้

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่ผมคิดและสงสัยจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ทางเดียวที่คุณทักษิณจะได้ทรัพย์สินคืน ทางนั้นมีอยู่ทางเดียว

นั่นคือ การนำอธิปไตยให้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

ท้องฟ้าต้องสาดแสงสีทองผ่องอำไพ หากยังสาดเพียงแค่แสงสีเหลืองเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวี่วัน ก็ไม่มีทางที่คุณทักษิณจะได้รับทรัพย์สินและความชอบธรรมกลับคืนมา

เพราะความหวังทั้งหมดของคุณทักษิณ มันผูกอยู่กับชัยชนะของประชาชน

และ "อำมาตย์" คือสถานะที่ไม่สามารถอยู่ร่วมกับสถานะ "พลเมือง" ได้ นี่คือสมการที่เราปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว

ฉากสุดท้าย ถ้าเราชนะเขา "ไม่หมด"

มันก็ไม่ต่างอะไรจาก "เราไม่ได้ชนะ" นั่นเอง

ที่มา :thaifreenews
โดย. ป้าพลอย

ทักษิณเขาไม่ต้องการคุยกับท่าน "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" ต่างหากที่คุกคามเขา

ผมเพิ่งฟังคุณทักษิณพูดว่า พร้อมที่จะคุยด้วย เป็นคนคุยง่าย และคุณทักษิณเป็นหนูที่เขาเผาบ้านเพื่อไล่ฆ่า

คุณทักษิณยังงงๆ อยู่ว่าเพื่อฆ่าหนูตัวเล็กๆ ตัวเดียว ทำไมต้องเผาบ้าน และท่านก็เป็นคนคุยง่าย ไม่ยากอะไร ทำไมพวกเขาต้องทำลายระบบทุกอย่าง เพื่อจัดการคนๆ เดียว

ผมขอบอกนะครับ "พวกเขาไม่ได้ต้องการจ้ัดการ ตัวท่านทักษิณ" แต่สิ่งที่คุกคามพวกเขาหรือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยเลยก็ว่าได้คือ "ชื่อเสียงเกียรติภูมิของท่าน" จะรวมๆ เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" อะไรก็แล้วแต่

ระบอบทักษิณ คือ ระบบการคิด ที่คุกคาม ระบอบอำมาตยาธิปไตยครับ

เหมือนมาร์กซิสต์ ตัวของ มาร์กเอง คงคุกคามใครไม่ได้ แต่ "แนวคิดของมาร์กต่างหาก" ที่คุกคามระบอบทุกนิยม ระบอบทุนนิยม เลยต้องสู้กับมาร์กซิสต์ (ที่เป็นระบอบ ไม่ใช่ตัวคาล มาร์ก)

มาร์กซิสต์ มันชัดเจนที่แนวคิด

แต่ ระบอบทักษิณเกียรติภูมิทักษิณ มันผูกพันกับตัวท่านด้วย พวกเขาจะทำลายระบอบทักษิณ ต้องทำลายชื่อเสียงของท่านเสียก่อน เพื่อไม่ให้มีคนนิยม เพราะหากไม่มีคนนิยม มันก็ไม่คุกคามต่อระบอบอำมาตย์ฯ

ดังนั้น ท่านจะเจรจา อยากคุยหรือไม่ มันไม่สำคัญ สำคัญคือ พวกเขาจะกำจัด การคุกคามของระบอบทักษิณออกไปได้อย่างไร ไม่ทำลายชื่อเสียง เกียรติภูมิ ชีวิตของท่านแล้ว มันจะกำจัดไปได้อย่างไร

นี่เป็นผลสืบเนื่อง

ระบอบทักษิณ คืออะไร มันก็รวมๆ คือสิ่งที่ "คนรากหญ้าต้องการอยู่ทุกวันนี้แหละครับ" คือสิ่งที่ท่านทำตอนเป็นรัฐบาลและคนนิยมนั่นแหละครับ

มันทำให้คนรากหญ้าตื่น และ "นิยมทักษิณมากเกินไป" จนคุกคามต่อสถานภาพของ "คนบางกลุ่มบางคน"

ท่านต้องตาย และเสียชื่อ พวกเขาจึงจะยอมครับ

ท่านมีทางเลือกสองทางในวิกฤติครั้งนี้คือ

สู้ให้ชนะ
หรือยอมให้เขาฆ่าครับ

ไม่มีเส้นทางสายอื่นหรอกครับ
หากท่านเหนื่อย และเบื่อ อยากจบ ก็ยอมให้พวกเขาฆ่าเสีย มันก็จบ กลับมาติดคุกก็ไม่ได้ครับ เพราะประชาชน ก็จะเดินขบวนประท้วง คนเสื้อแดงก็จะช่วยท่านอีก ต้องตายอย่างเดียวครับ ที่จริงตายก็ไม่พอ ต้องทำให้คนเกลียดชัง ด้วย พวกเขาจึงจะกำจัดการคุกคามของระบอบทักษิณ ต่อระบอบอำมาตย์ได้

ท่านอยู่ต่างประเทศตลอดไปก็คงไม่ได้ ก็ยังเป็นภัยคุกคามพวกเขาอยู่ดี เพราะชื่อเสียงบารมีของท่านมัน "ขายได้ในทางการเมือง" นักการเมืองฝ่ายเสื้อแดง เขาก็ต้องไปเข็น หรือเอาท่านมาหาเสียง เพื่อสร้างความนิยม อำมาตย์ก็จะระแวง สุดท้ายท่านก็ต้องถูกคุกคามอยู่ดี ถูกกำจัดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองของพวกเขาก็จะไม่ "สงบราบคาบ"

หากไม่สู้ให้จบ ท่านก็ต้องยอมตายไปเสียนั่นแหละจึงจะจบ สำหรับท่าน

ที่มา:thaifreenews
โดย ลูกชาวนาไทย »

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

"เสื้อแดง" นัดบุก กกต. 15 ก.พ.นี้ อัดรบ.ปูดข่าวเงินนอกส่งท่อน้ำเลี้ยงกล่าวหาเลื่อนลอย

"เสื้อแดง" ชุมนุมไล่ 9 ป.ป.ช. ออก สลายตัวแล้ว แผ่นเสียงตกร่อง "ที่มาไม่ชอบ-2 มาตรฐาน" ซัดรบ.ยกเมฆหารับเงินจากนอก นัดบุก กกต. 15 ก.พ.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานมวลชนเสื้อแดงจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กว่า 1 พันคน นำโดยนายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ชุมนุมหน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) เมื่อท่ามกลางการวางกำลังตำรวจ อารักขาและรักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นประมาณ 500 นาย โดยนายวีระกล่าวปราศรัยโจมตี ป.ป.ช. มีที่มาไม่ถูกต้อง ทั้งมาจากคณะรัฐประหาร และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังทำงานในลักษณะการกระทำ 2 มาตรฐานในคดีต่างๆ และเรียกร้องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 คนลาออก


นายณัฐวุฒิกล่าวก่อนขึ้นปราศรัยว่า ป.ป.ช.ต้องหยุดกระทำ 2 มาตรฐาน ขณะนี้หลายคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์หรือบุคคลในเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยได้รับการเพิกเฉย หรือประวิงเวลาถ่วงรั้ง ต่างกับคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในกลุ่มพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน หรือเครือข่ายกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีความรวดเร็วในการดำเนินคดี


"อย่างคดี ปรส.ที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาทุจริตหลายคดีหลายแสนล้านบาท และคดีทุจริตในกรุงเทพมหานครในยุคที่มีนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครดำรงตำแหน่งก็ยังไม่มีความคืบหน้า แตกต่างจากคดีเกี่ยวพันกับคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายดุสิต ศิริวรรณ เป็นจำเลย นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ ซึ่งคดีอยู่ในศาลฎีกาแล้วในขณะนี้ หรือคดี 7 ตุลา หลายๆ เรื่องนำมาสู่ที่มาของคำว่า 2 มาตรฐานไ นายณัฐวุฒิกล่าว

เสื้อแดง 4


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ จะมีการเดินทางไปชุมนุมที่ กกต. ระหว่างเวลา 12.00-18.00 น. จากนั้นอาจจะมีภาค 2 ของเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพราะได้ข้อมูลมาว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้กระทำการหลายอย่าง เช่น มีการนำกำลังเข้าไปจับกุมการตัดไม้ทำลายป่า แต่ของกลางดังกล่าวหายไป กลายเป็นเก้าอี้ กลายเป็นไม้ตกแต่งของผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ส่วนกรณีเขาสอยดาวก็ได้ข้อมูลมาเพิ่มเติมน่าสนใจ และอาจจะมีการนัดชุมนุมที่ธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่ เพื่อถามกับผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ ซึ่งจะมีการหารือและสรุปกันอีกครั้งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์


"ขณะนี้รัฐบาลพยายามสร้างสถานการณ์และข้อมูลอันเป็นเท็จกับบุคคลเสื้อแดง ผมยืนยันว่าเราต่อสู้มาโดยไม่ได้รับเงินจากต่างประเทศใดๆ และยืนยันว่าเป็นการยกเมฆปั้นเรื่องเท็จล้านเปอร์เซ็นต์ แต่ของผมมีหลักฐานทางการเงินที่กลุ่มทุนบริษัทยักษ์ใหญ่กลุ่มหนึ่งของประเทศได้มอบเงินส่วนหนึ่งให้กับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษหลายล้านบาท ผมมีหลักฐานทางรัฐบาลสนใจหรือไม่ จะให้ทาง ปปง. หรือดีเอสไอ ตรวจสอบข้อมูลที่พูดหรือไม่ ถ้าสนใจติดต่อมา ยินดีมอบหลักฐานให้ และภายในวันหรือสองวันนี้จะแสดงหลักฐานให้ประจักษ์ชัดเจนกับสังคม ซึ่งเรื่องนี้กำลังรอคำอธิบายอยู่" นายณัฐวุฒิกล่าว


ทั้งนี้ การชุมนุมดังกล่าวดำเนินมาถึงเวลา 18.30 น. จากนั้นมวลชนเสื้อแดงร่วมกันร้องเพลงชาติ ก่อนที่จะสลายตัวไป

ที่มา:มติชนออนไลน์

วุ่นวายเพราะอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิด

เพื่อความต่อเนื่องของอรรถรสในการฟัง “เล่าสู่กันฟัง” (ทอล์ค อะราวนด์ เดอะ เวิลด์) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงได้จัดรายการทุกวันตั้งแต่วันจันทร์-วันศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ สำหรับวันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ 2553 เป็นการเล่าถึงการเข้ามาของโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยและการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯของบริษัทชินฯ การซื้อขายหุ้นและการเพิ่มทุน นำมาสู่ความร่ำรวยจากความบริสุทธิ์โปร่งใส ไม่ได้โกงกินอย่างที่ถูกกล่าวหา ดังรายละเอียดดังนี้

พูดทุกวันจันทร์-ศุกร์

สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้เรื่องราวที่ได้พูดตอนช่วงที่ผมลำบากอาจจะตรงกับเหตุการณ์ในช่วงนี้ที่หลายคนกำลังลำบาก หลายคนบอกว่าอยากจะฟังบ่อยขึ้นเพื่อเรื่องจะได้ปะติดปะต่อ เพราะทิ้งไปทีอาทิตย์หนึ่ง ผมเลยขอพูดวันจันทร์-ศุกร์ แต่ว่าเป็นวันละครึ่งชั่วโมง เพื่อเล่าให้พี่น้องฟังเกี่ยวกับชีวิตการต่อสู้ของผม เผื่อจะเป็นเกร็ดประโยชน์ให้กับท่านว่าผมตั้งตัวมายังไงถึงเป็นได้ขนาดนี้ หลายคนกำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้ชีวิต เผื่ออะไรจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง ต่อไปนี้เราจะพบกันทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 20.30-21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ไม่มีนะครับ

วันนี้มีเสื้อแดงเยอรมันแวะมาเยี่ยมที่บ้าน 3 คน เป็นคนไทยที่แต่งงานกับคนเยอรมัน ส่วนใหญ่มีครอบครัวดีๆ มีฐานะดี บางคนเป็นเจ้าของโรงงาน มาถามผมว่าเขาซื้อขาหมูเยอรมันกับไส้กรอกเยอรมันมาฝาก ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อที่โน่น อร่อยที่สุดที่เคยกินมา ต้องขอบคุณเรด เยอรมนี ที่ส่งตัวแทนมาเยี่ยมผม อีกคนเป็นคนสันกำแพง คนแม่กระปอง แนะนำให้ไปเที่ยวโฮมสเตย์ เขาถามผมว่าท่านไม่เครียดหรือค่ะ ผมก็บอกว่าถ้าผมมองแคบๆ มองแต่ปัญหาส่วนตัวก็น่าจะเครียดเพราะโดนขนาดนี้ แต่ถ้าผมมองว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องคนไทยเป็นล้านๆคน และออกมาต่อสู้ เสียสละเงินทอง และบางครั้งต้องเสี่ยงชีวิตมาช่วยผมขนาดนี้ ผมควรจะมีความสุข ไม่ควรจะเครียด

ผมดีใจว่าแต่ละที่พี่น้องออกมาช่วยกัน แกนนำผมบางคนขายที่ดิน ขายแรงเพื่อมาต่อสู้ เพราะผมเองก็ไม่สามารถดูแลใครได้ ก็สู้มาเต็มที่ขนาดนี้ อย่างคนที่อยู่เยอรมนีมีฐานะดีหน่อย เชื่อมั้ยครับว่าเขาไปต่างประเทศ ไปด้วยการกู้เงินกองทุนหมู่บ้าน แล้วก็ไปทำงานอยู่พักหนึ่งจนได้พบเนื้อคู่ ได้แต่งงาน และดูดี เป็นวิศวกรโรงงาน มาช่วยเสื้อแดงเพราะว่าเงินกองทุนหมู่บ้านที่ช่วยเขาให้ได้ไปทำงานต่างประเทศ เพราะตอนนั้นเขาบ้านแตกสาแหรกขาดเนื่องจากความลำบากในชีวิตครอบครัว เลยคิดว่าไปเสี่ยงดวงต่างประเทศก็ได้รับความสำเร็จ ก็เลยมาเป็นกำลังสำคัญ ทุกครั้งที่ชุมนุมใหญ่ก็จะมีเขามาช่วยค่าน้ำค่าอาหาร ต้องขอขอบคุณคนไทยอีกเยอะที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้กันและกัน

ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก

ช่วงนี้ได้รับรายงานเรื่อยๆว่ามีการเสริมกำลังทหารตรงนั้นตรงนี้ ผมนั่งฟังแล้วมีความรู้สึกว่า เออ...ทำไมเรื่องง่ายๆต้องทำให้ยาก ทำไมทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากไปได้ ที่จริงไม่เห็นมีอะไรเลย ก็คืนความเป็นธรรมให้กับสังคม คืนประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับสังคม แค่นั้นทุกอย่างก็สงบ บ้านเมืองก็เดินต่อไปได้ ประชาชนก็ไปทำมาหากิน ทหารก็ไม่ต้องมานั่งอารักขา วุ่นวายกันทั่วไปหมด นายกฯจะไปไหนก็ไปได้ ไม่ต้องใช้ทหารมาคุ้มครอง ทำไมเรื่องแค่นี้กลับมองเป็นเรื่องใหญ่ โอ้โห...เดี๋ยวตั้งด่าน เดี๋ยวออกเป็น พ.ร.ก. เป็นเรื่องที่สามารถยุติได้ง่ายๆ 2 มาตรฐานทำทำไม? ประชาชนเข้าชื่อ 3 ล้านกว่าคนขอพระราชทานอภัยโทษให้ผม กระทรวงยุติธรรมดันไปกักเรื่องไว้ ส่วนสนธิ (ลิ้มทองกุล) ก็บอกว่าต้องติดคุกก่อน แต่พอสนธิเรื่องยังอยู่ที่อัยการ ทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษส่งเข้าไปในวังเรียบร้อย นี่คือสิ่งที่ยิ่งทำยิ่งผูกปมมากขึ้น เขาชี้ปมอะไรให้แก้ก็กลับไปเพิ่มปมอีก ผมก็ไม่เข้าใจ

วันนี้ผมไม่เข้าใจวิธีคิดของพวกท่านทั้งหลาย ไม่รู้สิ...อาจจะเป็นเพราะว่าอำมาตย์เลือกรัฐบาลผิดมั้งถึงวุ่นวายขนาดนี้ แทนที่คิดว่าจะสร้างความปรองดองอย่างไรกลับยิ่งขันให้แน่น คนที่มองไม่เห็นความเป็นธรรม 2 มาตรฐานใครจะรับได้ครับ จุดง่ายๆนิดเดียว ให้ระบบทำงานเองอย่าไปแทรกแซงระบบ แค่นี้ทุกอย่างก็เดินได้ แต่กลับไปแทรกแซงระบบ และทุกอย่างที่เสื้อแดงปฏิบัติเป็นผลพวงจากการปฏิวัติทั้งสิ้น ทำไมเรื่องของประชาธิปไตยต้องเอาเผด็จการเข้ามาจัดการ นี่คือสิ่งที่ต้องแก้ไข และแก้ได้ง่ายแต่ไม่แก้ มันมีอะไรมากขึ้นเรื่อยๆก็เป็นฝีมือของท่านเองนะ

จะสู้เพื่อความเป็นธรรม
มาพูดเรื่องเบาๆของเราดีกว่า มีคนถามว่ารัฐบาลพลัดถิ่นท่านตั้งแล้วจะทำยังไง ผมก็อธิบายให้ฟังเรื่องที่ผมพูดเรื่องศาลโลกเป็นยังไง ผมก็บอกว่าวันนี้นักกฎหมายต่างประเทศเข้ามาพบผมหลายคน มาเตรียมการไว้ ทุกคนบอกว่ามีเคสเกิดขึ้นแล้วกับประเทศเพื่อนบ้านเราเอง เป็นสิ่งที่ต้องเตรียมครับ อย่างที่ผมเรียนไว้ว่า เมื่อไรความเป็นธรรมไม่ได้รับก็ต้องแสวงหาให้ถึงที่สุด ไม่ว่าอยู่ในนรกหรือสวรรค์ เพราะตราบใดที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่มีใครยอมหรอก อันนี้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และผมจบปริญญาเอกเรื่องการบริหารงานยุติธรรมเสียด้วย ฉะนั้นความไม่เป็นธรรมผมไม่ยอม มันเป็นเรื่องของอุดมการณ์

มาเล่าเรื่องเบาๆกันดีกว่า คราวที่แล้วผมบอกว่าจะเล่าว่าจากคนที่มีหนี้สินแล้วเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ยังไง ขั้นตอนยังไง ขั้นตอนตรงนี้สำคัญเลยอยากให้พี่น้องที่สนใจ ที่มีหุ้นอยู่ในตลาด หรืออยากเอาหุ้นเข้าในตลาด ลองฟังดูเผื่อจะใช้ได้ ก่อนจะไปถึงขั้นนั้นต้องรู้ก่อนว่าการเข้าตลาดคืออะไร คือการเอาอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไปขออนุญาตให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ คือต้องมีอดีต เราทำงานที่ไหน ทำอะไรมาบ้าง เรามีกลุ่มบริษัทอย่างไร สร้างมาอย่างไร ปัจจุบันมีอะไรเหลืออยู่และอนาคตจะทำไงต่อ จะขยายงานออกไปอย่างไร แล้วก็เอาตัวเลขมาบอกว่าตัวเลขเหล่านี้จะทำกำไรในอนาคตยังไง ราคาหุ้นก็ดี มูลค่าของบริษัทก็ดี คือการตีราคาปัจจุบันกับอนาคตเพื่อเอามาให้คนซื้อหุ้นและร่วมลงทุน เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

จุดเริ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่
ผมได้เข้าตลาดปี 2533 ผมขอเล่าอดีตนิดหนึ่ง ก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือ ก่อนหน้านั้นเซลลูล่าโฟนยังไม่เกิด แต่ว่ามีการใช้โทรศัพท์แบบไร้สายในบ้าน ตอนหลังก็มีคนคิดว่าใช้วิทยุที่มีกำลังสูงๆ โทรศัพท์ไร้สายที่อยู่ในบ้าน โดยพ่วงกับโทรศัพท์บ้านแล้วจะสามารถออกไปไกลขึ้น ผมก็ไปฮ่องกง ซื้อโทรศัพท์ไร้สายที่พ่วงเบอร์บ้านแต่มีตัวลูกที่สามารถเอาออกไปไกลๆได้ โดยตั้งสถานีที่มีความเร็วสูงขึ้นและตั้งเสาให้สูงขึ้น ผมก็เอาติดรถไปเพราะผมสามารถที่จะใช้โทรศัพท์ได้แล้วก็พูดได้ รับสายได้ โดยอยู่ไกลจากบ้าน ก็เอาไปทดลองดู

ผมหิ้วไปเจอเพื่อน เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อประภัตร โพธสุธน ซึ่งเป็นนักการเมืองที่รู้จักกันเมื่อ 2548 ตอนนั้นเป็นเลขาฯรัฐมนตรีช่วยคลังอยู่ก็เลยรู้จักกัน อายุเท่ากัน ผมหิ้วโทรศัพท์ไร้สายไปบอกว่า ประภัตรอนาคตข้างหน้าโทรศัพท์อย่างนี้จะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าเอ็งบ้า เอ็งถือเครื่องไม้เครื่องมืออย่างนี้เอ็งบ้า จะเป็นไปได้ยังไง โทรศัพท์อะไรจะหิ้วไปได้ทั่วโลก ผมบอกว่าตอนนี้เราแค่หิ้วออกข้างนอกไปไกลๆบ้านได้แล้ว อีกหน่อยจะหิ้วไปได้ทั่วโลก เขาก็บอกว่าไม่เชื่อ

ไทยเป็นลูกหนี้ IMF
สาเหตุที่ผมพูดเช่นนั้นเนื่องจากว่าผมไปงานนิทรรศการเกี่ยวกับโทรคมนาคมบ่อยๆ เพื่อไปเรียนรู้ ตอนหลังโทรศัพท์มือถือเริ่มต้นที่การสื่อสาร ตอนนั้นมี 2 ระบบแข่งกันคือ โซนี่ อิริคสัน กับโมโตโรล่า พอดีช่วงนั้น พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เป็นนายกฯ เป็นช่วงที่ประเทศไทยมีปัญหาทางการเงินและต้องเป็นลูกหนี้ IMF รอบแรก ดร.โกร่ง (วีระพงษ์ รามางกูร) เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของนายกฯ IMF สั่งว่าประเทศไทย โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ต้องหยุดการลงทุน ฉะนั้นการลงทุนต้องให้เอกชนลงทุน ช่วงนั้นจึงมีการอนุญาตให้เอกชนเข้ามาขยายการลงทุนแทนภาครัฐ กฎหมายขณะนั้นก็ยังเป็นกฎหมายล้าหลังอยู่ คือให้เอกชนมาลงทุนและยกทรัพย์สมบัติให้กับรัฐ แล้วได้รับสิทธิไปทำมาหากินกับเครื่องมือนั้นเป็นระยะเวลาเท่าไรก็แล้วแต่รายได้ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น

บุกเบิกโนเกียในไทย

ผมก็ไปขออนุญาตทำโทรศัพท์มือถือ ผมเสนอเข้าไปแข่งกับอีกบริษัทหนึ่ง ผมเสนอไป 2 ออพชั่นว่าจะใช้อะไรดี เลยตัดสินใจใช้โนเกีย สมัยก่อนเป็นรุ่นอนาล็อก ผมเสนอไปโดยรู้แล้วว่า GSM กำลังจะมา เลยเสนอไปว่าอีก 5 ปีจะทำ GSM เสนอให้ผลตอบแทนรัฐสูงมากเมื่อเปรียบกับรายได้รัฐ แต่ปรากฏว่าวันนี้ถือว่าไม่สูงเนื่องจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป พัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนไปก็เลยทำให้เซลลูล่าเติบโตเร็วกว่าที่คิด ผมว่าผมคิดล่วงหน้าไปเยอะแต่ก็ยังคิดไม่ทัน เลยเป็นที่มาว่าผมได้สิทธิในการลงทุนทำเซลลูล่าและมือถือ

ผมเป็นรุ่นแรกที่บุกเบิกโนเกีย ตอนนั้นโนเกียถือว่ายังทำกระดาษ ทำโทรทัศน์ ทำปืนล่าสัตว์ ทำเครื่องมือสื่อสารแต่ว่ายังทำไม่มากเท่าไร ถือว่าเป็นลูกค้ารุ่นแรกๆร่วมกับอิตาลี ก็เลยบุกเบิกร่วมกันจนเติบโต สมัยนั้นผมกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ๆเท่าอิตาลีก็เลยทำให้โนเกียกับกลุ่มชินฯเชื่อมโยงกัน ที่เล่าให้ฟังยืดยาวเพราะต้องการชี้ว่าต้องศึกษาที่เราจะทำ เมื่อเรารู้ว่าวิวัฒนาการมาถึงไหนแล้วจะไปยังไง โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เทคโนโลยี

เอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ
เอาล่ะ ในเมื่อผมเตรียมอดีตไว้แล้ว อนาคตผมก็วาดไว้ว่าบริษัทจะเติบโตอย่างไร ผมก็มองเรื่องดาวเทียม มองเรื่องการขยายเคเบิลทีวี. นั่นคือสิ่งที่เรามอง แต่ตอนนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่เกิด ไม่มีใครเห็นว่าอินเทอร์เน็ตจะเกิด มองอย่างเดียวว่าเบอร์โทรศัพท์เบอร์เดียวที่เรามีสามารถถือไปไหนมาไหนได้ทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่คิดไว้ แล้วตอนนั้นนาโนเทคโนโลยีก็ยังไม่เกิด ยังอยู่ในแล็บ เราไม่สามารถเดาได้ว่าโทรศัพท์มือถือจะเล็กลงได้ แต่เราก็บอกอนาคตไปได้ระดับหนึ่ง ไม่มีปัญหา เซลลูล่านี่ลงทุนกันทีเป็นหมื่นล้าน แต่วันแรกที่เราทำอยู่ลงทุนเพียงไม่กี่ร้อยล้านเพราะไม่กล้าลงมาก ก็ลงสถานีไม่กี่แห่ง ไม่กล้าลงเยอะ เราก็คิดว่าไม่อย่างนั้นแล้วเราจะเอาตังค์ที่ไหนมาลงทุนเป็นหมื่นๆล้าน

ในวันนั้นผมยังมีหนี้ ก็ปรึกษากันว่าจะทำยังไงดี เลยตัดสินใจเอาหุ้นเข้าตลาดเพราะมีคนมาแนะนำ มีนักบัญชีคนหนึ่งมาแนะนำว่าทำบัญชีให้ถูกต้องตามหลักสากล แล้วก็ให้บริษัทตรวจบัญชีระดับสากลมาตรวจคนจะได้เชื่อถือ แล้วเราก็มาดูว่าจะตัดอะไรออก เอาอะไรเข้า เพื่อให้บริษัทมีความชัดเจน ช่วงนั้นบังเอิญว่าเศรษฐีในไทยยังตามเรื่องเทคโนโลยีไม่ทันเราเลยได้เกิด เพราะระบบทุนนิยมเอาทุนทุบกันเลย แต่พอผมหลุดมาจากตรงนั้นแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย ก็ตัดสินใจเข้าตลาด

เข้าตลาด-เพิ่มทุน

เราไปจ้างที่ปรึกษาการเงิน ไปจ้างภัทระกับธนชาติมาช่วยกันดู มาทำความสะอาดบัญชีให้ผม ตอนนั้นทุนจดทะเบียนผมมี 20 ล้านบาท ผมเริ่มคิดอยากเข้าตลาดเพราะที่ปรึกษาการเงินมาบอกว่าต้องเพิ่มทุน เพราะทุนแค่นี้ไม่พอ บอกต้องเพิ่มเป็นประมาณ 2,000 ล้านบาท ผมก็...ตายแล้วจะเอาที่ไหน ไม่เป็นไรเพราะเขามั่นใจว่าหุ้นบริษัทนี้ขายได้แน่ เขาก็เลยทำให้เงินกู้ชั่วคราวสั้นๆแล้วก็คืนให้ เลยให้ผมไปกู้เงินแล้วเอาใบหุ้นที่เพิ่มทุนไปกู้เงินเพื่อมาจ่ายเงินเพิ่มทุน

สมมติว่ากู้ 2,000 ล้านบาทก็จ่ายเพิ่มทุนไป หุ้นที่เพิ่มทุนเขาก็เอาไปถือไว้ แล้วพอหุ้นเข้าตลาดก็ขายบางส่วนออกเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ หุ้นสิบบาทตอนนั้นเราขายได้ น่าจะขึ้นไป 300-400 บาท แล้วก็ขายได้กำไรหลายเท่า ก็เพิ่มทุนไปส่วนหนึ่ง ทำ 2 จังหวะคือ ความที่เรามีของดี ระบบทุนนิยมเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าของไม่ดีก็ไม่มีใครให้กู้ ก็ต้องทำของตกแต่งให้ดี ไม่ดีก็ทำให้ดี คอยให้ที่ปรึกษาการเงินดู พอเขาดูเสร็จ...ดีนี่ ผมก็เลยไปกู้เงินจากอีกที่หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นเครือแบงก์กรุงเทพ ให้ผมกู้เงินมาชั่วคราวเพื่อมาเพิ่มทุน เงินก็เข้าบริษัทเยอะ จ่ายหนี้ได้ ลงทุนได้ ขยายงานได้

ขายหุ้นให้ต่างชาติ

พอหุ้นเข้าตลาดมันก็ขึ้นหลายเท่า หุ้นที่เราเพิ่มทุนก็เพิ่มราคา เราก็แบ่งหุ้นจำนวนหนึ่งไปขาย พอขายได้ก็เอาเงินไปใช้หนี้ ผมเหลือเงินประมาน 100-200 ล้านบาทจากไม่มีตังค์ พอเหลือจากนั้นเราก็นึกว่า ดีใจเว้ย เงินเรา แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เราขยายธุรกิจ พอเซลลูล่าขยายก็ต้องเพิ่มการลงทุน เงินบริษัทไม่พอก็ต้องเพิ่มทุน หุ้นขึ้นก็เพิ่มทุน เราเพิ่มทุนโดยให้สิทธิผู้ถือหุ้นเดิม ตัวเราก็ต้องตาม เงินที่มีอยู่ก็ต้องตามเพื่อให้สัดส่วนไม่หาย เงินก็หมดอีก แล้วพอดีมีนักลงทุนต่างชาติคนหนึ่ง คนนี้เป็นคนที่ลงทุนหลายประเทศ เขาพาผมไปรู้จักกับเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คือนายคาร์ลอส ซาริม ไปพบกันที่นิวยอร์ก ก่อนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ

นายคนนี้ก็ตัดสินใจมาซื้อหุ้นบริษัท 5 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจำไม่ผิดผมขายได้ประมาณ 5,000 ล้านบาท ตกลงกันทางโทรศัพท์ ผมกำลังแคะหูอยู่โทรศัพท์มาผมก็บอกว่าขอแคะหูก่อน พอเสร็จก็ลุกขึ้นมาคุย เขาขอซื้อ 10 เปอร์เซ็นต์ผมไม่ขาย เพราะถือว่าวิธีการภาษาการลงทุนเขาบอกว่าต้องให้พอดี ให้น้อยมันก็ไม่ใส่ใจผม ให้มากมันก็ไม่ใส่ใจ เราก็เลยให้แค่ 5 ที่เหลือให้เขาไปไล่ซื้อในตลาด ทำให้หุ้นเราดีขึ้น ผมก็เลยขายไป ได้เงิน 5,000 ล้านบาท ปี 34 เป็นปีที่ผมมีเงินหลายพันล้าน หุ้นครอบครัวผมก็จะลดลงมาเรื่อยจนเหลือ 50 นั่นคือสิ่งที่เราขายหุ้นเอาค่ากำไรเข้ามาก็เก็บเงินสดไว้บ้าง เหลือไว้ส่วนหนึ่งเพื่อควบคุมบริษัทบ้าง ถ้าเรากลัวเขายึดเราก็เก็บหุ้นไว้ครึ่งหนึ่ง

รวยเพราะเงินต่างชาติ

ต่อมาปี 35-36 ก็ขายหุ้นเพิ่ม ตอนนั้นมีเงินสดประมาณหมื่นล้านแล้ว มาเข้าการเมืองตอนนั้นอายุ 42 เห็นแสงสว่างตอนนั้น เริ่มได้ตังค์แล้ว ตามที่ได้พูดกับภรรยาไว้ว่าเราไปเรียนกลับมาสักวันต้องมีร้อยล้าน เท่ากับว่าผมไปเรียนปริญญาเอกกลับมาปี 22 ใช้เวลา 12 ปีก็หาเงินได้ร้อยล้านครั้งแรก หลังจากนั้นมีมากเพราะเอาหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ครอบครัวผมเงินทั้งหมดส่วนใหญ่ได้จากต่างประเทศ หุ้นครอบครัวผมเป็นหุ้นที่กองทุนต่างประเทศชอบซื้อ แม้กระทั่งล่าสุดที่ขายให้เทมาเส็กก็เป็นเงินที่ต่างประเทศเอาเข้ามา ไม่ได้เป็นการเอาเงินในไทยเลย เล่าสู่กันฟังว่ากว่าจะมาเป็นวันนี้ต้องชิงไหวชิงพริบและทำให้ต่างประเทศเชื่อถือถึงจะเอาเงินเขามาได้ ดวงผมบังเอิญว่าทำมาหากินต่างประเทศดี

เมื่อเดือนเมษายน 35 ตอนนั้นเราต้องการจะเพิ่มทุนบริษัท และต้องการให้บริษัทเป็นที่รู้จักทั่วโลก ก็ไปทำโรดโชว์กับนักลงทุนทั่วโลก ไปบอสตัน นิวยอร์ก และกลับมาลอนดอน ตอนนั้นคุณหญิงก็พาลูกๆไปเจอที่ลอนดอน หลังโรดโชว์จบก็มาตกลงกันว่าจะขายหุ้นราคาเท่าไร และขายกี่หุ้น ตอนนั้นใกล้พฤษภาทมิฬด้วย ที่ปรึกษาก็อึกอักๆบอกว่าหุ้นที่ตั้งใจจะขายขอรับประกันแค่ครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่าเดี๋ยวเสียชื่อนะ เหมือนกับว่าไม่น่าเชื่อถือ เอางี้ดีกว่า จะขายหรือไม่ไม่เป็นไร เอาให้ชัด คืนนี้มาบอกผมแล้วกัน คิดเสร็จเขาก็กลับมาบอกว่าเขาวิตกเรื่องการเมืองในประเทศไทย ผมก็บอกว่าอย่าวิตกเลย ประเทศไทยการเมืองเปลี่ยนบ่อยเหมือนเปลี่ยนฤดู อย่าไปสนใจเรื่องการเมืองนัก เขาบอกว่าวิตกขอซื้อครึ่งเดียวได้ไหม ผมก็บอกว่างั้นอย่าซื้อเลย ขอบคุณนะ ผมจะไปเที่ยวแล้ว จากนั้นก็พาลูกเมียไปเที่ยวแล้วก็ไม่ขายเลย จนพฤษภาทมิฬหุ้นร่วงพรวด ผมก็เฉยๆ หลังเหตุการณ์จบก็ขายหุ้นได้ถึง 5,000 ล้านบาท

อย่าใช้เงินผิดประเภท
สิ่งที่เล่าให้ฟังจะสื่อว่าท่านต้องรอบรู้ว่าการเมืองจะเป็นอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่ชั่วคราวแล้ว เอาเป็นเอาตาย 3-4 ปีไม่จบ นักลงทุนต่างประเทศหนีหมดแล้ว เพราะอะไร เพราะเราเอง วันนี้เรากำลังไม่เข้าใจโลกอย่างแรง ผมนั่งอยู่ดูไบมองต่างประเทศว่าเขาไปยังไง ไปถึงไหนแล้ว ไทยคือศูนย์กลางเศรษฐกิจของอาเซียน แต่กลับลากอาเซียนลงเนื่องจากการเมืองในประเทศยังบิดเบือนกลไก ไปแทรกแซงระบบที่มีมาเป็นสิบๆปี บ้านเราไม่มียุทธศาสตร์เพื่อชาติ มีแต่เพื่อฟาดฟันกันเอง นี่คือสิ่งที่เราไม่แก้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ

กลับมาพูดกันต่อ เพราะว่าผมต้องการจะเน้นให้บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหลายได้เห็นว่าทำยังไงให้หุ้นตัวเองดี สำคัญที่สุดการซื้อขายหุ้นคนไทยเป็นส่วนน้อยที่จะลงทุนในตลาดหุ้น ท่านจะต้องมีความสัมพันธ์กับนักลงทุน มีการโรดโชว์ทั้งในและนอกประเทศ ตอนผมเข้าตลาดหุ้นใหม่ๆพูดแบบนี้วันละ 2 รอบ 3 รอบ พูดเป็นเทป พูดไปไม่เท่าไรก็ทำให้บริษัทเราเป็นที่รู้จัก ที่สำคัญท่านอย่าใช้เงินผิดประเภท เรื่องนี้น่ากลัวมาก ผมจะเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงไม่ใช้เงินผิดประเภท เพราะผมถูกสอน ตอนที่หุ้นยังไม่เข้าตลาดมีเงินครั้งแรก ดีใจไปซื้อที่ดิน เสร็จปั๊บเวลาเศรษฐกิจแย่จะขายไม่มีใครซื้อเลย ผลสุดท้ายก็ขายไม่ได้ ธุรกิจมีปัญหา จะเอาเงินมาใส่ก็ไม่ได้ ธุรกิจก็มีปัญหาอีก เอาไปเข้าแบงก์ๆก็ไม่รับ

นำทุกบริษัทเข้าตลาด

เพื่อนผมคนหนึ่งก็มาเตือนว่าอย่าทำนะ คนเอเชียชอบทำ อย่าใช้เงินมั่ว ผมก็ท่องไว้เลย ขนาดว่ามีตังค์แล้วยังไม่ยอมซื้ออสังหาริมทรัพย์เลย เอาเงินส่วนตัวไปซื้อแทน การซื้อตึกชินฯที่พหลโยธินก็ตกกระไดพลอยโจนเหมือนกัน และลงทุนสร้างตึกนี้ 700 กว่าล้านโดยไม่ใช้เงินบริษัทเลย นั่นคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนไม่สับสน ชัดเจนว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ก็สร้างชินฯ 1 เสร็จ ชินฯ 2 สร้างเสร็จจะขายแต่ว่าไม่ได้ขาย เพราะตอนนั้นคนเป็นเจ้าของคือพี่ชายของรัฐมนตรียุติธรรมในปัจจุบัน และก็ซื้อตึกนี้ไว้ เป็นการลงทุนครั้งที่ 2 มีเงินแล้วจึงไปสร้างตึกชินฯ 3 ไปซื้อที่จากเพื่อนที่มีปัญหากับธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่ครอบครัวลงทุนหมด กลุ่มชินฯไม่ได้ลงทุนเลย ให้คนอื่นมาเช่า ที่สุดก็กลายเป็นเอสซี แอสเซท

ค่อยๆสร้างทีละส่วนๆแต่เราจะต้องแยกแยะให้ออก อย่ามั่ว อย่าพัน ระหว่างที่ชินฯเข้าตลาดไปแล้วนั้นเอไอเอสก็แข็งแรง ผมก็เอาเข้าตลาด บริษัททุกบริษัทของผมโตขึ้นก็แยกกันเข้าตลาด เพราะว่าวันหน้าวันหลังการลงทุนที่ขยายทุนมากๆเราจะได้ไม่ต้องควักเงินส่วนตัวเยอะเกินไป

ต้องรู้เท่าทันระบบทุนนิยม

วันนี้ท่านทั้งหลายต้องรู้ทันระบบทุนนิยม เราต้องอยู่กับมัน ไม่จำเป็นต้องชอบ แต่ว่าวันนี้เป็นการแข่งขันด้วยทุน ต้องมีทุน ถ้าไม่มีเขาไม่นิยม ทุนไม่มีก็หาให้มี เช่นกันครับ ถ้าประเทศไทยบอกว่าทำนาส่งออกข้าวได้ที่หนึ่งของโลกเรามีสิทธิภูมิใจ แต่ถ้ามองกลับไปทำไมต้องให้คนจนทำนา เราลดจำนวนชาวนาได้ไหม เหลือเป็นชาวนาที่มีเครื่องจักร แล้วลูกหลานชาวนาเป็นอย่างอื่นได้มั้ย ทำไมต้องบอกว่าปู่เอ็ง พ่อเอ็งเป็นชาวนา เอ็งก็ต้องเป็นชาวนา แต่กลับภูมิใจว่าส่งออกข้าวเป็นที่หนึ่งของโลก เราควรย้อนกลับมาดูว่าควรภูมิใจหรือไม่ เรามีทางเลือกอื่นไหม

มีครับถ้าเราเข้าใจหา อย่างที่เล่าที่ดูไบเขาเอาต่างชาติมาเป็นลูกน้องคนท้องถิ่น แต่ของเราเอาต่างชาติมาเป็นนาย เราเป็นลูกน้อง เป็นเถ้าแก่อยู่ดีๆส่งลูกไปเรียนเมืองนอก ไปเป็นลูกจ้างฝรั่ง ภูมิใจมาก เป็นอะไรที่ทำไมไม่ให้เขาเป็นเถ้าแก่ นี่คือจุดอ่อนของเราที่ตามโลกไม่ทัน แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นคนที่มีอำนาจแฝงสามารถสั่งการให้ระบบเพี้ยนได้ยังมีอยู่ ถึงได้ยุ่งกันถึงทุกวันนี้

พบกันทุกวัน

ปี 37 ผมไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนั้นเข้าพรรคพลังธรรม คุณจำลอง (ศรีเมือง) เกรงว่าเวลาจะไม่พอ เรื่องคุณจำลองมันยาว แล้วก็มีเรื่องคุณบรรหาร (ศิลปอาชา) และวิกฤตเศรษฐกิจ ผมจะเล่าให้หมดเลย วันนี้จะเอาเรื่องหนักๆในอดีตมาเล่าให้ชัด จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ผมจะขอเล่าเป็นตอนละครึ่งชั่วโมงทุกวันจันทร์-ศุกร์ ที่พีเพิลชาแนลและทักษิณไลฟ์ จะเล่าชีวิตจริง ละครหลังข่าวของผมที่เป็นนักธุรกิจมาสู่การเมือง จะขอเล่าอย่างชัดเจน ตรงไปตรงมา

วันนี้ขอตอบคำถาม...อยากให้ท่านเตือนสามเกลอด้วย...ขอเรียนอย่างนี้ว่า ได้คุยกันทุกฝ่ายแล้วว่าเราต้องการต่อสู้แบบสันติวิธี อหิงสา แต่เราก็ต้องมีการ์ด มีคนคอยดูแลฝูงชนจำนวนมาก แล้วเราก็มั่นใจว่าจะไม่ถูกรังแก เราจะต้องป้องกันจะสู้อย่างสันติแต่ไม่อ่อนแอ

ถาม...อยากให้ซื้อทีมฟุตบอลที่อังกฤษอีก

ตอบ...ตอนนี้ยังตามเชียร์แมนฯ ซิตี อยู่เลย ผมก็ตามเชียร์ แต่วันก่อนไปแพ้เอา 2-1 ผิดหวังมาก เรื่องไปซื้ออีกคงไม่ไหวนะครับ

ถาม...ทำพ็อกเก็ตบุ๊คเรื่องการสร้างตัว

ตอบ...ตอนนี้ก็ให้คนเขียนที่ผมเล่าไปเกลากันอีกที บางครั้งก็มีประเด็นปลีกย่อยเยอะแยะ ถ้าทำไว้ก็คงให้ลูกหลานศึกษา

ครับ วันนี้ใช้เวลาเกินมานิดหน่อย ขอบคุณที่ติดตามรับชม พรุ่งนี้จะเล่าถึงตัวละครแต่ละคน ใครที่เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตผม ไม่ต้องกลัวครับ ผมตรงไปตรงมา ไม่ใส่สี วันนี้ขอบคุณครับ

คอลัมน์ :คำต่อคำ..ทักษิณ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อัจฉริยะนอกประเทศ ของชายที่ชื่อ “ทักษิณ”

“ครัวโลก” แนวคิดนี้ได้แต่คิด แต่ทำเป็นรูปธรรมยังไม่สำเร็จ ทันทีที่ท่านทักษิณเริ่มต้นผลิตสินค้าสำเร็จรูปที่เป็นอาหาร “ฮาลาน” เพื่อส่งไปขายยังประเทศแถบภาคตะวันออก ก็เกิดเหตุการณ์โจรใต้ขึ้นมาทันที เรื่องนี้ อาจมีสาเหตุเกี่ยวโยงไปถึงเพื่อนบ้านที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ส่งออกอยู่แล้ว แต่เรายังหาคำตอบและข้อสรุปไม่ได้ ว่า จริงหรือไม่ ดังนั้นประเด็นนี้ผมจึงไม่เอามาเกี่ยวโยงด้วย

ทำไมต้องเป็นสามจังหวัดภาคใต้เท่านั้น ที่ต้องเป็นผู้ผลิต ทำไมที่อื่นถึงทำไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์3จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สงบ ทั้งนี้เนื่องมาจากเหตุผลที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นที่รู้กันในหมู่ประเทศมุสลิมว่า เดิมทีเป็นรัฐหนึ่งของอิสลาม และมีชาวมุสลิมมากกว่า90 เปอร์เซ็นต์ในพื้นที่แห่งนี้ คนในหมู่มุสลิมที่เคร่งศาสนา จะทานแต่อาหารที่ชาวมุสลิมเป็นผู้ประกอบอาหารให้เท่านั้นเพราะไว้ใจในเรื่องความสะอาด ที่ปราศจากสิ่งต้องห้ามในคำสอน

โรงงานต้นแบบนี้เกิดขึ้นแล้วที่หน่วงงาน พลพัฒนา (ที่โดนปล้นปืนไปกว่า 400 กระบอกในครั้งแรก) โดยเหล่าแม่บ้านทหารที่สามีและตนเองนับถือศาสนาอิสลามเป็นผู้ทำงาน และเริ่มผลิตไปแล้วด้วยกรรมวิธีทันสมัยโดยงบของพลพัฒนาเอง ท่านทักษิณได้เชิญตัวแทนที่อยู่ในกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเข้าเยี่ยมชมเป็นระยะๆ หลายครั้ง สิ่งที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาในเบื้องต้นก็คือ ข้าวสวยอัดใส่กระป๋อง ที่สามารถอยู่ได้นานถึง 6เดือน และสามารถเปิดกระป๋องนำมารับประทานได้เลยโดยที่ไม่ต้องผ่านกระบวนอะไรอีกทั้งสิ้น ทั้งที่เมื่อก่อนเราเคยแต่ส่งข้าวนึ่งตากแห้งออกไป แต่เมื่อจะนำมารับประทานก็ยังต้องผ่านความร้อนอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ข้าวบานตัว จึงจะสามารถนำมารับประทานได้ ซึ่งถือว่าเป็นกรรมวิธีที่ล้าหลังมาก และ ยังไม่สะอาดพอ อาจมีฝุ่นผงและสิ่งต้องห้ามบางชนิดติดไปกับข้าวได้ แต่วิธีการสมัยใหม่นี้สามารถเอาข้าวสวยอัดใส่กระป๋องได้เลย ยังไม่เคยมีใครหรือประเทศใดทำมาก่อน

หลายท่านคงคิดว่าเรื่องปกติธรรมดา เป็นเพียงการแข่งขันด้านการตลาดเท่านั้น ส่วนการถนอมอาหารให้ได้อยู่นานก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่แปลกใหม่อะไรไม่น่าเอามาเขียนและเล่าให้ฟังในที่นี้

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมอยากนำเอามาเล่า และให้เห็นถึงว่า วันนั้นถ้าโครงงานนี้สานต่อประเทศไทยจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ท่านยังจำ “นโยบายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการค้าข้าว”ได้หรือไม่ โดยทีรวมเอาประเทศแถบลุ่มแม่น้ำโขงและเวียดนามเข้ามารวมเป็นองค์กรใหม่ ที่คล้ายกลุ่มโอเป็ด ที่ผลิตน้ำมัน แต่ของกลุ่มพวกเราในย่านนี้ผลิตข้าวแทน ในแนวคิดที่ว่า “เมื่อตะวันออกกลางเป็นเจ้าของพลังงานโลกได้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นเจ้าของธัญพืชโลกได้เช่นกัน” โดยที่พลังงานมีทางเลือกได้ แต่อาหารไม่มีทางเลือก ยังไงสิ่งมีชีวิตทั้งโลก ก็ยังต้องการอาหาร รายละเอียดที่ ทำไมประเทศอื่นถึงไม่ปลูกเองบ้าง มันมีปัจจัยหลายอย่างที่จะกล่าวถ้ามีโอกาสต่อไป แต่ผมมีปริศนาในตอนนี้ให้คิด ทำไม ประเทศจีนที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล มีเกษตรกรเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ของพลเมืองทั้งประเทศ ยังต้องมาลงทุนปลูกข้าวและตั้งโรงสีเองในประเทศไทย และข้าวจำนวนนั้นก็ไม่ได้ขายในเมืองไทยแต่ทั้งหมดส่งกลับไปขายที่ประเทศจีนเองเท่านั้น

การที่จะให้ข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่มีราคาเช่นน้ำมัน จะทำอย่างไร?

การควบคุมอัตราการผลิตของข้าวในแต่ละปี เช่นเดียวกับการควบคุมการผลิตน้ำมันแต่ละวัน จะต้องทำอย่างไร?

การเพิ่มปริมาณของข้าวทันที เมื่อโลกขาดแคลน จะทำอย่างไร?

คุณภาพของข้าวจะได้คงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจะทำอย่างไร?

ทั้งหมดนี้ จะต้องมีขบวนการที่ทำได้ ร่วมมือกันหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน และ อย่างลืมว่า ผลประโยชน์ทั้งหมดต้องกลับไปอยู่กับ เกษตรกรเหมือนเดิม ท่านทักษิณเองมีบุคลากรพร้อม ที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมด ถ้าเรื่องนี้ไม่สะดุดลงเสียก่อน ในครั้งรัฐประหาร และสุดท้ายเรื่องนี้ก็ปิดประตูลงเพราะไม่มีใครสานต่อ

เมื่อครั้ง ที่ท่านสมัครเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านทักษิณได้เชิญกลุ่มนักลงทุนมาจากประเทศตะวันออกกลาง ที่มีฐานะการเงินอย่างมั่งคั่งเข้ามาดูการทำนาของประเทศไทย และท่านทักษิณได้พาคณะฯเข้าไปพบคุณประพัทธ์ โพธิสุธน ที่บ้านในจังหวัดสุพรรณบุรี แต่การเข้าพบพูดคุยในครั้งนั้นกลับกลายเป็นผลร้ายกับตัวท่านเองในภายหลัง โดยถูกล่าวหาว่าท่านกำลังเอาประเทศไทยไปขาย และทำให้เรื่องนี้ต้องเก็บเข้าลิ้นชักไป อีกทั้งยังไม่มีใครได้รับรู้ข้อเท็จจริงมันคืออะไรกันแน่

ประมาณกลางเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสได้นั่งคุยกับนายทหารเขมรคนหนึ่ง ที่มียศไม่มากนักแต่รู้จักทหารไทยดีทุกคน สามารถโทรเบอร์ส่วนตัวไปคุยกับนายทหารใหญ่ในกองทัพไทยได้ เราได้นั่งคุยกันถึงเรื่องการทำนาของชาวเขมร เขากล่าวให้ผมฟังดังนี้ในเรื่องที่เหลือเชื่อมากๆ ข้าวในประเทศเขา จะกลายเป็นสิ่งมีค่าที่สุดในอนาคตอันใกล้นี้ และชาวนาของเขาจะมีรายได้มากกว่าการทำงานอาชีพอื่นใดๆ ทั้งสิ้น

ผมซักถามรายละเอียดกับเขาเรื่องนี้อย่างสงสัย เขาอธิบายความให้ฟังแบบที่เขาเข้าใจได้ ดังนี้

มีข้อตกลงกันระหว่างรัฐบาลกับพ่อค้าในประเทศซาอุฯ ที่จะมีการแลกเปลี่ยนกันระหว่างข้าวกับน้ำมันโดยตรงไม่มีการซื้อขาย เช่นข้าวหนึ่งตันแลกกับน้ำมันดิบหนึ่ง บาเลนส์ โดยที่คนของพ่อค้าจะเข้ามาดูและการปลูกข้าวด้วยตัวเอง เพื่อให้เป็นไปตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อเป็นดังนั้น รัฐบาลจึงต้องตั้งหน่วยงานนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะหลายเรื่อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ เช่น รัฐจะซื้อข้าวทั้งหมดกับชาวนาโดยตรง หรือ แค่ประกันราคาให้เท่านั้น การจัดการกับน้ำมันรัฐบาลจะทำอย่างไร ลงทุนตั้งโรงกลั่นเอง หรือให้เอกชนมาลงทุน เหล่านี้ต้องมาศึกษาทั้งสิ้น
ชึ่งสรุปได้ดังนี้ ชาวนาจะได้รับเงินก่อนการปลูกข้าว แต่ต้องเอาพันธุ์ข้าวที่เขาต้องการให้ปลูกเท่านั้น ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง เครื่องจักรเครื่องมือ นายทุนออกเองทั้งสิ้น

เจ้าของที่นาเพียงแต่ดูแลนาในส่วนของตนเอง ให้ได้ปริมาณและคุณภาพของข้าวตามที่พวกเขาต้องการ เมื่อผลผลิตออกมาพวกเขารับซื้อทั้งหมดในราคาที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่จ่ายเป็นน้ำมันแทน และรัฐบาลจะแปลงเป็นเงินให้

แต่ทั้งหมดนี้รัฐบาลเขมรไม่ต้องคิด มีคนออกแบบให้แล้วโยนมาให้เสร็จ ชาวนาจะได้ข้าวตันละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ถ้าหนึ่งครอบครัว ทำนา50ไร่ จะได้เงินต่อ 6เดือน ประมาณ750000 บาท ถ้าคิดเป็นปีจะได้ 1.5 ล้านบาท(ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายหรือภาษี และ กันอีกส่วนหนึ่งไว้กินเองภายในประเทศ) ผมถามเขาว่าแล้วใครเป็นคนคิดให้ คำตอบที่เขาตอบมาฟังแล้วอยากร้องไห้ “สงสัยทักษิณคิดให้”

การดำเนินการในช่วงนี้ ได้ออกแบบโรงสีและโรงงานแปลรูปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าเมื่อตกลงกันได้จะมีนายทุนคนเดิมเข้ามาแปลรูปเป็นอาหารฮาลาน แล้วส่งกลับไปประเทศในกลุ่มอาหรับ ถ้ามีคนอาหรับเข้ามาลงทุนในประเทศของเขาก็จะมีการสร้างงาน มีแหล่งท่องเที่ยว มีโรงแรมมีสนามกอล์ฟ และคนในประเทศของเขาก็จะมีงานทำ มีอาชีพอีกมากมาย

สิ่งที่ได้คือน้ำมัน ส่วนกำไรเอาไว้ใช้ในประเทศ ส่วนที่เหลือก็ขายให้พวกคนไทยไง ถ้าประเทศไทยไม่ซื้อก็ขายให้สิงคโปร์แทน เดี๋ยวคนไทยก็ไปซื้อกลับมาเอง จีน เวียดนามขายได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่า ไทยใกล้กว่า ค่าขนส่งถูก คำถามที่ผมถามเขา ก่อนกลับ “คิดว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป” คำตอบ “เดี๋ยวก็ปฏิวัติอีก เอาอะไรกับประเทศคุณ”

ผมย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ ครัวโลก อาหารฮาลาน โจรป่วนใต้ แหล่งพลังงานในเขมร ปตท. เหล่านี่พันธมิตรออกมาโจมตีทั้งสิ้น ว่าท่านทักษิณขายชาติ วิงวอนให้คนไทยไปใช้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่คนขายชาติคนนี้กลับมีคนที่อยู่นอกประเทศคิดจะให้เป็นที่ปรึกษาและมาลงทุนในประเทศเขาแทน มันอะไรกันนักหนากับประเทศไทย ทำไมมองประโยชน์ที่จะเกิดกลายเป็นโทษทั้งหมดไปได้ แล้วก็ขับไล่คนผู้นั้นออกไป ปล่อยให้ประเทศล่มจม ซะอย่างนั้น

งงไหมครับท่านผู้อ่าน ข้าวสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ ขุดในที่นานี่เอง ขุดแล้วไม่มีวันหมดด้วยครับ คนอะไรคิดได้ขนาดนี้

เขาละ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่แม้แต่ตนเองยังเข้าประเทศไทยไม่ได้เลย ที่ทำได้ก็ช่วยให้ประเทศอื่นเขารวย เท่านั้น

เขียนโดย :อ่างขาง

ใครเผลอก็ตาย!

แม้จะเป็น “เสือแก่” ไร้เขี้ยวเล็บที่แหลมคมและกำลังวังชาถดถอยตามสังขาร แต่ก็ไม่ได้ไร้กึ๋นไร้สมองเป็นพวก “แก่กะโหลกกะลา”

“ป๋าเหนาะ” ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวังน้ำเย็น แม้จะประกาศ “ล้างมือในอ่างทองคำ” ปล่อยให้รุ่นลูกรุ่นหลานรับมรดกน้ำเน่าต่อไป

แต่วันนี้ “เสือแก่” อาจต้องลากสังขารกลับลงบ่อน้ำเน่าอีกครั้งเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี หลังจากถูก “เจาะยาง” จาก “สะตอ” ที่กัดไม่ปล่อยกรณีที่ดินอัลไพน์ จนกระทั่ง ป.ป.ช. เชือดว่าเป็นการ “ทุจริต” ต่อไปก็อยู่ที่อัยการจะเป็นเต่าหรือกระต่าย เพื่อดำเนินการส่งศาลการเมืองเชือดต่อ

แต่น้ำเน่าก็คือน้ำเน่า!

การเมืองไทยไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ จึงไม่แปลกถ้าจะทำให้ทุกอย่างเป็น “สีเทา”

คดีการเมืองมากมายที่ถูกหมกเม็ดจนหมดอายุ หรือใช้กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นบิดเบือนประเด็น อย่างกรณีที่ดินเขายายเที่ยงเห็นชัดเจนถึงตาชั่ง 2 มาตรฐาน

แม้แต่รัฐบาลยังถูกประณามเป็นเยี่ยง “โจรปล้นอำนาจ”

กว่า 1 ปีของ “หล่อหลักลอย” จึงยังวนเวียนอยู่แค่การเดินสาย “สร้างภาพ” ตวัดลิ้นและโชว์ตัวให้ผ่านพ้นไปวันๆ

ใน “แก๊งโจรสลัด” จะตั้งโต๊ะกินหัวคิว กินเปอร์เซ็นต์ กินโควตา เล่นพรรคเล่นพวกไม่พอ ยังปิดห้อง “ตุ๋ยเด็ก” อีก

“แต๋วแตก” จึงไม่ใช่มีเฉพาะ “สีเขียว” แต่ “สัตว์การเมือง” ก็ “แต๋ว” และ “ตุ๊ด” กันสนุกสนาน!

“หล่อหลักลอย” ไม่ใช่จะใบ้รับประทานกับ “ก๊วนร่วมแก๊ง” เท่านั้น แม้แต่ใน “ก๊วนสะตอ” ก็ร้อนระอุ เพราะ “ผู้มีบารมี” ในก๊วนรวมหัวกัน “ขีดเส้น” ให้เลือกระหว่าง “ปัจจุบัน” กับ “อนาคต”

เพราะเห็นว่าหาก “หล่อหลักลอย” ยังป้อไปป้อมาและต้อง “ปิดหู ปิดตา ปิดปาก” เป็นเหมือน “ลิง 3 ตัว” ให้ “แก๊งโจรสลัด” โขกสับต่อไป ไม่เพียงนับถอยหลังเร็วแล้ว “อนาคต” ก็พลอยดับวูบลงไปด้วย

ถ้าจะดับเฉพาะอนาคต “หล่อหลักลอย” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องตีโพยตีพาย แต่จะต้องไม่ทำให้ “สะตอ” ดับทั้งก๊วนด้วย

โดยเฉพาะ “แม่นมอมทุกข์” ที่ไม่เพียงมีถุง “อุนจิ” คดี 258 ล้านบาทที่จ่อจะยุบก๊วนสะตอแล้ว ชื่อเสียงและเกียรติยศของ “สะตอ” ที่สะสมมา 63 ปีก็อาจไม่เหลือแม้แต่ความทรงจำ

สัญญาณที่ส่งผ่านออกมาขณะนี้จึงไม่ใช่แค่เปลี่ยน “แม่บ้าน” แม้แต่ “หล่อหลักลอย” ก็อาจถอดหัวโขนเร็วกว่าที่คิด

เพราะ “งูเห่ากับพังพอน” เป็นคู่กัดกันตลอดกาล ใครดีใครอยู่ ใครเผลอก็ตาย!

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

ลั่นขน'แดง'บุก!! หากสภาฯล้มร่างคปพร. ปัด'ชุมนุมใหญ่'20ก.พ. ชี้'ข่าวโคมลอย'ทำลาย

"หมอเหวง" ขู่ขนม็อบแดงบุกสภาฯ หากที่ประชุมร่วมล้มร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.
ถามพรรคร่วมไม่เอาด้วย เพราะสมประโยชน์จัดสรรงบประมาณกับประชาธิปัตย์หรือไม่

วันที่ 11 ก.พ.2553 นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า

หากที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาเลื่อนญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ คปพร.ออกไป รัฐบาลต้องชี้แจงและเตรียมคำตอบให้
ประชาชน 2 แสนคน ที่มาร่วมลงชื่อยื่นญัตติแก้รัฐธรรมนูญ มิเช่นนั้นจะทำให้คนกลุ่มนี้โกรธแค้น และอาจเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน

เพราะร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.เป็นประโยชน์กับพรรคร่วมรัฐบาล และมีเนื้อหาตรงกับที่พรรคร่วมรัฐบาลอยากให้แก้
หากพรรคร่วมฯ ไม่เอาด้วย ก็อยากตั้งคำถามว่า ตอนนี้สมประโยชน์เรื่องงบประมาณกับพรรคประชาธิปัตย์ หรือมีการแบ่งเค้กลงตัวแล้ว
ใช่หรือไม่ ถามว่าจะยอมกินน้ำใต้ศอกต่อไปอีกนานเท่าใด ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงมียุทธศาสตร์เตรียมตอบโต้ไว้แล้วเช่นกัน

เมื่อถามถึง ข่าวเสื้อแดงกำหนดชุมนุมใหญ่วันที่ 20 กุมภาพันธ์นี้

น.พ.เหวง กล่าวว่า เป็นข่าวโคมลอย ตนเป็นแกนนำยังไม่รู้ข่าวนี้ เชื่อว่าบางคนปล่อยข่าวจงใจให้เห็นว่า
เสื้อแดงกดดันศาลก่อนตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ที่มา:เว็บบอร์ด คนไทยูเค

***********************************************************************

ในที่สุดรายการ "นายกฯทักษิณพบประชาชน" ของผมก็กลับคืนมาช่วง Prime time ด้วย


ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของรายการ "นายกฯทักษิณพบประชาชน" ตั้งแต่จัดที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยแล้ว ต้องตั้งนาฬิกาปลุกให้ตื่นให้ทันในเช้าวันเสาร์ให้ได้ แม้ไปทำอย่างอื่น ก็ต้องกลับไปดาวน์โหลดอ่านที่เขาถอดเทปในเว็บ "กองงานโฆษกรัฐบาล" อ่านจนได้ ช่วงที่นายกฯทักษิณเป็นนายกฯ เรียกว่าผมไม่เคยไม่ได้ฟังหรืออ่านรายการเลย แม้ไปต่างประเทศแล้วผมก็ดาวน์โหลดมาฟังมาอ่านจนได้

เมื่อรายการนี้หายไป ดูเหมือนว่าชีวิตจะขาดอะไรไปสักอย่าง เพราะการฟังคนที่มีประสบการณ์จริง เป็น CEO เคยผ่านงานใหญ่ ๆ มาแล้วนั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

ผมไม่อยากฟังนัก โวหารหรือคนที่จำหนังสือมาพูดแบบอภิสิทธิ์ ไม่้มีประสบการณ์ตรง เพราะผมเป็นนักอ่านหนังสือตัวยง อ่านจนสายตาสั้น ดังนั้น การหยิบเอาหนังสือแล้วมาพูดผมถือว่าดูถูกผมมาก เพราะผมก็อ่านพอๆ กันนั้นแหละผมอยากฟังประสบการณ์ตรงมากกว่า เรื่องที่ผมไม่ได้อ่านก็ถือว่าผมไม่สนใจ ก็แค่นั้นเอง ในแง่นี้ผมไม่ได้คิดว่าอภิสิทธิ์มีอะไรดีกว่าผม จนผมต้องฟัง

ตอนนี้ท่านนายกฯทักษิณ มาจัดรายการพูดเรื่องต่างๆ ประสบการณ์ชีวิตใน People Channel ช่วง 20.3-21.00 ทุกวันแล้ว เ็ป็นช่วง Prime Time เสียด้วย ทำให้วันคืนเก่าๆ ของผมกลับคืนมา ผมต้องตั้งนาฬิกาเอาไว้ 20.30 น. จะได้่ไม่พลาด

People Channel เรตติ้งกระฉูดแน่ๆ ครับ โดยเฉพาะนักธุรกิจ หากใครไม่ฟัง ถือว่าเสียโอกาสอย่างมาก ไม่ต้องเสียเงินไปนั่งฟัง CEO ฝรั่ง ทักษิณนี่ถือว่าสุดยอดของโลกแล้วในด้านธุรกิจและยอด CEO ฟังฟรีเสียด้วย แค่ไปซื้อจานดาวเทียม 2000 บาท

ไม่งั้นวิทยุชุมชน ก็เอาไปถ่ายทอดต่อได้ครับ

สรุปคือ การเมืองตอนนี้แพ้ชนะ ได้ตัดสินไปแล้วครับ เป็นเรื่อง Matter of time เท่านั้น

อาวุธที่ทรงอานุภาพที่สุดของทักษิณคือ "รายการนายกฯทักษิณพบประชาชน" นี่แหละครับ


มีทุกวันเริ่มตั้งแต่วันนี้ครับ แต่ก่อนจัดทุกวันอังคาร เวลา 20.30-21.30 น. วันละชั่วโมง แต่มันนานตั้งอาทิตย์กว่าจะได้ฟังอีก ทำให้แฟนคลับโวยวาย ว่ามันไม่ต่อเนื่องมันค้าง ท่านนายกฯทักษิณเลยขอเพิ่มเป็น จัดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ แต่วันละครึ่งชั่วโมง ยกเว้นวันอังคาร หนึ่งชั่วโมงเหมือนเดิมครับ

ที่มา: thaifreenews
โดย..ลูกชาวนาไทย

วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดาบสุดท้าย !!!!


น่ากลัวสุด สุด..สมัยโบราณ การ “ประหารชีวิต” นักโทษ..คือการทำต่อหน้า “ประชาชน” เพื่อให้รับรู้ถึงความผิดของผู้ที่กำลังจะ
โดนประหารด้วย การร่ายรำ ผสม เสียงปี่กลอง ซึ่งจะทำให้ “นักโทษ” เกิดอาการ “สยิวใจ” เป็นยิ่งนัก..ซึ่งมันเย็นเยียบยะเยือกเข้าไป
ถึงก้นบึ้งหัวใจทีเดียว!! จากนั้นก็ “ลงดาบประหาร” เรียกว่า “ดาบสุดท้าย”!!

เฉกเช่นเดียวกัน..กับที่ พรรคประชาธิปัตย์ กำลังกระทำการประหาร พรรคร่วมรัฐบาล ที่ถูกเพ่งเล็งชี้ว่าเป็น “นักโทษ”??

หลังจากที่ “ร่ายรำ” ให้ประชาชนคนทั่วประเทศได้รับรู้ว่า ในการที่ ไม่ร่วมทำการแก้ไข รัฐธรรมนูญ ด้วยแล้ว..ขณะนี้กำลังเตรียมลง
“ดาบสุดท้าย” นั่นคือ ทำการ รื้อโครงการ ต่างๆ ของ พรรคร่วม โดยเฉพาะ พรรคภูมิใจไทย..ที่เคย ภูมิใจนัก-ภูมิใจหนา ว่าเป็นผู้มี
คุณอนันต์ในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลนี้ขึ้นมา

หมด-หมดสิ้นไม่เหลือฟอร์มของผู้อุปการะ..วาดหวังไว้ว่า คมนาคม ที่ให้ โสภณ ซารัมย์ นั่งเป็นเจ้ากระทรวงดูแล จะสร้าง “ผลงาน”
และ “ผลเงิน”!!

แต่..ขณะนี้ “ซารัมย์” ยังหา “ซาเล้ง” นั่งกลับบ้านไม่ถูก?? นอกจากกำลังจะถูก “รื้อโครงการ” แบบ “ย้อยเก็บฉากลิเก” แล้ว..
ยังถูกพรรคประชาธิปัตย์นำ มาประจานให้ชาวบ้านรู้ว่า เงินของแผ่นดิน เป็น หมื่นล้าน-แสนล้าน ที่จะนำมาเทลงไปนั้น ไม่ก่อเกิดประโยชน์
ต่อชาวบ้านอันใดเลย

อภิสิทธิ์ /กรณ์ /ไตรรงค์ /กอร์ปศักดิ์.. เดิน “เกมแรง” และ เร่ง “เกมเร็ว”!!

เพราะคิว “เลือกตั้งใหม่” จะ ลงโรงฉาย เป็นโปรแกรมต่อไปค่อนข้างแน่

“ภูมิใจไทย” จึงต้องถูกฆ่าเป็นอันดับแรก..เพราะยังไงชาตินี้ก็มิมีโอกาสที่จะร่วม “สังฆกรรม” กันอีกแน่

ในอนาคต “ไก่กับงู” เห็นกันหมดแล้ว จะมีอะไรมากกว่า “ตีนกับนม”??

ขณะนี้ “ภูมิใจไทย” กำลังนั่งพนมมือฟัง เสียงปี่กลอง ด้วยใจสยิวสุดๆรอ “ดาบสุดท้าย” ที่กำลังเงื้อใส่อย่างสุดแขน..
หัวหลุดกระเด็นไม่พอ ยังมีปากห้อยให้เห็นอีกตะหาก..อนาถโว้ย!!


โดย:หนุ่ม ชิงชัย
*******************************************************************************

แก้ไม่ถูกจุด...!!!!???

วิพากษาวิจารณ์กันมาแทบทุกยุคทุกสมัยเรื่องการวิ่งเต้นซื้อขายเก้าอี้แต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ

พอโผตำรวจประกาศออกมา ก็ต้องร้องเรียนเป็นประจำ

ไม่ใช่การร้องเรียนไม่ดี

เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะตำรวจที่ร้องเรียนส่วนใหญ่เป็นตำรวจที่ไม่ได้รับความยุติธรรม

บางนายมีอาวุโสสูงติดอันดับต้นๆ ผลงานก็อยู่ในเกณฑ์ดี หลักเกณฑ์ข้อกำหนดต่างๆ ก็ครบถ้วน

แต่พอถึงเวลาโยกย้ายจริงๆ กลับไม่ได้รับการพิจารณา

โดนพวกเด็กเส้นเงินหนากระเป๋าหนัก วิ่งเต้นข้ามหัวกันหน้าตาเฉย !?

แต่ก็ยังมีอีกพวกที่จ่ายเงินเซ็งลี้เก้าอี้ไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้ง

ก็ต้องร้องเรียนกับเค้าด้วย หวังทวงสิทธิ์ที่ไม่ค่อยจะชอบธรรมให้ตัวเอง

เพราะแวดวงสีกากีมีเซ็งลี้เก้าอี้กันทุกยุค แต่จะมากหรือน้อยแค่นั้นเอง

ที่ผ่านมาหลายรัฐบาลก็ไม่เห็นจะแก้ปัญหานี้ได้

พอมาถึงรัฐบาลนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อยู่ไม่เป็นสุข รีบลงนามในคำสั่งแต่งตั้งตั้งคณะกรรมการสอบซื้อขายตำแหน่ง

กำชับด้วยว่าให้เริ่มดำเนินการสอบสวนเลย

เพราะคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้การ-สารวัตรมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 ก.พ.นี้

การตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา คงเป็นเพราะนายกฯ มาร์คทนกระแสสังคมไม่ไหวเลยต้องรีบสะสาง และอาจมองข้ามไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ฝ่ายค้านฮึ่มๆ จะยื่นอยู่เร็วๆนี้

หากคลายปมปัญหาตรงนี้ไม่ได้ ปล่อยให้ถึงเวลาเปิดสภา มีหวังโดนฝ่ายค้านถล่มอ่วมอรทัย

อาจเสียผู้เสียคนเพราะคนใกล้ชิดก็คราวนี้ !?

ย้อนกลับไปเรื่องตั้งคณะกรรมการสอบเซ็งลี้เก้าอี้ ถ้านายกฯมาร์คอยากให้ได้ภาพใสสะอาด ยุติธรรม

ต้องจัดการกับ "บิ๊กตำรวจ" ที่เป็นโต้โผขายเก้าอี้ให้ได้จริง !!

และต้องไม่ 2 มาตรฐาน เพราะการวิ่งเต้นซื้อขายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแวดวงตำรวจอย่างเดียว

ตั๋วเด็กเส้นเด็กฝากส่วนใหญ่มาจากนักการเมือง

ยิ่งหนนี้ก็ชัดเจน คนสนิทคนใกล้ตัวนายกฯส่งตั๋วกันเป็นปึกๆ

ขาใหญ่ม็อบที่นายกฯ ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นพิเศษก็จับมือกับตำรวจเก่าบางคนฝากเด็กเป็นโขยง

ถ้าแน่จริงต้องสาวให้ถึงพวกนี้ให้ได้

สังคมจะได้ไม่แคลงใจอีก

แต่เอาเข้าจริงๆ นายกฯ อาจแก้ไม่ถูกจุด หรือมองข้ามต้นตอปัญหาที่แท้จริงไป

ตำรวจทั้งหมดรู้ดีว่าการซื้อขายตำแหน่งครั้งนี้มโหฬารกว่าทุกครั้ง เพราะยังไม่มีผบ.ตร.ตัวจริงเสียที

รักษาการผบ.ตร.อาจดูเหมือนจะมีอำนาจเทียบเท่าทุกอย่าง แต่ก็เป็นแค่ตัวสำรอง

ไม่มีบารมีพอที่จะไปชนกับนักการเมือง หรือไปควบคุมผู้บัญชาการทั้งหมด

ฉะนั้น อย่าประโคมข่าวสอบเซ็งลี้เก้าอี้

เพื่อกลบปัญหาตั้งผบ.ตร.ที่คาราคาซังเท่านั้น

ที่มา:ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
**************************************************************

มีทางออกยึดทรัพย์ !! หาช่องเอาคืนหากเป็นรัฐบาล

นายมานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา

กล่าวถึงเรื่องคดียึดทรัพย์ว่า เรื่องนี้ต้องมองไปข้างหน้าแล้ว ยึดก็ยึดไปเราก็ไปเอากลับคืนมาได้ โดยใช้มติมหาประชาชน

ซึ่งหลังการเลือกตั้งเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะเอาทรัพย์สินคืนมาทั้งหมด

แต่ไม่ใช่การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะถ้าทำในรูปนี้เท่ากับว่าเป็นการยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิด

โดยกระบวนการที่จะทำได้มีการคุยกันไว้แล้ว


ด้านนายนิยม วรปัญญา ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเอาไปได้อย่างไร

ถ้ายึดไปก็เอากลับคืนมาได้ เพราะเคยมีตัวอย่างแล้ว เช่น จอมพลถนอม กิตติขจร และ จอมพลประภาส จารุเสถียร

ที่ต่อมาภายหลังก็เอาทรัพย์สินคืนได้บางส่วน ซึ่งกระบวนการก็ทำได้หลายอย่าง แม้ศาลจะตัดสินไปแล้ว

เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ



*******************************************************************************

ทักษิณเตรียมยื่นศาลโลก ทอล์คผ่านเน็ตจันทร์-ศุกร์

"ทักษิณ" เตรียมเรื่องยื่นสู้ต่อที่ศาลโลก พร้อมเตรียมเปิดทอล์คตั้งแต่วันจันทร์-ศุกร์
หลังทนเสียงเรียกร้องไม่ไหว

(วานนี้ 9ก.พ.) ช่วงค่ำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวใน รายการทอล์คอะราวด์เดอะเวิล์ด
ผ่านสถานีโทรทัศน์พีเพิลชาแนล กล่าวความตอนหนึ่งว่า

การนำคดีร้องไปยังศาลโลกนั้น วันนี้ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายที่เป็นคนไทยและต่างประเทศได้เข้ามาพบตนหลายคน
และ ได้มีการเตรียมการไว้

ซึ่งช่วงท้ายรายการ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวถึง ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี กับ 3 แกนนำนปช. ว่า
เรื่องนี้เรามีความจำเป็น ที่จะต้องมีคนมาคอยดูแลผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกันอยู่จำนวนมาก เรื่องนี้เราจะต้องมีความมั่นใจว่า
เราจะต้องไม่ถูกรังแก เหมือนช่วงเดือนเมษายนปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นรายการนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวว่า เวลานี้มีเสียงเรียกร้องออกมา อยากจะฟังตนให้มากยิ่งขึ้น
เพราะเรื่องจะได้ปะติดปะต่อ เพราะหากทิ้งช่วงสัปดาห์ละครั้งมันจะนานไป ดังนั้น ตนจะมาจัดรายการวันละครึ่งชั่วโมง
ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ เวลา 20.30 - 21.00 น. โดยจะเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (10 ก.พ.) เป็นต้นไป
โดยจะนำเรื่องชีวิตการต่อสู้ว่า ตนเองตั้งตัวขึ้นมาได้อย่างไร

ที่มา:คนไทยูเค

****************************************************************************