--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ความชอบธรรม


Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
ที่มา : จลาจลทางปัญญา “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล”

ห้วงปี ๒๕๓๗ สมัยที่ผมยังเป็นคณบดีรัฐศาสตร์ เคยมีนักศึกษาปริญญาโทกลุ่มหนึ่งขอให้เปิดวิชาทฤษฎีการเมืองและสังคม ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องเรียนตามหลักสูตร แต่ไม่มีอาจารย์คนไหนอยากสอน

ในฐานะที่ต้องรับผิดชอบชีวิตทางปัญญาของนักศึกษาซึ่งก็เปรียบได้ดัง “ประชาชน” ของมหาวิทยาลัย ผมจึงต้องยอมเหนื่อยเพิ่ม เปิดวิชานี้ให้ลูกศิษย์ได้ร่ำเรียน

ถ้าจำไม่ผิด ช่วงนั้นก็มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ซึ่งไม่ใช่รัฐบาลอื่นไกลที่ไหน หากเป็นคนหน้าเดียวกับชุดปัจจุบันนี่เอง

เพื่อให้การศึกษาเชื่อมร้อยเข้ากับความเป็นจริงในบ้านเมือง วันหนึ่งผมจึงแกล้งถามนักศึกษาว่าเรามีสิทธิที่จะขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรืไม่?

ปรากฏว่าคำตอบของทั้งห้องเรียนคือ มีสิทธิอย่างแน่นอน

ผมเองได้ฟังความคิดเห็นของลูกศิษย์แล้วยังรู้สึกตกใจ เพราะนี่ไม่ใช่เด็กๆ ที่เพิ่งจบมัธยมมาเรียนต่อปริญญาตรี หากเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่มีวุฒิภาวะสูงงพอสมควร ส่วนหนึ่งก็เป็นข้าราชการ ทั้งในสายทหารและพลเรือน
แสดงว่าพวกเขาคงเชื่อในหลักการข้อนี้อย่างแน่นแฟ้นทีเดียว

อย่างไรก็ตามเนื่องจากผมเป็นครู จึงต้องทักท้วงนักศึกษาไม่ให้คิดอ่านสุดขั้วเกินไป ผมบอกกับพวกเขาว่า เราต้องจำแนกระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับรัฐบาลประชาธิปไตย ฝ่ายแรกนั้นเราขับไล่เพราะไม่มีทางเลือก ส่วนฝ่ายหลังเรามีวิธีการมากมายในการให้ผู้นำลงจากตำแหน่ง หรือผลัดเปลี่ยนรัฐบาลได้ โดยไม่ต้องทะเลาะกัน

คุณสมบัติวิเศษอย่างหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยก็คือ ให้มีการเปลี่ยนตัวผู้กุมอำนาจได้โดยกระบวนการที่สันติและชอบด้วยกฎหมาย ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้จะมีประชาธิปไตยไว้ทำไม แค่ตั้งกลุ่มรบกัน… ใครชนะเอาอำนาจไปก็หมดเรื่อแล้ว

ครับ…. หลายวันมานี้ ประเด็นที่ผมเคยถามนักศึกษาได้หวนกลับมาในห้วงนึกอยู่เป็นระยะๆ เพราะสภาพบ้านเมืองก็เป็นแบบที่ญาติโยมทั้งหลายเห็นอยู่… มีคนออกมาชุมนุมประท้วงด่าทอรัฐบาล และมีคนของฝ่ายรัฐบาลออกมาตอบโต้อย่างไม่ยอมลดราวาศอกใดๆ

ผมฟังน้ำเสียงจากทุกฝ่ายแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเรื่องทั้งหมดมันผิดประเด็น โดยเฉพาะทางฝ่ายรัฐบาลนั้น ผมคิดว่าเถียงผิดประเด็นไปอย่างสิ้นเชิง

การที่ผู้ทุกข์ร้อนในสังคมอย่างชาวบ้านปากมูลมาชุมนุมประท้วงอยู่หน้าทำเนียบ ไม่ว่าจะพูดจาอย่างไร หรือใช้อารมณ์แค่ไหน แต่โดยพื้นฐานที่สุดแล้วก็เป็นเรื่องการร้องทุกข์ธรรมดา เพียงแต่ทุกข์มันมาก และที่ผ่านมาไม่ค่อยได้รับการเหลียวแล จึงหันมาใช้รูปแบบของการประท้วง

แต่การประท้วงไม่ใช่การขับไล่ ยิ่งเป็นการร้องทุกข์ยิ่งไม่ใช่ใหญ่

ในกรณีการชุมนุมของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าองค์กรประชาธิปไตยก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะมีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่หวือหวาสักหน่อย แต่เนื้อแท้ของข้อเรียกร้องก็เป็นแค่การยุบสภา ซึ่งไม่ใช่การขับไล่กันแบบอยู่ร่วมแผ่นดินไม่ได้

สำหรับกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อประชาชน หรือ ปxป ที่ผมเป็นหัวหน้า ยิ่งไม่ใช่เรื่องขับไล่รัฐบาลแม้แต่น้อย หากเป็นข้อเสนอแนะด้วยเหตุผลและด้วยความสุภาพ ว่าการยุบสภาน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาทั้งปวง

ทั้งหมดนี้ผมไม่คิดว่าเป็นประเด็นความชอบธรรมของรัฐบาล เพราะถ้าหากรัฐบาลไม่มีความชอบธรรมก็คงไม่มีใครมาขอให้ยุบสภาตามอำนาจที่รัฐบาลมีอยู่ และถ้าหากมีความชอบธรรมจริงๆ พวกเราก็คงต้องใช้วิธีอื่นกันแล้ว

เพราะฉะนั้นผมจึงไม่เข้าใจว่าทำไมผู้คนในวงการรัฐบาลจึงต้องออกมาพูดกันเรื่องฐานะความชอบธรรมของรัฐบาลและความไม่ชอบธรรมของฝ่ายประท้วงมากกว่าเรื่องอื่นใด

เช่นบอกว่า เสียงของผู้เสนอให้ยุบสภานั้นเป็นคนแค่หยิบมือเดียว ถ้าจะยุบสภาต้องเอาคนหกสิบกว่าล้านคนมายืนยัน หรือไม่ก็บอกว่าพวกชุมนุมสนามหลวงและหน้าทำเนียบ รับจ้างมาบ้าง ตกเป็นเครื่องมือของพรรคฝ่ายค้านบ้าง อะไรทำนองนี้

และที่แย่ที่สุดก็คือมีการโต้แย้งแถลงข่าวกันแบบรายวัน ในหัวข้อจุกจิกหยุมหยิมสารพัด ราวกับว่าการเมืองเรื่องของชาติมีฐานะเป็นแค่เวทีลำตัด

ผมรู้และผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็รู้ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น ผิดพลาดอย่างไรก็ยังมีความชอบธรรมทางกฎหมาย (Legal Legitimacy) ในการปกครองบ้านเมือง

แต่ความชอบธรรมที่จะเป็นรัฐบาลกับความสามารถที่จะเป็นรัฐบาลนั้นไม่เหมือนกัน

ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเป็นคนละเรื่องกับสปิริตและวัฒนธรรมทางการเมือง

จริงอยู่ คนหกสิบสองล้านคนในประเทศไม่ได้ออกมาเสนอให้รัฐบาลยุบสภา และที่ออกมารวมทั้งประเทศแล้วบางทีก็อาจจะยังไม่ถึงหนึ่งล้านเสียด้วยซ้ำ…. แต่ใครเล่าในประเทศนี้ ที่จะสามารถชวนประชากรทั้งหมดออกมาพูดจาพร้อมกันแม้แต่รัฐบาลเองก็เถอะ ผมไม่เชื่อว่ามีปัญญาหามาได้ถึงห้าแสนคน

การพูดถึงคนทั้งประเทศอย่างเป็นนามธรรมนั้น จริงๆ แล้วนับเป็นเรื่องอันตรายสำหรับระบอบการเมืองทุกชนิดอย่าว่าแต่ระบอบประชาธิปไตย เพราะมันทำให้ไม่มีการแก้ปัญหารูปธรรมอย่างเป็นรูปธรรม…. กลุ่มนี้เป็นคนส่วนน้อย กลุ่มนั้นก็หยิบมือเดียว ไล่เรียงไปทั้งประเทศแล้วก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีคนส่วนใหญ่ดำรงอยู่เป็นตัวตน

ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม รัฐศาสตร์กับคณิตศาสตร์นั้นเป็นคนละวิชากัน

ในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยเต็มรูปมากกว่าเรา บางครั้งแม้รัฐบาลสร้างทุกข์ร้อนโดยไม่เป็นธรรมให้กับราษฎรเพียงคนเดียว ผู้รับผิดชอบก็ต้องลาออกตากตำแหน่ง เนื่องเพราะพวกเขารู้สึกเสียใจ

บางทีดำเนินนโยบายผิดพลาด รัฐบาลก็อาจจะต้องลาออกทั้งชุด เพราะความรู้สึกอับอาย

มันไม่มีหรอกครับที่รัฐบาลประชาธิปไตยจะต้องทำให้คนทั้งประเทศเคียดแค้นก่อน หรือก่อความผิดพลาดให้ครบทุกเรื่องก่อนจึงค่อยแสดงความเสียใจออกมา

ถามว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ผมอาจจะตอบได้ว่านี่เป็นเรื่องของกริยามารยาททางการเมือง ในระบอบที่สอนให้คนเคารพตัวเอง

แต่ถ้าจะให้ผมตอบลึกไปกว่านั้นก็คงต้องบอกว่ารัฐบาลเป็นสถาบันของชาติที่แตกต่างจากพรรคการเมือง แม้ว่าตัวระบบจะอนุญาตให้พรรคการเมืองเข้าไปกุมรัฐบาลได้ แต่ทั้งสององค์กรนี้ไม่เหมือนกัน ที่ว่างสำหรับการทำผิดของรัฐบาลมีน้อยกว่าพรรคการเมืองมาก เพราะเป็นสถาบันที่คนทุกฝ่าย ไม่ว่าโดยส่วนตัวจะสนับสนุนพรรคไหน จำเป็นต้องถือว่าเป็นสถาบันของตน

เรามีพรรคการเมืองหลายพรรค แต่เรามีรัฐบาลแค่หนึ่งเดียว

พูดเช่นนี้แล้ว ผมก็อดหวนนึกถึงความคิดของลูกศิษย์ปริญญาโทไม่ได้ ที่พวกเขาเชื่อว่าการขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นเป็นเรื่องถูกต้องและทำได้ ผมไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของนักศึกษากลุ่มนี้ แต่ก็เข้าใจว่าเพราะอะไรพวกเขาจึงมีความคิดดังกล่าว

คนไทยเราแต่ไหนแต่ไรมานับถือคนอยู่สามประเภทคือนักบวช นักปราชญ์ และนักรบ แต่ยังไม่ค่อยเคยชินกับการนับถือนักการเมือง

นอกจากนี้แล้ว พวกเขายังอยู่ภายใต้การปกครองของระบอบอำนาจนิยมมานาน ไม่พอจะไรก็แสดงออกราวกับว่าระบอบนั้นยังดำรงอยู่ กระทั่งบทสนทนาวาทกรรมก็คล้ายคลึงกับสมัยโกรธรัฐบาลเผด็จการทั้งสิ้น

เช่นนี้แล้วมันจึงขึ้นอยู่กับว่านักการเมืองเองจะทำให้อาชีพตนเป็นที่เคารพยกย่องได้อย่างไร?

เช่นนี้แล้ว มันจึงขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะทำให้ประชาชนเห็นชัดว่าแตกต่างจากระบอบเดิมแค่ไหน?

สมัยผมเป็นคณบดีรัฐศาสตร์ เมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถแก้ปัญหาเรื่องอาจารย์ทิ้งการสอนผมก็ลาออกทั้งๆ ที่ไม่มีใครไล่ และถ้าจะอยู่ในตำแหน่งต่อไปจริงๆ ก็มีสิทธิจะอยู่ได้โดยไม่ผิดกฎหมาย

กล่าวสำหรับข้อเสนอจากกลุ่มต่างๆ ให้รัฐบาลยุบสภาก็เช่นกัน จริงๆ แล้วรัฐบาลจะไม่ยุบก็ได้ และหากอยู่ต่อไปจนครบวาระก็คงไม่มีใครกล้ากล่าวหาว่ารัฐบาลสูญเสียความชอบธรรม

แต่สิ่งที่พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องสูญเสียอย่างยิ่ง ก็คือโอกาสในการสร้างประเพณีใหม่ๆ ของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย โอกาสในการสร้างศรัทธาสาธารณะให้กับอาชีพนักการเมือง และระบอบการเมืองแบบรัฐสภา

ได้โปรดเถอะครับ….. อย่าส่งใครมาโต้แย้งกับผมในประเด็นนี้เลย |

จงรักภักดี

ที่มา:บางกอกทูเดย์ โดยพญาไม้

ใครก็ตามที่...เที่ยวชี้หน้าด่ากราดว่า...คนนั้นคนโน้นไม่จงรักภักดี...ไอ้คนนั้นแหละที่ไม่จงรักภักดีความจงรักภักดี...ไม่ใช่ประเพณีปฏิบัติ...ไม่ใช่บทเรียนที่จะต้องนำเข้าห้องสอบมาหาคะแนนสอบตกสอบได้ความจงรักภักดี...ไม่ใช่โซ่ตรวนล่ามขา...ที่จะลากมาประจานใครๆ ที่ไม่ใส่โซ่ใส่ตรวน...จงรักภักดี...มีคำแปลที่แน่แท้...ว่า...ผูกใจรักด้วยความเคารพนับถือหรือรู้คุณอย่างยิ่งผูกใจรัก...คือหัวใจที่มอบให้กับผู้ที่เคารพนับถืออย่างยิ่ง...เพราะได้รับพระคุณอย่างยิ่งและมิรู้ลืมประเทศไทยวันนี้...ใครมันที่ไม่ใช่คนไทย...หรือคนไทยที่ไม่ใช่พวกมัน...ต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก...ประเทศกำลังแตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ เพราะต่างฝ่ายต่างก็

กล่าวถึงบทบาทของตนเองว่าเป็นผู้จงรักภักดีแล้วชี้หน้าด่าว่าอีกพวกหนึ่งว่าไม่จงรักภักดีฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดีก็เถียงคอเป็นเอ็นว่า...จงรักภักดี...ทั้งๆ ที่ยังแปลไม่ถูกด้วยซํ้าว่า...จงรักภักดีแปลว่าอะไร...ความจงรักภักดี...คือ การทำความดีให้กับผู้จงรัก...การทำความดีนั้นง่ายสำหรับคนดีและยากสำหรับคนไม่ดี...แต่วันนี้คนที่คนทั้งแผ่นดินเชื่อว่าเป็นคนไม่ดี...กลับเป็นผู้แูอบอ้างเอาความจงรักภักดีมาเป็นอาวุธทำร้ายทำลายผู้อื่นคนเลวช้าตํ่าทราม...มันจะแบก

หามความจงรักภักดีไว้ตรงไหน...คนดีที่ไหนมันถึงจะยอมล้มละลายกู้เงินธนาคารแล้วไม่ยอมใช้...คนเลวทรามตํ่าช้า...มันโกรธคนที่เคยให้เงินมันแล้วไม่ให้...คนเลวทรามตํ่าช้า...มันเอาเงินหลวงซื้อตั๋วเครื่องบินให้ภริยา...พอสังคมรับรู้มันก็เอาเงินไปคืนให้...ฯลฯจะดูคนดี...อย่ามองที่วิดีโอทัศน์...วันเกิดวันตาย...อย่าฟังที่มันพูดมันกล่าว...คนดีมันต้องดีมาก่อนหน้ามันต้องดีมาตลอดเวลา...หาคนดีต้องมองย้อนหลังรู้จักลึกเข้าไปในแต่ละวันที่มันเจริญวัยมา...คนดีไม่ใช่โจทย์

เลขโจทย์พืชคณิต...มันจึงไม่มีผลลัพธ์บททดสอบ...พฤติกรรมแห่งอดีตกรรม...ตอบคำถามได้ดีกว่า...คนไหนดี คนไหน เลว...ในวันที่แผ่นดินกำลังจะพินาศ...เพราะ “ดำย้อมขาว”...ไทยทั้งแผ่นดินต้องตรึกตรองให้พร้อมหน้า...อย่าให้เลวเดินนำ...อย่ามองทองคำที่สี...อย่าเชื่อ เพราะนํ้าหนัก...ต้องยอมตัดดูแกนใน...ต้องใส่ใจถึงเหตุผลที่มา...ต่อพระผู้่ผ่านภพ...พสกนิกรชาวไทยสยบ... “ผูกใจรักด้วยความเคารพนับถือและรู้คุณอย่างยิ่ง” 

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทักษิณบินเข้ารัสเซีย ทวีตสอนมวยแก้หนี้นอกระบบอัดยิ่งสร้างหนี้เพิ่ม


มติชน : “ทักษิณ” ทวิตสอนเชิง “กรณ์” แก้หนี้นอกระบบอย่างไม่เข้าใจ ชี้ยิ่งเป็นการสร้างหนี้เพิ่มขึ้น ชวนนั่งสมาธิวัน 5 ธันวาถวายเป็นพระราชกุศล ทวิตถึง “อุ๊งอิ๊ง” บอกคิดถึงลูกรัก “พายัพ”เผยพี่ชายออกจากยุโรปตะวันออกเข้ารัสเซียแล้ว อุบย่องเข้าใกล้ไทยช่วงปีใหม่

“แม้ว”เข้ารัสเซียแล้วหวังพักผ่อน

นายพายัพ ชินวัตร น้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ออกเดินทางจากประเทศยุโรปตะวันออก โดยได้เข้าไปในประเทศรัสเซียแล้วในวันนี้(3 ธค.) ซึ่งเป็นการพักผ่อนพูดคุยทำธุรกิจตามประสาของคนที่สนใจการตลาด ส่วนจะมีการลงทุนธุรกิจในยุโรปหรือไม่นั้น ก็อาจจะคิดตามประสาของคนที่มีหัวการค้า

“พายัพ”ยังอุบย่องใกล้ไทยช่วงปีใหม่

เมื่อถามว่าในช่วงปีใหม่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางมาอยู่ใกล้ๆประเทศไทยเพื่อให้ ส.ส.ไปอวยพรหรือไม่ นายพายัพ กล่าวว่า ยังไม่ทราบกำหนดการ แต่เท่าที่รู้ฉลองปีใหม่ใน”อิน เดอะ เวิลด์”

ต่อข้อซักถามว่าหมอลักษณ์ หมอดูชื่อดังได้ฟันธงดวง พ.ต.ท.ทักษิณ จะดีขึ้นในปีหน้า ทางครอบครัวได้ตรวจสอบดวงว่าจะกลับมาเล่นการเมืองได้อีกหรือไม่ นายพายัพ กล่าวว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาแล้วทำให้บ้านเมืองดีขึ้น สงบสุข เศรษฐกิจดี ก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจ

“แม้ว” ทวิตสอนมวยแก้หนี้นอกระบบ

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตผ่าน twitter.com/Thaksinlive โดยตอบข้อความของ @asarbel ที่เสนอขอให้แนะนำวิธีการจัดการหนี้นอกระบบ ซึ่งมองว่าสิ่งที่รัฐบาลทำจะเป็นการฟอกเงินที่ผิดกฎหมายให้กับเจ้าหนี้มากกว่า พร้อมกับถามว่าเหตุใดชาวบ้านส่วนใหญ่จึงไม่ยอมมาลงทะเบียนทั้งที่รัฐบาลยอมจ่ายเงินทั้งจำนวนโดยไม่สนใจดอกเบี้ยทั้งสองฝ่าย

พ.ต.ท.ทักษิณตอบกลับความว่า”ถูกต้องครับ รัฐน่าจะเรียกใช้ข้าราชการที่เคยทำในสมัยผมให้ทำกลับมาทำเพราะเขาจะเข้าใจความเอาเปรียบของเจ้าหนี้จะได้ช่วยต่อรองให้ชาวบ้าน”

“สมมุติว่าชาวบ้านกู้มา 100 เจอดอกร้อยละยี่ต่อเดือนไม่ได้ชำระมา 5 เดือนรัฐใจดีจ่ายให้ทั้งต้นทั้งดอกเป็น 200 ก็จะกลายเป็นต้นใหม่กับธนาคารรัฐ”

“ต้องมีการต่อรองให้ชาวบ้านก่อนไม่เช่นนั้นจะถูกเจ้าหนี้บวกดอกเบี้ยแพงๆ กลายเป็นต้นใหม่ของลูกหนี้เจ้าหนี้ก็ฟันทั้งต้นทั้งดอกสูงๆ สบายไป”

นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ว่า “ใกล้วันที่ ๕ แล้วนั่งสมาธิบ้างแล้วยังครับ เพื่อจะได้ส่งพลังจิตให้พระเจ้าอยู่หัวมีพระพลานามัยแข็งแรง และเพื่อความสุขใจของท่านเองขออนุโมทนาบุญ”

พร้อมกับทวิตตอบ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กว่า คิดถึงลูกรัก และหวังว่าจะได้เจอกันเร็วๆ นี้ “Miss you ja loog rak. I hope to see you soon”

เมื่อเด็กน้อยโดนน้าฮุนตบหน้าอีกฉาดใหญ่..



ควันหลงจากศึกอาเซียนซัมมิท ยังไม่มีทีท่าว่าจบลงได้ง่ายๆ หลังจากที่เจ้าภาพเปิดศึกแลกแข้ง กับแขกบ้านแขกเมืองอย่างเมามัน จนกระทั่งป่านนี้ ยังเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาเป็นระลอกๆ แต่ละดอกเล่นเอาท่านประธานอาเซียน ถึงกับหน้าสั่นฟันยางกระเด็น ดูไม่จืดจริงๆ

ก็เรื่องการระงับเงินกู้ 1,400 ล้านบาท ที่ฝ่ายไทยงัดออกมาขู่เขมรนั่นไง แค่ยังไม่ทันขยับ น้าฮุนฯก็สวนกลับทันควันว่า ไม่กู้ไม่เก้อมันแล้ว เงินแค่นี้เก็บไว้งาบกันเองเหอะ เขมรเขามีปัญญาหาของเขาได้

ออกหมัดซัดกันโต้งๆอย่างนี้ เล่นเอาฝ่ายข่มขู่ ถึงกับตาเหลือกตาค้างซะเอง รีบแก้ตัวเป็นพัลวันว่า ใครบอกไม่ให้กู้ มันเป็นการเข้าใจผิดชัดๆ สงสัยว่าที่ปรึกษาใหญ่คือทักกี้ จะไปซี้ซั้วยุแหย่อะไรเข้าให้ซะแล้ว

ว่าไปนั่น! ขี้เยี่ยวไม่ออกขอให้นึกถึงทักษิณไว้ก่อน รับรองได้ว่าฉี่ง่ายถ่ายสะดวก ไม่มีคำว่าผิดหวังจริงๆ

เรื่องนี้คงต้องไปฟังทัศนะจากไอ้ปื้ดเด็กวัดอาวุโส ในฐานะที่ผ่านหลักสูตรอ๊อกเหล็กมาหมาดๆ จึงอยากเสนอหน้าให้คำแนะนำฟรีๆ กับช่างอ๊อกเหล็กรุ่นพ่อว่า ในเมื่อมันยุได้ เราก็น่าจะยุมั่ง

โดยเฉพาะเรื่องยุให้รำตำให้รั่ว ฆ่าผัวมันเสียเอาเมียมันมา ถือว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของพรรคประชาธิปัติย์เลยก็ว่าได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะส่งใครไป ก็รับประกันซ่อมฟรีว่า น้าฮุนต้องหันกลับมา เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่างไม่ต้องสงสัย

หรือถ้าจะให้ชัวร์จริงๆ ก็ส่งแป๊ะไปลุยถั่วด้วยตัวเอง ถ้าเขมรไม่แตกเป็นเสี่ยงๆ เจริญรอยตามตายแลนด์ที่กำลังชักพะงาบๆอยู่ ก็ให้มันรู้กันไป

เรื่องของเรื่อง กว่าที่จะมีวันนี้ได้ ต้องถือว่ามาร์คทำเพื่อประเทศชาติจริงๆให้ดิ้นตาย เมื่อสมัยเป็นฝ่ายค้านอุตส่าห์แท็คทีมกับพวกกุ๊ยข้างถนน ด่าฮุนเซนซะสาดเสียเทเสีย เพียงเพื่อหวังล้มรัฐบาลลุงหมักเอ๊ย!..เพื่อทวงคืนเขาพระวิหาร อย่างน้อยไม่ได้ตัวปราสาทกลับมา ก็ขอให้ได้ผืนดินใต้ปราสาทก็ยังดี

ไม่นึกว่าวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อป๋าดันให้มาตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ หอกทมิฬมันจะย้อนกลับมาแทงทมิฬอย่างเจ็บแสบ เล่นเอาน้ำตาไหลพรากๆ ชี้หน้าโทษคนโน้นคนนี้เป็นการใหญ่

ต้องยอมรับกันว่า น้าฮุนแกก็เลือดเย็นซะเหลือเกิน แทนที่จะออกอาการให้เห็น เป็นการเตือนกันก่อน แกกลับเล่นตีลูกบื้อ จะด่าว่ายังไงแกก็เฉย เอาคนที่ด่าแกมาเป็นนายกฯก็เฉย แถมตั้งกุ๊ยร่วมแก๊งค์มาเป็นรมต.ต่างประเทศ ก็ยังเฉยอีก

แต่เฉยของแกดันเป็นเฉยมีงาน หลังจากที่หลอกฟันเอาวัตถุโบราณคืนไปได้หลายสิบชิ้นแล้ว น้าฮุนก็จัดการลากเข้าคิลลิ่งฟิลด์

พอได้จังหวะจะโคนก่อนงานอาเซียนซัมมิทจะเริ่มขึ้น แกเลยถือโอกาสออกอาวุธหนักอย่างไม่ปรานีปราศัย เป็นการเอาคืนชนิดทบต้นทบดอก แถมบวกกำไรไปอีกบานตะเกียง

ทั้งแบะท่าเวลคัมเพื่อนแม้ว อยากมาเขมรเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น จะสร้างบ้านพักหรูหราไว้คอยท่า แถมจะตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอีกต่างหาก

หะแรกก็นึกว่าแกพูดเล่น ที่ไหนได้ งานนี้เล่นออกเป็นพรก.ฉุกเฉิน ลงพระนามโดยพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี เรียกว่าทำซะเป็นงานช้าง เพราะไม่ต้องการคำปฏิเสธจากท่านทักษิณ งานนี้ต้องถือว่า เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ล่วงหน้า เป็นอย่างดี

แล้วเรื่องอะไรท่านแม้วจะปฏิเสธให้โง่ มิใยที่สื่อขี้ข้าอำมาตย์จะร่ำร้อง กราบไหว้วิงวอนแกมบังคับทุกวิถีทาง อย่างไร้ผล เพราะถ้าทำอย่างนั้น นอกจากจะเป็นการหักหน้าเขมร ทำให้เสียไมตรีกันเปล่าๆแล้ว ก็ใช่ว่าจะได้ดิบได้ดีจากพวกอำมาตย์ซะเมื่อไหร่

ว่าแล้วก็ขี่เรือเหาะข้ามหัวใครต่อใคร ไปรับตำแหน่งอย่างเต็มภาคภูมิ

เท่านั้นแหละ! เหมือนลากเอาไข่ป๋าออกมาทุบๆๆๆๆ แล้วก็ทุบด้วยค้อนปอนด์อันเบ้อเริม เล่นเอาเจ้าของไข่ถึงกับออกอาการหน้าเขียวหน้าเหลือง ลงไปนอนชักดิ้นชักงอ..ช้าก..แหง่กๆๆๆ

แล้วมาร์คก็ยื่นหน้าไปเข้าทางตีนชนิดเต็มๆ เมื่อทำเป็นโชว์พาวคิดเร็วทำเร็ว เรียกทูตไทยประจำเขมรกลับเป็นการด่วน เลยเข้าทางน้าฮุนเขาก็เรียกทูตเขมรประจำไทยกลับมั่ง เป็นการประกาศก้องว่า "กูไม่กลัวมึง"

เล่นเอามาร์คหน้าชา ไปไม่เป็นอยู่พักใหญ่ ก่อนที่จะหันรีหันขวาง ออกมาร้องไห้แงๆ ขอให้ไทยช่วยไทย ใครไม่ช่วยจะถือว่าเป็นคนขายชาติ

โพลล์ชั่วก็ตาลีตาเหลือกออกมารับมุก ชงลูกคลั่งชาติให้พวกอำมาตย์ยกซดกันโฮกฮือๆ แต่ที่ไหนได้ประชาชนกลับเฉยๆ

มันเรื่องอะไร ที่อยู่ๆคนไทยเกเรไปเที่ยวระรานเขา พอเขาเอาคืนมั่ง ดันวิ่งโร่มาขอให้คนไทยช่วย พอไม่ช่วยก็ไล่ให้ไปอยู่เขมร..ซะงั้น

อะไรไม่ว่า ดันมาทำงามหน้าอีก เมื่อไปจารกรรมข้อมูลเขาจนถูกจับได้ ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด ถ้าเรื่องไม่จริง ทำไมจะเป็นเดือดเป็นร้อน ถึงขนาดรมต.ต่างประเทศ ตาลีตาเหลือกบินกลับไทย ทั้งๆที่กำลังทำงานสำคัญ เตรียมการประชุมเอเป็คที่สิงคโปร์อยู่

มาถึงวันนี้ เรื่องมันเลยบานไม่รู้หุบไปซะแล้ว เพราะนโยบายต่างประเทศยุคโบราณ ที่ถือว่าเพื่อนบ้านเป็นลูกไล่ พอขู่แล้วเขาไม่กลัว คราวนี้เลยหาทางลงไม่เจอ

แถมมาเจอนายกฯเขมร ที่เป็นมวยเชิงสูงซะอีก เรื่องมันเลยไปกันใหญ่ ล่าสุดนี้น้าฮุนก็ออกมาพูดชัดถ้อยชัดคำว่า เขาไม่ได้มีเรื่องกับคนไทย แต่มีหนี้ต้องชำระกับเจ้า 2 ตัวนั่น และที่สำคัญยังตีแสกหน้ากันจังๆอีกว่า ไม่มีความสุขในการทำงานกับนายกฯวิ่งราวคนนี้

เป็นคำพูดที่แทงใจดำคนไทยซะเหลือเกิน เพราะอย่าว่าแต่น้าฮุนเลยที่ไม่มีความสุข แม้แต่ประชาชนคนไทยด้วยกันเอง ก็อยากจะบ้าตายวันละหลายๆครั้ง ตราบใดที่เจ้าเด็กแว้นคนนี้ ยังนั่งทับขี้บนตำแหน่งนายกฯ ยิ่งอยู่ไปยิ่งทำให้ทำให้นึกถึงคำกล่าวของเหลาจื่อที่ว่า

"การปกครองที่ดีนั้น ราษฎรจะไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง" แต่ภายใต้การปกครองของมาร์ค...

ไม่มีวันใดเลย ที่ราษฎรไม่รู้สึกว่าถูกปกครอง

วโรทาห์:

พล.อ.ชวลิต แจงแนวคิด “นครปัตตานี” ใช้พลัง “ประชาชน” พัฒนาให้เป็น “นูซันตาลา”



ที่มา:ประชาไท
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวในการเสวนา “ราชดำเนินเสวนา” ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจัดขึ้นในหัวข้อ “แนวคิดนครปัตตานี” ว่า เรื่องนครปัตตานีเป็นเรื่องที่มีการนำเสนอมานานหลายปี ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ปล้นปืนของค่ายกองพันทหารพัฒนาอำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ตนได้เสนอแนวคิดนี้อีกครั้ง ทั้งนี้ สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นภาพจำลองใหญ่ของเหตุการณ์ในบ้านเมือง ถือเป็นสถานการณ์ที่สร้างความหนักใจให้กับทุกคน

พล.อ.ชวลิต กล่าวด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้งในสังคมเกิดขึ้นมานานแล้ว นับตั้งแต่คณะราษฎรเข้าไปยึดอำนาจการปกครองเมื่อ 77 ปีที่แล้ว และต่อมามีการยึดอำนาจโดยทหารอีกหลายครั้ง ซึ่งทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด วันนี้ภาพใหญ่ของปัญหาความขัดแย้งคือ ความไม่เป็นธรรม โดยเมื่อคนส่วนหนึ่งได้รับประโยชน์จากการเมือง ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับประโยชน์ จึงทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้น

“ปัญหาหลักของบ้านเมือง คือ ไม่มีการปกครองที่เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน หรือรัฐบาลที่มาจากประชาชน เพื่อประชาชน ที่ผ่านมาปัญหาภาคใต้ได้ใช้มาตรการทางทหาร ซึ่งเชื่อว่าจะแก้ปัญหาได้ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถแก้ไขได้ ต่อมาจึงมีการพูดถึงมาตรการทางการเมือง แต่ที่ผ่านมาการแก้ไขปัญหายังไม่ได้ใช้มาตรการทางการเมืองที่แท้จริง มีแต่มาตรการแก้ไขปัญหา โดยพัฒนาทางเศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ซึ่งยังไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง การแก้ไขปัญหาภาคใต้ คือ การแก้ไขปัญหาทางการเมืองโดยให้อำนาจประชาชน” ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าว

พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาภาคใต้ต้องดำเนินยุทธศาสตร์ 3 ส่วน ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ดอกไม้หลากสี คือแตกต่างแต่อยู่ร่วมกันได้, ยุทธศาสตร์ถอยคนละก้าว และยุทธศาสตร์ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ที่ผ่านมาการออกมาเสนอแนวคิดนครปัตตานีโดยไม่ได้อธิบายรายละเอียด ไม่ได้หมายความว่าตนอธิบายอะไรไม่ได้ แต่เป็นเพราะต้องการให้ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้กำหนดว่า ต้องการให้มีสิ่งใดบ้าง ที่ผ่านมามีพรรคการเมืองเสนอให้จัดการปกครองรูปแบบพิเศษหรือตั้งเป็นส่วน ราชการ ซึ่งเห็นว่าเป็นแนวทางแบบเก่าที่พยายามยุ่งกับผู้ปกครอง แต่ไม่ได้รับฟังเสียงของประชาชน

ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นอกเหนือการแสนอแนวคิดนครปัตตานีแล้ว ตนยังเคยเสนอพิมพ์เขียวแนวคิด “นูซันตาลา” หรือความยิ่งใหญ่ที่เคยมีมาในภูมิภาคนี้ นครปัตตานีเคยเป็นเสมือนระเบียงเมกกะที่เป็นความยิ่งใหญ่ในภูมิภาคนี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องสถาปนาขึ้นมาในยุคนี้

“นูซันตาลา คือ พื้นที่ที่ยิ่งใหญ่ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ โบสถ์วัดช้างให้ มัสยิดขนาดใหญ่ และศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า สังคมภูมิบุตร โดยเราจะสร้างมหาวิทยาลัยนูซันตาลา เราจะเอาระเบียงเมกกะกลับคืนมา เอาเกียรติยศของคนปัตตานีกลับคืนมา การจะเกิดนูซันตาลาได้ต้องพูดคุยทำความเข้าใจกัน จากนั้นจะรวมพลังประชาชนพัฒนาพื้นที่ให้ยิ่งใหญ่เป็นหลักเขตของการปกครอง” พล.อ.ชวลิต กล่าว

พท.ลงมติไม่เคลื่อนไหวเดือนธ.ค.ออกตัวมีบึ้มไม่เกี่ยว เสธ.แดงลั่นทหารพรานพันนายพร้อมคุ้มกันม็อบแดง


พัลลภ เผยเพื่อไทยลงมติไม่เคลื่อนไหวหรือชุมนุมตลอดเดือนธ.ค. อออกตัวระเบิดปีใหม่ไม่เกี่ยว "เสธ.แดง" เผยทหารพรานปักธงชัยพันนายติดอาวุธพร้อมรบเตรียมปกป้องม็อบเสื้อแดง

"พัลลภ"ลั่นมติ"พท."สงบศึกถึงปีใหม่


พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าตลอดเดือนธันวาคมพรรคเพื่อไทยจะไม่เคลื่อนไหวหรือชุมนุมใดๆ รวมถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า อาจมีกลุ่มไม่หวังดีเตรียมก่อเหตุระเบิดใหญ่ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2553 ก็ขอยืนยันว่า ไม่ใช่ฝีมือกลุ่มพวกตนเช่นกัน


โดย พล.อ.พัลลภให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ว่า ได้ประชุมกันแล้วว่าในเดือนธันวาคมจะไม่เคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงวันสำคัญของประเทศ เป็นห้วงเวลาที่คนไทยต้องการมีความสุขกับวันสำคัญต่างๆ ไล่ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 10 ธันวาคม วันรัฐธรรมนูญ และวันที่ 31 ธันวาคม-1 มกราคม วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่


ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเกิดเหตุรุนแรงช่วงดังกล่าวไม่ใช่ฝีมือคนในพรรคเพื่อไทย พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ใช่ เพราะเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ตนกับ พล.ท.อุดม เกษพรหม อดีตเสนาธิการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ แกนนำกลุ่ม จปร. 9 สมาชิกพรรคเพื่อไทย และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้คุยกันในพรรคเพื่อไทย แล้วว่าจะไม่ทำอะไรช่วงดังกล่าวแน่นอน และหลังปีใหม่ค่อยมาหารือกันอีกครั้งว่า จะเคลื่อนไหวอย่างไร เมื่อถามว่า พล.ท.อุดมระบุว่ามีทหารและนักการเมืองวางแผนและเตรียมระเบิดจำนวนมากใช่สร้างสถานการณ์ช่วงปีใหม่ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ไม่ทราบ ต้องไปถาม พล.ท.อุดม แต่ที่เจอกันที่พรรคเพื่อไทยไม่เห็นพูดอะไร คงต้องถามเขาอาจมีข้อมูลบางอย่าง


เชื่ออดีตทหารปักธงชัยยังเกาะกลุ่ม


เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.ขัตติยะระบุว่า มีการเตรียมกองกำลังทหารพรานค่ายปักธงชัย จ.นครราชีสีมา ที่เคยถูกยุบไปสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไว้เป็นกำลังต่อกรอำนาจกองทัพ พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ทหารพรานค่ายปักธงชัยเป็นทหารหน่วยรบ เคยปฏิบัติการรบทั้งภายในและนอกประเทศ ดังนั้น เมื่อยุบหน่วยไป ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมรบ ผู้บังคับบัญชาและลูกน้องยังมีอยู่ เพราะเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาในสนามรบ


"ผมไม่เคยเป็นทหารหน่วยนี้ แต่ พล.ต.ขัตติยะเคยเป็น เขาคงคุยกับเพื่อนร่วมรบในอดีต ซึ่งทหารหน่วยนี้ถือว่ามีความเชี่ยวชาญการบมาก เป็นหน่วยทหารที่ติดอาวุธสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ สมัยก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปราบปรามกองกำลังผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ และปฏิบัติภารกิจรบนอกแบบทุกสมรภูมิ ถือเป็นกองกำลังเสริมหน่วยทหารหลัก แต่สมัย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารบกสั่งยุบไป ทั้งนี้ ทหารที่เคียงบ่าเคียงไหล่ในสงครามยังไปมาหาสู่กันอยู่ เมื่อผู้บังคับบัญชาต้องการความช่วยเหลือน่าจะเป็นไปได้ พล.ต.ขัตติยะเคยอยู่หน่วยนี้น่าจะรู้ดี"


แฉขบวนการโยนบาป"เสื้อแดง"


ด้าน พล.ท.อุดมกล่าวว่า การประชุมแกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย พล.อ.พัลลภ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ซึ่งตนได้เข้าร่วมประชุมด้วยก็ได้หารือกันถึงการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง โดย พล.อ.พัลลภ คุยกับ พล.ต.ขัตติยะ ก่อนมาประชุมร่วมกับพวกตนนั้นได้แจ้งว่ามีความพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ แล้วโยนความผิดให้กับคนเสื้อแดง จึงขอให้นายจตุพร แจ้งกับแกนนำคนเสื้อแดงให้ยุติการเคลื่อนไหวช่วงเดือนธันวาคมไปก่อน


"ระหว่างที่พวกผมประชุม มีแกนนำพรรคคนหนึ่งเป็นผู้หญิงเข้ามาชี้แจ้งกับที่ประชุมว่า มีนายทหารและนักการเมืองหลายคนประชุมกันที่สโมสรกองทัพบก ร.1 รอ. (กรมทหารราบที่ 1 (มหาดเล็ก) รักษาพระองค์) เพื่อคุยถึงเหตุการณ์วางระเบิดและเหตุไฟไหม้สถานที่ราชการสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่ ซึ่งที่ประชุมวิเคราะห์กันว่าจะเป็นฝีมือใคร แต่ไม่ได้ข้อสรุป แต่ขอให้ทุกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ก่อน อย่าเคลื่อนไหวไม่อย่างนั้นพวกเราจะถูกหาว่าเป็นคนทำ"



"เสธแดง"ระดมอดีตทหารพรานป้องแดง


พล.ต.ขัตติยะให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเตรียมกองกำลังทหารพรานค่ายปักธงชัย ที่เคยอยู่ใต้การบังคับบัญชาของ พล.อ.ชวลิต รวมตัวปกป้องกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พล.อ.พัลลภ เรียกตนไปพบ เพราะขณะนี้ทหารพรานค่ายปักธงชัยที่ถูกยุบกำลังรวมตัวกันประมาณ 1,000 คน และเตรียมอาวุธหนักพร้อมรบ เพราะเห็นว่ารัฐบาลไม่มีความเป็นธรรมเกิดสองมาตรฐาน ซึ่งตอนที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบิน แต่ทหารไม่ออกมาปราบปราม แต่เมื่อกลุ่มเสื้อแดงออกมาล้อมทำเนียบรัฐบาล อย่างเหตุการณ์เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทหารออกมาปราบปรามใช้อาวุธปืนยิง ซึ่งอดีตทหารพรานเหล่านี้จะออกมาแฝงเป็นการ์ดคนเสื้อแดง เวลามีม็อบเสื้อแดงจะแฝงตัวไป ดังนั้น ขอเตือนว่าทหารอย่าออกมาช่วงนี้ เพราะจะถูกทหารพรานที่มีอาวุธพร้อมรบออกมา อาจทำให้เกิดสงครามกลางเมืองได้ ที่สำคัญทหารพรานเหล่านี้ใช้อาร์พีจีเก่งกว่าทหารหลัก


ขู่ทบ."ปลด-ถอดยศ"ระวัง


พล.ต.ขัตติยะกล่าวว่า การที่ พล.อ.พัลลภเรียกตนไปพบ เพราะต้องการไปเคลียร์ว่า อย่าเพิ่งให้ทหารพรานเข้ามา ปล่อยให้เป็นการต่อสู้กันเองของรัฐบาลและฝ่ายค้าน ทั้งนี้ การที่ทหารพรานออกมาเป็นเพราะ พล.อ.ชวลิตเป็นคนตั้งค่ายนี้ขึ้นมา เมื่อ พล.อ.ชวลิตลงเล่นการเมืองเขาจึงอยากจะออกมา และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีบุญคุณขึ้นเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้


"ผมพยายามบอกทหารว่าอย่าออกมา แต่กลับมีคนมาด่าว่าผม และหาเรื่องปลด ถอดยศ ทั้งที่ไม่มีความผิดด้านวินัย ตกลงกองทัพบกอยู่ใต้คำสั่งของนายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่หรือของใคร เพราะแค่เขาบอกให้สั่งสอบก็จะสอบผมทันที หากปลดผมก็เป็นเรื่องส่วนตัว เพราะไม่มีความผิดอะไร จะมาถอดยศผมได้อย่างไร คนที่ถอดยศผมได้มีเพียงพระองค์เดียว ผมมาปกป้องกองทัพ หากปลดผมระวังออกจากกองทัพไม่ได้"


"แดง"นัด10ธ.ค.ชุมนุมอุ่นเครื่อง


เมื่อเวลา 13.00 น. นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน พร้อมแกนนำเสื้อแดง แถลงว่า แกนนำคนเสื้อแดงมีมติจัดงานชุมนุมเนื่องในวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งแต่เวลา 12.00-24.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลเพราะไม่ได้ระดมพลคนเสื้อแดงทั้งประเทศ แต่จะชุมนุมเพื่อแสดงเจตนาของคนเสื้อแดงที่ต่อต้านเผด็จการแล้วเรียกร้องประชาธิปไตย หรือจะเรียกว่าเป็นการอุ่นเครื่องสำหรับการชุมนุมใหญ่ โดยแกนนำคนเสื้อแดงได้เชิญนักวิชาการมาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญหลายคน


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวว่า การนัดชุมนุมวันที่ 10 ธันวาคม เป็นการนัดชุมนุมเปิดเผยโดยไม่มีวาระซ่อนเร้นใดๆ หากมีใครเคลื่อนไหวอะไรเราจะถือว่าคนคนนั้นไม่ใช่ นปช.และแกนนำจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ ในวันที่ 9 ธันวาคม แกนนำคนเสื้อแดงนัดแกนนำคนเสื้อแดงทุกกลุ่มทั่วประเทศมาพบปะสัมมนาครั้งสุดท้ายก่อนปักหมุดนัดหมายชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลยกสำคัญ ซึ่งจะแถลงมติกำหนดวันชุมนุมใหญ่อย่างเป็นทางการอีกครั้ง


"ปูด"อำมาตย์"เตรียมปลด"บิ๊กทหาร"


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังอยู่ระหว่าง 2 มหากาพย์ ที่เรียกว่ามหากาพย์กำราบมาร์ค คือ 1.การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) โดยขอให้จับตาดูเรื่องสอบกรณีการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจที่จะมีผลไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ซึ่งท้ายที่สุดจะมีผลต่อการแต่งตั้ง ผบ.ตร. จึงขอให้ระวังเงาหัวไว้ 2.ขณะนี้นายอภิสิทธิ์อยู่ในสถานการณ์คลื่นใต้น้ำ มีคนในพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลต้องการจะเปลี่ยนแปลงคนในคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ก็มีเรื่องใหญ่กว่านั้น คือ กลุ่มคนในอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมการที่จะเล่นเกมป๊อกเด้ง โดยจะเปลี่ยนตัวบุคคลสำคัญฝ่ายความมั่นคง ไม่เฉพาะแต่นายสุเทพ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่รวมไปถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ด้วย ซึ่งไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์รู้ตัวบ้างหรือไม่



"จตุพร"โวย สมช.วางแผนบึ้มโยนบาปให้"เสื้อแดง"

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี การรายงานคณะรัฐมนตรี(ครม.) เรื่องการวางแผนที่จะวางระเบิดในช่วงวันปีใหม่ 2553 ว่า ในการสัมมนาของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 27-28 พ.ย.ที่จ.อยุธยา ได้แจ้งกับที่ประชุมว่า มีนายทหารคนหนึ่งยศนายพลคนหนึ่ง เล่าให้ฟังว่าในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ครั้งหนึ่ง มีการประชุมและวางแผนที่จะก่อวินาศกรรมด้วยการวางระเบิดแล้วโยนความผิดให้กับคนเสื้อแดง แต่ที่ผ่านมาแกนนำเสื้อแดงไม่คิดว่าเชื้อชั่วยังไม่ยอมตาย จึงไม่ได้สนใจเรื่องนี้ จนเมื่อนายสุเทพ นำเรื่องนี้รายงานต่อที่ประชุม ครม. พวกตนจึงต้องสนใจเรื่องนี้ขึ้นมา

"บิ๊กจิ๋ว"อุทาน"ฮ่วย" ได้ยินข่าว"เสธ.แดง"อ้างทหารพรานติดอาวุธร่วมม็อบแดง

พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกอ้างว่าจะมีทหารพรานค่ายปักธงชัย ซึ่งมีความสนิทกับพล.อ.ชวลิต นำอาวุธมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง พล.อ.ชวลิต อุทานว่า "ฮ่วย" แล้วตอบว่า "นั่นมันนานแล้ว ก็อาจจะจิตใจผูกพัน แต่ทำไมมันต้องออกมาล่ะ สนิทกับผมแล้วทำไมต้องออกมาด้วยล่ะ"

เมื่อผู้สื่อข่าวตอบกลับว่า พล.ต.ขัตติยะ อ้างว่าเป็นเพราะทหารค่ายปักธงชัยที่ไม่พอใจรัฐบาลประชาธิปัตย์ยุบค่ายนี้ทิ้ง พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า "อ๋อ ยุบค่ายทิ้งเหรอ จริงเปล่า พรรคประชาธิปัตย์ยุบค่ายทิ้งเหรอ จะได้นำหน้าเองเลย คงไม่ใช่อย่างนั้น การยุบค่ายทิ้งคงเป็นเพราะความต้องการของกองทัพ ท่านเป็นพรรคการเมืองจะไปยุ่งเรื่องทหารทำไม"

นอกจากนี้ พล.อ.ชวลิต ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่ถูกโจมตีว่าถังแตกจนต้องขายคอนโดว่า พูดอย่างนี้น่าเกลียด เขาไม่ได้โจมตีแต่คงไม่เข้าใจ พูดจาค่อนข้างน่าเกลียด ซึ่งพอข่าวออกมาแล้วกลายเป็นเรามาโวยวายเรื่องเงินทอง น่าเกลียดมากเพราะเราไม่เคยพูดอย่างนั้น อาจเป็นข่าวที่ผิดพลาด ลูกสาวเราจะส่งลูกสาว (หลานสาวของพล.อ.ชวลิต) ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็เลยขาย เราก็เลยช่วยบอกต่อให้ด้วย

เมื่อถามว่าจะมีการฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอข่าวนี้หรือไม่ พล.อ.ชวลิต ตอบว่า ขนาดด่าแม่ตัวเองยังไม่เคยฟ้องเลย เรื่องแค่นี้จะฟ้องทำไม อย่าไปอะไรกันเลย เข้าใจกันดีกว่า

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ลูกหนี้-เจ้าหนี้เมินโครงการลงทะเบียนแก้ปัญหาหนี้นอกระบบรัฐบาลมาร์ค ม.7

คมชัดลึก : ลงทะเบียนหนี้นอกระบบวันแรกหงอย เผย เจ้าหนี้ไม่ร่วมมือ-ขู่ลูกหนี้ห้ามให้ข้อมูล หวั่นเจ้าหน้าที่ตามจับ-รายได้หด อีสานหัวหมอทำสัญญากู้ยืมปลอมตบตารัฐ หอการค้าฯ ชี้แก้ไม่ตรงจุดอีกไม่นานไปกู้ใหม่ ตร.ตรังรวบรีดดอกร้อย 30 ส่วนที่ชัยภูมิ แม่ค้าผวาแก๊งต่างด้าวทวงหนี้โหด

(1ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเปิดลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบ โครงการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบของรัฐบาลวันแรกโดย 2 ธนาคารของรัฐ คือ ธนาคารออมสินกว่า 600 สาขา และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กว่า 900 สาขาทั่วประเทศค่อนข้างเงียบเหงา โดยการลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบที่ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ (นางเลิ้ง) ธ.ก.ส.เตรียมเจ้าหน้าที่รับลงทะเบียนไว้ 30 คน แยกจากเจ้าหน้าที่ธนาคารที่ทำธุรกรรมปกติ แต่พบว่าในเวลา 11.25 น. มีประชาชนที่มาลงทะเบียนที่สำนักงานใหญ่เพียง 5 รายเท่านั้น โดยมูลหนี้ผู้ลงทะเบียนรายแรกอยู่ที่ 6 หมื่นบาท รวมดอกเบี้ยอีก 1.8 หมื่นบาท ขณะที่มูลหนี้รายอื่นๆ โดยเฉลี่ยอยู่ที่หลักหมื่นบาทเช่นกัน

ส่วนจำนวนผู้มาลงทะเบียนรวมทั่วประเทศจากจำนวนสาขาทั้งหมด 948 สาขา มีผู้มาลงทะเบียนแล้ว 326 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 33.9 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเกษตรกรลงทะเบียน 143 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 17.1 ล้านบาท ข้าราชการ 9 ราย มูลหนี้ 1.1 ล้านบาท พนักงานรัฐวิสาหกิจ 2 ราย มูลหนี้ 1.5 แสนราย ลูกจ้าง 32 ราย มูลหนี้ 2.9 ล้านบาท ค้าขาย 58 ราย มูลหนี้ 5.6 ล้านบาท รับจ้าง 64 ราย มูลหนี้ 5 ล้านบาท และไม่มีอาชีพ 18 ราย มูลหนี้ 1.8 ล้านบาท โดยจังหวัดที่มีผู้ลงทะเบียนมากสุดช่วงครึ่งวันแรกคือ นครราชสีมา สงขลา และอุดรธานี

รายงานข่าวจาก ธ.ก.ส. แจ้งว่า การลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบในวันแรกไม่คึกคักแต่ไม่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากรัฐบาลให้เวลาลูกหนี้ถึง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1-30 ธันวาคมนี้ ทุกวันจันทร์-เสาร์ ในเวลา 08.30-16.30 น. ดังนั้นขณะนี้ลูกหนี้อาจอยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารหลักฐานที่ต้องนำมาแสดง ซึ่งประกอบด้วยบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และเอกสารการเป็นหนี้ เช่น สัญญาเงินกู้ หลักฐานการจำนองและขายฝาก สำหรับบางคนที่ลืมสำเนาทะเบียนบ้านธ.ก.ส.อนุโลมให้นำมาแนบวันหลังได้ ส่วนเอกสารการเป็นหนี้ถ้าไม่มีสามารถแจ้งได้ที่ธนาคารว่ากู้มาจากใคร จำนวนหนี้เท่าไหร่

เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส. ระบุว่า ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นมีสาขาทั้งสิ้น 13 สาขา โดยส่วนใหญ่ยังมีผู้มาลงทะเบียนน้อยเช่นกัน ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นวันแรกทำให้ลูกหนี้ยังรอดูลาดเลาก่อน และอีกอย่างเป็นวันหวยออก ทำให้กลุ่มหนึ่งอาจจะรอลุ้นหวยก่อน แต่ก็มีบางคนที่มาขอเอกสารไปให้คนในครอบครัวกรอกที่บ้านและจะนำมายื่นที่สาขาใกล้บ้านในภายหลัง

“เป็นไปไมได้ที่ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ทราบข้อมูลเพราะก่อนหน้านี้มีการออกข่าวไปเยอะมาก ส่วนใหญ่ที่มาลงทะเบียนก็เตรียมเอกสารมาครบถ้วนถูกต้อง แต่มีบางรายที่ธนาคารอนุโลมให้ลงทะเบียนได้แม้ไม่มีเอกสารการกู้ยืมเงินนอกระบบ โดยมองว่าปิดรับลงทะเบียนรวม 2 แบงก์ก็น่าจะหลายแสนรายอยู่ แต่อาจไม่ถึง 1 ล้านราย” เจ้าหน้าที่ระบุ

จากการสอบถามผู้มาลงทะเบียนรายหนึ่งที่สำนักงานใหญ่นางเลิ้ง ระบุว่า ตนเป็นคนหนองบัว จ.นครสวรรค์แต่มาอยู่กับสามีที่กรุงเทพฯ จึงมาลงทะเบียนในครั้งนี้ด้วยเพราะทราบข่าวจากสื่อต่างๆ ก่อนหน้านี้

“ทราบว่าไม่ต้องลงทะเบียนสาขาที่ภูมิลำเนาอยู่ เลยมาลงทะเบียนที่สาขานางเลิ้ง ก่อนหน้านี้รัฐบาลประโคม ข่าวใหญ่โต ใครไม่รู้ก็แย่แล้ว ก็ดีที่รัฐบาลมีโครงการนี้จะได้ช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนจริงๆ” ผู้มาลงทะเบียนรายหนึ่งระบุ

ส่วนที่บรรยากาศที่ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ พหลโยธิน พบว่ายังมีผู้มาลงทะเบียนน้อยแต่ในช่วงครึ่งวันแรกอยู่ที่ประมาณ 400 กว่าราย ส่วนทั่วประเทศมีตัวเลขรวมประมาณ 3,000 ราย

นายเลอศักดิ์ จุลเทศ ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดขึ้นทะเบียนตามโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล โดยได้เริ่มมีลูกหนี้เข้ามาลงทะเบียนตั้งแต่ช่วง 9 โมงเช้าเป็นต้นไปและทยอยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางรายมาลงทะเบียนพร้อมทั้งน้ำตา ร้องไห้แทบตลอดเวลาที่ลงทะเบียน เนื่องจากถูกเจ้าหนี้ตามทวงหนี้ตลอดเวลาทำให้ต้องหนีหนี้มา 2 เดือนแล้ว

ขณะที่บางรายเมื่อลงทะเบียนเสร็จแล้ว ไม่กล้าที่จะเดินออกไปทางด้านหน้าธนาคาร และขอร้องให้เจ้าหน้าที่ธนาคารเดินออกไปส่งทางประตูหลัง เนื่องจากเกรงว่าจะมีเจ้าหนี้มาตามข่มขู่ และบางรายเพิ่งถูกเจ้าหนี้ทำร้ายร่างกาย มีบาดแผลตามตัวมาขึ้นทะเบียนด้วย โดยแจ้งว่าเจ้าหนี้มาตามทวงเงินและไม่ต้องการให้มาขึ้นทะเบียนเข้าโครงการหรือบางรายยังมีเจ้าหนี้ดักอยู่ตามหน้าปากซอย เพื่อไม่ให้มาลงทะเบียน

ทั้งนี้ จำนวนลูกหนี้ที่มาลงทะเบียนนั้น ไม่มากอย่างที่คิด โดยช่วงครึ่งวันแรกของการเปิดให้ลงทะเบียนนั้น ที่สำนักงานใหญ่มีผู้มาลงทะเบียนกว่า 400 ราย ขณะที่ในสาขาทั่วประเทศนั้นมีผู้มาลงทะเบียนเฉลี่ยสาขาละ 20-50 คน ขณะที่ธนาคารเตรียมพนักงานไว้คอยรองรับมากกว่านั้น ส่วนมูลหนี้ไม่มากนัก เฉลี่ยอยู่ในระดับหลักหมื่นบาทเท่านั้น ทำให้ประเมินว่า ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่มาขึ้นทะเบียนครั้งนี้ เป็นกลุ่มเดียวกับลูกค้าของธนาคารประชาชน ซึ่งยังมีเวลาอีกตลอดทั้งเดือนที่จะมาขึ้นทะเบียน เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณหน้าสำนักงานธนาคารออมสินภาค ภาค 5 และหน้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) นครสวรรค์ ประชาชนผู้เป็นหนี้นอกระบบหลายสาขาอาชีพ เช่น ขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง พ่อค้า แม่ค้า ประมาณ 100 คน เข้าคิวรอลงทะเบียนตั้งแต่ก่อนเวลาเปิดทำการ โดย จ.นครสวรรค์ คาดการณ์ว่า จะมีประชาชนมาลงทะเบียนประมาณ 1.7 หมื่นราย

นายวิชัย พุกทอง อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 416/11 หมู่ 2 ต.หนองปลิง อ.เมือง จ.นครสวรรค์ หนึ่งในจำนวนผู้มาลงทะเบียน กล่าวว่า เป็นหนี้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 7 ต่อเดือน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในร้านขายของชำ เป็นค่าใช้จ่ายของหลานและภรรยา ส่วนรายได้อื่นอาศัยเบี้ยยังชีพ 500 บาท แต่ก็ไม่พอค่ายารักษาโรค

“ผมจ่ายหนี้นอกระบบเดือนละ 2.1 หมื่นบาท มานานกว่า 2 ปี หนี้ก็ยังไม่หมด พอทราบข่าวโครงการนี้จึงมารอขึ้นทะเบียนตอนเช้า ถ้าได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเมื่อไร จะรีบนำไปใช้คืนเจ้าหนี้โดยเร็ว และอยากให้ลดขั้นตอนต่างๆ จะได้ปลอดหนี้ไวๆ” นายวิชัยกล่าว

น.ส.สุ (นามสมมติ) เจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบรายหนึ่งใน จ.ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนปล่อยกู้ไปประมาณ 2 แสนบาท โดยลูกหนี้ที่กู้ยืมส่วนใหญ่จะเป็นเพื่อนบ้านที่มีเงินเดือนประจำ บางรายกู้ยืมเพื่อนำไปจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะในการเข้าเป็นลูกจ้างองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บางรายกู้ยืมเพื่อนำไปหมุนจ่ายหนี้เงินกู้รายวันรายอื่น เนื่องจากว่าดอกเบี้ยถูกกว่า โดยตนคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อเดือน ส่วนวิธีการชำระหนี้จะยึดบัตรเอทีเอ็ม ทั้งนี้เพื่อความมั่นใจว่าลูกหนี้จะได้ไม่เบี้ยว และตัดปัญหาการติดตามทวงหนี้

“เจ้าหนี้บางรายไม่ได้ตั้งใจปล่อยกู้ แต่เนื่องจากมีเพื่อนที่ทำงานซึ่งหมุนเงินไม่ทันและเพื่อนฝูงมาหยิบยืม ถ้ายืมเงินจำนวนมากก็ต้องมีการทำสัญญาและยึดบัตรเอทีเอ็มไว้ ขณะที่บางรายกู้เงินมาจากธนาคารในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 8% ต่อปี แต่หากนำมาปล่อยกู้อย่างต่ำจะได้ดอกเบี้ยจากลูกหนี้ 10% ต่อเดือน ทำให้มีเงินไปใช้หนี้ธนาคารได้อย่างสบาย” เจ้าหนี้เงินกู้รายวันกล่าว

น.ส.สุ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีประชาชนบางราย เริ่มที่จะทำสัญญาปลอมกันขึ้นมา เพื่อขอรับเงินจากรัฐบาล โดยมีการทำสัญญาย้อนหลังภายในองค์กรของตนเอง

ส่วนโครงการที่รัฐบาลทำขึ้นมา เพื่อแก้ปัญหาเงินกู้นอกระบบรายละไม่เกิน 2 แสนบาทนั้น น.ส.สุ มองว่า วิธีนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้นอกระบบได้ และเชื่อว่าในอีก 1-2 ปี ลูกหนี้ก็จะกลับมาเป็นหนี้นอกระบบเช่นเดิม โดยลูกหนี้บางรายอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้เงินอย่างกะทันหัน พึ่งสถาบันการเงินก็ไม่ได้ เพราะยังเป็นหนี้ในระบบอยู่ จึงต้องหันมาพึ่งเงินกู้นอกระบบอีก อย่างไรก็ตาม หากลูกหนี้ของตนร่วมลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบก็พร้อมจะให้ความร่วมมือ แต่เชื่อว่าเจ้าหนี้เงินกู้รายวันอาจจะไม่เข้าร่วมโครงการนี้

เจ้าหนี้นอกระบบรายหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาลว่า การซื้อหนี้ครั้งนี้จะแก้ปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น และเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เชื่อว่าเมื่อหนี้ก้อนเดิมหมด อีกไม่นานประชาชนจำนวนไม่น้อยจะกลับเข้าสู่ระบบหนี้นอกระบบอีกครั้งตามสภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มค้าขายที่ต้องใช้เงินหมุนเวียน

“เชื่อว่าหนี้นอกระบบจะยังมีอยู่ต่อไป เพราะได้เงินง่าย ไม่ยุ่งยากเหมือนไปกู้เงินจากธนาคาร อีกทั้งการขึ้นทะเบียนที่กำหนดให้ระบุรายละเอียดของตัวเจ้าหนี้ โดยเฉพาะชื่อที่อยู่และเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งเชื่อว่า จะมีเจ้าหนี้ยินยอมน้อยมาก เพราะเมื่อยินยอมแล้ว จะต้องเสียรายได้จากดอกเบี้ยที่คิดในอัตราสูงถึงร้อยละ 20″ เจ้าหนี้รายนี้ยืนยัน

มาร์ค ม.7 เสียงอ่อย-เปรยอยากเป็นมิตรเขมร

มติชน : นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ท่าทีของสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชานั้น ไม่จำเป็นต้องชี้แจง ซึ่งหากมีการปฏิเสธความร่วมมือระหว่างกัน อยากให้ชาวกัมพูชาเข้าใจว่าเป็นการตัดสินใจของสมเด็จฮุน เซนเอง โดยอาจตัดสินใจภายใต้คำปรึกษาจากคนบางคน ทั้งนี้ จะขอทำงานเพื่อคนไทย และต้องการเป็นมิตรกับชาวกัมพูชาด้วย

ส่วนการที่มารดานายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรที่ถูกจับกุมตัวขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทยนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องความเป็นห่วงของคนเป็นแม่ รัฐบาลยังทำงานในส่วนนี้ต่อไป

ครม.มาร์คเล่นเป็นเด็ก-เดี่ยวใช้เดี๋ยวเลิกกฎหมายความมั่นคง

คมชัดลึก : “รองโฆษกรบ.”เผยครม.มีมติยกเลิกพรบ.ความมั่นคงทั่วกทม.แล้ว เผย”สุเทพ”ชี้ยังไม่มีไว้วางใจให้คงความเข้มข้นมาตรการรักษาความปลอดภัยไว้ต่อเนื่อง ผบ.ทร.เชื่อคนไทยรักในหลวงไม่มีเหตุวุ่นหลังเลิกกม.มั่นคงชวนทุกคนทำดีให้“ในหลวง”สบายพระทัย

(1ธ.ค.) เมื่อเวลา 13.00 น. นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐนตรี กล่าวหลังการประชุม ครม.ว่า ที่ประชุมครม.ได้มติยกเลิกการประกาศการใช้พรบ.ความมั่นคงทั่วกทม. โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้รายงานต่อที่ประชุมว่าจากการประเมินของฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่าช่วงเดือนธ.ค.จะไม่มีการชุมนุมขนาดใหญ่ แต่ได้ประเมินการชุมนุมไว้ 3 ช่วง คือ 1 – 15 ธ.ค. ไม่มีการชุมนุมแน่นอน ช่วงที่ 2 ม.ค. 53 อาจจมีการชุมนุมระดับย่อย และช่วงที่ 3 ก่อนเปิดสภาจะมีการชุมนุมเพื่อผูกเรื่องอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

อย่างไรก็ตามนายสุเทพ ได้รายงานด้วยว่า ในช่วงนี้ยังไม่ลดระดับความเข้มข้นรักษาความปลอดภัยของประชาชน โดยได้ตั้งสมมติฐานเหตุการณ์ว่าจะไม่ให้เกิดเหตุระเบิดในช่วงปลายปี เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 49

ผบ.ทร.เชื่อคนไทยรักในหลวงไม่มีเหตุวุ่นหลังเลิกกม.มั่นคง

พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานพิธีกล่าวถวายพระพรชัยมงคล ต่อหน้าพระบรมสาทิสลักษณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2552 ซึ่งกองทัพเรือจัดขึ้นเฉลิมพระเกียรติและแสดงออกถึงความจงรักภักดีของข้าราชการกองทัพเรือ โดยมีนายทหารในกองทัพเรือ และหน่วยงานทุกภาคส่วนในพื้นที่เขตบางกอกใหญ่เข้าร่วมพิธีกว่า 700 คน ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จพิธีกองทัพเรือได้มีการปล่อยพันธุ์ปลาลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา จำนวน 99,999 ตัว

พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า ห้วงเวลาเฉลิมพระชนมพรรษาคงไม่ต้องเชิญชวนประชาชนทำอะไร เพราะทุกคนทราบดี และมีความรักในพระองค์ท่าน ดังนั้น ควรทำความดีรู้รักสามัคคี เพื่อให้พระองค์ท่านสบายพระราชหฤทัย คิดว่าเป็นสิ่งที่ยอดปรารถนาของคนไทยทุกคน อยากให้เป็นเดือนมหามงคลแท้จริง

เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถานการณ์หลังเลิกพ.ร.บ.ความมั่นคง จะเกิดเหตุวุ่นวายหรือไม่พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า ไม่ห่วงว่าจะมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ในวันมหามงคลนี้ เพราะเชื่อประชาชนรักพระองค์ท่าน ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ แต่ต้องติดตามดูสถานการณ์และการข่าวควบคู่ เชื่อประชาชนทุกคนต้องการความสงบเรียบร้อยและคิดเหมือนกันหมด ส่วนกรณีพรรคเพื่อไทยยอมเจรจาอย่าศึกกับรัฐบาลโดยจะยุติการเคลื่อนไหวจนกว่าจะขึ้นปีใหม่นั้นก็ดี

เมื่อถามถึง กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.)จะมีการชุมนุมในวันที่ 5 ธันวาคมนี้เหมาะสมหรือไม่ พล.ร.อ.กำธร กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียด แต่คิดว่าเขาชุมนุมเพื่อเฉลิมพระเกียรติ

ฮุนเซนจวกยับ”มาร์ค-กษิต”ต่ำช้า!

ข่าวสด : เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. สำนักข่าว dap-news.com เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ยอดนิยมของกัมพูชา รายงานว่า นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ระหว่างเป็นประธานพิธีเปิดเจดีย์ในจังหวัดกัมปงจามเมื่อวันจันทร์ ว่า ตนมีคำสั่งล่าสุดให้ส่วนราชการทั้งระดับชาติและระดับจังหวัดทบทวนการทำข้อตกลง รวมถึงบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ต่างๆ ที่ทำกับฝ่ายไทย ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงลงนามไปแล้วหรือยังไม่ได้ลงนาม

นายฮุนเซน กล่าวว่า นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2537 เป็นต้นมา กัมพูชาทำข้อตกลงกับไทย 23 ฉบับ บางส่วนเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว บางส่วนอยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนข้อตกลงสุดท้ายที่ลงนามกันไป คือ ข้อตกลงให้เงินกู้ช่วยเหลือก่อสร้างถนน ลงวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2552 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ถ้ากัมพูชายังคงขอรับเงินช่วยเหลือดังกล่าวต่อไปก็เหมือนกับเป็นหนี้บุญคุณฝ่ายไทย จึงตัดสินใจยกเลิก และจะสร้างถนนสายนี้ด้วยเงินกัมพูชาเอง

นายฮุนเซน เตือนข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยว่า อย่าลงนามในข้อตกลงใดๆ หรือขอเงินช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเด็ดขาด ถ้าใครฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกไล่ออก แต่การรับความช่วยเหลือจากไทยทำได้เฉพาะรับเงินบริจาคด้านการกุศล

ส่วนกรณีมีข่าวว่า นายกษิตกล่าวหากัมพูชาว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้นสร้างเงื่อนไขทำให้ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาตึงเครียดเพราะไปแต่งตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจ นายฮุนเซนตอบโต้ว่า สัมพันธ์ไทย-กัมพูชารอบใหม่นี้เริ่มปะทุตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2551 ภายหลังจากทหารไทยข้ามพรมแดนเข้ามายังฝั่งกัมพูชาโดยผิดกฎหมาย

“กษิต คุณคือแกนนำกลุ่มพันธมิตร คุณคือคนๆ หนึ่งที่รุกล้ำเข้ามายังเขตพระวิหารโดยผิดกฎหมาย และเคยด่าผมเสียๆ หายๆ อย่างรุนแรงระหว่างการชุมนุม คุณมันคนต่ำช้า ถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองไปเปิดฟังเทปปราศรัยของคุณแล้วจะรู้เอง” นายฮุนเซน กล่าว และว่า ในกลุ่มนายกรัฐมนตรี 10 คนที่ตนเคยทำงานด้วยนั้น นายอภิสิทธิ์ทำงานด้วยยากที่สุด และยังเป็นคนที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-กัมพูชาตึงเครียด

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โปรดอ่าน – ยิ่งกว่าเด็กคือทารก!

บางกอกทูเดย์ : รัฐธรรมนูญบัญญัติว่า…พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการประกาศสงคราม เมื่อได้รับความเห็นชอบของรัฐสภารัฐธรรมนูญกำชับไว้อีกว่า…ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกที่มีอยู่ในสภาทั้ง 2อธิบายได้ว่า…การประกาศสงครามเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ…แพ้ชนะในสงครามเป็นชะตากรรมร่วมกันของมวลชนแห่งชาติการล้มลงของรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มีรัฐสภา…นั้นแม้แต่เพียงครึ่งหนึ่งของคะแนนของสภาเดียว…นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลของเขาก็มีอันสิ้นสุดลงได้อธิบายได้ว่า…รัฐบาลภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญนั้น…มีความสำคัญเพียงน้อยนิด…แต่เพียงคนๆ เดียว…อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ…ได้กระทำการที่เป็นการตั้งต้นของสงคราม…และก้าวลํ้าเข้าไปในความขัดแย้งระหว่างชาติ…การเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัมพูชากลับ

เพราะไม่พอใจกับการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทยให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประเทศกัมพูชานั้นน่าจะมีการปรึกษาหารือกัน…ในหลายๆ ระดับ…เริ่มต้นกันตั้งแต่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี…สภากลาโหม…สภาความมั่นคงแห่งชาติ…หรือปรึกษาหารือกับองค์คณะแห่งองคมนตรี ฯลฯแต่…อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ…ให้กระทรวงการต่างประเทศเรียกทูตกลับ และประกาศหยุดการช่วยเหลือในทุกระดับกับกัมพูชาอนิจจา…นายกรัฐมนตรีไีม่รู้หรือว่า…มีโีครงการมากมายในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ…เป็นที่จับจิตจับใจประชาชนคนกัมพูชา…ในพระมหากรุณาธิคุณ…อนิจจา…นายกรัฐมนตรีไม่รู้หรือว่า…ความช่วยเหลือราคาไม่กี่เหรียญ…ที่ไทยช่วยกัมพูชานั้น…ประชาชนกับประชาชนของไทยกัมพูชา…ค้าขายกันอยู่มากกว่า 7หมื่นล้านต่อปี…และประเทศไทยมีคนไทยไปลงทุนอยู่ในประเทศนั้น นับแสนล้านบาท…ไม่นับการท่องเที่ยวผ่านประเทศไทยไปชมนครวัดในกัมพูชา…อีกปีละหลายๆ หมื่นคนชวน หลีกภัย-บัญญัติ บรรทัดฐาน-สุเทพ เทือกสุบรรณ…พรรคประชาธิปัตย์ของท่าน รับไหวหรือ…กับความเสียหายที่ประชาชนคนไทยและประเทศไทยได้รับในครั้งนี้…ไม่รวมถึงสิ่งที่ดีที่ยังไม่เกิดขึ้น…เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย… คือที่ปรึกษาใหญ่เศรษฐกิจของประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหึมายิ่งกว่าเด็ก คือทารก ไตรรงค์ สุวรรณคีรี…เคยพูดไว้

มาร์ค ม.7 ยกธงขาวยุติโครงการต้นกล้าอาชีพ


มติชน : “อภิสิทธิ์”ชี้โครงการต้นกล้าอาชีพ แค่งานเฉพาะกิจ หนุน”กอร์ปศักดิ์”ยุติโครงการ เฟส2 โยนให้ ก.แรงงานไปทำต่อ ผอ.โครงการเผย”กนก”กุนซือนายกฯอยากให้เดินหน้าต่อ เน้นเพิ่มศักยภาพแรงงานรับ ศก.ฟื้น รวมทั้งช่วยคนพิการ-วินมอเตอร์ไซค์ มีอาชีพใหม่ ยันไร้ปัญหาทุจริต

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ ออกมาระบุว่า จะยกเลิกโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงาน เพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน หรือ โครงการต้นกล้าอาชีพ เฟส 2 ว่า กำลังคุยกับนายกอร์ปศักดิ์อยู่ คิดว่าวัตถุประสงค์ของโครงการจริงๆ เหมือนเป็นโครงการเฉพาะกิจ แนวที่ทำมาสามารถต่อยอดได้ ถ้าจะทำต่อก็ควรไปที่หน่วยงานปกติคือกระทรวงแรงงาน ไม่ควรเป็นโครงการเฉพาะและตั้งอยู่ที่สำนักนายกรัฐมนตรี

ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะไม่อนุมัติงบประมาณโครงการต้นกล้าอาชีพ เฟส 2 อีก 7.4 พันล้านบาทแล้วใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า มอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องไปสรุปตัวเลขต่างๆ มาว่า สิ่งที่ดำเนินการไปแล้ว และงบฯที่ค้างอยู่เป็นอย่างไร ยอมรับว่ายังมีปัญหาเรื่องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบฯในโครงการต้นกล้าอาชีพอยู่ เพราะส่วนใหญ่เป็นการโอนเงินไปที่หน่วยบริการ จากนั้น หน่วยบริการต้องโอนเงินต่อไปอีกที

“ผมกำลังให้เขาสรุปมาว่า ตกลงจะทำถึงเมื่อไหร่ จะหยุดเลย หรือถ้าคิดว่า มีงานบางส่วนที่ทำมาแล้ว และมีเสียงสะท้อนในทางที่ดี อยากให้มีโครงการในลักษณะนี้อีก ซึ่งผมมีความเห็นว่าถ้าเป็นงานประจำ ก็ควรโอนไปให้หน่วยปกติทำ ไม่เช่นนั้นในอนาคตเราจะมีโครงการที่เกิดขึ้นแล้วมาอยู่ที่สำนักนายกฯ หรือสำนักต่างๆ มากมาย” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ด้านนายโสภณ อัศวานุชิต ผู้อำนวยการโครงการต้นกล้าอาชีพ กล่าวว่า นายกอร์ปศักดิ์ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารโครงการต้นกล้าอาชีพ ได้แจ้งให้ตนทราบก่อนหน้านี้แล้ว ว่า สถานการณ์เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว จำนวนผู้ว่างงานลดลงจนเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีโครงการนี้ต่อไป โดยย้ำว่าเงินที่นำมาใช้ เป็นเงินกู้ การใช้จ่ายต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ขณะนี้รัฐบาลมีงานหลายเรื่องที่ต้องรีบดูแล โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหานิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ที่ต้องใช้งบฯในการแก้ไขปัญหาค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ปัจจุบันมีหลายโรงงานเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาแล้ว ต้องการแรงงานจำนวนมาก หากโครงการต้นกล้าอาชีพ ยังเปิดต่อไป จะไปดึงแรงงานส่วนนี้ ไม่ให้กลับไปทำงานในโรงงานต่างๆ ได้

“นายกอร์ปศักดิ์ยังย้ำด้วยว่า การดำเนินงานโครงการต้นกล้าอาชีพในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมต้นกล้าปกติ การฝึกอบรมต้นกล้าพิเศษ อาทิ ผู้สอบบัญชีกองทุนหมู่บ้าน จำนวน 4,000 คน ต้นกล้านักฟุตบอลอาชีพ 3,750 คน และการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่สำรวจข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จำนวน 60,000 คน ขอให้ใช้จ่ายเงินจากงบฯเดิมที่ตั้งไว้ 6.9 พันล้านบาท ที่เหลืออยู่อีก 2 พันกว่าล้านไปก่อน อย่าเพิ่งไปแตะต้องงบฯในส่วนการดำเนินงานระยะที่ 2 ในช่วงปี 2553 ที่ตั้งไว้ 6 พันกว่าล้านบาท แม้ว่า ครม.จะเห็นชอบไว้แล้วก็ตาม”นายโสภณกล่าว

นายโสภณกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม แม้นายกอร์ปศักดิ์จะมีนโยบายชัดเจนว่าไม่ต้องการทำโครงการนี้ ต่อไป แต่เรื่องนี้คงจะต้องหารือในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการ ในวันที่ 3 ธันวาคมนี้อีกครั้ง ว่าผลจะเป็นอย่างไร เพราะมีคณะกรรมการหลายคน อยากจะให้รัฐบาลดำเนินงานโครงการนี้ต่อไป แต่ปรับปรุงรูปแบบการดำเนินงานใหม่ จากการชะลอเลิกจ้าง มาเป็นการเพิ่มศักยภาพและทักษะการทำงานของแรงงานให้มากขึ้น เน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลักไม่ให้เน้นเรื่องปริมาณเหมือนเดิม

“ทราบว่า นายกนก วงษ์ตระหง่าน ที่ปรึกษานายกฯ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการโครงการนี้ก็อยากให้ดำเนินการต่อ เพราะเห็นว่าโครงการต้นกล้าอาชีพประสบความสำเร็จอย่างมาก ยิ่งช่วงที่เศรษฐกิจประเทศกำลังฟื้นตัว รัฐบาลควรใช้โอกาสนี้ ฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพแรงงานให้ดีขึ้น เพื่อยกระดับการแข่งขันกับต่างประเทศ ส่วนผมก็สนับสนุนให้มีต่อไป แต่อาจปรับรูปแบบมาเป็นการฝึกอบรมแรงงานที่ด้อยโอกาส เช่น คนพิการ วินมอเตอร์ไซค์ และคนด้อยโอกาสทางการศึกษา ให้มีทักษะการทำงาน นำไปใช้ประกอบอาชีพได้ดีขึ้น” นายโสภณกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าสาเหตุที่ต้องยกเลิกเพราะการดำเนินงานมีปัญหาความไม่ชอบมาพากลมาก นายโสภณกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง การดำเนินงานที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่าโครงการอื่น เห็นได้จากจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงเดือนพฤศจิกายนมีคนแจ้งความจำนงสมัครเข้าร่วมโครงการมากเป็นประวัติการณ์ถึงหลักแสนคน สาเหตุที่คนสมัครเป็นจำนวนมาก คงเป็นเพราะเห็นตัวอย่างของผู้ที่ฝึกอบรมและไปประกอบอาชีพได้จริง เลยไปพูดกันปากต่อปาก ทั้งที่งบฯประชาสัมพันธ์โครงการใช้น้อยมาก

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า ยืนยันว่าการดำเนินงานโครงการต้นกล้าอาชีพที่ผ่านมาไม่มีปัญหาการทุจริต นายโสภณ กล่าวว่า ตนคงไปรับประกันอะไรแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าจะมีก็มีน้อยมาก และเป็นเพียงแค่ปัญหาในระดับปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ โดยรูปแบบปัญหาที่พบก็มีหลากหลาย เช่น การลงชื่อเข้าฝึกอบรมแทนกัน แต่ก็มีไม่มาก ตนมองว่าเป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ ก็มีปัญหาเรื่องจุดฝึกอบรมต่างๆ ที่แจ้งจำนวนผู้เข้ารับอบรมไม่สอดคล้องกับขนาดของจุดฝึกอบรม รวมถึงหลักฐานการเบิกจ่ายที่ไม่ครบถ้วน แต่ปัญหาเหลานี้มีไม่มาก และที่ผ่านมาสำนักงาน ก็ควบคุมอย่างเข้มงวดตลอดเวลา หากพบอะไรผิดสังเกตก็สั่งระงับการเบิกจ่ายเงินทันที