--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

กต.ส่งรองอธิบดีกงสุลดูแล “ศิวรักษ์” กลับไทย


กต.ส่งอธิบดีกรมการกงสุลไปกัมพูชา ดูแลศิวรักษ์หากต้องการความช่วยเหลือขณะรอกลับไทย เชื่อหากมีการแถลงข่าวจะไม่กระทบต่อ กต.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งรองอธิบดีกรมการกงสุลเดินทางไปประเทศกัมพูชา เพื่อประสานและรออำนวยความสะดวกให้นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ หากมีการร้องขอมาจากมารดาของนายศิวรักษ์ ซึ่งขณะนี้รองอธิบดีกรมการกงสุลก็อยู่ที่ประเทศกัมพูชา กำลังรอดูว่าจะมีการขอร้องให้กระทรวงช่วยเหลืออะไรบ้าง

ส่วนกรณีการเตรียมแถลงข่าวหลังเดินทางกลับมาถึงไทยของนายศิวรักษ์นั้น นายชวนนท์กล่าวว่า จะไม่ส่งผลต่อกระทรวง เพราะถ้าพูดเรื่องข้อเท็จจริงทุกอย่างก็ยินดี เพราะตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง กระทรวงก็เข้าไปช่วยเหลือมาตลอด ข้อเท็จจริงต่างๆก็เปิดเผยโดยตลอด ไม่มีอะไรปิดบัง ส่วนกระทรวงต่างประเทศ จะเปิดโอกาสให้นายศิวรักษ์มาชี้แจงที่กระทรวงหรือไม่ นายชวนนท์ กล่าวว่า ต้องแล้วแต่ความต้องการของนายศิวรักษ์ เพราะถือเป็นสิทธิ จะชี้แจงอย่างไรก็ได้ ส่วนที่ฝ่ายค้านจะนำข้อมูลที่เกิดขึ้นมาใช้อภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น ขอให้เป็นข้อเท็จจริงก็ไม่มีปัญหา เพราะสาธารณชนจะได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้น กระทรวงต่างประเทศยินดีที่จะชี้แจง

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

"แม้ว"บินถึงเขมรถาม"ศิวรักษ์"ใครสั่ง "สมชาย-เจ๊แดง"นำทีมพท.ไปกัมพูชาร่วมเป็นสักขีพยานปล่อยตัววิศวกร

ที่มา: มติชนออนไลน์

"แม้ว" บินถึงเขมรพบวิศวกรถามคำเดียวใครเป็นคนสั่ง "สมชาย-เจ๊แดง" นำทีมพท.ไปเขมรร่วมเป็นสักขีพยานในการปล่อยตัว"ศิวรักษ์" พบ"ทักษิณ" บัวแก้วรับสภาพจับอดีตนายกฯยาก พท.สอนอย่าเป็น"ผู้นำเด็กดื้อ" "พร้อมพงศ์"ปัดขัดแย้งแย่งซีน"นพดล"

"แม้ว" บินถึงเขมรพบวิศวกรทันที


สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา จะทำพิธีปล่อยตัว นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุกฐานจารกรรมข้อมูลการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนพฤศจิกายน ในวันที่ 14 ธันวาคม หลังได้รับพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์นโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา และมีกระแสข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้าร่วมพิธีด้วยนั้น นายเขียว กันนะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชายืนยัน ผ่านสำนักข่าวเอเอฟพี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ว่า



"พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาถึงกัมพูชาในวันนี้ (13 ธ.ค.) เพื่อพบกับนายศิวรักษ์ รวมทั้งกล่าวสุนทรพจน์ด้านเศรษฐกิจอีก 1 หรือ 2 ครั้ง ในระหว่างอยู่ที่กัมพูชา"


ต่อมาเวลา 17.07 น. สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางถึงกรุงพมมเปญ ด้วยเครื่องบินส่วนตัวลำเล็ก ลงจอดที่สนามบินนานาชาติกรุงพนมเปญ จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณนั่งรถออกจากสนามบิน ตรงไปยังเรือนจำเพรยซอ เพื่อพบกับนายศิวรักษ์ทันที โดยสถานีวิทยุท้องถิ่นรายงานว่า มีเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยพิเศษ ราว 300 นาย ดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอดทาง รวมถึงบริเวณรอบๆ เรือนจำ


นายเขียว สัมโบ ทนายของนายศิวรักษ์ เปิดเผยว่า พ.ต.ท.ทักษิณพบกับนายศิวรักษ์ช่วงสั้นๆ ถามถึงสุขภาพ และถามว่า ใครเป็นผู้สั่งให้เขาจารกรรมข้อมูล


"สมชาย-เจ๊แดง" นำทีมพท.ไปเขมร


รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย แจ้งว่า สำหรับการเดินทางไปร่วมเป็นสักขีพยานในการปล่อยตัวนายศิวรักษ์ มี คณะพรรคเพื่อไทย 4 คน ประกอบด้วยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พล.ต.ศรชัย มนตริวัต ส.ส.สัดส่วน และนายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม ได้เปลี่ยนแปลงการเดินทางอย่างกะทันหันจากเดิมที่กำหนดไว้ในช่วงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม มาเป็นบ่ายวันที่ 13 ธันวาคมแทน เนื่องจากในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณนัดรับประทานอาหารค่ำร่วมกับคนสนิท แกนนำพรรคเพื่อไทย และสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กว่า 10 คนที่ไปรอพบ อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน นายพงศ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล เลขานุการมูลนิธิ 111 ไทยรักไทย นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย


ข่าวแจ้งว่า ยังมี ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยบางส่วนเดินทางไปกัมพูชาช่วงค่ำวันที่ 13 ธันวาคม เพื่อเข้าพบ พ.ต.ท.ทักษิณ อาทิ นายประชา ประสพดี นางอนุสรา ยังตรง ส.ส.สมุทรปราการ นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี และนายสิทธิชัย กิตติเธนศวร อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ส่วน ส.ส.อีสานอีกกลุ่มหนึ่งที่จะเดินทางไปช่วงเช้าวันที่ 14 ธันวาคม อย่างไรก็ตาม คณะพรรคเพื่อไทยบางส่วนจะไปรับนายศิวรักษ์ที่สนามบินสุวรรรภูมิ คาดว่า จะเดินทางถึงไทยในวันที่ 14 ธันวาคม เวลา 16.00 น.


บัวแก้วรับสภาพจับ"แม้ว"ยาก


ด้านนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เท่าที่ทราบจากรายงานข่าวแถลงโดยโฆษกรัฐบาลกัมพูชา ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมาถึงกัมพูชาแล้ว และเตรียมเดินทางไปพบนายศิวรักษ์ที่เรือนจำ ซึ่งตนได้รายงานให้นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทราบแล้ว และนายกษิตสั่งให้แจ้งนายกรัฐมนตรีให้ทราบด้วย ส่วนการขอตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่มีชัดเจน เพราะอัยการสูงสุด รอการประสานจากกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนายกษิตต้องคุยกับหลายฝ่ายเพื่อขอความชัดเจนจากฝ่ายต่างๆ ว่าควรจะดำเนินการอย่างไร เพราะเคยประสานไปครั้งที่แล้วแต่ได้รับการปฏิเสธ ทั้งนี้ ยอมรับว่าการเดินทางไปกัมพูชาของ พ.ต.ท.ทักษิณทำให้ทางการไทยดำเนินการจับกุมตัวยากลำบากเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชา


พท.สอนอย่าเป็น"ผู้นำเด็กดื้อ"


ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่นายศิวรักษ์จะได้รับการปล่อยตัววันที่ 14 ธันวาคม ว่า เป็นจุดเริ่มต้นและโอกาสที่ดีของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่จะฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลกัมพูชา เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ เพราะการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชามีมูลค่าปีละเกือบ 70,000 ล้านบาท โดยไทยเป็นผู้ได้ขายสินค้าปีละเกือบ 60,000 ล้านบาทต่อปี ดังนั้นไม่ควรใช้ความรู้สึกหรืออคติส่วนตัวในการบริหารประเทศ และอย่าทำตัวเป็นผู้นำเด็กดื้อในสายตาประชาชนและนานาชาติ


"ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ใช้โอกาสนี้เปลี่ยนนโยบายด้านการต่างประเทศพร้อมเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสียใหม่ เชื่อว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ ส่วนที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ออกมากล่าวหาว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยชงเองกินเองนั้น ผมขอบอกว่า มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ" นายพร้อมพงศ์กล่าว


ปัดขัดแย้งแย่งซีน"นพดล"


นายพร้อมพงศ์กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ โทรศัพท์มาบอกกับตนว่าตื่นเต้นที่ลูกกำลังจะได้รับการปล่อยตัว อยากให้ผู้ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย และตนเดินทางไปร่วมพิธีปล่อยตัวนายศิวรักษ์ ที่กัมพูชา และบอกว่าอยากให้นำเสื้อสีชมพูซึ่งมีตราสัญลักษณ์วันเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 เพื่อที่จะให้นายศิวรักษ์สวมใส่วันกลับไทย


นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงกรณีขัดแย้งกับนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณและผู้ใหญ่ในพรรคบางส่วน เนื่องจากแย่งผลงานกรณีช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ว่าไม่เป็นความจริง เช้าวันที่ 13 ธันวาคม นายนพดลยังโทรศัพท์มาประสานงานกับตน ดังนั้นแหล่งข่าวที่ให้ข่าวพูดโดยไม่รู้ข้อเท็จจริง และยืนยันว่าจะไม่ปรับตนออกจากตำแหน่งโฆษกพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด พรรคเพื่อไทยเป็นฝ่ายค้านดังนั้นต้องรักและสามัคคีกัน


สวนกุนซือ"นโรดม"อย่ามองแคบ


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีที่นายฮูลิโอ เอ. เฮลเดรส นักวิชาการประจำสถาบันเอเชีย มหาวิทยาลัยโมแนช เมลเบิร์น ออสเตรเลีย และอดีตผู้ช่วยพิเศษและเลขานุการส่วนพระองค์ของกษัตริย์นโรดม สีหนุ ของกัมพูชา เขียนบทความสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา โดยระบุตอนหนึ่งว่าสาเหตุความขัดแย้งหนึ่งมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณและสมเด็จฯฮุน เซนไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องของประเทศ ว่า เป็นงานทางวิชาการที่สามารถเขียนอะไรก็ได้ มีหลายประเด็นที่เป็นข้อเท็จจริง ขณะเดียวกันหลายประเด็นเป็นเพียงข้อคิดเห็นโดยเฉพาะประเด็นปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งสมเด็จฯฮุน เซนต้องรักษาผลประโยชน์ของชาติตัวเองเอาไว้ ขณะเดียวกันไทยได้รับประโยชน์จากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับตำแหน่งที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้วย ดังนั้น ให้มองโลกในแง่ดีบ้าง อย่ามองอะไรแคบๆ หรือมองเป็นเรื่องการเมืองไปหมด


นายนพดลยังกล่าวถึงกรณีที่มีรายงานข่าวระบุว่า เกิดความขัดแย้งกับนายพร้อมพงศ์ ว่าไม่ได้มีอะไรขัดแย้งตามที่ปรากฏเป็นข่าว เพราะนายพร้อมพงศ์ ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการประสานกับนางสิมารักษ์ และที่ผ่านมานายพร้อมพงศ์ทำหน้าที่ด้วยความแข็งขันมาโดยตลอดจนทำให้นายศิวรักษ์ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

สื่อนอกวิเคราะห์"รบ.อภิสิทธิ์"ล้มเหลวนักวิจัยชี้"มาร์ค"วาทศิลป์เชิดชูได้เล่นบทเดียวกลัวเกลียด"แม้ว"

มติชนออนไลน์

สื่อนอกวิเคราะห์รัฐบาล"อภิสิทธิ์"ไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวทีระดับภูมิภาคแบ่งแยกร้าวลึก อ้างคำสัมภาษณ์อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ นักวิจัยชาวเยอรมันชี้"มาร์ค"มีหน้าตาที่สามารถเชิดชูได้บนเวทีระดับนานาชาติ" นักวิจัยสิงคโปร์ระบุเล่นบทเดียวคือกลัว-เกลียด "ทักษิณ"

เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม สำนักข่าวเอเอฟพีนำเสนอบทวิเคราะห์รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า ระยะเวลา 1 ปีที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ยังไม่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและบนเวทีระดับภูมิภาค รวมทั้งยังล้มเหลวในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศไทยที่เกิดการแบ่งแยกอย่างลึกซึ้งรุนแรงในขณะนี้ โดยเอเอฟพีอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่า "ประเทศไทยแตกแยกมากขึ้นอีก มีการแบ่งขั้วกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น ในคำปราศรัยหลังจากรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขากล่าวว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีของทุกคน แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ได้เข้าถึงกลุ่มที่อยู่อีกขั้วหนึ่ง"


ดร.ฐิตินันท์ยังชี้ว่า นับตั้งแต่นายอภิสิทธิ์เข้ารับตำแหน่ง มักจะประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร เมื่อต้องเผชิญกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อเหลืองไม่เคยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงฯเลย


ดร.ฐิตินันท์ยังระบุว่า เมื่อสมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของกัมพูชา ได้สร้างความโกรธเคืองให้กับรัฐบาลไทยเป็นอย่างมาก และนายอภิสิทธิ์แสดงให้เห็นถึงวิธีการปฏิบัติในการต่อต้านกัมพูชาแบบอ่อนด้อย ทำให้เห็นชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์เป็นคนที่สูญเสียความยอดเยี่ยมของตนเองไปในเรื่องการต่างประเทศ


ด้านพอล เชมเบอร์ส นักวิจัยอาวุโสด้านการเมืองไทย แห่งมหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์ก ในประเทศเยอรมนีเห็นว่า นายอภิสิทธิ์ซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดในอังกฤษและมีวาทศิลป์ดีนั้น "เป็นหน้าตาที่สามารถเชิดชูได้บนเวทีระดับนานาชาติ"


ขณะที่ไมเคิล มอนเตซาโน นักวิจัยแห่งสถาบันศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสิงคโปร์ กล่าวว่า "นายอภิสิทธิ์เล่นบทที่เขาได้รับมา คือเป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ที่คำจำกัดความทางการเมืองของพวกเขาคือ เกลียดและกลัว พ.ต.ท.ทักษิณ และเขาก็ไม่เคยแสดงบทบาทอื่นนอกเหนือจากนั้นเลย"

ย้ำอีกที ทำไมต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2550


ที่มา ประชาไท

เปลวเทียน ส่องทาง

1.การเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิก รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญในการต่อต้านการรัฐประหาร ต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตยอย่างสันติวิธี เพื่อให้การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นรัฐประหารครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และให้ระบอบอำมาตยาธิปไตยยุติการครอบงำสังคมไทย

2. กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 มาจาการรัฐประหารที่นิยมอำนาจแบบเผด็จการ จึงไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 แต่ให้อำนาจกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นข้าราชการ เป็นพวกพ้องของคณะรัฐประหาร (เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตยาธิปไตย) และได้ยึดครององค์กรอิสระทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว

3. รัฐธรรมนูญ 2550 กำหนดให้ องค์กรอิสระนั้น มาจากการเลือกหรือสรรหาของคนเพียง 7 คน คือศาล 5 คน และตัวแทนพรรคการเมืองเป็นส่วนประกอบอีก 2 คน ซึ่งที่ผ่านมาการเลือกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ส่วนใหญ่แล้วผู้ได้รับการเลือกสรรล้วนเป็นอดีตข้าราชการและผู้ที่ไม่เคยมีบทบาทด้านสิทธิมนุษยชนเลย นอกจากนี้แล้วยังกำหนดให้มีองค์กรอิสระองค์กรเดียวรวมอำนาจการจัดสรรคลื่นความถี่และการกำกับการประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์และโทรคมนาคมไว้ด้วยกัน

4. รัฐธรรมนูญ 2550 มาตราที่ 30 กำหนดขึ้นเพื่อรองรับพรบ.ความมั่นคงภายในประเทศที่จะให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกับผู้บังคับบัญชาการทหารบก

5. รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้เพิ่มอำนาจสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง แม้ว่าประชาชนสามารถ 10,000 ชื่อเสนอกฎหมายได้ และถอดถอนนักการเมือง 30,000 ชื่อได้ก็ตาม แต่ถูกล็อกและหมกเม็ด เพราะอำนาจในกระบวนการกฎหมายขึ้นอยู่กับวุฒิสภาซึ่งมาจากการแต่งตั้งและเลือกตั้ง คือประชาชน 12 ล้านเลือกได้ 76 คน แต่อีก 74 คน มาจากการสรรหาโดยคนเพียง 7 คน ซึ่งมีศาลครอบงำอยู่ด้วย ส่วนใหญ่สมาชิกวุฒิสภาที่จะได้รับการแต่งตั้งก็จะเป็นข้าราชการ คิดแบบราชการ เฉกเช่นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ถูกแต่งตั้งโดยอำนาจคณะรัฐประหาร

และที่ผ่านมาการเสนอกฎหมายของภาคประชาชน เช่น พระราชบัญญัติป่าชุมชน ก็ถูกขัดขวางบิดเบือนจากกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ พระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันคุ้มครองสุขภาพความปลอดภัย และสิ่งแวด- ล้อมในสถานประกอบการก็ถูกขัดขวางจากกรมแรงงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ

6. รัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ยอมรับสิทธิการกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็นสิทธิในการพัฒนาที่จะทำให้ประชาชนสามารถกำหนดวิถีชีวิตของตนเองได้ ไม่ยอมรับการปฏิรูประบบสวัสดิการทางสังคม เช่น การจัดสวัสดิการด้านสาธารณสุขแก่ทุกคน การจัดสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุทุกคน ไม่ยอมรับการปฏิรูประบบภาษีให้เป็นมาตรการในการกระจายรายได้เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคมอย่างการเก็บภาษีทรัพย์สิน ภาษีมรดก หรือภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า ไม่ยอมรับการคุ้มครองสิทธิเกษตรกรรายย่อย เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงทางอาหารของประเทศชาติ ไม่ยอมรับสิทธิในที่อยู่อาศัยและความมั่นคงในที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกคน และไม่ยอมรับสิทธิและความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องสำคัญสำหรับสังคมไทยในการสร้างความเสมอภาคความยุติธรรมให้เกิดขึ้น

7. ถึงเวลาที่ต้องนำรัฐธรรมนูญ 40 มาใช้และปรับแก้ไขให้ก้าวหน้าขึ้น โดยใช้กระบวนการเดียวกับการร่างรัฐธรรมนูญ 40 มีหลักการสำคัญคือ สร้างประชาธิปไตยให้สมบูรณ์ ลดทอนอำนาจระบอบอำมาต- ยาธิปไตย เช่น รัฐธรรมนูญต้องบัญญัติไว้ว่า ห้ามให้ใครผู้ใดคณะบุคคลใดกระทำการรัฐประหาร ถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตย ฯลฯ

เพิ่มพื้นที่ประชาธิปไตย เช่น ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีทางตรง การเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด การกำหนดให้วุฒิสภามาจากการเลือกตั้งและไม่ต้องกำหนดวุฒิการศึกษา การให้ผู้ใช้แรงงานเลือกตั้งในสถานที่ประกอบการ ฯลฯ

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เสธ.แดงขู่ถูกพักราชการไม่รับรองเกิดอะไรขึ้น ลั่นไม่กระเทือนทหารนักรบ ปลัดกห.คาดสัปดาห์หน้ารู้ผลลงโทษ


ที่มา: มติชนออนไลน์


เสธ.แดงออกโรงโต้กองทัพบก พักราชการมั่ว เป็นเรื่องเก่า คุมทหารพรานยังไม่มีการสอบสวน ถ้าโดนจริงไม่รับรองจะเกิดอะไรขึ้น ไม่กระเทือนทหารนักรบ ปลัดกห.คาดสัปดาห์หน้ารู้ผลโดนหรือไม่

เสธ.แดงสวนกองทัพบกพักราชการเรื่องเก่าไม่เกี่ยวคุมทหารพราน


พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน ตอบโต้กองทัพบกต้นสังกัด กรณีเสนอเรื่องไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ กระทรวงกลาโหม ให้พักราชการ เนื่องจากผลการสอบสวนของกรรมการชุดที่มี พล.ท.มาโนช เปรมวงศ์ศิริ รองเสนาธิการทหารบกเป็นประธาน ตั้งกรอบความผิดเสธ.แดงไว้ 2 ประการ คือ 1.หนีราชการไปต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ให้สัมภาษณ์ดูหมิ่นผู้บังคับบัญชา ว่า "เรื่องโดนพักราชการมันมั่ว เพราะเรื่องใหม่ตามที่สื่อลง คือเรื่องไปกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งยังไม่ได้สอบสวน และผมยืนยันว่าไม่ใช่ผม แต่เป็นคนหน้าเหมือน ชื่อเสธ.แดง 2 เพราะถ้าผมไปจะต้องมีการประทับตราในพาสปอร์ต ส่วนอีกเรื่อง คือ เรื่องที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้ไปคุมทหารพราน ก็ยังไม่ได้สอบสวน แต่ข่าวที่ออกมา มันเรื่องเก่า เพราะเรื่องใหม่ยังไม่ได้มีการสอบสวน ด้านอาญาทหารยังไม่ได้สอบ สารวัตรทหารยังไม่ได้สอบว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง"


โวยไม่เคยมีมานับแต่ตั้งกห.


ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวว่า เรื่องที่ส่งไปยังกระทรวงกลาโหมเป็นเรื่องเก่าเมื่อปี 2551 ที่ให้สัมภาษณ์พาดพิง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ว่าหน่อมแน้ม ดังนั้น จึงเป็นเรื่องเก่ามาขัดใหม่ การปกครองแบบนี้มันผิดเพี้ยน เป็นลูกนักเลงแล้วโฆษกกองทัพบกก็โกหกประชาชนไป จะไปหลอกประชาชนไม่ได้ จะให้ร้ายนายทหารระดับนายพลและเอากองทัพเข้าแลก เรื่องแบบนี้โฆษกกองทัพบกผิดเต็มๆ



"บอกว่า ผมได้เซ็นหนังสือจะไม่ให้สัมภาษณ์ 2 ปีก็ผิด เพราะผมไม่ได้เซ็นเลย และในหนังสือนั้น พล.อ.พิรุณ แผ้วพาลสง เสนาธิการทหารบก บอกว่าจะสอบเฉพาะวินัย ซึ่งกองทัพบกได้ทำผิดสัญญาที่ให้กรมสารวัตรทหารสอบวินัยคู่ไปด้วย และผลก็ยังไปไม่ถึงไหน ซึ่ง พล.อ.พิรุณตกใจเหมือนกันว่า ใครแอบยัดไส้ ฟ้องผมเข้าไปคู่กับอาญาทหารด้วย เรื่องนี้เมื่อนำมาปัดฝุ่น แต่อยู่ดีๆ กองทัพบกพักราชการคู่ไป ไม่เคยมีตั้งแต่ตั้งกระทรวงกลาโหม"


พักราชการไม่กระเทือนนักรบ


พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ร้องเรียน เพราะแค่พักราชการไม่สะเทือนสำหรับนักรบ ถูกไล่ออกก็ยังไม่ตาย คนที่เคยผ่านสนามรบมา แต่กลับโดนพักราชการ เพราะด่านายว่าหน่อมแน้ม ส่วนเรื่องอดีตทหารพรานนั้น โฆษกกองทัพบกโกหกอีก ไปบอกว่าทหารพรานพวกนี้เป็นทหารพรานปลอม ความจริงเขาเป็นอดีตทหารพรานจริงทั้งหมด ไม่ใช่เป็นทหารพรานปลอม หรือเอาพวกเสื้อแดง มาแต่งชุดดำเป็นทหารพราน
ผู้สื่อข่าวถาม เจอกดดันแบบนี้ คิดจะลาออกหรือไม่ พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า


"ผมเป็นทหารนักรบ ไม่ได้กลัวขนาดนั้น ไม่ต้องลาออกไปไหน ผมจะรอดูว่าจะเกิดความยุติธรรมหรือไม่ ขอให้กรมพระธรรมนูญ กลาโหม ตรวจสอบความผิดในเรื่องนี้ใหม่ เพราะมีความสับสนและมั่ว คิดแต่จะเล่นงานผม ก็มาสรุปแบบนี้ โดยเฉพาะจะเสนอให้พักราชการ เพื่อจะสอบสวนอาญาทหารต่อ ถือว่าไม่ถูกต้อง แต่ผมยังไม่เห็นว่าทางกองทัพบกส่งผลสรุปให้พักราชการ ถ้าเห็น ผมบอกแล้วว่าไม่รับรองว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่กองทัพบก ผมไม่เข้าใจว่าเวลาผมออกมาช่วยกองทัพ ดูแลไม่ให้ทหารพรานไปปะทะกับทหารหลัก แทนที่จะเป็นความดี แต่กลับถูกด่า ถูกสอบสวน ทีเวลา ผบ.ทบ.แต่งเครื่องแบบไปออกทีวีกดดันให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลานั้นลาออก ไม่ผิดหรือ ผมถามนายทหารพระธรรมนูญ ก็บอกว่าผิดต้องถูกสอบสวน ในคณะกรรมาธิการทหารที่เชิญมา ก็บอกว่าผิดทั้งนั้น แต่ไม่มีใครทำอะไร"


ปลัดกห.เผยสัปดาห์หน้ารู้ผล


พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ขณะนี้หนังสือเสนอให้ลงโทษ พล.ต.ขัตติยะ อยู่ที่กรมพระธรรมนูญ กระทรวงกลาโหม เพื่อพิจารณาและตรวจสอบ เพื่อนำเสนอมาตามขั้นตอน สู่ พล.อ.ประวิตร เพื่อพิจารณาตัดสินใจ ส่วนจะทำตามที่กองทัพบกเสนอมาหรือไม่ คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน ประมาณสัปดาห์หน้าอาจจะรู้ผล


พท.ดักคอรบ.-กห.อย่า2มาตรฐาน


น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมกันแถลงที่ พท. ระบุว่ามีประชาชนจำนวนมากร้องเรียนมายังพรรคว่า พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกน่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมกรณีอาจมีคำสั่งพักราชการ และอาจถูกรัฐบาลปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน เหมือนกับกรณีการสอบสวนกระทำผิดอื่นๆ ที่เกิดขึ้น เพราะตั้งแต่มีการมอบตำแหน่งพี่ใหญ่ของกองทัพเข้าไปดูแลกระทรวงกลาโหม ก็มีคำสั่งห้ามกำลังพลออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผู้นำเหล่าทัพไม่เคยทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับกำลังพล เริ่มตั้งแต่การใช้กองทัพเข้าก่อการปฏิวัติ จากนั้นมีกำลังพลของกองทัพใส่แครื่องแบบแสดงตนชัดเจนเข้าร่วมกับฝ่ายที่กระทำการละเมิดกฎหมาย


นอกจากนี้กองทัพยังวางเฉยกับฝ่ายที่จงใจบุกรุกสถานที่ราชการทั้งๆ ที่เป็นผู้รับผิดชอบ ถือได้ว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้ร่วมกันแสดงออกถึงการเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลเสียงข้างมากที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาโดยตลอด ฉะนั้น ขอให้รัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้นำเหล่าทัพพิจารณาเรื่องดังกล่าวด้วยอย่าปฏิบัติด้วยวิธีสองมาตรฐานโดยเด็ดขาด


พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แกนนำเตรียมทหารรุ่น 10 และสมาชิก พท. กล่าวว่า เรื่องการพักราชการนั้น ระเบียบของกองทัพมีอยู่ แต่ที่ผ่านมามีนายทหารหลายคนเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศโดยไม่ได้ขออนุญาตบ่อยครั้ง ดังนั้น หากดำเนินการกับ พล.ต.ขัตติยะเพียงคนเดียวก็อาจเป็นการเลือกปฏิบัติ และอาจเป็นกรณีแรกที่มีการลงโทษในกองทัพ

แฟนคลับ"พรรคดัง- พรรคดับ" ปชป 2.8 ล้าน เพื่อไทย แค่ 11,800 เสธ.แดง 4,423

ที่มา :ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิดแฟนคลับพรรคการเมือง 53 พรรค แอคทีฟ ไม่ถึง 10 พรรค ที่เหลือสมาชิก นับหัวได้ ประชาธิปัตย์ ปึกสุด 2.8 ล้านคนทั่วประเทศ เพื่อไทย เหลือเชื่อ มีแค่ 11,800 คน พรรคขัตติยะธรรม ของเสธ.แดง สมาชิก 4,423 คน พรรคต้นตระกูลไทย ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ลูกผีลูกคน

เชื่อหรือไม่ว่า พรรคการเมือง ในประเทศไทย ไม่ใช่มีแค่ ประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ภูมิใจไทย รวมใจไทยชาติพัฒนา เท่านั้น จริงๆ แล้ว ในบัญชีของ กกต. มีพรรคการเมืองทั้งสิ้น 53 พรรค แต่พรรคส่วนใหญ่เป็นพรรคอายุสั้น เพราะสมาชิกพรรค หรือ แฟนคลับ ไม่ถึง 5,000 คน

ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 26 กำหนดว่า ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่นายทะเบียนนับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองใด พรรคการเมืองนั้นต้องดำเนินการรับสมัครสมาชิกให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 5,000 คน


อย่างน้อยต้องประกอบด้วยสมาชิกที่มีที่อยู่ในแต่ละภาคตามบัญชีรายชื่อภาค และจังหวัดที่นายทะเบียนประกาศกำหนดและมีสาขาพรรคการเมืองอย่าน้อยภาคละ 1 สาขา

ตามบทบัญญัตินี้ ปรากฏว่าทำให้พรรคการเมืองเล็กๆ หืดขึ้นคอ

เพราะ ต้องหาสมาชิกให้ครบ 5 ,000 รายชื่อได้ตามระยะเวลา 1 ปีตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกำหนด
ตัวอย่าง เช่น พรรคอธิปไตย ที่จดทะเบียนตั้งพรรคเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 ข้อมูลล่าสุด 23 พฤศจิกายน 2552 พรรคอธิปไตยมีคณะกรรมการบริหารพรรค 14 คน และมีสมาชิกพรรคเพียง 97 คนเท่านั้น

จากการตรวจสอบ พรรคการเมืองทั้งหมดขณะนี้ 53 พรรค (ข้อมูลล่าสุด 23 พฤศจิกายน 2552) พรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกพรรค 2,865,706 คน ,พรรคประชากรไทย 70,097 คน,พรรคกิจสังคม 27,205 คน,พรรคมหาชน 1,187,681 คน


พรรคไทยเป็นไทย 326,331 คน ,พรรคกสิกรไทย 8,714 คน ,พรรคกฤษไทยมั่นคง 7,177 คน ,พรรคชีวิตที่ดีกว่า 8,311 คน ,พรรคสยาม 6,542 คน ,พรรคเพื่อฟ้าดิน 16,295 คน ,พรรคทางเลือกใหม่ 9,548 คน ,พรรคความหวังใหม่ 12,815 คน


พรรคเพื่อนเกษตรไทย 9,154 คน ,พรรคพลังเกษตรกร 4,905 คน ,พรรคประชาราช 13,354 คน ,พรรคดำรงไทย 5,248 คน ,พรรคเครือข่ายชาวนาแห่งประเทศไทย 9,132 คน ,พรรคอาสามาตุภูมิ (เปลี่ยนชื่อจากพรรคพลังแผ่นดินไท) 6,619 คน ,พรรคชาติสามัคคี 5,313 คน


ในขณะที่ พรรคเพื่อไทย แจ้งว่ามีสมาชิกพรรคเพียง 11,800 คน ,พรรคเพื่อแผ่นดิน 7,621 คน ,พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 6,487 คน ,พรรคแทนคุณแผ่นดิน 5,740 คน ,พรรคชาติไทยพัฒนา 13,113 คน ,พรรคอนาคตไทย 5,990 คน ,พรรคเทียนแห่งธรรม 222 คน ,พรรคอนุรักษ์นิยม 246 คน ,พรรคธรรมาภิบาลสังคม 5,101 คน


พรรคสุวรรณภูมิ 2,505 คน ,พรรคพลังไทย 18 คน ,พรรคมาตุภูมิ 3,659 คน ,พรรคภูมิใจไทย 16,478 คน ,พรรคเพื่อประชาชน 19 คน ,พรรคพอเพียง 12,641 คน ,พรรคต้นตระกูลไทย 132 คน ,พรรคเงินเดือนประชาชน 19 คน ,พรรคธรรมาธิปัตย์ 303 คน เป็นต้น


หรือแม้แต่พรรคขัตติยะธรรม ของเสธ.แดง ก็ยังมีสมาชิก 4,423 คน

ส่วนพรรคที่ทางนายทะเบียนพรรคการเมืองน่าจะพิจารณาให้ยุบเนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับการจัดตั้งพรรคการเมือง หลังจากที่ พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ 2550 ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา 7 ตุลาคม 2550 ได้แก่ พรรคเทียนแห่งธรรม ,พรรคอนุรักษ์นิยม ,พรรคสุวรรณภูมิ (ของ ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์) ,พรรคพลังไทย ,พรรคมาตุภูมิ (ของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) และพรรคเพื่อประชาชน


หากดูว่าพรรคที่มีโอกาสสุ่มเสี่ยงจะไม่สามารถหาสมาชิกได้ครบ 5,000 คน ภายใน 1 ปี ตั้งแต่จดทะเบียนตั้งพรรค เร็วๆนี้ ได้แก่ พรรคต้นตระกูลไทย ของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ (24 ธันวาคม 2551) ,พรรคเงินเดือนประชาชน (16 มกราคม 2552) ,พรรคธรรมาธิปัตย์ (26 มกราคม 2552) ,พรรคขัตติยะธรรม (19 กุมภาพันธ์ 2552) ,พรรคประชาภิวัฒน์ (23 กุมภาพันธ์ 2552) สมาชิกขณะนี้ 18 คน และพรรคแนวร่วมมาตุภูมิ จดทะเบียนตั้งพรรค 26 กุมภาพันธ์ 2552 มีสมาชิกเพียง 29 คน


ภายในปีนี้มีพรรคการเมืองเกิดใหม่ 16 พรรค ในจำนวนรวมทั้งสิ้น 53 พรรค
แต่ ชั่วโมงนี้ 26 พรรคอยู่ในช่วงลูกผีลูกคน

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ปฏิบัติการล้มแบงก์บีบีซี อดีตและปัจจุบันของเนวิน-สุเทพ


ที่มา:ไทยฟรีนิวส์
การสั่งปิดธนาคาร กรุงเทพฯ พาณิชย์การ หรือแบงก์บีบีซี เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2539 คือโดมิโนตัวแรกที่ล้มลง ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดวิกฤตการณ์การเงินครั้งร้ายแรงที่สุดของไทยในอีก 14 เดือนต่อมา และลุกลามขยายไปทั่วเอเชีย


ผู้ที่ผลัก โดมิโนตัวนี้ให้ล้มลง คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนำเรื่อง การฉ้อโกงในแบงก์บีบีซีมาอภิปรายอย่างละเอียด เผยให้เห็นถึงกลโกงที่สลับซับซ้อนในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2539

ข้อมูลที่นายสุ เทพแฉออกมากลางสภาฯ และมีการถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ สร้างความตกตะลึงให้กับประชาชนทั่วประเทศ จนมีการแห่ไปถอนเงินจากธนาคาร เพราะเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดเผยถึงการฉ้อโกงกันอย่างมโฬารในธนาคารระดับ กลาง จนนายบรรหารต้องสั่งให้นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้น สั่งปิดแบงก์บีบีซี และตั้งคณะกรรมการควบคุม เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2539


การ อภิปรายของนายสุเทพ ยังมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ เพราะข้อมูลที่นายสุเทพเปิดเผยออกมา แสดงถึงความไม่โปร่งใสของระบบธนาคารของไทย และความไม่น่าเชื่อถือของธนาคารแห่งประเทศไทยด้วย เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยรู้ว่าแบงก์บีบีซีมีปัญหามาตั้งแต่ปี 2535 และ ส่งคนเข้าไปควบคุมการดำเนินงาน แต่กลับปล่อยให้นายเกริกเกียรติ ชาลีจันทร์ กรรมการผู้จัดการแบงก์ และนายราเกซ สักเสนา ที่ปรึกษา สร้างความเสียหายให้ธนาคารต่อไป


นักลงทุนต่างชาติ จึงไม่แน่ใจว่ายังจะมีธนาคารอื่นๆ ที่มีพฤติกรรมเหมือนแบงก์ บีบีซี อีกหรือไม่ จึงทยอยถอนเงินลงทุนออกไปอย่างต่อเนื่อง เพราะไม่มีความมั่นใจในระบบการเงินและการกำกับดูแลของแบงก์ชาติ การไหลออกของเงินทุนต่างชาติ บวกกับการโจมตีค่าเงินบาทของนักเก็งกำไร นำไปสู่ การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540


นาย สุเทพนำเรื่องแบงก์บีบีซีมาอภิปรายในสภาฯครั้งนั้น เพราะต้องการเล่นงานนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีคนอื่นๆที่สังกัด กลุ่ม 16 เป็นการแก้แค้น เอาคืน ที่ก่อนหน้านั้น 1 ปี ในเดือนพฤษภาคม 2538 นายเนวิน และกลุ่ม 16 เป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน อภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ กรณี สปก 4-01 โดยพุ่งเป้าไปที่นายสุเทพ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร จนทำให้พรรคพลังธรรม ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ต้องประกาศ ยุบสภา เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม


หลัง การเลือกตั้งวันที่ 2 กรกฎาคม 2538 พรรคชาติไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ได้เป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในชีวิต สมาชิกกลุ่ม 16 หลายคน ได้เป็นรัฐมนตรีด้วย เช่น นายสุชาติ ตันเจริญ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายไพโรจน์ สุวรรณฉวี เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์


กลุ่ม 16 เป็นการรวมตัวกันของนักการเมืองรุ่นใหม่ ในปี 2535 ส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคชาติไทย และพรรคชาติพัฒนา เช่น นายเนวิน นายไพโรจน์ นายจำลอง ครุฑขุนทด นายสุชาติ นายธานี ยี่สาร นายวราเทพ รัตนากร นายสรอถถร กลิ่มประทุมฯลฯ โดยก่อตั้งกลุ่มขึ้นเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2535


ข้อมูล ที่นายสุเทพนำมาอภิปรายในสภาฯ ชี้ให้เห็นว่า นักการเมืองกลุ่ม 16 มีพฤติกรรม ผ่องถ่ายเงิน ออกจากแบงก์บีบีซี ร่วมกับนายเกริกเกียรติ และนายราเกซ ด้วยการตั้งบริษัทตุ๊กตา หรือบริษัทกระดาษขึ้นมาเพื่อกู้เงินจาก บีบีซี โดยสร้างหลักทรัพย์เทียม คือ นำที่ดินรกร้าง หรือที่ดินในต่างจังหวัดที่ทีราคาถูกๆ มาวางเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน แล้วตีราคาสูงๆ เช่น ราคาจริงเพียงไร่ละ 30,000 บาท ก็ตีราคาเป็น 300,000 บาทเป็นต้น


นับเป็นเงินหลายหมื่นล้านบาท ที่กลุ่ม 16 ยักยอกเอาออกไปจากแบงก์บีบีซี


การ อภิปรายของนายสุเทพในครั้งนั้น ทำให้รัฐมนตรีกลุ่ม 16 คือนายเนวิน นายสุชาติ และนายไพโรจน์ ต้องลาออกจากตำแหน่งในวันที่ 23 พฤษภาคม 2539



อีก รูปแบบหนึ่งของการปล้นแบงก์บีบีซี คือ การสร้างข่าวเทคโอเวอร์บริษัทใสตลาดหุ้น โดยนายราเกซ เป็นผู้วางแผน และจัดฉากทั้งหมด ตั้งแต่ อุปโลกน์ผุ้ซื้อซึ่งมักจะเป็นเจ้าชายอาหรับ เศรษฐีรัสเซีย หาเงินกู้เพือ่การเทคโอวเอร์ คือ เงินจากแบงก์บีบีซี โดยการอนุมัติของนายเกริกเกียรติ และตั้งบริษัทกระดาษขึ้นมารับซื้อต่อ


นักการ เมืองกลุ่ม 16 หลายคน สวมบทนักลงทุนเข้าไปไล่ซื้อหุ้นเหล่านี้ ซึ่งมีหลายบริษัทเช่น บริษัทน้ำมันพืชไทย, ชลประทานซิเมนต์, มรกตอินดัสตรีส์ และเซมิคอนดัคเตอร์ เป็นต้น โดยใช้เงินของ บีบีซี เมื่อราคาสูงขึ้นก็ขายทิ้งทำกำไร


ความเสียหายทีเกิดขึ้นกับแบงก์บีบีซี ณ วันที่ถูกปิดคิดเป็นมูลค่าถึง 120,000 ล้านบาท


นาย กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ สมัยที่เป็นคณะทำงานด้านเศรษฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์ เคยให้สัมภาาณ์รายการจับชีพจรข่าว ทางวิทยุคลื่น 96.5 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2547 ว่า เคยเดินไปทางไปพบนายราเกซ ที่แคนาดา และนายราเกซได้สารภาพว่า ให้เงินใครบ้าง โดยนายราเกซทำเป็นเอกสารและเซ็นชื่อรับรอง มอบให้นายกอร์ปศักดิ์


นาย เกริกเกียรติ และนายราเกซ กับพวก ถูกดำเนินคดี ฐานยักยอกทรัพย์แบงก์บีบีซี และความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวม 17 คดี ศาลพิพากษาไปแล้ว 9 คดี ยกฟ้อง 2 คดี อีก 7 คดีศาลสั่งจำคุกนายเกริกเกียรติรวมทุกคดี 110 ปี ปรับเป็นเงิน 22,000 ล้านบาท


ส่วนนายราเกซหลบหนีไปอยู่แคนาดา ถ้าศาลฎีกาแคนาดายกคำร้องของนายราเกซที่คัดค้านคำของของอัยากรไทยให้ส่งตัว กลับมาดำเนินคดี นายราเกซ ก็ต้องกลับมาขึ้นศาลที่ประเทศไทย


สำหรับ นักการเมืองกลุ่ม 16 ไม่มีใครต้องรับผิดสักคน หลายๆ คนเป็นแกนนำตัวจริงในรัฐบาลนี้ เช่น นายเนวิน นายสุชาติ และนายไพโรจน์ ส่วนนายสุเทพ ลืมสิ่งที่ตัวเองเคยอภิปรายไว้เมื่อ 13 ปีก่อน หันมาสนใจกับผลประโยชน์ในปัจจุบัน และอนาคต

อย่าหน้ามึน !!????


ที่มา:ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน

ชัดเจนชนิดไม่ต้องมาถกเถียงกันอีกแล้วกับคำให้การของ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย จำเลยคดีความมั่นคงของกัมพูชา

นายศิวรักษ์ ให้การสารภาพกับศาลกัมพูชาว่า ส่งข้อมูลการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน ให้กับนายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุการเอก สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนมเปญ ตามคำร้องขอ

เพียงแต่ไม่คิดว่าเป็นข้อมูลลับผิดกฎหมายอะไร

ซึ่งก็พ้องกับข้อมูลก่อนหน้านี้ว่ามีการเตรียมเครื่องบินเอฟ 16 ไว้รอท่าล่าทักษิณกลางฟ้า

ที่ผ่านมารัฐบาลไทยไม่เคยออกมายอมรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธ เพียงเลี่ยงบาลีว่าข้อมูลการบินไม่ใช่ความลับ

แต่ก็พูดไม่หมดว่าถึงไม่ได้ลับมากมายอะไร แต่ก็ไม่ใช่ข้อมูลที่จะนำมาเปิดเผย

ไม่เช่นนั้นอนาคตหากมีผู้นำประเทศอื่นๆ มาเยือนเมืองไทย เราก็สามารถเปิดเผยตารางบินให้สาธารณชนรับรู้ได้เช่นนั้นหรือ!??

หากวันหนึ่ง นายบารัก โอบามา มีกำหนดบินมาเยือนเมืองไทย แล้วเกิดมีประเทศอาหรับ หรือกลุ่มอัล ไคด้า อยากได้ข้อมูลตารางการบินของผู้นำสหรัฐ รัฐบาลไทยก็พร้อมน้อมส่งให้ใช่หรือไม่ เพราะไม่ถือว่าเป็นความลับ!??

แม้ไทยจะอ้างว่าตารางการบินไม่ใช่ความลับทางราชการ แต่กฎหมายความมั่นคงกัมพูชาจัดเป็นชั้นความลับ เพราะถือว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นบุคคลสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องอารักขาดูแลความปลอดภัย

คำถามจึงมีตามมาว่า นายคำรบ รู้หรือไม่ว่าการขอให้ส่งตารางการบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้นายศิวรักษ์ ละเมิดกฎหมายของกัมพูชา!??

ถ้าตอบว่ารู้ ก็ไม่ต้องมีคำถามอื่นตามมา เพราะเป็นการขอให้คนไทยทำผิดกฎหมายของประเทศเพื่อนบ้านชัดเจน

แต่ถ้าตอบว่าไม่รู้...คำถามต่อมาก็คือไม่รู้จริงๆ หรือ ทำเป็นไม่รู้กันแน่!??

หากไม่รู้จริงๆ ก็แสดงว่าบกพร่องต่อการทำหน้าที่อย่างแรง เพราะการดำรงตำแหน่งถึงเลขาฯทูต ย่อมต้องศึกษาขนบธรรมเนียม และตัวบทกฎหมายของประเทศที่ตนไปประจำอยู่

ยิ่งหากทำเป็นไม่รู้ ถือว่าร้ายแรงเข้าไปใหญ่

และจนทุกวันนี้ นายคำรบก็ยังเก็บตัวเงียบ จนแม่ของนายศิวรักษ์ ต้องเรียกร้องให้ออกมารับผิดชอบ กับคำสั่งที่ทำให้ลูกของเธอต้องตกเป็นนักโทษ

คงไม่ใช่เพียงนายคำรบเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงคนที่อยู่เหนือขึ้นไปที่สั่งการลงมาเป็นทอดๆ ควรจะออกมาแสดงความรับผิดชอบบ้าง

อย่างน้อยขอโทษครอบครัวเขา หรือหาทางชดเชยกับสิ่งที่นายศิวรักษ์ ต้องเผชิญ

ไม่ใช่ทำเป็นหน้ามึน ไม่รู้ไม่เห็นเหมือนที่ผ่านๆ มา

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วันรัฐธรรมนูญ


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

วันที่ 10 ธันวาคมถือเป็น “วันรัฐธรรมนูญ” ซึ่งเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชทานเป็นกฎหมายสูงสุดเพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศ หรือรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนชาวไทย

วันที่ 10 ธันวาคมจึงมีความหมายอย่างยิ่งในแง่ของระบอบประชาธิปไตย แม้ 77 ปีที่ผ่านมาระบอบประชาธิปไตยจะง่อนแง่นและไร้เสถียรภาพไปตามสถานการณ์ทางการเมือง เพราะหากไม่นับการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ถือเป็นการปฏิวัติเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้ว ประเทศไทยมีการรัฐประหารถึง 12 ครั้ง มีการพยายามก่อกบฏ 11 ครั้ง และมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ

แสดงให้เห็นถึงการเมืองการปกครองที่ไร้เสถียรภาพ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ภายใต้รัฐบาลเผด็จการทหาร โดยเฉพาะรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ทั่วโลกต่างประณามประเทศไทยอย่างมาก ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการจับตามองว่าเป็นหนึ่งในประเทศตัวอย่างที่มีอนาคตในการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชีย

ปัญหาการเมืองไทยขณะนี้ส่วนหนึ่งจึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผลพวงจากการรัฐประหารและรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคนของคณะรัฐประหาร เมื่อคนไทยและนานาชาติไม่ยอมรับการรัฐประหาร รัฐธรรมนูญปี 2550 จึงถือว่าไม่ชอบธรรม เพราะไม่ได้มาจากประชาชนและเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง แม้จะมีหลายฝ่ายออกมาสนับสนุนและเห็นดีเห็นชอบก็ตาม

หากทุกคนยอมรับรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ไม่ต่างอะไรกับยอมรับกฎหมายของคณะรัฐประหารต่อไปทั้งที่คณะรัฐประหารพ้นอำนาจไปแล้ว ประเทศไทยก็คงหนีไม่พ้นวงจรอุบาทว์ของการรัฐประหารในอนาคต เพราะกองทัพและผู้กุมอำนาจนอกระบบยังเห็นดีเห็นชอบกับการแก้ปัญหาการเมืองการปกครองด้วยการรัฐประหารต่อไปไม่สิ้นสุด ขณะที่ประชาชนก็จะชินชาและยอมรับไปโดยปริยาย ทั้งที่เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ

ที่สำคัญการยอมรับการรัฐประหารยังแสดงถึงความอ่อนแอของประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ไม่ต่างกับยอมให้โจรปล้นบ้านครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่สิทธิความเป็นมนุษย์

10 ธันวาคมจึงเป็นการตอกย้ำว่าเป็นวันของปวงชนชาวไทย ไม่ใช่วันของเผด็จการ

**********************************************************************

พล.อ.ชวลิต ลงนามขอพระราชทานอภัยโทษให้ ศิวรักษ์ แล้ว


ประธานพรรคเพื่อไทย ลงนามขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ แล้ว โดยคณะของพรรคเพื่อไทยจะเดินทางกัมพูชาในวันจันทร์นี้

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ได้ลงนามในหนังสือขอความอนุเคราะห์ ถึงสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เพื่อขอให้อำนวยความสะดวกในการประสานขอพระราชทานอภัยโทษ ให้กับนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยที่ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปี

ส่วนหนังสืออีก 2 ฉบับ ที่ประกอบไปด้วย หนังสือจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ขณะนี้ ส.ส. ของพรรคได้ลงนามเรียบร้อยแล้ว แต่หนังสือของมารดานายศิวรักษ์ จะนำไปให้นางสิมารักษ์ ณ นครพนม ลงนามที่กัมพูชา โดยคณะจะเดินทางไปกัมพูชาในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้หากมีสัญญาณที่ดี อาจรอรับตัวนายศิวรักษ์กลับประเทศไทย ได้ภายใน 3-4 วัน

โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่าการช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ไม่ได้เป็นการจัดฉาก หรือเกมทางการเมืองเพื่อพรรค ทั้งนี้เพื่อความสบายใจ พล.อ.ชวลิต ยังเสนอให้ตัวแทนกรรมาธิการต่างประเทศ ของสภาฯ เดินทางไปร่วมสังเกตการณ์ในครั้งนี้ด้วย

ส่วนความเคลื่อนไหว ในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ยืนยันในส่วนของพรรคไม่มีปัญหา และยังคงตัวบุคคลไว้ตามเดิม ทั้งนี้ขึ้นอยู่นายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณ ในเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรีแต่อย่างใด.

-สำนักข่าวไทย

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เอา50กลับไป เอาปี40คืนมา!


ที่มา:บางกอกทูเดย์
พรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ น่าที่จะอาศัยวาระวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประกาศเดินหน้าถามความชัดเจนจากประชาชน ด้วยการทำประชามติ ว่าจะเอารัฐธรรมนูญปี 2540 หรือว่า ปี 2550ตอนนี้ไม่มีเงาของ คมช.แล้ว...และประชาชนก็ตื่นตัวในเรื่องของการเมืองอย่างมากแล้ว เพราะบอบช้ำมา 3 ปีเต็ม

แม้ว่าวันนี้คือวันที่ 10 ธันวาคม ถือเป็นวันสำคัญยิ่งของระบบการเมืองการปกครองของไทย เพราะเป็นวันรัฐธรรมนูญของประเทศไทยแต่ไม่รู้ว่าวันรัฐธรรมนูญในปีนี้ จะช่วยให้บรรยากาศการเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยมีเพิ่มมากขึ้นได้มากน้อยเพียงใดตราบเท่าที่แม้แต่การเลือกใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ยังคงเป็นประเด็นความแตกแยกในสังคมไทยอยู่อย่างไม่มีการลดราวาศอกพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคการเมืองใหม่ และกลุ่มนักวิชาการที่ร่วมขบวนการขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ... ยืนยันว่ายังไงก็ต้องใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 เพราะเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับหน้าแหลมฟันดำ ที่ทำ

คลอดออกมาภายใต้การทำรัฐประหารนั้นดีที่สุดแล้วในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย กลุ่มคนเสื้อแดง และกลุ่มนักวิชาการที่เห็นว่า รัฐธรรมนูญปี 50 มีปัญหาก็ยืนยันเช่นกันว่า ต้องใช้รัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะทำคลอดออกมาโดยตัวแทนประชาชนในขณะที่การเมืองไทยไม่ได้อยู่ภายใต้ท็อปบูทและปากกระบอกปืนขนาดแค่เรื่องจะใช้รัฐธรรมนูญฉบับใด ก็ยังเป็นความแตกแยกทางความคิดชนิดสุดโต่ง 2 ขั้ว... นี่หากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและพานแว่นฟ้า

สามารถหลั่งน้ำตาด้วยความสะทกสะท้อนกับเส้นทางประชาธิปไตย 77 ปี ของประเทศไทยได้มีหวังน้ำเนตรท่วมพานแว่นฟ้า และอาจท่วมถึงพรหมได้เลยด้วยซ้ำนับจากวันที่ 27มิถุนายน พ.ศ. 2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทยพระราชดำรัสในวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ ก็คือ “ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละ

อำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”จึงได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว”จากนั้นในวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 7 ก็ได้ทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลัก

ในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไทยเท่ากับว่ามาถึงขณะนี้ มีวันรัฐธรรมนูญมาแล้ว 77 รอบปีแต่เป็น 77 รอบปีของวันรัฐธรรมนูญที่ขรุขระระหกระเหินมาโดยตลอด กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยถูกฉีกทิ้งฉบับแล้วฉบับเล่า ด้วยฝีมือของคณะนายทหารแต่ละยุคแต่ละสมัยขนาดเชื่อกันว่า ปี 2535 การปฏิวัติรัฐประหารน่าที่จะสูญพันธุ์ไปจากเมืองไทยได้แล้วบรรดานายทหารหลายคน ซึ่งรวมทั้ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบกในช่วงปี 2549 ก็

ยังบอกว่าการปฏิวัติเป็นเรื่องล้าสมัยแล้วแต่สุดท้ายในปี 2549 ก็ยังมีการปฏิวัติเกิดขึ้นจนได้แถมเกิดขึ้นโดยฝีมือของคณะนายทหารที่เรียกตัวเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ซึ่งมีพล.อ.สนธิ นั่นเองเป็นหัวหน้าคณะนี่คือ ผลงานของเหล่านายทหารที่บอกว่า การปฏิวัติล้าสมัยแล้วและ ณ วันนี้กลับเลือกที่จะเข้ามาเล่นการเมือง เพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งและอำนาจทางการเมือง ทั้งๆ ที่ในอดีตเคยเป็นคนที่

ล้มล้างระบบการเมืองของไทย ภายใต้วิธีการที่เรียกอย่างสวยหรูว่าแผนบันได 4 ขั้นที่วันนี้พิสูจน์ชัดอีกเช่นกันว่า เป็นแผนอุบาทว์ 4 ขั้นเสียมากกว่า... เพราะนับตั้งแต่ในแผนในปี 2549 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน สังคมไทยไม่เคยสงบ และไม่สามารถที่จะลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง สร้างบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์ได้เลยแม้แต่น้อยวันนี้จึงไม่รู้ว่า บรรดาเหล่าผู้ที่เคยฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญทั้งหลาย จะมีความรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้างหรือไม่... หรือไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย

สักนิดต่อให้ไถ่บาปก็ยังต้องบอกว่าสายเกินไปเพราะวันนี้สังคมไทยบอบช้ำจากการแตกแยกทางการเมืองยิ่งนักและนอกเหนือจากการฉีกทั้งรัฐธรรมนูญปี 2540 ลงไป แต่บรรดาคณะนายทหาร คปค. ซึ่งสุดท้ายต้องเปลี่ยนชื่อเป็น คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. โดยที่ตัวบุคคลก็ยังคงเป็นกลุ่มเดิมทั้งโขยง คมช. ยังได้ใช้อำนาจร่วมกับกลุ่มเคลื่อนไหว และอำนาจอำมาตยาธิปไตย ทำคลอดรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหาฉบับ พ.ศ.2550 ออกมาโดยใช้เล่ห์กระเท่ ให้

ทำประชาพิจารณ์ ด้วยข้ออ้างว่า... ให้รับไปก่อน แล้วอะไรไม่ดีค่อยไปแก้ไขกันในภายหลัง... ยังจำได้หรือไม่???ด้วยกลไกอำนาจ และปากกระบอกปืนกับท็อปบูท สุดท้ายผลการทำประชามติจอมปลอมก็ออกมาสมดังใจของ คมช.นั่นคือ ได้ตัวเลขผู้ยอมรับรัฐธรรมนูญปี 50 เป็นจำนวน 14 ล้านเสียงซึ่งในนั้น จริงๆ แล้ว รู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ได้รวมเสียงของผู้ที่เห็นด้วยแค่บางส่วน และหวังที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตตามคำสัญญาของ คมช.อยู่ด้วยส่วนผู้ที่ไม่เห็น

ด้วย และไม่เอารัฐธรรมนูญปี 50 เลยนั้น มีอยู่ 10 ล้านเสียงเป็น 10 ล้านเสียงที่ในวันนี้กำลังหัวเราะใส่บรรดาผู้ที่ตกหลุมพรางของ คมช. ในเรื่องที่ว่าสามารถจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ!!!เพราะเอาเข้าจริงพรรคการเมืองที่ คมช.สนับสนุนให้เป็นรัฐบาลให้ได้ คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองไทยเมื่อก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรีสมใจ ก็ไม่ได้จริงใจในเรื่องการแก้ไขรัฐ

ธรรมนูญแต่อย่างใดอาจจะคิดว่า ผู้ที่รับปากว่าให้ลงประชามติรับๆ ไปก่อน แล้วค่อยไปแก้ไขเอาที่หลังนั้น ไม่ใช่คำพูดของพรรคประชาธิปัตย์... จึงไม่จำเป็นที่จะต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของ คมช.ในวันนั้นจึงทำให้นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เคยแสดงความจริงใจในการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เลยแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่หากจะทำจริงๆ ก็สามารถทำได้ตามสบายเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคเห็นพ้องอยู่แล้วว่า ควรแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 หากรวมเสียงของ

พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลเข้าไปด้วยต้องบอกว่าเหลือเฟือ!!!ต่อให้ฝ่ายค้านคือพรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วย เสียงก็ยังมากพอที่จะแก้ไขได้ แต่รัฐบาลก็กลับเล่นเกมอ้างว่า พรรคฝ่ายค้านไม่เข้าร่วมเลยทำให้การแก้ไขล่าช้าทั้งๆ ที่ ฝ่ายค้านบอกชัดเจนว่า ที่ไม่ร่วมแก้ไข ก็เพราะไม่เอารัฐธรรมนูญปี 50 ทั้งฉบับ แต่ต้องการใช้รัฐธรรมนูญปี 40 เท่านั้น... จึงไม่เข้าร่วมแล้วนายอภิสิทธิ์ กับพรรคประชาธิปัตย์จะเตะถ่วงไปทำไมกันขนาดพรรคร่วมรัฐบาลยังดูออก

แล้วทนไม่ไหว ต้องออกมาทวงถามความคืบหน้านี่หรือคือพรรคการเมืองเก่าแก่ที่บอกว่ายึดมั่นในระบบประชาธิปไตยถ้าเป็นจริงดังปากว่า ถึงเวลาที่ต้องพิสูจน์ความจริงใจด้วยการประทำแล้วพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ น่าที่จะอาศัยวาระวันรัฐธรรมนูญในวันนี้ ประกาศเดินหน้าถามความชัดเจนจากประชาชน ด้วยการทำประชามติ ว่าจะเอารัฐธรรมนูญปี 2540 หรือว่า ปี 2550ตอนนี้ไม่มีเงาของ คมช.แล้ว... และประชาชนก็ตื่นตัวในเรื่องของการเมืองอย่างมากแล้ว

เพราะบอบช้ำมา 3 ปีเต็มที่สำคัญตอนนี้ ผู้คุมกำลังทหาร คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็ยืนยันแล้วว่า เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... เป็นทหารของประชาชน...คงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำประชามติเหมือนเมื่อครั้ง คมช. แน่ฉะนั้นกล้าหรือไม่ที่จะทำประชามติจากประชาชนทั้งประเทศ หว่านเงินสารพัดยังทำได้... แล้วทำไมถึงทำประชามติ เพื่อหยุดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองไม่ได้มาร์ค... กล้าปลุกสำนึกประชาธิปไตยที่แท้จริงหน่อยสิ

ศึก "เสือเก่า"กับ"ทหารเสือ"ย่างก้าวรุกรับของ"บิ๊กจิ๋ว"ตามดูบทบาท"พล.อ.สังวาลย์ หินกลิ้ง"(เตีย บันห์) อีกครั้ง


ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ลําพังปล่อยให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ นายกษิต ภิรมย์ สู้ศึกกับ สมเด็จฮุน เซน เห็นทีการนี้อาจเพลี่ยงพล้ำ เพราะมีทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ บิ๊กจิ๋ว พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผนึกกำลังกันอีกด้วย บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลาย จึงต้องยอมละทิ้งเรื่องค้างคาใจ กระโดดลงมาสู่สมรภูมิขแมร์ แต่หมากตัวหนึ่งในกระดานที่น่าสนใจคือ พล.อ.สังวาลย์ หินกลิ้ง แต่คน เขมร เรียกว่า เตีย บันห์

... วันนี้ ทั้งสามทหารเสือ บิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม บิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และ บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ.



นัยว่า ถ้าไม่เห็นแก่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ที่มีความสัมพันธ์กันแนบแน่น ในนาม "แก๊ง ออฟ โฟร์" แล้วล่ะก็ บิ๊กทหารบางคนแทบอยากจะ "ลอยแพ" รัฐบาลไปเลยก็ได้



จะไม่ให้น้อยใจ แคลงใจ และไม่พอใจได้อย่างไร ก็นายอภิสิทธิ์ เล่นท่องคาถา "สนธิ ลิ้มทองกุล" ตลอดเวลา เดินเกมตามเสียงกระซิบสีเหลือง ให้น้ำหนักและความเชื่อถือต่อนายสนธิ แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ อย่างมาก ที่สำคัญคือ การเชื่อตามนายสนธิ ว่า ใครเกี่ยวข้องกับการลอบยิงเขาบ้าง



แต่ในเมื่อผู้นำทหารเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากการค้ำจุนหนุนรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์นี้ให้อยู่ไปตลอดรอดฝั่ง จนกว่าจะพร้อมสำหรับการสู้ศึกเลือกตั้ง และร่วมกันปิดทางกลับคืนสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ "ศัตรูร่วม" ของพวกเขา แล้วคงรักษาอำนาจไว้ให้มั่นคงและยาวนานที่สุด



พล.อ.ประวิตร ต้องรับหน้าที่โทรศัพท์สายตรงถึง พล.อ.เตีย บันห์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหมกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นทหารเขมรที่สนิทสนมกับทหารไทยมากที่สุด เกือบทุกวัน



อย่าลืมว่า พล.อ.เตีย บันห์ คนนี้ เป็นชาว จ.เกาะกง ที่ติดกับ จ.ตราด หรือเรียกว่า "ไทยเกาะกง" ที่พูดภาษาไทยได้ชัดแจ๋ว มาเรียนที่คลองใหญ่ จ.ตราด และมีชื่อเป็นภาษาไทยว่า "สังวาลย์" หรือเรียกว่า" เตีย สังวาลย์" แต่มีชื่อในตำนานสุดฮาว่า "สังวาลย์ หินกลิ้ง" เพราะตอนเด็กชอบกลิ้งไปกลิ้งมา และว่ากันว่า คุณหญิงเตือนใจ ภริยานั้น แท้จริงแล้วก็เป็นคนไทยด้วยซ้ำ จนถึงขั้นที่ตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า"เตีย สยาม (เสียม)"



ทั้ง สมเด็จฮุน เซน และ พล.อ.เตีย บันห์ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับ พล.อ.ชวลิต มายาวนาน ตั้งแต่ พล.อ.ชวลิต เข้ามามีบทบาทในการสร้างสันติภาพเขมรสามฝ่าย แต่ช่วงหลัง พล.อ.ชวลิต แตะมือให้น้องรักอย่าง พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ มาเป็นทายาท ในการประสานงานติดต่อกับผู้นำเขมรมาตลอด



จนเป็นที่กล่าวแซวกันอย่างขำๆ ว่า ถ้า พล.อ.วิชิต เกิดที่เขมร พล.อ.เตีย บันห์ ก็คงอดเป็น รมว.กลาโหม บางรายถึงขั้นที่ว่า สมเด็จฮุน เซน อาจไม่ใช่นายกรัฐมนตรีเขมร แต่เป็น สมเด็จวิชิต ที่เล่าขานกันว่า ทางเขมรแต่งตั้งให้

ที่ผ่านมา พล.อ.วิชิต มักจะเป็นนายทหารไทยที่มาช่วยวางแผนการสู้ศึกการเมืองให้กับ สมเด็จฮุน เซน มาตลอด โดยเฉพาะการเลือกตั้ง เรียกได้ว่า การเมืองไทยกับการเมืองเขมร นั้นโยงเกี่ยวกันแบบลึกลับใต้ดินมาตลอด ภายใต้ปฏิบัติการแห่งขงเบ้ง



ไม่แค่นั้น ที่ผ่านมา ผู้นำกองทัพไทยหลายยุค มักจะใช้งานให้ พล.อ.วิชิต เจรจาและประสานกับกัมพูชาตลอด รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง พล.อ.ชวลิต ก็มีความใกล้ชิดลึกซึ้งมาทั้งสิ้น โดยไม่เคยจะสร้างนายทหารด้านเขมรขึ้นมาใหม่ จนทำให้กองทัพขาดบุคลากรที่มีสายสัมพันธ์กับกัมพูชา และเพื่อนบ้าน



เมื่อในวันนี้ พล.อ.วิชิต ซึ่งเกษียณจาก รอง ผบ.ทบ. ไปอยู่พรรคเพื่อไทยกับ พล.อ.ชวลิต ไปแล้ว ผู้นำกองทัพ ก็ไม่อาจจะไหว้วานให้ พล.อ.วิชิต ช่วยทำอะไรให้ได้อีกแล้ว เพราะจะเป็นการให้เครดิตแก่ พล.อ.ชวลิต ซึ่งวันนี้กองทัพถือว่า ยืนอยู่ตรงกันข้ามแล้ว



พล.อ.ประวิตร จึงต้องต่อสายตรงเอง แต่ก็ได้แค่กับ พล.อ.เตีย บันห์ ในฐานะที่เป็น รมว.กลาโหม ด้วยกัน ไม่ถึงขั้นต่อสายตรงถึง สมเด็จฮุน เซน



พล.อ.อนุพงษ์ จึงได้พยายามเจาะเข้าทาง พล.อ.เจีย ดารา รอง ผบ.สส. ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นมือขวาของ สมเด็จฮุน เซน ด้วยการสร้างสัมพันธ์ เชิญมาเที่ยวเมืองไทย เลี้ยงหูฉลาม เล่นกอล์ฟบ่อยๆ พร้อมนโยบายให้ ผบ.หน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างสัมพันธ์กับฝ่ายกัมพูชา ด้วยการพบปะพูดคุย ทานข้าว และเล่นกีฬาด้วยกัน

พล.อ.อนุพงษ์ นั้นมีแผลใจกับ พล.อ.ชวลิต เมื่อครั้งไปกระซิบห้ามไม่ให้ นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ตั้ง พล.อ.ชวลิต คุมใต้และความมั่นคง แถมหักหาญน้ำใจ พล.อ.ชวลิต กลางวงประชุมที่ บก.ทบ. ค้านแนวคิดแก้ปัญหาที่ พล.อ.ชวลิต เสนอแบบทันควัน



จึงไม่แปลกที่ตอนนี้เมื่อ พล.อ.ชวลิต มายุ่งเรื่องปัญหาใต้ พล.อ.อนุพงษ์ จึงสั่งให้ ทบ. และ กอ.รมน. ทำการพีอาร์.สู้ เพื่อให้เห็นว่า มาถูกทางแล้ว พร้อมคัดค้านแนวคิด นครรัฐปัตตานี และการนิรโทษกรรมผู้ก่อเหตุ

ส่วน บิ๊กตุ้ย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. ที่ก็ยกหูหา พล.อ.โปล ซาเรือน ผบ.สส.กัมพูชา อยู่เนืองๆ เพราะเขาผู้นี้ก็ถือเป็นสายตรงของ สมเด็จฮุน เซน ที่ตั้งขึ้นมาแทน พล.อ.แก กิม ยาน ที่นั่งมานาน และถูกปลดไปด้วยข้อหา ถูกไทยกลืน



แต่ พล.อ.เตีย บันห์ อยู่ยงคงกระพันมานานกว่าสิบปี เพราะ สมเด็จฮุน เซน ต้องการให้เป็นผู้ประสานกับทหารไทย โดยมั่นใจว่าเขาไม่มีวันจะถูกไทยกลืน ต่อให้เป็นคนไทยเกาะกงก็ตาม

เมื่อกัมพูชาจับกุม นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทย ในข้อหาจารกรรมตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ในระหว่างที่มาเยือนพนมเปญ เมื่อ 10-14 พฤศจิกายน ท่ามกลางการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งการเรียกทูตไทยกลับ ส่วนกัมพูชาก็ขับเลขานุการทูตไทยออกจากพนมเปญ

โทรศัพท์มือถือของ พล.อ.เตีย บันห์ ก็ดังระงม โดยที่ต้นทางมาจากบิ๊กๆ ทหารไทยทั้งสิ้น แม้แต่ พล.อ.ประวิตร ที่พยายามวอนขอให้มีการปล่อยตัววิศวกรไทย



"ผมบอกกับผู้ใหญ่หลายคนที่โทร.มาเลยว่า ผมช่วยไม่ได้ เพราะคนทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย จะปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ เขมรมีกฎหมาย ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอน" พล.อ.เตีย บันห์ กล่าว

ด้วยเพราะหน่วยข่าวกรองของ พล.อ.เตีย บันห์ ยืนยันว่า วิศวกรไทยรายนี้ จารกรรมตารางการบินจริง และเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ปลอดภัย จึงได้เปลี่ยนเครื่องบินตอนขากลับให้ใหม่ ในฐานะเจ้าที่ พล.อ.เตีย บันห์ เองก็เป็น ส.ส. ของ จ.เสียมราฐ



พล.อ.เตีย บันห์ นั้นคุมทหารทั้งกองทัพ รวมทั้งหน่วยการข่าว และทีม รปภ.วีไอพีทั้งหมด ซึ่งก็ล้วนเคยถูกส่งมาฝึกที่ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) ของ บก.กองทัพไทย มาแล้วทั้งสิ้น นอกเหนือจากกองกำลังส่วนตัวของ สมเด็จฮุน เซน



วันนี้ ตั้งแต่พนมเปญ จนถึงเกาะกง ผลประโยชน์ต่างๆ ตกอยู่ในมือของนักธุรกิจสาย สมเด็จฮุน เซน ทั้งสิ้น ทั้งผู้ผูกขาดบุหรี่และเหล้านอก และเจ้าของกาสิโนหลายแห่ง ที่ปอยเปต และเกาะกง อย่าง นายก๊กอาน และ นายพัด สุภาภา

ไม่นับการเดินเกมการเมืองระหว่างประเทศที่แยบยลและเหนือชั้นของ สมเด็จฮุน เซน ที่ใช้แผน โลกล้อมประเทศไทย เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต ในทางทหาร ฮุน เซน รบมาทั้งชีวิต และหากรบเขมรจะไม่รบโดยลำพังแน่



ศึกสยามเหลืองกับขแมร์กะฮอม ครั้งนี้ จึงใหญ่หลวง จนสุดคาดเดาว่า นายอภิสิทธิ์ และผู้นำทหารไทย จะคุมเกมไม่ให้บานปลาย และจบอย่างไร...