--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

TG200 จะไม่มีการผ่าเครื่องพิสูจน์ คำสั่งใคร...(ข่าว3มิติ.)

ที่มา:thaifreenews
จากคุณ : แม่หนูดำ

นึกอยู่แล้วต้องเป็นอย่างนี้ เพราะถ้าผ่าเครือง สิ่งที่เจอ...
1 .COMMISION
2 .CORUPTION
ประชาชนและสื่อมวลชนต้องไม่ยอมให้พวกโกงชาติทำร้ายประเทศไทยอีกต่อไป
ต้องจัดการกับพวกอำมาตย์

จากคุณ : scad stroms

กลัวอ่ะ

เปิดแผนรัฐบาลรับมือ"ม็อบเสื้อแดง"


จากสถานการณ์คนเสื้อแดงงัดยุทธวิธีดาวกระจาย หวังโหมกระแสไปสู่การชุมนุมใหญ่ ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 ก.พ.นี้

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ได้ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยงานด้วยความมั่นคง ทหาร ตำรวจ ถี่ยิบเพื่อวางแผนรับมือการเคลื่อนไหวที่นับวันจะเข้มข้นขึ้น

นับตั้งแต่การประชุมครม.เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา สมช.ได้แจก"เอกสารลับ" ถึงมือครม. ประเมินว่าการชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 19-28 ก.พ.นี้

มีกลุ่มเคลื่อนไหวอยู่ 3 กลุ่ม 1.กลุ่มเสื้อแดงบางคนที่มีจุดประสงค์เคลื่อนไหวโดยไม่ได้มีเป้าหมายอยู่ที่พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มีเป้าหมายไปไกลกว่านั้น คนกลุ่มนี้จะได้รับการยอมรับและมีผู้รับฟังความคิดเห็น ดังนั้น การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้เพื่อรอเวลาติดลมบน

2.กลุ่มแดงแบบฮาร์ดคอร์ เป้าหมายการเคลื่อนไหวที่รุนแรงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีอยู่ไม่มาก และจะมีฐานบัญชาการอยู่บริเวณภาคเหนือ ซึ่งถือว่าอันตรายที่สุด

3.กลุ่มผู้นำที่ตามกระแสและปัจจัยตอบแทน ซึ่งเคลื่อนไหวให้เห็นอย่างเปิดเผย

ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มคนที่ไม่เปิดเผยตัว ที่บางคนทำงานอยู่ในระบบ คอยเป็นคนประสานงานระหว่างทั้ง 3 กลุ่มกับพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล

ดังนั้น นอกจากจะขอมติครม.โดยอาศัยช่องทางพ.ร.บ.การจัดระเบียบกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 มาตรา 8(5) มาใช้ดึงทหาร มาเป็นผู้ช่วยตำรวจ ดูแลการชุมนุมที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องออกมาเป็นมติครม.อีก

ยังวางมาตรการทางกฎหมาย โดยใช้กฎหมายปกติดูแลการชุมนุม แต่หากมีการเคลื่อนไหวไปยังจุดเสี่ยงต่อการปะทะหรือเผชิญหน้าจนนำไปสู่ความรุนแรง จะใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร คุมพื้นที่

แต่หากลุกลาม บานปลาย ถึงจะประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน

ขณะเดียวกันในพื้นที่ต่างจังหวัด ได้กำหนดพื้นที่เสี่ยงที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ 38 จังหวัด โดยส่งกำลังเสริมลงไปในพื้นที่ ผนวกกับกองกำลังผสมตำรวจ ทหารและพลเรือนของแต่ละจังหวัดที่ประจำการอยู่ 3-5 กองร้อย

มีผู้บังคับบัญชาคือ ผู้ว่าฯ และกอ.รมน.จังหวัด เป็นผู้ดูแลและรายงานเข้ามายังกอ.รมน.ใหญ่อีกครั้ง

"พื้นที่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยเฉพาะสถานที่สำคัญต่างๆ เครือข่ายคมนาคม" นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ

เพราะถือเป็นจุดที่มีคนเข้ามาชุมนุมจำนวนมาก

โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้มีคำสั่งตั้งจุดตรวจค้น (ว.43 ปกติ) ตั้งแต่วันที่ 1-28 ก.พ.

บก.น.1

สน.ดุสิต จุด A-B บริเวณปาก ซ.สุโขทัย 3 ถ.สวรรคโลก

สน.ชนะสงคราม จุด A แยกบางลำพู จุด B บริเวณหน้าวิทยาลัยนาฏศิลป์

สน.ห้วยขวาง จุด A ซ.รัชดาภิเษก 3 จุด B บริเวณหน้าสถานีรถไฟฟ้าศูนย์วัฒนธรรม

สน.พญาไท จุด A พระราม 6 ตัดอารีย์สัมพันธ์ จุด B หน้ากระทรวงการต่างประเทศ

สน.นางเลิ้ง จุด A แยก จปร. เชิงสะพานพระราม 8 ขาขึ้น จุด B แยกนางเลิ้ง พณิชยการพระนคร

สน.สามเสน จุด A หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ถ.ศรีอยุธยา จุด B ถนนขาว

สน.ดินแดง จุด A หน้าสวนสันติภาพ ถ.ศรีอยุธยา จุด B ใต้ทางด่วน ซ.หมอเหล็ง

สน.มักกะสัน จุด A ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ขาเข้า จุด B แยกเอกมัย

บก.น.2

สน.คันนายาว จุด A ชุมชนวัชรพล 3 จุด B แยกลำกะโหลก

สน.ทุ่งสองห้อง จุด A หน้าห้างไอทีสแควร์ จุด B หน้าปั๊มน้ำมันคาล เท็กซ์ ถ.แจ้งวัฒนะ

สน.สุทธิสาร จุด A กลาง ซ.รัชดาฯ 18 จุด B ซ.อินทามระ 59

สน.ประชาชื่น จุด A หน้าปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ ถ.พิบูลสงคราม จุด B หน้าตลาดบองมาร์เช่

สน.โคกคราม จุด A ซ.ปัญจมิตร ถ.นวมินทร์ จุด B หน้าร.พ.ศรีสยาม

สน.สายไหม จุด A หัวถนนสายไหม จุด B หน้าร.พ.สายไหม

สน.บางซื่อ จุด A หน้าตึกชินวัตร 1 จุด B หน้าลานจอดรถไฟฟ้าบีทีเอส หมอชิตเก่า

สน.บางเขน จุด A ม.ชัยพฤกษ์ ถ.หลังกองบินตำรวจ จุด B หน้าโรงแรมมารวย

สน.ดอนเมือง จุด A แยกหลังวัดไผ่เขียว จุด B แยกประชาอุทิศ

สน.พหลโยธิน จุด A หน้าห้างเซ็นทรัลลาดพร้าว จุด B ซ.เสนา นิคม 1

สน.เตาปูน จุด A โรงเรียนโยธินบูรณะ จุด B โค้งวัดสร้อยทอง

บก.น.3

สน.มีนบุรี จุด A แยกบาแลด้าน ถ.ประชาร่วมใจ จุด B แยกบาแลด้าน ถ.ราษฎร์อุทิศ

สน.ลำหิน จุด A-B หน้าจุดรับแจ้งเหตุตลาดคู้ ถ.มิตรไมตรี

สน.สุวินทวงศ์ จุด A แยกทหารอากาศอุทิศ จุด B หน้าเดอะไพน์แอน ลอร์กอล์ฟคลับ

สน.ร่มเหล้า จุด A แยกการเคหะร่มเกล้า จุด B หน้าส.สุมาลี แมนชั่น

สน.จรเข้น้อย จุด A สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหาร จุด B แยกทางเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ

สน.นิมิตรใหม่ จุด A จุดรับแจ้งเหตุหทัยราษฎร์ จุด B จุดรับแจ้งเหตุนิมิตรใหม่

สน.ประชาสำราญ จุด A จุดรับแจ้งเหตุเทียนทอง จุด B หน้าหมู่บ้านวัฒนาธานี

สน.ลำผักชี จุด A แยกมหานคร (ใต้สะพาน) จุด B หน้าบริษัทฟุตบอลไทย

สน.ฉลองกรุง จุด A หน้าตลาดแย้มเจริญ จุด B หน้าตลาดวีแอ๊ด

สน.ลาดกระบัง จุด A หน้าตลาดบัญญัติทรัพย์ จุด B หน้าตลาดนำชัย

สน.หนองจอก จุด A แยกโรงสีไฟสุขใจ จุด B ถ.อยู่วิทยา ตัดสังฆสันติสุข

บก.น.4

สน.หัวหมาก จุด A สี่แยกลำสาลี จุด B ซ.รามคำแหง 26

สน.โชคชัย จุด A หน้าปั๊มน้ำมันปตท. ท้าย ซ.ลาดพร้าว 87 จุด B หน้าปั๊มปตท. ถ.ลาดพร้าววังหิน

สน.อุดมสุข จุด A ปาก ซ.เฉลิมพระเกียรติ 28 จุด B จุดรับแจ้งเหตุหน้าสวนหลวง ร.9

สน.บึงกุ่ม จุด A หน้าทางเข้าหมู่บ้านนวธานี จุด B หน้าสำนักงานเขตบึงกุ่ม

สน.ลาดพร้าว จุด A หน้าเดอะมอลล์ บางกะปิ จุด B ปากซ.นวมินทร์ 111

สน.ประเวศ จุด A ปากทางเข้าหมู่บ้านสวนสน จุด B ปากซ.อ่อน นุช 82

สน.บางชัน จุด A หน้าบริษัทแมทโก ถ.รามอินทรา จุด B สามแยกมิสทีน

สน.วังทองหลาง จุด A-B หน้าสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา

บก.น.5

สน.ทองหล่อ จุด A แยกเกษมราษฎร์ ถ.รถรางเก่า จุด B ปาก ซ.สุขุมวิท 31



สน.คลองตัน จุด A ปากซ.ปรีดีฯ 14 จุด B ปากซ.ปรีดีฯ 45

สน.พระโขนง จุด A ลีโอแมนชั่น กลางซ.อ่อนนุช 44 จุด B ปากซ.ปุณวิถี 28

สน.บางนา จุด A ก.ม.4.5 ถ.บางนา-ตราด ขาเข้า ช่องคู่ขนาน จุด B ปากซ.แบริ่ง ถ.สุขุมวิท ขาเข้า

สน.ท่าเรือ จุด A ปากซ.คั่วพริก ถ.สุนทรโกษา จุด B ปากซ.8 ถ.สุนทรโกษา

สน.วัดพระยาไกร จุด A ถ.เจริญราษฎร์ ตัดซ.ประดู่ 1 จุด B หน้าปั๊มแก๊ส (ถ.เจริญราษฎร์ ฝั่งขวา)

สน.ทุ่งมหาเมฆ จุด A แยกอาคารสงเคราะห์ จุด B หน้าคลังคาล เท็กซ์ ถ.พระราม 3

สน.บางโพงพาง จุด A แยกสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม ถ.พระราม 3 จุด B ปากซ.นราธิวาสฯ 18

สน.ลุมพินี จุด A หน้าอนุบาลจุไรรัตน์ จุด B หน้าการไฟฟ้าเพลินจิต

บก.น.6

สน.สำราญราษฎร์ จุด A หน้าตู้ยามบำรุงเมือง จุด B หน้ากระทรวงมหาดไทย

สน.พลับพลาไชย 2 จุด A หน้าปั๊มแก๊ส ถ.กรุงเกษม จุด B ถ.เจริญ กรุง ตัด ถ.ทรงวาด

สน.ปทุมวัน จุด A หน้าวัดดวงแข จุด B หน้าศูนย์ฮอนด้า (197) แยกปทุมวัน

สน.ยานนาวา จุด A หน้าปั๊มปิโตรนาส ถ.จันทร์ จุด B หน้าวัดแขก

สน.พระราชวัง จุด A ทำเนียบองคมนตรี จุด B ศาลรัฐธรรมนูญ

สน.จักรวรรดิ จุด A หน้าวิทยาลัยเขตบพิตรพิมุขฯ จุด B ร้านเซเว่น แยกวัดตึก ถ.เยาวราช

สน.พลับพลาไชย 1 จุด A ถ.หลวง ตัด ถ.มังกร จุด B ถ.กรุงเกษม ปากซ.ยศเส

สน.บางรัก จุด A หัวมุมนราธิวาสตัดสุรวงศ์ จุด B หน้าไปรษณีย์กลาง

บก.น.7

สน.บางพลัด จุด A หน้าดับเพลิงบางอ้อ จุด B หน้าห้างตั้งฮั่วเส็ง

สน.ธรรมศาลา จุด A ทางขึ้นคู่ขนานลอยฟ้า (ขาเข้า) ถ.พุทธมณฑลสาย 3 จุด B หน้านิ่มซี่เส็ง ถ.พุทธมณฑลสาย 2

สน.ท่าพระ จุด A แยกท่าพระ จุด B หน้าปั๊มปตท.ปากซ.เพชรเกษม 3

สน.บางกอกน้อย จุด A ปากซ.วัดระฆังโฆสิตาราม จุด B ปากซ.อิสรภาพ 41

สน.บางขุนนนท์ จุด A-B ถนนตัดใหม่เลียบทางรถไฟ หลังวัดบางขุนนนท์

สน.ตลิ่งชัน จุด A แยกสะพานกรุงนนท์ จุด B ทางลงถ.บรมราชชนนี เบี่ยงฉิมพลี

สน.ศาลาแดง จุด A ปากซ.อำนวยโชค จุด B แยกสวนแสงธรรม

สน.บางยี่ขัน จุด A ทางลงสะพานพระราม 8 จุด B จุดกลับรถใต้สะพานพระราม 8

สน.บางกอกใหญ่ จุด A ปากซ.ทวีธาภิเษก จุด B ซ.วัดสังข์กระจาย

สน.บางเสาธง จุด A แยกบางเชือกหนังใกล้ซ.วัดมะพร้าวเตี้ย จุด B ถ.บางแวก ตัดถ.กาญจนา

บก.น.8

สน.บุปผาราม จุด A สี่แยกตลาดนกกระจอก จุด B หน้ารร.ศึกษานารี

สน.สำเหร่ จุด A หน้าอาคารไทยวีรวัฒน์ จุด B กลางซ.เจริญนคร 40

สน.ตลาดพลู จุด A หน้าจุดวุฒากาศ จุด B หน้าธนาคารไทยพาณิชย์ ตลาดพลู

สน.ทุ่งครุ จุด A สามแยกแฟลตกทม. จุด B สามแยกครุใน

สน.บางยี่เรือ จุด A หน้าโรงเรียนจรวยพร จุด B หน้าสน.บางยี่เรือ

สน.บุคคโล จุด A หน้าเปี่ยมรักษ์คอนโดฯ จุด B แยกบุคคโล

สน.สมเด็จเจ้าพระยา จุด A แยกท่าดินแดง จุด B หน้าจุดคลองสาน

สน.บางมด จุด A หน้าสมาคมฮินแหน่น จุด B ซ.พระราม 2 ที่ 3

สน.ราษฎร์บูรณะ จุด A ใต้ด่วนถ.ราษฎร์บูรณะ จุด B ปากซ.พุทธบูชา 39

บก.น.9

สน.ท่าข้าม จุด A ปากซ.แยกที่ 5 ถ.พระยามนธาตุ จุด B หน้าปั๊มเอสโซ่ ถ.บางขุนเทียน-บางบอน

สน.บางบอน จุด A-B หน้าวัดบางบอน ถ.เอกชัย

สน.เทียนทะเล จุด A หน้าจุดรับแจ้งเหตุเทียนทะเล จุด B ปากซ.เพชรทองคำ

สน.หลักสอง จุด A หน้าจุดรับแจ้งเหตุเพชรกาญจนา จุด B หน้าปั๊มปตท. ถ.พุทธมณฑลสาย 2

สน.หนองค้างพลู จุด A หน้าม.เอเชีย จุด B ปากซ.นิคมจัดสรร ถ.เลียบคลองทวีวัฒนา

สน.แสมดำ จุด A หน้าปั๊มปตท. ถ.พระราม 2 จุด B ซ.พรมแดน

สน.บางขุนเทียน จุด A หน้าปั๊มน้ำมันเจ็ท ถ.กัลปพฤกษ์ จุด B หน้าปั๊มปิโตรนาส ถ.เอกชัย

สน.ภาษีเจริญ จุด A หน้าศูนย์บริการรถยนต์เบนซ์ ถ.กัลปพฤกษ์ จุด B หน้าห้างฟิวเจอร์พาร์คบางแค

สน.เพชรเกษม จุด A แยกพัฒนาการ ตัดถ.สุขาภิบาล 1 จุด B ซ.เพชรเกษม 69

สน.หนองแขม จุด A หน้าปั๊มเจ็ท ถ.มาเจริญ จุด B หน้าอนามัย 48 ถ.เลียบคลองภาษีเจริญฝั่งเหนือ

ด้านหน่วยงานด้านความมั่นคง จัดวางกำลังไว้รับมือค่อนข้างเต็มพิกัดเช่นกัน ใช้การตั้งด่าน 160-200 ด่าน ใช้กองกำลังผสม 54 กองร้อย และมีกองหนุนอีกจำนวนหนึ่ง

มีสมช.และกอ.รมน.เป็นแม่ข่ายทั้งหมด

ครึ่งเดือนแรกของเดือนก.พ. จะให้ประจำกำลังพล จัดระเบียบ กำหนดแผนต่างๆ อย่างต่อเนื่อง

แต่เมื่อผ่านวันที่ 15 ก.พ.จะเข้มข้นขึ้น กำลังพลจะเคลื่อนออกจากกรมกองเพื่อประจำตามจุดต่างๆ ที่สามารถปฏิบัติการได้ทันที

ฝ่ายความมั่นคงต่างมั่นใจว่าการออกมาปฏิบัติหน้าที่ของทหารไม่ล่าช้าเหมือนเหตุการณ์เม.ย. 2552



38 จังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ทุกกองบัญชาการและทุกกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เปิดศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะ เพื่อติดตามสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงปลอดภัย

ศูนย์ดังกล่าวมีหน้าที่ควบคุม อำนวยการ และสั่งการติดตามตรวจสอบสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 ก.พ. เป็นต้นไป เชื่อมโยงกับศูนย์ปฏิบัติการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตั้งขึ้น

จังหวัดที่ให้ตำรวจแต่ละพื้นที่เข้าไปดูแลและติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดมี 38 จังหวัด

ภาคเหนือ 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา น่าน แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก กำแพงเพชร นครสวรรค์

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 17 จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สกลนคร มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด เลย สุรินทร์ กาฬสินธุ์ หนองบัวลำภู หนองคาย นครพนม มุกดาหาร ชัยภูมิ

ภาคกลางและตะวันออก 9 จังหวัด ได้แก่ สิงห์บุรี ลพบุรี นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ชลบุรี จันทบุรี

ภาคใต้ 2 จังหวัด ได้แก่ พัทลุงและนครศรีธรรมราช

ที่มา:ข่าวสดรายวัน

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รัฐบาลอภิสิทธิ์น่าจะใกล้พังเต็มที่แล้ว


ความจริงมีหลายเรื่องที่จะตั้งกระทู้ แต่ขอรวม ๆ พูดในกระทู้นี้ก็แล้วกัน

นั่งดูสถานการณ์ทั่วไป คิดว่าการล่มสลายของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ น่าจะใกล้เข้ามาแล้ว

1. การที่ทั้ง พล.อ.เปรม และ พล.อ.อ.กำธน ออกมาพูดเมื่อวันก่อน ดูแล้วคล้ายกับตอนที่ พล.ร.อ.สงัด เตรียมปฏิวัติรัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร เพราะอุ้มไม่ไหว

แม้รัฐบาล จะพยายามระดมกองทัพ และหน่วยวอร์รูม เตรียมถล่มคนเสื้อแดง
(อ้างอิงจากข่าว ที่ให้กำลังทหาร ตำรวจ พลเรือน ลงพื้นที่ตั้งด่านสะกัดเเสื้อแดง 38 จังหวัด)
ก็ไม่ทราบว่า เอากฎหมายข้อไหนมาสะกัดกั้นการเดินทางสัญจรของประชาชนตามปรกติ

ซึ่งทั้งหมดนี้ น่าจะมาจากการหารือกันของสภาความมั่นคง ฯ
ที่เกิดขึ้นหลังจากการดอดเข้าพบ พล.อ.เปรม เมื่อวันก่อนของอภิสิทธิ์

2. การเริ่มเบื่อหน่ายของข้าราชการชั้นผู้น้อย ที่ต้องทำงานกับรัฐบาลที่ไม่มีวิสัยทัศน์ และมักจะโยนความผิดให้กับข้าราชการประจำ

อย่าง กรณี ตั้ง ผบ.ตร. ซึ่งนี่ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังไม่มีผู้นำตัวจริง
และการแต่งตั้ง ผู้กำกับ และผู้บัญชาการทั้งหลายแหล่ ก็ไม่ได้ผ่านมติที่ชอบธรรม จากคณะกรรมการ ฯ ที่เคยถือเป็นประเพณีปฏิบัติ

3. การที่พรรคร่วมรัฐบาล เล่นเกมในการยื่นเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งทราบมาว่า ประธานรัฐสภา ได้บรรจุวาระการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับ หมอเหวง เข้าที่ประชุมสภาเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ คิดว่า พรรคร่วม ฯ กำลังรอดูจังหวะ หลังวันที่ 26 ก.พ. นี้ เพื่อประเมินท่าทีของ ดร.ทักษิณ ว่า จะมีเงินเหลือพอแค่ไหนในการเลือกตั้งที่จะถึง..

4. ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเอง

ปัญหานี้ ไม่อยากจะพูดเลย เพราะมีเยอะ จนไม่รู้ว่าจะว่าเรื่องไหนก่อน
ทุกวันนี้ คิดว่ารัฐบาลนี้ มีการโกงกินอย่างมโหฬาร กินแบบหน้าด้าน ๆ ไม่อายฟ้าดินยิ่งกว่ารัฐบาลไหน ๆ แถมการบังคับใช้กฎหมาย ยังเป็นแบบเล่นพรรคเล่นพวก แถมยังเป็นประเภท มือใครยาวสาวได้สาวเอา


อภิสิทธิ์ มาแบบมะม่วงบ่มแก็ส ก็คงจะไปอย่างมะม่วงถูกลมแล้งพัดเหมือนกัน
บัญชีนั้น คิดว่า น่าจะมีคนคิดไว้แล้ว

รัฐบาลมาแล้วก็ไป

อยากให้อภิสิทธิ์จำกรณี "เด็กถือเตารีด" ไว้ให้ดีก็แล้วกัน

กฏข้อที่สามของนิวตัน บอกว่า แรงกด เท่า กับ แรงต้าน

ยิ่งผมเห็นรัฐบาลชุดนี้
กดเสื้อแดงมากแค่ไหน ก็ยิ่งเห็นแรงต้านมากขึ้นเท่านั้น
ขนาดรัฐบาลทหารตั้ง อย่างรัฐบาลขิงแก่ ยังทนเสื้อแดงไม่ไหว
จน พล.อ.สุรยุทธ์ ต้องบอกตอนท้ายว่า ถ้าเลือกได้ไม่ขอเป็นนายก ฯ

พวกที่บอกว่า เสื้อแดงจะแผ่ว หรือ อะไรทั้งหลายแหล่นั้น ก็ปล่อยให้เขาคิดไปเถอะครับ
เพราะเท่าที่นั่งดูอยู่นี่ คนพวกนี้หลอกตัวเองทั้งนั้น

ที่มา.พันทิป

จาตุรนต์ ฉายแสง แจงเหตุฟันธง ยึดทรัพย์"ทักษิณ"หมดตัว


ช่วงเวลานับถอยหลัง วันศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 7.6 หมื่นล้านบาท จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ฟันธง ต้องยึดทรัพย์ทั้งหมดแน่นอน

แล้วพยากรณ์ เมื่อยึดทรัพย์หมดแล้ว จะมีการตั้งคำถามกันครั้งใหญ่ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดความรุนแรงตามมา อาจนำไปสู่การใช้กำลังปราบปรามประชาชน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ความขัดแย้งในสังคมไทยยิ่งลึกและบานปลาย ยากจะสมานฉันท์

รับรองด้วย "ที่ผ่านมาผมทายเรื่องการเมืองแม่นยำ"

ประเมินการเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง ก่อนวันที่ 26 ก.พ. อย่างไร

การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงช่วงระยะหลังมีความถี่สูง เข้มข้นมากขึ้น แต่มีจุดอ่อนคือคนบางส่วนในเสื้อแดง หรือไม่ใช่เสื้อแดง แต่มีเข้ามาเกี่ยวข้องกับเสื้อแดง อาจจะพูดหรือเสนออะไรที่รุนแรง ไม่สอดคล้องกับทิศทางหลักของเสื้อแดงที่มุ่งประชาธิปไตยและสันติวิธี พูดเรื่องเอาขวดคนละขวด น้ำมันคนละลิตรบ้าง พูดเปิดเผยข้อมูลแกมขู่ผู้พิพากษาหรือคนในองค์กรตามรัฐธรรมนูญบ้าง และหลังสุดเรื่องกองทัพประชาชน ทำให้มันดูน่ากลัวและคงไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนหนึ่ง ก็ให้เขากำลังแก้กันอยู่ว่าความคิดเห็นที่ใช้ความรุนแรงไม่ใช่ความเห็นของแกนนำเสื้อแดง

คนจะมองว่าการเคลื่อนไหวที่เข้มข้นโยงกับวันที่ 26 ก.พ. รัฐบาลทำให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นการเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคดียึดทรัพย์ หมายความว่าเสื้อแดงเคลื่อนไหวเพราะต้องการให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อจะได้มีการรัฐประ หาร และจะเป็นประโยชน์ต่อคดี เพราะเห็นจากการเตรียมการมาอย่างเป็นระบบ โดยรัฐบาลใช้สื่อในลักษณะที่เตรียมชักจูงคนให้เห็นว่าต้องยึด และเตรียมเสนอข่าวสารว่าถ้ายึดแล้วเสื้อแดงคงอาละวาด

การให้ข้อมูลในลักษณะนี้ การเตรียมการฝ่ายความมั่นคงล่วงหน้าเพื่อรับมือกับเหตุการณ์หลังการตัดสินคดี ผมจึงมีความเชื่อว่าจะมีการยึดทรัพย์ของพ.ต.ท. ทักษิณและครอบครัวทั้งหมดทุกบาททุกสตางค์ ไม่ทราบว่าจะใช้ข้อกฎหมายอะไรยึดทรัพย์ เขาทำมาหากินมา และเคยถูกตรวจสอบจากศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วรอบหนึ่งตอนที่เป็นนายกฯใหม่ๆ ผมไม่ได้ไปศึกษาว่ามีข้อกฎหมายอย่างไร แต่ผมวิเคราะห์จากพฤติกรรมรัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มพันธมิตร อดีตคตส. และสื่อบางส่วน พูดเหมือนกับว่ามันต้องยึดทรัพย์ทั้งหมด ผมจึงเชื่อว่าจะมีการยึดทรัพย์ทั้งหมด เมื่อเป็นอย่างนี้การเคลื่อนไหวอะไรก็ตามก่อนถึงวันตัดสินคดี จึงจะไม่มีผลอะไรกับคดี

ฝ่ายรัฐบาลจะใช้สื่อของรัฐชี้แจงคดียึดทรัพย์ในช่วงประมาณ 2 สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันตัดสิน เขาต้องทำให้เห็นว่าถ้าตัดสินออกมาแล้วยึดทรัพย์ก็คงจะพยศ ก็จะเป็นผู้ร้าย เสื้อแดงก็เป็นผู้ร้าย ถ้าเสื้อแดงไปเข้าทางก็จะยิ่งทำให้รัฐบาล ทำให้คนเห็นว่าเสื้อแดงเป็นฝ่ายผู้ร้าย และคนก็จะลืมประเด็นเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ หรือมองประเด็นการยึดทรัพย์ไปในแง่เดียว คือเรื่องของการที่มีคนพยศ การที่มีคนต่อสู้ เพราะไม่พอใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และ ครอบครัวถูกยึดทรัพย์

จะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่

อันตรายที่จะเกิดความรุนแรงนั้นยังมี หากเราดูมาเป็นลำดับก็จะเห็นว่า ช่องทางในการแก้ปัญหาของประเทศ หรือช่องทางที่คนไม่ได้รับความยุติธรรมหรือถูกปล้นเอาอำนาจไป ช่องทางมันถูกปิดลงเรื่อยๆ ไปอาศัยกฎหมายก็ไม่ได้ องค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ไม่เป็นกลาง การเลือกตั้งก็ล้มเขาได้อีก จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อความสมานฉันท์ สุดท้ายรัฐบาลก็ไม่แก้เลย พรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด เถียงกันอยู่ 2 ประเด็น การจะแก้รัฐธรรมนูญบางประเด็น เพื่อจะได้รัฐบาลที่เป็นที่ยอมรับ แล้วก็กลับมาเป็นรัฐบาลกันแล้วค่อยแก้รัฐธรรมนูญกันทั้งฉบับก็ไม่เกิดขึ้น ช่องทางในการที่จะหาทางออกให้กับประเทศมันก็ถูกปิดไปเรื่อยๆ คนก็จะพูดกันเรื่องสู้ไปแบบนี้มันจะชนะหรือ ถ้าไม่แตกหักก็คงไม่ได้ชัยชนะ มีการพูดอย่างนี้ สะท้อนให้เห็นว่า คนในสังคมไทยกำลังมีความรู้สึกว่า เขาเคยเป็นเสียงข้างมากจากการเลือกตั้ง แล้วกลายมาเป็นเสียงข้างน้อย และไม่มีช่องทางอะไรในสันติวิธี สิ่งที่พูดผมไม่ต้องการพูดเพื่อขู่

มองการจัดตั้งกองทัพประชาชนอย่างไร

ที่มีการเสนอขึ้นมา เป็นการเสนอของ 2 นายพล ซึ่งก็อาจจะมีการพูดเล่นคำ พูดหวือหวาเกินไป หรือว่าพูดโดยไม่เข้าใจจิตวิทยาสังคม ไม่เข้าใจเรื่องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะการต่อสู้อย่างสันติที่ต้องการแนวร่วม ต้องการความเห็นจากประชาชนจำนวนมาก การจะมีกองกำลังอาวุธของประชาชนเพื่อต่อสู้ด้วยอาวุธมันไม่สอดคล้องกับความคิด ความเชื่อของคนในสังคม แกนนำคนอื่นๆ ก็ไม่เห็นด้วย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธก็ไม่เห็นด้วย ผมก็ไม่เห็นด้วยเลย สุดท้ายผู้เสนอความคิดนี้ก็ล้มเลิกไปแล้ว มันเป็นบทเรียนว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องพูดคุยกันมากขึ้น ต้องรีบทำให้คนมั่นใจ ใครแตกแถวทำอะไรนอกแนวทางสันติต้องประกาศเด็ดขาดว่า นี่ไม่ใช่พวกเดียวกันแล้ว

- การที่สมเด็จฮุนเซนเดินทางมาพื้นที่ทับซ้อนมองว่าเป็นเกมของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่

คงไม่ใช่เกมของคุณทักษิณ แต่ว่าดูเหมือนว่ารัฐบาลจะโหมข่าวให้ไปทางนั้น ซึ่งรัฐบาลก็กลายเป็นว่ากำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงเกินเหตุ เห็นว่ามีการประชุมฝ่ายความมั่นคง สั่งตรึงกำลัง ดูเหมือนว่ามาตรการทางทหารเป็นไปตามนโยบายต่างประเทศ นโยบายชายแดนของรัฐบาลนี้ แต่ว่ารัฐบาลฉวยโอกาสเอาเรื่องนี้มาเป็นประโยชน์ทางการเมือง เพราะเห็นว่าสมเด็จฮุนเซนกับคุณทักษิณโยงกัน พอสมเด็จฮุนเซนบอกว่าจะมาพื้นที่ทับซ้อนก็รีบโหมเรื่องนี้เพื่อประโยชน์ของรัฐบาล โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องมันถูกทำให้เลยเถิด รัฐบาลสนใจอยู่อย่างเดียวคือจะเอาชนะทางการเมืองต่อคุณทักษิณอย่างไร

มองการที่รัฐบาลเรียกประชุมสมช.ก่อนผบ.ทบ. จะเดินทางไปราชการต่างประเทศอย่างไร

ผบ.ทบ.จะไปนอกคิดว่าก็เป็นการเล่นข่าว สร้างข่าวสร้างกระแสให้ไปในทิศทางต้องทำให้คุณทักษิณและเสื้อแดงเป็นผู้ร้ายให้เต็มที่เอาทุกเรื่องมาเป็นประโยชน์ ปาอุจจาระก็นำมาใช้ประโยชน์ สมเด็จฮุนเซนมาก็ใช้ประโยชน์ ผบ.ทบ.จะไม่อยู่ผมคิดว่าไม่น่าเป็นห่วงอะไร ถึงแม้คนจำนวนไม่น้อยจะเชื่อว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ.เป็นผู้ที่มีความคิดไปในทางที่ต้องการใช้กำลังในการแก้ปัญหา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันไม่มีเหตุความจำเป็นอะไรที่จะต้องรัฐประหาร ผู้นำกองทัพอยู่ในเก้าอี้ต่อไปก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ยึดอำนาจมาก็คงไม่มีความสุขไปกว่านั้นได้ ส่วนผู้นำกองทัพคนอื่นๆ ก็อาจอยากยึดอำนาจ แต่ว่าเมื่อดูจากสถานการณ์แล้วคงยังไม่มีความจำเป็นและไม่เป็นประโยชน์ เพราะว่าเขายังคุมรัฐบาลได้ ในสายตาผู้มีอำนาจคงต้องการใช้กลไกทางกฎหมายดำเนินมาตรการที่เป็น 2 มาตรฐานต่อไป เพื่อจัดการฝ่ายตรงข้ามให้เต็มที่เสียก่อน

ในช่วงเร็วๆ นี้คงไม่เกิดการรัฐประหารอยู่แล้ว ที่พูดเรื่องรัฐประหารก็เพราะได้ยินมา ได้ยินการขึ้นบัญชีคน 200 คน การที่มีการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน เพราะหากใครคิดจะทำรัฐประหารต้องเจอกับการคัดค้าน แต่ว่าที่รัฐบาลก็รู้ว่าเขาไม่ได้กลัวทหารจะรัฐประหาร เพราะมองตาก็รู้ใจ เขาเป็นพวกเดียวกันมาและถือไพ่เหนือกว่า เขาจะไปรัฐประหารทำไม แต่ต่อไปข้างหน้าไม่แน่

ที่มา:ข่าวสดรายวัน

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“ ดร. สุรพล ” โดนวิจารณ์น่วม !!! ความคงเส้นคงวา แบบ ท่านอธิการบดี


ไม่น่าเชื่อว่า การไป อภิปราย เรื่อง “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 ของ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะ กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ที่กว้างขวางและร้อนแรงที่สุด ในแวดวงวิชาการ ....

กระฉ่อนและแรงที่สุด คือ บทวิพากษ์แบบโหด ๆ และดิบๆ ของนาย พุฒิพงศ์ พงศ์อเนกกุล นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง บทวิพากษ์ของ นักศึกษากฎหมาย ปี 2 เป็นหัวข้อที่มีคนอ่านมากที่สุด ชิ้นหนึ่ง

ถัดมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ก็เขียนบทความเรื่อง วิพากษ์การบิดเบือนทางความคิดและทุจริตทางวาจา ของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ล่าสุด นาย อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความลงในประชาชาติธุรกิจ เรื่อง บทอาเศียรวาทแด่ ศ. ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยจริยธรรมของนักวิชาการ


คนที่อ่าน บทวิพากษ์ ดร. สุรพล มาทั้ง 3 เวอร์ชั่น บอกว่า ดีไปกันคนละแบบ

ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” นำเสนอ บทวิพากษ์ ของ อภิชาติ สถิตรนิรมัย ที่เราเชื่อว่า หลายคน ยังไม่เคยได้อ่าน บทวิพากษ์ที่นุ่มนวลในท่าที แต่หนักหน่วง ในเชิงจริยธรรม

......ผมอ่านบทอภิปรายของท่านอาจารย์สุรพลในหัวข้อ “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” ที่มหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 แล้วยินดียิ่งที่พบว่า เรามีความเห็นตรงกันในเรื่องเกี่ยวกับคุณลักษณะที่สำคัญของความเป็นนักวิชาการนั้นคือความคงเส้นคงวา (consistency)

อาจารย์คงยอมรับอย่างสุดจิตสุดใจว่า หากนักวิชาการคนใดปราศจากคุณสมบัติข้อนี้แล้ว ย่อมไม่สามารถนับได้ว่าเขาคนนั้นๆ เป็นนักวิชาการได้อีกต่อไป

คุณสมบัติข้อนี้สำคัญมาก จนกระทั่งอาจเทียบได้ว่ามันคือพรหมจรรยาของความเป็นนักวิชาการ ดุจเดียวกับการละเว้นการเสพเมถุนของนักบวช

ดังนั้น การขาดซึ่งพรหมจรรย์แห่งความคงเส้นคงวาของนักวิชาการแล้ว ก็ย่อมเปรียบเสมือนนักบวชทุศีล

ความยึดมั่นในคุณธรรมว่าด้วยความคงเส้นคงวาของท่านปรากฎอย่างชัดแจ้งในบทอภิปรายข้างต้น เมื่อท่านกล่าวย้อนผู้กล่าวหาว่า ความเป็นไปทางการเมืองในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความไม่คงเส้นคงวา (สองมาตรฐาน)

ท่านกล่าวว่า “คราวนี้มาถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ พูดกันมาก ว่าประเทศประชาธิปไตย ไม่ยอมรัฐประหาร ผมถามว่าคนที่บอกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาจากการทำรัฐประหาร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แล้วรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้มาจาก คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534 ”

“ผมถามท่านที่บอกว่า มีความคิดเป็นประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจทหาร ที่มาจากการทำรัฐประหาร ถ้าไม่ยอมรับรัฐประหาร ผมถามว่าเราจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ.2475 หรือไม่ นั้นไปเอาพระราชอำนาจมาจากองค์พระประมุขของประเทศมาเลยนะ”

รวมทั้งอภิปรายต่อว่า “ในเรื่องการชุมนุมทางการเมืองก็เช่นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องปิดสนามบิน หรือปิดถนนในกรุงเทพฯ อัยการไม่มีทางสั่งเป็นอย่างอื่นได้ คืออัยการต้องสั่งฟ้องทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง แล้วให้คนเหล่านั้นไปต่อสู้คดีกันในศาล ซึ่งผมว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น ดังนั้น เรื่องนี้ก็ไม่มีสองมาตรฐานขึ้นอยู่กับว่าอัยการจะสั่งฟ้องช้าหรือเร็วเท่านั้น”

ความยึดมั่นในคุณธรรมข้อนี้ของท่านอธิการบดีคนปัจจุบันของธรรมศาสตร์นั้น ปรากฏมาช้านานแล้ว

ดังเช่นที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือสารคดีเมื่อเดือนกุมภาพัน พ.ศ. 2548

ท่านวิจารณ์ความไม่คงเส้นคงวาในการใช้กฎหมายของรัฐบาลทักษิณไว้ว่า “ถ้าเราเชื่อในเรื่องอำนาจ แล้วใช้อำนาจนั้นไปทำลายกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย กฎเกณฑ์ทางสังคม สุดท้าย เมื่อเราเองไม่เคารพกฎเกณฑ์ทางกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางสังคมแล้ว เราจะเรียกร้องให้คนอื่นเคารพก็ไม่ได้... เมื่อไหร่ก็ตามที่คนที่มีอำนาจละเลยกฎหมาย หรือทำลายกฎหมาย สุดท้ายกติกาในการเข้าสู่อำนาจ กติกาในการที่จะต้องได้รับการยอมรับ หรือจะต้องได้รับการเคารพจากองค์กรอื่น ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นกติกาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายทั้งนั้น มันก็ไม่มีความหมาย ถ้าคนที่มีอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยกฎหมายกลับทำลายกฎหมายเสียเอง พื้นฐานของการเข้ามาสู่อำนาจซึ่งมันอาศัยกฎหมายเหล่านั้นก็ไม่มีอยู่อีกต่อ ไป ฉะนั้นถ้าคนมีอำนาจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเสียแล้ว จะไปเรียกร้องให้คนอื่นยอมรับอำนาจของตัวเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากตัวบทกฎหมายทั้งนั้น ก็ย่อมจะไม่มีใครฟัง”

ความยึดมั่นในความคงเส้นคงวาของท่านอาจารย์นั้นยั่งลึกยิ่ง จนกระทั่งอาจารย์กล้าที่จะท้าทายอำนาจของรัฐบาลทักษิณอย่างไม่เกรงกลัว ดังคำกล่าวเมื่อถูกถามว่า “อาจารย์ถูกรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นพวกขาประจำที่ชอบออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล รู้สึกว่าเป็นปัญหาต่อการทำงานหรือไม่”

ท่านอาจารย์จึงตอบว่า “ผม คิดว่าผมได้ทำหน้าที่ของผมอย่างคงเส้นคงวา การแสดงความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากรัฐบาล เป็นเรื่องปรกติของนักวิชาการ แต่ผมไม่ได้ทำอย่างนี้กับรัฐบาลชุดนี้เท่านั้น ผมทำอย่างนี้มาทุกรัฐบาล เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรู้สึกว่าหลักการสำคัญทางกฎหมายถูกกระทบกระเทือน รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แนวคิดเรื่องนิติรัฐถูกกระทบ หรือสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกละเลย ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ที่จะบอกกล่าวกับสังคม เพราะนี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความเชี่ยวชาญของผม และผมเชื่อว่าสังคมก็คงคาดหวังด้วยว่า คนที่ได้เงินของรัฐบาลไปเรียนหนังสือในต่างประเทศเป็นเวลานาน ๆ และอยู่ในฐานะนักวิชาการในมหาวิทยาลัย น่าจะต้องทำหน้าที่อย่างนี้ ที่สำคัญคือผมทำอย่างนี้มาตลอดกับทุกรัฐบาล”

นอกจากคุณธรรมข้างต้นแล้ว ท่านอาจารย์สุรพลยังยึดมั่นในความพอเพียงและภาคภูมิใจกับชาติกำเนิดแบบสามัญชนของท่าน รวมทั้งตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นอาจารย์ ทั้งๆ ที่เป็นอาชีพซึ่งมีรายได้ต่ำ

ดังบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ “ทำไมถึงมาเป็นอาจารย์แทนที่จะเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาตามความตั้งใจเดิม
ตอนแรกมีความคิดว่าอยากเป็นอัยการ ผู้พิพากษา หรือทนายความ แต่ถึงตอนปี ๓ ปี ๔ เริ่มโตขึ้น มองเห็นว่าชีวิตคืออะไรมากขึ้น ความเป็นเด็กต่างจังหวัด ลูกคนชั้นกลาง ทำให้คิดอะไรหลายอย่าง โตขึ้นเราจะต้องสร้างฐานะ มีครอบครัว แล้วถ้าเป็นผู้พิพากษา อัยการ อาจจะทำให้เรามีโอกาสที่จะใช้อำนาจหน้าที่หรือการทำงานเป็นประโยชน์เพื่อจะ ไปสู่ตรงนี้ได้มาก มีช่องทางที่จะทุจริตได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคน มองตัวเองว่า โดยเงื่อนไขที่เราก็มาจากครอบครัวคนชั้นกลางที่ไม่ค่อยมีอะไร ดังนั้นเราไม่ควรจะไปทำอาชีพมีอำนาจและที่มีโอกาสที่จะใช้อำนาจโดยมิชอบ ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ จะทำให้วงการเขาเสียเปล่า ๆ ก็เลยคิดว่าอาจารย์สอนกฎหมายเป็นอาชีพที่ให้คุณให้โทษใครไม่ได้ ไม่มีโอกาสที่จะไปคิดว่าจะเรียกเงินใครเท่าไหร่ จะรับสินบนอย่างไร ผมก็คิดว่าถ้าเราทำวิชาชีพนี้ได้ดี มีความสุขที่จะเป็นนักวิชาการ ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้วกลับมาสอนหนังสือ เราน่าจะเปลี่ยนใจมาตั้งเป้าเป็นอาจารย์นิติศาสตร์”

ความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นอาจารย์นั้นก็มิใช่เพื่อความมุ่งหมายอื่นใดนอกจากเพื่อการอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์ยึดมั่นในคุณธรรมและความเป็นธรรมศาสตร์

ดังที่ท่านกล่าวว่า “ในแง่คุณธรรม ผมเชื่อว่าบัณฑิตธรรมศาสตร์ได้รับการยอมรับในแง่นี้มายาวนาน เรามีอะไรบางอย่างที่คนธรรมศาสตร์เรียกกันว่าเป็นจิตสำนึก หรือจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ ถามว่าคืออะไร หาคนอธิบายได้ยาก แต่ผมคิดของผมว่า เวลาเราพูดถึงจิตวิญณาณของธรรมศาสตร์ มันมีความหมายร่วมกันอยู่บางอย่างคือคนธรรมศาสตร์ไม่ค่อยเห็นแก่ตัว คิดถึงคนอื่นด้วย ประการที่ ๒ คือคนธรรมศาสตร์รักความเป็นธรรม กล้าที่จะบอกว่าอันนี้ไม่ถูก กล้าที่จะแสดงออก หมายความว่าคนธรรมศาสตร์จะอยู่ข้างเดียวกับคนที่ด้อยโอกาสหรือคนที่เสีย เปรียบในสังคม นี่เป็นลักษณะเฉพาะของคนธรรมศาสตร์ซึ่งสำคัญ ผมอยากให้บัณฑิตธรรมศาสตร์ในอนาคตมีลักษณะอย่างนี้ชัดเจน”

นอกจากนี้ท่านยังเป็นคนที่ไม่เสพติดในอำนาจ ดังเห็นได้จากการที่ท่านเปิดเผยถึงแนวคิดเบื้องหลังการรับตำแหน่งอธิการบดี “ในปีสุดท้ายที่ผมเป็นคณบดี ผมพบว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีปัญหาเยอะมากที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ผู้ใหญ่หลายคนที่เคารพบอกว่าผมน่าจะเสนอตัวมาทำงานให้แก่มหาวิทยาลัย ผมก็คิดอยู่นาน เพราะรู้ว่าการเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์เป็นเรื่องใหญ่ ตอนแรกผมเองก็คิดว่าตัวเองน่าจะมีชีวิตที่ลงตัวพอสมควร ตั้งใจว่าพอลงจากการเป็นคณบดี ก็จะเป็นศาสตราจารย์ประจำธรรมดา ๆ ที่จะไปรับงานวิจัย สอนหนังสือ เขียนอะไรต่ออะไร ผมว่าเป็นความรู้สึกของอาจารย์ทุกคนที่อยากจะไปเขียนงานวิชาการมากกว่า แต่ว่าสุดท้าย วิธีคิดของผมคือ เมื่อผมประเมินสถานการณ์ว่าธรรมศาสตร์ต้องการความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ผมก็สรุปกับตัวเองว่า ผมคิดว่าอาจจะถึงเวลาที่จะต้องเสนอตัวมาเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์ เพื่อที่จะทำอะไรให้แก่ธรรมศาสตร์บ้าง”

อาจารย์ครับ ผมภูมิใจมากที่เผอิญเป็นหนึ่งในสมาชิกประชาคมธรรมศาสตร์ภายใต้การนำของท่าน แต่เสียดายยิ่งนักที่วาระการดำรงตำแหน่งของท่านจะสิ้นสุดในไม่นานนี้ ผมคงไม่เหนี่ยวรั้งเรียกร้องให้ท่านดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่สาม

ด้วยเหตุว่าท่านประกาศอย่างชัดแจ้งว่าปรารถนาจะดำรงวิถีแห่งความเป็น “ศาสตราจารย์ประจำธรรดาๆ" ดังนั้น ผมจึงเชื่อแน่ว่าภายหลังจากรับภาระเป็นผู้นำของธรรมศาสตร์มานาน ท่านย่อมมีจิตใจเข้มแข็งที่จะกล้าปฏิเสธงานภายนอกมหาวิทยาลัยทุกตำแหน่ง ไม่ว่าปัญหาของหน่วยงานนั้นๆ จะหนักหน่วง และเรียกร้องต้องการบุคลลากรที่อุดมความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมสูงเยี่ยงท่านเพียงไรก็ตาม

อีกทั้งการปฏิเสธงานภายนอกของท่านยังจะเป็นการกระทำเป็นตัวอย่างอันน่าสรรเสริญสำหรับผู้ที่จะมาเป็นอธิการบดีคนต่อไปในอนาคตอันใกล้ว่า

ผู้นำธรรมศาสตร์นั้นไม่ได้มีแรงจูงใจที่จะใช้ตำแหน่งนี้เป็นบันไดดาราสำหรับการไต่เต้า เพื่อแสวงหาอำนาจและสิ่งตอบแทนอื่นจากหน่วยงานภายนอกภายหลังจากการเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์

ดังเช่นมีการกล่าวหาเช่นนี้กับอธิการบดีท่านก่อนๆ

ผมได้แต่จินตนาการว่า สักวันหนึ่งผมจะมีโอกาสเขียนบทอาเศรียรวาทข้างต้นจริงๆ


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

มือขวา'ทักษิณ' เจ้าพ่อหวยบนดิน'สุรสิทธิ์ สังขพงศ์' เปิดตลาดลอตเตอรี่"ยูกันดา"


วันนี้ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ถูกรัฐบาลยูกันดา จีบให้ไปทำลอตเตอรี่

ซึ่งจะเปิดตัวยิ่งใหญ่ วาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ผลงานเก่าดีเด่น ผู้การจึงมีลูกค้าแถบแอฟริกาหลายประเทศ คิวต่อไปคือ แทนซาเนีย

โสมชบาจ๊ะจ๋า คอลัมน์ยอดฮิตของไทยรัฐ เอ่ยถึงมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ชื่อ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์
มือขวาผู้นี้เคยบริหารสำนักงานสลากกินแบ่งในตำแหน่งผู้อำนวยการ

เป็นยุคที่เกิดสลากพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว เป็นยุคที่เงินหวย กลายเป็นทุนการศึกษา ในโครงการหนึ่งทุนหนึ่งอำเภอ
ส่งเด็กไทยไปเรียนต่างประเทศ

เป็นยุคที่ พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ ทำหน้าที่ ผู้คุมถุงเงินหวยที่ อดีตนายกฯ ให้แจกซื้อคะแนนนิยมไปทั่วประเทศ

ครั้งนั้น พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ เป็นเสมือนเงาของ อดีตนายกฯ ทักษิณ เมื่อเวลาออกทัวร์นกขมิ้น ทักษิณ เห็นโครงการอะไรดี
สุรสิทธิ์ ควักเงินหวย ลงทุนให้ทันที

ทักษิณ ได้คะแนน ชาวบ้านได้โครงการ โดยทักษิณไม่ต้องจ่ายสักบาท แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเงินทักษิณ ทั้งๆ ที่เป็นเงินหวยล้วนๆ

กล่าวกันว่า ในยุคทักษิณ-สุรสิทธิ์ มีเงินหวยสะพัดหลายหมื่นล้าน เบื้องหลังคะแนนนิยม ทะลุ 10 ล้าน ส่วนหนึ่งมาจากเงินหวย

โสมชบาจ๊ะจ๋า อัฟเดท ข้อมูลล่าสุดของ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ดังนี้

... " เคยอยู่สำนักงานสลากกินแบ่งไทย พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ จึงถูกรัฐบาลยูกันดา จีบให้ไปทำลอตเตอรี่ ซึ่งจะเปิดตัวยิ่งใหญ่
วาเลนไทน์ 14 ก.พ.--ผลงานเก่าดีเด่น ผู้การจึงมีลูกค้าแถบแอฟริกาหลาย ประเทศ คิวต่อไปคือแทนซาเนีย..."

14 กุมภาพันธ์นี้ ตลาดลอตเตอรี่ ในประเทศยูกันดา คักคักแน่นอน

กล่าวสำหรับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ "พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์" รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา
มีความผิดในคดีหวยบนดิน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการตำรวจต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2552

ก่อนการตัดสินคดีหวยบนดิน เพียงไม่นาน โดยคนใกล้ชิด บอกว่า เขามีแผนจะไปทำธุรกิจในต่างประเทศ

ถัดมาไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินสุวรรณภูมิได้ควบคุมตัว พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์

แต่ที่สุด คดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯ ตัดสินวันที่ 30 กันยายน 2552 โดยศาลชี้ว่า หวยบนดินไม่มีกฎหมายรองรับ
ขณะที่จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตตามที่โจทก์ฟ้อง

หลังหลุดพ้นคดี หวยบนดิน ข่าว คราว เกี่ยวกับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ก็เงียบหายไป

ก่อนจะมีข่าวว่า ทักษิณ จะไปทำหวยในแอฟริกา

แล้วข่าวล่าสุดก็เผยว่า มือทำหวยที่ ยูกันดาคือ เจ้าพ่อกองสลากที่ชื่อ สุรสิทธิ์ นี่เอง

วันนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ประกาศเลิกหวยบนดิน และหวยออนไลน์ ไปเรียบร้อย

ขณะที่ มีการพิมพ์สลากพิเศษเพิ่มออกมาเรื่อยๆ ท่ามกลางข้อครหา ว่า การจัดสรรสลาก เอื้อประโยชน์นักการเมืองและยี่ปั๊วใหญ่ 5 ราย

อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าคิด ยุคอภิสิทธิ์ เงินหวยใต้ดิน เฟื่องฟู นับแสนล้าน แต่ไม่มีใครคิดจะทำอะไร !!!!

หรือว่า เงินหวยใต้ดิน หล่อเลี้ยงการเมืองไทย ?

@ประเทศยูกันดานั้น มีข้อมูลทางเศรษฐกิจดังนี้

-ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 16.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2551)
-รายได้ประชาชาติต่อหัว 392 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)
-การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 8.3 (ปี 2551)

@ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐยูกันดา

ไทยและยูกันดาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2528 โดยฝ่ายไทยมอบหมาย
ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบีดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำยูกันดา ในขณะที่ฝ่ายยูกันดาได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตยูกันดา
ประจำสาธารณรัฐอินเดียเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย นอกจากนี้ ฝ่ายยูกันดาได้แต่งตั้งนายทวี บุตรสุนทร เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์
ยูกันดาประจำประเทศไทย ส่วนฝ่ายไทยได้แต่งตั้งนาย James Mulwana เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำยูกันดา

สำหรับด้านเศรษฐกิจ การค้าระหว่างไทยกับยูกันดายังมีมูลค่าไม่มาก แต่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าการค้าของไทย
กับยูกันดาในปี 2551 มีมูลค่า 19.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกสินค้าไปยูกันดามูลค่า 14.3 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และ
นำเข้าสินค้าจากยูกันดามูลค่า 5.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 113 ล้านบาท ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 9.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยสินค้าออกที่สำคัญของไทย 10 รายการ ได้แก่ 1) เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2) รถยนต์ อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบ 3) เม็ดพลาสติก
4) รองเท้าและชิ้นส่วน 5) ผ้าตัดเสื้อและผ้าที่จัดทำแล้ว 6) หม้อแบตเตอรี่ และส่วนประกอบ 7) ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง
9) สิ่งทอ 10) เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ

สินค้านำเข้าที่สำคัญจากยูกันดา 10 รายการ ได้แก่ 1) เส้นใยใช้ในการทอ 2) ผลิตภัณฑ์ยาสูบ 3) เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม
4) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 5) เครื่องจักรใช้ในการเกษตร 6) ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้
7) สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง แผงวงจรไฟฟ้า 9) หลอดและท่อโลหะ 10) เคมีภัณฑ์

นอกจากนี้ ไทยและยูกันดาได้เจรจาความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ (Air Service Agreement) ระหว่างกัน
ลงนามย่อรับรองร่างความตกลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการทำความตกลงฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2540
แต่ปัจจุบันยังมิได้มีการลงนามในความตกลงฯ ดังกล่าว

ที่มา:คนไทยยูเค
********************************************************************************

"10 มกรา" หนามยอกอก "เลขาฯ ปชป."

ในกลเกม-การแก้ไขรัฐธรรมนูญ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นคนที่รับแรงปะทะจากทั้งศึกใน-ศึกนอก

ทั้ง 2 กองกำลังของอดีตหัวหน้าพรรค "ชวน หลีกภัย" และกองกำลังของเหล่า "ทายาท" สาวกของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถล่ม "สุเทพ" เป็นระลอกราวกับลูกระนาด

เก้าอี้ที่ทรงอิทธิพล-ทางการเมือง-ตำแหน่ง "เลขาธิการพรรค" ผู้พลิกตำนาน "ดีลมหากาฬ" จัดตั้งรัฐบาลแบบ สายฟ้าแลบ-พลิกฟ้า-พลิกขั้ว ถูกอาถรรพ์ "พรรคเก่าแก่" ครอบงำจนอึดอัด-หายใจแทบไม่ออก

"สุเทพ" อยู่ในอาการ กลับไม่ได้- ไปไม่ถึง

ไม่มีแนวโน้มที่ประวัติศาสตร์-10 มกรา และศึก 2 เส้า ระหว่างทศวรรษใหม่กับผลัดใบ จะซ้ำรอย

คนในวงการเมืองวิพากษ์-ย้อนประวัติศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กัน ใต้ถุนสภาผู้แทนราษฎรว่า "เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีฉากจบ-ศพไม่สวย สักคน"

ทั้ง "วีระ มุสิกพงศ์-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์-ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์"

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์พรรค ปชป. ก็น่าหวั่นใจแทน "เทพเทือก" ไม่น้อย กับอาถรรพ์ "เก้าอี้เลขาฯพรรค ปชป."

เริ่มจาก นายวีระ มุสิกพงศ์ จากอดีต นักการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงในยุคหนึ่ง แต่พอขึ้นชั้นเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีเหตุให้ตกเก้าอี้อย่างเจ็บปวด จนวีระต้องจำใจพากลุ่ม "10 มกรา" แตกทัพออกมาจากประชาธิปัตย์

จากนั้นมาเส้นทางการเมืองของวีระ ก็ไม่ได้สดใสดังเดิม ผ่านการติดคุกจนหมดโอกาสสร้างบารมีในภาคใต้

ล่าสุดผันตัวเองมาเป็นแกนนำม็อบคนเสื้อแดง ต่อต้านอำมาตย์และพรรค ประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว

อาถรรพ์เลขาฯ ปชป. คนต่อมาคือ "เสธ.หนั่น" พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ผู้ผลักดันให้ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรค ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย

แต่ด้วยพิษการเมืองในพรรค-นอกพรรค สุดท้าย ชาละวันแห่งเมืองพิจิตรก็เจอวิบากกรรม โดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟันคดีทุจริตเงิน 45 ล้านบาท เจอโทษเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี อำลาจากพรรคประชาธิปัตย์แบบเจ็บปวดเช่นกัน

ล่าสุด "เสธ.หนั่น" พเนจรมาอยู่กับ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และเตรียมสละอำนาจการเมืองผ่องถ่ายอำนาจให้ "ลูกชาย" สืบทอดกิจการการเมือง ในพรรคชาติไทยพัฒนา

จาก "เสธ.หนั่น" ก็มาถึงคิว "เสี่ยอ๊อด" นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ถูกดันขึ้นนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคในยุคของทีมทศวรรษใหม่ ที่มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค

แต่เมื่อ "บัญญัติ" พาพรรคแพ้เลือกตั้งแบบสู้คู่แข่งพรรคพลังประชาชนไม่ได้ จนต้องแสดงสปิริตลาออก

"ประดิษฐ์" จึงต้องเดินย่ำรอยลูกพี่ อย่าง "เสธ.หนั่น" เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าหนีมาอยู่กับค่ายรวมใจไทยชาติพัฒนา ที่มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นแกนนำในปัจจุบัน

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่ร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่า "เลขาธิการพรรค" จะรับปาก-รับไหว้คนการเมือง ไว้ทั่วสารทิศว่า "ต้องแก้รัฐธรรมนูญ"แต่เมื่อ "มติ" ที่ออกมา "สวนทาง"กับพรรคร่วมรัฐบาล จึงถูกวิจารณ์จากคนการเมืองระดับเขี้ยวว่า "จะซ้ำรอยเหตุการณ์ 10 มกรา"

พลิกตำนานเหตุการณ์ กลุ่ม 10 มกรา เกิดขึ้นจากการจัดโผรัฐมนตรี สมัยที่ นายพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค ได้ร่วมรัฐบาลที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

การจัดโผคณะรัฐมนตรีในครั้งนั้น นายวีระซึ่งเป็นคนเจรจาดึง ส.ส.กลุ่มวาดะห์ ที่มีนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นหัวหน้ากลุ่ม อยู่ในขณะนั้น มาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้มีจำนวน ส.ส.มากขึ้น นายวีระจึงเสนอให้นายเด่นเป็นรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่เมื่อรายชื่อคณะรัฐมนตรีประกาศออกมา ไม่มีชื่อของนายเด่น แต่กลับมีชื่อ นายพิจิตต รัตตกุล ลูกชายของนายพิชัย ซึ่งไม่มีชื่อในโผมาก่อน ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม

เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับนายวีระเป็นอย่างมาก กระทั่งความไม่พอใจได้ขยายวงเป็นความขัดแย้งและความแตกแยกกันขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนมาจบลงเมื่อมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีการแข่งขันกัน 2 ทีม ทีมแรกเสนอนายพิชัย หัวหน้าพรรคคนเก่า มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ โดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนั้นเป็น ส.ส. ที่มีความใกล้ชิดกับ นายชวน หลีกภัย ซึ่งขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหอกในการล็อบบี้สนับสนุน

ส่วนอีกทีมเสนอ นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ มีนายวีระ เป็นเลขาธิการพรรคคนเก่า

ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ทีมของนายพิชัยชนะทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ทำให้เกิด "กลุ่ม 10 มกรา" ขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ และต่อมาเมื่อ พล.อ.เปรมยุบสภา ส่งผลให้สมาชิกกลุ่ม 10 มกรา นำโดยวีระ จำต้องเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปอย่างเจ็บปวด

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลโพล เลือกตั้งวันนี้เสียงส่วนใหญ่ไม่เลือก "ปชป.-อภิสิทธิ์"เว้นภาคใต้หนุน77% คน กทม.เอาด้วยแค่25%

ผลสำรวจเอแบคโพล หย่อนบัตรวันนี้ เสียงส่วนใหญ่ไม่เลือกประชาธิปัตย์ ยกเว้นภาคใต้หนุนเกือบ 77% ใน กทม.เลือกแค่ร้อยละ 25 ส่วนใหญ่เกือบ 50% ยังไม่ตัดสินใจ ขณะที่ร้อยละ 80 เบื่อหน่ายปัญหาการเมือง ไม้ต้องการความรุนแรง

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553ถึงผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง สถานการณ์การเลือกข้างความนิยมของประชาชน กับความในใจของคนที่ “ขออยู่ตรงกลาง” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่ พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดล จำนวน 5,470 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 20 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2553 พบว่า กลุ่มประชาชนที่ถูกศึกษาจำนวนมากที่สุดคือร้อยละ 46.5 แสดงตน “ขออยู่ตรงกลาง”คือ ไม่เลือกข้าง

เมื่อสอบถามถึงนักการเมืองที่นิยมชอบ สนับสนุน ระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นักการเมืองคนอื่น โดยร้อยละ 28.6 นิยมชอบสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่ ร้อยละ 24.9 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ +/- ร้อยละ 5 ซึ่งผลสำรวจครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า คนจำนวนมากที่สุดไม่เลือกข้าง แต่ขออยู่ตรงกลาง ส่วนกลุ่มคนที่ตัดสินใจเลือกข้างเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ กับกลุ่มคนที่สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น ในทางสถิติถือว่ามีสัดส่วนพอๆ กัน

ที่น่าสนใจคือ หลังจากจำแนกกลุ่มประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามออกตามภูมิภาค พบว่า เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ในแต่ ละพื้นที่ แม้แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเกือบครึ่งหนึ่งหรือประมาณครึ่งหนึ่งเลยทีเดียวคือ ร้อยละ 49.3 ระบุไม่เลือกข้างแต่ขออยู่ตรงกลาง โดยมีเพียงกลุ่มประชาชนในภาคใต้เท่านั้นคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.8 ที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชาชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 37.6 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น มีเพียงร้อยละ 13.1 เท่านั้นที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์

แต่ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ แม้แต่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากพรรคเดียวกัน แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับยังไม่สามารถทำให้คนกรุงเทพมหานครสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ได้ขาดลอย เพราะมีเพียงร้อยละ 25.4 เท่านั้นที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ในขณะที่ ร้อยละ 27.2 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น และร้อยละ 47.4 ขออยู่ตรงกลางไม่ขอเลือกข้างซึ่งเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ท่านจะเลือกพรรคการเมืองใดในระบบแบบสัดส่วน พบว่า ประชาชนร้อยละ 36.9 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง ร้อยละ 33.6 เลือกพรรคการเมืองอื่น ๆ ในขณะที่ร้อยละ 29.5 เลือกพรรคประชาธิปัตย์

และพบว่า ประชาชนในภาคเหนือร้อยละ 35.8 เลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ในขณะที่ร้อยละ 26.2เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 38.0 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง ยังไม่เลือกพรรคใด

ประชาชนในภาคกลางร้อยละ 28.2 เลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ในขณะที่ร้อยละ 29.8 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 42.0 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

แต่ผลสำรวจชี้ชัดเจนว่า ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 45.9 จะเลือกพรรคการเมืองอื่น ร้อยละ 13.6 เท่านั้น จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และที่เหลือร้อยละ 40.5 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในภาคใต้ร้อยละ 77.1 ตัดสินใจแล้วเลือกพรรคประชาธิปัตย์ มีเพียงร้อยละ 8.9 จะเลือกพรรคอื่นๆ และร้อยละ 14.0 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

ที่น่าตกใจคือ ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 34.8 จะเลือกพรรคการเมืองอื่น ในขณะที่ร้อยละ 26.8 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 38.4 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

ผลสำรวจได้วิเคราะห์ 10 อันดับแรกความในใจของกลุ่มคนที่ “ขออยู่ตรงกลาง” ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศพบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 87.5 บอกว่า เบื่อหน่ายปัญหาการเมือง เมื่อไหร่จะจบเสียที

รองลงมาอันดับที่สอง คือ ร้อยละ 85.1 บอกว่า อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขโดยเร็ว อันดับที่สามหรือร้อยละ 82.2 ระบุต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และต้องการให้เร่งยุติความขัดแย้งรุนแรง

อันดับที่สี่ ร้อยละ 80.9 เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เคารพกติกาบ้านเมือง ในขณะที่ รองๆ ลงไปคือ ขอให้คนไทยรักกัน จับมือกันแก้ปัญหาบ้านเมือง อยากให้เลิกทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ช่วยกันเป็นคนดี มีน้ำใจเกื้อกูลกันในสังคม ทำการเมืองสร้างสรรค์ รณรงค์เลิกพูดเรื่องการเมือง และเอาประเทศชาติมาก่อน ไม่สนใจพวกนักการเมือง ตามลำดับ

ที่มา:มติชนออนไลน์

ความน่าเชื่อถือติดลบ

รายการงามหน้าที่ยังคาราคาซัง สำหรับ โครงการมาบตาพุด ยังไม่มีท่าทีว่าจะหาข้อยุติได้ลงตัว โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างจำนวน 29 โครงการ ยังไม่มีทางออกของปัญหา ความหวังที่จะรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลชุดนี้ดูริบหรี่เต็มที

ว่ากันว่ากลุ่มนักธุรกิจที่ไปท้วงถาม นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเกิดอาการหัวเสียเพราะคำตอบที่ได้รับจากนายกฯชนิด ไปไหนมาสามวาสองศอก ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหานี้ แต่เป็นการแก้ตัวของรัฐบาลมากกว่า

กลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส เตรียมพิจารณาหาทางออกสำหรับตัวเอง ไม่พ้นต้องถอนการลงทุน เพราะไม่มีความมั่นใจต่อนโยบายการลงทุนของรัฐบาลอีกต่อไป

ในระยะยาวสมมติลงทุนไปเป็นจำนวนมหาศาลเกิดปัญหาขึ้นมาก็เจ๊งพอดี ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบ้านเราป่นปี้ไปแล้วมาจากโครงการมาบตาพุดและการปัดสวะของรัฐบาลนี่แหละ

แล้วความเชื่อมั่นทางการเมืองก็แทบจะไม่เหลืออะไร สำนักข่าวเอเอฟพี เสนอรายงานสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงใกล้วันที่จะมีคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ในทำนองนักวิเคราะห์ ต่างชาติมีความวิตกกังวลว่า ฝ่ายทหารอาจทำปฏิวัติรัฐประหารอีก

วิเคราะห์กันไปถึงการ ยิงเอ็ม 79 เข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก พูดถึงบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และความเคลื่อนไหวในกองทัพ

เสร็จแล้วก็สรุปกันว่า ชีวิตการเมืองในประเทศไทยยังอยู่ในภาวะไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่

นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนีมองว่า การเกิดข่าวลือปฏิวัติ ในไทยสะท้อนให้เห็นความยากลำบากของการเมืองไทยหลังจากโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

หรือนักวิเคราะห์คนอื่นๆระบุว่า สถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้เป็นภาพของ สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดการระเบิด โดยมีความตึงเครียดทุกทิศทุกทาง

และยังมองว่า อันตรายที่จะเกิดกับนายกฯอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน เรื่องจะถูกทำร้ายโจมตีด้วยความรุนแรง จึงพอประเมินได้ว่า ในสายตาชาวโลกประเทศไทยยังตกอยู่ในจุดอันตรายใกล้กลียุค

ดังนั้น วิกฤติการเมืองร้อนๆจึงเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจของบ้านเรา ทรุดฮวบลงไปอีก จีดีพีที่คุยว่าจะโตถึงร้อยละ 3.5 หรือร้อยละ 4 ก็คงเป็นความฝันลมๆแล้งๆ

อ่านรายงานเศรษฐกิจธนาคารโลก ปรากฏว่า เศรษฐกิจประเทศลาว ปี 2552-2553 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวถึงร้อยละ 6.4 รองมาจากประเทศจีน

ลาวจะเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดด้วยทรัพยากรธรรมชาติและรายได้จากการท่องเที่ยว ลาวมีเหมืองทองขนาดใหญ่ เหลียวหลังมองเศรษฐกิจการเมืองไทยแล้วมืดมนและว้าเหว่.

ที่มา:ไทยรัฐ
โดย.หมัดเหล็ก

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หมองู..


ใกล้เข้ามาทุกวันกับคดีความสำคัญ...งานยึดเงิน 7 หมื่น 6 พันล้าน ของ ทักษิณ ชินวัตร...กับครอบครัว

ไม่ว่าคำพิพากษาของ...ตุลาการศาลเดียว จะเป็นไปเช่นไร...คำพิพากษานั้น ก็จะมีความสำคัญเท่ากับการแพ้ชนะในทางการเมือง
ที่จะเกิดขึ้น

เช่น...หากฝ่ายปฏิวัติและขบวนการต่อเนื่อง สามารถรักษาชัยชนะไว้ได้ตลอดไป...คำพิพากษานั้นก็จะมีผล...

แต่ทันทีทันใด ที่ฝ่ายสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร สามารถพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลได้...และมีเสียงท่วมสภา เขาก็จะเรียกร้องและ
ขอทรัพย์สมบัติของเขาคืน

ทฤษฎีหญ้าในท้องวัว ที่นำมาแสดงคุณวิเศษ...ยิ่งนำไปอธิบายได้ว่า...คดีความที่นำไปสู่การยึดทรัพย์ครั้งนี้...มีความบกพร่องเช่นไร...
และไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของอำนาจตุลาการ เพราะมันเป็นตุลาการศาลเดียว เป็นตุลาการของเผด็จการ

ย้อนลงไปถึงขบวนการกล่าวหา...ที่ฝ่ายถืออำนาจใช้ทางลัดจัดตั้งองค์กรกล่าวหาขึ้นมาเอง...ก็ยิ่งทำให้ผู้รักในความยุติธรรมทั้งสิ้น
ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่า นี่เป็นการทำลายล้างกันทางการเมือง ไม่ใช่คดีความปรกติ เป็นการใช้อำนาจเหนือธรรมชาติ
เหนือกระบวนการตุลาการ อันเป็นปรกติของชาติและสังคม ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย...ที่มีการถ่วงดุลกันระหว่าง
อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

ผู้ได้รับผลประโยชน์ในทางการเมืองจากการถูกยึดทรัพย์ ก็คือเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด...เพราะในที่สุด เขาก็จะได้คืนเงินทั้งหมดครบ
ทั้งต้นและดอกเบี้ย

และที่น่าวิตกยิ่งไปกว่าก็คือ...คณะปฏิวัติเมื่อ19 กันยายน 2549 ที่เป็นทั้งกองทัพและรัฐบาล...และเป็นผู้อนุมัติสั่งการจัดโยก
งบประมาณไปซื้อ...นวัตกรรมลวงโลก จีที 200 ราคาพันบาทในราคาล้านห้าแสนบาทนั้น...จะต้องโดนล้วงหญ้าในท้องออกมา
ให้หมดด้วยหรือไม่...

เมื่อความชัดเจนในการคอร์รัปชั่น...มันยืนยันตัวของมันออกมา...หรือจะต้องยึดอำนาจกันอีกครั้ง เพื่อกลบฝังเรื่องเน่าเหม็นที่บันลือโลก...

หรือจะขับไล่ประชาชนคนไทย ออกจากแผ่นดินนี้ เพื่อที่พวกท่านทั้งหลาย จะได้ไม่ต้องหวาดระแวงภัยว่า จะมีใครไปคิดล้มล้างพวกท่าน...

ปัญหาอยู่ที่ว่า...เมื่อประชาชนคนไทยไม่มีบนแผ่นดินนี้แล้ว...ท่านจะไปหาไพร่ราบพลเลวได้ที่ไหน...

เพราะไพร่ราบพลเลวทั้งหลายนั้น...มันก็คือลูกหลานของประชาชน

หมองูตายเพราะงู ฉันใด ผู้แอบอ้างคอร์รัปชั่นขึ้นมาเป็นใหญ่ ก็ตายด้วยคอร์รัปชั่น ฉันนั้น !!!!!

โดย: พญาไม้

เรื่องที่ทำไม่ได้!

เอาความจริงกับการปฏิบัติมาพูดกัน...ไม่ต้องสนใจว่า “ใครเป็นพวกใคร”

กระบวนการ “2 มาตรฐาน” ภายหลังปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา 49 มันได้ส่งผลกระทบลุกลามใหญ่โต...เป็นเรื่อง“เฮงซวย”
ระดับประเทศชาติเพราะการเมือง...เศรษฐกิจ...สังคม...และประชาชนหันหัวเดินกัน “คนละทิศละทาง”

ถือเป็นบ่อนร้ายทำลายการพัฒนาประเทศนี้อย่างยิ่งยวดแทนที่ “ระบอบยุติธรรม” จะบังคับให้ประชาชนทั่วทุกพื้นที่บนอาณาเขต
ผืนแผ่นดินไทยมี “ความเท่าเทียมกัน” โดยใช้ระบอบ “อันทรงอำนาจ” สร้างสรรค์ด้วยการให้ประชาชนมีความเสมอภาคในการพูดคุย...

เสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น...และเสมอภาคในการกระทำ แต่สิ่งที่ “ผู้มีอำนาจ” นำมาปฏิบัติด้วยวิธีกลายพันธ์..
กลับเป็น “การบังคับ” ให้ผู้คนส่วนใหญ่ ต้องยอมรับในระบอบของความ “อยุติธรรม” นี้

เพราะด้วยอคติ...และคิดว่าตน จะสามารถจัดการได้โดยทิ้ง “หลักการ” แห่งความถูกต้อง...เสมือนประชาชนเป็นคนอื่น “ไม่รู้เท่าทัน”
จากความน่าสงสัย จากหนึ่งกรณี หรือหนึ่งเหตุการณ์...กลายมาเป็นสิบเรื่องร้อยเรื่องที่สะสม เป็น “ดินพอกหางหมู”

ดังนั้น ควรเริ่มได้แล้วหรือยัง?...กับการปฏิบัติให้เกิด “ความเสมอภาค” ในสังคมไทยเริ่มจากประเด็นสดๆ ร้อนๆ เกี่ยวกับ
“อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” และ “สุพร อัตถาวงศ์” แกนนำ นปช.ก่อนก็เป็นได้ จากการถูกตรวจสอบว่าใช้บัตร ส.ส. ที่หมดอายุ
กับการใช้สิทธิขึ้นเครื่องบินฟรี...

หากมีหลักฐานว่า “ผิดจริง” ก็ว่าไปตามผิด!

หากผิดกฎหมายแพ่งเรียกค่าเสียหาย ค่าปรับ พร้อมทั้งดอกเบี้ย...

หากผิดกฎหมายอาญา ให้จำคุกตามโทษที่ควรรับ...

แต่เรื่องที่ยังคาราคาซังเกี่ยวกับการ “อัพเกรดตั๋ว” ของรมว.คลัง “กรณ์ จาติกวณิช” ท่านต้องนำมาพิจารณาบนพื้นฐานแห่ง
“ความยุติธรรม” ในกฎหมายเช่นเดียวกัน “โชว์สปิริต” ให้ประชาชนเห็นเป็นที่ประจักษ์สายตาหน่อยว่าเป็นอย่างไร?

หากพวกท่านคิดอยาก “จับผิด” และ “เอาผิด” กับบุคคลที่ถูกมองเป็นกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม...

ท่านจำเป็นต้องใช้ “ยุทธวิธีกำจัด” ที่กลมกลืนเรื่องเดียวกัน...

มึงผิดกูผิด...ต้อง “กล้าแลกหมัดกัน”

แต่พนันเลยว่า...มันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้...มิใช่เรื่องที่ไม่ได้ทำ...เพราะใครกล้าขัดขืนคำสั่ง “ลูกพี่ใหญ่” มีหวังโดนตบสลบ

ซํ้าร้ายอาจถึงขั้น ผีไม่เผา...เงาไม่เหยียบ!

โดย:"ภูผาหิน"
****************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อุ้ม GT200! ทดแทนคุณทหาร


ถ้าเป็นคนขยันที่แท้จริง จะต้องขยันในทุกเรื่อง ไม่ใช่เลือกเรื่องที่จะขยันถ้าเป็นรัฐบาลกระตือรือร้นในเชิงสร้างสรรค์ ประเทศชาติก็คงจะก้าวหน้าไปได้พรวดๆแต่ปัญหาก็คือ หากเจอประเภท ขยันหาเรื่อง กระตือรือร้นเพื่อแสวงผลประโยชน์ แบบนี้ประเทศชาติพังแน่เห็นได้ชัดว่า ในขณะที่รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามสร้างภาพความเป็นนายสะอาด เป็นรัฐบาลสะอาด แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาสู่ประชาชน กลับกลายเป็นภาพตรงข้าม...รัฐบาลมอมแมม กระดำกระด่าง เต็มไปด้วยกลิ่นโฉ่ฉาวคาวทุจริตในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เองก็เต็มไปด้วยความดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเองเป็นหลัก...แต่เป็นหลักลอย ที่หามาตรฐานอะไรมาวัดไม่ได้ เพราะ 2 มาตรฐานไปหมดทุกเรื่อง หากเกี่ยวกับการทำลายล้างและการเอาชนะคะคานทางการเมืองไม่ต้องเอ่ยอ้างถึงพรรคเพื่อไทย หรือยิ่งไม่ต้อง

พูดถึงกลุ่มคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองแท้ๆ ยังพูดชัดเจนมาแล้ว เมื่อถูกพรรคประชาธิปัตย์หักหลังในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ“พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”“เขียนด้วยมือ แต่ลบด้วยเท้า”จริงๆ ถ้าไม่มีผลประโยชน์ในการเป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีเกาะเกี่ยวยึดโยงเอาไว้ ป่านนี้รัฐบาลแตกโพล๊ะไปเรียบร้อยโรงเรียนมาร์คแล้วฉะนั้นหากความรู้สึกและมุมมองของประชาชน จะสะท้อนผ่านโพลล์ต่างๆว่า

รัฐบาลมีข้อครหาเรื่องทุจริตมากเหลือเกิน ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลมาร์คจะต้องยอมรับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องตอบแทนบุญคุณที่ทำให้มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเองแต่ในหลายกรณีก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า เป็นผลมาจากที่ต้องเป็นฝ่ายค้านมานานด้วยเหมือนกันสิ่งที่รัฐบาลต้องทำในเวลานี้ ก็คือต้องหาซื้อผงซักฟอก และน้ำยาดับกลิ่น ตุนเอาไว้เยอะๆขณะเดียวกัน 3 ยุทธศาสตร์ถนัดก็ต้องงัดออกมาใช้ตลอดเวลา1. คือการซื้อเวลา2. คือ

การเบี่ยงเบนประเด็น สร้างกระแสอื่นมากลบ3. คือการใช้กองกำลังปากกล้าร้องด่าท้าทาย ออกมาสวนกลับ ว่าทุกเรื่องรัฐบาลก่อนๆ ทำมาแล้วทั้งนั้น จึงไม่ควรมาต่อว่าเวลาประชาธิปัตย์ทำ... เป็นเสียอย่างนั้นหลายๆ เรื่องใช้สูตรนี้ทั้งสิ้นล่าสุดกรณี เครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ก็ออกอาการแล้วว่า ต้องใช้สูตรเด็ด เคล็ดลับ ปชป.นี้ด้วยเช่นกัน... จะไม่ทำได้อย่างไร ในเมื่อกลุ่มนายทหารใหญ่ คมช. ต้องถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณอันดับ 1 ในการพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลของพรรค

ประชาธิปัตย์นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะพูดได้อย่างเต็มปากก็จริง ที่ว่าไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณม็อบพันธมิตรก็ตอนจัดตั้งรัฐบาล ม็อบพันธมิตรหรือแกนนำ ไม่ได้ช่วยตั้งรัฐบาลจริงๆ นี่นาทำหน้าที่เป็นแค่กองเชียร์ และกล่อมให้ประชาชนเห็นดีเห็นงาม เห็นพ้องว่าเป็นแนวทางที่ถูกแล้ว เพราะจะแก้ปัญหาทางตันทางการเมืองได้ จะสร้างความสมานฉันท์ได้ และจะยุติปัญหาทุจริตได้?แล้ววันนี้เป็นอย่างไร รู้ซึ้งกันดีทั้งประเทศแล้วว่า ได้

อย่างที่หวังหรือไม่?ส่วนที่ประชาชนไม่ได้หวัง แต่กลับได้ไปเต็มๆ ก็เรื่องทุจริตนั่นแหละฉาวโฉ่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม ก็โบ้ยว่าไม่รู้เป็นเรื่องพรรคภูมิใจไทย ทั้งๆ ที่ตอบแทนบุญคุณทางการเมืองด้วยการประเคนกระทรวงผลประโยชน์ให้กับพรรคภูมิใจไทยของ นายเนวิน ชิดชอบ ไปเองกับมือเช่นกันกับกลิ่นโฉ่ GT 200 ซึ่งจำเลยสังคมในปัจจุบันก็คือกองทัพบกก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุญคุณอีกเช่นกัน เมื่อติดค้างบุญคุณ ก็จำเป็นต้อง “อุ้ม”ยุทธศาสตร์แรกซื้อเวลา ก็เลย

ต้องอาศัยบริการของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนยี ใช้ทั้งมติคณะรัฐมนตรี และกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 และเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ขยายประเด็นให้ต้องทำงานกว้างเอาไว้ก่อน ไม่ได้เจาะจงเฉพาะแค่ GT 200 แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า เท่ากับแปลว่าต้องใช้เวลามากขึ้นแถม

มีการเชิญบุคลากรกว่า 20 คน จากหลายฝ่ายมาเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน มาทั้ง ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้าร่วมตรวจสอบ รวมทั้ง ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยา

ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมอยู่ในคณะทำงานตรวจสอบด้วย แต่ที่น่าห่วงก็คือ ดร.เจษฎา ออกอาการอึดอัดและเริ่มขอไม่พูด โดยระบุว่า มีรายการ “คุณขอมา” ไม่ให้พูด“ไม่ขอให้ข่าวหรือวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะได้ให้ข้อมูลไปมากแล้ว อีกทั้งมีคนมาขอร้องให้ยุติการให้ข่าวในเรื่องนี้ด้วย เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความสับสน”ดร.เจษฎาพูดชัดตอนนี้คุณหญิงกัลยา ก็ได้ให้นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยี

อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ไปกำหนดกรอบในการตรวจสอบประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีการและขั้นตอน ซึ่งเบื้องต้นจะมีการตรวจสอบทั้งในภาคสนามและห้องทดลองมาก่อนหากที่ประชุมกำหนดกรอบได้ตรงกัน หลังจากนั้นก็น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อยงานนี้... กระแสฮอต ก็คงกลายเป็นกระแสเหี่ยวไปตามที่ต้องการยิ่งระหว่างนี้ได้จังหวะที่เหมาะเจาะกับยุทธศาตร์ที่ 2 ซึ่งเป็นเกมถนัด นั่นคือการเบี่ยงประเด็น สร้างกระแสอื่นกลบยิ่ง

กองกำลังปากส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ด้วยแล้ว ต้องถือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องถนัดอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีการโหมประโคมเรื่องวันที่ 26 กุมภาพันธ์ กันอย่างสนุกสนาน ว่าจะเกิดความรุนแรง เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในบ้านในเมืองป้ายกันเต็มที่ว่าเพราะจะโดนยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท จึงทำให้เป็นภาวะอันตรายหาเหตุผลข้ออ้างในการจะทำ Propaganda โฆษณาชวนเชื่อกันในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าสมควรยึดทรัพย์จริงๆ หยิบเอาทฤษฎีวัว ของนาย

แก้วสรร อติโพธิ์ อดีต คตส. ซึ่งเป็นผู้กล่าวหามาขยายความเป็นตุเป็นตะและเมื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความคิดเห็นบ้างว่า“คงจะมียึดบ้างหรืออายัดบ้าง แต่ก็คงจะเป็นไปด้วยเหตุด้วยผลทฤษฎีว่าด้วยวัวตัวโตของนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็น่ารักดี แต่ก็คงจะไม่ใช่อย่างนั้น ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คงจะมียึดบ้างแต่ต้องให้ความเป็นธรรมต่อ พ.ต.ท.

ทักษิณ ใครก็แล้วแต่ที่เป็นคนไทยต้องให้ความยุติธรรมด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ใช่ไปมองแต่ด้านที่เสียหาย คนเรามีทั้ง 2 ด้าน ด้านดีก็เยอะ อยากให้ทุกคนสบายใจว่าวันที่ 26 ก.พ. ที่จะมาถึงก็คงจะไปสู่วันที่ 27 ด้วยความเรียบร้อยทุกอย่าง”เท่านั้นแหละรับไม่ได้ แขวะบิ๊กจิ๋วกันอุตลุดถ้าเลือกที่จะเล่นเกม “พูดฝ่ายเดียว” ก็น่าจะออกกฎหมายมาเลยให้รู้แล้วรู้รอดว่า จากนี้ไปจนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ห้ามประชาชนพูดหรือมีความคิดเห็นในเรื่องยึดทรัพย์ 76,000 ล้านโดยเด็ดขาด

ให้เฉพาะรัฐบาล และกลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์เท่านั้นที่พูดได้เพราะนั่นก็คือ ยุทธศาสตร์ถนัดอย่างที่ 3 เพราะพอมีกระแสในเรื่อง ปาอุจจาระใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ ที่ซอยสุขุมวิท 31 เท่านั้น ก็เป็นเรื่องสนุกปากของกองกำลังร้องด่าท้าทายทันทีพล่อยปากลามปามไปถึงว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ ที่หวังให้นายอภิสิทธิ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปโน่นเลยถ้าแค่ปาอุจจาระใส่บ้านแล้วนายอภิสิทธิ์ตกเก้าอี้นายกฯ ล่ะก็ บรรดากลุ่มอำมาตยาธิปไตย บรรดาอดีตทหารใหญ่ คม

ช. จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน อุตส่าห์อุ้มชูซะขนาดนี้ ดันมาแพ้อุจจาระเสียได้พูดเป็นปากไม่มีหูรูดไปได้แต่ก็อย่างว่าแหละ นี่คือ 3 สูตรเด็ดที่ต้องใช้เพื่อกลบกระแสฉาว GT 200 นั่นเองไม่รีบกลบกระแสได้อย่างไร ก็นายมุข สุไลมาน ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้ข้อมูลว่า จากการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ทำให้ได้รับทราบข้อมูลอีกด้านของ GT 200 โดยชาวบ้าน บอกว่า การทำงานของเครื่องไม่มีความแม่นยำ ชี้แบบสะเปะ

สะปะ มีการชี้ไปยัง วัตถุที่ไม่ผิดกฎหมาย ที่สำคัญมีการชี้ไปยังผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าก็มีการจับกุมไปตรวจสอบในค่ายทหาร 1-2 วัน แล้วจึงปล่อยออกมา เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เกิดความหวาดผวา ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้ตรวจสอบว่า จะยังคงให้ใช้เครื่องนี้อยู่ต่อไปหรือไม่?คงต้องดูว่า สุดท้าย GT 200 จะจบแบบ “อุ้มทหาร” อย่างที่สังคมคาดกันหรือไม่

ที่มา:บางกอกทูเดย์