--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“ ดร. สุรพล ” โดนวิจารณ์น่วม !!! ความคงเส้นคงวา แบบ ท่านอธิการบดี


ไม่น่าเชื่อว่า การไป อภิปราย เรื่อง “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” ที่มหาวิทยาลัยรังสิต เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 ของ ศ.ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะ กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ที่กว้างขวางและร้อนแรงที่สุด ในแวดวงวิชาการ ....

กระฉ่อนและแรงที่สุด คือ บทวิพากษ์แบบโหด ๆ และดิบๆ ของนาย พุฒิพงศ์ พงศ์อเนกกุล นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง บทวิพากษ์ของ นักศึกษากฎหมาย ปี 2 เป็นหัวข้อที่มีคนอ่านมากที่สุด ชิ้นหนึ่ง

ถัดมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย ก็เขียนบทความเรื่อง วิพากษ์การบิดเบือนทางความคิดและทุจริตทางวาจา ของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ล่าสุด นาย อภิชาต สถิตนิรามัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความลงในประชาชาติธุรกิจ เรื่อง บทอาเศียรวาทแด่ ศ. ดร. สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยจริยธรรมของนักวิชาการ


คนที่อ่าน บทวิพากษ์ ดร. สุรพล มาทั้ง 3 เวอร์ชั่น บอกว่า ดีไปกันคนละแบบ

ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” นำเสนอ บทวิพากษ์ ของ อภิชาติ สถิตรนิรมัย ที่เราเชื่อว่า หลายคน ยังไม่เคยได้อ่าน บทวิพากษ์ที่นุ่มนวลในท่าที แต่หนักหน่วง ในเชิงจริยธรรม

......ผมอ่านบทอภิปรายของท่านอาจารย์สุรพลในหัวข้อ “แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย” ที่มหาวิทยาลัยรังสิตเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2553 แล้วยินดียิ่งที่พบว่า เรามีความเห็นตรงกันในเรื่องเกี่ยวกับคุณลักษณะที่สำคัญของความเป็นนักวิชาการนั้นคือความคงเส้นคงวา (consistency)

อาจารย์คงยอมรับอย่างสุดจิตสุดใจว่า หากนักวิชาการคนใดปราศจากคุณสมบัติข้อนี้แล้ว ย่อมไม่สามารถนับได้ว่าเขาคนนั้นๆ เป็นนักวิชาการได้อีกต่อไป

คุณสมบัติข้อนี้สำคัญมาก จนกระทั่งอาจเทียบได้ว่ามันคือพรหมจรรยาของความเป็นนักวิชาการ ดุจเดียวกับการละเว้นการเสพเมถุนของนักบวช

ดังนั้น การขาดซึ่งพรหมจรรย์แห่งความคงเส้นคงวาของนักวิชาการแล้ว ก็ย่อมเปรียบเสมือนนักบวชทุศีล

ความยึดมั่นในคุณธรรมว่าด้วยความคงเส้นคงวาของท่านปรากฎอย่างชัดแจ้งในบทอภิปรายข้างต้น เมื่อท่านกล่าวย้อนผู้กล่าวหาว่า ความเป็นไปทางการเมืองในปัจจุบันนั้นเต็มไปด้วยความไม่คงเส้นคงวา (สองมาตรฐาน)

ท่านกล่าวว่า “คราวนี้มาถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ พูดกันมาก ว่าประเทศประชาธิปไตย ไม่ยอมรัฐประหาร ผมถามว่าคนที่บอกว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มาจากการทำรัฐประหาร ของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แล้วรัฐธรรมนูญ 2540 ไม่ได้มาจาก คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่มีการปฏิวัติยึดอำนาจรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อปี 2534 ”

“ผมถามท่านที่บอกว่า มีความคิดเป็นประชาธิปไตย ไม่ยอมรับอำนาจทหาร ที่มาจากการทำรัฐประหาร ถ้าไม่ยอมรับรัฐประหาร ผมถามว่าเราจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ.2475 หรือไม่ นั้นไปเอาพระราชอำนาจมาจากองค์พระประมุขของประเทศมาเลยนะ”

รวมทั้งอภิปรายต่อว่า “ในเรื่องการชุมนุมทางการเมืองก็เช่นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องปิดสนามบิน หรือปิดถนนในกรุงเทพฯ อัยการไม่มีทางสั่งเป็นอย่างอื่นได้ คืออัยการต้องสั่งฟ้องทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง แล้วให้คนเหล่านั้นไปต่อสู้คดีกันในศาล ซึ่งผมว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น ดังนั้น เรื่องนี้ก็ไม่มีสองมาตรฐานขึ้นอยู่กับว่าอัยการจะสั่งฟ้องช้าหรือเร็วเท่านั้น”

ความยึดมั่นในคุณธรรมข้อนี้ของท่านอธิการบดีคนปัจจุบันของธรรมศาสตร์นั้น ปรากฏมาช้านานแล้ว

ดังเช่นที่ท่านเคยให้สัมภาษณ์กับหนังสือสารคดีเมื่อเดือนกุมภาพัน พ.ศ. 2548

ท่านวิจารณ์ความไม่คงเส้นคงวาในการใช้กฎหมายของรัฐบาลทักษิณไว้ว่า “ถ้าเราเชื่อในเรื่องอำนาจ แล้วใช้อำนาจนั้นไปทำลายกฎเกณฑ์ทางกฎหมาย กฎเกณฑ์ทางสังคม สุดท้าย เมื่อเราเองไม่เคารพกฎเกณฑ์ทางกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ทางสังคมแล้ว เราจะเรียกร้องให้คนอื่นเคารพก็ไม่ได้... เมื่อไหร่ก็ตามที่คนที่มีอำนาจละเลยกฎหมาย หรือทำลายกฎหมาย สุดท้ายกติกาในการเข้าสู่อำนาจ กติกาในการที่จะต้องได้รับการยอมรับ หรือจะต้องได้รับการเคารพจากองค์กรอื่น ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นกติกาที่เกิดขึ้นตามกฎหมายทั้งนั้น มันก็ไม่มีความหมาย ถ้าคนที่มีอำนาจขึ้นมาโดยอาศัยกฎหมายกลับทำลายกฎหมายเสียเอง พื้นฐานของการเข้ามาสู่อำนาจซึ่งมันอาศัยกฎหมายเหล่านั้นก็ไม่มีอยู่อีกต่อ ไป ฉะนั้นถ้าคนมีอำนาจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเสียแล้ว จะไปเรียกร้องให้คนอื่นยอมรับอำนาจของตัวเอง ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากตัวบทกฎหมายทั้งนั้น ก็ย่อมจะไม่มีใครฟัง”

ความยึดมั่นในความคงเส้นคงวาของท่านอาจารย์นั้นยั่งลึกยิ่ง จนกระทั่งอาจารย์กล้าที่จะท้าทายอำนาจของรัฐบาลทักษิณอย่างไม่เกรงกลัว ดังคำกล่าวเมื่อถูกถามว่า “อาจารย์ถูกรัฐบาลกล่าวหาว่าเป็นพวกขาประจำที่ชอบออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล รู้สึกว่าเป็นปัญหาต่อการทำงานหรือไม่”

ท่านอาจารย์จึงตอบว่า “ผม คิดว่าผมได้ทำหน้าที่ของผมอย่างคงเส้นคงวา การแสดงความเห็นหรือมุมมองที่แตกต่างจากรัฐบาล เป็นเรื่องปรกติของนักวิชาการ แต่ผมไม่ได้ทำอย่างนี้กับรัฐบาลชุดนี้เท่านั้น ผมทำอย่างนี้มาทุกรัฐบาล เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรู้สึกว่าหลักการสำคัญทางกฎหมายถูกกระทบกระเทือน รัฐบาลไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย แนวคิดเรื่องนิติรัฐถูกกระทบ หรือสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกละเลย ผมคิดว่าเป็นหน้าที่ที่จะบอกกล่าวกับสังคม เพราะนี่เป็นเรื่องที่อยู่ในความเชี่ยวชาญของผม และผมเชื่อว่าสังคมก็คงคาดหวังด้วยว่า คนที่ได้เงินของรัฐบาลไปเรียนหนังสือในต่างประเทศเป็นเวลานาน ๆ และอยู่ในฐานะนักวิชาการในมหาวิทยาลัย น่าจะต้องทำหน้าที่อย่างนี้ ที่สำคัญคือผมทำอย่างนี้มาตลอดกับทุกรัฐบาล”

นอกจากคุณธรรมข้างต้นแล้ว ท่านอาจารย์สุรพลยังยึดมั่นในความพอเพียงและภาคภูมิใจกับชาติกำเนิดแบบสามัญชนของท่าน รวมทั้งตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นอาจารย์ ทั้งๆ ที่เป็นอาชีพซึ่งมีรายได้ต่ำ

ดังบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้ “ทำไมถึงมาเป็นอาจารย์แทนที่จะเป็นอัยการหรือผู้พิพากษาตามความตั้งใจเดิม
ตอนแรกมีความคิดว่าอยากเป็นอัยการ ผู้พิพากษา หรือทนายความ แต่ถึงตอนปี ๓ ปี ๔ เริ่มโตขึ้น มองเห็นว่าชีวิตคืออะไรมากขึ้น ความเป็นเด็กต่างจังหวัด ลูกคนชั้นกลาง ทำให้คิดอะไรหลายอย่าง โตขึ้นเราจะต้องสร้างฐานะ มีครอบครัว แล้วถ้าเป็นผู้พิพากษา อัยการ อาจจะทำให้เรามีโอกาสที่จะใช้อำนาจหน้าที่หรือการทำงานเป็นประโยชน์เพื่อจะ ไปสู่ตรงนี้ได้มาก มีช่องทางที่จะทุจริตได้ ขึ้นอยู่กับแต่ละคน มองตัวเองว่า โดยเงื่อนไขที่เราก็มาจากครอบครัวคนชั้นกลางที่ไม่ค่อยมีอะไร ดังนั้นเราไม่ควรจะไปทำอาชีพมีอำนาจและที่มีโอกาสที่จะใช้อำนาจโดยมิชอบ ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ จะทำให้วงการเขาเสียเปล่า ๆ ก็เลยคิดว่าอาจารย์สอนกฎหมายเป็นอาชีพที่ให้คุณให้โทษใครไม่ได้ ไม่มีโอกาสที่จะไปคิดว่าจะเรียกเงินใครเท่าไหร่ จะรับสินบนอย่างไร ผมก็คิดว่าถ้าเราทำวิชาชีพนี้ได้ดี มีความสุขที่จะเป็นนักวิชาการ ได้ไปเรียนเมืองนอกแล้วกลับมาสอนหนังสือ เราน่าจะเปลี่ยนใจมาตั้งเป้าเป็นอาจารย์นิติศาสตร์”

ความตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะเป็นอาจารย์นั้นก็มิใช่เพื่อความมุ่งหมายอื่นใดนอกจากเพื่อการอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์ยึดมั่นในคุณธรรมและความเป็นธรรมศาสตร์

ดังที่ท่านกล่าวว่า “ในแง่คุณธรรม ผมเชื่อว่าบัณฑิตธรรมศาสตร์ได้รับการยอมรับในแง่นี้มายาวนาน เรามีอะไรบางอย่างที่คนธรรมศาสตร์เรียกกันว่าเป็นจิตสำนึก หรือจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ ถามว่าคืออะไร หาคนอธิบายได้ยาก แต่ผมคิดของผมว่า เวลาเราพูดถึงจิตวิญณาณของธรรมศาสตร์ มันมีความหมายร่วมกันอยู่บางอย่างคือคนธรรมศาสตร์ไม่ค่อยเห็นแก่ตัว คิดถึงคนอื่นด้วย ประการที่ ๒ คือคนธรรมศาสตร์รักความเป็นธรรม กล้าที่จะบอกว่าอันนี้ไม่ถูก กล้าที่จะแสดงออก หมายความว่าคนธรรมศาสตร์จะอยู่ข้างเดียวกับคนที่ด้อยโอกาสหรือคนที่เสีย เปรียบในสังคม นี่เป็นลักษณะเฉพาะของคนธรรมศาสตร์ซึ่งสำคัญ ผมอยากให้บัณฑิตธรรมศาสตร์ในอนาคตมีลักษณะอย่างนี้ชัดเจน”

นอกจากนี้ท่านยังเป็นคนที่ไม่เสพติดในอำนาจ ดังเห็นได้จากการที่ท่านเปิดเผยถึงแนวคิดเบื้องหลังการรับตำแหน่งอธิการบดี “ในปีสุดท้ายที่ผมเป็นคณบดี ผมพบว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีปัญหาเยอะมากที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข ผู้ใหญ่หลายคนที่เคารพบอกว่าผมน่าจะเสนอตัวมาทำงานให้แก่มหาวิทยาลัย ผมก็คิดอยู่นาน เพราะรู้ว่าการเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์เป็นเรื่องใหญ่ ตอนแรกผมเองก็คิดว่าตัวเองน่าจะมีชีวิตที่ลงตัวพอสมควร ตั้งใจว่าพอลงจากการเป็นคณบดี ก็จะเป็นศาสตราจารย์ประจำธรรมดา ๆ ที่จะไปรับงานวิจัย สอนหนังสือ เขียนอะไรต่ออะไร ผมว่าเป็นความรู้สึกของอาจารย์ทุกคนที่อยากจะไปเขียนงานวิชาการมากกว่า แต่ว่าสุดท้าย วิธีคิดของผมคือ เมื่อผมประเมินสถานการณ์ว่าธรรมศาสตร์ต้องการความเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ผมก็สรุปกับตัวเองว่า ผมคิดว่าอาจจะถึงเวลาที่จะต้องเสนอตัวมาเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์ เพื่อที่จะทำอะไรให้แก่ธรรมศาสตร์บ้าง”

อาจารย์ครับ ผมภูมิใจมากที่เผอิญเป็นหนึ่งในสมาชิกประชาคมธรรมศาสตร์ภายใต้การนำของท่าน แต่เสียดายยิ่งนักที่วาระการดำรงตำแหน่งของท่านจะสิ้นสุดในไม่นานนี้ ผมคงไม่เหนี่ยวรั้งเรียกร้องให้ท่านดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่สาม

ด้วยเหตุว่าท่านประกาศอย่างชัดแจ้งว่าปรารถนาจะดำรงวิถีแห่งความเป็น “ศาสตราจารย์ประจำธรรดาๆ" ดังนั้น ผมจึงเชื่อแน่ว่าภายหลังจากรับภาระเป็นผู้นำของธรรมศาสตร์มานาน ท่านย่อมมีจิตใจเข้มแข็งที่จะกล้าปฏิเสธงานภายนอกมหาวิทยาลัยทุกตำแหน่ง ไม่ว่าปัญหาของหน่วยงานนั้นๆ จะหนักหน่วง และเรียกร้องต้องการบุคลลากรที่อุดมความรู้ ความสามารถ และคุณธรรมสูงเยี่ยงท่านเพียงไรก็ตาม

อีกทั้งการปฏิเสธงานภายนอกของท่านยังจะเป็นการกระทำเป็นตัวอย่างอันน่าสรรเสริญสำหรับผู้ที่จะมาเป็นอธิการบดีคนต่อไปในอนาคตอันใกล้ว่า

ผู้นำธรรมศาสตร์นั้นไม่ได้มีแรงจูงใจที่จะใช้ตำแหน่งนี้เป็นบันไดดาราสำหรับการไต่เต้า เพื่อแสวงหาอำนาจและสิ่งตอบแทนอื่นจากหน่วยงานภายนอกภายหลังจากการเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์

ดังเช่นมีการกล่าวหาเช่นนี้กับอธิการบดีท่านก่อนๆ

ผมได้แต่จินตนาการว่า สักวันหนึ่งผมจะมีโอกาสเขียนบทอาเศรียรวาทข้างต้นจริงๆ


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

มือขวา'ทักษิณ' เจ้าพ่อหวยบนดิน'สุรสิทธิ์ สังขพงศ์' เปิดตลาดลอตเตอรี่"ยูกันดา"


วันนี้ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ถูกรัฐบาลยูกันดา จีบให้ไปทำลอตเตอรี่

ซึ่งจะเปิดตัวยิ่งใหญ่ วาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ผลงานเก่าดีเด่น ผู้การจึงมีลูกค้าแถบแอฟริกาหลายประเทศ คิวต่อไปคือ แทนซาเนีย

โสมชบาจ๊ะจ๋า คอลัมน์ยอดฮิตของไทยรัฐ เอ่ยถึงมือขวาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ชื่อ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์
มือขวาผู้นี้เคยบริหารสำนักงานสลากกินแบ่งในตำแหน่งผู้อำนวยการ

เป็นยุคที่เกิดสลากพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว เป็นยุคที่เงินหวย กลายเป็นทุนการศึกษา ในโครงการหนึ่งทุนหนึ่งอำเภอ
ส่งเด็กไทยไปเรียนต่างประเทศ

เป็นยุคที่ พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ ทำหน้าที่ ผู้คุมถุงเงินหวยที่ อดีตนายกฯ ให้แจกซื้อคะแนนนิยมไปทั่วประเทศ

ครั้งนั้น พล.ต.ต. สุรสิทธิ์ เป็นเสมือนเงาของ อดีตนายกฯ ทักษิณ เมื่อเวลาออกทัวร์นกขมิ้น ทักษิณ เห็นโครงการอะไรดี
สุรสิทธิ์ ควักเงินหวย ลงทุนให้ทันที

ทักษิณ ได้คะแนน ชาวบ้านได้โครงการ โดยทักษิณไม่ต้องจ่ายสักบาท แต่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นเงินทักษิณ ทั้งๆ ที่เป็นเงินหวยล้วนๆ

กล่าวกันว่า ในยุคทักษิณ-สุรสิทธิ์ มีเงินหวยสะพัดหลายหมื่นล้าน เบื้องหลังคะแนนนิยม ทะลุ 10 ล้าน ส่วนหนึ่งมาจากเงินหวย

โสมชบาจ๊ะจ๋า อัฟเดท ข้อมูลล่าสุดของ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ดังนี้

... " เคยอยู่สำนักงานสลากกินแบ่งไทย พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ จึงถูกรัฐบาลยูกันดา จีบให้ไปทำลอตเตอรี่ ซึ่งจะเปิดตัวยิ่งใหญ่
วาเลนไทน์ 14 ก.พ.--ผลงานเก่าดีเด่น ผู้การจึงมีลูกค้าแถบแอฟริกาหลาย ประเทศ คิวต่อไปคือแทนซาเนีย..."

14 กุมภาพันธ์นี้ ตลาดลอตเตอรี่ ในประเทศยูกันดา คักคักแน่นอน

กล่าวสำหรับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ "พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์" รองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา
มีความผิดในคดีหวยบนดิน ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการตำรวจต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในช่วงเดือนสิงหาคม ปี 2552

ก่อนการตัดสินคดีหวยบนดิน เพียงไม่นาน โดยคนใกล้ชิด บอกว่า เขามีแผนจะไปทำธุรกิจในต่างประเทศ

ถัดมาไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองประจำสนามบินสุวรรณภูมิได้ควบคุมตัว พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์

แต่ที่สุด คดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯ ตัดสินวันที่ 30 กันยายน 2552 โดยศาลชี้ว่า หวยบนดินไม่มีกฎหมายรองรับ
ขณะที่จำเลยไม่มีเจตนาทุจริตตามที่โจทก์ฟ้อง

หลังหลุดพ้นคดี หวยบนดิน ข่าว คราว เกี่ยวกับ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ ก็เงียบหายไป

ก่อนจะมีข่าวว่า ทักษิณ จะไปทำหวยในแอฟริกา

แล้วข่าวล่าสุดก็เผยว่า มือทำหวยที่ ยูกันดาคือ เจ้าพ่อกองสลากที่ชื่อ สุรสิทธิ์ นี่เอง

วันนี้ รัฐบาลชุดปัจจุบัน ประกาศเลิกหวยบนดิน และหวยออนไลน์ ไปเรียบร้อย

ขณะที่ มีการพิมพ์สลากพิเศษเพิ่มออกมาเรื่อยๆ ท่ามกลางข้อครหา ว่า การจัดสรรสลาก เอื้อประโยชน์นักการเมืองและยี่ปั๊วใหญ่ 5 ราย

อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าคิด ยุคอภิสิทธิ์ เงินหวยใต้ดิน เฟื่องฟู นับแสนล้าน แต่ไม่มีใครคิดจะทำอะไร !!!!

หรือว่า เงินหวยใต้ดิน หล่อเลี้ยงการเมืองไทย ?

@ประเทศยูกันดานั้น มีข้อมูลทางเศรษฐกิจดังนี้

-ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ 16.47 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2551)
-รายได้ประชาชาติต่อหัว 392 ดอลลาร์สหรัฐ (ปี 2550)
-การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ร้อยละ 8.3 (ปี 2551)

@ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐยูกันดา

ไทยและยูกันดาได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2528 โดยฝ่ายไทยมอบหมาย
ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบีดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำยูกันดา ในขณะที่ฝ่ายยูกันดาได้มอบหมายให้เอกอัครราชทูตยูกันดา
ประจำสาธารณรัฐอินเดียเป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย นอกจากนี้ ฝ่ายยูกันดาได้แต่งตั้งนายทวี บุตรสุนทร เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์
ยูกันดาประจำประเทศไทย ส่วนฝ่ายไทยได้แต่งตั้งนาย James Mulwana เป็นกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ไทยประจำยูกันดา

สำหรับด้านเศรษฐกิจ การค้าระหว่างไทยกับยูกันดายังมีมูลค่าไม่มาก แต่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยมูลค่าการค้าของไทย
กับยูกันดาในปี 2551 มีมูลค่า 19.49 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยส่งออกสินค้าไปยูกันดามูลค่า 14.3 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และ
นำเข้าสินค้าจากยูกันดามูลค่า 5.19 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 113 ล้านบาท ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้ามูลค่า 9.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยสินค้าออกที่สำคัญของไทย 10 รายการ ได้แก่ 1) เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2) รถยนต์ อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบ 3) เม็ดพลาสติก
4) รองเท้าและชิ้นส่วน 5) ผ้าตัดเสื้อและผ้าที่จัดทำแล้ว 6) หม้อแบตเตอรี่ และส่วนประกอบ 7) ผลิตภัณฑ์พลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง
9) สิ่งทอ 10) เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ

สินค้านำเข้าที่สำคัญจากยูกันดา 10 รายการ ได้แก่ 1) เส้นใยใช้ในการทอ 2) ผลิตภัณฑ์ยาสูบ 3) เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม
4) เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ 5) เครื่องจักรใช้ในการเกษตร 6) ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้
7) สบู่ ผงซักฟอกและเครื่องสำอาง แผงวงจรไฟฟ้า 9) หลอดและท่อโลหะ 10) เคมีภัณฑ์

นอกจากนี้ ไทยและยูกันดาได้เจรจาความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศ (Air Service Agreement) ระหว่างกัน
ลงนามย่อรับรองร่างความตกลงเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2539 และคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการทำความตกลงฯ เมื่อเดือนมีนาคม 2540
แต่ปัจจุบันยังมิได้มีการลงนามในความตกลงฯ ดังกล่าว

ที่มา:คนไทยยูเค
********************************************************************************

"10 มกรา" หนามยอกอก "เลขาฯ ปชป."

ในกลเกม-การแก้ไขรัฐธรรมนูญ "สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กลายเป็นคนที่รับแรงปะทะจากทั้งศึกใน-ศึกนอก

ทั้ง 2 กองกำลังของอดีตหัวหน้าพรรค "ชวน หลีกภัย" และกองกำลังของเหล่า "ทายาท" สาวกของ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ถล่ม "สุเทพ" เป็นระลอกราวกับลูกระนาด

เก้าอี้ที่ทรงอิทธิพล-ทางการเมือง-ตำแหน่ง "เลขาธิการพรรค" ผู้พลิกตำนาน "ดีลมหากาฬ" จัดตั้งรัฐบาลแบบ สายฟ้าแลบ-พลิกฟ้า-พลิกขั้ว ถูกอาถรรพ์ "พรรคเก่าแก่" ครอบงำจนอึดอัด-หายใจแทบไม่ออก

"สุเทพ" อยู่ในอาการ กลับไม่ได้- ไปไม่ถึง

ไม่มีแนวโน้มที่ประวัติศาสตร์-10 มกรา และศึก 2 เส้า ระหว่างทศวรรษใหม่กับผลัดใบ จะซ้ำรอย

คนในวงการเมืองวิพากษ์-ย้อนประวัติศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กัน ใต้ถุนสภาผู้แทนราษฎรว่า "เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ มีฉากจบ-ศพไม่สวย สักคน"

ทั้ง "วีระ มุสิกพงศ์-พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์-ประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์"

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์พรรค ปชป. ก็น่าหวั่นใจแทน "เทพเทือก" ไม่น้อย กับอาถรรพ์ "เก้าอี้เลขาฯพรรค ปชป."

เริ่มจาก นายวีระ มุสิกพงศ์ จากอดีต นักการเมืองดาวรุ่งพุ่งแรงในยุคหนึ่ง แต่พอขึ้นชั้นเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีเหตุให้ตกเก้าอี้อย่างเจ็บปวด จนวีระต้องจำใจพากลุ่ม "10 มกรา" แตกทัพออกมาจากประชาธิปัตย์

จากนั้นมาเส้นทางการเมืองของวีระ ก็ไม่ได้สดใสดังเดิม ผ่านการติดคุกจนหมดโอกาสสร้างบารมีในภาคใต้

ล่าสุดผันตัวเองมาเป็นแกนนำม็อบคนเสื้อแดง ต่อต้านอำมาตย์และพรรค ประชาธิปัตย์อย่างเต็มตัว

อาถรรพ์เลขาฯ ปชป. คนต่อมาคือ "เสธ.หนั่น" พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ผู้ผลักดันให้ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรค ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีถึง 2 สมัย

แต่ด้วยพิษการเมืองในพรรค-นอกพรรค สุดท้าย ชาละวันแห่งเมืองพิจิตรก็เจอวิบากกรรม โดนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฟันคดีทุจริตเงิน 45 ล้านบาท เจอโทษเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี อำลาจากพรรคประชาธิปัตย์แบบเจ็บปวดเช่นกัน

ล่าสุด "เสธ.หนั่น" พเนจรมาอยู่กับ นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และเตรียมสละอำนาจการเมืองผ่องถ่ายอำนาจให้ "ลูกชาย" สืบทอดกิจการการเมือง ในพรรคชาติไทยพัฒนา

จาก "เสธ.หนั่น" ก็มาถึงคิว "เสี่ยอ๊อด" นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ถูกดันขึ้นนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคในยุคของทีมทศวรรษใหม่ ที่มีนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เป็นหัวหน้าพรรค

แต่เมื่อ "บัญญัติ" พาพรรคแพ้เลือกตั้งแบบสู้คู่แข่งพรรคพลังประชาชนไม่ได้ จนต้องแสดงสปิริตลาออก

"ประดิษฐ์" จึงต้องเดินย่ำรอยลูกพี่ อย่าง "เสธ.หนั่น" เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าหนีมาอยู่กับค่ายรวมใจไทยชาติพัฒนา ที่มีนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นแกนนำในปัจจุบัน

เมื่อพรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่ร่วมมือกับพรรคร่วมรัฐบาล แม้ว่า "เลขาธิการพรรค" จะรับปาก-รับไหว้คนการเมือง ไว้ทั่วสารทิศว่า "ต้องแก้รัฐธรรมนูญ"แต่เมื่อ "มติ" ที่ออกมา "สวนทาง"กับพรรคร่วมรัฐบาล จึงถูกวิจารณ์จากคนการเมืองระดับเขี้ยวว่า "จะซ้ำรอยเหตุการณ์ 10 มกรา"

พลิกตำนานเหตุการณ์ กลุ่ม 10 มกรา เกิดขึ้นจากการจัดโผรัฐมนตรี สมัยที่ นายพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรค ประชาธิปัตย์ นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค ได้ร่วมรัฐบาลที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี

การจัดโผคณะรัฐมนตรีในครั้งนั้น นายวีระซึ่งเป็นคนเจรจาดึง ส.ส.กลุ่มวาดะห์ ที่มีนายเด่น โต๊ะมีนา เป็นหัวหน้ากลุ่ม อยู่ในขณะนั้น มาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้มีจำนวน ส.ส.มากขึ้น นายวีระจึงเสนอให้นายเด่นเป็นรัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่เมื่อรายชื่อคณะรัฐมนตรีประกาศออกมา ไม่มีชื่อของนายเด่น แต่กลับมีชื่อ นายพิจิตต รัตตกุล ลูกชายของนายพิชัย ซึ่งไม่มีชื่อในโผมาก่อน ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม

เหตุการณ์นี้สร้างความไม่พอใจให้กับนายวีระเป็นอย่างมาก กระทั่งความไม่พอใจได้ขยายวงเป็นความขัดแย้งและความแตกแยกกันขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ ก่อนมาจบลงเมื่อมีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยมีการแข่งขันกัน 2 ทีม ทีมแรกเสนอนายพิชัย หัวหน้าพรรคคนเก่า มี พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ โดยมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขณะนั้นเป็น ส.ส. ที่มีความใกล้ชิดกับ นายชวน หลีกภัย ซึ่งขณะนั้นเป็นรองหัวหน้าพรรค เป็นหัวหอกในการล็อบบี้สนับสนุน

ส่วนอีกทีมเสนอ นายเฉลิมพันธ์ ศรีวิกรม์ เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ มีนายวีระ เป็นเลขาธิการพรรคคนเก่า

ผลการเลือกตั้งปรากฏว่า ทีมของนายพิชัยชนะทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ทำให้เกิด "กลุ่ม 10 มกรา" ขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ และต่อมาเมื่อ พล.อ.เปรมยุบสภา ส่งผลให้สมาชิกกลุ่ม 10 มกรา นำโดยวีระ จำต้องเดินออกจากพรรคประชาธิปัตย์ไปอย่างเจ็บปวด

ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผลโพล เลือกตั้งวันนี้เสียงส่วนใหญ่ไม่เลือก "ปชป.-อภิสิทธิ์"เว้นภาคใต้หนุน77% คน กทม.เอาด้วยแค่25%

ผลสำรวจเอแบคโพล หย่อนบัตรวันนี้ เสียงส่วนใหญ่ไม่เลือกประชาธิปัตย์ ยกเว้นภาคใต้หนุนเกือบ 77% ใน กทม.เลือกแค่ร้อยละ 25 ส่วนใหญ่เกือบ 50% ยังไม่ตัดสินใจ ขณะที่ร้อยละ 80 เบื่อหน่ายปัญหาการเมือง ไม้ต้องการความรุนแรง

ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2553ถึงผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่อง สถานการณ์การเลือกข้างความนิยมของประชาชน กับความในใจของคนที่ “ขออยู่ตรงกลาง” กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้ที่ พักอาศัยอยู่ใน 28 จังหวัดล จำนวน 5,470 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่าง วันที่ 20 มกราคม – 5 กุมภาพันธ์ 2553 พบว่า กลุ่มประชาชนที่ถูกศึกษาจำนวนมากที่สุดคือร้อยละ 46.5 แสดงตน “ขออยู่ตรงกลาง”คือ ไม่เลือกข้าง

เมื่อสอบถามถึงนักการเมืองที่นิยมชอบ สนับสนุน ระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นักการเมืองคนอื่น โดยร้อยละ 28.6 นิยมชอบสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขณะที่ ร้อยละ 24.9 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น โดยมีค่าความคลาดเคลื่อนอยู่ประมาณ +/- ร้อยละ 5 ซึ่งผลสำรวจครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่า คนจำนวนมากที่สุดไม่เลือกข้าง แต่ขออยู่ตรงกลาง ส่วนกลุ่มคนที่ตัดสินใจเลือกข้างเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มคนที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ กับกลุ่มคนที่สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น ในทางสถิติถือว่ามีสัดส่วนพอๆ กัน

ที่น่าสนใจคือ หลังจากจำแนกกลุ่มประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามออกตามภูมิภาค พบว่า เสียงของประชาชนส่วนใหญ่ในแต่ ละพื้นที่ แม้แต่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีเกือบครึ่งหนึ่งหรือประมาณครึ่งหนึ่งเลยทีเดียวคือ ร้อยละ 49.3 ระบุไม่เลือกข้างแต่ขออยู่ตรงกลาง โดยมีเพียงกลุ่มประชาชนในภาคใต้เท่านั้นคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.8 ที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประชาชนที่ถูกศึกษาร้อยละ 37.6 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น มีเพียงร้อยละ 13.1 เท่านั้นที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์

แต่ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ แม้แต่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีนายกรัฐมนตรีและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมาจากพรรคเดียวกัน แต่พรรคประชาธิปัตย์กลับยังไม่สามารถทำให้คนกรุงเทพมหานครสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ได้ขาดลอย เพราะมีเพียงร้อยละ 25.4 เท่านั้นที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ ในขณะที่ ร้อยละ 27.2 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น และร้อยละ 47.4 ขออยู่ตรงกลางไม่ขอเลือกข้างซึ่งเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกัน

เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ท่านจะเลือกพรรคการเมืองใดในระบบแบบสัดส่วน พบว่า ประชาชนร้อยละ 36.9 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง ร้อยละ 33.6 เลือกพรรคการเมืองอื่น ๆ ในขณะที่ร้อยละ 29.5 เลือกพรรคประชาธิปัตย์

และพบว่า ประชาชนในภาคเหนือร้อยละ 35.8 เลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ในขณะที่ร้อยละ 26.2เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 38.0 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง ยังไม่เลือกพรรคใด

ประชาชนในภาคกลางร้อยละ 28.2 เลือกพรรคการเมืองอื่นๆ ในขณะที่ร้อยละ 29.8 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 42.0 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

แต่ผลสำรวจชี้ชัดเจนว่า ประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 45.9 จะเลือกพรรคการเมืองอื่น ร้อยละ 13.6 เท่านั้น จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และที่เหลือร้อยละ 40.5 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในภาคใต้ร้อยละ 77.1 ตัดสินใจแล้วเลือกพรรคประชาธิปัตย์ มีเพียงร้อยละ 8.9 จะเลือกพรรคอื่นๆ และร้อยละ 14.0 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

ที่น่าตกใจคือ ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 34.8 จะเลือกพรรคการเมืองอื่น ในขณะที่ร้อยละ 26.8 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และร้อยละ 38.4 ยังไม่ตัดสินใจเลือกข้าง

ผลสำรวจได้วิเคราะห์ 10 อันดับแรกความในใจของกลุ่มคนที่ “ขออยู่ตรงกลาง” ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศพบว่า อันดับแรกหรือร้อยละ 87.5 บอกว่า เบื่อหน่ายปัญหาการเมือง เมื่อไหร่จะจบเสียที

รองลงมาอันดับที่สอง คือ ร้อยละ 85.1 บอกว่า อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขโดยเร็ว อันดับที่สามหรือร้อยละ 82.2 ระบุต่อต้านการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ และต้องการให้เร่งยุติความขัดแย้งรุนแรง

อันดับที่สี่ ร้อยละ 80.9 เชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เคารพกติกาบ้านเมือง ในขณะที่ รองๆ ลงไปคือ ขอให้คนไทยรักกัน จับมือกันแก้ปัญหาบ้านเมือง อยากให้เลิกทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้อง ช่วยกันเป็นคนดี มีน้ำใจเกื้อกูลกันในสังคม ทำการเมืองสร้างสรรค์ รณรงค์เลิกพูดเรื่องการเมือง และเอาประเทศชาติมาก่อน ไม่สนใจพวกนักการเมือง ตามลำดับ

ที่มา:มติชนออนไลน์

ความน่าเชื่อถือติดลบ

รายการงามหน้าที่ยังคาราคาซัง สำหรับ โครงการมาบตาพุด ยังไม่มีท่าทีว่าจะหาข้อยุติได้ลงตัว โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างจำนวน 29 โครงการ ยังไม่มีทางออกของปัญหา ความหวังที่จะรอคอยความช่วยเหลือจากรัฐบาลชุดนี้ดูริบหรี่เต็มที

ว่ากันว่ากลุ่มนักธุรกิจที่ไปท้วงถาม นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถึงเมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ยังเกิดอาการหัวเสียเพราะคำตอบที่ได้รับจากนายกฯชนิด ไปไหนมาสามวาสองศอก ไม่ใช่เป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหานี้ แต่เป็นการแก้ตัวของรัฐบาลมากกว่า

กลุ่มนักลงทุนจากญี่ปุ่น สหรัฐฯ เยอรมัน ฝรั่งเศส เตรียมพิจารณาหาทางออกสำหรับตัวเอง ไม่พ้นต้องถอนการลงทุน เพราะไม่มีความมั่นใจต่อนโยบายการลงทุนของรัฐบาลอีกต่อไป

ในระยะยาวสมมติลงทุนไปเป็นจำนวนมหาศาลเกิดปัญหาขึ้นมาก็เจ๊งพอดี ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของบ้านเราป่นปี้ไปแล้วมาจากโครงการมาบตาพุดและการปัดสวะของรัฐบาลนี่แหละ

แล้วความเชื่อมั่นทางการเมืองก็แทบจะไม่เหลืออะไร สำนักข่าวเอเอฟพี เสนอรายงานสถานการณ์การเมืองไทยในช่วงใกล้วันที่จะมีคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ในทำนองนักวิเคราะห์ ต่างชาติมีความวิตกกังวลว่า ฝ่ายทหารอาจทำปฏิวัติรัฐประหารอีก

วิเคราะห์กันไปถึงการ ยิงเอ็ม 79 เข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก พูดถึงบทบาทของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล และความเคลื่อนไหวในกองทัพ

เสร็จแล้วก็สรุปกันว่า ชีวิตการเมืองในประเทศไทยยังอยู่ในภาวะไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่

นักวิเคราะห์จากมหาวิทยาลัยในประเทศเยอรมนีมองว่า การเกิดข่าวลือปฏิวัติ ในไทยสะท้อนให้เห็นความยากลำบากของการเมืองไทยหลังจากโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

หรือนักวิเคราะห์คนอื่นๆระบุว่า สถานการณ์การเมืองไทยขณะนี้เป็นภาพของ สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดการระเบิด โดยมีความตึงเครียดทุกทิศทุกทาง

และยังมองว่า อันตรายที่จะเกิดกับนายกฯอภิสิทธิ์ในปัจจุบัน เรื่องจะถูกทำร้ายโจมตีด้วยความรุนแรง จึงพอประเมินได้ว่า ในสายตาชาวโลกประเทศไทยยังตกอยู่ในจุดอันตรายใกล้กลียุค

ดังนั้น วิกฤติการเมืองร้อนๆจึงเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้เศรษฐกิจของบ้านเรา ทรุดฮวบลงไปอีก จีดีพีที่คุยว่าจะโตถึงร้อยละ 3.5 หรือร้อยละ 4 ก็คงเป็นความฝันลมๆแล้งๆ

อ่านรายงานเศรษฐกิจธนาคารโลก ปรากฏว่า เศรษฐกิจประเทศลาว ปี 2552-2553 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวถึงร้อยละ 6.4 รองมาจากประเทศจีน

ลาวจะเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดด้วยทรัพยากรธรรมชาติและรายได้จากการท่องเที่ยว ลาวมีเหมืองทองขนาดใหญ่ เหลียวหลังมองเศรษฐกิจการเมืองไทยแล้วมืดมนและว้าเหว่.

ที่มา:ไทยรัฐ
โดย.หมัดเหล็ก

วันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หมองู..


ใกล้เข้ามาทุกวันกับคดีความสำคัญ...งานยึดเงิน 7 หมื่น 6 พันล้าน ของ ทักษิณ ชินวัตร...กับครอบครัว

ไม่ว่าคำพิพากษาของ...ตุลาการศาลเดียว จะเป็นไปเช่นไร...คำพิพากษานั้น ก็จะมีความสำคัญเท่ากับการแพ้ชนะในทางการเมือง
ที่จะเกิดขึ้น

เช่น...หากฝ่ายปฏิวัติและขบวนการต่อเนื่อง สามารถรักษาชัยชนะไว้ได้ตลอดไป...คำพิพากษานั้นก็จะมีผล...

แต่ทันทีทันใด ที่ฝ่ายสนับสนุน ทักษิณ ชินวัตร สามารถพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลได้...และมีเสียงท่วมสภา เขาก็จะเรียกร้องและ
ขอทรัพย์สมบัติของเขาคืน

ทฤษฎีหญ้าในท้องวัว ที่นำมาแสดงคุณวิเศษ...ยิ่งนำไปอธิบายได้ว่า...คดีความที่นำไปสู่การยึดทรัพย์ครั้งนี้...มีความบกพร่องเช่นไร...
และไม่ใช่ความบริสุทธิ์ของอำนาจตุลาการ เพราะมันเป็นตุลาการศาลเดียว เป็นตุลาการของเผด็จการ

ย้อนลงไปถึงขบวนการกล่าวหา...ที่ฝ่ายถืออำนาจใช้ทางลัดจัดตั้งองค์กรกล่าวหาขึ้นมาเอง...ก็ยิ่งทำให้ผู้รักในความยุติธรรมทั้งสิ้น
ทั้งหลายเห็นพ้องต้องกันว่า นี่เป็นการทำลายล้างกันทางการเมือง ไม่ใช่คดีความปรกติ เป็นการใช้อำนาจเหนือธรรมชาติ
เหนือกระบวนการตุลาการ อันเป็นปรกติของชาติและสังคม ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย...ที่มีการถ่วงดุลกันระหว่าง
อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ

ผู้ได้รับผลประโยชน์ในทางการเมืองจากการถูกยึดทรัพย์ ก็คือเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด...เพราะในที่สุด เขาก็จะได้คืนเงินทั้งหมดครบ
ทั้งต้นและดอกเบี้ย

และที่น่าวิตกยิ่งไปกว่าก็คือ...คณะปฏิวัติเมื่อ19 กันยายน 2549 ที่เป็นทั้งกองทัพและรัฐบาล...และเป็นผู้อนุมัติสั่งการจัดโยก
งบประมาณไปซื้อ...นวัตกรรมลวงโลก จีที 200 ราคาพันบาทในราคาล้านห้าแสนบาทนั้น...จะต้องโดนล้วงหญ้าในท้องออกมา
ให้หมดด้วยหรือไม่...

เมื่อความชัดเจนในการคอร์รัปชั่น...มันยืนยันตัวของมันออกมา...หรือจะต้องยึดอำนาจกันอีกครั้ง เพื่อกลบฝังเรื่องเน่าเหม็นที่บันลือโลก...

หรือจะขับไล่ประชาชนคนไทย ออกจากแผ่นดินนี้ เพื่อที่พวกท่านทั้งหลาย จะได้ไม่ต้องหวาดระแวงภัยว่า จะมีใครไปคิดล้มล้างพวกท่าน...

ปัญหาอยู่ที่ว่า...เมื่อประชาชนคนไทยไม่มีบนแผ่นดินนี้แล้ว...ท่านจะไปหาไพร่ราบพลเลวได้ที่ไหน...

เพราะไพร่ราบพลเลวทั้งหลายนั้น...มันก็คือลูกหลานของประชาชน

หมองูตายเพราะงู ฉันใด ผู้แอบอ้างคอร์รัปชั่นขึ้นมาเป็นใหญ่ ก็ตายด้วยคอร์รัปชั่น ฉันนั้น !!!!!

โดย: พญาไม้

เรื่องที่ทำไม่ได้!

เอาความจริงกับการปฏิบัติมาพูดกัน...ไม่ต้องสนใจว่า “ใครเป็นพวกใคร”

กระบวนการ “2 มาตรฐาน” ภายหลังปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยา 49 มันได้ส่งผลกระทบลุกลามใหญ่โต...เป็นเรื่อง“เฮงซวย”
ระดับประเทศชาติเพราะการเมือง...เศรษฐกิจ...สังคม...และประชาชนหันหัวเดินกัน “คนละทิศละทาง”

ถือเป็นบ่อนร้ายทำลายการพัฒนาประเทศนี้อย่างยิ่งยวดแทนที่ “ระบอบยุติธรรม” จะบังคับให้ประชาชนทั่วทุกพื้นที่บนอาณาเขต
ผืนแผ่นดินไทยมี “ความเท่าเทียมกัน” โดยใช้ระบอบ “อันทรงอำนาจ” สร้างสรรค์ด้วยการให้ประชาชนมีความเสมอภาคในการพูดคุย...

เสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น...และเสมอภาคในการกระทำ แต่สิ่งที่ “ผู้มีอำนาจ” นำมาปฏิบัติด้วยวิธีกลายพันธ์..
กลับเป็น “การบังคับ” ให้ผู้คนส่วนใหญ่ ต้องยอมรับในระบอบของความ “อยุติธรรม” นี้

เพราะด้วยอคติ...และคิดว่าตน จะสามารถจัดการได้โดยทิ้ง “หลักการ” แห่งความถูกต้อง...เสมือนประชาชนเป็นคนอื่น “ไม่รู้เท่าทัน”
จากความน่าสงสัย จากหนึ่งกรณี หรือหนึ่งเหตุการณ์...กลายมาเป็นสิบเรื่องร้อยเรื่องที่สะสม เป็น “ดินพอกหางหมู”

ดังนั้น ควรเริ่มได้แล้วหรือยัง?...กับการปฏิบัติให้เกิด “ความเสมอภาค” ในสังคมไทยเริ่มจากประเด็นสดๆ ร้อนๆ เกี่ยวกับ
“อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง” และ “สุพร อัตถาวงศ์” แกนนำ นปช.ก่อนก็เป็นได้ จากการถูกตรวจสอบว่าใช้บัตร ส.ส. ที่หมดอายุ
กับการใช้สิทธิขึ้นเครื่องบินฟรี...

หากมีหลักฐานว่า “ผิดจริง” ก็ว่าไปตามผิด!

หากผิดกฎหมายแพ่งเรียกค่าเสียหาย ค่าปรับ พร้อมทั้งดอกเบี้ย...

หากผิดกฎหมายอาญา ให้จำคุกตามโทษที่ควรรับ...

แต่เรื่องที่ยังคาราคาซังเกี่ยวกับการ “อัพเกรดตั๋ว” ของรมว.คลัง “กรณ์ จาติกวณิช” ท่านต้องนำมาพิจารณาบนพื้นฐานแห่ง
“ความยุติธรรม” ในกฎหมายเช่นเดียวกัน “โชว์สปิริต” ให้ประชาชนเห็นเป็นที่ประจักษ์สายตาหน่อยว่าเป็นอย่างไร?

หากพวกท่านคิดอยาก “จับผิด” และ “เอาผิด” กับบุคคลที่ถูกมองเป็นกลุ่มคนฝ่ายตรงข้าม...

ท่านจำเป็นต้องใช้ “ยุทธวิธีกำจัด” ที่กลมกลืนเรื่องเดียวกัน...

มึงผิดกูผิด...ต้อง “กล้าแลกหมัดกัน”

แต่พนันเลยว่า...มันเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้...มิใช่เรื่องที่ไม่ได้ทำ...เพราะใครกล้าขัดขืนคำสั่ง “ลูกพี่ใหญ่” มีหวังโดนตบสลบ

ซํ้าร้ายอาจถึงขั้น ผีไม่เผา...เงาไม่เหยียบ!

โดย:"ภูผาหิน"
****************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อุ้ม GT200! ทดแทนคุณทหาร


ถ้าเป็นคนขยันที่แท้จริง จะต้องขยันในทุกเรื่อง ไม่ใช่เลือกเรื่องที่จะขยันถ้าเป็นรัฐบาลกระตือรือร้นในเชิงสร้างสรรค์ ประเทศชาติก็คงจะก้าวหน้าไปได้พรวดๆแต่ปัญหาก็คือ หากเจอประเภท ขยันหาเรื่อง กระตือรือร้นเพื่อแสวงผลประโยชน์ แบบนี้ประเทศชาติพังแน่เห็นได้ชัดว่า ในขณะที่รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พยายามสร้างภาพความเป็นนายสะอาด เป็นรัฐบาลสะอาด แต่สิ่งที่ปรากฏออกมาสู่ประชาชน กลับกลายเป็นภาพตรงข้าม...รัฐบาลมอมแมม กระดำกระด่าง เต็มไปด้วยกลิ่นโฉ่ฉาวคาวทุจริตในขณะที่นายอภิสิทธิ์ เองก็เต็มไปด้วยความดื้อรั้น เอาแต่ใจตัวเองเป็นหลัก...แต่เป็นหลักลอย ที่หามาตรฐานอะไรมาวัดไม่ได้ เพราะ 2 มาตรฐานไปหมดทุกเรื่อง หากเกี่ยวกับการทำลายล้างและการเอาชนะคะคานทางการเมืองไม่ต้องเอ่ยอ้างถึงพรรคเพื่อไทย หรือยิ่งไม่ต้อง

พูดถึงกลุ่มคนเสื้อแดง และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แม้แต่พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองแท้ๆ ยังพูดชัดเจนมาแล้ว เมื่อถูกพรรคประชาธิปัตย์หักหลังในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ“พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น”“เขียนด้วยมือ แต่ลบด้วยเท้า”จริงๆ ถ้าไม่มีผลประโยชน์ในการเป็นรัฐบาล เป็นรัฐมนตรีเกาะเกี่ยวยึดโยงเอาไว้ ป่านนี้รัฐบาลแตกโพล๊ะไปเรียบร้อยโรงเรียนมาร์คแล้วฉะนั้นหากความรู้สึกและมุมมองของประชาชน จะสะท้อนผ่านโพลล์ต่างๆว่า

รัฐบาลมีข้อครหาเรื่องทุจริตมากเหลือเกิน ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลมาร์คจะต้องยอมรับ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะต้องตอบแทนบุญคุณที่ทำให้มีโอกาสได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีนั่นเองแต่ในหลายกรณีก็ต้องยอมรับเช่นกันว่า เป็นผลมาจากที่ต้องเป็นฝ่ายค้านมานานด้วยเหมือนกันสิ่งที่รัฐบาลต้องทำในเวลานี้ ก็คือต้องหาซื้อผงซักฟอก และน้ำยาดับกลิ่น ตุนเอาไว้เยอะๆขณะเดียวกัน 3 ยุทธศาสตร์ถนัดก็ต้องงัดออกมาใช้ตลอดเวลา1. คือการซื้อเวลา2. คือ

การเบี่ยงเบนประเด็น สร้างกระแสอื่นมากลบ3. คือการใช้กองกำลังปากกล้าร้องด่าท้าทาย ออกมาสวนกลับ ว่าทุกเรื่องรัฐบาลก่อนๆ ทำมาแล้วทั้งนั้น จึงไม่ควรมาต่อว่าเวลาประชาธิปัตย์ทำ... เป็นเสียอย่างนั้นหลายๆ เรื่องใช้สูตรนี้ทั้งสิ้นล่าสุดกรณี เครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ก็ออกอาการแล้วว่า ต้องใช้สูตรเด็ด เคล็ดลับ ปชป.นี้ด้วยเช่นกัน... จะไม่ทำได้อย่างไร ในเมื่อกลุ่มนายทหารใหญ่ คมช. ต้องถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณอันดับ 1 ในการพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลของพรรค

ประชาธิปัตย์นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะพูดได้อย่างเต็มปากก็จริง ที่ว่าไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณม็อบพันธมิตรก็ตอนจัดตั้งรัฐบาล ม็อบพันธมิตรหรือแกนนำ ไม่ได้ช่วยตั้งรัฐบาลจริงๆ นี่นาทำหน้าที่เป็นแค่กองเชียร์ และกล่อมให้ประชาชนเห็นดีเห็นงาม เห็นพ้องว่าเป็นแนวทางที่ถูกแล้ว เพราะจะแก้ปัญหาทางตันทางการเมืองได้ จะสร้างความสมานฉันท์ได้ และจะยุติปัญหาทุจริตได้?แล้ววันนี้เป็นอย่างไร รู้ซึ้งกันดีทั้งประเทศแล้วว่า ได้

อย่างที่หวังหรือไม่?ส่วนที่ประชาชนไม่ได้หวัง แต่กลับได้ไปเต็มๆ ก็เรื่องทุจริตนั่นแหละฉาวโฉ่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม ก็โบ้ยว่าไม่รู้เป็นเรื่องพรรคภูมิใจไทย ทั้งๆ ที่ตอบแทนบุญคุณทางการเมืองด้วยการประเคนกระทรวงผลประโยชน์ให้กับพรรคภูมิใจไทยของ นายเนวิน ชิดชอบ ไปเองกับมือเช่นกันกับกลิ่นโฉ่ GT 200 ซึ่งจำเลยสังคมในปัจจุบันก็คือกองทัพบกก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุญคุณอีกเช่นกัน เมื่อติดค้างบุญคุณ ก็จำเป็นต้อง “อุ้ม”ยุทธศาสตร์แรกซื้อเวลา ก็เลย

ต้องอาศัยบริการของคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนยี ใช้ทั้งมติคณะรัฐมนตรี และกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร มอบหมายให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นเจ้าภาพในการตรวจสอบประสิทธิภาพเครื่องตรวจหาวัตถุระเบิด จีที 200 และเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ขยายประเด็นให้ต้องทำงานกว้างเอาไว้ก่อน ไม่ได้เจาะจงเฉพาะแค่ GT 200 แล้ว ซึ่งแน่นอนว่า เท่ากับแปลว่าต้องใช้เวลามากขึ้นแถม

มีการเชิญบุคลากรกว่า 20 คน จากหลายฝ่ายมาเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน มาทั้ง ปลัดกระทรวงกลาโหม ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบก ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้าร่วมตรวจสอบ รวมทั้ง ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยา

ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เข้าร่วมอยู่ในคณะทำงานตรวจสอบด้วย แต่ที่น่าห่วงก็คือ ดร.เจษฎา ออกอาการอึดอัดและเริ่มขอไม่พูด โดยระบุว่า มีรายการ “คุณขอมา” ไม่ให้พูด“ไม่ขอให้ข่าวหรือวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกแล้ว เพราะได้ให้ข้อมูลไปมากแล้ว อีกทั้งมีคนมาขอร้องให้ยุติการให้ข่าวในเรื่องนี้ด้วย เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดความสับสน”ดร.เจษฎาพูดชัดตอนนี้คุณหญิงกัลยา ก็ได้ให้นายพันธ์ศักดิ์ ศิริรัชตพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยี

อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ไปกำหนดกรอบในการตรวจสอบประสิทธิภาพ รวมถึงวิธีการและขั้นตอน ซึ่งเบื้องต้นจะมีการตรวจสอบทั้งในภาคสนามและห้องทดลองมาก่อนหากที่ประชุมกำหนดกรอบได้ตรงกัน หลังจากนั้นก็น่าจะใช้เวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อยงานนี้... กระแสฮอต ก็คงกลายเป็นกระแสเหี่ยวไปตามที่ต้องการยิ่งระหว่างนี้ได้จังหวะที่เหมาะเจาะกับยุทธศาตร์ที่ 2 ซึ่งเป็นเกมถนัด นั่นคือการเบี่ยงประเด็น สร้างกระแสอื่นกลบยิ่ง

กองกำลังปากส่วนตัวของนายอภิสิทธิ์ด้วยแล้ว ต้องถือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องถนัดอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ มีการโหมประโคมเรื่องวันที่ 26 กุมภาพันธ์ กันอย่างสนุกสนาน ว่าจะเกิดความรุนแรง เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นในบ้านในเมืองป้ายกันเต็มที่ว่าเพราะจะโดนยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท จึงทำให้เป็นภาวะอันตรายหาเหตุผลข้ออ้างในการจะทำ Propaganda โฆษณาชวนเชื่อกันในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนเชื่อว่าสมควรยึดทรัพย์จริงๆ หยิบเอาทฤษฎีวัว ของนาย

แก้วสรร อติโพธิ์ อดีต คตส. ซึ่งเป็นผู้กล่าวหามาขยายความเป็นตุเป็นตะและเมื่อพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงความคิดเห็นบ้างว่า“คงจะมียึดบ้างหรืออายัดบ้าง แต่ก็คงจะเป็นไปด้วยเหตุด้วยผลทฤษฎีว่าด้วยวัวตัวโตของนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ก็น่ารักดี แต่ก็คงจะไม่ใช่อย่างนั้น ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คงจะมียึดบ้างแต่ต้องให้ความเป็นธรรมต่อ พ.ต.ท.

ทักษิณ ใครก็แล้วแต่ที่เป็นคนไทยต้องให้ความยุติธรรมด้วยกันทุกฝ่าย ไม่ใช่ไปมองแต่ด้านที่เสียหาย คนเรามีทั้ง 2 ด้าน ด้านดีก็เยอะ อยากให้ทุกคนสบายใจว่าวันที่ 26 ก.พ. ที่จะมาถึงก็คงจะไปสู่วันที่ 27 ด้วยความเรียบร้อยทุกอย่าง”เท่านั้นแหละรับไม่ได้ แขวะบิ๊กจิ๋วกันอุตลุดถ้าเลือกที่จะเล่นเกม “พูดฝ่ายเดียว” ก็น่าจะออกกฎหมายมาเลยให้รู้แล้วรู้รอดว่า จากนี้ไปจนถึงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ห้ามประชาชนพูดหรือมีความคิดเห็นในเรื่องยึดทรัพย์ 76,000 ล้านโดยเด็ดขาด

ให้เฉพาะรัฐบาล และกลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์เท่านั้นที่พูดได้เพราะนั่นก็คือ ยุทธศาสตร์ถนัดอย่างที่ 3 เพราะพอมีกระแสในเรื่อง ปาอุจจาระใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ ที่ซอยสุขุมวิท 31 เท่านั้น ก็เป็นเรื่องสนุกปากของกองกำลังร้องด่าท้าทายทันทีพล่อยปากลามปามไปถึงว่าเป็นเรื่องไสยศาสตร์ ที่หวังให้นายอภิสิทธิ์พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปโน่นเลยถ้าแค่ปาอุจจาระใส่บ้านแล้วนายอภิสิทธิ์ตกเก้าอี้นายกฯ ล่ะก็ บรรดากลุ่มอำมาตยาธิปไตย บรรดาอดีตทหารใหญ่ คม

ช. จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน อุตส่าห์อุ้มชูซะขนาดนี้ ดันมาแพ้อุจจาระเสียได้พูดเป็นปากไม่มีหูรูดไปได้แต่ก็อย่างว่าแหละ นี่คือ 3 สูตรเด็ดที่ต้องใช้เพื่อกลบกระแสฉาว GT 200 นั่นเองไม่รีบกลบกระแสได้อย่างไร ก็นายมุข สุไลมาน ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ สภาผู้แทนราษฎร ออกมาให้ข้อมูลว่า จากการลงพื้นที่ จ.ปัตตานี ทำให้ได้รับทราบข้อมูลอีกด้านของ GT 200 โดยชาวบ้าน บอกว่า การทำงานของเครื่องไม่มีความแม่นยำ ชี้แบบสะเปะ

สะปะ มีการชี้ไปยัง วัตถุที่ไม่ผิดกฎหมาย ที่สำคัญมีการชี้ไปยังผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าก็มีการจับกุมไปตรวจสอบในค่ายทหาร 1-2 วัน แล้วจึงปล่อยออกมา เป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน เกิดความหวาดผวา ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลได้ตรวจสอบว่า จะยังคงให้ใช้เครื่องนี้อยู่ต่อไปหรือไม่?คงต้องดูว่า สุดท้าย GT 200 จะจบแบบ “อุ้มทหาร” อย่างที่สังคมคาดกันหรือไม่

ที่มา:บางกอกทูเดย์

** 'บิ๊กจิ๋ว' แถลงด่วน! ไม่รับเป็นผบ.สส.กองทัพประชาชน !! **

"พล.อ.ชวลิต" แถลงด่วน ปัดไม่รับรับตำแหน่ง "ผบ.สส.กองทัพประชาชน"
โยนมีคนตีความคลาดเคลื่อน

เมื่อเวลา 12.00 น. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย

เปิดแถลงข่าวด่วน ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถึงกระแสข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะตั้งให้เป็น
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือ กปช.

โดยพล.อ.ชวลิต กล่าวว่า เป็นไปไม่ได้ คำว่ากองทัพประชาชนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นคงจะหมายถึง

1.กองทัพแห่งชาติในพระเจ้าอยู่หัว หรือกองทัพของประชาชน หรือ

2.อาจจะมีคนไปพูดว่า นี่เป็นเรื่องของพี่น้องเสื้อแดง ที่วันนี้เติบโตมาก แต่ต้องทำความเข้าใจว่า กลุ่มพี่น้องเสื้อแดงเกิดขึ้นมา
เพราะอยากเห็นความเป็นธรรมในสังคมนี้ และที่เติบใหญ่ก็เพราะเงื่อนไขนี้

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตนยืนยันได้ว่า พี่น้องเสื้อแดงยึดมั่นใจแนวทางสันติวิธี แม้จะมีการรวมตัวอย่างมากมายก่ายกอง
แต่เหตุไม่ดีที่จะเกิดขึ้นนั้นไม่มีเลย ดังนั้น จะให้ตนไปเป็นผู้บัญชาการเสื้อแดงอะไร คงไม่ใช่ เพราะคงไม่ใช่กองทัพที่จะไปสร้าง
ความเดือดร้อนเสียหายให้กับคนอื่น

เพราะฉะนั้น เรื่องนี้คงจะเป็นการกล่าวของ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่ตนเคยเรียกเป็น "แม็คอาเธอร์เมืองไทย"
ที่เอาจริงเอาจังและพูดอย่างไรทำอย่างนั้น ซึ่งคงจะหมายถึงจะให้มาเป็นหัวหน้าหน่วยงาน หรือพี่น้องประชาชนที่ใฝ่สันติ
เพื่อผลประโยชน์ของชาติ แต่คงไม่ได้ไปทำอะไรให้เสียหาย

"การจะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพคงเป็นไปไม่ได้ เพราะน้องชายของผม พลเอกทรงกิตติ จักรกาบาตร ผบ.สส.คงจะไม่สบายใจ
แต่คงไม่มีอะไร และเรื่องพวกนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ พลเอกพัลลภ กล่าวถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่มีเจตนาหรือเจตจำนงจะแก้ปัญหาของแผ่นดิน
ผมยืนยันว่าเสื้อแดงจะไม่เหมือนเสื้อสีอื่น ที่ประกาศตัวเองเป็นกองทัพหรืออะไรต่าง" พล.อ.ชวลิต กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ได้พบกับ พล.อ.พัลลภ หรือยัง

พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ยังไม่เจอเลย ได้ข่าวว่าไปต่างประเทศ คงยังไม่กลับ

เมื่อถามว่า จะรับเป็น ผบ.สส.ของกองทัพประชาชนหรือไม่

พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า "ไปเรียกอย่างนั้นน่าเกลียด และอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด ทั้งๆ ที่ผู้พูดอาจจะไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น
อันนี้ก็ต้องขอปฏิเสธที่จะใช้คำนี้ แต่ก็โอเคถ้าเป็นส่วนหนึ่งของพี่น้องประชาชนที่รักบ้านรักเมืองและใฝ่สันตินั้นได้อยู่แล้ว และ
ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำ เพราะมีอยู่แล้ว"

นอกจากนั้น พล.อ.ชวลิตยังกล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยว่า เคยพูดจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนจะเข้ามาทำงาน
โดยได้ถามว่า ความสำคัญในการมาทำงานการเมืองของตนนั้น ท่านต้องการให้ตนทำอะไร
ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันกับตนว่า ผลประโยชน์ของชาตินั้นคือสิ่งที่สำคัญ และต้องการความสมัครสมานสามัคคี ความสงบและ
ได้เลือกแนวทางสันติวิธี

"ซึ่งที่ผมกล้าเอาสิ่งนี้มาพูด เพราะผมได้พูดด้วยตัวเอง ไม่ผ่านใคร และไม่กี่วันนี้ พันตำรวจโททักษิณก็ออกมาพูดเรื่องสันติวิธี อหิงสา"
พล.อ.ชวลิต กล่าว

ที่มา:คนไทยยูเค
********************************************************************

** เสื้อแดงขยับต้านทหาร-'ทักษิณ'อ้างเสธ.แดงเตือนอย่าปราบ **

กลุ่มเสื้อแดงดาวกระจายไปกดดันหน่วยกำลังทหาร อ้างต้านรัฐประหาร
ด้าน "ทักษิณ" ส่งโพสต์ทวิตอ้างสู้ด้วยสันติวิธี อ้างเสธ.แดงแค่เตือนอย่าปราบปชช.

ข่าวรายงานว่ากลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือเสื้อแดง ได้ผู้ชุมนุมหน้าค่ายทหารในกรุงเทพฯ
คือหน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ถ.พหลโยธิน ,กองพันทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์(ม.พัน 4 รอ.)
โดยแกนนำอ่านแถลงการณ์ก่อนแยกย้ายกลับ

เสื้อแดงกว่า100คนชุมนุมหน้าค่ายมหาสุรสิงหนาท

เมื่อเวลา 10.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงประมาณกว่า100 คน รวมตัวกัน เพื่อประกาศแถลงการณ์ต่อต้านการปฏิวัติที่ค่ายมหาสุรสิงหนาท
กองพันทหารราบที่ 7 ต.ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง ประกาศแถลงการณ์ใจความสำคัญว่า กลุ่มคนเสื้อแดงมาชุมนุมหน้าค่ายทหาร
ทั่วประเทศ เพื่อประกาศเจตนารมณ์เป็นมิตรกับทหาร และเรียกร้องให้ทหารกล้าทั้งหลายปฎิเสธการทำรัฐประหารโดยเด็ดขาด และ
ช่วยกันปกป้องประชาธิปไตยอย่างเข้มแข็ง

การชุมนุมไม่มีความรุนแรง และไม่ส่งผลต่อการจราจรแต่อย่างใด หลังจากที่อ่านประกาศแถลงการณ์ นปช.แดงทั้งแผ่นดินเสร็จแล้ว
ได้แสดงการผูกมิตรกับทหารด้วยการมอบดอกกุหลาบ และกระเช้าของขวัญให้กับทหารและกลุ่มคนเสื้อแดง ได้แยกย้ายทยอยกัน
เดินทางกลับ

ม็อบแดง500คนชุมนุมป่วนค่ายทหารกองพล 11

ม็อบกลุ่มคนเสื้อแดง 500 คน รวมตัวชุมหน้าค่าย กองพลทหารราบที่ 11 เมืองแปดริ้ว ก่อนประกาศ แถลงการณ์ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
ผูกมิตรกับทหาร จากนั้น ในเวลา 10.00 น. แกนนำได้เรียกกลุ่มผู้ชุมนุมให้มารวมตัวกัน และตั้งแถวหน้ากระดานประจันหน้า ต่อแถว
ทหารกองรักษาการณ์ บริเวณด้านหน้าป้อมปราการ ประตูทางเข้า กองพลทหารราบที่ 11 พร้อมด้วยการอ่าน
“แถลงการณ์ นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน" ผ่านทางเครื่องขยายเสียง ที่มีการจัดเตรียม ติดตั้งเป็นเวทีปราศรัยชั่วคราว บนรถยนต์กระบะ
ก่อนที่จะสลายตัวกลับไปในที่สุด

เสื้อแดง4จังหวัดยื่นหนังสือทหารค่ายจิรประวัติ

ที่นครสวรรค์ ข่าวรายงานว่า นายวันชัย วงศ์สิทธิกร แกนนำคนเสื้อแดงคนสนิทนายวีระกร คำประกอบ นำเสื้อแดงจาก 4 จังหวัด
ได้แก่ นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาทและกำแพงเพชร จำนวนกว่า 500 คน เดินทางมาอ่านแฉลงการณ์ต่อต้านรัฐประหาร หน้ามณฑล
ทหารบกที่ 31 ค่ายจิรประวิติ จังหวัดนครสวรรค์ ตามยุทธศาสตร์แดงทั่งแผ่นดิน เพื่อผูกมิตรทหารกล้า ต้านขี้ข้าอมาตย์ ของ นปช.

เครือข่ายเสื้อแดง 5 จว.ชายแดนใต้ยื่นหนังสือมทบ.42

เมื่อเวลา 09.30 น. เครือข่ายคนเสื้อแดงในจ.สงขลา ในนามของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้
กว่า 30 คน นำโดย นายสมพงศ์ ศรียะพันธ์ อดีตผู้ว่าราชการ จ.พัทลุง ได้รวมตัวกันที่บริเวณหน้าสาธารณเทศบาลนครหาดใหญ่ ก่
อนที่จะเคลื่อนขบวนไปยังมณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อยื่นหนังสือแถลงการณ์นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
ต่อต้านการทำรัฐประหารให้กับทหาร โดยมี พ.อ.ธานินทร์ สุวรรณคดี เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ 42 เป็นผู้รับมอบ
โดยกลุ่ม นปช.ได้มอบดอกกุหลาบสีแดงให้กับทหารที่มาดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยด้วย โดยสถานการณ์เป็นไปอย่างสงบก่อนที่
กลุ่ม นปช.จะแยกย้ายกันกลับ

แดงโคราชดาวกระจายชุมนุมหน้าค่ายกองทัพภาค2

เสื้อแดงโคราชดาวกระจายชุมนุมค่ายทหารกองทัพภาค 2 ขอคำสัญญาห้ามปฏิวัติ พร้อมเรียกร้องให้ทหารออกมาต่อสู้รักษาประเทศ
ร่วมกับ นปช. โดยวันนี้ ( 4 ม.ค.2553 ) เวลา 09.30 น. กลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดนครราชสีมา จากอำเภอต่างๆจำนวนกว่า 300 คน
นำโดยนายเขื่อนเพชร โพนรัมย์ แกนนำกลุ่มคนแดงโคราช , นายอนุวัฒน์ ทินราช และนายสมโภชน์ ปราสาทไทย สมาชิกพรรคเพื่อไทย
จังหวัดนครราชสีมา ได้เดินทางมารวมตัวกันที่บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เพื่อทำการสักการะท้าวสุรนารี ท่ามกลางการรักษา
ความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกว่า 100 นาย

เสื้อแดงลำปางทยอยรวมตัวหน้ามทบ.32

เสื้อแดงลำปางเริ่มทยอยรวมตัวกันแล้ว ก่อนจะเคลื่อนตัวไปแสดงจุดยืนของกลุ่มแนวร่วมประชาธิบไตยต่อต้านเผด็จการ
ที่หน้ามทบ.32 โดยพ.ต.ท ดีชัย พาณิชย์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนครลำปาง เปิดเผยว่า
ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงลำปาง ประมาณ 200 คน ได้เริ่มทยอยกันเดินทางมารวมตัวกัน บริเวณวัดป่ารวก อ.เมือง จ.ลำปาง แล้ว
จากนั้นในช่วงสาย กลุ่มมวลชนกลุ่มคนเสือแดง นครลำปาง ทั้งหมด ก็จะเดินทางไปยังบริเวณ ประตูด้านหน้า มณฑลทหารบกที่ 32
ค่ายสุรศักดิ์มนตรี จ.ลำปาง เพื่อจะไปแสดงจุดยืนต้านรัฐประหาร และจะอ่านแถลงการณ์ ยืนยันจุดยืนของกลุ่มแนวร่วมประชาธิบไตย
ต่อต้านเผด็จการหรือ นปช.ว่าจะไม่มีการคิดอ่านต่อสถาบันเบื้องสูง หรือต่อประเทศชาติ

เสื้อแดงบุกหน้าค่ายพรหมโยธีกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์

เมื่อเวลา 07.30 น.วันนี้ 4 ก.พ.53 นายอภิชาต ทันพุฒ แกนนำกลุ่มเสื้อแดง จ.ปราจีนบุรี กล่าวว่า
“ จากที่กลุ่มเสื้อแดงทั้งประเทศจะเคลื่อนไหวหน้าค่ายทหารพร้อมกันในวันนี้นั้น ช่วงเวลา 09.00 น.กลุ่มเสื้อแดง จ.ปราจีนบุรี
รวมกว่า 100 คน จะทำพิธีนมัสการศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต.บ้านพระ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี”

“จากนั้นจะรวมพลังอ่านแถลงการณ์ต้านการปฏิวัติรัฐหาร และปฏิญานฯตนกลุ่มเสื้อแดงไม่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบัน
ที่หน้าค่ายพรหมโยธี กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ซึ่งเป็นกำลังหน่วยรบหลักบูรพาพยัคฆ์ของภาคตะวันออก พร้อมกับ
การถ่ายทอดเสียงพีเพิลแชนแนลด้วย” นายอภิชาต กล่าว


"ทักษิณ" ทวิตอ้างสันติวิธี-เสธ.แดงแค่เตือนอย่าปราบเสื้อแดง

ล่าสุด เมื่อประมาณ 12.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ลงเว็บไซต์ทวิตเตอร์.Thaksinlive

ระบุว่า "อย่าตกใจกับข่าวว่าจะมีอะไรรุนแรง ผมบอกทุกคนที่มาหาว่า เราจะต่อสู้ด้วยความจริงโดยสันติวิธี
การพูดของเสธ.แดงเป็นการเตือนรัฐบาลไม่ให้ปราบประชาชน"


********************************************************************************

แดงชุมนุมหน้าหน่วยทหารพร้อมกันทั่วปท.วันนี้

โดยการชุมนุมจะเริ่มในเวลา 09.00 น. คนเสื้อแดงทั่วประเทศ จะไปชุมนุมที่หน้าหน่วยทหารของแต่ละจังหวัด เพื่อประกาศจุดยืนต้านการรัฐประหาร และเคลื่อนไหวในแนวทาง “ผูกมิตรทหารกล้า ต่อต้านขี้ข้าอำมาตย์” และในเวลา 10.00 น. นายวีระ มุสิกพงษ์ ประธาน นปช. จะเริ่มอ่านแถลงการณ์ร่วมกับผู้ชุมนุมในแต่ละจังหวัด นอกจากนี้ จะมอบดอกป๊อบปี้ เป็นกำลังใจแก่ทหาร โดยการชุมนุมจะจบลงภายในสองชั่วโมง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า วันที่ 8 ก.พ. คนเสื้อแดงจะเดินทางไปที่สำนักงานอัยการสูงสุดถนนรัชดาภิเษก ทวงถามถึง 3 กรณี คือ การครอบครองที่ดินเขายายเที่ยง ติดตามกรณีการบุกรุกที่เขาสอยดาว และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่แม้อัยการสั่งฟ้องแต่กลับติดอยู่ที่กรรมการชุดที่ นายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งขึ้น โดยจะชุมนุมตั้งแต่เวลา 12.00-15.00 น.

วันที่ 10 ก.พ.เวลา 12.00-18.00 น. จะไปชุมนุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สอบถามความคืบหน้าการดำเนินคดีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กรณียึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบิน เพราะไม่คืบหน้า ส่วนวันที่ 12 ก.พ. 12.00-18.00 น. จะไปชุมนุมที่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อถามความคืบหน้า กรณีทุจริตที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ และวันที่ 15 ก.พ.จะไปสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เพื่อติดตามคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ เวลา 12.00-18.00 น. สำหรับวันพรุ่งนี้ ( 5 ก.พ.) เวลา 10.00 น.น.พ.เหวง โตจิราการ และนายจรัล ดิษฐาอภิชัย จะเดินทางไปยังรัฐสภา เพื่อสอบถามความคืบหน้า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร. ที่ไม่ได้รับความสนใจ

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“พญาไม้”ชี้“อภิสิทธิ์”แค่“ได้เป็น”แต่ยัง“ไม่เป็น”นายกฯ ของ"คนไทย” เชื่อในที่สุด“

ระหว่างการ ได้เป็น นายกรัฐมนตรีกับการเป็นนายกรัฐมนตรี...นั้นหากมองและกล่าวถึงมันอย่าง ผิวเผินแล้ว...ก็แทบจะแยกแยะไม่ได้ว่า...ระหว่างการ “ได้เป็น” กับการ“เป็น” นายกรัฐมนตรีนั้น...มีอะไรแตกต่างจากกัน

แต่หากเจาะจงลงกันไปถึงรายละเอียดแล้ว จะมีผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมหึมา...

ดูอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...จนถึงขณะนี้...เขายังแค่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี...1 ปีที่ผ่านมาเขาเสียเวลากับการมองหน้านายกรัฐมนตรีในกระจกบนโต๊ะเครื่องแป้ง หรืออ่างล้างหน้าในห้องนํ้าเขาแทบไม่รู้ด้วยซํ้าว่า...นายกรัฐมนตรีนั่นเขา เป็นกันอย่างไร...

เขายังจำกัดบทบาทของเขาไว้กับการได้เป็นนายกรัฐมนตรี

เขาเสียเวลาไปมากมายกับการเที่ยวรับใช้คนที่ทำให้เขาได้เป็นนายกรัฐมนตรี ...และเสียเวลาที่มากกว่าเพื่อไล่ล่าทำลายคนที่อาจจะกลับมาทำให้เขาไม่ได้ เป็นนายกรัฐมนตรี

ถ้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...เสียเวลา 1 ปีไปกับสิ่งนี้...เราคนไทยทั้งหลาย ก็เสียเวลาเท่ากับ 64 ล้านเท่าของเวลาที่อภิสิทธิ์...ได้เสียไป

กองทัพที่ประกอบรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะขึ้นมา...ยังต้องทำหน้าที่เป็นไม้คํ้า...ให้กับคนที่ได้เป็นนายก รัฐมนตรีอยู่ตลอดเวลาและทำท่าจะตลอดไป

กองทัพต้องขบคิดใคร่ครวญอย่างหนัก กับการหันปากกระบอกปืนเข้าใส่ประชาชนคนที่เสียภาษีเพื่อพวกเขา...คนที่เสีย ภาษีที่จะซื้อกระสุนปืนมาใส่แล้วให้กระสุนนั้นลั่นออกมาเจาะหน้าอกประชาชน

ผู้นำแห่งกองทัพรู้ว่า...ทันทีที่กองทัพหยุดประชาชนไม่ได้...เขาจะกลายเป็น ครอมเวลล์แห่งอังกฤษเป็นมุสโสลินีแห่งอิตาลี...ฯลฯ

ผู้นำแห่งกองทัพรู้ว่า...กองทัพจะหยุดฟังคำสั่งของเขา เมื่อศพของประชาชนกองพ้นพื้นถนนและเลือดไหลไปท่วมท่อระบายนํ้า...

ผู้นำแห่งกองทัพเชื่อว่า...ประชาชนต่างหากที่เขาต้องดูแลรักษา...ไม่ใช่รัฐบาลแม้จะเป็นรัฐบาลที่เขาสร้างมันขึ้นมา

ปีที่จะถึงข้างหน้า...ถึงเวลาหรือยังที่ อภิสิทธิ์เวชชาชีวะ...จะเป็นนายกรัฐมนตรี...เลิกซะทีกับการ“ได้เป็น”เป็น นายกรัฐมนตรีนั้นง่ายกว่าการ “ได้เป็น”แค่หยิบ “หนูตาย” ออกจาก “กล่องรองเท้า” ยังทำไม่ได้...จะเป็นมันไปทำไม...นายกรัฐมนตรี

คอลัมน์ พญาไม้ทูเดย์

โดย พญาไม้