--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อำลาอาลัย..ลุงหมักของเรา


ในที่สุด เหตุการณ์ที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย อย่างเราๆท่านๆ รู้สึกประหวั่นพรั่นใจไม่อยากให้เกิดมาโดยตลอด ก็อุบัติขึ้นจนได้

นั่นคือ อสัญกรรมของนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ บุรุษชาติอาชาไนยจอมทระนงอย่างฯพณฯ อดีตนายกรัฐมนตรี สมัคร สุทรเวช หรือลุงหมักของเรา เมื่อเวลา 8.48 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา

นับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวง ซึ่งมาผิดที่ผิดเวลา ในขณะที่บ้านเมืองกำลังเข้าสู่กลียุค อันเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการเสาหลัก ที่ทรงความเที่ยงธรรมอย่างท่านเป็นที่สุด

เหมือนสูญเสียแม่ทัพผู้กล้าไป ในท่ามกลางสมรภูมิรบ การคร่ำครวญพิรี้พิไร รังแต่จะบั่นทอนกำลังใจในการต่อสู้ โดยใช่เหตุ ดังนั้น แม้ว่าจะอาลัยรักเพียงใด คงทำได้แค่เพียงหลั่งน้ำตาอยู่ในอก แล้วเชิดหน้าขึ้น ต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยมา

สมดังปณิธานของลุงหมัก ที่ต่อสู้เพื่อสิ่งนี้มาชั่วชีวิต

ธรรมชาตินั้นเที่ยงธรรมเสมอ ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่เคยดึงดันหรือผ่อนปรน ต่อให้เป็นผู้ที่ประชาชนรักแสนรักเพียงใด เมื่อถึงเวลาต้องจากไป ก็ไม่ได้รับการยกเว้นอยู่ดี

สุดที่จะหาคำใดมากล่าว เพื่อสื่อถึงความเศร้าโศกเสียใจ เมื่อญาติผู้ใหญ่ที่เราเคารพรัก และหวังพึ่งพิงในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต้องมาด่วนจากไป ทั้งๆที่ไม่ใช่เวลาอันควร แต่จะทำยังไงได้ ในเมื่ออะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด

บุคคลากรที่ทรงคุณค่าอย่างท่าน ใช่ว่าจะหาที่ยืนได้ง่ายๆ ในบ้านป่าเมืองเถื่อน อย่างบ้านนี้เมืองนี้ แต่ความดีของท่าน ก็ยืนหยัดท้าทาย ทนทานต่อแรงเสียดสี และกำชัยเหนือความชั่วช้า ที่โหมประดังเข้ามาย่ำยีอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุด

เพราะถือหลักว่า "ความกลัวทำให้เสื่อม" ลุงหมักจึงไม่เคยเสื่อม เพราะคนอย่างท่าน ไม่เคยเกรงกลัวใคร ไม่ว่าหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือหน้าไหนทั้งสิ้น แม้กระทั่งบรรดาสื่อชั่ว ที่รวมหัวกันใส่ไฟ ทำลายล้างท่านอย่างป่าเถื่อน ไร้ความปราณี เหมือนฝูงหมาป่าที่รุมขย้ำพญาราชสีห์ อย่างเมามัน

แต่ถึงที่สุดแล้ว ธรรมะก็ชนะอธรรม ความดีก็ชนะความชั่ว กาลเวลาได้ออกใบรับรองความบริสุทธิ์ผุดผ่องให้ลุงหมัก ชนิดที่คงไม่มีนักการเมืองหน้าไหน ที่จะซื่อสัตย์ได้เท่านี้อีกแล้ว

อดีตของท่านจะเป็นอย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่วาระสุดท้าย ท่านได้ทำคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ด้วยการยืนหยัดออกนำหน้าประชาชน ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่า อำนาจมืดนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน

ถ้าไม่มีลุงหมักในวันนั้น ยังไม่รู้ว่า เสื้อแดงในวันนี้จะเป็นอย่างไร

ยังไม่ลืมวันวานอันหวานชื่น เมื่อลุงหมักถือธงนำหน้า นำพาพรรคพลังประชาชนออกปราศัยหาเสียง ท่ามกลางมวลมหาประชาชน ที่หลั่งไหลกันมาอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อฟังลุงหมักพูดอย่างออกรสออกชาติ พร้อมๆกับแสดงพลังให้เป็นที่ประจักษ์

วันนั้นคือวันที่ประชาชนฮึกเหิมเป็นที่สุด ทั้งรอยยิ้มและน้ำตาแห่งความยินดี แผ่ซ่านไปทั่วทุกผู้ทุกคน กำแพงแห่งอธรรม ถูกพังทลายลง ด่านแล้วด่านเล่า จนในที่สุด พรรคพลังประชาชนก็เข้าเส้นชัยอย่างขาวสะอาด

ยังไม่ลืมวันที่พวกเราต้องหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปีติ เมื่อเห็นลุงหมักใส่ชุดขาว เข้าพิธีรับตำแหน่งนายกฯ อย่างสง่าผ่าเผย

แต่มาวันนี้ ทั้งๆที่ห่างกันไม่นาน เรากลับต้องมาเสียน้ำตาอีกครั้ง กับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ของลุงหมักผู้เป็นวีรบุรุษในดวงใจของเราทุกคน

ถ้าเลือกได้ ลุงหมักคงไม่อยากจากพวกเราไป ในสภาพนี้ และถ้าเลือกได้ พวกเราก็คงไม่ยอมให้ใครมาพราก ลุงหมัก ไปเช่นกัน

แต่ในเมื่อมันเป็นชะตาฟ้าลิขิต ถึงยังไงเราก็ต้องก้าวข้ามมันไปให้ได้ แม้จะอาลัยอาวรณ์แค่ไหน ก็คงต้องปล่อยให้ลุงหมักไปพักผ่อนให้สบาย

ส่วนพวกเรา หลังจากเช็ดน้ำตาแล้ว ก็คงต้องรวบรวมพลังออกก้าวเดินต่อไป เพื่อสานต่อเจตนารมย์ของลุงหมัก ให้ลุล่วงให้จงได้

ไว้เสร็จศึกเมื่อใด คงได้ปลุกลุงหมักมาฉลองชัยให้สุดๆ

วโรทาห์: 26 พ.ย. 52

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

พรรคร่วมบี้ ‘มาร์ค’ ทองไม่รู้ร้อน


ประกาศเหวี่ยงแหหราแบบนี้คนเสื้อแดงไม่กลัว แต่คนทำธุรกิจและนักท่องเที่ยวผวาไปตามๆ กันบรรยากาศแบบนี้ที่หวังจะกระเตื้องหรือฟื้นตัวได้บ้างอย่างที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ก็เลยนึกไม่ออกว่า จะเป็นไปได้อย่างไรถ้ารัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เขย่าขวัญไปทั่วเช่นนี้ธุรกิจท่องเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง มองไม่เห็นอนาคตไฮซีซั่นอีกแล้วปีนี้ เคราะห์ซ้ำซ้อนซ้ำซากจากการทำลายล้างทางการเมือง ต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 2549 มาจนถึงปัจจุบันปี 2552 ก็ยังไม่จบ

ในขณะที่ภาพเบื้องหน้า ทำให้เกิดการจับจ้องมองกันว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จะสามารถอยู่รอด ผ่านพ้นเทศกาลช่วงปีใหม่ไปได้หรือไม่เพราะบรรดากลุ่มคนเสื้อแดง ยืนยันหนักแน่นแล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรวมพลังกดดันรัฐบาลนี้ให้ไม่มีโอกาสฉลองปีใหม่ยิ่งสุดท้ายที่

กระมิดกระเมี้ยน ว่าต้องพิจารณาก่อนว่า เหมะสมเพียงใดในการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เอาเข้าจริงก็ประกาศใช้ตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์เอาไว้รัฐบาลชุดนี้ไม่กล้าเสี่ยงที่จะปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมกันโดยไม่มีกฎหมายกดหัวเอาไว้แน่ๆข้ออ้างในเรื่องของความเป็นห่วงจะเกิดความรุนแรง รวมทั้งถึงขนาดปล่อยข่าวออกมาเองว่า จะมีการขนคนต่างด้าวเข้ามาร่วมอยู่ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วย จึงยิ่งจำเป็นเข้าไปใหญ่ในการที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.บ.

ความมั่นคงฯ รวมทั้งต้องเตรียมแผนถึงขั้นสลายและขั้นปราบกันเลยทีเดียว โดยใช้ข้ออ้างเรื่องต่างด้าวนั่นแหละแต่เมื่อถามว่ากระแสข่าวเรื่องต่างด้าวมาจากไหนก็อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วก็โยนไปว่าเป็นรายงานจากหน่วยข่าวกรอง ... ปัญหาอยู่ที่ว่า เกมนี้กลุ่มคนเสื้อแดงอ่านอยู่แล้วว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แน่ จึงไม่ได้กลัว แม้ว่าจะประหลาดใจนิดหน่อย ที่งวดนี้รัฐบาลกังวลหนักขนาดประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ปูพรมไปทั่วกรุงเทพฯประกาศ

เหวี่ยงแหหราแบบนี้คนเสื้อแดงไม่กลัว แต่คนทำธุรกิจและนักท่องเที่ยวผวาไปตามๆ กัน... บรรยากาศแบบนี้ที่หวังจะกระเตื้องหรือฟื้นตัวได้บ้างอย่างที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อ ก็เลยนึกไม่ออกว่า จะเป็นไปได้อย่างไรถ้ารัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เขย่าขวัญไปทั่วเช่นนี้ธุรกิจท่องเที่ยวยิ่งไม่ต้องพูดถึง มองไม่เห็นอนาคตไฮซีซั่นอีกแล้วปีนี้ ... เคราะห์ซ้ำซ้อนซ้ำซาก จากการทำลายล้างทางการเมืองต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยายน ปี 2549 มาจนถึงปัจจุบันปี

2552 ก็ยังไม่จบแถมไม่มีอะไรดีขึ้น นี่ถ้าคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ไม่ได้มีกระบอกปืนและรถถังอยู่ในมือ แต่เป็นเด็กๆ คงโดนจับมาฟาดก้นกันระนาวไปแล้ว... ที่ทำบ้านเมืองเจ๊งยับขนาดนี้ความแตกแยกทางการเมืองไม่เพียงทำให้ภาคธุรกิจเอกชนเสียหาย แต่ยังทำให้บรรดาคนในแวดวงเศรษฐกิจหลายคนพลอยเสียไปด้วย เพราะแทนที่จะเป็นกลาง กลับแสดงออกจ๋าว่าเชียร์ขั้วนั้นขั้วนี้อย่างในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย

ซึ่งนายสันติ วิลาสศักดานนท์ และนายดุสิต นนทะนาคร อาศัยหมวกแล้วเชียร์ออกหน้าออกตา ชนิดที่นายสันติพูดหน้าตาเฉยว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไม่กระทบกับเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวสภาอุตสาหกรรมฯ ก็เลยป่วน ชนิดที่แตกแยกแบ่งขั้วความคิดตามเทรนด์ฮิตของการเมืองไปด้วย ยังดีที่กำลังจะมีการเลือกตั้งประธานฯ คนใหม่ หลายคนก็เลยมองว่าหลังได้ประธานคนใหม่อะไรๆ อาจจะดีขึ้นเพราะนายสุรพร สิมะกุลธร ประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มไฟฟ้า

และอิเล็กทรอนิกส์ 1 ใน แคนดิเดท ประธานสภาอุตสาหกรรมคนใหม่ ยังยอมรับเลยว่าในช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหา มีความแตกแยก และยอมรับด้วยว่า ระยะที่ผ่านมาสภาอุตสาหกรรมเข้าสู่ยุคตกต่ำงามหน้ามั้ยล่ะนี่คือผลงานทางการเมืองที่เกิดขึ้นจากการมุ่งทำลายล้างอย่างไม่ลืมหูลืมตา ภายใต้การขานรับอย่างเต็มอกเต็มใจของคนประชาธิปัตย์บางคนบางกลุ่ม ที่กำลังสร้างความหนักใจอย่างยิ่งให้กับบรรดาผู้อาวุโสของพรรค ที่ถึงกับหลุดปากออกมาด้วยความเอือมระอา

แล้วว่า“คนพวกนี้ไม่ใช่คนสร้างพรรค เป็นแค่คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคในยุคปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้นจะปล่อยให้พรรคที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศนี้ มามีปัญหาในยุคนี้ไม่ได้”สาเหตุที่ทำให้หลายๆ คนในพรรคประชาธิปัตย์เริ่มที่จะอึดอัด ก็เพราะขณะนี้บรรดากลุ่มคนที่ใกล้ชิดนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ใช้สไตล์ประชาธิปัตย์ที่สุขุมนุ่มลึก แต่กลับกลายเป็นโฉ่งฉ่างท้าตีท้าต่อยไม่หยุดยั้ง ไม่เลือกเรื่อง ไม่เลือกคน หรือแม้แต่กระทั่งไม่แบ่งแยกมิตรหรือพรรคพวกวันนี้บรรดากลุ่มคนที่ใกล้

ชิดอำนาจ เน้นความก้าวร้าว และยึดผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เน้นการสร้างภาพเป็นหลัก จนกลายเป็นความปั่นป่วนไปหมด ไม่เพียงแค่เฉพาะในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเองที่อึดอัดแม้แต่บรรดาพรรคร่วมรัฐบาล วันนี้ก็ออกอาการอึดอัดจนเหลือทนแล้วเหมือนกันยิ่งหลังจากที่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ทำหน้าที่ประสานระหว่างรัฐบาลกับพรรคร่วมฯ ในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยังเจอพิษกรณีดึงดันจะตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็น ผบ.ตร.ให้ได้จน

นายนิพนธ์ต้องตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ โดยที่กลุ่มคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์พากันแอบยิ้มด้วยความคาดหวังว่าจะมีรายการส้มหล่น!!!ในขณะที่สายสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลกลับยิ่งย่ำแย่ลงไปอีกไม่ใช่แค่นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เท่านั้นที่ออกอาการไม้เบื่อไม้เมา และเซ็งเต็มทีกับวิธีการของคนประชาธิปัตย์ชุดปัจจุบันขนาดต้องจำยอมให้มีการส่งคนของประชาธิปัตย์มาเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่ปรึกษาของนางพรทิวาแล้ว

แต่ก็ไม่สามารถที่จะลดความขัดแย้ง แย่งซีน และปัดแข้งปัดขาในการทำงานได้แต่ขณะนี้บรรดาพรรคร่วมทั้งหมดล้วนตกอยู่ในภาวะผะอืดผะอมกันทั้งสิ้นจึงทำให้ต้องมีรายการ “จับเข่าคุยปรับทุกข์กันของพรรคร่วมรัฐบาล” เกิดขึ้นโดยบรรดาแกนนำตัวจริงของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างนายบรรหาร ศิลปอาชา นายปรีชา เลาหะพงศ์ชนะ นายสุวัจน์ ลิปตะพัลลภ นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้นัดหารือเพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองและที่สำคัญส่งสัญญาณ

ความไม่พอใจในการทำงานร่วมกับแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคประชาธิปัตย์ พุ่งเป้ากระแทกใส่นายอภิสิทธิ์ และคนใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ที่ไม่เห็นแก่หน้าพรรคร่วมรัฐบาล และมักจะคอยปัดแข้งปัดขาการทำงานเป็นประจำนอกจากจะเป็นการหารือข้อคับข้องใจแล้ว ยังเตรียมที่จะแสดงให้เห็นถึงพลังของพรรคร่วม โดยจะเร่งทวงสัญญาการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับปากเอาไว้ แต่กลับไม่มีการเดินหน้าแต่อย่างใดงานนี้นาย

บรรหาร ซึ่งในระยะก่อนหน้าก็ได้มีการออกมาเตือนออกมาสะกิดเป็นระยะๆแล้ว แต่พรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มไม่เคยให้ความสำคัญ ครั้งนี้จึงโดนเตือนตรงๆ อีกระลอกว่า“การเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ถ้ามันขุ่นข้องหมองใจอะไรกันก็ต้องพูดกับแกนนำรัฐบาลเขา มีปัญหาอะไรขอให้พูดกันตรงๆ ผมว่าคนเราอยู่ด้วยกัน ก็ต้องคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ตอนนี้สถานการณ์อะไรมันก็ไม่ค่อยแน่นอน ดังนั้นก็ขอให้พวกเราต้องเป็นปึกแผ่น มีอะไรก็ต้องอยู่ด้วยกัน

นะ”แน่นอนว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ผู้จัดการรัฐบาลเมื่อครั้งดันนายอภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นคนที่ไปเชิญพรรคร่วมรัฐบาลเข้ามาหนุนประชาธิปัตย์ ย่อมต้องรับหน้าเสื่อ รับเผือกร้อนไปเต็มๆ เพราะนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้ให้ราคาหรือรู้ร้อนรู้หนาวกับท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใดนายสุเทพต้องแก้เกี้ยวว่า เท่าที่ทราบ ยังไม่มีใครบอกว่า ไม่พอใจเรื่องอะไร“ตามปกติ หากพรรคร่วมรัฐบาลมีปัญหา จะพูดคุยกับผม แต่ขณะนี้ยังไม่มีการส่งสัญญาณ

ใดๆ และไม่ว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะมีความคิดความเห็นอย่างไร ผมพร้อมรับฟัง” ปัญหาก็คือนายสุเทพฟัง แล้วนายอภิสิทธิ์ฟังหรือไม่ ยิ่งระยะหลังๆ นายสุเทพแทบไม่ได้อยู่ในสายตาของนายอภิสิทธิ์เลยด้วยซ้ำ ซึ่งลึกๆ แล้วนายสุเทพรู้ดีอยู่เต็มอกดังนั้นหากท่าทีของนายอภิสิทธิ์ และกลุ่มใกล้ชิด ยังมีสายตามองสูงไม่เห็นหัวพรรคร่วมรัฐบาล ดีไม่ดี อาจจะกลายเป็นว่า รัฐบาลนี้อยู่ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงขับไล่แต่พังเพราะไม่มีใครคบอีกแล้วมากกว่า

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หายนะเศรษฐกิจ บนเวทีหอการค้า


ที่มา:บางกอกทูเดย์

ไม่รู้ว่าสมาชิกหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะเจ้าภาพจัดประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 27 ในระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายน 2552 จะรู้สึกอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศจะรู้สึกอย่างไรบ้างน้อยเนื้อตำใจหรือเปล่า กับข่าวที่ดังกระหึ่มในวันนี้แทนที่จะมีการนำเสนอว่าเนื้อหาสาระที่จะมีบนเวทีการประชุมประกอบด้วยอะไรบ้าง กลับกลายเป็นว่ารายงานข่าวบนสื่อทุกแขนงขายข่าว “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีจะถูกปองร้ายทั้งในรูปแบบการคาร์บอมบ์ และการลอบสังหารนํ้าหนักและความสนใจของคนเลยไปอยู่กับเรื่องดังกล่าวแทน แล้วแบบนี้คำคุยโวโอ้อวดว่าเศรษฐกิจชาติจะโตเท่านั้น

เท่านี้จะเป็นไปได้อย่างไรขนาดงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศที่มีเอกชนชั้นนำทั้งระดับส่วนกลางและภูมิภาคนับพันคนทั่วประเทศมารวมตัวกัน กำลังจะเปิดฟลอร์ในวันพรุ่งนี้ ยังไม่รู้เลยว่าเขานำเสนอเรื่องอะไรในที่ประชุมกันบ้างแต่กลับปล่อยให้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ทำให้เวทีอันทรงเกียรตินี้ด้อยค่าลงในพริบตาทั้งที่โดยปกติการประชุมหอการค้าทั่วประเทศในระยะหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดความขัดแย้งทางการเมือง3-4 ปีมานี้การขับเคลื่อนก็แทบจะไม่มีอยู่

แล้ว ข้อเสนอที่สะท้อนจากเหล่าสมาชิกซึ่งบันทึกลงในสมุดปกขาวนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาอุปสรรค ถูกวางแหมะไว้ตรงไหนก็ไม่รู้ไม่ได้รับการแก้ไข เพราะประชุมหอการค้าแล้วเสร็จไม่ทันไร ก็มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แล้วก็จัดประชุมกันใหม่เวทีประชุมหอการค้าเลยกลายเป็นเวทีพบปะสังสรรค์สมาชิก กินข้าวร่วมกัน จัดประกวดมอบรางวัลหอการค้าดีเด่น มากกว่าจะหวังได้เนื้อหาสาระเป็นชิ้นเป็นอันแล้วยิ่งมาเจอ

บรรยากาศการประชุมปีนี้ที่นายกรัฐมนตรีกลายเป็นพระเอกผู้น่าสงสารในความรู้สึกของผู้สนับสนุนและกลายเป็นผู้ร้ายในสายตาของผู้ต่อต้าน ต่างฝ่ายต่างติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 29พฤศจิกายน ไม่เว้นแม้กระทั่งสมาชิกหอการค้าทั่วประเทศที่ไปร่วมการประชุมครั้งนี้มีสมาชิกสักกี่คนที่ตอนนี้กำลังสนใจว่าข้อเสนอบนเวทีปีนี้จะมีเรื่องอะไรเป็นไฮไลท์ มากกว่าติดตามว่าจะเกิดปรากฏการณ์อะไรทางการเมืองนายกรัฐมนตรีจะเดินทาง

ไปเป็นประธานปิดการประชุมจริงหรือไม่เดินทางไปแล้วจะเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงหรือเปล่านี่คือความบอบชํ้าอย่างที่สุดบนเวทีการประชุมหอการค้าทั่วประเทศในยุคของ“ดุสิต นนทะนาคร” ประธานกรรมการหอการค้าไทยเวทีหอการค้าที่ควรร้อนแรงด้วยประเด็นทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนกลับเป็นได้เพียงหมากทางการเมืองแล้วเราจะหวังความเจริญรุ่งเรืองในยุคที่ข้อมูลข่าวสารถูกบิดเบือนเช่นนี้ได้อย่างไรข้อเสนอของประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ให้

รัฐบาลสร้าง “รถไฟรางคู่”ช่วยประหยัดงบการขนส่งของผู้ประกอบการและขนคนไปเที่ยวเชียงใหม่ก็คงเป็นได้แค่ข้อเสนอที่เบาบาง เพราะขนาดนายกฯ จะเดินทางไปปิดงานยังต้องใช้กองกำลังมหาศาลในการดูแล คงไม่มีแรงสนองตอบเป็นแน่แท้ข้อเสนอทั้งหลายที่ถูกนำเสนอใส่พานให้นายกรัฐมนตรีในวันปิดการประชุมก็คงไม่ได้รับการเหลียวแล เพราะต้องแก้ปัญหาทางการเมืองแต่จะว่าไปแล้ว การจัดงานประชุมหอฯทั่วประเทศครั้งนี้จะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียวก็คง

ไม่ใช่ อย่างน้อยการที่เอกชนกระเป๋าหนักๆ เดินทางไปรวมตัวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ ย่อมเกิดการจับจ่ายใช้สอย ทั้งการซื้อสินค้า การท่องเที่ยวภายในจังหวัด จึงคาดว่าจะมีเงินสะพัดในจังหวัดเชียงใหม่ช่วงสัปดาห์การประชุมไม่ตํ่ากว่า 100 ล้านบาทหรือว่านี่คือ “ไฮไลท์” ของการจัดงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศ!!! 

"ทักษิณ"สั่งแดงถอย ประกาศหันหน้าคุย"ป๋า" นปช.แก้เกมปรับแผนเลื่อนชุมนุม ครม.วอน"มาร์ค"งดไปเชียงใหม่



ที่มา:มติชน

"ทักษิณ"สั่งเสื้อแดงถอย เตือนชุมนุมช่วงนี้ไม่เหมาะสมกระแสค้านเยอะ แกนนำ นปช.ปรับแผนแก้เกมทันที คาดเลื่อนชุมนุมใหญ่ไปก่อน รมต.หลายคนวอน"มาร์ค"งดไปเชียงใหม่ แต่เจ้าตัวยังกั๊ก สั่ง ครม.พร้อมประชุมประกาศใช้ กม.มั่นคงที่เชียงใหม่ กอ.รมน.ปรับแผนคุมม็อบทั่วกรุง

"ทักษิณ"ประกาศหัน180องศาคุย"ป๋า"

เวลา 20.30 น. วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จัดรายการวิทยุผ่านทาง Thaksinlive ระบุตอนหนึ่งว่า ยังไม่สายที่ทุกฝ่ายจะหันหน้าเข้าหากัน ตนดีใจที่ป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) บอกว่าจะหันหน้าเข้าหากัน บ้านเมืองบอบช้ำ ความน่าชื่อถือของบ้านเมืองไม่มี

"เมื่อป๋าพูดว่า อยากให้ทุกคนหันหน้าเข้าหากัน ก็ขอให้มันจริงเถอะ ถ้าบอกอย่างนี้ ผมหันมาเต็มๆ เลยครับหันมา 180 องศาเลยครับ เพราะประชาชนก็ล้า ประเทศก็ช้ำ ไม่มีประโยชน์ มวยเฮฟวี่เวท คนแชมป์ก็ยังเจ็บได้ จึงควรที่จะหันมาคุยกันแบบภาษาไทย" พ.ต.ท.ทักษิณกล่าว

"แม้ว-พท."เบรกแดงชุมนุมช่วงนี้

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า ในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ วิดีโอลิงก์มายังที่ประชุมกำชับให้ ส.ส.ลงพื้นที่เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง มั่นใจว่าครึ่งปีแรกของปี 2553 จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ดังนั้นช่วงปิดสมัยประชุมสภาให้ออมกำลังเพื่อทำงานหนักต่อไป โดยตัวท่านเองก็จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนเช่นกัน โดยวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้จะออกจากเมืองดูไบ เพื่อไปท่องเที่ยวหลายที่ แต่ไม่ได้บอกว่าจะไปประเทศใดบ้าง แต่ช่วงปีใหม่อาจจะเดินทางมาใกล้ๆ ประเทศไทย

นายสุรพงษ์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังบอกกับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงไปแล้วว่า การชุมนุมระหว่างนี้ อาจเป็นช่วงเวลาไม่เหมาะสม เพราะฟังจากกระแสคนก็ไม่เห็นด้วยเยอะ จึงอยากให้แกนนำกลับไปลองคิด และปรึกษากันดู ขณะเดียวกันส.ส.ส่วนใหญ่ของพรรค พท.ก็ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมช่วงเวลานี้ ดังนั้น เชื่อว่า คนเสื้อแดงอาจจะเลื่อนการชุมนุมออกไปก็ได้

"นปช."นัดถก-เล็งเลื่อนชุมนุม

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน กล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ถึงกรณีที่ ครม.มีมติประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงใน กทม. ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน-14 ธันวาคมว่า เป็นสิ่งที่คาดไว้อยู่แล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ารัฐบาลจะกล้าประกาศใช้นานขนาดนี้ เพราะหมายถึงประชาชนต้องการเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ภายใต้การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง แสดงให้เห็นถึงความไม่เหมาะสม และไม่สมพระเกียรติ ที่จริงหากรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงวันที่ 28 พฤศจิกายน-2 ธันวาคม ที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมก็ได้ และคนเสื้อแดงไม่เคยผิดคำพูด จึงน่าสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลจึงประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงยาวนานเช่นนี้

"จากเหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ นปช.ต้องนัดประชุมกันในวันที่ 25 พฤศจิกายน เพื่อกำหนดท่าทีที่ชัดเจนอีกครั้งว่าจะยังนัดชุมนุมต่อไปหรือไม่ ผลอาจออกมาได้ทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนการชุมนุม ยกเลิก หรือจะชุมนุมต่อ" นายจตุพรกล่าว

"นพดล"ปัด"แม้ว"อยู่เขมรสั่งม็อบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com ถึงการครบรอบ 1 ปีที่กลุ่มพันธมิตรยึดสนามบินสุวรรณภูมิว่า "วันนี้ครบรอบ 365 หรือ 1 ปีที่พันธมิตรเข้ายึดสนามบินโดยการช่วยเหลือของทหาร พอรัฐบาลขณะนั้นออกคำสั่งให้ทหารเข้าไปจัดการก็ใบ้รับประทาน ประเทศเสียหาย จนป่านนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ชาวนาปิดถนนต่างจังหวัดถูกจำคุก 6 เดือน ถือว่าเป็น 2 มาตรฐานที่หน้าด้านที่สุด ป.ป.ช.ถูกยื่นให้หยุดงานตามรัฐธรรมนูญก็เฉย แถมยังนั่งห้ำหั่นซีกเดียวตลอดเวลา แล้วจะหาความสงบได้อย่างไรครับป๋า ความยุติธรรมเป็นเงื่อนไขสำคัญของความสันติ ยิ่งแกล้งยิ่งบื้อ เสื้อแดงยิ่งเยอะ ปี 2535 เกิดความรุนแรงจนเป็นพฤษภาทมิฬ เพราะทั้งปิดข่าวและบิดเบือนข่าว ที่ไทยเกิดปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีกเพราะเราหนีความจริง ไม่ยอมเรียนรู้จากอดีต"

นายนพดล ปัทมะ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปประเทศกัมพูชาช่วงที่เสื้อแดงชุมนุมใหญ่ เพื่อสั่งการการชุมนุมได้ง่ายขึ้น ว่า ไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็นการปล่อยข่าวของฝ่ายตรงข้ามเพื่อดิสเครดิต แต่เบื้องต้นทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่าจะอยู่ที่ดูไบ ในช่วงที่มีการชุมนุม

ใช้กม.มั่นคงทั้งกทม.รับมือ"แดง"

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน มีมติให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงในราชอาณาจักร ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เพื่อควบคุมดูแลสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุม ครม. เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ประชุมหารือกันถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในเขตพื้นที่ กทม. เห็นว่าช่วงที่รัฐบาลต้องเตรียมจัดงานพระราชพิธีและรัฐพิธี รวมไปถึงงานเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องใช้พื้นที่กลางเมืองและพิธีต่างๆ ตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม โดยเฉพาะกรณีทหารที่ต้องรวมพลและซ้อมสวนสนาม

"เพราะฉะนั้นเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในการชุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง ครม.ต้องการจะใช้กฎหมายความมั่นคงเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการสถานการณ์ให้อยู่ในความเป็นระเบียบเรียบร้อย จึงมีมติให้พื้นที่กรุงเทพฯตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน-14 ธันวาคม เป็นพื้นที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง" นายกฯกล่าว

อ้างสกัด"แดง"ดาวกระจายทั่วกรุง

เมื่อถามว่า ทำไมจึงประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษามั่นคงทั่ว กทม. นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เนื่องจากตามแผนของผู้ชุมนุมจะกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ รัฐบาลต้องการดูแลทุกอย่างให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย ไม่ให้มีผลกระทบต่อประชาชน หากจะไปรอให้ผู้ชุมนุมกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ แล้วจึงออกประกาศตามมาจะไม่ทัน เมื่อถามว่า มีรายงานการขนคนต่างด้าวมาร่วมชุมนุมหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า บางพื้นที่มีข่าวความเคลื่อนไหวลักษณะนี้อยู่ แต่กระทรวงแรงงาน เข้มงวดกวดขันอยู่แล้ว เมื่อถามว่า รัฐบาลกำลังท้าทายคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้ท้าทายเลย การประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ทุกครั้งก็ไม่ได้ละเมิดสิทธิเสรีภาพใครเลย แต่สามารถบริหารจัดการการชุมนุมให้ผ่านพ้นได้ด้วยดี 3-4 ครั้ง เป็นความรอบคอบ การประกาศนั้นไม่ได้ห้ามการชุมนุมเพียงแต่ให้อำนาจเจ้าหน้าที่บริหารจัดการสถานการณ์ได้ดีกว่า

เมื่อถามว่า การประกาศใช้ พ.ร.บ.หลายครั้งสูญเสียงบประมาณจำนวนมาก นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การประกาศหรือไม่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง การระดมกำลังเข้ามาต้องใช้งบประมาณทั้งสิ้น เมื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ก็ต้องคุ้ม เวลาที่เกิดเหตุไม่สงบแต่ละครั้ง กระทบรุนแรงมากกว่าค่าใช้จ่ายหลายเท่าตัวŽ

สั่งครม.พร้อมใช้กม.มั่นคง"เชียงใหม่"

เมื่อถามถึงแนวคิดการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ใน จ.เชียงใหม่ ช่วงที่นายกฯลงไปร่วมประชุมหอการค้าทั่วประเทศ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงกำลังคุยในรายละเอียด จะทราบข้อมูลชัดเจนปลายสัปดาห์นี้ หากจำเป็นจริงๆ ต้องเรียกประชุม ครม.ในวันที่ 27 พฤศจิกายน เพื่อประกาศใช้ เมื่อถามว่า นายกฯอาจยกเลิกเดินทาง และประชุมผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์แทนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ได้มีการพูดถึงขั้นนั้น

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะกระทบการท่องเที่ยวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มั่นใจว่าไม่กระทบ เพราะเคยใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้มาแล้วและเป็นเป็นกฎหมายที่มีไว้ป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ตนเพิ่งพบกับผู้ประกบอการธุรกิจการท่องเที่ยวที่อยากให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลมีเครื่องมือในการจัดการสถานการณ์ได้ดีกว่า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนนายอภิสิทธิ์ จะเข้าประชุม ครม. มีชาวบ้านชาวราษีไศล จ.ศรีสะเกษ กว่า 200 คนมาให้กำลังใจพร้อมชูข้อความชื่นชมนายอภิสิทธิ์ บริเวณริมถนนข้างคลองผดุงกรุงเกษม โดยนายอภิสิทธิ์ ไปรับดอกไม้จากชาวบ้านด้วยตัวเอง ซึ่งแกนนำชาวบ้านขอบคุณนายอภิสิทธิ์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาฝายราษีไศล และขอให้นายอภิสิทธิ์อย่าทิ้งชาวบ้าน โดยนายอภิสิทธิ์ รับปากว่าจะไม่ทิ้งชาวบ้าน แล้วจะเดินทางไปเยี่ยมชาวราษีไศลด้วย

"มาร์ค"ขอเองให้คลุมทั่วกทม.

รายงานข่าวจากแจ้งว่า ที่ประชุม ครม. นายสุเทพเป็นผู้เสนอประกาศ พ.ร.บ. มั่นคง ใน 3 พื้นที่ คือ เขตดุสิต และ 2 แขวง คือ แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร และแขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย แต่นายกฯ ได้เสนอควรประกาศให้คลุมพื้นที่กรุงเทพฯ ทั้งหมด โดยมีรัฐมนตรีหลายคนสนับสนุน

ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วิเคราะห์ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเป้าล้มรัฐบาลให้ได้ หากประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงเพียงบางส่วน แล้วค่อยนัดประชุม ครม. เพื่อประกาศพื้นที่เพิ่มเติมภายหลังอาจไม่ทันกาล รัฐบาลจะปล่อยให้เกิดเรื่องเหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ในการชุมนุมครั้งนี้มาก เพราะพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยกับพวกไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ต่างจากเมื่อเดือนเมษายนที่ยังไม่มี พล.อ.ชวลิต

ขณะที่นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่ากลุ่มคนเสื้อแดงต้องการรบขั้นแตกหัก เชื่อว่าอาจมีแผนเคลื่อนไปปิดสนามบินสุวรรณภูมิด้วย ด้านนายอิสระ สมชัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คาดว่าจะมีคนมาร่วมชุมนุมเป็นล้านคน

"ปณิธาน"หวั่นซ้ำรอย"เมษาเลือด"

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคงประเมินสถานการณ์ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงตั้งใจจะระดมคนให้ได้มากหวังสร้างเงื่อนไขหลังวันที่ 30 พฤศจิกายนเป็นต้นไป โดยจะกระจายกำลังคนไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีทั้งแรงงานต่างด้าว คนที่ผ่านการฝึกอบรม แกนนำรุ่นใหม่ที่เป็นพวกหัวรุนแรง ดังนั้นถ้ามีการดาวกระจายแล้วภาครัฐจัดระบบไม่ดี อาจเกิดการปะทะกัน และทำให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาได้ เพราะวัตถุประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดงคือทำให้เห็นว่ารัฐบาลไม่อยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะการไม่สามารถดูแลการจัดพระราชพิธีสำคัญให้ผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อยได้ ยอมรับว่าการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงครั้งนี้มีแนวโน้มเหมือนเหตุการณ์ชุมนุมเดือนเมษายนที่ผ่านมา

นายปณิธานกล่าวว่า หลังประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง จะกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณสถานีขนส่ง จุดเข้า-ออก กทม. บ้านพักบุคคลสำคัญ สถานที่ราชการ

"สุเทพ"แจงป้องกันคนร่วมงานฉลอง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯด้านความมั่นคง กล่าวก่อนประชุม ครม.ว่า ที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคง เพราะต้องการปกป้องประชาชนที่ออกมาเฉลิมฉลองร่วมใจกันจัดงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากไม่ป้องกันเอาไว้ก็เป็นห่วงพี่น้องประชาชนที่มางาน เมื่อถามว่า จะขีดวงให้กลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมเฉพาะบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยใช่หรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะคนมางานเป็นแสนหากเจอคนที่มาชุมนุมก็จะทำให้คนที่มางานลำบากใจ

นายสุเทพกล่าวว่า ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยนายกฯ หากจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่นั้น จากการเดินทางไปดูพื้นที่ จ.เชียงใหม่ คิดว่าวิธีการที่จะทำให้ทุกอย่างสงบเรียบร้อยได้ก็ต้องใช้การประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งสามารถประกาศห้ามชุมนุมบางถนน บางท้องที่ได้ ใครมาชุมนุมก็จะถูกจับกุมดำเนินคดี

เมื่อถามว่า กลัวอะไรถึงประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง นายสุเทพกล่าวว่า 1.จำนวนคน เพราะทราบว่าเขาพยายามให้ ส.ส.ขนคนมา ภาคเหนือตอนบนเขามี ส.ส.ตั้ง 34 คน 2.เหตุการณ์ที่ จ.เชียงใหม่ เคยมีความรุนแรงถึงขนาดฆ่าคนตายบนถนน 3.ปลุกระดมทางวิทยุชุมชนทุกวัน ส่วนกรณีที่มีการประโคมข่าวลอบสังหารนายกฯนั้นประเมินไม่ได้ แต่เมื่อมีข่าวก็ไม่ประมาท
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคว่า นายสุเทพชี้แจงว่าเป็นเพียงการชุมนุมช่วงแรกเท่านั้น แต่หลังจากงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาแล้ว คาดว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมระลอกสอง โดยเป้าหมายเพื่อเร่งเร้าให้รัฐบาลยุบสภา

ภท.หวั่นซ้ำรอย"พฤษภาทมิฬ"

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แถลงว่า ที่ประชุมพรรค ภท.มีความเป็นห่วงการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ที่เชื่อได้ว่าจะมีประชาชนที่ได้รับการจัดตั้งมาร่วมชุมนุมมากกว่าทุกครั้ง แต่ที่เป็นห่วงคือการก่อความรุนแรง

"วันนี้กลุ่มเสื้อแดงมีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวแค่เพียง ส.ส. แต่ยังมี พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และกลุ่ม ตท.10 เพื่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหลายท่านมีแนวคิดที่ต่างจากคนอื่น อาจจะมีแนวคิดใช้ความรุนแรง ย้อนไปถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ที่มีการก่อจลาจล ซึ่งว่ากันว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นอยู่ในพรรคเพื่อไทย" นายศุภชัยกล่าว

ครม.ขอร้อง"มาร์ค"งดไปเชียงใหม่

แหล่งข่าวกล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. รัฐมนตรีส่วนใหญ่ อาทิ นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการมหาดไทย นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ เสนอให้นายกฯยกเลิกเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายน โดยนายบุญจงระบุว่า จ.เชียงใหม่ เป็นรังเสื้อแดง อยากให้นายกฯถนอมเนื้อถนอมตัวเอาไว้ เป็นห่วงกันว่ากลุ่มคนเสื้อแดงอาจใช้เหตุการณ์วันที่ 29 พฤศจิกายน เป็นตัวจุดชนวนแล้วลามมาก่อความวุ่นวายในกรุงเทพฯ แม้แต่นายสุเทพให้ความเห็นว่า "ถ้าถามในความเห็นของผม ผมก็เห็นว่าท่านไม่ควรไป แม้จะมั่นใจในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ก็ตาม แต่ก็ไม่อยากให้เกิดการปะทะและสูญเสีย"

ท้ายที่สุดนายกฯจึงสรุปว่า ครม.จะยังไม่ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงใน จ.เชียงใหม่ เว้นแต่ตนจะเดินทางไป จ.เชียงใหม่ ก็ค่อยมาพิจารณาเรื่องนี้ ส่วนจะไปหรือไม่ ขอรอดูสถานการณ์อีกครั้งก่อน

ที่พรรคภูมิใจไทย (ภท.) นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า จ.เชียงใหม่ ถือเป็นพื้นที่ล่อแหลม ซึ่งนายชวรัตน์ก็ได้รับเชิญไปเช่นกัน แต่จะใช้วิธีวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน

ที่พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรค ชทพ. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า โดยส่วนตัวเห็นว่าไม่ควรประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงที่ จ.เชียงใหม่ และใจของตนก็ไม่อยากให้นายกฯไปร่วมประชุม น่าจะใช้วิธีประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์แทน

แดง3

กอ.รมน.ปรับแผนคุมม็อบทั่วกรุง

ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) เรียกประชุมหน่วยความมั่นคง เพื่อเตรียมแผนปฏิบัติงานการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะชุมนุมในกรุงเทพ และจ.เชียงใหม่

พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษก กอ.รมน. กล่าวว่า พล.อ.อนุพงษ์ เป็นประธานการประชุมปรับรายละเอียดในการเตรียมการรักษาความสงบเรียบร้อย หลังจากที่ครม.มีมติประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงเต็มพื้นที่กรุงเทพฯ ทำให้ทาง กอ.รมน.ต้องปรับแผน และปรับกำลังใหม่ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ โดยพล.อ.อนุพงษ์เน้นย้ำว่า ในการชุมนุมทั้ง 2 ที่ คือ กรุงเทพฯและเชียงใหม่จะต้องไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น แม้จะมีการยั่วยุใดๆ ขอให้เจ้าหน้าที่อดทน และวันที่ 25 พฤศจิกายน นายสุเทพจะเรียกประชุมคณะกรรมการ กอ.รมน. เพื่ออนุมัติตั้ง ศอ.รส. และอนุมัติแผนการปฏิบัติของ ศอ.รส.

ก.ม.ม.ปูดปฏิญญาดูไบบันได5ขั้น

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และว่าที่เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) กล่าวว่า เชื่อว่าหลังแกนนำ นปช.หลายคนบินไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มีความเป็นไปได้ที่จะมีปฏิญญาดูไบ เพื่อให้แกนนำกลับมาเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายในประเทศไทย เท่าที่ทราบมีการออกแบบบันได 5 ขั้นไว้แล้วคือ ขั้นแรก ม็อบนาฬิกาปลุก จะมีมวลชนมากกว่าทุกครั้ง อาจจะถึงแสนคน เพื่อรอสัญญาณรุกจากนายใหญ่ ขั้นที่ 2 คือ รุกฆาตรัฐบาล โดยจะกดดันเข้มข้น จัดกำลังดาวกระจาย บีบให้นายกฯ ประกาศหรือกำหนดช่วงเวลายุบสภา โดยจะปิดล้อมหรืออาจถึงขั้นยึดทำเนียบ รัฐสภา กองบัญชาการกองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ และเอเอสทีวี รวมทั้งใช้แท็กซี่จอดล็อคเกียร์ทิ้งไว้เพื่อขวางถนนในหลายๆ จุดสำคัญ เพื่อให้การจราจรเป็นอัมพาต

ยั่วยุปฏิวัติ-ดันตั้งรบ.แห่งชาติ

ส่วนขั้นที่ 3 คือ ก่อการป่วนเมือง หากนายกฯไม่ประกาศยุบสภาจะเพิ่มแรงกดดันด้วยการสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เช่น อาจวางระเบิด ลอบสังหารบุคคลสำคัญ บันไดขั้นที่ 4 คือ เอาเรื่องอำมาตย์ โดยเฉพาะโจมตี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ส่งผลอย่างมีนัยยะต่องานเทิดพระเกียรติ 5 ธันวามหาราช สถานการณ์เช่นนี้จะบีบให้กองทัพเลือกข้างจนอาจต้องรัฐประหาร บันไดขั้นที่ 5 คือตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยหลังรัฐประหาร พ.ต.ท.ทักษิณจะต่อรองเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติตามแนวคิด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย หวังเจรจาแบ่งปันอำนาจ เพื่อนิรโทษกรรมตัวเองและเครือข่าย หากคณะรัฐประหารปฏิเสธ จะใช้มวลชนขับไล่ต่อต้าน

ศาลตีกลับอีกขอจับ"เพชรวรรต"

วันเดียวกัน ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พล.ต.ต.สิทธิพร ศรีจันทร์ทับ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เรียกสำนวนคดีที่พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ ที่รวบรวมพยานหลักฐานเสนอขอหมายจับนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ต่อศาล จ.เชียงใหม่ แต่ศาลให้กลับมาทบทวนข้อกล่าวหา เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง

ต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.อ.ยุทธชัย พัวประเสริฐ์ ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมพนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงใหม่ เดินลงจากศาล จ.เชียงใหม่ ด้วยท่าทางเหนื่อยล้าหลังนำสำนวนขอนุมัติออกหมายจับนายเพชรวรรตเข้าพบผู้พิพากษาศาล จ.เชียงใหม่ เพื่อขอหมายจับอีกครั้ง โดยใช้เวลานานกว่า 5 ชั่วโมง แต่ทั้งหมดปฏิเสธให้ความเห็นใดๆ คาดว่า ศาลยังไม่ออกหมายจับอีกครั้ง เพราะสำนวนคดีอ่อนเกินไป

"สุเทพ"ซุ่มไปเชียงใหม่คุยทหาร

พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 กล่าวว่า สั่งการให้ทหารทุกหน่วยติดตามสถานการณ์ข่าวสาร และความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างใกล้ชิด

พล.ท.วรรณทิพย์ ว่องไว แม่ทัพน้อยที่ 3 กล่าวว่า ภายหลังหารือร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง เมื่อค่ำวันที่ 23 พฤศจิกายน ซึ่งที่ประชุมเห็นว่าควรประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ในบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งตนเห็นด้วยเพราะประเมินสถานการณ์ไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร จากคำประกาศข่มขู่ค่อนข้างรุนแรงจึงไม่ประมาท

"ผมว่าที่นายกฯจะเดินทางมาปฏิบัติภารกิจใน จ.เชียงใหม่ เพื่อต้องการแสดงอำนาจรัฐเช่นกัน เพราะเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วควรไปได้ทุกที่ หากไปไม่ได้สังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร จะเลือกตั้งหาเสียงกันอย่างไร และนายกฯบอกเองว่าหากท่านมา ก็ไม่ได้ห้ามชุมนุม แต่ขอว่าอย่าให้มีความรุนแรงเท่านั้น" แม่ทัพน้อยที่ 3 กล่าว

แดงเชียงใหม่ยื่นจม.ต้าน"มาร์ค"

วันเดียวกัน กลุ่มแดงเชียงใหม่เพื่อประชาธิปไตยจำนวน 50 คน นำโดยนายพีรพล มรกต เดินทางไปชุมนุมชูป้ายไม่ต้อนรับนายอภิสิทธิ์ ที่หน้าศาลากลาง จ.เชียงใหม่ พร้อมยื่นหนังสือถึงผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ รวมทั้งสถานที่พักและที่จัดการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ อาทิ โรงแรมเลอเมอริเดียน โรงแรมอิมพิเรียลแม่ปิง โรงแรมเซ็นทาราดวงตะวัน โรงแรมรอยัลล้านนา และโรงแรมรอแยลปรินซ์เซส ขอให้ยับยั้งนายกฯไม่ให้มา จ.เชียงใหม่

นายพีรพลกล่าวว่า ชาวเชียงใหม่ไม่ต้องการให้นายอภิสิทธิ์เดินทางมา เพราะเกรงจะมีกระแสต่อต้านที่รุนแรง ส่วนข่าวการปองร้ายนายกฯไม่เกี่ยวกับกลุ่มของเรา เพราะไม่สนับสนุนใช้ความรุนแรง

ด้านนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด ที่ปรึกษากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ขอสนับสนุนการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ที่ จ.เชียงใหม่ ที่เชิญนายกฯปาฐถกาพิเศษ เพราะเชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ จ.เชียงใหม่ ขอเรียกร้องพี่น้องประชาชน จ.เชียงใหม่ ร่วมกันแสดงออกถึงวุฒิภาวะของเจ้าภาพการประชุมหอการค้าทั่วประเทศ

-----------------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------------------

เหตุผล-ข้อกำหนด พ.ร.บ.มั่นคงทั่วกทม.

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอเหตุผลประกอบการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงในพื้นที่ กทม. ดังนี้

ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนเป็นต้นไป มีแนวโน้มจะเกิดความวุ่นวายทางการเมืองจากการที่มีกล่มบุคคลบางกลุ่มได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน ในการปลุกระดมและนัดชุมนุมให้เข้าร่วมในการเรียกร้องความต้องการตามแนวทางและผลประโยชน์ของกลุ่ม มุ่งหวังเพื่อกดดันให้นายกฯยุบสภาหรือลาออก โดยกำหนดให้มีการชุมนุมและเคลื่อนไหวตามถนนและสถานที่สำคัญในเขต กทม.

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนั้นจะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตโดยปกติของประชาชนโดยทั่วไป รวมทั้งการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ประกอบกับการชุมนุมดังกล่าวมีเจตนาดำเนินการในลักษณะยืดเยื้อ และอยู่ในห้วงการจัดงานพระราชพิธี เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งอาจมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีบางกลุ่มก่อเหตุระหว่างการชุมนุม และขยายลุกลามจนเกิดสถานการณ์ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

จึงเสนอประกาศพื้นที่ปรากฏเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในพื้นที่ กทม. ระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน-14 ธันวาคม 2552 โดยให้ กอ.รมน.เป็นผู้รับผิดชอบในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ที่กระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และจัดทำแผนการดำเนินการในการบูรณาการ กำกับ ติดตาม และเร่งรัดหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด รวมทั้งจัดตั้งศูนย์อำนวยการหรือหน่วยงานเพื่อปฏิบัติภารกิจนี้เป็นการเฉพาะ

ทั้งนี้ มอบให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เป็นประธานศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ เพื่อดำเนินการต่อไป

ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 18 พ.ร.บ.ความมั่นคง

เพื่อให้สามารถป้องกัน ควบคุม และแก้ไขสถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ผอ.รมน. โดยความเห็นชอบของ ครม. ออกข้อกำหนด ดังนี้
1.ให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องปฏิบัติการหรืองดเว้นการปฏิบัติการอย่างหนึ่งอย่างใด เพื่อช่วยเหลือหรือสนับสนุนการดำเนินการในอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน.ตามแผนการ เพื่อดำเนินการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง แก้ไขบรรเทาเหตุการณ์
2.ห้ามบุคคลใดเข้าออก หรือต้องออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของกอ.รมน.
3.ห้ามนำอาวุธออกนอกเคหสถาน
4.ห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหรือการใช้ยานพาหนะ
5.ให้บุคคลปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติอย่างใดอันเกี่ยวกับเครื่องมือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ตามชนิด ประเภท ลักษณะการใช้ หรือภายในบริเวณพื้นที่ที่ ผอ.รมน.ประกาศกำหนด เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของประชาชน

นอกจากนี้ ยังกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง เป็นเจ้าพนักงานหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายจำนวน 14 ฉบับ โดยการใช้กฎหมายให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็น ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ อาทิ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ.2493 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2493 พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 ประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา เฉพาะบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการใช้อำนาจสืบสวนสอบสวน และการใช้อำนาจของพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550


---------------------------------------------------------

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถึงแก่อสัญกรรม อาลัยสมัคร มะเร็งคร่าชีวิต



ร่วมไว้อาลัย"ลุงมัคร"



อดีตนายกรัฐมนตรี 'สมัคร สุนทรเวช' ถึงแก่อสัญกรรมที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ด้วยโรคมะเร็ง เตรียมนำศพบำเพ็ญกุศล ที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันพรุ่งนี้ ...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 08.48 น. วันนี้ (24 พ.ย.) นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ได้ถึงแก่อสัญกรรมด้วยอาการสงบ ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ หลังเข้าพักรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งขั้วตับ เป็นเวลาประมาณ 1 ปี

ทั้งนี้เมื่อวานนี้นายสมัคร มีอาการทรุดหนัก แพทย์ได้นำเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู แต่อาการไม่ดีขึ้น ในที่สุดจึงถึงแก่อสัญกรรม ด้วยวัย 74 ปี

ขณะนี้ ญาติได้เตรียมนำศพไปบำเพ็ญกุศลที่ศาลา 100 ปี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม และ จะมีพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.)

สำหรับนายสมัคร เกิดเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2478 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรคนที่ 4 ในจำนวนพี่น้อง 6 คน ของ เสวกเอกพระยาบำรุงราชบริพาร (เสมียน สุนทรเวช) และคุณหญิงบำรุงราชบริพาร (อำพัน จิตรกร) ภรรยาชื่อ คุณหญิงสุรัตน์ สุนทรเวช มีบุตรสาวฝาแฝด 2 คน

นายสมัคร เริ่มเล่นการเมือง เมื่อปี 2511 โดยเข้าเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และเป็น ส.ส.กทม. เรื่อยมาทุกสมัยการเลือกตั้ง นอกจากนี้ ยังเคยได้รับตำแหน่งที่สำคัญทางการเมืองอีกมากมาย ต่อมาได้ก่อตั้งพรรคประชากรไทย นั่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค และเมื่อวันที่ 29 ม.ค. 2551 นายสมัคร ขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดทางการเมือง โดยเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 25ของประเทศไทย และควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จับตา! แดงเดือด


28 พ.ย. วันดีเดย์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงนัดรวมพลเพื่อออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง อีกหนึ่งคำรบและเป็นอีกหนึ่งวันที่หลายฝ่ายจับตาการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะฟากฝั่งรัฐบาลที่มอนิเตอร์ทุกจังหวะก้าว หลังมีข่าวขู่เอาชีวิต นายกฯ จากแดนล้านนา จนทำให้คนรัฐบาลอยู่ไม่เป็นสุขจ้องจะปิดวิทยุชุมชนขณะที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล(ศปก.น.) รับผิดชอบในการติดตามสถานการณ์ของกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองรายงานสถานการณ์ด้านการข่าวล่าสุดให้ผู้บังคับบัญชาใน นครบาลทราบโดยระบุว่า...กลุ่มผู้ชุมนุม นปช.โดย วีระ มุสิกพงศ์ จตุพรพรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นัดชุมนุมใหญ่

ที่ กทม.เพื่อกดดันให้รัฐบาลยุบสภาวันที่ 28 พ.ย. ตั้งเวทีปราศรัย ชุมนุมค้างคืนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วันที่ 29 พ.ย.ตั้งเวทีปราศรัยชุมนุมค้างคืนที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลวันที่ 30 พ.ย.-1 ธ.ค. จะเดินทางไปตามถนนสายต่างๆ(ดาวกระจาย) ใน กทม.คาดว่าจะดาวกระจายไปที่ต่างๆประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ บ้านพักนายกรัฐมนตรี ถ.สุขุมวิท สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ สถานีโทรทัศน์ ASTV

บ้านพักสี่เสาเทเวศน์ ฯลฯรายงานระบุว่า...แกนนำ นปช.นำโดย นายวีระ กับพวกจะเดินทางไปปราศรัยตามภาคต่างๆ ทุกภาค ตั้งแต่วันที่ 23 – 26พ.ย.เพื่อปลุกระดม ชักชวนให้มวลชนเข้าร่วมชุมนุมใน กทม.คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมจำนวนมาก“จะต้องติดตามความเคลื่อนไหวว่าจะมีผู้ร่วมชุมนุมจำนวนเท่าใด จะมีการสร้างสถานการณ์หรือจะมีความรุนแรงหรือไม่” รายงานจาก ศปก.น. รายงานด้าน รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้มีจุดประสงค์เพื่อต้องการล้มรัฐบาลให้ได้โดยอ้างว่าเพราะที่ผ่านมา...รัฐบาลรวมทั้งพรรคร่วมมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และยิ่งเดือนหน้าจะมีการลงทะเบียนให้กับผู้เป็นหนี้นอกระบบ อาจยิ่งเป็นเงื่อนไขที่กลุ่มคน

เสื้อแดงต้องเร่งเคลื่อนไหวเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเร็วที่สุดนอกจากนี้ การที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เดินสายไปยังประเทศต่างๆ เพื่อต้องการให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเคลื่อนไหวด้วย เพื่อเร่งจุดแตกหัก“การเร่งเดินเกมของกลุ่มคนเสื้อแดงในขณะนี้เพราะต้องการหวังผลก่อนที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐบาลก็คงต้องมีการเตรียมความพร้อม เพื่อป้องกันเหตุร้ายให้รัดกุมมากขึ้น” รศ.ดร.ปณิธาน

กล่าวเช่นเดียวกัน พล.ต.ดิฏฐพร ศศะสมิต โฆษกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ว่า…ยังไม่มีการสั่งการใดๆ เพราะต้องตกลงกันในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนว่า จะประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงหรือไม่ แต่เราติดตามสถานการณ์ตลอดอย่างไรก็ตาม การดูแลการชุมนุมมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้ดูแลหลักอยู่แล้ว เราเพียงทำงานให้สอดคล้องกับตำรวจเท่านั้นขณะเดียว

กันกลุ่มคนเสื้อแดงก็จับตาการเคลื่อนไหวของภาครัฐเช่นกัน โดยเฉพาะการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ที่จะหารือในช่วงเช้าวันที่ 24 พ.ย.ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งมีความเป็นไปสูงที่รัฐบาลจะเลือกใช้พ.ร.บ.คู่บุญฉบับนี้มาให้ควบคุมสถานการณ์สิ่งที่ “รศ.ดร.ปณิธาน” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ได้กล่าวเป็นข้อมูลแก่สื่อมีทั้งคำพูดที่ “ถูกต้อง” และ “ไม่ถูกต้อง”ที่ถูกต้อง คือ คนเสื้อแดงมีเป้าหมายเคลื่อนไหวเพื่อ“ล้มรัฐบาล” จริง...แต่อยู่ที่ว่า

รัฐบาลจะดำเนินมาตรการใดในการเข้าควบคุมสถานการณ์เป็นสิ่งที่ประชาชนกำลังเฝ้าติดตามส่วนคำพูดที่ “ไม่ถูกต้อง” คงเป็นเรื่อง...รัฐบาลรวมทั้งพรรคร่วม มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ซึ่งหากเป็นการกระทำที่จริงดังว่า...ประชาชนคนไทยมีความ“กินดีอยู่ดี” ไม่ตายอดตายอยากอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้เชื่อเถิดว่า...เหล่ามวลชนคงไม่ลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลซึ่งหมายถึง “พวกท่าน”จริงหรือไม่? รศ.ดร.ปณิธาน!

ที่มา.บางกอกทูเดย์

ใกล้หมดเวลา มาร์คอปิสิด

โดยคุณ ธุลีดิน
นับเวลาถอยหลัง และฝั่งพันธ์แมลงสาบ
ไม่ให้มันกลับมาครองเมือง

กู้แล้วโกง จงออกไป

เห็นโฆษกมันบอก เร่งล้มเพราะกลัวรัดทะบานโจรมีผลงาน
ฟังแล้วขำ ผ่านมาเกือบปี มีผลงานอะไรมิทราบ
มีแต่ผลหนี้ ที่มันก่อมาให้เราชาวไทยช่วยกันชดใช้

เงิน๒พัน มันก็อ้างมนุษย์เงินเดือน ทั้งๆที่มันต้องการช่วย ธ.กรุงเทพ
เอาปลากระป๋องเน่า ช่วยผู้ประสบภัย
เอานมบูดไปแจกเด็ก
เอาข้าวเสีย ไปแจกคนที่เจอน้ำท่วม
ทำหลักสูตรหลอกๆ เอาเงินต้นเน่าปลิวชีพ ล้มเหลวไม่เป็นท่า
กองทุนหมู่บ้านพอเพียง โกงกันแบบไม่เพียงพอ เครื่องกรองน้ำ ไม่ถึงหมื่น มันทำให้ถึงแสน

ยังไม่หนำใจ มารค์ทรราช เอาประเทศไปจำนำ เอาเงินกู้มาโกงทุกโครงการ ทุกรายละเอียด
แบบนี้ แถวบ้านผม เรียกว่าขายชาติ สร้างหนี้ให้กับประชาชน ใครเขาจะทนเลือกมันเข้ามา
นอกจากบ้าและโง่ มีสมองเท่า หัวแมลงสาบ ถึงจะเลือกพรรคขายชาตินี้กลับมาอีก
หนี้ที่มันก่อ มากกว่ารายได้ของประเทศทั้งปี
สิ่อมวลโจร ปล่อยให้มันเอาประเทศไปขายและเอาเงินมาโกง
โดยไม่เห่าหอน เพราะถูกตอน ด้วยเศษเงินกู้

ตั้งแต่ มันมาเป็นนายก หาเงินเข้าประเทศได้บ้างไหม
มีแต่กู้ และ กู้ กู้ได้แล้ว ก็โกง และโกง ก่อกรรมทำหนี้ไว้ให้กับบ้านเมือง

ลึกสุดใจ"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ความลับ"สงครามครั้งสุดท้าย"



สัมภาษณ์พิเศษ

โดย สุเมศ ทองพันธ์

"ผมพยายามทำให้ทักษิณเขากลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยให้ได้ แล้วก็รับโทษ จากนั้นจะนิรโทษหรืออภัยโทษอะไรก็แล้วแต่"...

"ผมตั้งใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดให้ได้ภายใน 1 ปี 1 ปีเท่านั้นแล้วจบ...ผมก็ไป"

ก่อนยึดอำนาจ "19 กันยายน 2549" เพื่อโค่นล้ม "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลพรรคไทยรักไทย

"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตนายกรัฐมนตรี เดินเคียงข้าง "พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์" ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

ซึ่งถูกฝ่าย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ประทับตราว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ

แต่ หลังจากนั้นอีก 2 ปีเมื่อ "พรรคพลังประชาชน" ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งและกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล "พล.อ.ชวลิต" กลับก้าวเข้ามารับตำแหน่ง "รองนายกรัฐมนตรี" ใน "รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์"

แล้วหลังหมดอายุขัย "รัฐบาลสมชาย" ซึ่ง พรรคประชาธิปัตย์ ได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล โดยที่ "พรรคเพื่อไทย" ตกอยู่ในฐานะ "ฝ่ายค้านพรรคเดียว"

"พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" ได้ตัดสินใจเดินกลับเข้ามาสู่วังวนการเมืองอีกครั้ง ด้วยการเข้าสวมเสื้อ "พรรคเพื่อไทย" ประกาศตัวสู้ใน "สงครามครั้งสุดท้าย" อยู่ฝ่าย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ซึ่งเท่ากับว่า ต้องยืนคนละฟากฝั่งกับ "พล.อ.เปรม" อย่างเต็มตัว

แล้วหลังจากนั้น ในแต่ละก้าวที่ "พล.อ.ชวลิต" เดิน ไม่ว่าจะเหยียบย่างไปที่ไหน อดีต "ขงเบ้งแห่งกองทัพไทย" สามารถกำหนดเกมสั่นคลอน "รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ได้ทุกครั้ง

ซึ่งเขาเปิดใจให้ "มติชน" ได้ฟังทุกกลเกมเบื้องหลังหมากร้อยชั้นทุกการเคลื่อนไหว ตั้งแต่ตัดสินใจเข้ามาเขียนใบสมัครสมาชิกพรรคเพื่อไทย มีอะไรซ่อนอยู่ เพื่ออะไร เพื่อใคร แล้วสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

@ การตัดสินใจเข้ามาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย?

ผมมีเรื่องสำคัญ 5 ข้อที่จะต้องแก้ไขและพิสูจน์ให้ได้ คือ 1.ผมจะพิสูจน์ว่าพรรคการเมืองนี้ เสื้อสีนี้ คนคนนี้ อยู่ที่ไหนรู้อยู่แล้ว จงรักภักดีจริงหรือไม่ 2.ผมจะพิสูจน์ให้เห็นถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในแผ่นดินที่กำลังเกิดขึ้น 3.ผมตั้งใจจะมาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในภาคใต้ ซึ่งก็ได้ทำไปแล้ว 4.ผมจะแก้ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน และ 5.ผมจะเข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน ส่วนเรื่องอื่นๆ เรื่องเล็กๆ เรื่องการเมือง อย่าง ส.ส.คนไหน จะลงที่ไหน อย่างไร ผมไม่ยุ่ง พวกคุณไปจัดการกันเอง ผมจะมาแก้ปัญหาของแผ่นดิน เรื่องนี้ผมบอกกับคุณทักษิณเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และผมตั้งใจจะแก้ปัญหาทั้งหมดให้ได้ภายใน 1 ปี 1 ปีเท่านั้นแล้วจบ...ผมก็ไป

วันนี้ผมก็พยายามพิสูจน์ข้อที่ 1 เรื่องความจงรักภักดีให้ได้ ตอนนี้กำลังดำเนินการ แอพโพรช (วิธีการเข้าหา) ผู้หลักผู้ใหญ่ กำลังหาช่อง ยังไม่ชัดเจน

ตอนที่ผมเข้ามาพรรคเพื่อไทย ก็มีคนที่ผมเคารพให้ บิ๊กหมง (พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์) มาบอก ผมก็เคารพท่านอยู่แล้ว ผมก็ฝากบอกบิ๊กหมงไปว่า ผมรับทราบ แต่วันนี้เหตุการณ์ ไปไกลแล้ว

เรามาแก้ปัญหาความขัดแย้งกัน ผมว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วงมาก เราเห็นแล้วว่าความขัดแย้งในประเทศนั้น ถ้าเราไม่แก้ไขโดยด่วน วิกฤตใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ ผมมองว่ามีเพียง 3 สถาบันเท่านั้นที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ได้ คือ 1.สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งวันนี้พระองค์ทรงพระราชกรณียกิจอย่างหนักมานานแล้ว เราจะรบกวนเบื้องพระยุคลบาทอีกหรือ 2.สถาบันทหาร ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหามัวแต่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ ยุ่งเหยิง น่าจะไปบอกป๋า (พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ) ให้ป๋าทำเองสัก 90 วัน แก้รัฐธรรมนูญสัก 2 มาตรา แล้วถอนตัว ปล่อยให้เขาไปลงเลือกตั้งกัน ถ้าทำได้จะเป็นวีรบุรุษ ไปให้ พล.อ.สุรยุทธ์ (จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี) มาทำ ปัญหาของชาติมัน Very simple แต่ทหารทำไม่ได้ ทำมาเละ! ผ่านมาแล้วรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ ต้องสร้างอำนาจให้ประชาชน ผมพยายามเสนอผู้มีอำนาจ บอกว่าอย่าไปยุ่งตรงนั้น ทำเพื่อประชาชนก่อน แล้วค่อยโดยประชาชน เหมือนรัฐบาลจีน แต่ก็ยังทำไม่ได้ แล้วเราจะยอมให้เข้ามาอีกหรือ ดังนั้นจึงเหลือเพียงสถาบันที่ 3.คือรัฐบาล ซึ่งวันนี้ก็เห็นแล้วว่ายังไม่มีการดำเนินการที่จะแก้ไข ไม่ได้ทำในสิ่งที่เป็นปัญหาของชาติที่สะสมมานานกว่า 77 ปี ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดังนั้นวิกฤตใหญ่จะเกิดขึ้นแน่นอน

วันนี้ยังมีความขัดแย้งเรื่องสีเสื้อ ตีกันด้วยไม้หน้าสาม ผมออกจากราชการก่อนเกษียณ 4 ปี ได้เข้ามาแก้ไขปัญหา ยุติปัญหาปฏิวัติ ยุติสงครามประชาชนได้แล้ว แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ กำลังจะแก้ปัญหาพื้นฐาน เรื่องความไม่เป็นธรรมในสังคม ผมเอากองทัพมาพัฒนาประเทศ ทุกคนชนะหมด ไม่มีแพ้ จากนั้นก็เอากองทัพไปสร้างระบบการปกครองที่เป็นธรรม ให้ความรู้คน...แต่ยังไม่สำเร็จ แต่ขณะนั้นเขาก็ยึดอำนาจไม่ได้ เพราะตลอดเวลาเราปราบการปฏิวัติตลอด นี่เป็นสาเหตุที่เราออกจากราชการก่อน 4 ปี แล้วเดินต๊อกๆ เข้าไปสู่อำนาจ

การแก้ปัญหาของชาติวันนี้รัฐบาลเป็นสถาบันสุดท้ายที่จะแก้ปัญหาให้ได้ แต่ต้องรู้ว่าปัญหาคืออะไร ต้องมีเครื่องมือที่เหมาะสม การแก้ปัญหามันก็เหมือนกับเราจะไปสร้างถนน คือเราจะต้องมีรถแทร็กเตอร์ ถึงจะใช้สร้างถนนได้ ไม่ใช่มีแค่สิ่ว-ขวาน ดังนั้นเราต้องไปจัดภาพรัฐบาลให้เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหา จัดภาพรัฐบาลให้เห็นกันไปเลยว่ารัฐบาลนี้จะมาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง ซึ่งเราจะเรียกรัฐบาลนั้นว่ารัฐบาลเฉพาะกาลหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่จะเป็นรัฐบาลที่เราจะมาช่วยกันหาทางลง เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้คิดถึงพวกถึงพ้อง แต่จะมาแก้ปัญหา

"สถานการณ์ทุกอย่างขณะนี้กำลังจะนำไปสู่การปฏิวัติ โอกาสที่จะเกิดการปฏิวัติ เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมีสูงมาก เพราะะ 1.ผู้ปกครองเอง 2.ผู้อยู่ภายใต้การปกครอง เริ่มไม่ยอมให้ปกครอง และ 3.พวกที่เคยล้าหลังเริ่มก้าวหน้า ก็คือพวกนายทุนที่เริ่มก้าวขึ้นมา ซึ่งทั้ง 3 อันดูเหมือนจะทำให้ใกล้เข้าสู่การปฏิวัติเต็มที เมืองไทยกำลังจะไม่มีทางออกอื่น ผมก็ดีใจ ที่ผมก้าวเข้ามาในจังหวะที่สามารถยุติสงครามปฏิวัติได้ทันท่วงที ป้องกันความขัดแย้งเฉพาะหน้าได้เร็ว"

อย่างปัญหาภาคใต้ ผมทำสำเร็จแล้วนะ หลังจากนี้ก็จะมีวงวิชาการในพื้นที่ออกมาพูดเรื่องนครปัตตานี กำลังลงไปสัมผัสใจประชาชน สัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ ไปใช้บ้าน นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เปิดรับฟังความคิดเห็น สะท้อนปัญหาในพื้นที่กัน อีกไม่กี่วันนี้ก็คงจะมีเกิดขึ้น ทราบว่า บิ๊กบัง (พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน) ไปเสนอว่า จังหวัดชายแดนภาคใต้มี 10 ล้านคน เอาไปเลย 1 ทบวง คนเขาหัวเราะกันตกเก้าอี้ นึกไม่ถึงว่าบิ๊กบัง มุสลิมแท้ๆ จะคิดแต่เรื่องผู้ปกครอง เรื่องอำนาจ

ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ทำสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว พรรคนี้หรือไม่จงรักภักดี แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่ต้องพูดกัน ผมตั้งใจว่าจะเปลี่ยนคนเสื้อแดง ที่วันนี้เขาชูรูปทักษิณ ให้มาเป็นการชูพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งตอนนี้ทำได้แล้ว แล้วก็จะให้ ส.ส.ที่มีอยู่ 180 กว่าคนเนี่ย ลงพื้นที่ไปทำโครงการพระราชดำริ หลายๆ โครงการ อย่างโครงการป่ารักน้ำ ของสมเด็จฯท่าน ก็กำลังจะให้พวกนี้เขาลงไปทำ ทำไปเลยโครงการชลประทาน แก้มลิงในภาคอีสาน โดยไม่ต้องพูดว่าจงรักภักดียังไง พวกเราทำถวายฯ

ส่วนข้อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วันนี้เราก็เห็นว่าเป็นปัญหามาก อย่างกัมพูชา ผมจะรู้จักกับ ฮุน เซน (สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา) มานาน ตั้งแต่ 30 ปีก่อน พล.อ.ศรีสวัสดิ์ แก้วบุญพัน ของประเทศลาว บอกผม เฮ้ย จิ๋วเอ้ย เอ็งมาลาวหน่อย มีคนอยากพบ ผมก็ไป ก็พาไปก็แนะนำกับ ฮุน เซน บอกว่าฮุน เซน อยากพบผม แล้วก็ขอให้ผมสรุปโครงการต่างๆ ที่กำลังทำอยู่ในเมืองไทยให้ฟัง ตอนนั้นนั่งกัน 3 คน ขวาเป็น รณฤทธิ์ (สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา) ซ้ายเป็นฮุน เซน พบกันแบบ Six eyes เลย ซึ่งที่ผมไปกัมพูชา ผมก็ไปในระดับความสัมพันธ์ระหว่างพรรคกับพรรค ประคองความสัมพันธ์ของรัฐบาลต่อรัฐบาล ผมก็ไม่เข้าใจว่ามาโกรธผมทำไม เราเป็นประเทศใหญ่จะต้องใจเย็น ... จ๊ะจ๋า... เดี๋ยวก็ดีกันไปเอง

"ความขัดแย้งระหว่างเรากับกัมพูชาในสายตาอินเตอร์เนชั่นแนล เราใหญ่กว่าเขา ทำไมไร้ความอดทน ยิ่งกรณียกเลิกเอ็มโอยู นี่ร้ายกาจมาก ไปดูรายละเอียดยิ่งเยอะ ประเทศเพื่อนบ้านนี่ เราต้องให้ความสำคัญ ประเทศใกล้สำคัญกว่าประเทศไกล เรื่องในบ้านสำคัญกว่าปัญหานอกบ้าน เสียดายมาร์ค (อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) มาว่าผม เอาความลับไปขาย สมัยก่อนตอนผมเริ่มเข้ามาทำงานสนองคุณแผ่นดิน ตอนนั้นมาร์คอยู่ไหนก็ไม่รู้"

ท่านเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (อดีตนายกรัฐมนตรี) บอกว่าเมืองไทย อะไรๆ ก็ดีหมด ยกเว้นผู้นำ (หัวเราะ) น่าสงสารประเทศไทย (หัวเราะอีก)

อย่างไปมาเลเซียก็เหมือนกัน เขากับเราก็มีความเห็นร่วมกันว่าสมควรจะแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งพวกเราที่อยู่ในที่ก็ตระหนักกันดีว่าถ้าไม่ทำตั้งแต่วันนี้ปัญหาจะหนักขึ้นแน่นอน เราจึงต้องใช้ยาแรงหน่อย ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้ไปอยู่ในหัวใจเขา เพราะจริงๆ แล้วพื้นตรงนั้นเป็นพื้นที่ที่น่ารัก ผมจะผลักดันให้เป็นภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ ทำภาคใต้ให้เป็นแลนด์มาร์คใหญ่ในภูมิภาค ให้ตรงนั้นเป็นเกียรติประวัติในชีวิตของเขา เพื่อเอาสังคมภูมิบุตร มาสู่การแก้ไขปัญหา

"ทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าข้างหนึ่งเป็นโบสถ์ใหญ่ของวัดช้างไห้ เป็นศาสนาพุทธ ตรงกลางเป็นมัสยิดกรือเซะ ทำให้ใหญ่ไปเลยของพี่น้องมุสลิม ถัดไปก็เป็นศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ที่เขาจะไปสักการบูชากัน อย่างนี้น่ารักไหม ทำไมเราจะทำไม่ได้ แต่วันนี้มันน่ากลัวที่ภาคเหนือ มันก็บอกว่าเป็นล้านนามา 800 ปีแล้ว ภาคอีสาน ... ศรีโคตรบูร ก็บอกว่ามีมาเป็นพันๆ ปี ไอ้ ลังกาสุกะ ก็ว่ามันมีมาเป็นพันปีเหมือนกัน อย่างนี้แล้วประเทศไทยมันมีมากี่ปี เป็นเนชั่นสเตทมากี่ปีเอง นี่คือจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขให้ได้"

นอกจากกัมพูชาและมาเลเซียแล้วก็จะมีไปเวียดนาม ตั้งใจจะไปพบเพื่อนเก่าของผม รัฐบุรุษ โงเหวี่ยนเกี๊ยป ซึ่งเวียดนามเนี่ยผมบอกได้เลยว่าตอนนี้สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว คือเขารู้ว่าเราเป็นเพื่อนเขา ถ้าจะจำกันได้ เมื่อไม่กี่ปีที่แล้วเวียดนามมาประชุม ครม. นอกสถานที่ที่ประเทศไทยนะ มาประชุมกันนครพนม บ้านผมนะ สมัยผมเป็น ผบ.ทบ.ใหม่ๆ ตอนนั้นผมไปเวียดนาม ไปกัน 7 คนมีบิ๊กจ๊อด (พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีต ผบ.ทบ.) บิ๊กสุ (พล.อ.สุจินดา คราประยูร อดีตนายกรัฐมนตรี) ก็ไปด้วย มี รมว.กลาโหม มี ผบ.ส.ส. มีนายพลอีก 400 นายมาต้อนรับเรา เขาพูด 1 ชั่วโมง ผมพูดแค่ 5 นาที ปรบมือกันเกรียวเลย

"ผมพูดว่าในภูมิภาคนี้ถ้าไทยกับเวียดนามเป็นศัตรูกัน ภูมิภาคนี้ไม่มีวันสงบสุข แต่ภูมิภาคนี้มีศัตรูตัวฉกาจอยู่ตัวหนึ่ง...แล้วผมก็หยุดพักหนึ่ง ในห้องเงียบกันหมด ผมก็บอกว่า ศัตรูตัวนี้คือความยากจน เขาปรบมือกันไม่หยุด เหมือนที่มอสโคว์ เราก็เป็นนายทหารกลุ่มแรกที่ไปคุยกับเขา"

@ จะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหรือไม่?

(หัวเราะๆ) พอแล้ว....ไม่เอาแล้ว มาครั้งนี้ผมมาทำให้บ้านเมือง ถ้าสำเร็จแล้วผมก็ไป ก่อนที่จะเข้ามาที่พรรคเพื่อไทย ผมเขียนจดหมายบอกทักษิณเขาไว้ เป็นเงื่อนไข 10 ข้อ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือผมจะไม่รับตำแหน่งอะไรเลย แล้วจะไม่ยุ่งกิจการภายใน ท่านไปจัดการกันเอง ถ้าจะให้เป็นหัวหน้าพรรคมันก็ขึ้นอยู่กับว่าถ้าจะให้เป็นอีกก็ต้องมีการเรียกประชุมแล้วก็เลือกกันด้วยโหวตเตอร์ เรื่องอะไรผมจะให้โดนด่า มันก็จะมาด่าว่านอมินีทักษิณ ส.ส.มันก็จะมาด่า แต่ก็พลาดไปแล้ว ออกมาแล้วเขาให้เป็นประธานพรรค แต่ผมยืนยันเลยนะ คนอย่างผมทำอะไรก็ต้องทำด้วยตัวเอง

"ผมบอกทักษิณเขาแล้ว ว่าผมขอเป็นแค่สมาชิกพรรคคนหนึ่ง เป็นสมาชิกอย่างเดียว ผมก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไร เขาก็ไม่รู้ว่าผมคิดอะไร ผมบอกไปเลยนะ ผมจะไม่ยุ่งเรื่องภายในพรรค ส.ส.คนไหนจะลงสมัครที่ไหนยังไง ให้ไปจัดการกันเอง ในจดหมายผมบอกชัดว่าทุกอย่างให้เขา คงเอาไว้ต่อไป เรื่องเลือกคนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เขาเลือกเองนะ...รู้สึกว่าเขาจะเลือกไว้แล้วด้วย...ผมไม่ยุ่ง

มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนมาถามผมเหมือนกันนะว่า ได้ 3,000 ล้านจากทักษิณจริงไหม...งง! ผมงงเลย บาทนึงยังไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ใช้เงินคุณหญิงหลุยส์ (คุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ ภริยา) อยู่เลย

@ 10 ข้อที่เขียนเป็นจดหมายถึง พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นมีอะไรบ้าง?

อืม...ผมจำไม่ได้แล้วสิ ว่ามีอะไรบ้าง... แต่นี่เป็นหนึ่งข้อในนั้น คือผมบอกเขาขอเป็นแค่สมาชิกธรรมดา

ทักษิณอยากให้เป็นอะไร ก็ขอให้เป็นไปตามครรลอง มีการโหวต ลงคะแนน มีการประชุมพรรค เป็นระบบ

@ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอบจดหมายมาว่าอย่างไร?

เขาก็ยอมรับ ต้องคุยกัน ให้เข้าใจตรงกัน แหม ... คนในพรรคเขาทำงานกันเกือบตายแล้วเราจะมาเอาได้ไง

คือมันเป็นข้อตกลง และเราต้องทำแบบนี้ เพื่อไม่ให้คนนอก-คนใน เขาเข้าใจผิด เพราะพรรคนี้พวกเขาทำกันมา เราเพิ่งเข้ามาแล้วจะมาเป็นนั่นเป็นนี่ไม่ได้

@ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งขุนพลข้างกาย ที่เป็น 111 อดีต กก.บห.ไทยรักไทยมาช่วยงานในทีมวอร์รูมบ้างหรือไม่?

ไม่มีเลย ... ไม่มี

@ ประเมินไว้ว่าจะมีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อไร?

เราจะประเมินไม่ได้ ต้องรู้ไปเลยว่ายุบสภาเมื่อไร วันไหน เราต้องเป็นผู้กำหนด ไม่ใช่ให้รัฐบาลมากำหนด

@ สถานการณ์ความขัดแย้งจะไปถึงจุดไหน อย่างไร?

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างก็จะเหมือนที่ผมได้พูดมาทั้งหมดแล้วตั้งแต่ต้น แต่ตอนนี้กำลังพยายามทำให้ทุกอย่างมันซอฟต์ลง

"ผมพยายามทำให้ทักษิณเขากลับเข้ามาอยู่ในประเทศไทยให้ได้ แล้วก็รับโทษ จากนั้นจะนิรโทษหรืออภัยโทษอะไรก็แล้วแต่ คนที่มีอำนาจในเมืองไทยก็ควรจะ well come (ต้อนรับ) ท่านทักษิณด้วยนะ โดยเราจะต้องไม่ไปทำอะไรให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทพระเจ้าอยู่หัว เพราะเรื่องแบบนี้พวกเราก็ทำกันเองได้อยู่แล้วนี่"

@ เคลียร์กับ พล.อ.เปรม หรือยัง?

มันต้องได้พบกันถึงจะเคลียร์กันให้ได้ แต่ถ้ายังอยู่ห่างๆ กันอย่างนี้ ลำบาก!

ท่านทักษิณก็เหมือนกัน ถ้าท่านจะไปหาป๋า บอกป๋าให้มาช่วย อ่อนน้อม ถ่อมตนไม่ได้เหรอ ท่าทีตอนนี้มันแข็งไปนิดหนึ่ง

@ นโยบายในประเทศที่ต้องการเสนอให้พรรคเพื่อไทยขับเคลื่อนมีอะไรบ้าง?

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจุดอ่อนของเราอยู่ในกระบวนการ ซึ่งทุกคนรู้อยู่ อย่างพรรคการเมืองวันนี้ มวลชนมันนำพรรค ซึ่งความจริงมวลชนมันต้องเดินตามพรรค โดยพรรคจะต้องเป็นผู้ควบคุมมวลชน เป็นมวลชนของพรรค แต่กลายเป็นว่าตอนหลังพรรคเดินตามมวลชน อย่างคนเสื้อแดงวันนี้ พรรคเพื่อไทยจะต้องไม่ทิ้ง เพราะคนเสื้อแดงมีคุณูปการต่อพรรค เวลาพรรคตกอับก็ยังมีคนพร้อมที่จะเดินให้พรรค ดังนั้นพรรคจะทิ้งไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ผมจะเสนอคือ พรรคเพื่อไทยจะต้องทำให้คนยากคนจนทั้งหลายที่เขานิยมชมชอบในพรรคเพื่อไทย จะต้องให้มวลชนพื้นฐานมาขึ้นอยู่กับพรรค ทำให้มาเป็นฐานรากของพรรคให้ได้ ส่วนเรื่องที่เหลือยังพูดไม่ได้ ผมยังพูดตอนนี้ไม่ได้จริงๆ ขอร้องๆ มันเป็นความลับยังพูดไม่ได้

ส่วนการแก้ไขปัญหาความยากจนเรื่องหนึ่งใน 5 ข้อผมพูดมาตลอดว่าอยากให้ชาวนาขับรถเก๋งให้ได้ ชาวนาจะต้องส่งลูก ส่งหลานไปเรียนเมืองนอกให้ได้ ชาวนาต้องขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวเมืองนอกได้ อย่าง อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) ผมเป็นคนผลักดันนะ ผลักดันมาตั้งแต่แรก แรกๆ มีแต่ ตาสี ตาสา ยายมี ยายมา ตอนนี้ไปดูสิ อบต. มีแต่ดอกเตอร์นะครับ

@ มองพรรคการเมืองใหม่อย่างไรบ้าง?

พรรคสนธิ (ลิ้มทองกุล) เหรอ เขาด่าผมมากไปหน่อย ...ผมว่าลำบากนะ ไม่ใช่ง่ายๆ การตั้งพรรคการเมือง น่าจะรอก่อน ก็ไม่เอา ผมก็อยากจะคุยกับเขานะ เขาก็คือเพื่อนเราทั้งนั้น

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

กับดักชาตินิยม ชาญวิทย์ ศิริเกษตร


Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
หมายเหตุ: บทความหน้าแรกจากแทบลอยด์ไทยโพสต์

ลัทธิชาตินิยมนั้นเป็นอะไรก็ตามที่สามารถจะไปได้ไกลมากๆ คือลัทธิชาตินิยมเป็นเรื่องของความรัก ความรักชาติ เป็นห่วง เป็นพลังสร้างสรรค์ แต่ถ้าล้ำเส้นมันก็กลายเป็นความหลง พอหลงปุ๊บคลั่ง หลงปุ๊บตาบอด หลงก็คลั่ง แล้วมันอาจไปถึงขนาดทำอะไรก็ได้ กลายเป็นพลังลบ เป็นพลังทำลาย อันนี้คือทวิลักษณ์ของลัทธิชาตินิยมเช่นเดียวกัน มีด้านที่เป็นบวกซึ่งดีมากๆ ถ้าเรารักชาติเราเสียสละ เราทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองเราเจริญ ทำได้เยอะมาก

พลังของ ‘ชาตินิยม’ เป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ง่ายนัก ‘ชาติ’ ทำให้เราขนลุก ทำให้เรารู้สึกว่าจะทำอะไรก็ได้ที่เป็นการเสียสละ ที่คนจำนวนเป็นล้านๆ ที่ต้องตายลงโดยสิ่งที่อธิบายได้ยากยิ่ง

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อธิบายไว้ในงานเขียนเล่มล่าสุด ‘ลัทธิชาตินิยม/สยามกับกัมพูชาและกรณีศึกษาปราสาทเขาพระวิหาร’..แม้ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา คราวนี้จะไม่เกี่ยวกับปราสาทพระวิหาร แต่วาทกรรม ชาตินิยม ก็กำลังถูกปลุกกระแสไม่ต่างกัน แทบลอยด์เลือกสัมภาษณ์ อ.ชาญวิทย์ แม้จะรู้ดีว่าในกระแสรักชาติที่กำลังเชี่ยวเช่นนี้ การหยุด ฟัง นั้นอาจจะเกิดขึ้นได้ยากก็ตามที
ทวิลักษณ์ชาตินิยม
“ชาตินิยมเป็นอุดมการณ์ เป็นอุดมคติที่สำคัญมากๆ สำหรับ รัฐ หรือว่าประเทศสมัยใหม่ก็มีทุกประเทศ ผมคิดว่าชาตินิยมของประเทศเรานั้น ที่เป็นมาแต่เดิมเป็นลักษณะผสมระหว่างสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่าเป็น ราชาชาตินิยม กับสิ่งที่เรียกว่า อำมาตยา-เสนาชาตินิยม ซึ่งส่วนใหญ่เมื่อพัฒนามาถึงปัจจุบันแล้วจะมีหัวใจอยู่ที่สถาบันพระมหา กษัตริย์ และในบางครั้งก็จะเอาเรื่องของเชื้อชาติ อย่างเช่นพูดเรื่องความเป็นไทยเข้าไปบวกด้วย เพราะฉะนั้น อันนี้ผมมองว่าเป็นลักษณะดั้งเดิมของลัทธิชาตินิยมของเรา ซึ่งอาจจะบอกได้ว่าเป็นทวิลักษณ์ก็ได้ มีการประสานกันระหว่างสิ่งที่เป็นราชากับเป็นอำมาตยา-เสนาชาตินิยม ก็เป็นเวอร์ชั่นซึ่งรัฐผู้ปกครองใช้มาอย่างมีประสิทธิภาพพอสมควร เป็นระยะเวลาผมคิดว่าสักเกือบๆ 100 ปีมาแล้วก็ได้”

“พอ มาถึง ณ จุดนี้ ถามว่าลัทธิชาตินิยมฉบับดั้งเดิมจะมีผลหรือไม่ ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการปลุกกระแสลัทธิชาตินิยมขึ้นมาอย่างที่เราเห็น กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้หรือขัดแย้งกันเอง ในกลุ่มการเมืองภายในประเทศอย่างที่เราเห็นมาตั้งแต่ปี 2548-2549 ก็ยกประเด็นชาตินิยมฉบับดั้งเดิมนี้ขึ้นมา ว่าด้วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และเราก็เห็นว่ามีการตอกย้ำว่าด้วยเรื่องสถาบันกษัตริย์อยู่ตลอดเวลา เรื่องของความไม่จงรักภักดี เรื่องของการทรยศ เรื่องของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ก็จะเห็นมาตลอดตั้งแต่ปี 2548 จนกระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2549 เราก็เดินมาอย่างนี้ 2550, 2551, 2552 และ ตอนนี้มันขยายออกไปอีกจากความขัดแย้งการเมืองภายในของเหลืองกับแดง ผมว่ามันขยายไปอีกจนกระทั่งกลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศ คือไทยกับกัมพูชา ผมคิดว่าอันนี้จะมีบทพิสูจน์ว่าชาตินิยมเวอร์ชั่นนี้ ที่ว่าด้วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะยังมีประสิทธิภาพอยู่หรือไม่

ผมคิดว่าอันนี้เป็นบทพิสูจน์นะครับ คือผมคิดว่าในด้านหนึ่งถ้าเรานิยามชาตินิยมอยู่ตรงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็น 3 ใช่ไหม มันก็จบ ถ้าตกลงกันว่าแค่นี้ก็จบ แต่ผมคิดว่าใน 70-80 ปีที่ผ่านมา มันมีปรากฏการณ์อันหนึ่ง ก็คือการเติมคำว่าและเข้าไป คำว่าและนี่สำคัญมาก อย่างเช่นในตอนแรกมีการเติมคำว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ ซึ่งก็เปลี่ยนลักษณะของลัทธิชาตินิยมเก่าไป แน่นอนจากวิวัฒนาการประวัติศาสตร์ทางการเมืองของเรา คำว่าและรัฐธรรมนูญ มันก็ยังไม่เป็นผล มันก็ยังไม่ลงหลัก มีการเปลี่ยนและนี่อยู่เรื่อย และรัฐธรรมนูญฉบับไหนล่ะ จะฉบับที่ 1 ฉบับที่ 2 ซึ่งยังเป็นและรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรสยาม จนกระทั่งมาฉบับที่ 3 จนกระทั่งถึงฉบับปัจจุบัน คือฉบับที่ 18 ราชอาณาจักรไทย และคำนี้ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ”

“แต่มันมีอะไรบางอย่างที่ผมสะกิดใจนะ และก็สะดุดตา ก็คือว่าภายหลังเหตุการณ์พฤษภาเลือด 2535 สถานที่ราชการของทหารอย่างน้อย 2 แห่งที่ถนนราชดำเนินนอก เขียนไว้เหนือตึกกับเหนือประตูทางเข้าของโรงเรียนนายร้อย จปร.เก่าว่า ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน ผมคิดว่าตรงนี้น่าสนใจมาก แปลว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างนับตั้งแต่ปี 2535 และประชาชน คำนี้น่าสนใจมาก เพราะว่ารัฐธรรมนูญเรายังมองเห็นได้ใช่ไหมครับ เราจับต้องได้ เป็นกระดาษ เขียนขึ้นมาอยู่ในสมุดไทยวางอยู่บนพานรัฐธรรมนูญอะไรก็ตาม แต่และประชาชนนี่ อะไรคือประชาชน คำนี้เป็นคำที่ผมว่าเป็นนามธรรมมาก อย่างกรณีประธานาธิบดีลินคอล์น บอกว่าประชาชนธิปไตยคือ การปกครองของประชาชน โดย ประชาชน เพื่อประชาชน ประชาชนนี่คือใคร ใครๆ ก็บอกว่าเป็นประชาชนได้ใช่ไหมครับ ประชาชนในที่สุดแล้วมันจะไปพิสูจน์เอาในวันหย่อนบัตรเลือกตั้ง 51 ต่อ 49 ก็ถือว่าชนะแล้วในระบอบการปกครองประชาธิปไตยสมัยใหม่ ก็กลายเป็นเสียงข้างมากแล้ว 51 ต่อ 49 ก็อ้างว่าเป็นประชาชนได้ เพราะ ฉะนั้น ตรงนี้ผมคิดว่าสถานการณ์ทางการเมืองปัจจุบันของการต่อสู้ ทั้งการเมืองภายในระหว่างสีเหลืองกับสีแดง และคู่ต่อสู้มีทั้งทางฝ่ายของพรรครัฐบาลของคุณอภิสิทธิ์ มีทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ สีเหลือง มีทั้งฝ่ายสีแดง ซึ่งก็อาจจะพูดได้ว่าผู้นำก็คือคุณทักษิณกับคุณชวลิตนั่นเอง มันจะออกมาอย่างไรในการต่อสู้นี้ เพราะในที่สุดแล้วผมคิดว่าต้องมีเลือกตั้งไม่ช้าก็เร็ว และตรงนั้นแหละมันจะพิสูจน์ว่าคำว่าและประชาชน จะ 60 ต่อ 40 หรือ 55 ต่อ 45 จะอยู่กับข้างไหน จะอยู่กับวิธีการตีความและอ้างอิงของชาตินิยมเวอร์ชั่นเดิม หรือจะอยู่กับวิธีการและการตีความของเวอร์ชั่นใหม่ อันนี้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เราจะต้องจับตากันแบบไม่กะพริบเลย”

เท่ากับพิสูจน์ว่า ชาตินิยมแบบเก่ายังมีประสิทธิภาพแค่ไหน

“ตรงนั้นจะเป็นตัวบอกว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่มีประสิทธิภาพ ตรงนั้นจะเป็นตัวบอกว่าจะใช้ได้ผลไหม แต่ผมคิดว่าใกล้ๆ ตัวเราต้องดูว่าการชุมนุมในวันอาทิตย์ที่ 15 จะเป็นอย่างไร จะมีคนมาแค่ไหน จะจบลงในวันเดียวเพื่อแสดงพลังหรือว่าจะขยายต่อไปอีก อันนี้ผมคิดว่าก็คงต้องตามดูอย่างตาไม่กะพริบเช่นกัน เพราะว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ”

ถึงกระนั้น หลังจากอภิสิทธิ์ตอบโต้กัมพูชากลับไป ก็ทำให้โพลล์ความนิยมเพิ่มขึ้นมาก นั่นแสดงว่าคนไทยก็ยังมีฐานความคิดชาตินิยมเก่าอยู่พอสมควร

“ชาตินิยมฉบับดั้งเดิมที่เราใช้กันมาเกือบ 100 ปีฝังรากลึกมากนะครับ กี่เจเนอเรชั่น ถ้าคิดถึงเจเนอเรชั่นที่โดนปลุกระดมอย่างรุนแรง คือเจเนอเรชั่นแม่ผม แม่ผมก็เติบโตเป็นสาวในสมัยประมาณช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประมาณช่วงเปลี่ยนจากสยามเป็นไทย มารุ่นผมซึ่งเป็นรุ่นขิงแก่ และหลังรุ่นผมนี่มีอีกกี่รุ่นล่ะ ผมก็นึกถึงรุ่นลูก หลาน และเหลนด้วยซ้ำบางที ประมาณ 4-5 เจเนอเรชั่น 4-5 ชั่วอายุคน เพราะฉะนั้นมันฝังรากลึกมาก สะกิดปุ๊บมันก็ติด ต้องพูดว่าจุดปุ๊บก็ติดปั๊บ แต่มันก็มีแต่อีกว่ากระแสนี้จะรักษาได้ยาวเท่าไหร่ นานเท่าไหร่ โพลล์ที่บอกว่า 3 เท่าตัวจะอยู่ไหม คือโพลล์ผมก็คิดว่ามันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา มันมีปัญหามีเทคนิคมีอะไรเกี่ยวกับโพลล์เยอะแยะ ซึ่งคงจะพูดไม่ได้ครอบคลุม แต่ผมคิดว่าเพียงเมื่อประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่แล้ว โพลล์ก็บอกว่าคุณทักษิณนำคุณอภิสิทธิ์ แต่ตอนนี้โพลล์ของคุณอภิสิทธิ์ได้รับความนิยมถึง 3 เท่า แต่อันนี้จะอยู่ไหม และผมคิดว่าเผลอๆ มันไปพิสูจน์เอาเมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งเมื่อไหร่เราก็ไม่รู้ ตัวตัดสินน่าจะอยู่ตรงนั้น”

ประวัติศาสตร์บาดแผล
การ นัดชุมนุมของพันธมิตรฯ ในวันอาทิตย์นี้ก็น่าจะวัดได้ระดับหนึ่ง ว่ากระแสชาตินิยมจะปลุกขึ้นได้เพียงใด อ.ชาญวิทย์ยังไม่แน่ใจนัก เพราะเงื่อนไขเวลานี้ต่างจากยุคสฤษดิ์-จอมพล ป.

“เพราะ ว่าเอาเข้าจริง ถ้าเราดูเรื่องการปลุกกระแสชาตินิยมในอดีต มันถูกปลุกโดยรัฐ ถูกปลุกโดยรัฐบาล แต่ปัจจุบันรัฐบาลมีส่วนปลุกไม่เต็มที่ คือผมไม่คิดว่ารัฐบาลจะไม่ปลุกเลยนะ ผมคิดว่ารัฐบาลปลุก รัฐบาลปลุกและก็รัฐบาลใช้เครื่องมือที่มีอยู่ โทรทัศน์บางช่องที่ออกมาเสนอประวัติศาสตร์บาดแผล ประวัติศาสตร์ฉบับพิกลพิการว่าด้วยพระยาละแวกอะไรอย่างนี้ คือ ใช้วาทกรรมว่าพระนเรศวรนั้นล้างแค้นตัดหัวกษัตริย์กัมพูชาเอาเลือดมาล้างพระ บาท ดูแล้วเหมือนกับพระนเรศวรนั้นใจดำอำมหิตมากเลย ล้างแค้นถึงขนาดหนัก แต่เอาเข้าจริงมันเป็นประวัติศาสตร์ซึ่งถูกทำให้เชื่อว่าพระยาละแวกถูกจับ ตัดหัว แต่ในข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์นั้น กษัตริย์กัมพูชาหรือพระยาละแวกหนีไปเมืองลาวได้ อันนี้เป็นงานประวัติศาสตร์ซึ่ง อ.จันทร์ฉาย ภัคอธิคม ทำการศึกษาค้นคว้า เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เธอทำการค้นคว้าเรื่องพิธีปฐมกรรมพระยาละแวก และเธอก็ได้เป็นศาสตราจารย์ไปเพราะว่างานค้นคว้ายอดเยี่ยมมาก และก็ได้พิสูจน์แล้วว่าพระนเรศวรตีเมืองละแวกได้ แต่ฆ่าพระยาละแวกไม่ได้

แต่ ว่าประวัติศาสตร์อีกอันหนึ่งที่โทรทัศน์ของรัฐเอาขึ้นมาใช้ปลุกระดม ซึ่งผมคิดว่าอันนี้น่าเป็นห่วง มันเป็นการใช้ประวัติศาสตร์บาดแผลมาตอกย้ำ ทำให้เกิดความบาดหมางกับกัมพูชาต่อไป ในอีกด้านหนึ่งก็ทำให้คนไทยรับข้อมูลผิดๆ สืบทอดอคติความคิดที่เป็นลบต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”

“แต่ ว่าประเด็นที่พูดก็คือว่า การปลุกกระแสชาตินิยมส่วนใหญ่อันนี้ ก็คือทำโดยกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มเสื้อสีเหลือง ซึ่งไม่ใช่องค์กรของรัฐ ดังนั้นก็จะต่างกับสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่างจากสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม อันนั้นใช้เครื่องมือของรัฐโดยตรงเลย แต่ตรงนี้ต่าง เมื่อต่างแล้วก็อาจจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่เคยเป็นมาในอดีต และมันต่างอีกตรงที่ว่าปัจจุบัน คือสมัยสฤษดิ์กับสมัยจอมพล ป. ไม่มีฝ่ายค้าน ไม่มีคู่ต่อสู้ทางการเมือง จึงเล่นได้ค่อนข้างสบายมาก เพียวๆ ไปเลย ในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปลุกระดมเรื่องการแพ้คดีเขาพระวิหารนั้น พรรคฝ่ายค้านคือประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็เป็นทนายให้รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ดังนั้นไม่มีคนคัดค้าน”

“ผมคิดว่าปัจจุบันมันมีกลุ่มการเมืองเยอะแยะที่ไม่เห็นด้วย คุณชวลิต คุณทักษิณนี่ชัดเจน และก็กลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งยังมีความหลากหลายอีกเยอะแยะ ผมคิดว่ากลุ่มนักวิชาการถึงแม้จะเป็นกลุ่มเล็กๆ เสียงไม่ดังมากเท่ากับนักวิชาการกระแสหลัก ก็ไม่เห็นด้วยไม่น้อย และผมคิดว่าข้อสำคัญโลกปัจจุบันมันเป็นโลกของอินเทอร์เน็ต คนจำนวนมากเลยที่มีความรู้มีสถานะ สามารถใช้สื่อทางเลือก ไม่พึ่งกับสื่อปกติ ไม่พึ่งอยู่กับโทรทัศน์วิทยุ อย่าง ผมนี่ปกติผมจะไม่ค่อยดูโทรทัศน์ เพราะผมคิดว่าโทรทัศน์นั้นอ่านข่าวและวิจารณ์ข่าวไปในตัว ผมว่าทำให้เรากลายเป็นจำเลยของคนอ่านข่าว มันไม่ให้อิสระเราได้คิด เขาให้เราเลยว่ามันคืออะไร แต่ผมคิดว่าการอ่านหนังสือพิมพ์หรือการอ่านข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต มันมีอิสระที่ว่าเราคิดได้ เรามีเวลาคิด เราค่อยๆ อ่านก็ได้ ผมคิดว่าโทรทัศน์นี่เป็นอันตรายมากๆ เพราะฉะนั้นตัวผมเองไม่ค่อยดู ตามอยู่บ้างแต่ว่าไม่ค่อยดู คิดว่ามันทำให้คนไม่สามารถสร้างความคิดอิสระได้ ไม่สามารถจะปลดปล่อย ตกเป็นทาส

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วมันมีคนจำนวนหนึ่งที่หันไปหาสื่ออื่น ทำให้การปลุกระดมอย่างที่เคยทำมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยจอมพลสฤษดิ์ หรือสมัย 6 ตุลาก็ได้ ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร สมัย 6 ตุลา 19 มองกลับไป fax ยังไม่มีเลย โทรศัพท์มือถือก็ยังไม่มี พอมาพฤษภาเลือด 2535 มี fax มี โทรศัพท์มือถืออันใหญ่ๆ และก็มีกล้องวิดีโอ ผมคิดว่าเทคโนโลยีสำคัญมากๆ ใครแพ้ใครชนะผมว่าบางทีเทคโนโลยีสำคัญมาก ฉะนั้น ในขณะนี้ใครไม่เล่นอินเทอร์เน็ต ใครไม่มีอี-เมล์เสียเปรียบมากนะ เจเนอเรชั่นผมส่วนใหญ่ไม่เล่นนะ พวกขิงแก่นี่ไม่เล่น แต่ผมบังเอิญต้องไปสอนหนังสือเมืองนอกบ่อยๆ มันก็เลยมีความจำเป็นต้องใช้ เราก็ไม่อายที่จะให้เด็กมาสอน บางทีเราไปอยู่เมืองนอกเราไม่ค่อยอายเท่าไหร่ อยู่เมืองไทยอาจจะอาย ไม่กล้าบอกว่าเล่นอินเทอร์เน็ตไม่เป็น บางคนอาจจะต้องมี e-mail address ไว้ แต่ไม่เคยเปิด เพราะฉะนั้นคนที่ไม่สามารถจับเทคโนโลยีพวกนี้ได้เสียเปรียบมากๆ ก็แปลว่า ในอีกด้านหนึ่งคนจำนวนหนึ่งเขาหันไปหาสื่อทางเลือก ผมคิดว่าอันนี้จะเป็นประเด็นสำคัญมากในแง่ของการต่อสู้ในการเมืองครั้งนี้”

เมื่อเทียบกับยุคก่อน ความขัดแย้งของสองประเทศที่อ่อนไหวขนาดนี้ป่านนี้คงลุกลามไปไกลแล้ว

“มันมีคนออกมาทานมีคนออกมาติง เพราะฉะนั้นมันก็อาจจะไม่ร้อนแรงเท่าที่ควร แต่ก็ไว้วางใจไม่ได้นะครับ เพราะว่าลัทธิชาตินิยมนั้นเป็นอะไรก็ตามที่สามารถจะไปได้ไกลมากๆ คือลัทธิชาตินิยมเป็นเรื่องของความรัก ความรักชาติ เป็นห่วง เป็นพลังสร้างสรรค์ แต่ถ้าล้ำเส้นมันก็กลายเป็นความหลง พอหลงปุ๊บคลั่ง หลง ปุ๊บตาบอด หลงก็คลั่งแล้วมันอาจไปถึงขนาดทำอะไรก็ได้ กลายเป็นพลังลบ เป็นพลังทำลาย อันนี้คือทวิลักษณ์ของลัทธิชาตินิยมเช่นเดียวกัน มีด้านที่เป็นบวกซึ่งดีมากๆ ถ้าเรารักชาติเราเสียสละ เราทำอะไรให้ชาติบ้านเมืองเราเจริญ ทำได้เยอะมาก แต่ถ้าเราข้ามเส้นบางเส้นไป ซึ่งมันอยู่ตรงไหนเราก็ไม่รู้นะ”

เส้นที่ว่านั้นอาจต้องมีศัตรูของชาติเสียก่อน

“อันนี้หละมันถึงมีวาทกรรมประหลาดๆ เข้ามา วาทกรรมว่าด้วยพระยาละแวก วาทกรรมว่าด้วยตะกวดลิ้นสองแฉก วาทกรรมว่าด้วยขอมไม่ใช่เขมร วาทกรรมว่าด้วยแผนที่ของฝรั่งเศสฝ่ายเดียว วาทกรรมว่าด้วยทางขึ้นสันปันน้ำอยู่ทางด้านเรา มันเป็นการสร้างทัศนคติที่เป็นลบ เป็นการสร้างอคติอย่างรุนแรงมากๆ”

กระทั่งมาถึงวาทกรรมล่าสุดที่ว่า คลั่งชาติดีกว่าขายชาติ

“ไม่น่าเชื่อนะว่ามันมาจากคนซึ่งมีการศึกษา ส่วนใหญ่แล้วชาตินิยมมักถูกปลุกโดยคนเมืองเป็นส่วนใหญ่ เป็นคนกรุงเทพฯ เป็นคนเมือง เป็นคนที่อย่างน้อยต้องมีปริญญาตรี ผู้นำของลัทธิชาตินิยม ดูกลับไปเถอะครับ จอมพล ป. พิบูลสงคราม หลวงวิจิตรวาทการ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์”

“สิ่ง ที่ผมคิดว่ามันน่าวิตกมากก็คือ การเมืองภายในของความขัดแย้งที่ไม่ยอมจบไม่ยอมสิ้น ผมคิดว่าเมื่อล้มคุณทักษิณไปได้ด้วยการรัฐประหาร ก็ต่อต้านนอมินีของคุณทักษิณต่อ ก็คือคุณสมัคร สุนทรเวช กับคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในช่วงของการพยายามล้มคุณสมัครกับล้มคุณสมชาย มันมีเหตุบังเอิญเรื่องการขึ้นมรดกโลกของปราสาทพระวิหาร มันกลายเป็นเหมือนกับสวรรค์บันดาล ส่งอะไรมาให้จุดปุ๊บติดปั๊บเลย มันก็กลายเป็นเรื่องที่สามารถจะใช้ถล่มทั้งคุณสมัคร คุณสมชาย คุณนพดลได้ และผมคิดว่ามันก็บานปลายต่อไป ถึงได้คู่ต่อสู้ใหม่คือสมเด็จฮุน เซน บานปลายถึงตรงนั้นกลายเป็นเรื่องระหว่างประเทศไป และมันก็กระทบกว้างมากๆ เพราะมันไม่ใช่เรื่องในบ้านเรา และก็ไม่ใช่เพียงไทยกับกัมพูชา มันกลายเป็นอาเซียน มันกลายไปขึ้นเวทีโลก เป็นสิ่งซึ่งผู้คนทั้งหลายก็มองอย่างวิตกกังวล และเผลอๆ อาจจะค่อนข้างประหลาดใจและเผลอๆ ดูถูกดูแคลนด้วย ประเด็นมันคล้ายกับมันไม่มีวุฒิภาวะหรืออย่างไร ในวงการทูตที่ผมพบเจอในกรุงเทพฯ บรรดาข้าราชการการทูตของต่างประเทศเขาก็รู้สึก บาง คนก็ประหลาดใจ ระคนกับความมองที่เหมือนกับว่าไอ้นี่มันอะไรนะ ทำนองนี้ ซึ่งในด้านหนึ่งมันก็น่าเศร้า อีกด้านหนึ่งเรื่องนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก คือน่าห่วง ผมคิดว่ามันมีสิทธิ์บานปลายมากๆ เลย”

“เลยกลายเป็นเรื่องของคุณทักษิณกับคุณอภิสิทธิ์ (หัวเราะ) ผมว่าดูๆ แล้วตกลงใครวางกับดักใคร คุณชวลิตไปพนมเปญกลับมาปุ๊บเป็นประเด็นเลย เรื่องจะมีบ้านพักหรูหราให้ และก็ตามมาด้วยฮุน เซน บอกว่าไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามมาด้วยคุณทักษิณไปบรรยายพิเศษ ตามมาด้วยคุณอภิสิทธิ์เรียกทูตกลับ มันว้าวุ่นไปหมดนะ ผมคิดว่าการต่าง

เราไม่ได้ถือไพ่เหนือกว่า พวงทอง ภวัครพันธุ์


ที่มา:ไทยโพสต์

เขาเคลื่อนไหวแต่ละครั้งมันก็เป็นข่าวที่ทำให้ไทยปวดหัวมาโดยตลอด เราจะชอบเขา-ไม่ชอบเขา นั่นเรื่องหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นของแข็ง ความสัมพันธ์ที่มีกับเขาเราต้องสุขุมรอบคอบ และต้องเข้าใจเขามากขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราไม่ได้ถือไพ่เหนือเขาอย่างที่เราคิดว่าเราเป็น

มีกระแสชาตินิยมในช่วงที่ผ่านมาคอยให้ข้อมูลผิดๆ กับประชาชนเรื่องของ 4.6 ตร.กม. การปฏิเสธที่จะให้มีการประนีประนอมกันในการพัฒนาร่วมพื้นที่นี้ ไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมาก็จะทำเรื่องนี้ได้ยากมาก จะเป็นอุปสรรคไม่ให้มีการเจรจาตกลงกันด้วยสันติวิธี ดังนั้น ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาก็จะลุ่มๆ ดอนๆ ไปอย่างนี้อีกพักใหญ่

//////////////

ตลอด 2 สัปดาห์นี้ ประเด็นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา อยู่ในความเป็นห่วงของแวดวงนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คือหนึ่งในนักวิชาการที่ติดตามประเด็นความขัดแย้งมาตั้งแต่กรณีปราสาทพระวิหาร สำหรับหนนี้ อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า การแลกกันแบบหมัดต่อหมัดอยู่อย่างนี้รังแต่จะเจ็บหนักกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายไทยที่ได้ออกหมัดเด็ดไปแล้ว ตั้งแต่เรียกทูตกลับ ยกเลิกเอ็มโอยูพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีป ทบทวนโครงการช่วยเหลือและเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ จะเหลือก็แต่ไม้ตายสุดท้ายคือการปิดชายแดน ซึ่งฮุน เซน สวนกลับทันควันว่าหากไทยปิด กัมพูชาก็พร้อมเช่นกัน

เจ็บทั้งสองฝ่าย
"ถ้าเราดูความขัดแย้งล่าสุดของไทย-กัมพูชาในขณะนี้ และการโต้ตอบกันไปมา ท่าทีของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่มีต่อไทยก็ จะเห็นว่าเขาไม่ได้อ่อนข้อให้กับไทยในอย่างที่ไทยคาดหวังว่าจะเป็น คือถ้าไทยแรงไปเขาก็แรงกลับ ซึ่งอันนี้ทำให้เราต้องกลับไปดูว่าเวลาที่รัฐบาลไทยตอบโต้กัมพูชา เป้าหมายคืออะไร ดิฉันคิดว่าเป้าหมายอันหนึ่งก็คือว่า ต้องการที่จะลงโทษกัมพูชา และรัฐบาลไทยอาจจะคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่ากัมพูชา ในแง่มองเห็นว่าเราเป็นประเทศใหญ่กว่า เรามีการค้า ได้กำไรทางการค้า เรามีการลงทุนในกัมพูชามากกว่า เราให้ความช่วยเหลือกัมพูชาด้วย ในเรื่องการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในการสร้างถนน และก็คิดว่าเราอยู่ในฝ่ายที่อยู่เหนือกว่ากัมพูชา แต่ถ้าเราดูท่าทีของฮุน เซน แล้ว เห็นว่าเขาไม่ได้แคร์สิ่งเหล่านั้นเลย เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น ในแง่ที่ว่าเขาไม่ได้พึ่งพิงประเทศไทยประเทศเดียว หรือไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจกับไทยอย่างเดียว จะใช้ว่าพึ่งพิงก็ไม่ถูก"

"จริงๆ แล้วเขาไม่ได้พึ่งพิงไทยอย่างเดียว โลกในปัจจุบันมันเป็นการพึ่งพิงซึ่งกันและกัน มันเป็นเรื่องของเศรษฐกิจการค้า ซึ่งถ้าคนซื้อเขาไม่ซื้อ คนขายก็เจ็บตัวไปด้วย มันไม่ใช่ว่าเราคิดว่าเขาต้องพึ่งพิงสินค้าเราแต่ฝ่ายเดียว ทุกวันนี้สินค้าที่ไทยเราขาย จีนก็ขาย เวียดนามก็ขาย เขาซื้อจากเราไม่ได้ เขาก็ไปซื้อจากเวียดนามจากจีนซึ่งถูกกว่าเราด้วยซ้ำไป และในแง่ของการลงทุน ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ ไทยก็ไม่ใช่เป็นประเทศใหญ่ที่ให้เขา เราไม่ใช่เป็นประเทศใหญ่อีกต่อไปที่ไปลงทุนในประเทศเขา ในแง่ของการลงทุน ถามว่าเราสามารถที่จะถอนการลงทุนของเราได้ทันทีไหม ถ้าเราคิดว่าอันนี้คือไพ่ที่เหนือกว่า ดิฉันคิดว่าถ้าถอนทันที-ไทยเราเจ็บตัว นักธุรกิจไทยเจ็บตัวแน่ๆ และบริษัทเหล่านี้ ถ้าเราไปดูมันเป็นบริษัทข้ามชาติ เป็นบริษัทมหาชนในประเทศไทยทั้งนั้นที่เข้าไปลงทุน บริษัทเหล่านี้เขาก็ต้องรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้นด้วย การลงทุนเป็นร้อยล้านพันล้าน มันไม่ใช่ว่าจะถอนตัวมาได้เพียงชั่วข้ามคืน อาจจะยังไม่ได้ทุนคืนด้วยซ้ำไป"

"เราจะเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์อึดอัดอย่างมาก ตอนหลังเวลาที่ถูกทางกัมพูชาตอบโต้มาและเราไม่มีไม้เด็ดที่จะออกไปอีก เพราะเราเล่นเอาไม้เด็ดออกไปตั้งแต่ครั้งแรกเลย พอเขาชกมาปุ๊บก็ปล่อยไม้เด็ดออกไปเลย นั่นก็คือการเรียกทูตกลับ ถ้าเราทำตามขั้นตอน เรียกทูตกัมพูชามายื่นจดหมายประท้วง ส่งหนังสือประท้วงออกไป ในเวลาที่เขาตอบโต้มาเรายังมีขั้นตอนต่อไป อันนี้รัฐบาลกำลังอยู่ในภาวะที่ทำต่อไปไม่ได้ เพราะว่าในที่สุดแล้วมันจะเจ็บ คือจะสั่งให้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเด็ดขาด ปิดชายแดน รัฐบาลก็รู้ว่าใครจะเดือดมากกว่า เพราะเวลาปิดชายแดนแต่ละครั้ง อย่างปิดชายแดนไทย-พม่า ซึ่งพม่าเวลาเขาปิดชายแดนเขาสั่งปิดทันที เขาไม่ได้ยืดเยื้อเลย และเขาก็รู้ว่าเราเดือดร้อน เพราะว่าเราต้องแคร์ถึงพ่อค้านักลงทุนของไทย"

เห็นได้ชัดว่าการเดินนโยบายการทางการทูต ให้น้ำหนักกับปัญหาการเมืองระหว่างรัฐบาล-ทักษิณมากเกินไป

"เป็นไปได้ว่าคนที่แวดล้อมคุณอภิสิทธิ์มีความไม่ชอบฮุน เซน มากๆ ฉะนั้น การกำหนดนโยบาย มาตรการที่ออกมา มันเป็นการเน้นความสะใจ เอาแรงเข้าว่าไว้ก่อน โดยที่ไม่ได้ทำการบ้านว่ามาตรการที่ออกมา มันจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อไทยในระยะยาว ก็ลำบาก มันก็เป็นข้อผิดพลาดตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ที่เอาคุณกษิตมาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ว่าปัญหาไทย-กัมพูชาเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อ หรือว่าคุณอภิสิทธิ์ไม่รู้ก็ไม่รู้นะ อาจจะประเมินเรื่องความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เรื่องปราสาทพระวิหารต่ำไปหน่อย ให้ความสำคัญกับกัมพูชาน้อยไปหน่อย ถึงได้ไปเอาคุณกษิตขึ้นมา ตอนนั้นอาจจะแค่มุ่งหวังให้คุณกษิตทำหน้าที่ตามไล่ล่าคุณทักษิณก็ได้ และก็ไม่สนใจความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน คิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ซึ่งดิฉันคิดว่าคุณอภิสิทธิ์รู้เรื่องการต่างประเทศน้อยเกินไป ซึ่งในเมื่อคุณเลือกผิด ผลที่ออกมามันก็เป็นอย่างที่เห็น"

จนถึงวันนี้ รัฐบาลไทยก็ยังเห็นว่าการตัดความช่วยเหลือเหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาจะได้ผล

"กรณีไทยให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชา ทั้งแบบให้เปล่าและแบบเงินกู้เริ่มขึ้นหลังสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ที่ไทยต้องการเข้าไปทำมาหากินในประเทศเพื่อนบ้าน แต่รัฐบาลไทยยุคนั้นตระหนักว่าเพื่อนบ้านไม่ไว้วางใจเรา ความไม่ไว้ใจย่อมเป็นอุปสรรคต่อความฝัน ที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ในเรื่องของความช่วยเหลือที่เราให้ ดิฉันไม่รู้ว่ารัฐบาลตัดสินใจระงับไปหรือยัง เอ็มโอยูความช่วยเหลือต่อกัมพูชาในเรื่องการสร้างถนน เป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ 1,400 ล้านบาท ตรงนี้ถามว่าใครได้ประโยชน์ที่เราช่วยเขา จริงๆ แล้วกลับไปดูเป้าหมายพื้นฐานเลย การที่เราช่วยเขามันทำเพื่อตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อกัมพูชา ซึ่งในช่วงที่เกิดขึ้นก็มีกลุ่มสื่อมวลชน กลุ่มชาตินิยม ก็บอกให้ตัดเลย ลงโทษให้เข็ดหลาบ ไม่จำเป็นต้องไปช่วยเหลือกัมพูชา จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เป้าหมายของการให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อสร้างถนนในกัมพูชา เพราะถนนเหล่านี้เป็นถนนที่เชื่อมโยงเข้าสู่ประเทศไทยทั้งนั้นเลย จากจังหวัดชายแดนไทยเรื่อยมาตั้งแต่ศรีสะเกษลงมาถึงตราด และเพื่อถนนเหล่านี้จะเชื่อมต่อเข้ากับถนนเส้นใหญ่ในกัมพูชา เพื่อเอาสินค้าของไทยไปขายในกัมพูชา ในพนมเปญ และก็ลงไปถึงเวียดนามใต้ แต่เราไปมองว่าเราให้เงินช่วยเขาเพื่อที่จะช่วยเป็นบุญคุณ นี่เป็นความเข้าใจที่ผิด และเราก็ไม่ใช่เป็นประเทศที่ให้ความช่วยเหลือเขามากที่สุด จีนกับญี่ปุ่นต่างหากที่ให้ความช่วยเหลือเขามากที่สุด เขากู้จากเราไม่ได้ เขาไปกู้จากที่อื่นก็ได้ ดังนั้นในแง่ของความช่วยเหลือฮุน เซน ก็จะเห็นว่าเขามีทางเลือก ในปัจจุบันเขามีความสัมพันธ์กับหลายประเทศ ทั้งประเทศเล็กประเทศใหญ่ กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาวทั้งเวียดนาม ประเทศที่อยู่นอกภูมิภาค กับฝรั่งเศสเองเขาก็มีการลงทุนเรื่องขุดเจาะน้ำมันกันอยู่ เขามีไพ่เล่นมากยิ่งขึ้น เขาไม่ใช่ในอดีตที่มาพึ่งพิงแค่เวียดนามกับไทย และก็ถูกแซนด์วิชโดยมีเวียดนามกับไทยขนาบข้าง และก็กดดันเขาได้อย่างในอดีต"

เพราะฮุน เซน ตระหนักแล้วว่าไทยไม่ใช่ทางเลือกเดียว ดังนั้น กัมพูชาจึงเดินความสัมพันธ์แบบรอบด้านกับทั้งประเทศเล็กใหญ่ ทั้งในและนอกภูมิภาค

"ดิฉันคิดว่ารัฐบาลคุณฮุน เซน อาจจะสรุปบทเรียนจากในอดีตที่เขาเป็นประเทศเล็ก และเขาจะต้องพึ่งพิงอยู่แค่ไทยและเวียดนาม และก็ปล่อยให้สองประเทศนี้มีอำนาจเหนือเขา แข่งขันกันมีอำนาจเหนือเขา สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องตระหนักก็คือว่า การมองความสัมพันธ์กับกัมพูชาในลักษณะที่คิดว่าตัวเองมีไพ่เหนือกว่ากัมพูชาหลายๆ ด้าน มันเป็นมรดกที่ตกค้างมาจากยุคสงครามเย็น ซึ่งโลกทุกวันนี้มันเปลี่ยนไป ยุคสงครามเย็นเราไม่พอใจที่ประเทศเพื่อนบ้านเป็นคอมมิวนิสต์ เราสั่งปิดชายแดนไทย-กัมพูชา และก็ไทย-ลาวเลย ประกาศห้ามสินค้าตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบเข้าไปขายในลาวและกัมพูชา เพื่อที่จะเป็นการกดดันให้ประเทศเพื่อนบ้านประสบกับความยากลำบาก เป็นการปิดล้อมประเทศคอมมิวนิสต์ แต่ในอดีตคนไม่ได้ทำการค้าซึ่งกันและกัน พอสงครามยุติลง รัฐบาลไทยสมัย พล.อ.ชาติชายบอกว่า ต้องการให้อินโดจีนเปลี่ยนจากสนามรบเป็นสนามการค้า เราก็เข้าไปค้าขายไปลงทุนอะไรมากขึ้น มันก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมันมีเรื่องที่ต้องคบค้าสมาคมในทางที่ดีมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์ และความสัมพันธ์นี้มันดึงให้ประชาชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย พ่อค้าแม่ค้าตามชายแดน นักลงทุน นักท่องเที่ยว ที่เข้าไปเที่ยวในประเทศต่างๆ เหล่านี้"

"แต่คราวนี้มันดึงเอาประชาชน นักธุรกิจระดับเล็กจนถึงระดับใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันก็เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เราต้องคำนึงถึงมากขึ้น เวลาที่เกิดความสัมพันธ์มันร้าวฉานขึ้น การตัดสินใจที่จะปิดชายแดนง่ายๆ หรือว่าไม่ขายของให้เขา เลิกคบค้าเขา มันทำได้ยากยิ่งขึ้น เพราะว่าโลกวันนี้มันพึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน นี่คือโลกที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าประเทศเล็กจะต้องง้อประเทศใหญ่เสมอไป หลายๆ เรื่องมันมีลักษณะที่พึ่งพิงซึ่งกันและกัน"

ในขณะที่สถานการณ์กับไทยยังเขม็งเกลียว แต่ความสัมพันธ์กับเวียดนามกลับแน่นแฟ้น แม้จะมีปัญหาการรุกล้ำเขตแดนที่สวายเรียง แต่ ฮุน เซน ยังคงสงวนท่าที

"ปัญหาชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านเป็นประเด็นที่รัฐบาลฮุน เซน ไม่ต้องการที่จะให้มีปัญหามาตลอด คือเราจะเห็นว่าในช่วงที่ความสัมพันธ์ดี กัมพูชากับไทยสามารถที่จะตกลงกันในเรื่องของการพยายามที่จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาปักปันเขตแดน การพัฒนาร่วมกัน เอ็มโอยูที่รัฐบาลไทยเพิ่งประกาศระงับไป ในการปักปันพื้นที่เขตไหล่ทวีป ก็เป็นการตกลงว่าจะปักปันเขตแดนและพัฒนา เอาทรัพยากรทางทะเลขึ้นมาใช้ร่วมกัน ก็ใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา กัมพูชาก็มีปัญหาเรื่องเขตแดนกับประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 3 ด้าน ซึ่งก็เหมือนไทย ไทยก็มีทุกด้าน กัมพูชากับเวียดนามก็มีความพยายามที่จะแก้ปัญหามาตลอด แต่กัมพูชาก็มีอยู่ในภาวะที่มีสงครามอยู่ตลอด มันก็เริ่มที่จะเป็นเรื่องเป็นราวในสมัยเมื่อสงครามในประเทศยุติลง

ดิฉันคิดว่ากรณีเวียดนามมี 2 ด้านที่เราต้องมอง 1.ฮุน เซน เราก็รู้กันว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเวียดนามมาโดยตลอด นับตั้งแต่เวียดนามบุกเข้าไปโค่นล้มเขมรแดงในกัมพูชา ฮุน เซน กับเฮง สัมริน ก็คือทหารของเขมรแดงที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากเวียดนาม เพราะว่าไม่เห็นด้วยกับกลุ่มของพล พต ที่ใช้ความรุนแรงอย่างกว้างขวาง และมีการปราบปรามภายในพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชาด้วยกันเอง เขาพึ่งพิงเวียดนามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่สงครามยังไม่ได้ยุติลง และกัมพูชาถูกปิดกั้นความช่วยเหลือ การลงทุนต่างๆ จากนานาชาติ มีแต่เวียดนามและสหภาพโซเวียตที่ให้ความช่วยเหลือกัมพูชา ฉะนั้น มันมีความความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องยาวนานกันมา 20 กว่าปี ความรู้จักกัน ความเกรงใจก็ต้องมีแน่นอน บวกกับถ้าเราคำนึงว่าจริงๆ แล้วรัฐบาลกัมพูชา รัฐบาลไทยก็ด้วยในอดีต ที่ต้องการแก้ปัญหาเรื่องชายแดนด้วยสันติวิธี แต่ขณะเดียวกันในกัมพูชามันก็มีกลุ่มชาตินิยม ซึ่งก็ลักษณะเดียวกับไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสม รังสี ใช้ประเด็นชาตินิยมอย่างมากในการเล่นงานรัฐบาลภายใน ซึ่งมันอันตราย ดิฉันว่าอันตรายพอๆ กับกลุ่มชาตินิยมในประเทศไทยนี่แหละ ที่ต้องการจะเล่นงานกลุ่มการเมืองภายใน และเอาเรื่องระหว่างประเทศมาเล่นงาน คุณสม รังสี ไม่เล่นงานกรณีไทย-กัมพูชาเท่าไหร่ เพราะเขาพึ่งไทยเยอะ เช่นรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เชิญเขามาพูด กับเวียดนามเขารู้ว่ามีประเด็นที่มันจุดง่าย ในแง่ที่ว่าเขาประเมินว่าความรู้สึกของคนเขมรไม่ชอบคนเวียดนามมีสูง นี่เป็นความรู้สึกทั่วไปที่ดำรงอยู่ในกลุ่มคนเขมร เพราะว่าคนเวียดนามเองก็อพยพเข้าไปทำมาหากินในพนมเปญ ในจังหวัดชายแดน และเขาก็พยายามใช้ประเด็นนี้ดิสเครดิตฮุน เซน"

"ขณะเดียวกัน ในทางเศรษฐกิจกัมพูชาเขาก็มีความสัมพันธ์กับเวียดนามมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงสงครามเย็นตอนที่เวียดนามเข้าไปใหม่ๆ เวียดนามจะเป็นคนให้ความช่วยเหลือในเรื่องเงินทอง อาหาร รวมถึงอาวุธยุทธปัจจัยด้วย แต่ขณะเดียวกันตอนนั้นเวียดนามก็ยังยากจนอยู่ ซึ่งอันนี้เป็นเหตุผลที่เวียดนามยินดีที่จะเข้าสู่การตกลงสันติภาพ และยุติปัญหาในกัมพูชาและถอนทหารออกไป เพราะตัวเองก็ไม่ไหวแล้ว ตอนช่วงปลายของสงครามเย็น เราจะเห็นว่าจริงๆ แล้วตอนที่สงครามในกัมพูชายุติลง ตอนสมัย พล.อ.ชาติชายขึ้นมา และเป็นผู้ริเริ่มให้มีการเจรจาและนำไปสู่การเลือกตั้งในปี 1993 เวียดนามเป็นประเทศเล็กๆ ไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ เลยที่เข้าไปลงทุน และเป็นนักลงทุนรายใหญ่ แต่เราก็จะเห็นว่าเวียดนามเติบโตมากยิ่งขึ้น ในทางเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็วมาก จีดีพีเติบโตมาก และเศรษฐกิจของเวียดนามก็เน้นการส่งออกด้วย สินค้าที่เขาขายก็คล้ายๆ กับของไทยและของจีน แน่นอนคนเราขายของก็จะเน้นเพื่อนบ้านมากที่สุด ในแง่การขนส่งก็จะง่ายที่สุด ประหยัดที่สุด เราก็จะเริ่มเห็นว่าเวียดนามเข้าไปลงทุนขายสินค้าให้กับกัมพูชามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นคู่แข่งของไทย และไม่ใช่เฉพาะกัมพูชาอย่างเดียว สินค้าจำนวนมาก-อย่างข้าว ตอนนี้เวียดนามก็เป็นคู่แข่งสำคัญของไทยที่ส่งไปขายในตลาดโลก ดังนั้นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างที่ดำรงในขณะนี้เป็นลักษณะของทุนนิยม ไม่ใช่ลักษณะที่ให้ฟรีอย่างในช่วงสงครามเย็น เวียดนามก็เติบโตมากยิ่งขึ้น กับจีนก็เป็นนักลงทุนที่ติดอันดับ top 3 ก่อนหน้านี้ปริมาณการลงทุนในเวียดนามสูงกว่าจีน สลับกันกับจีน"

"อีกทั้ง ปัจจุบันในกัมพูชายังมีญี่ปุ่นจะให้ความช่วยเหลือผ่านโครงการต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งเป็นลักษณะโครงการที่พยายามจะสร้างบูรณาการขึ้นให้กับกลุ่มประเทศ 5 ประเทศ รวมจีนด้วย แต่ว่าจีนไม่ค่อยได้อาศัยเงินจากญี่ปุ่นเท่าไหร่ ในการที่จะเชื่อมต่อโครงข่ายทางเศรษฐกิจของภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ญี่ปุ่นเวลาเขาไปลงทุนเขามองภาพกว้าง ไม่เน้นประเทศใดประเทศหนึ่ง ดิฉันสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นการแข่งกับจีนด้วย ในเรื่องของการพยายามหาแหล่งทรัพยากร ซึ่งไม่ได้ป้อนให้แค่ญี่ปุ่นอย่างเดียว อาจจะป้อนให้กับบริษัทญี่ปุ่นที่กระจายอยู่ในภูมิภาคด้วย"

การรวมศูนย์อำนาจของฮุน เซน กว่า 20 ปีที่ผูกขาดบริหารประเทศ ในด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า เขาทำให้เศรษฐกิจของกัมพูชาเข้มแข็งขึ้น ดร.พวงทองให้ความเห็นว่า แม้กัมพูชาในปัจจุบันจะยังถือว่าเป็นประเทศยากจน และก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากต่างประเทศอยู่มากพอสมควร แต่เมื่อเทียบกับวันแรกที่ฮุน เซน ขึ้นมา กัมพูชาในขณะนั้นเรียกว่ากลับไปนับหนึ่งใหม่ เรียกได้ว่าเริ่มต้นศักราชที่ศูนย์ (Year Zero)

"กลุ่มของเฮง สัมริน และฮุน เซน ขึ้นมาหลังเขมรแดง ซึ่งทำลายกัมพูชาอยางราบคาบเลย ระบบทั้งหลายแหล่ในประเทศ ระบบการเงิน การธนาคาร ไม่มีเหลือเลย การขนส่ง อุตสาหกรรม การศึกษา โรงพยาบาล เหล่านี้ถูกทำลายหมด 20 ปีให้หลัง เฮง สัมริน ขึ้นมาปี 2522 ตลอด 30 ปี กัมพูชาก็เติบโตขึ้นเยอะในแง่ของเศรษฐกิจ อาจจะดีกว่าพม่าด้วยซ้ำและก็ลาว ถ้าเราดูจีดีพีต่อหัว และการที่ประชาชนสามารถขยับฐานะทางเศรษฐกิจของตัวเองขึ้นไปได้ ดิฉันเข้าไปกัมพูชาช่วงเดียวกับเข้าไปพม่าเมื่อสิบกว่าปีก่น สิ่งที่เห็นมันต่างกัน มันเห็นการเปลี่ยนแปลงในกัมพูชาเยอะทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ อย่างพระตะบอง พนมเปญ แต่พม่านี่ไม่ค่อยเปลี่ยน ฉะนั้น ด้านหนึ่งมันก็สร้างความพอใจให้กับคนเขมรอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในเมืองใหญ่ๆ แต่ถามว่าดีหมดทุกอย่างไหม-ยัง มันยังต้องไปอีกยาวไกล และปัญหาคอรัปชั่นเป็นปัญหาใหญ่ในรัฐบาลของกัมพูชา ในเขตชนบทเองก็ยังต้องการการพัฒนาอีกเยอะ

แต่ส่วนหนึ่งเราจะเห็นได้ว่า การพัฒนาเศรษฐกิจในยุคของฮุน เซน มันก็ทำให้เขาได้คะแนนเสียงเยอะในการเลือกตั้ง ไปถามคนเขมร คนเขมรเขาก็เบื่อฮุน เซน ประชาชนที่ดิฉันเคยไปคุยด้วยเขาก็รู้สึกว่านานเหลือเกิน เขาอยากจะได้หน้าใหม่ๆ คนใหม่ๆ บ้าง ขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าฮุน เซน เผด็จการ รวบอำนาจอย่างไร มีการคอรัปชั่นอย่างไร แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นที่จะเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเขา สม รังสี ก็ไม่ได้มีอะไรที่เป็นทางเลือกที่ชัดเจน ก็จะเน้นแต่เรื่องการเล่นกระแสชาตินิยม อีกด้านหนึ่ง ฮุน เซน เขาก็มีความสามารถในการที่จะแบ่งปันผลประโยชน์ให้กับกลุ่มต่างๆ ด้วย กลุ่มการเมืองต่างๆ ในแง่หนึ่งอาจจะคล้ายคุณทักษิณในด้านนี้ ก็แบ่งกันไป มันทำให้อำนาจของเขามีฐานที่มั่นคง"

"อันหนึ่งที่ชัดเจนคือ มันมีการลงทุนเข้ามาเยอะมาก เกาหลีใต้เข้าไปในกัมพูชาเยอะมาก ตึกธุรกิจใหญ่ๆ ขึ้นเต็มไปหมดเลย อันนี้ก็หมายถึงว่าเกิดการจ้างงาน มันมีเงินหมุนเข้ามาในภาคธุรกิจมากขึ้น ไทยก็เข้าไปลงทุนเยอะแยะบริเวณชายแดน อย่างซีพี. ปูนซีเมนต์ พวกนี้มันก็เป็นการสร้างงานให้กับคนของเขา"

แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายเศรษฐกิจที่มีลักษณะการ 'ปั่น' ก็ตาม

"เราต้องดูด้วยว่า เวลาที่มีการประเมินการเติบโตทางเศรษฐกิจ มันไม่ใช่ดูแค่ว่ารัฐบาลปั่น-ไม่ปั่น มันจะต้องดูตัวเลขของเงินลงทุนทั้งหลายแหล่จากต่างชาติที่เข้าไปในกัมพูชา ซึ่งมันมีเยอะ รัฐบาลฮุน เซน ในระยะ 20 ปีที่ผ่านมา ก็มีการออกกฎหมายมาเยอะแยะที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้มีการลงทุนจากต่างชาติ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างๆ มากยิ่งขึ้น"

บนความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ
ในประเด็นปราสาทพระวิหาร อ.พวงทองเคยให้ทัศนะว่า คือชนวน sensitive ที่จุดเมื่อไหร่ก็ติดทุกครั้ง และแม้ครั้งนี้จะเป็นเรื่อง 'ทักษิน' ล้วนๆ แต่ในระยะยาวแล้ว ปัญหาไทย-กัมพูชาก็จะปะทุขึ้นมาอีกเรื่อยๆ

"คือปัญหามันยังไม่ยุติแน่ๆ แต่ว่ามันจะไปรุนแรงแค่ไหน ก็หวังว่ามันจะไม่รุนแรงไปกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งสองฝ่ายใช้สติกันมากขึ้น ด้านฮุน เซน เราก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาแกก็ตอบโต้ด้วยความโกรธด้วยเหมือนกัน ความโกรธอันนี้ดิฉันคิดว่ามีสาเหตุมาจากเรื่องปราสาทพระวิหาร ชัดเจนทีเดียว คุณไปสัมภาษณ์คนเขมร สื่อเขมรเขาก็มองแบบนี้ ว่าไม่พอใจที่ไทยโดยเฉพาะรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ พยายามที่จะกีดกันในการที่เขาจะจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จุดยืนคุณอภิสิทธิ์เรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้วว่าคิดอย่างไร ก็คือว่าไม่เห็นด้วย ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม อย่างกรณีที่ส่งคุณสุวิทย์ คุณกิตติ ไปสเปน ทั้งๆ ที่คณะกรรมการมรดกโลกยอมรับให้เขาพระวิหารขึ้นทะเบียนไปแล้วตั้งแต่ปี 2511 แต่เมื่อ 4 เดือนที่แล้วยังส่งคุณสุวิทย์ไปอีก และก็กลับมาให้ข้อมูลบิดเบือนกับคนไทยว่าสามารถที่จะยับยั้งการขึ้นทะเบียนได้ แต่ว่าทางฝ่ายกัมพูชาเขาเห็นอันนี้และเขาก็ไม่พอใจ และเขาก็เลือกจังหวะที่จะมาตอบโต้ไทยในการประชุมอาเซียนซัมมิตที่ชะอำ ก็เพื่อที่ต้องการดึงความสนใจจากนานาชาติเข้าสู่ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

ดังนั้น ในกรณีคุณทักษิณดิฉันภาวนาว่า คุณทักษิณจะไม่กลับเข้าไปในกัมพูชาอีก ดิฉันไม่เห็นด้วยกับทั้งคุณทักษิณรวมถึงกลุ่มชาตินิยมในประเทศ ที่เอาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือในทางการเมืองของตัวเอง หลังสุดที่คุณจตุพร พรหมพันธุ์ ที่ออกมาพูดว่ากัมพูชามีเทปที่อัดเสียงระหว่างคุยโทรศัพท์ของคุณกษิตกับคุณคำรบ (ปาลวัฒน์วิไชย) ดิฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมาก ที่นักการเมืองไทยพยายามที่จะเอาเรื่องพวกนี้ เอาประเด็นเรื่องระหว่างประเทศมาใช้โจมตี มันอันตราย คือถ้าสิ่งที่คุณจตุพรพูดเป็นความจริง คุณคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ต้องมีการประท้วงใหญ่โต เพราะถือว่ากัมพูชาทำการสอดแนมสถานทูตไทย ถ้าพูดแล้วไม่มีหลักฐานอย่าพูด ถ้าพูดแล้วแสดงหลักฐานไม่ได้อย่าพูด พูดแล้วทำให้สองประเทศทะเลาะกัน ที่สำคัญเฉพาะหน้าตอนนี้คือ ชีวิตของคุณศิวรักษ์ ชุติพงษ์ เราดูการตอบโต้ของทั้งสองฝ่ายในเรื่องนี้ ห่วงคุณศิวรักษ์น้อยไปหน่อย"

รัฐบาลอาจจะกลัวเสียหน้า หากทักษิณเป็นฝ่ายแอคชั่นช่วยศิวรักษ์

"เมื่อวาน พล.อ.ชวลิตบอกว่าอาจจะบินไปรับ เสร็จแล้วคุณกษิตก็บอกว่าไม่ใช่ธุระ ไม่ใช่หน้าที่ของ พล.อ.ชวลิต แต่ดิฉันคิดว่าเอาคุณศิวรักษ์กลับมาก่อนคือสิ่งสำคัญ ถ้าเอามาได้ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของคุณชวลิต คุณทักษิณ หรือรัฐบาลก็แล้วแต่ หลังจากนั้นถ้าคุณคิดว่ามีข้อมูลอะไรจะเปิดโปงก็ทำไป จะโจมตีกัมพูชาว่าไม่แฟร์ที่ตั้งข้อหา เอาไว้ทีหลังเอาตัวคุณศิวรักษ์กลับมาก่อน"

ยอมให้คุณทักษิณเป็นฮีโร่ก็ได้

"และถ้าช่วยกลับมาได้ มันก็สามารถตีความได้ตั้งหลายอย่าง ก็แล้วแต่คนจะมองว่าคุณทักษิณจะเป็นฮีโร่ หรือคุณทักษิณจะเป็นแอนตี้ฮีโร่ก็ไม่รู้ เอาหละในเรื่องเฉพาะหน้า ก็หวังว่าคุณทักษิณจะไม่กลับเข้าไปอีก คุณทักษิณเราก็เห็นว่าเขาก็พยายามที่จะสร้างพื้นที่ทางการเมืองในสังคมไทย ให้ประเด็นของเขาเป็นประเด็นที่ต่อเนื่อง ไม่ลืม ถ้าจะทำคงไม่มีใครไปห้ามเขาได้ แต่ว่าอย่าเอาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นเครื่องมือ รวมถึงรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เอง ก็ไม่ควรจะเอาเรื่องการตอบโต้กัมพูชามาใช้เพื่อที่จะสร้างคะแนนนิยมให้กับตัวเอง คะแนนนิยมนั้นมันเป็นเรื่องของชั่วครั้งชั่วคราว มันเปลี่ยนได้ง่ายด้วย ถ้าไปตามกระแสความนิยมเรื่อยๆ บางทีมันอาจจะตีกลับก็ได้ เพราะในที่สุดมาตรการที่ออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง มันกลับมากระทบกับคนไทย"

ความสัมพันธ์สองประเทศอาจจะดีขึ้น หากเกิดการยุบสภาฯ และพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล

"scenario อันนี้ดิฉันมองว่ามันยากมาก คือเราก็เห็นความพยายามของเพื่อไทยที่จะให้มีการยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ ซึ่งเขามั่นใจว่าเขาจะได้กลับมา ซึ่งก็คงเป็นไปได้สูงมาก แต่ถามว่าเพื่อไทยจะตั้งรัฐบาลได้หรือเปล่า ก็ไม่รู้เลย สีเหลืองจะทำอะไรอีก นี่ก็คือสิ่งที่คนกลัวกัน สมมติเขาตั้งรัฐบาลได้ ดิฉันคิดว่าท่าทีของฮุน เซน ที่มีต่อรัฐบาลไทยที่ตั้งมาใหม่ก็จะดีขึ้น แต่กลับไปสู่ปัญหาเดิม ดิฉันมองว่าปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ขณะนี้มันยังไม่ออกจากเรื่องปราสาทพระวิหาร ต่อให้เพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลเรื่องนี้ก็แก้ยาก คือเรื่องปราสาทพระวิหารกับเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. มีกระแสชาตินิยมในช่วงที่ผ่านมาคอยให้ข้อมูลผิดๆ กับประชาชนเรื่องของ 4.6 ตร.กม. การปฏิเสธที่จะให้มีการเจรจาประนีประนอมกันในแง่ของการพัฒนาร่วมพื้นที่นี้ ไม่ว่ารัฐบาลไหนขึ้นมาก็จะทำเรื่องนี้ได้ยากมาก จะเป็นอุปสรรคไม่ให้มีการเจรจาตกลงกันด้วยสันติวิธี ฉะนั้น ดิฉันคิดว่าความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาก็จะลุ่มๆ ดอนๆ ไปอย่างนี้อีกพักใหญ่ เพียงแต่ว่ามันจะลุกลามบานปลายแค่ไหน ขึ้นอยู่กับท่าทีของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย เป็นปัจจัยสำคัญ"

"สมมติตอนนั้นเพื่อไทยขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็ไม่มีใครรับรองได้ว่าสีเหลืองจะไม่เอาประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารขึ้นมาเป็นประเด็นอีก ซึ่งเราก็เห็นแล้วว่าประเด็นเรื่องนี้ เวลามันปลุกขึ้นมามันติดไฟง่ายมาก และสามารถทำลายเสถียรภาพความเชื่อมั่นของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว"

มองเขาอย่าง'เพื่อน'

เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะใช้ไม้แข็งตอบโต้ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลาว พม่า กัมพูชา คนไทยส่วนหนึ่งจะรู้สึกสะใจที่ได้สวมบท 'พี่เบิ้ม' สั่งสอนลูกไล่

"ทัศนะของคนไทยโดยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนในเมืองยังมองเขมรในลักษณะของการดูถูก เป็นประเทศเล็ก ไม่ให้เกียรติเขา ซึ่งทัศนะอย่างนี้มันจะส่งผลต่อการกระทำของเราที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้าน ดิฉันหมายถึงชนชั้นนำ ผู้นำของไทยด้วย ที่มีกับประเทศเพื่อนบ้านต้องเปลี่ยน ไม่ว่าจะเป็นเขมร ลาว เวียดนาม ในแง่ของประเทศแล้วเขาก็มีศักดิ์ศรีเท่ากับเรา และเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เราเข้าใจอย่างในอดีต อย่างที่เราจะลงโทษเขาด้วยการปิดพรมแดน ปิดชายแดน ไม่ขายของให้เขา แล้วเขาจะเดือดร้อน ไม่มีอีกแล้ว ความสัมพันธ์ไม่ดีเขาก็พึ่งพิงซึ่งกันและกัน ร่วมมือกับเราน้อยลง เราต่างหากที่จะลำบาก"

"ข้อสำคัญอย่าลืมว่า เป้าหมายใหญ่ของประเทศในระยะ 20 กว่าปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่สงครามเย็นยุติลง เราต้องการที่จะเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและการเมืองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าวันนี้เราเป็นศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้านหมด ดิฉันคิดว่าลาวเขาก็ไม่สลายใจที่เห็นความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาเป็นแบบนี้ และเขาก็ไม่ชอบ เขาก็รู้ว่าเราปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านที่อ่อนแอกว่าอย่างไร สิ่งที่เราพยายามสร้างมาตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ มันจะสูญเปล่า ถ้าในที่สุดวันนี้เราไม่สามารถที่จะเป็นมิตรกับใครได้อย่างแท้จริง และดิฉันคิดว่าทัศนะแบบนี้ มันจะทำให้ไทยกลายเป็นปัญหาของอาเซียนได้ จะเห็นว่ากรณีไทย-กัมพูชา อาเซียนก็ไม่ได้ยืนข้างไทยนะ เขาก็บอกให้ทั้งสองฝ่ายพยายามเจรจาด้วยสันติวิธี"

เราตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อเกิดประเด็นพิพาทขึ้นมา ในสายตานานาชาติกัมพูชามักได้รับความเห็นใจเสมอ

"คือเขาก็เก่งนะ ฮุน เซน ก่อนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งหนุ่มที่สุดในโลก และขนาดเป็นประเทศเล็กๆ ถูกปิดล้อมทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง การทูต ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ จนกระทั่งถึงปี 1953 ประมาณ 40 ปีที่เขาไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ ตอนนั้นนานาชาติยังโหวตให้เขมรแดงมีที่นั่งอยู่ในสหประชาชาติอยู่เลย แต่เขาสามารถทำให้ประเด็นกัมพูชาเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากนานาชาติ และทำให้ในที่สุดนานาชาติหันไปยอมรับเขาได้ และที่เขาเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง มันก็เป็นข่าวที่ทำให้ไทยปวดหัวมาโดยตลอด เราจะชอบเขา-ไม่ชอบเขา นั่นเรื่องหนึ่ง แต่ต้องยอมรับว่าเขาเป็นของแข็ง ความสัมพันธ์ที่มีกับเขาเราต้องสุขุมรอบคอบ และต้องเข้าใจเขามากขึ้น ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราไม่ได้ถือไพ่เหนือเขาอย่างที่เราคิดว่าเราเป็น"

"การใช้มาตรการที่แข็งกร้าวกลับไป มันจะเจ็บตัวด้วยกันทั้งคู่ กัมพูชาก็เดือดร้อนนะ ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เดือดร้อน ถ้ามีกรณีปิดชายแดน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจต้องปิดลง แต่มันไม่ได้เดือดร้อนอย่างในอดีตที่เขาจะอดอยาก มันเป็นความเดือดร้อนที่เขารับได้ แต่ถ้าในแง่ของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย ถ้าไม่เดือดร้อนเลยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะคุณอภิสิทธิ์ก็ต้องคำนึงว่าเลือกตั้งครั้งต่อไป จังหวัดที่อยู่ชายแดน รัฐบาลประชาธิปัตย์อาจจะต้องเสียคะแนนในพื้นที่ชายแดนทั้งหมดก็ได้ ถ้าใช้วิธีแข็งกร้าวกับประเทศเพื่อนบ้าน"

/////////////////



ล้อมกรอบ
MOU-ไม่มีใครได้ฝ่ายเดียว

การยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน ปี 2544 เป็นสิ่งที่รัฐบาลคิดว่านี่คือการลงโทษให้เข็ดหลาบ ทว่า ในสายตาของนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ มันแสดงให้เห็นว่าผู้ชงประเด็นให้กับนายกฯ อภิสิทธิ์นั้นอ่อนหัดและไม่ทำการบ้าน

หากย้อนหลังอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1958 ทั้งไทยและกัมพูชายังไม่ได้ดำเนินการใดๆ ในการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนไหล่ทวีป จนกระทั่งมีแนวโน้มว่าจะมีทรัพยากรปิโตรเลียมและก๊าซในอ่าวไทย ประเทศไทยจึงเริ่มก่อนโดยการประกาศพระราชบัญญัติแร่ในปี 2511 และให้สัมปทานพื้นที่สองในสามของพื้นที่อ่าวไทย โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ไหล่ทวีปของไทย จากนั้นในปี 2514 เวียดนามได้ประกาศพื้นที่บางส่วนในอ่าวไทย ต่อมาในปี 2515 กัมพูชาก็ประกาศพื้นที่บางส่วนของไทยด้วยเช่นกัน จากหลักเขตแดนที่ 73 ระหว่างไทย-กัมพูชา มาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เล็กน้อย สาเหตุนี้ทำให้คนไทยรู้สึกไม่สบายใจกับเส้นแบ่งที่กัมพูชาประกาศออกมา

"รัฐบาลต้องคิดมากยิ่งขึ้นว่า ถ้าขืนยังยืนแลกหมัดอยู่อย่างนี้คนที่จะเจ็บตัวมากกว่าคือไทย รัฐบาลไทยก็อาจจะกลับไปดูมาตรการที่ตัวเองออกมา ว่าตกลงที่ออกไปมันทำให้เขาเจ็บจริงหรือเปล่า หรือว่าเราเจ็บ อย่างกรณีเอ็มโอยูการปักปันพื้นที่ไหล่ทวีป ดิฉันคิดว่าจะสร้างความเสียหายความยากลำบากให้กับรัฐบาลไทยอนาคต คือเอ็มโอยูการปักปันพื้นที่ไหล่ทวีป ในเอ็มโอยูนั้นมีสาระที่สำคัญอันหนึ่งก็คือว่า กัมพูชายอมรับสิทธิ์ของไทยเหนือเกาะกูด ซึ่งอันนี้เป็นการยอมรับที่มาจากการผลักดันของหน่วยงานของไทยที่เจรจาเรื่องนี้มาหลายปีมาก และสามารถตกลงกันได้ในยุคของรัฐบาลคุณทักษิณ เรื่องนี้ที่จริงแล้วเริ่มจากสมัยคุณชวนด้วยซ้ำไป สามารถทำให้กัมพูชายอมรับจุดนี้ได้ ดิฉันคิดว่ากัมพูชายอมรับเรื่องสิทธิเหนือเกาะกูดของไทย เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลคุณชวน และเอ็มโอยูมาเซ็นในสมัยคุณทักษิณด้วยซ้ำไป"

"เกาะกูดเดิมทีกัมพูชา ในแผนที่ที่เขาเคยทำมาเขาลากเกาะกูดเป็นครึ่งหนึ่งเลย เป็นของกัมพูชาครึ่งหนึ่ง ของไทยครึ่งหนึ่ง แต่ไทยก็พยายามผลักดันเจรจาว่าไม่ได้ เพราะต้องยึดตามสนธิสัญญาปี 1907 ซึ่งตอนนั้นไทยได้จันทบุรีและตราดคืนจากฝรั่งเศส และฝรั่งเศสก็เอาพระตะบองกับเสียมเรียบไป ในสนธิสัญญานั้นระบุว่า ตราดและเกาะทั้งหลายแหล่จนถึงเกาะกูดเป็นของไทย กัมพูชากับไทยก็เจรจาโน้มน้าวจนในที่สุดก็ยอมรับในจุดนี้ คราวนี้พอไปเลิกเอ็มโอยูอันนั้นเข้า ถ้าจะต้องมาร่างกันใหม่เริ่มกันใหม่ แล้วถ้ากัมพูชาเขาบอกว่าเขาขอกลับไปอย่างเดิม เขาไม่ยอมรับ แล้วจะทำอย่างไร เพราะในเอ็มโอยูนั้นมันมีแผนที่แนบไปด้วย ซึ่งแผนที่นั้นระบุว่าเกาะกูดเป็นของไทย"

ดร.พวงทองยังเป็นห่วงถึงประเด็นการพัฒนาร่วมพื้นที่ชายฝั่งทะเล ที่จะนำก๊าซขึ้นมาใช้ในอ่าวไทย

"มันเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้ง 2 ฝ่ายอยากได้พลังงาน ซึ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ ก็ไม่รู้ว่าทำไมเลือกเรื่องนี้ทั้งที่เป็นเรื่องที่สำคัญ และก็เป็นเรื่องที่ไทยต้องการมาตลอด คือสาระสำคัญของเอ็มโอยูอีกอันหนึ่ง ก็คือว่ามันจะต้องทำ 2 สิ่งคู่กันไป แยกกันไม่ได้ ก็คือการปักปันเขตแดนกับการพัฒนาร่วม จะแยกกันไม่ได้ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการผลักดันของฝ่ายใด คือเดิมทีกัมพูชาไม่ต้องการเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดน แต่ต้องการที่จะเอาก๊าซขึ้นมาใช้ แต่ไทยเห็นว่าในเมื่อเราประเมินว่ากัมพูชาอยากได้ก๊าซใช่ไหม จริงๆ ไทยก็อยากได้ แต่เราอยากได้เรื่องการปักปันเขตแดนให้มันเสร็จสิ้นไปด้วย ไทยก็พยายามผลักดัน ถ้าอย่างนั้นสองอย่างนี้ต้องดำเนินไปด้วยกัน ซึ่งเราผูกไว้ในตัวเองอย่างชัดเจนว่า สองประเด็นนี้จะแยกออกจากกันไม่ได้ จะต้องเดินไปคู่กัน คือเราได้ทั้งสองอัน แล้วจู่ๆ เราก็ไปเลิกมัน รัฐบาลไม่ทำการบ้านก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไร"

"เอ็มโอยูทั้งหลายแหล่มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยฝ่ายเดียวได้ผลประโยชน์ ถ้าเราคิดว่ามีแต่ฝ่ายเขาได้ประโยชน์จากเอ็มโอยูนี้ ถือเป็นการดูถูกเจ้าหน้าที่ไทยอย่างมาก ที่ไม่มีน้ำยาในการเจรจาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของไทย และเจ้าหน้าที่ที่มีบทบาทในการเจรจาเรื่องการปักปันเขตแดนไม่ใช่นายกรัฐมนตรีนะ นายกฯ ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก เพราะเรื่องปักปันเขตแดนจะเกี่ยวข้องกับสนธิสัญญาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 การเจรจาต่อเนื่องยาวนานมาเป็นสิบปี ก็คือข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศและในกรมแผนที่ทหาร และก็พวกทหารที่มีบทบาทสำคัญ"