--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

"ชทพ.-พผ."ย้ำจุดยืนแก้รธน.2ม. "ชาญชัย"หนุนยื่นเร็วที่สุดเอาใจสื่อ ภท.กร้าวปชป.ปล่อยฟรีโหวตอยู่ลำบาก

"ชทพ.- พผ." ผนึกแก้รธน.ลุยแก้ 2 มาตราอเพื่อนาคตชาติ ชูผลโพลหนุนแก้ ถกภายในก่อนหาฤกษ์ยื่นญัตติรอคุยกับพรรคกิจสังคมก่อน "ชาญชัย"ยันร้องเพลงคีย์เดียวกับปชป. ย้ำรัก"ปชป."เสมอ ส.ส.ภท.กร้าวออกโรงดักคอปชป.ปล่อยฟรีโหวตแก้รัฐธรรมนูญ อยู่กันลำบาก เพราะเป็นมารยาททางการเมือง

"ชทพ.- พผ." ผนึกแก้รธน.ลุยแก้ 2 มาตราอนาคตชาติ ชูผลโพลหนุนแก้

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 21 มกราคม ที่ห้องลอนดอน 2 นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชทพ. พร้อมด้วยแกนนำพรรคชทพ. และนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคพผ. พร้อมแกนนำร่วมกันแถลงถึงผลการหารือของทั้ง 2 พรรคการเมืองที่มีจุดยืนตรงกันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตรา คือ มาตรา 94 และมาตรา 190

นายชุมพล กล่าวว่า ทั้ง 2 พรรคได้แสดงจุดยืนตรงกันที่จะแก้ไข 2 มาตรา เพื่อแก้วิกฤตประเทศโดยเฉพาะการแก้มาตรา 93 และ 94 ไม่ได้แก้เพื่อตัวเองหรือเพื่อพรรคการเมืองเขตใหญ่ 3 คนก็ทำให้ไม่ใกล้ชิดต่อประชาชนทำให้ไม่เกิดการรับผิดชอบต่อประชาชนหลังได้รับการเลือกตั้งแล้ว ทั้งพรรคชทพ.และพผ.ยืนยันต่อสาธารณะที่จะแก้มาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เป็นเขตเดียวคนเดียว หากยังเป็นแบบเดิมจะทำให้ประเทศชาติไปได้ไม่ไกล เขตเดียวคนเดียวคืออนาคตไทย

นายชุมพล กล่าวว่า ส่วนมาตรา 190 ยืนยันว่าเราแก้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายบริหารโดยตรงไม่เกี่ยวกับส.ส. เพราะช่วงเวลานี้หากไม่แก้การทำงานของฝ่ายบริหารติดขัดหมด อีกทั้งขณะนี้บทบัญญัติมาตรานี้ในขณะนี้ยังทำให้ไทยเสียผลประโยชน์ด้วย รวมทั้งมาตรานี้ยังบัญญัติเพื่อฉวยโอกาสให้ทำร้ายซึ่งกันและกันด้วยการสร้างปัญหาให้ไปร้องศาลโดยไม่จำเป็นทำให้ฝ่ายบริหารต้องชะงัก

"สวนดุสิตโพลออกมาล่าสุดปรากฎว่า 2 มาตราที่เรากำลังจะแก้ไขนี้ พบว่าร้อยละ 54 เห็นด้วยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนร้อยละ 23 เห็นว่าไม่ควรแก้ไข นี่คือผลโพลที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นที่ยอมรับจากประชาชน" นายชุมพล กล่าว

ถกภายในก่อนหาฤกษ์ยื่นญัตติ

เมื่อถามว่าจะยื่นญัตติเมื่อใด นายชุมพล กล่าวว่า วันนี้เอาจริงขั้นที่ 2 แล้ว ส่วนวันที่ 25 มกราคมนี้จะหารือกับพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นขั้นที่สาม โดยขณะนี้ได้ลงชื่อเกินจำนวนก่วา 1 ใน 5 ของส.ส.แล้ว จากนั้นก็จะมีการหารืออีก 2 ครั้งเป็นการภายใน เพื่อหาฤกษ์ดีๆในการยื่นญัตติ

เมื่อถามว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคปชป.ไม่สนับสนุนให้แก่เขตเลือกตั้ง นายชุมพล กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญขณะนี้ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีส.ว.ดังนั้นทุกฝ่ายในสภาจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน

"ชาญชัย"ยันร้องเพลงคีย์เดียวกับปชป. ย้ำรัก"ปชป."เสมอ

ด้านนายชาญชัย กล่าวว่า เป้าหมายของพผ.มีเป้าหมายหลักอยู่ที่ประชาชน การแก้ไขมาตรา 190 ซึ่งทำให้เราเสียโอกาสทางด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจ หากเราแก้ไขมาตรานี้ได้ตนคิดว่าจะเพิ่มโอกาสให้กับประเทศ ส่วนมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ตนคิดว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากประชาชน ฉะนั้นการเลือกตั้งควรเป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ยืนยันจะยื่นญัตติโดยเร็วเอาให้ถูกใจสื่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะคุยกับพรรคเพื่อไทยให้มาเข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า คุยทุกคนที่เป็นสมาชิกรัฐสภา คิดตรงกันก็สามารถร่วมกันได้ เมื่อถามว่า การยื่นญัตติไม่ต้องรอเสียงของพรรคปชป.แต่เมื่อถึงขั้นตอนของการโหวตถึงค่อยไปเจรจาอีกทีใช่หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ตอนยื่นญัตติเราร้องเพลงคีย์เดียวกัน แต่ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการร้องคนละคีย์กันกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่า เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญปชป.จะร้องเพลงคีย์เดียวกันใช่หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า รักเธอเสมออยู่แล้ว

ภท.ลั่นปชป.ฟรีโหวต"อยู่ด้วยยาก"

ด้านนายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย(ภท.) แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคปชป. จะปล่อยให้ ส.ส.ฟรีโหวต ในการพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ประเด็นว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคตั้งแต่ ชทพ. ภท. และเพื่อแผ่นดิน (พผ.) เหนียวแน่นแล้วว่าจะร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหลือแต่พรรค ปชป.ที่ขอเวลาสุดสัปดาห์นี้ไปสัมมนาพรรคเพื่อหาข้อสรุป หากพรรค ปชป.จะร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย เราพร้อมยื่นญัตติเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ยื่นต่อประธานสภาในสัปดาห์หน้า แต่หากพรรค ปชป.ไม่ร่วมด้วย เราพร้อมที่จะดำเนินการกันเอง

"ได้แจ้งกับประธานวิปรัฐบาล (นายวิทยา แก้วภราดัย) ไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะรีบให้ได้ข้อสรุป เพราะขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ตกผลึกกันหมดแล้ว อย่าลืมว่าหลังจากนี้ศึกหนักยังรอเราอยู่ นั่นคือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากพรรคประชาธิปัตย์ยังมีความไม่ชัดเจนหรือจะปล่อยให้ ส.ส.ฟรีโหวตเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คงไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้อย่างไร เพราะเป็นมารยาททางการเมือง" นายปัญญากล่าว

ชทพ.เชื่อปชป.บางส่วนหนุน

นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) จากพรรค ชทพ. กล่าวว่า หากผลสรุปของพรรค ปชป. ออกมาว่าให้ส.ส.ฟรีโหวต ตนเชื่อว่ามีส.ส.บางส่วนเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และมีส.ว.ส่วนหนึ่งที่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรค ปชป.ให้ส.ส.ฟรีโหวอาจทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่โหวตสนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายภราดร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลพูดกันชัดเจนว่าเรื่องของแก้ไขรัฐธรรมนูญกับเรื่องการร่วมจัดตั้งรัฐบาลต้องแยกออกจากกัน นายกฯก็พูดชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา สถานะการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลยังเหมือนเดิม เมื่อถามว่า แสดงว่ายืนยันจะสนับสนุนรัฐบาลใช่หรือไม่หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายภราดร กล่าวว่า ก็ต้องดูประเด็นและชั่งน้ำหนักการอภิปรายของฝ่ายค้าน รวมทั้งการชี้แจงของรัฐบาลว่ามีน้ำหนักแค่ไหน

นายภราดร กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ คปพร. ไปพร้อมกับร่างของพรรคร่วมว่า ร่างคปพร.เป็นนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ ซึ่งพวกเราไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยก ต้องแก้ไข 2 มาตราก่อน เพราะตกผลึกทางความคิดของสังคมแล้ว และไม่นำไปสู่ปัญหาอีก นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยกับการพ่วงมาตรา 265 - 266 กรณีห้ามมิให้ส.ส.และส.ว.ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะจะเป็นการสร้างความแตกแยกเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากสังคมกำลังครหาว่านักการเมืองกำลังแก้ไขเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

ที่มา: มติชนออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ไฮโซหลุดโลก "ดารณี กฤตบุญญาลัย" เฮ! พ้น"ล้มละลาย"แล้ว หลังถูกศาลพิพากษาไปเมื่อ 3 ปีก่อน


ในที่สุดไฮโซสาวใหญ่ "เจ๊ดา"ดารุณี กฤตบุญญาลัย ได้ถูกปลดจากลูกหนี้ล้มละละลาย ตามประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ซึ่งลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 (คดีหมายเลขแดงที่ 3582/2548) หลังจากที่ศาลล้มละลาย24 ๒๔ ตุลาคม 2549 และพ้นกำหนดระยะเวลา 3 ปี นบแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว จึงให้ปลด ลูกหนี้ทั้งสามจากการเป็นบุคคลล้มละลาย นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2552


คดีดังกล่าว บริษัท เงินทุนบุคคลัภย์ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ลูกหนี้ล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ 14 กันยายน 2548 ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล พี.แอนด์.พี.เอ็นจิเนียริ่ง ที่ 1 นายประกิจ กฤตบุญญาลัย ที่ 2 นางดารุณี กฤตบุญญาลัยที่ 3 บริษัท สยาม เอ.อาร์.ไอ. จำกัด ที่ 4 นางสาววิรุฬกานต์ กฤตบุญญาลัย ที่ 5 นางสาวธารนที กฤตบุญญาลัย ที่ 6 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483


ต่อมาศาลล้มละลายกลาง จึงพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2549 ให้ลูกหนี้ทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย


สำหรับประวัติ ดารุณี กฤตบุญญาลัย นับว่าสะแด่วสมฉายา "เจ๊ดา รสแซ่บ" หรือ "ไฮโซหลุดโลก" เห็นเฉิดฉายไฮโซขนาดนี้อย่านึกว่าเธอเป็นคนกรุงเทพฯ แต่กำเนิด ความจริงแล้วเธอเป็นคนหนองคาย แต่มีเชื้อสายของเวียดนามและจีน จบการศึกษา ม.7 จาก ร.ร. เขมะสิริอนุสสรณ์ และระดับปริญญาตรี ที่คณะพาณิชย์-บัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สมรสแล้วกับ "นายประกิจ กฤตบุญญาลัย" มีลูกด้วยกัน 3 หน่อ ได้แก่ "วิรุฬกานต์" (น้ำฝน), "ธารนที" (น้ำพุ) และ "ไอยคุปย์" (น้ำนิ่ง) โดยที่ 2 ในสามนั้นโด่งดัง (เกือบ) เท่าคุณแม่ในวงสังคมพอควร โดย "รท.หญิง วิรุฬกานต์ กฤตบุญญาลัย" หรือ "น้ำฝน" ลูกสาวคนโต นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงไฮโซ เนื่องจากควงคู่เป็นเพื่อนซี้ปาท่องโก๋กับพิธีกรสาวชื่อดัง "เอิร์ก พรหมพร ยุวะเวศ" แต่แม้จะพยายามผลิตผลงานอื่นๆ ออกมาทั้งเขียนหนังสือ 2 เล่ม (ได้แก่ "หมื่นพันวันลูก" และ "รักแท้ แม่ไม่ว่าหรอก") หรือแม้แต่ออกอัลบั้มเพลง "พายุฝน" แต่ข่าวควงคู่พิธีกรสาวกลับดังกว่าเป็นไหนๆ


ในขณะที่ลูกชายคนเล็ก "ไอยคุปย์" หรือ "น้ำนิ่ง" เป็นที่ทราบดีว่าอยู่ในก๊วนแก๊งเดียวกับ "โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร" ลูกชายอดีตนายกฯ แถมยังร่วมหุ้นทำธุรกิจกัน ฮาวคัมฯ (บริษัท ฮาวคัม มีเดีย) ด้วยกัน


สำหรับแง่มุมทางธุรกิจนั้น เธอเป็นเจ้าของธุรกิจขายเครื่องปรับอากาศYork โดยการเป็นตัวแทนซื้อมาขายไปจนประสบความสำเร็จอย่างดี ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม เอ.อาร์.ไอ จำกัด เป็นบริษัทผลิตเครื่อง ปรับอากาศ ภายใต้ชื่อ SENATOR นอกจากนี้ยังถือหุ้นในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง "โออิชิ" โดยนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาประธานบริษัท โออิชิ กรุ๊ป อีกด้วย


อย่างไรก็ตาม ในแง่ของธุรกิจการทำงานอาจจะไม่เป็นที่มักคุ้นแก่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป แต่กลับมีชื่อเสียงจากการโชว์ตัวร่วมงานสังคม ด้วยการแต่งกายที่โดดเด่นทั้งเครื่องเพชรเครื่องประดับแต่งเต็มยศเต็มสตีม และไม่ว่าธีมของงานจะแปลกพิสดารแค่ไหน "เจ๊ดา" ก็บ่ยั่น เธอสามารถหาชุด หาพร็อบ มาแต่งเข้ากับคอนเซ็ปต์ของงานได้อย่างโดดเด่น จนผู้จัดงานทั้งหลายต่างจ้องเรียกมาใช้บริการแทบจะทุกงาน เพราะช่วยสร้างสีสันและเรียกสื่อให้งานคึกคักได้อย่างบัดดล


หลังจากมีชื่อเสียงเกรียงไกรโดดเด่นในหมู่ไฮโซ เหล่าผู้จัดละครและรายการทีวีต่างๆ ก็ไม่พลาดที่จะดึงเธอมาร่วมงาน ไม่ว่าช่องไหนรายการไหนก็อยากที่จะให้เธอไปร่วมด้วย บ้างก็ไปเป็นแขกรับเชิญ บ้างก็เชิญไปเป็นพิธีกร อย่างรายการ "เป๋าตุง" ถือว่าเธอได้เป็นพิธีกรอย่างเต็มตัว โดยร่วมกับ "เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค" และ "หนูแหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา"


และที่จะไม่เอ่ยไม่ได้คือรายการ "ไฮโซบ้านนอก" ที่เธอร่วมกับเพื่อนสังคมเดียวกันแต่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ได้แก่ "มดดํา-คชาภา ตันเจริญ" และ "สมศักดิ์ ชลาชล" งานนี้ทำให้ผู้คนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงส่วนหนึ่งของเธอมากขึ้น


สำหรับผลงานละครนั้นมีมากมายทั้งที่เห็นแว่บๆ และมีบ้างที่เป็นตัวหลัก อาทิ "วุ่นวาย สบายดี","พระจันทร์ซ่อนดาว" และ "คนทะเล" เป็นต้น ส่วนผลงานทางภาพยนตร์ อาทิ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง, "ลูกตลก ตกไม่ไกลต้น", "หัวใจทระนง" (The iron pussy) และ "มนุษย์เหล็กไหล" ฯลฯ ส่วนรายการเกมส์โชว์แน่นอนว่าเธอไม่พลาดที่เข้าไปแข่งขัน แต่โดดเด่นสุดได้แก่การชนะเลิศในรายการแฟนพันธ์แท้ ตอน "เพชร" จนได้รับฉายา "เจ้าแม่เพชร (พันธุ์แท้)"


ล่าสุด โดดเข้าเอี่ยวการเมืองขึ้นเวทีของคนเสื้อแดง เป็นแม่งานตัวหลัก สวมวิกแดงร้อนแรงทั้งร้องเพลง โก่งคอปราศรัย ประกาศทวงถามประชาธิปไตยเย้วๆ งานนี้ "เจ๊ดา" ไม่ขอเด่นเกินใคร แต่อยากได้ใจคนไทยไปใส่แดง

ที่มา:มติชนออนไลน์

ยิ่งเห็นยิ่งท้อ จะคลั่งใจตาย เสื้อแดงเยอะขึ้นทุกวันยิ่งปราบยิ่งเยอะ


ฮ้อ ยิ่งเห็นยิ่งท้อ จะคลั่งใจตาย เสื้อแดงเยอะขึ้นทุกวันยิ่งปราบยิ่งเยอะ "ยอดศักดินามหาอำมาตย์" คงแทบคลั่ง

หากผมเดาใจของ "มหายอดศักดินาอำมาตยาธิปไตย" (จะเป็นใครก็ช่างมันเถอะ ตั้งชือเล่นโก้ๆ คงรู้ๆ กันอยู่) ตอนนี้คงแทบคลั่ง ยิ่งวางแผนเสื้อแดงยิ่งเยอะ ปราบ กำราบ ไม่หวาดไม่ไหว เยอะยิ่งกว่าเมื่อสามปีที่แล้วอีก

ปี 2549 ทำรัฐประหาร คิดว่า "จะเผด็จศึก" ดันกลายเป็น "เริ่มก่อสงครามเสียนี่" วันที่ 20 กันยายน 49 คิดว่าทักษิณไม่สู้แล้วคงจบแล้ว ฉันก็จะยิ่งใหญ่ต่อไปเหมือนเดิม

ที่ไหนได้ ดันเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่จุดจบเสียยังงั้น จากเสื้อแดงมี 0 คน และพูดถึงเปรม ก็โดนด่าว่า จ๊าบจ้วงเบื้องสูง ต้องพูดเบาๆ วันนี้มันด่าพ่อล่อแม่ออกทีวีด้วยซ้ำ กระแส "จาบจ้วงเบื้องสูง" เงียบหายจ้อยไปเลย จากที่มีคนเกรงใจวันนี้ไม่มี

อำมาตย์คนอื่นๆ (...) ก็หนักพอกัน

วันนี้ยังไม่เห็น "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" ว่าจะสงบศึกนี้ได้อย่างไร จะพิชิตทักษิณได้อย่างไร จะหา "เวทมนตร์วิเศษ" อันใดมาเป่าแล้วพวก ไพร่กลับมาซาบซึ้งเหมือนเดิม

วันนี้ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ ยิ่งบุกยิ่งเสียดินแดน ยิ่งรบยิ่งขาดทุนศรัทธาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

อาวุธสุดท้ายคือ "ยึดทรัพย์" ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสยบเสื้อแดงและทักษิณไปได้
จะทำรัฐประหาร ตอนนี้ก็มีอำนาจล้นเหลือออยู่แล้ว ยังสยบไม่ได้ รัฐประหารจะมีอำนาจอะไรเพิ่มขึ้นจนสยบเสื้อแดงได้ "จะฆ่าล้างแผ่นดิน" อย่างนั้นหรือ แล้วจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร หากทำอย่างนั้น

ถอยก็ไม่ได้ บุกก็ไม่เห็นทางชนะ อยู่เฉยๆ ก็โดนรุกมาเรื่อยๆ

กลุ่มใจตายแล้ว

ทหารจะแปรพักตร์หรือเปล่าไม่ทราบ เพราะย้ายพวกที่ไม่ไว้ใจออกไป มันก็ยิ่งกลายเป็นศัตรู เกษียณเมื่อไหร่ มันวิ่งไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามทันที จะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกที่ยังอยู่ ใจมันไม่ไปแล้ว

ที่มา thaifreenews
โดย...ลูกชาวนาไทย



วอนหาเรื่องแท้ๆ ไม่น่าเลยกรู

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

"แม้ว"จวก คตส.กระหายส่วนแบ่งยึดทรัพย์ 25%ไร้มารยาท วอน"มาร์ค"ฟังเสียงประชาชนล้มรบ.สร้างทางเลือกใหม่


"แม้ว"วอน"มาร์ค"ฟังเสียงปชช.ล้มรบ.สร้างทางเลือกใหม่ "ทักษิณ"ย้ำจะทวงความเป็นธรรมถึงที่สุด อัดคตส.ไร้มารยาทปล้นทรัพย์ดิ้นรนเพื่อให้ได้ส่วนแบ่ง 25 %

"แม้ว"วอน"มาร์ค"ฟังเสียงปชช.ล้มรบ.สร้างทางเลือกใหม่

เมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 19 มกราคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ทอล์ค อราวด์ เดอะ เวิร์ล" ซึ่งออกอากาศทางเว็บไซด์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) ว่า วันนี้ที่พูดเพราะอยากจะเห็นบ้านเมืองปรองดอง จึงขอนำคำพูดของนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนหญิง ชาวอิหร่าน ที่ลี้ภัยไปอยู่อังกฤษ และได้รับรางวัลโนเบลไพรส์ เมื่อปี 2003 ที่บอกว่า "ต้องฟังความต้องการของประชาชนหรือเจตนารมณ์ของประชาชน ถ้าไม่ฟังเจตนารมณ์ของประชาชนก็ต้องเลือกทางเลือกที่สอง คือ รัฐบาลล้ม เป็นสัจธรรมของทุกประเทศทั่วโลกที่จะฝืนความต้องการของประชาชนไม่ได้" ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เคยพูดก่อนเป็นนายกฯว่า ไม่ว่าคนจะมาประท้วงหมื่นคนหรือแสนคนก็ต้องฟัง แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ พอเป็นนายกฯกลับลืมคำนี้ไปแล้ว จึงอยากจะบอกว่าวันนี้เราไม่หันหน้าเข้าหากั้นไม่ได้หรอก ประเทศมันจะไม่เคลื่อนไหว


พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศเราใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน ซึ่งการเสียชีวิตของนายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี ที่เป็นนักต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาที่ดินในภาคใต้ ซึ่งล้มลงกอดแผ่นดินภายหลังจากถูกคนร้ายยิง นั้นเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องแก้ปัญหาที่ดิน แต่รัฐบาลกลับไม่แก้ปัญหาอะไรให้ แต่อีกรายไปยึดที่ป่าสงวนแล้วรัฐให้การคุ้มครองด้วยซ้ำ มันเห็นได้ชัดเลยว่าถ้าเรายังปล่อยให้สองมาตรการอย่างนี้ต่อไปมันจะลุกเป็นไฟ

"ทักษิณ"ย้ำจะทวงความเป็นธรรมถึงที่สุด อัดคตส.ไร้มารยาทปล้นทรัพย์

"ผมได้ยินว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงบอกว่าจะเชิญชวนคนที่ถูกดำเนินคดีไปปราศรัยหน้าสนามบิน เพื่อบอกคนใช้สนามบินว่ารัฐบาลนี้ไม่ดำเนินการอะไรกับคนที่เคยยึดสนามบิน แต่คนธรรมดากลับโดนบี้อย่างหนัก เหมือนกับที่ผมโดน เสียเงินซื้อที่ดินอย่างถูกต้อง เซ็นชื่อให้เมียไปซื้อกลับโดนจำคุก แต่อีกคนไม่เสียอะไรเลย ไปเอาที่ดินป่าสงวนมากลับได้รับการคุ้มครองจากรัฐ แต่ไม่เป็นไร ผมจะแสวงหาความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด อีกอย่างวันนี้มันใกล้ถึงวันตัดสินคดียึดทรัพย์ ผมและครอบครัวก็ปรากฎว่ามี คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ) ไร้มารยาท ออกมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือน 25 เปอร์เซ็นต์จะเป็นแรงจูงใจให้ออกมาพูด จึงอยากจะบอกว่าต้องขอให้ศาลตัดสินออกมาก่อนแล้วค่อยพูด ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ 25 เปอร์เซ็นต์นี้หรอก เพราะมันเป็นการปล้นทรัพย์ ไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า ผมบอกเลยว่าผมจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว


ที่มา: มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์ ฉายแสง : ตั้งคำถามถึงนายกฯและผู้มีอำนาจ กรณีคดียึดทรัพย์


จาตุรนต์ ฉายแสง

ที่ผ่านมาผมไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว มาถึงวันนี้ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความถูกต้องหรือไม่ของทรัพย์สินนี้ แต่ที่จะแสดงความเห็นต่อไปนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับกรณีนี้ที่ผมเห็นว่ากำลังเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังจะมีผลเสีย เป็นปัญหามากขึ้นต่อกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรมของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นห่วงว่ารัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลกำลังวางแผนกันอย่างเป็นระบบเพื่อใช้กรณีนี้ ใส่ร้ายประชาชนที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหรือแม้กระทั่งอาจลามปามไปถึงขั้นปราบปรามประชาชนด้วย

กรณีทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวควรถูกยึดหรือไม่ คงต้องให้ผู้ที่รู้ข้อมูลจริงๆเป็นผู้อธิบาย และเมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วก็คงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ นักกฎหมายและผู้สนใจจะศึกษาได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเหมาะสมให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป แต่ที่เห็นความไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นแล้วมี ๓ ประเด็นด้วยกัน

๑) การใช้ คตส. ซึ่งคณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาจากบุคคลที่ประกาศตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับพ.ต.ท.ทักษิณอย่างโจ่งแจ้งมาทำหน้าที่ในการสอบสวน โดยไม่จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย เนื่องจากได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญมาตรา๓๐๙

๒) ผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งจงใจ สั่งการ และปล่อยปละละเลยให้มีการแสดงความเห็นต่อคดีนี้ในลักษณะพูดฝ่ายเดียว คือ พูดแต่ในทางที่เป็นผลร้ายต่อผู้ถูกกล่าวหาหรือปัจจุบันคือจำเลย สร้างกระแสให้ยึดทรัพย์ เข้าข่ายกดดันศาลกันตามอำเภอใจ ผู้ที่กระทำการดังกล่าวนี้มีทั้งคนสำคัญในรัฐบาล พันธมิตรฯ สื่อมวลชนบางรายโดยเฉพาะสื่อมวลชนของรัฐบาล และล่าสุดคืออดีตกรรมการคตส.เอง โดยที่สังคมเกือบไม่มีโอกาสได้ยินคำอธิบายชี้แจงของอีกฝ่ายหนึ่งเลย

๓) มีการสร้างกระแสโดยรัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลผ่านสื่อมวลชนของรัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อใส่ร้ายการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่า ต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อกดดันศาลและจะเกิดความรุนแรงอย่างมากหลังการตัดสินคดี ทั้งๆที่ยังไม่มีใครรู้ผลของการตัดสินคดีนี้ การใส่ร้ายที่ผ่านสื่อของรัฐบาลยังได้เลยเถิดไป การสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นต่อประชาชนด้วยการกล่าวหาว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องการล้มล้างสถาบัน จนอาจมองได้ว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงกำลังสร้างเงื่อนไขเตรียมการในการปราบประชาชน

ผมมีข้อข้องใจและคำถามที่ขอถามไปยังนายกรัฐมนตรีว่า การที่นายกรัฐมนตรีและพวก พูดในทางคาดการณ์ว่าหลังการตัดสินจะมีความรุนแรงมากขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรีกับพวกรู้ผลการตัดสินคดีนี้กันล่วงหน้าแล้วหรืออย่างไร เหตุใดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ จึงปล่อยให้สื่อมวลชนของรัฐบาลกดดันศาลและยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังในลักษณะปูทางไปสู่การปราบปรามประชาชน

นอกจากนี้ขอถามไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่ว่า เหตุใดจึงปล่อยให้มีการพูดสร้างกระแสที่หวังผลต่อคดีและต้องการให้สังคมตัดสินไปเสียก่อนศาลกันอย่างนี้ และจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งเขามีโอกาสชี้แจงเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากสังคมบ้าง

ถึงแม้ว่าคดีนี้เป็นเรื่องการยึดทรัพย์ของคนครอบครัวเดียว ที่อาจไม่ใช่เรื่องที่คนทั้งประเทศจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนแทน แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่สนใจของคนจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือผลที่จะเกิดขึ้นต่อความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมและการยึดหลักนิติธรรมของประเทศ

ไม่แน่ว่า เมื่อผลตัดสินออกมาจะเป็นปัญหาต่อระบบยุติธรรมและหลักนิติธรรมของประเทศเหมือนกับอีกหลายๆกรณีหรือไม่ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใฝ่หาความยุติธรรมทั้งหลายต้องช่วยกันติดตาม

ที่มา:ประชาไท

วันกองทัพไทย…โฟกัสทหารกับประชาธิปไตย


18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ในปี 2553 นี้ลองมาสำรวจบทบาทของทหารผ่านสายตาของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์กันดู ว่าเห็นอย่างไรกันบ้าง
จากการประมวลทรรศนะของนักวิชาการหลายคนต่างมองว่า บทบาทของทหารที่นอกเหนือจากการป้องกันประเทศซึ่งเป็นหน้าที่หลักแล้ว ได้ถูกสังคม (บางส่วน) กำหนดไว้ให้เป็นที่พึ่งในยามยาก ด้วยความที่ไทยไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความไม่เข้าใจในประชาธิปไตย ตลอดจนการที่กลไกทางการเมืองบนพื้นที่ที่ถูกต้องไม่สามารถสนองความต้องการของประชาชนหรือแก้ไขปัญหาที่ประชาชนประสบในชีวิตประจำวันได้ จึงเกิดเป็นความต้องการ “ตัวช่วย” อันเป็นที่มาของการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นในสังคมไทยบ่อยครั้ง
อาจกล่าวได้ว่าการพัฒนการเมืองไทยทุก 3 ปี 1 เดือนกับอีก 4 วันเศษ ก็จะมีรัฐประหารเกิดขึ้นครึ้งหนึ่ง จากจำนวนรัฐประหารทั้งหมด 24 ครั้ง ที่มีอัตราการสำเร็จค่อนข้างสูงอยู่ที่ร้อยละ 54.17


วังวนแห่งรัฐประหาร
พลเอก ดร.ศุภลักษณ์ สุวรรณะชฎ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้ทำการวิจัยเรื่อง “ทหารกับการเมืองไทย : วังวนแห่งรัฐประหาร” พบว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง คือ ปัจจัยจากภายในประเทศ (สถาบัน/กองทัพ และเงื่อนไขในการทำรัฐประหาร) โดยในอดีตที่ผ่านมาทหารไทยมักจะเข้าแทรกแซงทางการเมืองในลักษณะที่เรียกว่า “เล่นการเมืองแบบที่ต้องการอยู่เหนือการเมือง” คือ ทหารจะเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยเป็นผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นหรือโดย การใช้อิทธิพลอยู่เบื้องหลังนักการเมืองหรือฝ่ายพลเรือน เนื่องจากทหารมักจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ส่วนใหญ่ของการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของทหารไทยจึงมักจะเข้ามาในรูปแบบของ การได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลพลเรือนให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการบริหาร ประเทศ
การทำรัฐประหารเป็นมากกว่าการเข้ายึดอำนาจจากรัฐมาเป็นของทหาร นั่นหมายถึง รัฐประหารหยั่งรากลึกลงไปในสังคมที่ประกอบด้วยสภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง รัฐประหารถือเป็นทางออกของการเมือง ถ้าการเมืองถึงทางตันไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ จะมีการเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร วงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่มีรัฐประหารเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญจึงยากที่ จะหลุดพ้นไปจากการเมืองไทย รัฐประหารอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ในอนาคตถ้าประเทศไทยประสบปัญหาทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมที่แตกแยกและ สับสนวุ่นวาย โอกาสที่จะเกิดรัฐประหารครั้งต่อไปย่อมมีความเป็นไปได้สูงและอาจไม่ทิ้ง ช่วงระยะเวลานานเกินไป เพราะผู้ทำรัฐประหารครั้งต่อไป จะพิจารณาศึกษาจากตัวอย่างการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อง 19 กันยาย 2549 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการทำรัฐประหารครั้งใหม่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ไกลเกินความจริง และนั่นหมายความว่าวงจรอุบาทว์หรือวัฎจักรแห่งความชั่วร้ายทางการเมืองมี โอกาสที่จะอยู่คู่กับสังคมไทยเสมอ

ทหารอาชีพกับประชาธิปไตย
ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ในบทวิจัยเรื่องทหารอาชีพกับประชาธิปไตยว่า การปรับปรุงพัฒนากองทัพและสถาบันทางการเมืองให้เกิดระยะห่างที่เหมาะสมใน การไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เป็นการวางกรอบแนวความคิดต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่มีเอกลักษณ์สำหรับ สังคมไทยได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อประเทศไทยเป็นระบบการเมืองแบบหลายพรรคหรือในรูปแบบของรัฐบาลผสม จะเป็นปัญหาสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพราะความไม่มั่นคงและการต่อรองทาง การเมืองที่หากมีพรรคเล็กพรรคน้อยรวมตัวกันจัดตั้งเป็นรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เท่าใด ก็จะยิ่งทำให้เกิดความแปรปรวนต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลมากขึ้น และจะมีผลทำให้การปรับเปลี่ยนแนวนโยบายรวมทั้งความคิดริเริ่มที่จะปรับปรุง กองทัพให้เป็นทหารอาชีพมีความเป็นไปได้ค่อนข้างจำกัด

เหตุผลข้างต้นจึงทำให้ความคิดต่อการเข้าไปดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพยังคงเป็นสิ่งที่ นักการเมืองไม่ประสงค์ที่จะให้บังเกิดขึ้น เพราะเกรงจะได้รับผลสะท้อนกลับในทางที่ไม่พึงปรารถนา ด้วยมีความสัมพันธ์กับกองทัพในระบบอุปถัมภ์เชิงอำนาจ (Patron-client system) ที่รู้จักกันดีและยึดถือยอมรับกันอย่างยิ่งยวดในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองก่อนเหตุการณ์เดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 และก่อนเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ได้กลับมามีความชัดเจนและเป็นที่ยอมรับอีกครั้งภายหลังหตุรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

บทสรุปอนาคตสังคมไทยกับบทบาททหาร
ภายหลังจากที่ กกต. ประกาศรับรองผู้แทนราษฎรครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดแล้ว ประเทศไทยก็เหมือนกับก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้ง ภายหลังจากการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ทำให้ไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองที่มีทหารเป็น ผู้อำนวยการจัดการ
ประชาธิปไตยครั้งใหม่ของรัฐบาลใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 แม้จะเป็นฉบับใหม่ (อีกแล้ว) ในครั้งที่ 19 แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยการออก เสียงลงประชามติ ก็นับเป็นย่างก้าวที่ดีที่สังคมไทยจะเกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการ บริหารปกครองประเทศ ไม่ให้อำนาจในการบริหารและการปกครองประเทศตกอยู่ในคนกลุ่มน้อยเพียงร้อยละ 20 ที่เป็นเจ้าของอำนาจการเมืองและอำนาจทุนเท่านั้น

ถึงเวลาที่คนไทยร้อยละ 80 จะมีอำนาจในการบริหารประเทศแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดความพอใจในทุกระดับ ชั้น และหวังว่าจะไม่ต้องอาศัยการปฏิวัติจากกองกำลังทหารมาช่วยส่งเสริม ประชาธิปไตยอีกต่อไป

ที่มา:โต๊ะข่าวประชาธิปไตย

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

สลากกินแบ่งฯ ‘ขาย 120’ พวกท่านเพิ่งรู้หรือ?



เป็นเรื่องแปลกประหลาดยากที่จะเชื่อได้ว่า “กรณ์ จาติกวณิช” และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพิ่งมารู้เมื่อ 2-3 วันนี้ว่า...สลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ที่ขายกันอยู่ทั่วไปนั้น...ขายกันในราคา 110 - 120 บาท เป็นไปได้อย่างไรครับเรื่องที่กระทบ “ผู้มีรายได้น้อย” จำนวนกว่า 30 ล้านคนเด็กไร้เดียงสาสองคนนี้ไม่รู้

เรื่องอะไรเลยหรือ?หากเป็นเช่นนั้นจริง...แสดงว่าเด็กสองคนนี้ไม่เอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมากของประเทศเลยแม้แต่น้อยสมแล้วที่มีคนตั้งฉายาให้เป็น “เด็กโง่และดื้อ”และที่สำคัญยิ่ง ก็คือ เมื่อคุณไม่สนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของคนเช่นนี้ พวกคุณก็ไม่สมควรที่จะเป็นรัฐบาลอยู่ต่อไปแล้วครับ!ผมคิดว่า...เด็กสองคนนี้รู้ครับว่ามีการขายสลากกินแบ่งเกินราคา ฉบับละประมาณ 40 บาท(ราคาปกติ 80 บาท)เมื่อคูณด้วยจำนวนประมาณ 60 ล้านฉบับเข้า

ไป ก็จะพบว่า ในแต่ละงวด น่าจะมีเงินประมาณ 2,400 ล้านบาท หรือเดือนละประมาณ 4,800 ล้านบาทปลิวเข้ากระเป๋าใครต่อใครหลายคน?ซึ่งอาจหนีไม่พ้น “คนที่มีอำนาจ” ในรัฐบาลชุดนี้...รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนในบางท้องที่ทำให้คนในรัฐบาลต้องปิดปากเงียบ...ทำเป็นไม่รู้เรื่องมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?แล้วก็เพิ่งสองสามวันมานี้เองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบางสถานีจับผู้ค้ารายย่อยบางคนในข้อหา ค้าสลากเกินราคาโถ...นั่นมันปลาซิวปลาสร้อยครับ!แล้วนี่ก็ผู้

ค้ารายย่อยเช่นกันนะครับออกมาเปิดเผยว่า...มียี่ปั๊วรายใหญ่ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการขายสลากเกินราคาโดยระบุชื่อด้วยนะครับว่าชื่อ “เจ๊แดง” กับ “เจ๊เสลี่ยง”สองเด็กน้อยเคยได้ยินบ้างไหมครับ...พรรคประชาธิปัตย์รู้จักบ้างหรือเปล่า เห็นมีข่าวว่าเจ๊พวกนี้ชอบเดินเข้าออกที่ทำงานของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์บางคนบ่อยๆผมเห็น “กรณ์ จาติกวณิช” ออกมาทำท่าเอาจริงกับเรื่องขายสลากเกินราคาในสองสามวันนี้...แล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนทำไมคุณไม่

เอาเรื่องเอาราวตั้งแต่คุณเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปีกับเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาเล่าครับ คุณโดน “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ตะบันหน้าอย่างจังเลยใช่ไหม?ที่คุณชายได้กล่าวไว้ว่า...นี่แหละเป็นท่อน้ำเลี้ยงขนาดยักษ์ของพรรคการเมืองขนาดใหญ่แล้วนี่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็อีกคนที่ออกมาพูดลอยหน้าลอยตาว่า...จะเปลี่ยนเครื่องขายหวยออนไลน์เป็นเครื่องขายสลากกินแบ่งแทนนี่เท่ากับคุณยอมรับข้อเขียนของ “คุณชายอุ๋ย” ว่าเป็นเรื่องจริงแล้วใช่หรือไม่?พวก

คุณก็เลยพยายามที่จะปัดป้องความเน่าเฟะที่ถูกกระชากหน้ากากออกมา แล้วคำอธิบายของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่บอกว่า...ต้องการกำจัดอบายมุขไม่ให้เยาวชนศีลธรรมเสื่อมด้วยการมาซื้อหวยออนไลน์หายไปไหนเสียเล่าครับคราวนี้มันต่างอะไรกันครับ...ที่เอาเครื่องมาออกสลากกินแบ่งกับออกกระดาษที่เป็นหวยสองตัวหวยสามตัวเพราะหวย 2 – 3 ตัวดังกล่าวนั้น...มันเกาะเกี่ยวโดยตรงกับสลากกินแบ่งรัฐบาลนั่นเองนี่ “คุณชายอุ๋ย” เปิดโปงเฉพาะเรื่องที่ ยี่ปั๊วราย

ใหญ่ เป็นท่อน้ำเลี้ยงขนาดยักษ์ให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่เพียงประเด็นเท่านั้นเองนะครับที่เป็นสาเหตุทำให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องออกมาบอกเลิกหวยออนไลน์ เพราะกลัวว่าต่อไป อาจจะต้องใช้ตู้อิเล็กทรอนิกส์ออกสลากนอกจากนี้สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ไม่ได้พูดถึง ก็คือ เรื่องหวยใต้ดิน หวยเถื่อนซึ่งว่ากันว่าเป็นแหล่งเงินสำคัญในการสนับสนุนให้ “คนกลุ่มหนึ่ง” โค่นล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และอาจจะเป็นแหล่งเงินสำคัญของพรรคการเมืองบางพรรคด้วยพวก

คุณเสมือนคนที่ “ทำความผิด” แต่ไม่ยอมรับสารภาพ...จึงตอบโต้เฉพาะเรื่องเฉพาะราวเป็นปฏิกิริยาฉับพลันเพียงเท่านั้นเรื่องนี้ คุณสังศิต พิริยะรังสรรค์ ได้ระบุไว้ในงานวิจัยแล้วและในตอนหลังก็ได้ออกมาให้ความคิดเห็นว่า...การยกเลิกหวยออนไลน์อาจจะทำให้หวยใต้ดินกลับมาเจริญรุ่งเรืองใหญ่โตโดยที่เงินหวยใต้ดินมีจำนวนไม่ต่ำกว่าปีละสามแสนล้านบาท และเจ้ามือได้กำไรไม่ต่ำกว่าสามหมื่นล้านบาทครอบคลุมวงการยาเสพติด ซุ้มมือปืน การค้ามนุษย์ เจ้าพ่อ

อิทธิพลทุกชนิดด้วยโดยคุณสังศิตได้ระบุว่า...หวยใต้ดินลดน้อยลงหรือกล่าวได้ว่าหายไปในยุคทักษิณที่นำขึ้นมาบนดินแต่นี่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โต้แย้งทุกครั้งที่พูดว่า ไม่เป็นความจริง หวยบนดินไม่ได้ทำให้หวยใต้ดินลดลงท่านผู้อ่านจะเชื่อใครระหว่างสังศิต กับหล่อหลักลอยอภิสิทธิ์?ทั้งหมดนี้เป็นการเปิดเผยให้เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ว่า...การเลิกหวยออนไลน์น่าจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของยี่ปั๊ว และของพวกหวยใต้ดินจึงน่าจะเป็นการเรียกร้องหรือยื่นคำขาดมาจาก

พวกนี้ไม่ใช่หรือ?อย่ามาแสดงบทผู้มีศีลธรรมจริยธรรมสูงส่งหน่อยเลย แล้วอย่ามาทำท่ากระตือรือร้นแก้ปัญหาสลากเกินราคาไปเลยผมคาดการณ์ว่า...ถึงอย่างไรรัฐบาลหล่อหลักลอยก็คงไม่แก้ปัญหาเรื่องสลากเกินราคาและไม่แก้ปัญหาเรื่องหวยใต้ดินแต่อย่างไรคงปล่อยให้มันเจริญเติบใหญ่หยั่งรากลึกแตกกิ่งก้านไพศาลออกดอกออกผลต่อไปเฉกเช่นที่รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้มันเป็นมาเกือบหนึ่งปีหนึ่งเดือนแล้วครับ 

"แม้ว"โฟนอินพร้อมกัน 2 เวทีจวก รบ.แกนนำพร้อมเสื้อแดง 1 ล้านคนบุกกรุงรุกฆาต"ระบบอำมาตย์"

"แม้ว"โฟนอินพร้อมกัน 2 เวทีอัดรบ."ณัฐวุฒิ"ประกาศรุกฆาต"ระบบอำมาตย์"เดิมพันด้วยชีวิตปลุกระดมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ 1 ล้านคนบุกกรุงเทพฯกดดันรัฐบาล

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2553 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศของเวทีงานรวมพลคนเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน ณ สนามกีฬา ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา ซึ่งได้มีการปราศรัยของบรรดากลุ่มแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ส่วนกลาง ตั้งแต่เวลา 18.30 น. วันที่ 17 มกราคม 2553 เป็นต้นมา โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาฟังการปราศรัยประมาณ 2,000 คน ซึ่งมีแกนนำ นปช.ขึ้นปราศรัยสลับกับการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.ที่ขึ้นเวทีปราศรัยเรียงลำดับ คือ นายสุนัย จุลพงศธร นายไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายวิภูแถลง วัฒนภูมิไทย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายสมชาย ไพบูลย์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นายเหวง โตจิราการ และปิดท้ายรายการด้วย พล.ต.ขัติยะ สวัสดิผล ในเวลาประมาณ 01.30 น.ของวันที่ 18 มกราคม 2553 ซึ่งประเด็นและเนื้อหาในการปราศรัยของแกนนำล้วนตำหนิการทำงานของรัฐบาลและโจมตีระบบอำมาตยาธิปไตย


เมื่อเวลา 21.40 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามายังเวทีนานประมาณ 10 นาที การโฟนอินดังกล่าวเป็นการโฟนอินพร้อมกัน 2 เวที คือ เวที อ.ภูซาง อ.ปง จ.พะเยา และ ที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งเนื้อหาของการโฟนอิน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวแสดงถึงความห่วงใยประชาชน ประเทศชาติ และ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย(พท.) เนื่องจากขณะนี้การเมืองของไทยกำลังไร้ทิศทางในอนาคต เนื่องจากมีการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง นักการเมืองรังแก ขัดแย้งกันเอง เอาเปรียบทางการเมือง รัฐบาลมีแต่การไล่ล่า เล่นข่าวกล่าวหากันสารพัด ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ซึ่งเมื่อรัฐบาลเป็นเช่นนี้จึงไม่รู้ว่ามีความยุติธรรมอยู่หรือไม่ จึงได้เรียกร้องขอให้ประชาชนชาวเสื้อแดงรวมกันให้แข็งแรงและเสียสละ พร้อมกับให้ความหวังประชาชนว่าอีกไม่นานประชาชนจะมีงานทำและกลับมามีรายได้อีกครั้ง



ขณะที่ นายณัฐวุฒิ กล่าวปราศรัยในประเด็นสำคัญ ว่า จากนี้ถัดไป 1 สัปดาห์ กลุ่ม นปช.จะรุกรัฐบาลและระบบอำมาตย์เรื่องเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพื่อกดดันรัฐบาลให้เร่งพิจารณาด้วยความยุติธรรม พร้อมกันนี้ตนขอเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงจากภาคเหนือและทั่วประเทศ ไปร่วมกันแสดงพลังชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ ฯ ซึ่งจะมีครั้งต่อไป โดยครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ขอจำนวน 1 ล้านคน ซึ่งการต่อสู้จะต้องได้รับชัยชนะ หากไม่ชนะจะมีมาตรการกดดันรัฐบาลต่อไป


"งานนี้ถือว่าเป็นการรุกที่รุกฆาตกับระบบอำมาตย์ ตนขอเดิมพันด้วยชีวิตและอิสรภาพ หากไม่ชนะชีวิตและอิสรภาพเอาไปได้เลย" นายณัฐวุฒิ กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.จรินทร์ อินทร์สุวรรณโณ ผบก.ภ.จว.พะเยา ได้เดินทางมาสังเกตการณ์ภายในงาน ซึ่งบรรยากาศของเวทีปราศรัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายแต่อย่างใด โดยรอบบริเวณเวทีภายในสนามกีฬามีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จาก อ.ภูซาง อ.เชียงคำ และ อ.เมือง อาสาสมัครสมาชิกตำรวจบ้าน(สตบ.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน(อปพร.) จำนวนทั้งหมดกว่า 500 นาย มาร่วมดูแลความสงบและความปลอดภัยภายในงาน

ที่มา:มติชนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เขายายเที่ยง และการสังหารคนจนไร้ที่ดินสุราษฎร์ธานี

นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวว่า ...

“ถูกต้องครับ เพราะผมมองไม่เห็นว่าทำไมสังคมต้องมาขัดแย้งกันในเรื่องที่ดินแปลงเดียว เมื่อมีการวินิจฉัยข้อกฎหมายก็ควรจะดำเนินการไป ปมที่มันเป็นความขัดแย้งอยู่มันเป็นข้อยุติก็ดำเนินการ"

ได้สะท้อนให้เห็นอาการไม่มีความรู้ และสะท้อนการคิดแบบการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ เพราะกรณีเขายายเที่ยงไม่ได้มีเฉพาะที่เขายายเที่ยง แต่มันเป็นปัญหาการจัดการทรัพยากรป่า-ที่ดินในสังคมไทย

ไม่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความยุติธรรม ไม่มีครั้งไหนจะยิ่งใหญ่ มีมวลชนไพศาลเข้าร่วม และเป็นประเด็นทางสังคมไทยที่สำคัญ เท่ากับการนำการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

การต่อสู้ของ”คนเสื้อแดง”ได้เปิดโปงให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลต่อการยึดครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของอดีตนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ องคมนตรี และชี้ให้เห็นถึงความอยุติธรรม ในการใช้กฎหมายแบบสองมาตราฐาน

แต่ในทางกลับกัน เมื่อคนจนผู้ยากไร้ใช้ทั้งๆ ที่อยู่มาก่อนการประกาศพื้นที่ป่าของกรมป่าไม้หรือแม้แต่ใช้แรงงานเข้าบุกเบิกทำกินเพื่อมีชีวิตอยู่รอดภายหลังก็ตาม กลับถูกกฎหมายที่หมายกดและไม่สอดคล้องกับสภาพความจริง จับกุมคุมขังผู้ยากไร้ในแผ่นดิน

ขณะที่เหล่าอำมาตย์ กลุ่มอภิสิทธิชนอิทธิพลนายทุนกลับลอยนวลไม่มีการจัดการตามกฎหมายแต่อย่างใด กลไกรัฐกระบวนการยุติธรรมทั้งอัยการ ตำรวจ ศาล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ (รวมทั้งองค์กรสิทธิ์มนุษยชนที่ทำหน้าที่รับใช้เนื้อเดียวกับรัฐอำมาตย์) กลับทำหน้าที่รับใช้ระบอบอำมาตยาธิปไตย

และคงต้องติดตามกรณี เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ตอนต่อไป เมื่อคนเสื้อแดงจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งหนึ่งเพื่อเปิดโปงอำมาตย์ใหญ่

อย่างใดก็ตามท่ามกลางการเคลื่อนไหวกรณีเขายายเที่ยงของคนเสื้อแดง ณ ดินแดนด้ามขวานทอง ตอนหัวค่ำของวันที่11 มกราคม 2553 มือปืนไม่ต่ำกว่า 2 คน ได้กาดกระสุนจากปากกระบอกปืน M 16 ใส่นายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี สิ้นใจคาที่พักพิง

นายสมพร พัฒนภูมิ เดิมเป็นคนบ้านตำบลชะเมา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เดินทางดิ้นรนมาเป็นช่างทาสีในอู่รถ เป็นแรงงานรับจ้างหากินเป็นวันๆ เพื่อยังชีพ อยู่แถวบ้านซ้อง อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎรธานี

เมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ต้องการทำการผลิตเพื่อเกษตรกรรม นายสมพร ก็เป็นหนึ่งในหลายพันคนของผู้ไร้ที่ดิน มีความปรารถนา ต้องการมีที่ดินในการทำการผลิตทำมาหากิน จึงได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนั้นด้วย

การเคลื่อนไหวได้มีการเปิดโปงถึงการนำ ส.ป.ก. 4-01 นับ 1,000 กว่าไร่ให้กับบริษัทจิวกังจุ้ย จำกัด ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี อย่างผิดกฎหมาย เพราะเป็นนายทุน มิใช่เกษตรกร

จนกระทั่งทำให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินต้องจำยอมดำเนินการฟ้องร้องบริษัทจิวกังจุ้ย จำกัด ทั้งแพ่งและอาญา ในที่สุดศาลตัดสินให้บริษัทแพ้คดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างบริษัทยื่นอุทธรณ์ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทางตำรวจวางแผนจะดำเนินการสลายการยึดครองที่ดินของชุมชนเกษตรกรปักษ์ใต้

ที่ดินผืนนี้ที่นายสมพรและคนจนยากไร้ที่ดินภาคใต้ ได้เคยเสนอให้รัฐดำเนินการนำที่ดินมาให้คนจนผู้ไร้ที่ดินทำกิน แต่รัฐบาลไม่จริงจังในการดำเนินการแก้ไขปัญหา พวกเขาจึงต้องยึดครองที่ดินด้วยสองมืออันว่างเปล่า เพราะ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ”

นายสมพร ได้เข้าทำกินในพื้นที่เพียง 1 ไร่ ใช้แรงงานปลูกผัก ทำบ่อปลา ณ ชุมชนครองไทรพัฒนา และชุมชนยกย่องให้เป็นเกษตรกรตัวอย่างที่มีความมุ่งมั่นลงแรงพลิกผืนดินให้เป็นแหล่งอาหารเลี้ยงชีวิต

ที่ดินผืนนี้ เป็นของบริษัทไม่ธรรมดา ใกล้ชิดกับนักการเมืองใหญ่ ที่มีบทบาทหลักในรัฐบาลอำมาตอภิสิทธิ์ หรือไม่ ? ต้องตรวจสอบกัน บริษัทไม่ธรรมดานี้ เป็นกระเป๋าหนักในการสนับสนุนพรรคเก่าแก่อนุรักษ์นิยมภาคใต้หรือไม่? ต้องตรวจสอบกัน

แต่ที่แน่นอน ที่ดินผืนนี้ ได้เปิดโปงให้เห็นการทุจริต ที่ดินสปก กลับเป็นของนายทุนเข้าครอบครอง เหมือนเช่นกรณีสปก4-01 จังหวัดภูเก็ต แต่รัฐไม่จัดการตามกฎหมายและเมินเฉย ใช่หรือไม่?

สำนักงานปฏิรูปที่ดิน กรมที่ดิน วิธีคิดวิธีการทำงานไม่ต่างกับกรมป่าไม้ ล้วนรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดอำนาจ ใช้ระบบระเบียบแบบสั่งการจากเบื้องบน ไม่ฟังเสียงประชาชน เป็นวิธีคิดแบบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยมานับตั้งแต่มีรัฐชาติเกิดขึ้น

ความตายของนายสมพร ได้ตอกย้ำให้สังคมไทยเห็นถึงความสองมาตราฐานของระบบราชการซึ่งเป็นกลไกหลักสำคัญของอำมายตยาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติ และถึงเวลายกเครื่องกลไลรัฐ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ สปก และอื่นๆ สร้างกลไกประชาธิปไตย ตรวจสอบถ่วงดุลย์ โปร่งใส กระจายอำนาจ ทั้งวิธีคิด จิตสำนึก เพื่อจัดการป่าไม้-ที่ดิน ให้เกิดความยุติธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน

และแน่นอนว่าคงมิอาจเกิดขึ้นแน่ยุคที่อำมาตยาธิปไตยครองเมืองและการไม่มีความรู้การจัดการป่า-ที่ดินของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์

ที่มา:ประชาไท

เขาไม่เที่ยง

โดย จักรภพ เพ็ญแข

เขาเอย…เขายายเที่ยง
จู่จู่เขาก็เอียงเที่ยงไม่ถึง
รู้ว่า “ยาย” เอียงถลาเพราะ “ตา” ดึง
เขายายเที่ยงล้มตึงเพราะตาเอียง

ทุกคนก่อนร่อนชะไรใจเคารพ
เอาหน้าซบนบฝ่าเพราะตาเที่ยง
แต่เวลาผ่านไปหัวใจเอียง
ทั้งยายตาขาเที่ยงก็เดี้ยงไป

ใจมนุษย์สุดจะอ่อนท่านสอนสั่ง
จะอยู่วังอย่างเจ้าหรือชาวไพร่
หากอัตตาเต็มล้นก็จนใจ
ต้องถึงวันบรรลัยจัญไรกิน

อันภูผาป่าถ้ำล้วนธรรมชาติ
ดั่งดินฟ้าอากาศและท้องถิ่น
เขายายเที่ยงทอดอยู่คู่ธรนินทร์
เป็นสมบัติแผ่นดินมานมนาน

แต่มนุษย์ใจร้ายย้ายไปอยู่
เอาหลักกูก้องท้าอย่างหน้าด้าน
ป่าสงวนสงวนไว้ให้ยาวนาน
เพื่อลูกหลานภายหน้ากลับคว้าครอง

นายทหารชั้นผู้ใหญ่ใช่หรือนี่
แถมเป็นองคมนตรีไม่มีสอง
นายกรัฐมนตรีก็เคยครอง
แต่ครรลองของคุณคือขุนโจร

เอาเปรียบได้เปรียบดีดั่งผีปอบ
ปกคลุมครอบไว้ทั้งตัวด้วยหัวโขน
ใช้ความนิ่งเข้าฉาบความหยาบโลน
จนผู้คนนึกว่าโจรคือตัวจริง

นี่ล่ะ…เมืองไทยใต้อำมาตย์
เราคือชาติคนดีแต่ผีสิง
ถูกหลอกหลอนซ่อนเร้นไม่เห็นจริง
จึงเห็นสิ่งโสมมเป็นสมควร

คนชั่วก็ต้องชั่วไม่กลัวบาป
ถึงสร้างภาพสวยสะอาดก็ขาดด้วน
เอาคนชั่วนั่งเมืองจนเครื่องรวน
ป่าสงวนสงวนไว้ให้ใครกัน

สุรยุทธ์ ​จุลานนท์ คนของใคร
เป็นหนึ่งในเทวดาตกสวรรค์
สร้างภาพลักษณ์หนักหนาสารพัน
พอถึงวันสัจธรรมก็นำทาง

ใครว่าองคมนตรีดีเสมอ
ใครที่เผลออิงแอบเอาแบบอย่าง
ก็จะพบมวลชนบนเส้นทาง
ยืนหยัดขวางทางกลุ้มรุมลงทัณฑ์

เพราะการเมืองเรื่องอำมาตย์ชาติใกล้ดับ
มวลชนจึงเคลื่อนขยับกลับหลังหัน
เมื่อสัจจะประจักษ์แจ้งดั่งแสงตะวัน
ก็ถึงวันเคลื่อนพลเพื่อคนไทย

ขึ้นเถิด…พวกเรายอดเขานั่น
สัญลักษณ์สำคัญอย่าหวั่นไหว
ขึ้นไปปักธงแดงให้แจ้งใจ
เราคนไทย…ใช่ทาสอำมาตย์เดิม

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

เขายายเที่ยง กับความล้าหลังทางนโยบายของรัฐไทย

ผลพวงจากยุทธการเกลือจิ้มเกลือของ นปช. ที่เขายายเที่ยงเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา นั้น นอกจากจะชี้ให้เห็นภาวะไร้มาตรฐานของการบังคับใช้กฎหมายระหว่างผู้มีฐานะทาง สังคม กับสามัญชนทั่วไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นอานิสงส์สำคัญจากการเคลื่อนไหวข้างต้น คือ การเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการถือครองที่ดินในสังคมไทย ที่มีลักษณะกระจุกตัวอยู่เฉพาะคนมีฐานะทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะที่ดินในเขตป่าซึ่งมีภูมิทัศน์สวยงาม ยิ่งเป็นที่หมายตาของกลุ่มคนเหล่านี้

กรณีปัญหาที่ดินเขายายเที่ยงมีข้อพิพาทมายาวนาน โดยชาวบ้านในพื้นที่มีการเรียกร้องต่อสู้อันเนื่องมาจากการทับซ้อนระหว่าง ที่ทำกินกับป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเตียน เขาเขื่อนลั่น และป่าปากช่อง หมูสี กระทั่งมีมติคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ระหว่างสมัชชาคนจนกับรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2540 แต่อย่างไรก็ตาม มติครม.ดังกล่าว ถูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาโดยให้ยึดหลักฐานทางราชการ เช่น แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศที่ถ่ายไว้ครั้งแรก ภายหลังการสงวนหวงห้ามเป็นพื้นที่ป่าตามกฏหมายป่าไม้ครั้งแรก (นั่นคือแผนที่ดาวเทียมของกรมแผนที่ทหาร ปี พ.ศ. 2495 ที่ถ่ายไว้ครั้งแรกหลังการออกพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484) เป็นต้น และการแก้ไขปัญหาตามมติครม.นี้ ชี้ออกมาว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการให้สิทธิ์แก่ชาวบ้านได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร (เขตลุ่มน้ำชั้น 1 บี) ตามมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดชันคุณภาพลุ่มน้ำปี พ.ศ. 2528
หากกล่าวอย่างถึงที่สุด มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นมาตรการทางนโยบายที่จำกัดสิทธิในการเข้าถึงที่ดินของชาวบ้านที่ถือครองทำประโยชน์มาก่อนการประกาศเขตป่าอย่างยิ่ง ซึ่ง ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มติดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินในเขตป่าได้อย่าง สิ้นเชิง นอกจากนี้ มติครม. ฉบับนี้ ยังไม่มีมาตรการที่จะสร้างความมั่นคงในการถือครองที่ดินของเกษตรกรแต่อย่าง ใด ทำให้ที่ดินโดยส่วนใหญ่มีการซื้อสิทธิ์กัน และสุดท้ายก็ตกอยู่ในมือนายทุน และผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ ดังที่กล่าวแล้ว
กล่าวโดยสรุป การแก้ไขปัญหาที่ดินในเขตป่าของรัฐไทยจึงมีลักษณะงูกินหางมาโดยตลอด ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสังคมปัจจุบัน อีกทั้งไม่มีมาตรการที่จะสร้างความมั่นคงในที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เราจึงเห็นข่าวคราวการถือครองที่ดินของผู้มีชื่อเสียงในสังคมในเขตพื้นที่ ป่าอยู่ทั่วประเทศ และหากจะใช้โอกาสนี้เป็นบันไดขั้นแรกในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการ ที่ดินและทรัพยากรของสังคมไทย ควรต้องตรวจสอบการถือครองที่ดินของรัฐในทั่วประเทศ ว่าใครที่มีที่พักตากอากาศที่เขาใหญ่ เขาค้อ ภูเรือ น้ำหนาว เชียงราย เชียงใหม่บ้าง และใครที่มีมากเกินความจำเป็น ไม่ทำประโยชน์ ก็ควรนำมาเป็นของรัฐเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกรต่อไป

ที่มา:ประชาไท โดย ประชา กำชัย

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

สองมาตรฐานหรือไร้มาตรฐาน

โดย: สุรศักดิ์ อมรรัตนศักดิ์

คำว่า สองมาตรฐาน หรือ Double Standard ได้ถูกนำมาใช้ในราวต้ปี 2493 คำว่าสองมาตรฐานเริ่มเป็นที่ติดปากของคนไทยในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านและออกมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่ามีสองมาตรฐานแต่คำนี้กลับมาชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
สองมาตรฐาน เป็นการเปรียบเทียบการใช้แนวทางหรือมาตรฐานในการจัดการกับกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มด้วยวิธีที่แตกต่างกัน และมักจะถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับการแก้ปัญหาที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
ประเทศไทยทุกวันนี้ คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนหลายล้านคน รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมรัฐบาลมีสองมาตรฐาน
หากคนส่วนใหญ่ในประเทศรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมหรือรัฐบาลมีสองมาตรฐานแล้วก็ยากที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติ
ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์เลยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเรียกหาความสามัคคี โดยไม่มีการกระทำใด ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม และรัฐบาลมีมาตรฐานเดียว
ทั้งนี้ เพราะตราบใดก็ตามที่ความเป็นธรรมไม่มี ความสามัคคีก็ไม่เกิด
แนวทางที่จะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ก็ต้องเริ่มต้นที่ตัวนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์จะต้องทำให้ทุกคนในประเทศนี้เห็นว่าประเทศไทยยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่และรัฐบาลมีมาตรฐานเดียว
ที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ไม่เคยแสดงสิ่งดังกล่าวให้ปรากฎเลยว่ารัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกันกับคนทุกกลุ่ม
นายอภิสิทธิ์มีแต่ตอกย้ำให้คำว่าสองมาตรฐานเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่เชื่อลองมาพิจารณาทบทวนพฤติกรรมที่ผ่านมาในรอบ 1 ปี ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ซึ่งจะขอยกเฉพาะประเด็นที่เด่นชัดดังนี้
1 การติดตามตัวผู้หลบหนีคดีอาญา
กระทรวงการต่างประเทศในยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการชื่อ นายกษิต ภิรมย์ ได้ดำเนินการทุกวิถีทางในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับประกาศว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยคุกคามต่อประเทศที่จำเป็นต้องขจัดให้สิ้นซาก
ในขณะที่ผู้หลบหนีคดีอาญาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกำนันคนดังแห่งภาคตะวันออกหรือเจ้าพ่อปากน้ำกลับไม่ดำเนินการใด ๆ ไม่มีการติดตามตัวกลับมารับโทษแต่อย่างใด ไม่ทราบว่าตอนนี้ทั้งสองท่านยังสบายดีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หรืออาจแอบเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแล้วก็ได้
2 กรณีที่ดินเขายายเที่ยง
เขายายเที่ยงเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ชาวบ้านที่อาศัยทำมาหากินอยู่เชิงเขาถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกป่าสงวน และศาลได้พิพากษาจำคุกชาวบ้านเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ในกรณีคนที่มีคฤหาสน์อยู่บนยอดเขายายเที่ยงรัฐบาลกลับไม่ดำเนินการอะไรปล่อยให้มีอภิสิทธิ์ชนอาศัยอยู่บนยอดเขาได้โดยไม่มีการดำเนินคดีใดๆง
แล้วอย่างนี้จะให้คนรากหญ้ารู้สึกอย่างไร
3 การดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
กรณีกลุ่มเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัลคลิฟ บีซ รีสอร์ท เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐบาลใช้เวลาเพียง 3 วันในการออกหมายจับกลุ่มเสื้อแดง
แต่กรณีกลุ่มเสื้อเหลืองบุกยึดทำเนียบรัฐบาลสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิสร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาทกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมากกว่าปีแล้ว
หลักฐานต่างๆ ก็แสนจะชัดเจน ไม่เชื่อลองไปขอดูหลักฐานจากทางสถานีโทรทัศน์ได้ทุกช่อง หรือหนังสือพิมพ์ได้ทุกฉบับ หลักฐานชัดเจนออกอย่างนี้รัฐบาลกลับไม่ยอมดำเนินการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายจับหรือถอนประกัน
4 การออก พ.ร.บ.ความมั่นคง
พ.ร.บ.ความมั่นคงมีไว้เพื่อใช้ปรามไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม แค่เพียงมีข่าวว่ากลุ่มเสื้อแดงจะออกมาชุมนุมรัฐก็รีบตาลีตาเหลือก ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง
แต่พอกลุ่มเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมบ้าง รัฐกลับนิ่งเฉย ไม่ยอมออก พ.ร.บ.ความมั่นคง จนเป็นเหตุให้กลุ่มเสื้อเหลืองต้องตกเป็นเหยื่อระเบิดในการชุมนุมครั้งล่าสุด
5 กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด ได้บริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2548 โดยผ่านบริษัท แมสไซอะ บิสซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด และกรณีพรรคประชาธิปัตย์นำเงินสนับสนุนที่ได้รับจาก กกต.จำนวน 23 ล้านบาทไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ทั้ง 2 กรณีดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สรุปแล้วเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ส่วนเกี่ยวข้องชัดเจนโดยมีหลักฐานไม่ว่าจะเป็นสำเนาเช็คสั่งจ่ายจากธนาคาร หรือข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์
แต่ กกต.ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์กลับยื้อเวลาโดยมีการเลื่อนลงมติหลายครั้งนับถึงวันนี้ก็ใกล้ครบปีเข้าไปเต็มที่แล้วยังไม่มีมติจาก กกต.เลยว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดเพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
กกต.หลายคนอาศัยเล่ห์เหลี่ยมตีกรรเชียงหนีโดยโยนเรื่องไปให้นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งแนวโน้มจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิชาติ คงจะมีการยกคำร้อง
ซึ่งผิดกับพรรคไทยรักไทย กกต.ได้มีมติยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ซึ่งต่อมาปรากฎว่าพยานซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีนี้ 2 คนคือ นายชวกร โตสวัสดิ์ และนายสุขสันต์ ไชยเชษฐ์ ได้ออกมายอมรับต่อคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนว่าได้รับการว่าจ้างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยด้วยจำนวนเงิน 15 ล้านบาท
หรือกรณีการยุบพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ที่ กกต.ทำด้วยความรวดเร็วทั้งๆ ที่หลักฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอ หลักฐานใช้ในการให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่นำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นเพียงคำบอกเล่าของกำนันคนหนึ่งในอำเภอแม่จัน โดยกำนันคนดังกล่าวได้กล่าวหาว่านนายยงยุทธแจกเงินให้หัวคะแนนกลุ่มกำนันในอำเภอแม่จันไปซื้อเสียงจากประชาชน
กรณีที่ยกมาทั้ง 5 กรณีนี้พอจะกล่าวได้หรือยังว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลสองมาตรฐาน


.....มติชน