--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์ ฉายแสง : ตั้งคำถามถึงนายกฯและผู้มีอำนาจ กรณีคดียึดทรัพย์


จาตุรนต์ ฉายแสง

ที่ผ่านมาผมไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว มาถึงวันนี้ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความถูกต้องหรือไม่ของทรัพย์สินนี้ แต่ที่จะแสดงความเห็นต่อไปนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับกรณีนี้ที่ผมเห็นว่ากำลังเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังจะมีผลเสีย เป็นปัญหามากขึ้นต่อกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรมของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นห่วงว่ารัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลกำลังวางแผนกันอย่างเป็นระบบเพื่อใช้กรณีนี้ ใส่ร้ายประชาชนที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหรือแม้กระทั่งอาจลามปามไปถึงขั้นปราบปรามประชาชนด้วย

กรณีทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวควรถูกยึดหรือไม่ คงต้องให้ผู้ที่รู้ข้อมูลจริงๆเป็นผู้อธิบาย และเมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วก็คงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ นักกฎหมายและผู้สนใจจะศึกษาได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเหมาะสมให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป แต่ที่เห็นความไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นแล้วมี ๓ ประเด็นด้วยกัน

๑) การใช้ คตส. ซึ่งคณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาจากบุคคลที่ประกาศตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับพ.ต.ท.ทักษิณอย่างโจ่งแจ้งมาทำหน้าที่ในการสอบสวน โดยไม่จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย เนื่องจากได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญมาตรา๓๐๙

๒) ผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งจงใจ สั่งการ และปล่อยปละละเลยให้มีการแสดงความเห็นต่อคดีนี้ในลักษณะพูดฝ่ายเดียว คือ พูดแต่ในทางที่เป็นผลร้ายต่อผู้ถูกกล่าวหาหรือปัจจุบันคือจำเลย สร้างกระแสให้ยึดทรัพย์ เข้าข่ายกดดันศาลกันตามอำเภอใจ ผู้ที่กระทำการดังกล่าวนี้มีทั้งคนสำคัญในรัฐบาล พันธมิตรฯ สื่อมวลชนบางรายโดยเฉพาะสื่อมวลชนของรัฐบาล และล่าสุดคืออดีตกรรมการคตส.เอง โดยที่สังคมเกือบไม่มีโอกาสได้ยินคำอธิบายชี้แจงของอีกฝ่ายหนึ่งเลย

๓) มีการสร้างกระแสโดยรัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลผ่านสื่อมวลชนของรัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อใส่ร้ายการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่า ต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อกดดันศาลและจะเกิดความรุนแรงอย่างมากหลังการตัดสินคดี ทั้งๆที่ยังไม่มีใครรู้ผลของการตัดสินคดีนี้ การใส่ร้ายที่ผ่านสื่อของรัฐบาลยังได้เลยเถิดไป การสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นต่อประชาชนด้วยการกล่าวหาว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องการล้มล้างสถาบัน จนอาจมองได้ว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงกำลังสร้างเงื่อนไขเตรียมการในการปราบประชาชน

ผมมีข้อข้องใจและคำถามที่ขอถามไปยังนายกรัฐมนตรีว่า การที่นายกรัฐมนตรีและพวก พูดในทางคาดการณ์ว่าหลังการตัดสินจะมีความรุนแรงมากขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรีกับพวกรู้ผลการตัดสินคดีนี้กันล่วงหน้าแล้วหรืออย่างไร เหตุใดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ จึงปล่อยให้สื่อมวลชนของรัฐบาลกดดันศาลและยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังในลักษณะปูทางไปสู่การปราบปรามประชาชน

นอกจากนี้ขอถามไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่ว่า เหตุใดจึงปล่อยให้มีการพูดสร้างกระแสที่หวังผลต่อคดีและต้องการให้สังคมตัดสินไปเสียก่อนศาลกันอย่างนี้ และจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งเขามีโอกาสชี้แจงเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากสังคมบ้าง

ถึงแม้ว่าคดีนี้เป็นเรื่องการยึดทรัพย์ของคนครอบครัวเดียว ที่อาจไม่ใช่เรื่องที่คนทั้งประเทศจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนแทน แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่สนใจของคนจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือผลที่จะเกิดขึ้นต่อความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมและการยึดหลักนิติธรรมของประเทศ

ไม่แน่ว่า เมื่อผลตัดสินออกมาจะเป็นปัญหาต่อระบบยุติธรรมและหลักนิติธรรมของประเทศเหมือนกับอีกหลายๆกรณีหรือไม่ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใฝ่หาความยุติธรรมทั้งหลายต้องช่วยกันติดตาม

ที่มา:ประชาไท

วันกองทัพไทย…โฟกัสทหารกับประชาธิปไตย


18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ในปี 2553 นี้ลองมาสำรวจบทบาทของทหารผ่านสายตาของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์กันดู ว่าเห็นอย่างไรกันบ้าง
จากการประมวลทรรศนะของนักวิชาการหลายคนต่างมองว่า บทบาทของทหารที่นอกเหนือจากการป้องกันประเทศซึ่งเป็นหน้าที่หลักแล้ว ได้ถูกสังคม (บางส่วน) กำหนดไว้ให้เป็นที่พึ่งในยามยาก ด้วยความที่ไทยไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความไม่เข้าใจในประชาธิปไตย ตลอดจนการที่กลไกทางการเมืองบนพื้นที่ที่ถูกต้องไม่สามารถสนองความต้องการของประชาชนหรือแก้ไขปัญหาที่ประชาชนประสบในชีวิตประจำวันได้ จึงเกิดเป็นความต้องการ “ตัวช่วย” อันเป็นที่มาของการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นในสังคมไทยบ่อยครั้ง
อาจกล่าวได้ว่าการพัฒนการเมืองไทยทุก 3 ปี 1 เดือนกับอีก 4 วันเศษ ก็จะมีรัฐประหารเกิดขึ้นครึ้งหนึ่ง จากจำนวนรัฐประหารทั้งหมด 24 ครั้ง ที่มีอัตราการสำเร็จค่อนข้างสูงอยู่ที่ร้อยละ 54.17


วังวนแห่งรัฐประหาร
พลเอก ดร.ศุภลักษณ์ สุวรรณะชฎ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้ทำการวิจัยเรื่อง “ทหารกับการเมืองไทย : วังวนแห่งรัฐประหาร” พบว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง คือ ปัจจัยจากภายในประเทศ (สถาบัน/กองทัพ และเงื่อนไขในการทำรัฐประหาร) โดยในอดีตที่ผ่านมาทหารไทยมักจะเข้าแทรกแซงทางการเมืองในลักษณะที่เรียกว่า “เล่นการเมืองแบบที่ต้องการอยู่เหนือการเมือง” คือ ทหารจะเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยเป็นผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นหรือโดย การใช้อิทธิพลอยู่เบื้องหลังนักการเมืองหรือฝ่ายพลเรือน เนื่องจากทหารมักจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ส่วนใหญ่ของการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของทหารไทยจึงมักจะเข้ามาในรูปแบบของ การได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลพลเรือนให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการบริหาร ประเทศ
การทำรัฐประหารเป็นมากกว่าการเข้ายึดอำนาจจากรัฐมาเป็นของทหาร นั่นหมายถึง รัฐประหารหยั่งรากลึกลงไปในสังคมที่ประกอบด้วยสภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง รัฐประหารถือเป็นทางออกของการเมือง ถ้าการเมืองถึงทางตันไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ จะมีการเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร วงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่มีรัฐประหารเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญจึงยากที่ จะหลุดพ้นไปจากการเมืองไทย รัฐประหารอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ในอนาคตถ้าประเทศไทยประสบปัญหาทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมที่แตกแยกและ สับสนวุ่นวาย โอกาสที่จะเกิดรัฐประหารครั้งต่อไปย่อมมีความเป็นไปได้สูงและอาจไม่ทิ้ง ช่วงระยะเวลานานเกินไป เพราะผู้ทำรัฐประหารครั้งต่อไป จะพิจารณาศึกษาจากตัวอย่างการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อง 19 กันยาย 2549 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการทำรัฐประหารครั้งใหม่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ไกลเกินความจริง และนั่นหมายความว่าวงจรอุบาทว์หรือวัฎจักรแห่งความชั่วร้ายทางการเมืองมี โอกาสที่จะอยู่คู่กับสังคมไทยเสมอ

ทหารอาชีพกับประชาธิปไตย
ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ในบทวิจัยเรื่องทหารอาชีพกับประชาธิปไตยว่า การปรับปรุงพัฒนากองทัพและสถาบันทางการเมืองให้เกิดระยะห่างที่เหมาะสมใน การไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เป็นการวางกรอบแนวความคิดต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่มีเอกลักษณ์สำหรับ สังคมไทยได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อประเทศไทยเป็นระบบการเมืองแบบหลายพรรคหรือในรูปแบบของรัฐบาลผสม จะเป็นปัญหาสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพราะความไม่มั่นคงและการต่อรองทาง การเมืองที่หากมีพรรคเล็กพรรคน้อยรวมตัวกันจัดตั้งเป็นรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เท่าใด ก็จะยิ่งทำให้เกิดความแปรปรวนต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลมากขึ้น และจะมีผลทำให้การปรับเปลี่ยนแนวนโยบายรวมทั้งความคิดริเริ่มที่จะปรับปรุง กองทัพให้เป็นทหารอาชีพมีความเป็นไปได้ค่อนข้างจำกัด

เหตุผลข้างต้นจึงทำให้ความคิดต่อการเข้าไปดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพยังคงเป็นสิ่งที่ นักการเมืองไม่ประสงค์ที่จะให้บังเกิดขึ้น เพราะเกรงจะได้รับผลสะท้อนกลับในทางที่ไม่พึงปรารถนา ด้วยมีความสัมพันธ์กับกองทัพในระบบอุปถัมภ์เชิงอำนาจ (Patron-client system) ที่รู้จักกันดีและยึดถือยอมรับกันอย่างยิ่งยวดในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองก่อนเหตุการณ์เดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 และก่อนเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ได้กลับมามีความชัดเจนและเป็นที่ยอมรับอีกครั้งภายหลังหตุรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

บทสรุปอนาคตสังคมไทยกับบทบาททหาร
ภายหลังจากที่ กกต. ประกาศรับรองผู้แทนราษฎรครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดแล้ว ประเทศไทยก็เหมือนกับก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้ง ภายหลังจากการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ทำให้ไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองที่มีทหารเป็น ผู้อำนวยการจัดการ
ประชาธิปไตยครั้งใหม่ของรัฐบาลใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 แม้จะเป็นฉบับใหม่ (อีกแล้ว) ในครั้งที่ 19 แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยการออก เสียงลงประชามติ ก็นับเป็นย่างก้าวที่ดีที่สังคมไทยจะเกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการ บริหารปกครองประเทศ ไม่ให้อำนาจในการบริหารและการปกครองประเทศตกอยู่ในคนกลุ่มน้อยเพียงร้อยละ 20 ที่เป็นเจ้าของอำนาจการเมืองและอำนาจทุนเท่านั้น

ถึงเวลาที่คนไทยร้อยละ 80 จะมีอำนาจในการบริหารประเทศแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดความพอใจในทุกระดับ ชั้น และหวังว่าจะไม่ต้องอาศัยการปฏิวัติจากกองกำลังทหารมาช่วยส่งเสริม ประชาธิปไตยอีกต่อไป

ที่มา:โต๊ะข่าวประชาธิปไตย

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

สลากกินแบ่งฯ ‘ขาย 120’ พวกท่านเพิ่งรู้หรือ?



เป็นเรื่องแปลกประหลาดยากที่จะเชื่อได้ว่า “กรณ์ จาติกวณิช” และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพิ่งมารู้เมื่อ 2-3 วันนี้ว่า...สลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ที่ขายกันอยู่ทั่วไปนั้น...ขายกันในราคา 110 - 120 บาท เป็นไปได้อย่างไรครับเรื่องที่กระทบ “ผู้มีรายได้น้อย” จำนวนกว่า 30 ล้านคนเด็กไร้เดียงสาสองคนนี้ไม่รู้

เรื่องอะไรเลยหรือ?หากเป็นเช่นนั้นจริง...แสดงว่าเด็กสองคนนี้ไม่เอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมากของประเทศเลยแม้แต่น้อยสมแล้วที่มีคนตั้งฉายาให้เป็น “เด็กโง่และดื้อ”และที่สำคัญยิ่ง ก็คือ เมื่อคุณไม่สนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของคนเช่นนี้ พวกคุณก็ไม่สมควรที่จะเป็นรัฐบาลอยู่ต่อไปแล้วครับ!ผมคิดว่า...เด็กสองคนนี้รู้ครับว่ามีการขายสลากกินแบ่งเกินราคา ฉบับละประมาณ 40 บาท(ราคาปกติ 80 บาท)เมื่อคูณด้วยจำนวนประมาณ 60 ล้านฉบับเข้า

ไป ก็จะพบว่า ในแต่ละงวด น่าจะมีเงินประมาณ 2,400 ล้านบาท หรือเดือนละประมาณ 4,800 ล้านบาทปลิวเข้ากระเป๋าใครต่อใครหลายคน?ซึ่งอาจหนีไม่พ้น “คนที่มีอำนาจ” ในรัฐบาลชุดนี้...รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนในบางท้องที่ทำให้คนในรัฐบาลต้องปิดปากเงียบ...ทำเป็นไม่รู้เรื่องมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?แล้วก็เพิ่งสองสามวันมานี้เองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบางสถานีจับผู้ค้ารายย่อยบางคนในข้อหา ค้าสลากเกินราคาโถ...นั่นมันปลาซิวปลาสร้อยครับ!แล้วนี่ก็ผู้

ค้ารายย่อยเช่นกันนะครับออกมาเปิดเผยว่า...มียี่ปั๊วรายใหญ่ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการขายสลากเกินราคาโดยระบุชื่อด้วยนะครับว่าชื่อ “เจ๊แดง” กับ “เจ๊เสลี่ยง”สองเด็กน้อยเคยได้ยินบ้างไหมครับ...พรรคประชาธิปัตย์รู้จักบ้างหรือเปล่า เห็นมีข่าวว่าเจ๊พวกนี้ชอบเดินเข้าออกที่ทำงานของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์บางคนบ่อยๆผมเห็น “กรณ์ จาติกวณิช” ออกมาทำท่าเอาจริงกับเรื่องขายสลากเกินราคาในสองสามวันนี้...แล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนทำไมคุณไม่

เอาเรื่องเอาราวตั้งแต่คุณเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปีกับเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาเล่าครับ คุณโดน “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ตะบันหน้าอย่างจังเลยใช่ไหม?ที่คุณชายได้กล่าวไว้ว่า...นี่แหละเป็นท่อน้ำเลี้ยงขนาดยักษ์ของพรรคการเมืองขนาดใหญ่แล้วนี่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็อีกคนที่ออกมาพูดลอยหน้าลอยตาว่า...จะเปลี่ยนเครื่องขายหวยออนไลน์เป็นเครื่องขายสลากกินแบ่งแทนนี่เท่ากับคุณยอมรับข้อเขียนของ “คุณชายอุ๋ย” ว่าเป็นเรื่องจริงแล้วใช่หรือไม่?พวก

คุณก็เลยพยายามที่จะปัดป้องความเน่าเฟะที่ถูกกระชากหน้ากากออกมา แล้วคำอธิบายของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่บอกว่า...ต้องการกำจัดอบายมุขไม่ให้เยาวชนศีลธรรมเสื่อมด้วยการมาซื้อหวยออนไลน์หายไปไหนเสียเล่าครับคราวนี้มันต่างอะไรกันครับ...ที่เอาเครื่องมาออกสลากกินแบ่งกับออกกระดาษที่เป็นหวยสองตัวหวยสามตัวเพราะหวย 2 – 3 ตัวดังกล่าวนั้น...มันเกาะเกี่ยวโดยตรงกับสลากกินแบ่งรัฐบาลนั่นเองนี่ “คุณชายอุ๋ย” เปิดโปงเฉพาะเรื่องที่ ยี่ปั๊วราย

ใหญ่ เป็นท่อน้ำเลี้ยงขนาดยักษ์ให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่เพียงประเด็นเท่านั้นเองนะครับที่เป็นสาเหตุทำให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องออกมาบอกเลิกหวยออนไลน์ เพราะกลัวว่าต่อไป อาจจะต้องใช้ตู้อิเล็กทรอนิกส์ออกสลากนอกจากนี้สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ไม่ได้พูดถึง ก็คือ เรื่องหวยใต้ดิน หวยเถื่อนซึ่งว่ากันว่าเป็นแหล่งเงินสำคัญในการสนับสนุนให้ “คนกลุ่มหนึ่ง” โค่นล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และอาจจะเป็นแหล่งเงินสำคัญของพรรคการเมืองบางพรรคด้วยพวก

คุณเสมือนคนที่ “ทำความผิด” แต่ไม่ยอมรับสารภาพ...จึงตอบโต้เฉพาะเรื่องเฉพาะราวเป็นปฏิกิริยาฉับพลันเพียงเท่านั้นเรื่องนี้ คุณสังศิต พิริยะรังสรรค์ ได้ระบุไว้ในงานวิจัยแล้วและในตอนหลังก็ได้ออกมาให้ความคิดเห็นว่า...การยกเลิกหวยออนไลน์อาจจะทำให้หวยใต้ดินกลับมาเจริญรุ่งเรืองใหญ่โตโดยที่เงินหวยใต้ดินมีจำนวนไม่ต่ำกว่าปีละสามแสนล้านบาท และเจ้ามือได้กำไรไม่ต่ำกว่าสามหมื่นล้านบาทครอบคลุมวงการยาเสพติด ซุ้มมือปืน การค้ามนุษย์ เจ้าพ่อ

อิทธิพลทุกชนิดด้วยโดยคุณสังศิตได้ระบุว่า...หวยใต้ดินลดน้อยลงหรือกล่าวได้ว่าหายไปในยุคทักษิณที่นำขึ้นมาบนดินแต่นี่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โต้แย้งทุกครั้งที่พูดว่า ไม่เป็นความจริง หวยบนดินไม่ได้ทำให้หวยใต้ดินลดลงท่านผู้อ่านจะเชื่อใครระหว่างสังศิต กับหล่อหลักลอยอภิสิทธิ์?ทั้งหมดนี้เป็นการเปิดเผยให้เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ว่า...การเลิกหวยออนไลน์น่าจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของยี่ปั๊ว และของพวกหวยใต้ดินจึงน่าจะเป็นการเรียกร้องหรือยื่นคำขาดมาจาก

พวกนี้ไม่ใช่หรือ?อย่ามาแสดงบทผู้มีศีลธรรมจริยธรรมสูงส่งหน่อยเลย แล้วอย่ามาทำท่ากระตือรือร้นแก้ปัญหาสลากเกินราคาไปเลยผมคาดการณ์ว่า...ถึงอย่างไรรัฐบาลหล่อหลักลอยก็คงไม่แก้ปัญหาเรื่องสลากเกินราคาและไม่แก้ปัญหาเรื่องหวยใต้ดินแต่อย่างไรคงปล่อยให้มันเจริญเติบใหญ่หยั่งรากลึกแตกกิ่งก้านไพศาลออกดอกออกผลต่อไปเฉกเช่นที่รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้มันเป็นมาเกือบหนึ่งปีหนึ่งเดือนแล้วครับ 

"แม้ว"โฟนอินพร้อมกัน 2 เวทีจวก รบ.แกนนำพร้อมเสื้อแดง 1 ล้านคนบุกกรุงรุกฆาต"ระบบอำมาตย์"

"แม้ว"โฟนอินพร้อมกัน 2 เวทีอัดรบ."ณัฐวุฒิ"ประกาศรุกฆาต"ระบบอำมาตย์"เดิมพันด้วยชีวิตปลุกระดมสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ 1 ล้านคนบุกกรุงเทพฯกดดันรัฐบาล

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2553 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศของเวทีงานรวมพลคนเสื้อแดง แดงทั้งแผ่นดิน ณ สนามกีฬา ต.เชียงแรง อ.ภูซาง จ.พะเยา ซึ่งได้มีการปราศรัยของบรรดากลุ่มแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ส่วนกลาง ตั้งแต่เวลา 18.30 น. วันที่ 17 มกราคม 2553 เป็นต้นมา โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาฟังการปราศรัยประมาณ 2,000 คน ซึ่งมีแกนนำ นปช.ขึ้นปราศรัยสลับกับการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แกนนำ นปช.ที่ขึ้นเวทีปราศรัยเรียงลำดับ คือ นายสุนัย จุลพงศธร นายไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายวิภูแถลง วัฒนภูมิไทย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายสมชาย ไพบูลย์ นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ นายเหวง โตจิราการ และปิดท้ายรายการด้วย พล.ต.ขัติยะ สวัสดิผล ในเวลาประมาณ 01.30 น.ของวันที่ 18 มกราคม 2553 ซึ่งประเด็นและเนื้อหาในการปราศรัยของแกนนำล้วนตำหนิการทำงานของรัฐบาลและโจมตีระบบอำมาตยาธิปไตย


เมื่อเวลา 21.40 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามายังเวทีนานประมาณ 10 นาที การโฟนอินดังกล่าวเป็นการโฟนอินพร้อมกัน 2 เวที คือ เวที อ.ภูซาง อ.ปง จ.พะเยา และ ที่ จ.เพชรบุรี ซึ่งเนื้อหาของการโฟนอิน พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กล่าวแสดงถึงความห่วงใยประชาชน ประเทศชาติ และ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย(พท.) เนื่องจากขณะนี้การเมืองของไทยกำลังไร้ทิศทางในอนาคต เนื่องจากมีการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง นักการเมืองรังแก ขัดแย้งกันเอง เอาเปรียบทางการเมือง รัฐบาลมีแต่การไล่ล่า เล่นข่าวกล่าวหากันสารพัด ทำให้ประชาชนเสียโอกาส ซึ่งเมื่อรัฐบาลเป็นเช่นนี้จึงไม่รู้ว่ามีความยุติธรรมอยู่หรือไม่ จึงได้เรียกร้องขอให้ประชาชนชาวเสื้อแดงรวมกันให้แข็งแรงและเสียสละ พร้อมกับให้ความหวังประชาชนว่าอีกไม่นานประชาชนจะมีงานทำและกลับมามีรายได้อีกครั้ง



ขณะที่ นายณัฐวุฒิ กล่าวปราศรัยในประเด็นสำคัญ ว่า จากนี้ถัดไป 1 สัปดาห์ กลุ่ม นปช.จะรุกรัฐบาลและระบบอำมาตย์เรื่องเขายายเที่ยงและเขาสอยดาว เพื่อกดดันรัฐบาลให้เร่งพิจารณาด้วยความยุติธรรม พร้อมกันนี้ตนขอเรียกร้องให้กลุ่มคนเสื้อแดงจากภาคเหนือและทั่วประเทศ ไปร่วมกันแสดงพลังชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ ฯ ซึ่งจะมีครั้งต่อไป โดยครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ ขอจำนวน 1 ล้านคน ซึ่งการต่อสู้จะต้องได้รับชัยชนะ หากไม่ชนะจะมีมาตรการกดดันรัฐบาลต่อไป


"งานนี้ถือว่าเป็นการรุกที่รุกฆาตกับระบบอำมาตย์ ตนขอเดิมพันด้วยชีวิตและอิสรภาพ หากไม่ชนะชีวิตและอิสรภาพเอาไปได้เลย" นายณัฐวุฒิ กล่าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.จรินทร์ อินทร์สุวรรณโณ ผบก.ภ.จว.พะเยา ได้เดินทางมาสังเกตการณ์ภายในงาน ซึ่งบรรยากาศของเวทีปราศรัยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายแต่อย่างใด โดยรอบบริเวณเวทีภายในสนามกีฬามีเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จาก อ.ภูซาง อ.เชียงคำ และ อ.เมือง อาสาสมัครสมาชิกตำรวจบ้าน(สตบ.) อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน(อปพร.) จำนวนทั้งหมดกว่า 500 นาย มาร่วมดูแลความสงบและความปลอดภัยภายในงาน

ที่มา:มติชนออนไลน์

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2553

นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เขายายเที่ยง และการสังหารคนจนไร้ที่ดินสุราษฎร์ธานี

นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวว่า ...

“ถูกต้องครับ เพราะผมมองไม่เห็นว่าทำไมสังคมต้องมาขัดแย้งกันในเรื่องที่ดินแปลงเดียว เมื่อมีการวินิจฉัยข้อกฎหมายก็ควรจะดำเนินการไป ปมที่มันเป็นความขัดแย้งอยู่มันเป็นข้อยุติก็ดำเนินการ"

ได้สะท้อนให้เห็นอาการไม่มีความรู้ และสะท้อนการคิดแบบการเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ เพราะกรณีเขายายเที่ยงไม่ได้มีเฉพาะที่เขายายเที่ยง แต่มันเป็นปัญหาการจัดการทรัพยากรป่า-ที่ดินในสังคมไทย

ไม่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและความยุติธรรม ไม่มีครั้งไหนจะยิ่งใหญ่ มีมวลชนไพศาลเข้าร่วม และเป็นประเด็นทางสังคมไทยที่สำคัญ เท่ากับการนำการต่อสู้ของคนเสื้อแดง

การต่อสู้ของ”คนเสื้อแดง”ได้เปิดโปงให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลต่อการยึดครองพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของอดีตนายกรัฐมนตรีสุรยุทธ์ องคมนตรี และชี้ให้เห็นถึงความอยุติธรรม ในการใช้กฎหมายแบบสองมาตราฐาน

แต่ในทางกลับกัน เมื่อคนจนผู้ยากไร้ใช้ทั้งๆ ที่อยู่มาก่อนการประกาศพื้นที่ป่าของกรมป่าไม้หรือแม้แต่ใช้แรงงานเข้าบุกเบิกทำกินเพื่อมีชีวิตอยู่รอดภายหลังก็ตาม กลับถูกกฎหมายที่หมายกดและไม่สอดคล้องกับสภาพความจริง จับกุมคุมขังผู้ยากไร้ในแผ่นดิน

ขณะที่เหล่าอำมาตย์ กลุ่มอภิสิทธิชนอิทธิพลนายทุนกลับลอยนวลไม่มีการจัดการตามกฎหมายแต่อย่างใด กลไกรัฐกระบวนการยุติธรรมทั้งอัยการ ตำรวจ ศาล เจ้าหน้าที่ป่าไม้ (รวมทั้งองค์กรสิทธิ์มนุษยชนที่ทำหน้าที่รับใช้เนื้อเดียวกับรัฐอำมาตย์) กลับทำหน้าที่รับใช้ระบอบอำมาตยาธิปไตย

และคงต้องติดตามกรณี เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ตอนต่อไป เมื่อคนเสื้อแดงจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งหนึ่งเพื่อเปิดโปงอำมาตย์ใหญ่

อย่างใดก็ตามท่ามกลางการเคลื่อนไหวกรณีเขายายเที่ยงของคนเสื้อแดง ณ ดินแดนด้ามขวานทอง ตอนหัวค่ำของวันที่11 มกราคม 2553 มือปืนไม่ต่ำกว่า 2 คน ได้กาดกระสุนจากปากกระบอกปืน M 16 ใส่นายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี สิ้นใจคาที่พักพิง

นายสมพร พัฒนภูมิ เดิมเป็นคนบ้านตำบลชะเมา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เดินทางดิ้นรนมาเป็นช่างทาสีในอู่รถ เป็นแรงงานรับจ้างหากินเป็นวันๆ เพื่อยังชีพ อยู่แถวบ้านซ้อง อำเภอเวียงสระ จังหวัดสุราษฎรธานี

เมื่อปี พ.ศ. 2546 ได้มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ต้องการทำการผลิตเพื่อเกษตรกรรม นายสมพร ก็เป็นหนึ่งในหลายพันคนของผู้ไร้ที่ดิน มีความปรารถนา ต้องการมีที่ดินในการทำการผลิตทำมาหากิน จึงได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวในครั้งนั้นด้วย

การเคลื่อนไหวได้มีการเปิดโปงถึงการนำ ส.ป.ก. 4-01 นับ 1,000 กว่าไร่ให้กับบริษัทจิวกังจุ้ย จำกัด ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี อย่างผิดกฎหมาย เพราะเป็นนายทุน มิใช่เกษตรกร

จนกระทั่งทำให้สำนักงานปฏิรูปที่ดินต้องจำยอมดำเนินการฟ้องร้องบริษัทจิวกังจุ้ย จำกัด ทั้งแพ่งและอาญา ในที่สุดศาลตัดสินให้บริษัทแพ้คดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างบริษัทยื่นอุทธรณ์ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าทางตำรวจวางแผนจะดำเนินการสลายการยึดครองที่ดินของชุมชนเกษตรกรปักษ์ใต้

ที่ดินผืนนี้ที่นายสมพรและคนจนยากไร้ที่ดินภาคใต้ ได้เคยเสนอให้รัฐดำเนินการนำที่ดินมาให้คนจนผู้ไร้ที่ดินทำกิน แต่รัฐบาลไม่จริงจังในการดำเนินการแก้ไขปัญหา พวกเขาจึงต้องยึดครองที่ดินด้วยสองมืออันว่างเปล่า เพราะ “ที่ดินต้องเป็นของผู้ถือคันไถ”

นายสมพร ได้เข้าทำกินในพื้นที่เพียง 1 ไร่ ใช้แรงงานปลูกผัก ทำบ่อปลา ณ ชุมชนครองไทรพัฒนา และชุมชนยกย่องให้เป็นเกษตรกรตัวอย่างที่มีความมุ่งมั่นลงแรงพลิกผืนดินให้เป็นแหล่งอาหารเลี้ยงชีวิต

ที่ดินผืนนี้ เป็นของบริษัทไม่ธรรมดา ใกล้ชิดกับนักการเมืองใหญ่ ที่มีบทบาทหลักในรัฐบาลอำมาตอภิสิทธิ์ หรือไม่ ? ต้องตรวจสอบกัน บริษัทไม่ธรรมดานี้ เป็นกระเป๋าหนักในการสนับสนุนพรรคเก่าแก่อนุรักษ์นิยมภาคใต้หรือไม่? ต้องตรวจสอบกัน

แต่ที่แน่นอน ที่ดินผืนนี้ ได้เปิดโปงให้เห็นการทุจริต ที่ดินสปก กลับเป็นของนายทุนเข้าครอบครอง เหมือนเช่นกรณีสปก4-01 จังหวัดภูเก็ต แต่รัฐไม่จัดการตามกฎหมายและเมินเฉย ใช่หรือไม่?

สำนักงานปฏิรูปที่ดิน กรมที่ดิน วิธีคิดวิธีการทำงานไม่ต่างกับกรมป่าไม้ ล้วนรวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดอำนาจ ใช้ระบบระเบียบแบบสั่งการจากเบื้องบน ไม่ฟังเสียงประชาชน เป็นวิธีคิดแบบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยมานับตั้งแต่มีรัฐชาติเกิดขึ้น

ความตายของนายสมพร ได้ตอกย้ำให้สังคมไทยเห็นถึงความสองมาตราฐานของระบบราชการซึ่งเป็นกลไกหลักสำคัญของอำมายตยาธิปไตย เป็นส่วนหนึ่งทั้งวิธีคิดและการปฏิบัติ และถึงเวลายกเครื่องกลไลรัฐ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ สปก และอื่นๆ สร้างกลไกประชาธิปไตย ตรวจสอบถ่วงดุลย์ โปร่งใส กระจายอำนาจ ทั้งวิธีคิด จิตสำนึก เพื่อจัดการป่าไม้-ที่ดิน ให้เกิดความยุติธรรม เสมอภาคเท่าเทียมกัน

และแน่นอนว่าคงมิอาจเกิดขึ้นแน่ยุคที่อำมาตยาธิปไตยครองเมืองและการไม่มีความรู้การจัดการป่า-ที่ดินของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์

ที่มา:ประชาไท

เขาไม่เที่ยง

โดย จักรภพ เพ็ญแข

เขาเอย…เขายายเที่ยง
จู่จู่เขาก็เอียงเที่ยงไม่ถึง
รู้ว่า “ยาย” เอียงถลาเพราะ “ตา” ดึง
เขายายเที่ยงล้มตึงเพราะตาเอียง

ทุกคนก่อนร่อนชะไรใจเคารพ
เอาหน้าซบนบฝ่าเพราะตาเที่ยง
แต่เวลาผ่านไปหัวใจเอียง
ทั้งยายตาขาเที่ยงก็เดี้ยงไป

ใจมนุษย์สุดจะอ่อนท่านสอนสั่ง
จะอยู่วังอย่างเจ้าหรือชาวไพร่
หากอัตตาเต็มล้นก็จนใจ
ต้องถึงวันบรรลัยจัญไรกิน

อันภูผาป่าถ้ำล้วนธรรมชาติ
ดั่งดินฟ้าอากาศและท้องถิ่น
เขายายเที่ยงทอดอยู่คู่ธรนินทร์
เป็นสมบัติแผ่นดินมานมนาน

แต่มนุษย์ใจร้ายย้ายไปอยู่
เอาหลักกูก้องท้าอย่างหน้าด้าน
ป่าสงวนสงวนไว้ให้ยาวนาน
เพื่อลูกหลานภายหน้ากลับคว้าครอง

นายทหารชั้นผู้ใหญ่ใช่หรือนี่
แถมเป็นองคมนตรีไม่มีสอง
นายกรัฐมนตรีก็เคยครอง
แต่ครรลองของคุณคือขุนโจร

เอาเปรียบได้เปรียบดีดั่งผีปอบ
ปกคลุมครอบไว้ทั้งตัวด้วยหัวโขน
ใช้ความนิ่งเข้าฉาบความหยาบโลน
จนผู้คนนึกว่าโจรคือตัวจริง

นี่ล่ะ…เมืองไทยใต้อำมาตย์
เราคือชาติคนดีแต่ผีสิง
ถูกหลอกหลอนซ่อนเร้นไม่เห็นจริง
จึงเห็นสิ่งโสมมเป็นสมควร

คนชั่วก็ต้องชั่วไม่กลัวบาป
ถึงสร้างภาพสวยสะอาดก็ขาดด้วน
เอาคนชั่วนั่งเมืองจนเครื่องรวน
ป่าสงวนสงวนไว้ให้ใครกัน

สุรยุทธ์ ​จุลานนท์ คนของใคร
เป็นหนึ่งในเทวดาตกสวรรค์
สร้างภาพลักษณ์หนักหนาสารพัน
พอถึงวันสัจธรรมก็นำทาง

ใครว่าองคมนตรีดีเสมอ
ใครที่เผลออิงแอบเอาแบบอย่าง
ก็จะพบมวลชนบนเส้นทาง
ยืนหยัดขวางทางกลุ้มรุมลงทัณฑ์

เพราะการเมืองเรื่องอำมาตย์ชาติใกล้ดับ
มวลชนจึงเคลื่อนขยับกลับหลังหัน
เมื่อสัจจะประจักษ์แจ้งดั่งแสงตะวัน
ก็ถึงวันเคลื่อนพลเพื่อคนไทย

ขึ้นเถิด…พวกเรายอดเขานั่น
สัญลักษณ์สำคัญอย่าหวั่นไหว
ขึ้นไปปักธงแดงให้แจ้งใจ
เราคนไทย…ใช่ทาสอำมาตย์เดิม

วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

เขายายเที่ยง กับความล้าหลังทางนโยบายของรัฐไทย

ผลพวงจากยุทธการเกลือจิ้มเกลือของ นปช. ที่เขายายเที่ยงเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา นั้น นอกจากจะชี้ให้เห็นภาวะไร้มาตรฐานของการบังคับใช้กฎหมายระหว่างผู้มีฐานะทาง สังคม กับสามัญชนทั่วไปแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นอานิสงส์สำคัญจากการเคลื่อนไหวข้างต้น คือ การเปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปัญหาการถือครองที่ดินในสังคมไทย ที่มีลักษณะกระจุกตัวอยู่เฉพาะคนมีฐานะทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะที่ดินในเขตป่าซึ่งมีภูมิทัศน์สวยงาม ยิ่งเป็นที่หมายตาของกลุ่มคนเหล่านี้

กรณีปัญหาที่ดินเขายายเที่ยงมีข้อพิพาทมายาวนาน โดยชาวบ้านในพื้นที่มีการเรียกร้องต่อสู้อันเนื่องมาจากการทับซ้อนระหว่าง ที่ทำกินกับป่าสงวนแห่งชาติป่าเขาเตียน เขาเขื่อนลั่น และป่าปากช่อง หมูสี กระทั่งมีมติคณะรัฐมนตรีเพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ระหว่างสมัชชาคนจนกับรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2540 แต่อย่างไรก็ตาม มติครม.ดังกล่าว ถูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรีสมัยนายชวน หลีกภัย เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 ซึ่งกำหนดหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาโดยให้ยึดหลักฐานทางราชการ เช่น แผนที่ภาพถ่ายทางอากาศที่ถ่ายไว้ครั้งแรก ภายหลังการสงวนหวงห้ามเป็นพื้นที่ป่าตามกฏหมายป่าไม้ครั้งแรก (นั่นคือแผนที่ดาวเทียมของกรมแผนที่ทหาร ปี พ.ศ. 2495 ที่ถ่ายไว้ครั้งแรกหลังการออกพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484) เป็นต้น และการแก้ไขปัญหาตามมติครม.นี้ ชี้ออกมาว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่สามารถดำเนินการให้สิทธิ์แก่ชาวบ้านได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร (เขตลุ่มน้ำชั้น 1 บี) ตามมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดชันคุณภาพลุ่มน้ำปี พ.ศ. 2528
หากกล่าวอย่างถึงที่สุด มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 30 มิถุนายน 2540 เป็นมาตรการทางนโยบายที่จำกัดสิทธิในการเข้าถึงที่ดินของชาวบ้านที่ถือครองทำประโยชน์มาก่อนการประกาศเขตป่าอย่างยิ่ง ซึ่ง ปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มติดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องที่ดินในเขตป่าได้อย่าง สิ้นเชิง นอกจากนี้ มติครม. ฉบับนี้ ยังไม่มีมาตรการที่จะสร้างความมั่นคงในการถือครองที่ดินของเกษตรกรแต่อย่าง ใด ทำให้ที่ดินโดยส่วนใหญ่มีการซื้อสิทธิ์กัน และสุดท้ายก็ตกอยู่ในมือนายทุน และผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจ ดังที่กล่าวแล้ว
กล่าวโดยสรุป การแก้ไขปัญหาที่ดินในเขตป่าของรัฐไทยจึงมีลักษณะงูกินหางมาโดยตลอด ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสังคมปัจจุบัน อีกทั้งไม่มีมาตรการที่จะสร้างความมั่นคงในที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เราจึงเห็นข่าวคราวการถือครองที่ดินของผู้มีชื่อเสียงในสังคมในเขตพื้นที่ ป่าอยู่ทั่วประเทศ และหากจะใช้โอกาสนี้เป็นบันไดขั้นแรกในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการ ที่ดินและทรัพยากรของสังคมไทย ควรต้องตรวจสอบการถือครองที่ดินของรัฐในทั่วประเทศ ว่าใครที่มีที่พักตากอากาศที่เขาใหญ่ เขาค้อ ภูเรือ น้ำหนาว เชียงราย เชียงใหม่บ้าง และใครที่มีมากเกินความจำเป็น ไม่ทำประโยชน์ ก็ควรนำมาเป็นของรัฐเพื่อจัดสรรให้กับเกษตรกรต่อไป

ที่มา:ประชาไท โดย ประชา กำชัย

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

สองมาตรฐานหรือไร้มาตรฐาน

โดย: สุรศักดิ์ อมรรัตนศักดิ์

คำว่า สองมาตรฐาน หรือ Double Standard ได้ถูกนำมาใช้ในราวต้ปี 2493 คำว่าสองมาตรฐานเริ่มเป็นที่ติดปากของคนไทยในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านและออกมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่ามีสองมาตรฐานแต่คำนี้กลับมาชัดเจนมากยิ่งขึ้นในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
สองมาตรฐาน เป็นการเปรียบเทียบการใช้แนวทางหรือมาตรฐานในการจัดการกับกลุ่มเป้าหมายสองกลุ่มด้วยวิธีที่แตกต่างกัน และมักจะถูกนำมาใช้เปรียบเทียบกับการแก้ปัญหาที่ทำให้คนกลุ่มหนึ่งรู้สึกว่าไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรม
ประเทศไทยทุกวันนี้ คนกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจำนวนหลายล้านคน รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมรัฐบาลมีสองมาตรฐาน
หากคนส่วนใหญ่ในประเทศรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรมหรือรัฐบาลมีสองมาตรฐานแล้วก็ยากที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติ
ดังนั้น จึงไม่มีประโยชน์เลยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเรียกหาความสามัคคี โดยไม่มีการกระทำใด ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในประเทศรู้สึกว่าได้รับความยุติธรรม และรัฐบาลมีมาตรฐานเดียว
ทั้งนี้ เพราะตราบใดก็ตามที่ความเป็นธรรมไม่มี ความสามัคคีก็ไม่เกิด
แนวทางที่จะสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ก็ต้องเริ่มต้นที่ตัวนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์จะต้องทำให้ทุกคนในประเทศนี้เห็นว่าประเทศไทยยังมีความยุติธรรมหลงเหลืออยู่และรัฐบาลมีมาตรฐานเดียว
ที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์ไม่เคยแสดงสิ่งดังกล่าวให้ปรากฎเลยว่ารัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกันกับคนทุกกลุ่ม
นายอภิสิทธิ์มีแต่ตอกย้ำให้คำว่าสองมาตรฐานเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
หากไม่เชื่อลองมาพิจารณาทบทวนพฤติกรรมที่ผ่านมาในรอบ 1 ปี ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ซึ่งจะขอยกเฉพาะประเด็นที่เด่นชัดดังนี้
1 การติดตามตัวผู้หลบหนีคดีอาญา
กระทรวงการต่างประเทศในยุคที่มีรัฐมนตรีว่าการชื่อ นายกษิต ภิรมย์ ได้ดำเนินการทุกวิถีทางในการไล่ล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงกับประกาศว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยคุกคามต่อประเทศที่จำเป็นต้องขจัดให้สิ้นซาก
ในขณะที่ผู้หลบหนีคดีอาญาอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นกำนันคนดังแห่งภาคตะวันออกหรือเจ้าพ่อปากน้ำกลับไม่ดำเนินการใด ๆ ไม่มีการติดตามตัวกลับมารับโทษแต่อย่างใด ไม่ทราบว่าตอนนี้ทั้งสองท่านยังสบายดีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน หรืออาจแอบเข้ามาอาศัยอยู่ในเมืองไทยแล้วก็ได้
2 กรณีที่ดินเขายายเที่ยง
เขายายเที่ยงเป็นพื้นที่ที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ชาวบ้านที่อาศัยทำมาหากินอยู่เชิงเขาถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกป่าสงวน และศาลได้พิพากษาจำคุกชาวบ้านเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ในกรณีคนที่มีคฤหาสน์อยู่บนยอดเขายายเที่ยงรัฐบาลกลับไม่ดำเนินการอะไรปล่อยให้มีอภิสิทธิ์ชนอาศัยอยู่บนยอดเขาได้โดยไม่มีการดำเนินคดีใดๆง
แล้วอย่างนี้จะให้คนรากหญ้ารู้สึกอย่างไร
3 การดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อเหลือง-เสื้อแดง
กรณีกลุ่มเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัลคลิฟ บีซ รีสอร์ท เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมารัฐบาลใช้เวลาเพียง 3 วันในการออกหมายจับกลุ่มเสื้อแดง
แต่กรณีกลุ่มเสื้อเหลืองบุกยึดทำเนียบรัฐบาลสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิสร้างความเสียหายหลายแสนล้านบาทกลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ ทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมากกว่าปีแล้ว
หลักฐานต่างๆ ก็แสนจะชัดเจน ไม่เชื่อลองไปขอดูหลักฐานจากทางสถานีโทรทัศน์ได้ทุกช่อง หรือหนังสือพิมพ์ได้ทุกฉบับ หลักฐานชัดเจนออกอย่างนี้รัฐบาลกลับไม่ยอมดำเนินการใดๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกหมายจับหรือถอนประกัน
4 การออก พ.ร.บ.ความมั่นคง
พ.ร.บ.ความมั่นคงมีไว้เพื่อใช้ปรามไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงออกมาชุมนุม แค่เพียงมีข่าวว่ากลุ่มเสื้อแดงจะออกมาชุมนุมรัฐก็รีบตาลีตาเหลือก ออก พ.ร.บ.ความมั่นคง
แต่พอกลุ่มเสื้อเหลืองออกมาชุมนุมบ้าง รัฐกลับนิ่งเฉย ไม่ยอมออก พ.ร.บ.ความมั่นคง จนเป็นเหตุให้กลุ่มเสื้อเหลืองต้องตกเป็นเหยื่อระเบิดในการชุมนุมครั้งล่าสุด
5 กรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท
บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด ได้บริจาคเงิน 258 ล้านบาท ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2548 โดยผ่านบริษัท แมสไซอะ บิสซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด และกรณีพรรคประชาธิปัตย์นำเงินสนับสนุนที่ได้รับจาก กกต.จำนวน 23 ล้านบาทไปใช้ผิดวัตถุประสงค์
ทั้ง 2 กรณีดังกล่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษได้สรุปแล้วเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ส่วนเกี่ยวข้องชัดเจนโดยมีหลักฐานไม่ว่าจะเป็นสำเนาเช็คสั่งจ่ายจากธนาคาร หรือข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์
แต่ กกต.ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์กลับยื้อเวลาโดยมีการเลื่อนลงมติหลายครั้งนับถึงวันนี้ก็ใกล้ครบปีเข้าไปเต็มที่แล้วยังไม่มีมติจาก กกต.เลยว่าจะส่งเรื่องไปให้อัยการสูงสุดเพื่อให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่
กกต.หลายคนอาศัยเล่ห์เหลี่ยมตีกรรเชียงหนีโดยโยนเรื่องไปให้นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ชี้ขาด ซึ่งแนวโน้มจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิชาติ คงจะมีการยกคำร้อง
ซึ่งผิดกับพรรคไทยรักไทย กกต.ได้มีมติยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ซึ่งต่อมาปรากฎว่าพยานซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญในกรณีนี้ 2 คนคือ นายชวกร โตสวัสดิ์ และนายสุขสันต์ ไชยเชษฐ์ ได้ออกมายอมรับต่อคณะกรรมาธิการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนว่าได้รับการว่าจ้างจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ให้ใส่ร้ายพรรคไทยรักไทยด้วยจำนวนเงิน 15 ล้านบาท
หรือกรณีการยุบพรรคพลังประชาชนเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ที่ กกต.ทำด้วยความรวดเร็วทั้งๆ ที่หลักฐานยังไม่ชัดเจนเพียงพอ หลักฐานใช้ในการให้ใบแดงนายยงยุทธ ติยะไพรัช ที่นำไปสู่การยุบพรรคพลังประชาชน เป็นเพียงคำบอกเล่าของกำนันคนหนึ่งในอำเภอแม่จัน โดยกำนันคนดังกล่าวได้กล่าวหาว่านนายยงยุทธแจกเงินให้หัวคะแนนกลุ่มกำนันในอำเภอแม่จันไปซื้อเสียงจากประชาชน
กรณีที่ยกมาทั้ง 5 กรณีนี้พอจะกล่าวได้หรือยังว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลสองมาตรฐาน


.....มติชน

เขายายเที่ยง ยุทธการงัดอ้อยออกจากปากช้าง !!!!???


เละตุ้มเป๊ะ ดูไม่จืดจริงๆ เซ่อวินสตัน เชอร์ชิลแห่งเมืองไทย หลังจากโดนเสื้อแดงเค้นคอจนตาโปน ยอมคายเขายายเที่ยงออกมาอย่างเสียไม่ได้ พร้อมเลือดกำเดาที่พุ่งกระฉูดออกมาเป็นสาย ก็พูดกันดีๆแล้วไม่รู้ฟัง มันเลยต้องลงมือลงไม้กันบ้าง หวังว่าคงจะเข้าใจ

เคราะห์ยังดีที่ อัยการสูงปรี๊ด ท่านมาถูกที่ถูกเวลาอย่างไม่น่าเชื่อ ตัดสินใจลงชนแทนวัว สั่งไม่ฟ้องมันดื้อๆ อ้างว่าไม่ได้เจตนา ไม่งั้นมีหวังได้เห็นองคมนตรี ตกเป็นจำเลยในคดีอาญา ประเดิมศักราชใหม่ ให้อร้าอร่ามกันไปเลย

เรื่องของเรื่อง เป็นถึงองคมนตรี แถมยังคั่วตำแหน่งประธานโครงการอนุรักษ์ป่าเขาใหญ่ อีกต่างหาก แต่ดันไปงาบอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เข้าให้ มันเลยดูไม่จืดอย่างที่เห็น

เคยได้ยินคลับคล้ายคลับคลาว่า นักการเมืองนั้น ต้องมีต่อมจริยธรรมโตกว่าคนปกติ แต่องคมนตรีคงไม่จำเป็น ก็ขนาดเรื่องแดงโร่ออกอย่างนี้ ยังทำทู่ซี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย ไม่ยอมคืนซะงั้น แค่บอกว่า "พร้อมปฏิบัติตามกฎหมาย ถ้ากรมป่าไม้ชี้ขาดลงมา"

แหม..ถ้าแน่จริง ก็ประกาศไปเลยว่า "ไม่พร้อมที่จะปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ว่าใครจะชี้ขาดลงมาก็ตาม"

สงสารแต่กรมป่าไม้ ที่อยู่ดีๆต้องไปอุ้มเผือกร้อนเอาไว้ จนหน้าเขียวหน้าเหลือง เลยขอต่อเวลาทดเจ็บไปอีก 60 วัน แล้วค่อยตัดสินชี้ขาด ว่าจำเป็นต้องคืนหรือไม่

นับเป็นการกระทำ 2 มาตรฐานที่น่าเกลียดน่าชังเป็นที่สุด ทีตาสีตาสารีบผวาเข้าเอาใจ ไม่ทันข้ามวันก็ได้ติดคุกสมใจอยาก แต่กับผู้ยิ่งใหญ่คับฟ้า ดันปล่อยให้นั่งลุ้นเสียวอยู่ได้ตั้ง 60 วัน มันจะอะไรกันนักกันหนา

เขาถึงว่า สอนใครต่อใคร สอนได้หมด แต่สอนตัวเองมันยากอย่างนี้นี่เอง ก็แหม..บ้านหลังงาม ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติ ที่ดินทำเลทอง ของดีๆทั้งนั้น องคมนตรีก็เสียดายเป็นเหมือนกัน

อะไรไม่ว่า ขนาดจับได้คาหนังคาเขาถึงขั้นนี้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ยอมลาออกจากองคมนตรี ไหนเห็นจ้อกันจังว่า รักสถาบันจะเป็นจะตาย ในเมื่อรู้ตัวว่าเป็นตำบลกระสุนตก ก็น่าจะเด้งหลบไป ให้ไกลๆจากสถาบันหน่อย แต่นี่ดันมาล่อเป้า กะให้กระสุนตกใส่สถาบัน จะได้หาเรื่องจับคนยิงยัดคุกซะให้เข็ด

เสื้อแดงนี่ก็แรงไม่ตกจริงๆ ยิ่งหลังๆมานี้ ได้น้ำเลี้ยงจาก 2 มาตรฐานของอำมาตย์ ถึงกับโตวันโตคืน จนใหญ่ยิ่งกว่าช้าง ออกหมัดแต่ละที แหม..มันได้น้ำได้เนื้อ เหลือกำลังลาก

แต่แน่นอนว่า ไปงัดอ้อยออกจากปากช้าง ช้างมันก็ต้องสู้สุดฤทธิ์เป็นธรรมดา เชื่อเลยว่า ต่อจากนี้ไปเกมต้องแรงขึ้น ชนิดถึงลูกถึงคนอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะว่าถ้าพูดถึงลูกโหดแล้ว ลุงยุทธแกเป็นรองก็แค่ป๋าคนเดียว ไม่เชื่อไปถามทหารกะเหรี่ยงดูได้

อย่างว่า การยุทธครั้งนี้ ฝ่ายวางแผนคงไม่ได้ต้องการแค่อ้อย แต่หวังผลเลยเถิดไปถึงการเปิดโปงเวทย์ไสยมนต์ดำ ที่พญาช้างสารพยายามเสกสรรค์ปั้นแต่ง เพื่อแหกตาชาวบ้านว่า ช้างโขลงนี้ ดื่มกินคุณธรรมเป็นอาหารหลัก

แต่เอาเข้าจริง ก็ฟาดไม่เลี้ยงเหมือนกัน

พูดถึงเขายายเที่ยงทีไร อดไม่ได้ต้องนึกถึงลุงจิ๋วทุกที หวังว่าคงยังจำกันได้ เพราะเรื่องเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปี ตอนนั้นลุงยุทธแกกำลังขึ้นหม้อในตำแหน่งนายกฯ เพราะป๋าแกออกมาเชียร์แขกให้ ว่าคนนี้ไหว้ได้ ไม่ต้องกลัวเสียมือ

อยู่ๆลุงจิ๋วไม่รู้มาจากไหน มาถึงก็ปล่อยของเรื่องโบกี้รถไฟ บอกให้นักข่าวไปถามนายกฯว่า ของนี้ท่านได้แต่ใดมา

เรื่องหมูๆอย่างนี้ มีหรือลุงยุทธจะไม่โดดงับ รีบรวบรวมเอกสารแล้วนัดนักข่าวมาฟังชี้แจง รวดเร็วฉับไวอย่างไม่น่าเชื่อ เผลอแผล็บเดียว โดดขึ้นโพเดียมออกทีวีอธิบายจ๋อยๆ หน้าโปรเจ็คเตอร์ที่ฉายภาพบ้านหลังใหญ่โต พร้อมโบกี้รถไปตั้งเด่นเป็นสง่า

สื่ออำมาตย์ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ไม่แน่ใจว่า ถึงขนาด"รวมกันเฉพาะเกือก"หรือเปล่า ผลปรากฎว่า..เคลียร์ เรื่องโบกี้รถไฟ ไม่มีใครค้างคาใจแม้แต่น้อย

แต่เจ้ากรรม ดันมาอื้อฮือ..โอ้โฮ ตรงที่ตั้งของโบกี้รถไฟ ที่ท่านถ่ายรูปมาขึ้นจอให้ดูกันจะๆนั่นแหละ ว่าบ้านอะไรมันจะใหญ่โตสวยงามปานนั้น แถมวิวทิวทัศน์ก็สุดยอด อย่างกับอยู่ในอุทยานแห่งชาติยังไงยังงั้น

กว่าจะรู้ตัวว่า ถูกขงเบ้งหลอกให้ออกมาเปิดโปงเรื่องเขายายเที่ยง ก็ลอกคราบตัวเองออกจอทีวีซะล่อนจ้อน ไม่เหลือแม้แต่กกน. ส่งให้บิ๊กจิ๋วนั่งหัวร่องอหายอยู่หน้าจอทีวี จนป่านนี้ยังอำกันไม่เสร็จ

แปลกแต่จริง ที่งานนี้มีแต่พวกทรยศชาติ ดาหน้าออกมาทวงคืนสมบัติชาติ ในขณะที่พวกกู้ชาติ ที่เคยทวงคืนดาวเทียมอยู่เหย็งๆ กลับนั่งอมสากกันเงียบกริบ ก็ขนาดป๋าจอมเชียร์แขก ยังนั่งแก้มตุ่ย ไม่รู้ว่าอมอะไรอยู่ ก็เพราะ 2 มาตรฐานอย่างนี้นี่เอง บ้านเมืองมันถึงได้ทุรยุค

ร่ำๆว่าจะนองเลือดซะให้ได้

วโรทาห์: 14 ม.ค. 53

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

"พายัพ"กร้าวยึดทรัพย์"แม้ว"บ้านเมืองพังแน่ แนะทางออกดูตามความผิด อดีตคตส.ยกหลักกม.ต้องทั้งหมด

"พายัพ" ออกโรงเตือนยึดทรัพย์แม้ว 7.6 หมื่นล้านบ้านเมืองพังแน่ ชี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีของชาติ แนะให้พิจารณายึดตามความผิด ขณะที่อดีตคตส. ยกหลักกฎหมายต้องทั้งหมด

"พายัพ"ลั่นยึดทรัพย์ทักษิณบ้านเมืองพังแน่ กลายเป็นกลียุค


นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าววันที่ 14 มกราคมกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ว่า


"ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่เขาอยากให้เป็น หากมีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ใช่ทางออกที่ดีของชาติ เพราะคนที่บอกว่าเขาทำผิด เขาไม่รู้ว่าเขาทำผิด แต่อยู่ๆ จะไปยึดทรัพย์เขา เรื่องนี้จะส่งผลให้ญาติพี่น้องของเขาเดือดร้อน ความยุติธรรมต้องมองให้เห็นในมุมเดียวกัน คุณยอมรับได้ ผมก็ต้องยอมรับได้ ไม่ใช่ตอบเองตัดสินเอง"


นายพายัพกล่าวว่า ทางออกของเรื่องนี้ต้องแบ่งออกเป็นส่วนๆ ไม่ใช่ไปยึดทรัพย์สิน พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด 7.6 หมื่นล้าน แต่ควรคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและให้ชดใช้เงินในส่วนที่ถือเป็นค่าเสียหายของรัฐในแต่ละคดีที่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณผิด ช่น คดีปล่อยเงินกู้ 5,000 ล้านบาท ให้ประเทศพม่า ถามว่าประเทศไทยเสียหายตรงไหน หรือเป็นเพราะดอกเบี้ยต่ำไป ในส่วนนี้ก็ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกค่าเสียหายไปตามนั้นอย่างนี้ถึงจะเรียกว่า "แฟร์เกม"


"เราจะให้เขาผิด ต้องให้เขาเต็มใจ ไม่ใช่เหมารวมทำเป็นมหากาพย์ว่าเขาผิดไปหมด เป็นอย่างนี้บ้านเมืองพังแน่นอน วันนี้บ้านเมืองเปราะบาง ถ้ายังเป็นไปตามเส้นทางก็จะกลายเป็นกลียุค บ้านเมืองก็จะลำบาก"


ให้แบ่ง3ส่วน-ยึดตามความผิด


ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการคาดการณ์กันว่าผลของคดีจะเป็นชนวนทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่รุนแรง นายพายัพกล่าวว่า ใช่ ถ้าผิดก็ว่าไปตามที่ตนกล่าวมา แต่ถ้าไม่ผิดก็คืนเขาไป ทำอย่างนี้ก็จบ


เมื่อถามว่า หากศาลตัดสินยึดทรัพย์เฉพาะส่วนที่งอกมาก่อนที่จะเข้ามาเล่นการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณยอมรับได้หรือไม่ นายพายัพกล่าวว่า ต้องมองตามสภาพความเป็นจริง แบ่งเป็น 3 ส่วนคือ 1.ทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาก่อนเข้าสู่การเมืองคือ ทรัพย์สินที่ได้มาอย่างบริสุทธิ์ เงินก้อนนี้จะไปยึดไม่ได้ ต้องคืนให้เขา 2.ส่วนของทรัพย์สินที่เพิ่มหลังจากมีตำแหน่งทางการเมือง หากคดีไหนเป็นที่ยุติโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความผิดส่วนนี้ก็ต้องคืนให้ พ.ต.ท.ทักษิณ สำหรับคดีที่อยู่ระหว่างการพิจารณาให้อายัดเงินบางส่วนตามที่ประเมินว่าคดีนั้นจะต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่าไหร่ และ 3.คดีใดที่เห็นว่าผิดก็ยึดจำนวนนั้นไป ไม่มีใครว่า แต่อย่ามาเหมารวมทั้งหมด


เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณกังวลกับคดีนี้มากน้อยเพียงใด นายพายัพกล่าวว่า บางคนเป็นหนี้หลักล้านยังนอนไม่หลับเป็นเดือนเป็นปี แต่นี่จะมายึดเงิน 7 หมื่นกว่าล้านบาทไปหมด เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องวิตกกังวลกันบ้าง เพราะเป็นทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณหามาทั้งชีวิต คนเราเมื่อทุกข์ใจหรือกังวลใจ ก็จะต้องทำใจ ถ้าถึงเวลาสู้ ลูกผู้ชายอย่างพวกตนก็จะต้องสู้ ขอตายในสนามรบมากกว่าที่จะยอม


อดีตคตส.ยกหลักกม.ต้องยึดหมด


นายอุดม เฟื่องฟุ้ง อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กล่าวถึงกรณีที่มีแหล่งข่าวใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า จะพยายามล็อบบี้ฝ่ายต่างๆ ให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณเพียง 40% จาก 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากได้มาก่อนขายหุ้นชินคอร์ปว่า ตามหลักการแล้วคดีร่ำรวยผิดปกติจะต้องยึดทั้งหมด เนื่องจากทรัพย์สินตั้งต้นถือเป็นตัวล่อให้เกิดการเพิ่มพูน เพราะหากยึดเฉพาะเงินที่เพิ่มมาภายหลังก็เหมือนผู้กระทำผิดไม่ได้ถูกลงโทษเลย ไม่ต่างอะไรกับคนขโมยของไปพอถูกจับได้เอาของมาคืนก็จบกัน หากเป็นเช่นนั้นกฎหมายริบทรัพย์สินจากผู้ที่ร่ำรวยผิดปกติก็จะไม่เกิดประโยชน์เลย วิธีคิดกรณีนี้จึงต้องคิดถึงการป้องกันการทุจริต คือผู้กระทำผิดถูกลงโทษด้วย


นายอุดมกล่าวว่า มีตัวอย่างสมัยตนเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อ 30 กว่าปีก่อน เคยมีตำรวจจับแม่ค้าขายลอตเตอรี่เกินราคาจาก 10 บาท เป็น 12 บาท แล้วศาลชั้นต้นตัดสินให้ริบทรัพย์คืนแค่ 2 บาท แต่อัยการอุทธรณ์ไปจนถึงชั้นศาลฎีกา ก็ตัดสินให้ริบทรัพย์คืนทั้ง 12 บาท หรือตัวอย่างไม่นานมานี้ มีข้าราชการคนหนึ่งขายที่ดินให้กับหน่วยงานราชการแพงเกินจริง สมมติว่าขายให้ในราคา 25 ล้านบาท จากราคาจริง 10 ล้านบาท ภายหลังถูกจับได้แล้วศาลตัดสินว่ามีความผิด ก็เกิดข้อถกเถียงว่าต้องริบทรัพย์ 25 ล้านบาท หรือส่วนที่เกินมา 15 ล้านบาท ที่สุดศาลฎีกาก็ตัดสินใจริบทรัพย์ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่าหากริบเฉพาะ 15 ล้านบาท ข้าราชการคนดังกล่าวจะไม่ถูกลงโทษเลย

ที่มา:มติชนออนไลน์

จริยธรรมสองมาตรฐาน สุรยุทธ์ &ทักษิณ


ผมเคยสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งดูเหมือนจะเป็นตอนเกษียณอายุราชการใหม่ๆ อีกครั้งเป็นปี 49 ตอนที่ท่านยังเป็นองคมนตรี

ผมพูดได้เต็มปากว่า พล.อ.สุรยุทธ์เป็นบุคคลที่ผมชื่นชม เป็นสุภาพบุรุษชาติทหารทุกกระเบียด เป็น “คนดี” ที่ซื่อตรงยึดมั่นต่อหน้าที่ เคยถามตัวเองว่าเป็นเพราะความโน้มเอียงหรือเปล่า ในฐานะที่ท่านเป็นลูก “ลุงคำตัน” (ไม่ได้รู้จักลุงหรอกนะ แต่มันโรแมนติกดี ที่ลูก ผบ.กองทัพปลดแอกประชาชน กลายเป็น ผบ.ทบ. ผบ.สส. องคมนตรี และนายกรัฐมนตรี) แต่ความรู้สึกชื่นชมของผมก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร เรื่องเขายายเที่ยง หรือเรื่องบ้านสนามกอล์ฟ (ที่ท่านซื้อได้ในราคาลดพิเศษ)

มีช่วงหนึ่งที่หน้าแหลมฟันดำกับพันธมิตรโจมตีท่าน เพราะทำหน้าที่ได้ไม่สะใจพวก radical กระทั่งอมขี้ฟัน นปก.ไปพ่นต่อ เรื่องเขายายเที่ยง ทั้งที่ก่อนนั้น นปก.เคยขุดคุ้ยมาเปิดโปงกลับไม่มีใครสนใจ แต่พอพวกนี้ไม่พอใจ พล.อ.สุรยุทธ์ กลับหน้าไม่อายเลียน้ำลายฝ่ายตรงข้ามมากลืนกินแล้วตวัดลิ้น

ผมก็ยังเขียนไว้ว่ามันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เพราะประเทศนี้ นักการเมืองระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ข้าราชการระดับสูง ระดับกลาง ระดับล่าง พ่อค้า คนชั้นสูง ชั้นกลาง ที่เข้าไปครอบครองที่ ภบท. สปก. หรือกระทั่งไม่มีเอกสารสิทธิ์อันใดเลย ก็มีอยู่มากมายนับไม่ถ้วน

ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าให้ปล่อยไป เพราะเมื่อไม่ถูกต้อง ท่านก็ต้องคืน เรื่องทางกฎหมายก็ว่าไปตามเนื้อผ้า แต่ข้อสำคัญคือผมบอกว่ามันไม่ได้กระทบความรู้สึกชื่นชม และความเป็น “คนดี” ในสายตาผม เพราะผมไม่ได้มองคนดีว่าต้องมาจากนอกโลก ต้องอิ่มทิพย์ หรือต้องทำตัวสมถะอยู่ในไร่ผักปลอดสารพิษ หากต้องมองจากโลกแห่งความเป็นจริงว่าคุณประพฤติตนดำรงตนอย่างไรในสถานภาพที่เป็นอยู่ คนเป็นแม่ทัพ เป็น ผบ.ทบ. เป็น ผบ.สส. มีอำนาจบารมี มีลูกน้องมากมาย ต้องคบค้าสมาคมผู้คนหลากหลาย ให้คุณให้โทษ ไม่ให้คนนี้ก็ต้องให้คนนั้น ฯลฯ มันไม่เหมือนกับการเป็นคนดีโดยล่องลอยไปวันๆ อย่างหมอประเวศนะคร้าบ

พูดง่ายๆ ว่าสถานะอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์น่ะ ถ้าท่านจะ “เอา” จริงๆ ไอ้บ้านเขายายเที่ยงแค่นี้ขี้ปะติ๋ว จะชี้เอากี่ร้อยพันไร่ใส่ชื่อใครก็ได้ หรือที่เปิดบัญชีทรัพย์สิน 90 ล้านก็ยังขี้ปะติ๋ว ถ้าเทียบสมัยบิ๊กเสื้อคับ ทหารซื้ออาวุธที ถ้าจะเอา เอาเท่าไหร่

เพียงแต่ท่านไม่ “เอา” ก็ไม่ได้แปลว่าท่านจะต้องไม่มีอะไรเลย ในสังคมอุปถัมภ์แบบไทยๆ ผู้มีอำนาจบารมี ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยวไล่ corrupt ก็จะได้รับช่องทาง ความเอื้อเฟื้อ เกื้อหนุน ให้มีฐานะ – ยกตัวอย่างบ้านของท่านที่ซื้อได้ในราคาพิเศษลดไปกี่ล้านไม่รู้

ไอ้ความเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนนี่เป็น corrupt อย่างหนึ่งหรือเปล่า พูดยากนะครับ บางครั้งมันก็ไต่อยู่บนเส้นแบ่ง บางครั้งมันก็ข้ามเส้น บางครั้งก็ไม่ข้าม แต่พูดได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ทำกันทั่วไปในสังคมไทย บ้านจัดสรรสนามกอล์ฟขายลดราคาให้องคมนตรี อดีต ผบ. ได้ท่านมาอยู่ด้วย โห! วิน-วิน คิดในเชิงการตลาดคุ้มเกินคุ้ม ในเชิงสังคมอุปถัมภ์ก็เป็นที่นับหน้าถือตา ใครๆ ก็เกรงใจ เป็นช่องทางทำอะไรได้อีกหลายอย่าง

แต่ถึงอย่างไร ผมก็เชื่อว่า คนอย่าง พล.อ.สุรยุทธ์ท่านไม่ใช่คนที่ต้องการทรัพย์ศฤงคาร วันนี้ท่านอยู่ในสถานะอย่างนี้ ท่านก็จำเป็นต้องมีตามฐานานุรูป แต่วันใดที่ท่านเลือกได้ ความสุขของท่านก็คือการได้บวชแล้วธุดงค์ไปตามป่าอย่างมีอิสระ

นี่เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ผมยังชื่นชมท่านเป็นส่วนตัว แม้ท่านจะถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร คือผมไม่คิดว่าท่านทำโดยส่วนตัว แต่ท่านถือว่าท่าน “ทำหน้าที่” เวลาที่วาสนา นาน่วม หรือใครไปสัมภาษณ์ท่าน ท่านจะพูดเสมอว่าทักษิณโทรมาก็ยินดีคุย เพราะท่านไม่ได้โกรธเกลียดชิงชังทักษิณเป็นส่วนตัว แต่ท่านถือว่าท่านทำหน้าที่ของชายชาติทหาร

คือ พูดอีกอย่างว่า พล.อ.สุรยุทธ์ในทัศนะผมเป็นสุภาพบุรุษรบพิเศษ ท่านไม่ใช้อคติส่วนตัวกับใคร ผมนึกวาดภาพว่าสมัยเป็นทหาร ท่านอาจจะสนทนากับคุณอย่างสุภาพชน แต่สมมติได้รับคำสั่งให้ “เก็บ” คุณ ท่านก็จะชักมีดออกมาบอกว่า “ขอโทษนะครับ” แล้วปาดคอหอยคุณได้โดยไม่กระพริบตาเลยสักนิด (ฮา)

ในอีกมุมหนึ่งผมจึงรู้สึกสงสารท่าน ที่ต้องมาแบกรับภาระ เป็นนายกฯท่ามกลางเขาควาย ถูกด่ารอบทิศ เผชิญแรงกดดันจนถึงวันนี้ จนตบะ อหิงสา ความอดทนอดกลั้น ปั่นป่วน กระทั่งไประเบิดเอากับน้องวาสนาของผมซะน่วม (ฮาไม่ออก)

ย้อนมาเรื่องที่เขายายเที่ยง ผมก็ยังมองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร บ้านนี้เมืองนี้ ใครๆ ก็ครอบครองที่ ภบท. กันทั้งๆ ที่ไม่ควรมีสิทธิครอบครองทั้งนั้น ผมเองยังเคยมีคนชวนไปซื้อ เพียงแต่ไม่มีกะตังค์ ถ้าเอาใจเราไปใส่ใจท่าน ที่ตอนนั้นเป็นนายทหาร ท่านก็คงจะคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องเสียหายร้ายแรงอะไร เพราะไม่ใช่ตัวท่านไปรุกป่า มันหมดสภาพป่าไปนานแล้ว และไม่ใช่ท่านเจตนาจะไปกว้านซื้อ แต่(ได้ยินว่า)มีคนเอามาใช้หนี้ ท่านเป็นคนรักป่า อยากอยู่กับป่า ก็ไปสร้างเป็นสถานที่พักผ่อน มีที่นั่งวิปัสสนาอีกต่างหาก

โอ้ หนอ น่าเป็นสุขสมถะอยู่อย่างปลอดสารพิษ แต่เหตุไฉนไยต้องมีคดีที่ดินรัชดาขึ้นมาด้วย

มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ตอนนี้ใครๆ ก็พูดว่า ทักษิณเซ็นยินยอมให้เมียประมูลซื้อที่ดิน ไม่ได้ทุจริตแต่มีความผิดติดคุก 2 ปี สุรยุทธ์ให้เมียครอบครองที่ป่าโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่อัยการสั่งไม่ฟ้อง

ผมก็ไม่ทราบว่าเหตุใดอัยการจึงมาสั่งไม่ฟ้องเอา 3 วันก่อนม็อบเสื้อแดงบุกเขายายเที่ยง แต่ผลที่เกิดขึ้นคือ ในทางการเมือง พล.อ.สุรยุทธ์มีแต่ตายกับตาย เพราะนี่ไม่ใช่แค่เรื่องกฎหมาย ต่อให้ท่านประกาศคืนที่ดิน (ได้ยินว่าจะแถลงข่าววันนี้) ก็อาจจะสายเสียแล้ว

ทักษิณมีความผิดอะไร ถ้าฟังคุณสมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ปปช. เธอบอกว่าทักษิณไม่มีเจตนาทุจริต แต่ทำผิดจริยธรรม กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย เช่นเธออ้างคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองว่า “จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลควรเป็นตัวอย่างที่ดี และควรประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมือง” (บทความเรื่อง ความผิดตามหมวด 9 ตามกฎหมาย ป.ป.ช. “สำคัญไฉน”)

สิ่งที่เธอไม่ได้พูดคือ นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในโลก ในประวัติศาสตร์กฎหมายโลก ที่คนไม่ได้ทุจริตแต่ทำผิดจริยธรรมต้องโทษจำคุก จากการตีความกฎหมาย ปปช.มาตรา 100 ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง (5-4)

คือกรอบของกฎหมายวางไว้หลายระดับ กฎหมายอาญาต้องพิสูจน์ว่ามีการกระทำผิดชัดเจน มีองค์ประกอบของเจตนา ปล้น ฆ่า ทำร้าย ทุจริต ฉ้อฉล จึงมีความผิดติดคุก นี่เป็นกฎหมายที่ใช้โดยเสมอภาคแก่คนทั่วไป ไม่ว่าคุณจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใด

แต่กฎหมายอาญาไม่เพียงพอ สำหรับบุคคลผู้มีตำแหน่งหน้าที่ ข้าราชการจึงต้องมีวินัย นักการเมือง ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง ต้องมีข้อกำหนดเรื่องคุณสมบัติ มีข้อกำหนดเรื่องลักษณะต้องห้าม มีข้อกำหนดทางจริยธรรม โดยกำหนดบทลงโทษแตกต่างกันไป สมมติเช่นปลดออก ขับออก ถอดถอนจากตำแหน่ง ทำกับข้าวตกเก้าอี้ (ฮาไม่ออกอีก) หรือเอาให้บ้าๆ ไปเลยแบบประเทศเกาะอะไรนั่น ที่นายกฯขาดประชุมสภา 3 ครั้งตกเก้าอี้

แต่ถึงจะเฮี้ยนอย่างไรก็ไม่เคยมีที่ทำผิดข้อกำหนดทางจริยธรรม โดยขาดองค์ประกอบความผิดอาญา คือเจตนาทุจริต – แล้วจะติดคุก!

ความผิดทางจริยธรรม ก็เปรียบได้เช่นครูได้เสียกับลูกศิษย์ สมภารนอนกับสีกา ถ้าไม่ได้ข่มขืนล่อลวง ก็ไม่ต้องติดคุก แต่ต้องออกจากตำแหน่งหน้าที่ หรือบางกรณีก็ถูกติฉินนินทา โลกะวัชชะ แต่ถ้าข่มขืนล่อลวง อันนั้นนอกจากติดคุกแล้วยังโทษหนัก

ผมยืนยันมาตลอดว่าการที่ทักษิณให้เมียซื้อที่ดินของกองทุนฟื้นฟูทั้งที่ตัวเองเป็นนายกฯ เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม ผิดหลักจริยธรรมของนักการเมือง แต่เมื่อขาดองค์ประกอบทุจริต ก็ไม่ควรต้องติดคุก ถามว่าผิดหลักจริยธรรมแล้วจะลงโทษอย่างไร ถ้าไม่มีข้อกำหนดทางวินัยเช่น ปลดออก ถอดถอน ก็ลงโทษทางการเมืองสิครับ คือถูกตำหนิวิพากษ์วิจารณ์กระทั่งเสื่อมความนิยม

พูดแบบนี้พวกพันธมิตรอาจหัวร่อก๊ากว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับเมืองไทย แต่คุณไปดูอารยะประเทศ รัฐมนตรีหญิงอังกฤษมีผัวพัวพันเรื่องฉ้อฉล เมียไม่เกี่ยวเลยยังลาออก คุณอาจจะบอกว่าไม่มีหรอกเมืองไทย แต่ถามกลับว่าเขาต้องกำหนดในรัฐธรรมนูญไหมว่า ถ้าคู่สมรสมีเรื่องมัวหมองต้องลาออก ถ้าต้องกำหนดอย่างนั้นมันบ้าไหม ถ้าเอาอย่างรัฐธรรมนูญไทยที่กำหนดว่านามสกุลเดียวกันห้ามลงทั้ง ส.ส. สว. หรือ ส.ส. สว.ห้ามถือหุ้นสัมปทานรัฐแม้แต่หุ้นเดียว รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นก็ต้องกำหนดเช่นกันว่าถ้าเป็นรัฐมนตรีมีเรื่องเสื่อมเสียต้องฮาราคีรีสถานเดียว

นี่ผมกำลังพูดถึงข้อเรียกร้องทางจริยธรรมอีกอย่างหนึ่งคือ “สปิริต” ซึ่งสังคมไทยไม่ค่อยได้ใช้ “สปิริต” ที่แสดงออกเมื่อทำผิดทางจริยธรรม ในระดับที่ไม่มีความผิดทางกฎหมาย ไม่มีความผิดทางวินัย ไม่ถูกถอดถอน แต่กระทบต่อความเชื่อมั่นศรัทธาต่อผู้ดำรงตำแหน่ง จนต้องแสดงสปิริตเอง

สปิริตเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบังคับโดยกฎหมาย เพราะกฎหมายต้องมีกรอบเกณฑ์ที่ชัดเจน ไม่ว่าทางอาญา วินัย หรือข้อห้ามต่างๆ แต่บางเรื่องเป็นเรื่องทางศีลธรรมจริยธรรมที่ไม่สามารถนำมากำหนดเป็นข้อห้ามหยุมหยิมได้เพราะจะส่งผลอีกด้านเป็นการจำกัดสิทธิ จำกัดการทำงาน จึงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของการเรียกร้องทางสังคมและสปิริตของผู้ดำรงตำแหน่งนั้นเอง เช่น ประธานาธิบดีอเมริกา รัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามมีกิ๊ก แต่ผู้สมัครคนไหนมีเรื่องอื้อฉาว ก็สอบตกทุกรายหรือไม่ก็ต้องถอนตัว

ฉะนั้น เมื่อย้อนกลับมาดูว่า ทักษิณทำผิดทางจริยธรรม แล้วต้องโทษจำคุก ทั้งที่ไม่มีเจตนาทุจริต แล้ว พล.อ.สุรยุทธ์ล่ะ ควรจะทำอย่างไร

นี่ไม่ใช่เรื่องของกฎหมาย เพราะในเมื่ออัยการสั่งไม่ฟ้องก็คงไม่สามารถไปเคี่ยวเข็ญได้ ในแง่กฎหมายป่าไม้ที่ดิน ใครจะถกเถียงก็เถียงกันไป

แต่ที่สำคัญกว่าคือในแง่ของจริยธรรม บอกแล้วว่าผมเข้าใจความรู้สึกของท่านดี ใครๆ เขาก็มีที่ ภบท.กัน ท่านก็น่าจะมีได้ ถ้าท่านเป็น ร.อ.สุรยุทธ์ พ.อ.สุรยุทธ์ ใช่เลยครับ ไม่มีปัญหาหรอก เพราะกรมป่าไม้จะแตะไปตรงไหนมันก็มีปัญหาหมด แต่สำคัญคือท่านไม่ใช่ ร.อ. พ.อ. แต่เป็นพลเอก แม่ทัพภาค ผบ.ทบ. ผบ.สส. อดีตนายกรัฐมนตรี และองคมนตรี

องคมนตรีอาวุโสลำดับ 3 รองจากพลเอกเปรม และธานินทร์ กรัยวิเชียร เสียด้วยสิ

คุณสมลักษณ์อธิบายว่า มาตรา 100 กฎหมาย ปปช.ที่ใช้จัดการทักษิณ ใช้บังคับเฉพาะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี เพราะถือว่าเป็นบุคคลที่ต้องเป็นแบบอย่าง ประพฤติตนในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรมของนักการเมือง

ผมแน่ใจว่าไม่มีกฎหมายฉบับใดบังอาจใช้บังคับกับองคมนตรี ให้ประพฤติตนเป็นแบบอย่าง ในสิ่งที่ดีงามตามจริยธรรม

แต่ในสังคมไทยที่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งสูงสุด เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรมความดีงาม ถ้าเราเรียกร้องให้รัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี มีคุณธรรมจริยธรรมถึงเพียงนี้ แล้วองคมนตรีผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระผู้ทรงธรรม ควรจะมีศีลธรรมจรรยาสูงกว่านักการเมืองสักกี่เท่า?

องคมนตรีไม่ต้องมีกฎเหล็กเก้าข้อบ้าบออะไรนั่น แต่กฎที่มองไม่เห็นมียิ่งกว่าร้อยข้อพันข้อ ถ้าเปรียบนักการเมืองถูกบังคับให้ถือศีล 8 องคมนตรีก็ต้องถือศีล 227 ข้อ ใช่ไหมครับ

ฉะนั้น ใครอย่าเอา พล.อ.สุรยุทธ์ไปเปรียบเทียบกับทักษิณ ทักษิณเปรียบกับท่านไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะโดยสถานะของท่านต้องมีจริยธรรมสูงส่งกว่าทักษิณหลายเติบ

จริยธรรมที่เอาคืนไม่ได้แล้ววันนี้ ต่อให้ท่านประกาศคืนที่ดิน ยังเหลือแต่ “สปิริต” ที่ต้องกอบกู้

ขอย้ำว่า ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ว่า พล.อ.สุรยุทธ์จะอยู่ในสถานะใด ผมก็ยังเคารพชื่นชม เพราะในทัศนะผม “คนดี” ก็พลาดได้ เพียงแต่ในสถานะขององคมนตรี ท่านถูกเรียกร้องสูงกว่าความเป็น “คนดี”

ซึ่งก็ไม่ใช่ผมเป็นผู้เรียกร้อง บอกแล้วว่าผมไม่ได้มองเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าท่านคืนที่ดินเสีย ตอนที่พ้นจากนายกฯ เรื่องก็จบ แต่เหตุการณ์ผ่านมาถึงวันนี้ เมื่อมีการลงโทษทักษิณถึงจำคุก ฐาน “ทำผิดจริยธรรม” มันก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะกลายเป็นคำถามถึง “มาตรฐานทางจริยธรรม” ซึ่งถ้าปล่อยให้สังคมรู้สึกว่าเกิด “สองมาตรฐาน” เสียแล้ว ก็อาจมีผลเสียหายร้ายแรงกว่าสองมาตรฐานทางกฎหมายอีก

ที่มา:ประชาไท

"มาร์ค"ดอดพบ"ป๋า"หารือสถานการณ์บ้านเมือง แดงรุกหนัก ปธ.องคมนตรีให้กำลังใจ อย่ายุบสภา


ที่มา:มติชนออนไลน์
"มาร์ค"รุดพบพล.อ.เปรม หารือสถานการณ์ประเทศ หลังเสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างหนัก เนื่องจาก"ทักษิณ"ต้องการเงิน 7.6 หมื่นล้านกลับคืน สะพัดประธานองคมนตรีให้กำลังใจ อย่ายุบสภา บริหารประเทศต่อไป

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าววันที่ 13 มกราคมว่า คดียึดทรัพย์เป็นเรื่องของศาล รัฐบาลไม่ได้ไปก้าวก่าย ส่วนการชุมนุมคาดว่าการเคลื่อนไหวจะรุนแรง ซึ่งถ้ารุนแรงขึ้นก็เป็นความชัดเจนว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับคดี ส่วนจะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ หรือไม่ก็ต้องอยู่ที่การข่าวเพราะว่าที่ผ่านมาก็ไม่ได้ประกาศ เช่น กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเขายายเที่ยง หน้าที่เราจะต้องพยายามจะขจัดเงื่อนไขที่มีเหตุมีผลอยู่บนหลัก ไม่ใช่เป็นเรื่องไปตามใจใคร


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อช่วงเย็นวันเดียวกันภายหลังที่นายอภิสิทธิ์ ออกจากาอาคารรัฐสภา เวลา 17.00 น. ได้เปลี่ยนรถประจำตำแหน่งและเดินทางเข้าไปพบพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ โดยไม่ทราบเหตุผลในการเข้าพบ จากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เดินทางกลับเข้ามายังทำเนียบรัฐบาลในเวลา 18.30 น. และเดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลไปในเวลา 19.00 น.


รายงานข่าวแจ้งว่านายอภิสิทธิ์ใช้เวลาหารือพล.อ.เปรม ประมาณ 30 นาที ถึงปัญหาสถานการณ์บ้านเมือง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามรุกหนักในช่วงนี้ เพราะต้องการที่เงิน จำนวน 7.6 หมื่นล้านบานคืนจึงพยายามต้องการเดินเกมเพื่อล้มรัฐบาลชุดนี้ เบื้องต้นมีการประเมินสถานการณ์ว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคชาติไทยพัฒนาของนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย และ กลุ่มพรรคภูมิใจไทยของนายเนวิน ชิดชอบ ที่พยายามกดดันรัฐบาลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งหากมีการกดดันมาก รัฐบาลอาจจะมีการประกาศยุบสภา ซึ่งจากการเข้าพบครั้งนี้ พล.อ.เปรม ได้ให้กำลังใจนายกฯ ไม่อยากให้นายอภิสิทธิ์ ยุบสภา และอยากให้นายอภิสิทธิ์บริหารชาติต่อไป ทั้งนี้พล.อ.เปรม พร้อมจะพูดคุยถึงปัญหาดังกล่าวกับนายบรรหาร เพื่อแก้ปัญหา