--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ปาฐกถา "โลกไร้พรมแดนในประเทศที่มีพรมแดน" ของ "เสกสรรค์ ประเสริฐกุล" (ฉบับละเอียด)


เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน เวลา 13.30 น. ที่ห้อง ร.103 ชั้น 1 คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แสดงปาฐกถาเรื่อง "โลกไร้พรมแดนในประเทศที่มีพรมแดน : ความขัดแย้งระหว่างระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติกับสังคมโลกาภิวัตน์" ในโอกาสครบ 60 ปี ของคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าเรื่องที่พูดในวันนี้เป็นเรื่องใหญ่มากกว่าเรื่องคณะรัฐศาสตร์ ใหญ่กว่าเรื่องของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งมีด้านที่อาจจะใหญ่กว่าประเทศไทยของเรา

ฉะนั้นสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้จึงเป็นเพียงแง่คิด คำถามและการตั้งข้อสังเกตมากกว่า ซึ่งเป็นเพียงทัศนะส่วนตัวซึ่งอาจจะผิดหรือถูก ตนต้องการเพียงแต่จุดประเด็นให้นำไปคิดต่อ และให้ผู้ที่ห่วงใยบ้านเมืองนำไปช่วยกันพิจารณา

ความขัดแย้งระหว่างระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติกับสังคมโลกาภิวัตน์ สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจคงหนีไม่พ้น 3 ประเด็น

1. รัฐชาติคืออะไรทำไมจึงขัดแย้งกับสังคมโลกาภิวัตน์
2.ความขัดแย้งมีลักษณะอย่างไรทำไมจึงขัดแย้งกับสังคมโลกาภิวัตน์
3.เมื่อขัดแย้งกันแล้วเกิดปัญหาอะไร แก้ปัญหาอย่างไร

ทั้งสามประเด็นนี้พัวพันกันอย่างแยกไม่ออก บางทีอาจจะต้องพูดถึงแบบรวมๆกัน ความสัมพันธ์ทางอำนาจระดับรัฐย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องก้าวล่วงไปสู่ปริมณฑลของปรัชญาการเมือง เพราะผู้คนมองบทบาทของรัฐด้วยสายตาที่แตกต่างกัน รัฐเองก็มีจิตนาการในเรื่องอำนาจของตน

รัฐชาติเป็นรัฐสมัยใหม่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกคุ้นเคยสักแค่ไหนต้องยอมรับว่ารูปแบบความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบนี้ไม่ได้มีมาแต่โบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างยิ่งในกรณีของรัฐสมัยใหม่ของไทยและชาติไทยในความหมายสมัยใหม่ อาจจะนับถอยหลังไปเพียงประมาณ 80-90 ปีเท่านั้น

อำนาจการเมืองเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ขึ้นอยู่ต่อการยอมรับของผู้อยู่ใต้อำนาจค่อนข้างมาก และการยอมรับนั้นมักต้องอาศัยศรัทธาเกี่ยวกับประโยชน์สุขบางประการที่ผู้อยู่ใต้อำนาจเชื่อว่าอำนาจดังกล่าวจะนำมาให้

การเกิดขึ้น มีอยู่ และดำเนินไปของระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติ เช่นเดียวกับอำนาจรัฐในรูปแบบอื่น ต้องอาศัยจินตนาการทางการเมืองมารองรับ เพียงแต่ว่าข้ออ้างความชอบธรรมของรัฐชาติมีเนื้อหาสาระเป็นลักษณะเฉพาะตน ต่างจากอำนาจปกครองแบบโบราณและเริ่มแตกต่างมากขึ้นเรื่อยๆกับชุดความคิดความเชื่อของสังคมโลกาภิวัตน์

"อำนาจแบบรัฐชาติมีรากฐานอยู่บนจินตนาการใหญ่ทางการเมือง" มี 3 ประการ

1. การตีเส้นแบ่งความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพลเมืองและประชากรของตนกับคนอื่นที่ไม่ได้สังกัดรัฐนี้ พูดง่ายๆคือ มีการนิยามสมาชิกภาพของประเทศไทยไว้อย่างตายตัว ความเป็นคนไทยและไม่ใช่คนไทยทั้งบัญญัติทางกฎหมายและโดยนิยามทางวัฒนธรรม
2. ประชากรที่สังกัดอำนาจรัฐเดียวกัน เกี่ยวโยงสัมพันธ์กันหลายมิติกระทั่งเปรียบดังสมาชิกในครอบครัวใหญ่เดียวกัน มีชะตากรรมทุกข์สุขร้อนร่วมกัน
3.ทั้งประเทศเป็นหน่วยผลประโยชน์ใหญ่และถือว่าผลประโยชน์ส่วนรวมมีจริง มักเรียกกันว่าผลประโยชน์ชาติ ทั้งนี้โดยมีนัยว่าทุกคนที่เป็นสมาชิกของชาติย่อมได้รับผลประโยชน์ดังกล่าวอย่างทั่วหน้า

จากจินตนาการทั้งสามข้อนี้รัฐชาติจึงได้ออกแบบสถาบันการเมืองการปกครองขึ้นมารองรับและตรากฎหมายจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมา เพื่อจัดตั้งความสัมพันธ์ทางอำนาจกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสังคม ให้เป็นไปตามความเชื่อของรัฐ นอกจากนี้ยังได้ปลูกฝังขัดเกลารูปการจิตสำนึกของประชากรให้เข้ามาอยู่ในกรอบเดียวกัน

"กระบวนการเหล่านี้เรียกรวมว่าเป็นระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติ"

กรณีของประเทศไทย ระเบียบอำนาจรัฐแบบรัฐชาติถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักวิชาการปัญญาชนจำนวนมาก

ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับรัฐชาติล้วนแล้วแต่ถูกตรวจสอบตั้งคำถามอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมจริงของจินตนาการและชาตินิยม ความชอบธรรมของตัวสถาบันการเมืองการปกครอง ความเป็นธรรมของแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ หรือความถูกต้องของสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมแห่งชาติ และอีกหลายๆด้านที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจ

อย่างไรก็ตามคำวิจารณ์เหล่านั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับการพูดคุยในวันนี้ เนื่องจากที่ผ่านมา แม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยกับหลายสิ่งหลายอย่างที่รัฐไทยเป็นอยู่และทำไป แต่ข้อวิจารณ์ยังคงจำกัดอยู่ในกรอบของรัฐชาติอยู่ดี เราเพียงอยากให้รัฐชาติของไทยเป็นรัฐชาติที่ดีขึ้นเรื่อยๆ

ปัญหามีอยู่ว่า ขณะนี้ตัวแบบที่ตกเป็นเป้าวิจารณ์ของนักวิชาการและปัญญาชนเองกลับกำลังถูกแปรรูปด้วยปัจจัยอื่นตลอดเวลา

ระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติ กำลังถูกหักล้างกัดกร่อนอย่างรวดเร็วด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป จนทำให้เกิดคำถามว่ารัฐชาติของไทยจะสามารถรักษาระเบียบอำนาจของตนไว้ได้หรือไม่ มันสายไปแล้วหรือไม่ที่จะจำกัดปรับปรุงเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไว้ในกรอบคิดแบบรัฐชาติ และสุดท้ายคือ อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อรัฐชาติต้องแปรรูปเป็นรัฐแบบอื่น

"พร้อมหรือยังที่จะพบกับการเปลี่ยนแปลง และเราจะรับมือกับจังหวะก้าวการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้แค่ไหน"

เรื่องที่น่ากังวลก็คือ ที่ผ่านมาเรายังมีองค์ความรู้ไม่พอที่จะตอบคำถามเหล่านั้นและอาจต้องทำการค้นคว้าวิจัยกันโดยด่วน ควรจะเป็นวาระสำคัญที่สุดของวงการวิชาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายสังคมศาสตร์

ความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติกับกระแสโลกาภิวัตน์คงไม่สามารถพูดกันในความหมายเก่าๆได้อีกแล้ว

ในห้วงเศรษฐกิจปี 2540 เราเคยพูดกันถึงเรื่อง "เสียกรุง-กู้ชาติ" กระทั่งพูดเรื่อง "การขายชาติ" เนื่องจากมองผ่านจุดยืนของลัทธิชาตินิยมและระเบียบอำนาจรัฐชาติ แรงกดดันจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศดูเหมือนเป็นการละเมิดอธิปไตยของไทยอีกทั้งการออกกฎหมาย 11 ฉบับโดยรัฐบาลไทยเพื่อยกเลิกข้อจำกัดของการค้าและการลงทุนแบบไร้พรมแดน ดูคล้ายเป็นการจำยอมจำนนต่อต่างชาติและเปิดประตูให้ต่างชาติเข้ามาถือครองประเทศไทย

หลังจากเหตุการณ์คลี่คลายมานานกว่าสิบปี เราจึงเห็นชัดว่าระเบียบเศรษฐกิจแบบโลกาภิวัตน์ที่ประเทศไทยถูกกดดันให้ยอมรับนั้นไม่เพียงกลายเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้กันทั้งโลก หากยังมาจากกรอบคิดที่แตกต่างจากจินตนาการมูลฐานของรัฐชาติอย่างสิ้นเชิง กล่าวคือมันเป็นแนวคิดที่ยกเลิกพรมแดนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และในบางด้านกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ "การยกเลิกพรมแดนในทางการเมือง" ด้วย

"จินตนาการเรื่องอธิปไตยเหนือดินแดนก็ดี เรื่องเศรษฐกิจแห่งชาติก็ดี หรือเรื่องวัฒนธรรมแห่งชาติก็ดี ในหลายกรณีจึงกลายเป็นเรื่องนอกประเด็นกระทั่งถูกมองว่าล้าหลัง ไม่เกิดประโยชน์"

การที่เราไม่สามารถมองปัญหาด้วยกรอบคิดเก่าๆไม่ได้มาจากแรงกดดันของการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกเท่านั้น หากยังเกิดจากการเปลี่ยนแปลงภายในสังคมไทยช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา

หลังจากเปิดประเทศต้อนรับการค้าการลงทุนอย่างเสรีทั่วด้าน สิ่งที่เกิดขึ้นตามหลังมาทั้งหมดล้วนมีผลประโยชน์ของคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง อย่างน้อยบางส่วน แต่เป็นบางส่วนที่มีจำนวนมาก มีน้ำหนักทางสังคมมิใช่น้อย ทุนต่างชาติไม่เพียงเข้ามาซื้อหุ้น ตั้งโรงงานหรือถือครองทรัพย์สินในประเทศไทยเท่านั้น ผู้ประกอบการชาวไทยก็ร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติหรือไม่ก็ประกอบธุรกิจที่โยงใยก่อเกื้อเอื้อประโยชน์ให้กันและยิ่งไปกว่านั้นนักธุรกิจไทยเองก็ต้องอาศัยระเบียบการค้าโลกที่เปิดกว้างข้ามพรมแดนไปลงทุนในต่างประเทศอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ยังไม่รวมผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ชื่นชอบห้างใหญ่มากกว่าร้านโชว์ห่วย และมีพลเมืองไทยจำนวนมากที่ยังชีพด้วยการทำงานกับบริษัทต่างประเทศหรือออกไปขายแรงงานในประเทศอื่นๆ

การรื้อถอนจินตนาการแบบรัฐชาติในส่วนที่เป็นรากฐานที่สุด เกิดขึ้นเองปราศจากจิตสำนึกจงใจและไม่ขึ้นต่อเจตนารมย์ของผู้ใด

"ใช่หรือไม่"

สังคมไทยในเวลานี้กลายเป็นสังคมโลกาภิวัตน์ไปแล้ว เป็นโลกไร้พรมแดนที่ทับซ้อนอยู่ในประเทศที่มีพรมแดน เส้นแบ่งระหว่างความเป็นคนไทยกับคนอื่นมีความหมายน้อยลง คนไทยไม่ได้มีชะตากรรมร่วมกันเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน หลายคนมีเส้นทางเดินชีวิตร่วมกับชาวต่างประเทศเสียมากกว่า บ้างก็โดดเดี่ยวยากแค้นไปโดยลำพัง

"ผลประโยชน์แห่งชาตินั้นมีความหมายพร่ามัวไปหมดโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ไม่เพียงต้องแบ่งก้อนใหญ่ให้ชาวต่างประเทศเท่านั้น ส่วนที่แบ่งกันเองก็เหลื่อมล้ำอย่างยิ่ง กระทั่งมีคนที่ไม่ได้ส่วนแบ่งนั้นเลย"

ข้อสังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในสังคมไทยใช้จิตนาการเรื่องชาติต่างไปจากเดิม 2 เรื่องคือ

1.วาทกรรมทางการเมือง สำหรับต่อสู้ภายในประเทศ เช่น มีการพูดถึงการ"กู้ชาติ" ให้รอดพ้นจากคนไทยด้วยกัน ช่วงชิงกันเป็นผู้พิทักษ์รักษา "ผลประโยชน์ของชาติ" ทั้งๆที่ความเป็นจริงในเรื่องนี้ เป็นดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น คือ นับวันยิ่งถูกทำให้ว่างเปล่าด้วยหลักฐานเชิงประจักษ์

2. วาทกรรมทางการตลาด มีการใช้วาทกรรมเรื่องชาติไปในทางการตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นส่วนหนึ่งงานโฆษณาสินค้าที่ปกติมักไม่ค่อยถูกจำกัดด้วยหิริโอตัปปะ หรือความรับผิดชอบเรื่องความถูกต้องทางหลักการใดๆ

ตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือ กรณีการแจก "เช็คช่วยชาติ" เป็นนโยบายกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศของรัฐบาลเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้รัฐบาลได้ตกลงกับห้างร้านต่างๆในการรับเช็คและเพิ่มมูลค่าของเช็ค เพื่อประกันว่าผู้ที่ได้รับแจกเงินหัวละสองพันบาทจะหมดสิ้นแรงจูงใจในการเอาเงินจำนวนนั้นไปเก็บออม

ผลที่ออกมาคือใช้คำว่า "ชาติ" ในหัวข้อโฆษณาสารพัด เช่นชวนให้ซื้อเครื่องสำอางต่างประเทศเพื่อชาติ ชวนดูหนัง หรือเข้าห้องร้องคาราโอเกะเพื่อชาติ เป็นต้น

"มีการบอกผู้บริโภคว่าแค่ออกไปหาความบันเทิงเริงรมย์ก็ถือว่ารักชาติมากแล้ว"

นอกจากนี้ยังเคยเห็นป้ายคำขวัญตามเมืองท่องเที่ยวระบุนักท่องเที่ยวเป็นคนสำคัญของชาติ อาจจะแปลกหูแปลกตาสำหรับคนที่ถูกสอนมาว่าคนที่สำคัญของชาติต้องประกอบคุณงามความดีบางประการ

การนำจินตภาพเรื่องชาติมาใช้ทางการเมืองและธุรกิจแบบที่กล่าวมานี้ แทนที่จะช่วยรักษาความขลังของคำว่าชาติ กลับจะยิ่งเร่งความเสื่อมทรุดแก่แนวคิดชาตินิยมและระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่แล้วโดยปัจจัยทางภววิสัย

ความขัดแย้งระหว่างระเบียบรัฐอำนาจแบบรัฐชาติกับสังคมโลกาภิวัตน์

ความขัดแย้งนี้ไม่ได้หมายถึงการต่อสู้เชิงปฏิปักษ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจหรือเข้ากันไม่ได้โดยสิ้นเชิงระหว่างผลประโยชน์ไทยกับผลประโยชน์ต่างชาติ และยิ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกัยโลกทั้งโลก

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

คำตอบ คือ เพราะนับวันเส้นแบ่งระหว่างเรากับเขาดังกล่าวแทบไม่มีอยู่ในทางปฏิบัติหรือเหลืออยู่น้อยเต็มที แม้จะยังมีเหลืออยู่มากในจินตนาการของหลายๆคนก็ตาม

"ตามความเข้าใจของผมถ้าพิจารณาจากประเด็นที่เราพูดกันในวันนี้ มันน่าจะหมายถึงลักษณะที่อาจจะเข้ากันไม่ได้หรือไม่สอดคล้องกันระหว่างระเบียบอำนาจที่เราใช้อยู่กับสังคมที่แปรเปลี่ยนไป"

นายเสกสรรค์ ยังกล่าวย้ำว่า ถึงเวลาแล้วที่คนในแวดวงวิชาการต้องช่วยกันค้นคว้าหาคำตอบกันเสียทีว่ารัฐชาติแบบที่รู้จักสามารถดูแลสังคมไทยที่เป็น "พหูพจน์" ได้หรือไม่ จะอำนวยความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจและสังคมอันประกอบด้วยปัจจัยข้ามชาติมากมายหลายอย่างด้วยวิธีใด และถ้าทำไม่ได้ รูปแบบความสัมพันธ์ทางอำนาจในประเทศนี้ควรจะต้องเปลี่ยนแปลงหรือถูกแก้ไขปรับปรุงอย่างไร

"นี่เป็นเรื่องใหญ่กว่าความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างเสื้อสีต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าในบางมิติปัญหาทั้งสองระดับอาจจะเกี่ยวโยงกับอยู่ การเปลี่ยนแปลงในลักษณะของรัฐนั้น ถึงอย่างไรก็ย่อมส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับระบอบการปกครองในระดับรัฐบาล"

รัฐหนีไม่พ้นการเปลี่ยนแปลง

จากประสบการณ์โดยตรงของ นายเสกสรรค์ กล่าวว่า รัฐมีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจและสังคมตลอดจนวิถีวัฒนธรรมอย่างแยกไม่ออก และบ่อยครั้งเมื่อเศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนไป รูปแบบของรัฐก็หนีไม่พ้นต้องเปลี่ยนแปลงตาม

ยกตัวอย่าง เมื่อร้อยกว่าปีก่อนอาจจะเรียกว่ายุคโลกาภิวัตน์ครั้งที่ 1 ภายใต้แรงกดดันของลัทธิล่าอาณานิคม ราชอาณาจักรสยามยอมเปิดประเทศทำสัญญากับราชอาณาจักรอังกฤษ หรือสนธิสัญญาบาวริง ต่อมาก็ทำสัญญาคล้ายกันกับประเทศมหาอำนาจอื่นๆ ส่งผลให้สยามต้องเปิดประตูกว้างต้อนรับสิ่งที่เรียกว่า "ระบบการค้าเสรี"

การเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมสยามอย่างรวดเร็วเมื่อบวกกับความเสื่อมของระบบไพร่ และขุนนางที่เกิดมาก่อนบ้างแล้ว ในที่สุดนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางอำนาจอย่างลึกซึ่งถึงราก ภายในศูนย์อำนาจและระหว่างศูนย์อำนาจกับพลเมืองที่อยู่ใต้การปกครอง

ภายในระยะเวลา 50 ปี โลกาภิวัตน์รอบแรกส่งผลให้รัฐศักดินาโบราณของไทยซี่งเคยมีระบบกระจายอำนาจสูง แปรรูปเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งรวมศูนย์เข้าสู่อำนาจส่วนกลางแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด กลายเป็นต้นทางของการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ในเวลาต่อมา

จากการศึกษาประวัติศาสตร์ทางการเมืองพบว่า การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจเป็นเงื่อนไขสำคัญยิ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของรัฐ ทั้งที่มีความจำเป็นและเป็นไปได้ เมื่อเปรียบเทียบกับยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน อดคิดไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงระดับรัฐของประเทศไทย น่าจะมีทั้งความจำเป็นและความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน

"ในฐานะปัญญาชนที่หมกหมุ่นครุ่นคิดเรื่องรัฐไทยมานาน สภาพการณ์ปัจจุบันย่อมเป็นเรื่องเย้ายวนมากที่จะชวนให้คิดอะไรแบบอภิมหาทฤษฎีว่าด้วยวิวัฒนาการของรัฐและสังคมไทยแต่สุดท้ายก็ยอมรับว่าไม่มีปัญญาพอที่จะทำเรื่องสุ่มเสี่ยงทางวิชาการขนาดนั้น"

กล่าวอีกแบบหนึ่ง คือ ข้อสังเกตของผมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของรัฐไทยในยุคโลกาภิวัตน์รอบปัจจุบัน ไม่ได้เกิดจากจิตนาการแบบประวัติศาสตร์จะต้องซ้ำรอย หรือประวัติศาสตร์กำลังใช้กฎวิภาษวิธีกับเส้นทางเดินของสังคมไทย ทำนองว่า เมื่อการเปิดประเทศเสรีครั้งแรกให้กำเนิดรัฐชาติ การเปิดประเทศเสรีรอบสองทำให้รัฐชาติหมดฐานะ จากนั้นอาจจะต้องสังเคราะห์หารัฐอะไรอีกสักแบบหนึ่งซึ่งเป็นการพัฒนาขั้นสูงขึ้นไปอีก

ถ้ายอมรับว่ารัฐเป็นแกนกลางความสัมพันธ์ทางอำนาจของแต่ละประเทศ และเป็นกลไกหลักในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ผู้คนในสังคม ต้องยอมรับว่าหลักฐานเชิงประจักษ์มากมาย ชี้ให้เห็นว่าบทบาทหน้าที่ดังกล่าวของรัฐไทยกำลังอ่อนแอลงอย่างน่าตกใจ ในบางด้านรัฐไทยมีอำนาจน้อยลง กระทั่งได้รับฉันทานุมัติในการใช้อำนาจน้อยลง รัฐบังคับใช้กฎหมายบางเรื่องไม่ได้ ยังไม่ต้องกล่าวถึงระยะหลังๆ อำนาจรัฐมักถูกขืนต้านในรูปแบบต่างๆมากขึ้นทุกที

สภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าระเบียบอำนาจแบบที่เราใช้อยู่กำลังมีปัญหาโดยตัวของมันเอง ซึ่งย่อมส่งผลลดทอนประสิทธิภาพของรัฐในการดูแลสังคมลงไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันปัญหาที่รัฐต้องแก้ไม่เพียงมีจำนวนเพิ่มขึ้น หากยังมีลักษณะใหม่ๆเปลี่ยนไปจากเดิม โดยที่ตัวรัฐเองก็ไม่สามารถใช้วิธีการเดิมๆมาแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง

ปัญหาที่รัฐต้องเผชิญเพื่อปรับปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางอำนาจมี 2 ประเภท คือ

1.ปัญหาการบูรณาการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์กับผลประโยชน์ของส่วนอื่นๆในสังคมไทย
2.ปัญหาความไม่ลงตัวเรื่องการจัดสรรอำนาจทางการเมืองและพื้นที่ทางการเมืองในสังคมแบบพหุลักษณะ

อันดับแรกเกี่ยวกับเรื่องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ดังที่ตั้งข้อสังเกตไว้แล้ว ถึงวันนี้เราคงต้องยอมรับว่าผลประโยชน์ของผู้คนในประเทศไทยมีความหลากหลายมาก ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียว กระทั่งขัดแย้งกันเองเกินว่าจะใช้คำว่าผลประโยชน์แห่งชาติมาเป็นข้ออ้างในการบริหารอำนาจ

นอกจากนี้เราต้องยอมรับว่าโลกภิวัตน์ทางเศรษฐกิจมีผลทั้งบวกและลบ ผู้คนได้เสียจากโลกาภิวัตน์ไม่เท่ากัน คำว่ากลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ไม่เท่ากัน คำว่ากลุ่มทุนโลกาภิวัตน์จริงๆแล้วแทบไม่มีเรื่องสัญชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจจะหมายถึงนักลงทุนจากต่างประเทศที่เข้ามาในประเทศไทยหรือหมายถึงทุนไทยที่ร่วมลงทุนกับต่างชาติและลงทุนในต่างประเทศก็ได้ ระบบการค้าการลงทุนที่ไร้พรมแดนไม่เพียงทำให้ผลประโยชน์ของทุนไทยและทุนต่างชาติคละเคล้ากันจนแยกไม่ออกเท่านั้น แม้ในระดับของการจ้างงานยังมีลักษณะไร้พรมแดนไปด้วยดังจะเห็นได้จากการนำแรงงานต่างชาติเข้ามาในจำนวนมหาศาลทำให้ประเทศไทยมีประชากรที่ไม่ได้ถือสัญชาติไทยในจำนวนที่มีนัยสำคัญ ประเด็นใหญ่ในเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่พวกเขาเป็นต่างชาติที่เข้ามาอาศัยประเทศไทยทำกิน นั่นเป็นกรอบคิดเก่าที่ใช้ไม่ได้อีกต่อไป เพราะแรงงานดังกล่าวจำนวนสองล้านห้าแสนคนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพลังการผลิต ที่ช่วยลดต้นทุนและช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทั้งของทุนไทยและทุนต่างชาติบางกลุ่ม ขณะเดียวกันกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่คอยตรึงราคาค่าแรงของผู้ใช้แรงงานชาวไทยด้วย

"แรงงานต่างชาติเป็นคนนอกโดยนิตินัยเท่านั้น หากการดำรงอยู่พวกเขาเป็นคนในของระบบการผลิตในประเทศไทยซึ่งสมควรได้รับการดูแลตามฐานะและศักดิ์ศรีของความเป็นคน"

ตรงนี้เข้าใจว่าระเบียบอำนาจแบบรัฐชาติยังไม่ได้เปิดพื้นที่เท่าที่ควร ทำให้เกิดการกดขี่ข่มเหงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างชาติขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตรงกันข้ามกับการเข้ามาของนักลงทุนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติซึ่งมักได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

การออกกฎหมาย 11 ฉบับเพื่อตอบสนองข้อเรียกร้องของไอเอ็มเอฟ ไม่เพียงลดอำนาจรัฐไทยในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจ และลดทอนความเป็นรัฐชาติของไทยเท่านั้น หากยังพาอำนาจรัฐไทยให้เอนเอียงไปในทางการดูแลอำนวยความสะดวกให้กับการเติบโตของโลกาภิวัตน์ด้วย

แต่ประเด็นมีอยู่ว่าสภาพดังกล่าวสามารถกลายเป็นปัญหาทางการเมืองในระดับคอขาดบาดตายได้ ถ้ารัฐไทยยังใช้คำว่าผลประโยชน์แห่งชาติไปผัดหน้าทาแป้งกับการขยายตัวของฝ่ายทุนเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจใยดีการสูญเสียผลประโยชน์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบ ตัวอย่างในเรื่องดังกล่าวได้แก่การประท้วงของชุมชนท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งเดือดร้อนจากการตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทั้งโดยทุนไทยและทุนต่างชาติ ทั้งนี้โดยมีกรณีความขัดแย้งที่มาบตาพุดเป็นตัวอย่างล่าสุด

ระบบทุนในยุคโลกาภิวัตน์ทำให้การเติบโตของจีดีพีและการขยายตัวภาคอุตสาหกรรมก่อให้เกิดประโยชน์กับคนไม่น้อย แต่เป็นแค่ส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมดอันประกอบขึ้นเป็นประเทศไทย คนจำนวนหนึ่งได้รับผลประโยชน์ คนอีกจำนวนหนึ่งไม่ได้รับอะไร แล้วยังมีอีกจำนวนหนึ่งต้องสูญเสียสิ่งที่เคยได้รับอีกต่างหาก

ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจในประเทศไทย

เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมาแต่เดิมแล้ว และเมื่อผนึกผนวกปัญหาเชิงโครงสร้างดังกล่าวเข้ากับกระแสโลกาภิวัตน์โดยไม่มีการปรับสมดุลใดๆ สภาพที่เกิดขึ้นจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก ดังจะเห็นรายได้จากช่องว่างระหว่างรายได้ของคนรวยสุด 20 % กับคนที่จนสุด 20 % ซึ่งต่างกันถึง 13 เท่า แล้วถ้าจะพูดถึงการกระจุกตัวของความมั่งคั่ง จริงๆแล้ว ตัวเลขยังน่าตกใจกว่านี้

ล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์ท่านหนึ่งคำนวณว่า 42 %ของเงินฝากในธนาคารของทั้งประเทศ มีค่าประมาณหนึ่งในสามของจีดีพีประเทศไทย เป็นของคนจำนวนเพียงสามหมื่นห้าพันคนหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เทียบกับประชากรทั้งประเทศ 64 ล้านคน

ฉะนั้นปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่การต่อต้านการค้าการลงทุนแบบไร้พรมแดน หากจะต้องจัดวางฐานะของสิ่งนี้ไว้ในทางอันเหมาะสมและสอดคล้องกับความเป็นจริง ผลประโยชน์ของทุนเป็นได้อย่างมากก็แค่ส่วนหนึ่งของส่วนทั้งหมด หรือเป็นแค่ส่วนหนึ่งของ "ผลประโยชน์ชาติ" เพราะทุนกับชาติไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

เราต้องมองความจริงตรงนี้โดยไม่หลบตาเท่านั้น จึงจะแก้ปัญหาข้อพิพาทต่างๆได้บ้าง การบูรณาการผลประโยชน์ของกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์เข้ากับส่วนอื่นๆของสังคมไทย จะทำไม่ได้เลย ถ้ารัฐไทยยังถือว่าการเติบโตของภาคธุรกิจเป็นดัชนีชี้วัด "ความเจริญ รุ่งเรืองของชาติ" เพียงอย่างเดียว และกดดันให้ผู้ยึดถือคุณค่าแบบอื่นในสังคม ตลอดจนกลุ่มชนที่เดือดร้อนจากการถูกช่วงชิงทรัพยากรหรือเดือดร้อนจากการสูญเสียสิ่งแวดล้อมอันเอื้อต่อสุขภาวะ ต้องหลีกทางให้โดยไม่มีเงื่อนไข

ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรายอมรับกันอย่างตรงไปตรงมาในสังคมว่าไทยมีผลประโยชน์ของชาวต่างชาติ และผลประโยชน์ของชาวต่างชาติก็ปะปนอยู่ผลประโยชน์ของคนไทยบางส่วน การตกลงหาความสมดุลกับส่วนอื่นๆของสังคมไทยอยู่ในวิสัยทำได้ การสังเคราะห์ผลประโยชน์ส่วนรวมขึ้นมาใหม่จากความจริงที่เป็นรูปธรรมก็พอทำได้ ทิศทางเช่นนี้จะปรากฎเป็นจริงต่อเมื่อมีการข้ามพ้นการอ้างชาติแบบเลื่อนลอย ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการกำหนดนโยบาย และการบริหารความเป็นธรรมโดยรัฐในขั้นตอนต่างๆ ซึ่งต้องเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสมศักดิ์ศรีและเท่าเทียมกัน

อันนี้ไม่ใช่ระเบียบแบบรัฐชาติเราคุ้นเคยอยู่ และอาจจะต้องมีการค้นคว้าหารูปแบบที่เหมาะสม กระทั้งมีการออกแบบสถาบันใหม่ๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "มันหมดเวลาแล้วที่รัฐจะบัญชาสังคมจากข้างบนลงมา"

"ตั้งแต่รัฐไทยตอบสนองข้อเรียกร้องของไอเอ็มเอฟด้วยการออกกฎหมาย 11 ฉบับอำนาจของรัฐในการแทรกแซงและกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจลดน้อยลงไปอีก ผลคือ กลไกตลาดกลายเป็นสถาบันหลักในการกำหนดทุกข์สุขของประชาชนและรัฐก็แทบจะกลายเป็น "นักเลง"คุมตลาดเท่านั้นเอง"

"ตลาดหรือสถาบันตลาด" ไม่ได้แก้ไขตัวเองได้เสมอไป บ่อยครั้งไม่ได้มีธรรมาภิบาลที่ชอบเรียกร้องเอากับรัฐ ทำให้การแทรกแซงของรัฐเป็นเรื่องที่จำเป็น ดังเราจะเห็นได้จากตัวอย่างในกรณีวิกฤตเศรษฐกิจไทยปี 2540 และวิกฤตในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2551

คำถามมีอยู่ว่า "แล้วรัฐควรมีบทบาทเพียงแค่นี้กระนั้นหรือ เป็นยามรักษาความปลอดภัยและเป็นหน่วยบรรเทาทุกข์เวลาเกิดไฟไหม้ตลาด?"

จริงอยู่ เราไม่ต้องการให้รัฐไทยขยายตัวไปทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบผู้คนในทุกเรื่องราวของชีวิต เพราะนั่นจะยิ่งเสริมฐานะครอบงำของรัฐให้อยู่เหนือสังคมเข้าไปอีก ดังนั้นข้อเรียกร้องของเฉพาะหน้าจึงมีอยู่ว่ารัฐจะทำหน้าที่บริหารความเป็นธรรมในสังคมที่เปลี่ยนไปได้อย่างไร

สิ่งแรกที่รัฐต้องทำคือ บูรณาการสังคมไทยเสียใหม่ ยอมรับการมีอยู่ของทุกๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง แทนที่จะปิดบังมันไว้ด้วยจินตนาการเรื่องชาติ จากนั้นหาทางประสานประโยชน์ระหว่างทุนข้ามชาติ ทุนไทย แรงงานต่างชาติ แรงงานไทย เกษตรกรรายย่อย ชุมชนท้องถิ่น ผู้ค้าปลีก ชาวประมงพื้นบ้าน คนชั้นกลาง คนชั้นล่าง ข้าราชการทั้งทหารและพลเรือน และอีกหลายภาคส่วนที่ประกอบขึ้นเป็นสังคมไทยปัจจุบัน

บูรณาการหมายถึง การทำหน่วยย่อยที่กระจัดกระจายหรือแม้แต่ขัดแย้งกัน ให้เปลี่ยนมามีความสัมพันธ์โยงใยกัน เอื้อประโยชน์ให้กัน อีกทั้งมีความพอใจในความสัมพันธ์ดังกล่าว อันนี้ย่อมต่างจากความสมานฉันท์แบบเลื่อนลอยที่อาศัยการรณรงค์ทางอุดมการณ์เป็นสำคัญ

สำหรับการบริหารความเป็นธรรมนั้น นับเป็นหน้าที่เก่าแก่สุดและเป็นภารกิจใจกลางที่สุดของรัฐหรือผู้กุมอำนาจการปกครอง แม้เนื้อหาของความเป็นธรรมจะเป็นเช่นไร ขึ้นอยู่กับการยึดถือของสังคมในแต่ละยุคสมัย แต่เราอาจกล่าวได้ว่าสังคมที่ปราศจากความเป็นธรรม จะไม่มีวันได้พบกับความสงบร่มเย็น

อันดับต่อไป เรามาพูดถึงเรื่องความไม่ลงตัวในการจัดสรรอำนาจและพื้นที่ทางการเมืองถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับยุคโลกาภิวัตน์อย่างไร เกี่ยวข้องกันอยู่สองประเด็น คือ

1. ระบบเศรษฐกิจแบบไร้พรมแดนตลอดจนโลกาภิวัตน์ในด้านข่าวสารส่งผลให้สังคมไทยแตกเป็นพหุลักษณะอย่างรวดเร็ว ทั้งในแง่ของกลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มวัฒนธรรม ข้อนี้ทำให้สังคมไทยปกครองยากขึ้น

2. โลกาภิวัตน์ทำให้เกิดชนชั้นนำกลุ่มใหม่ๆที่มั่งคั่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วและมหาศาลเช่นเดียวกับชนชั้นนำที่มาทีหลังในประวัติศาสตร์และทุกหนแห่งในโลก คนเหล่านี้ต้องการส่วนแบ่งในอำนาจการเมืองการปกครอง แต่ขณะเดียวกันไม่มีทั้งประสบการณ์ และความรู้ที่เป็นศาสตร์และศิลป์ของการปกครอง ทำให้เกิดเป็นความขัดแย้งต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

การที่สังคมไทยถูกทำให้เป็นพหุนิยมอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้เกิดความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างกว้างขวางตั้งแต่โลกทัศน์ในเรื่องผลประโยชน์ วิถีชีวิต แบบแผนทางวัฒนธรรม ความคิดความเชื่อในด้านจิตวิญญาณ จนถึงความคิดเห็นทางการเมือง สภาพดังกล่าวทำให้เกิดความครอบงำด้วยอุดมการณ์ ชาตินิยมแบบเก่าทำได้ยากขึ้น กระทั่งทำไม่ได้อีกต่อไป คนไทยในปัจจุบันตีความคำว่าชาติและความเป็นไทยแตกต่างกันไป กระทั่งเลิกเชื่อในจินตนาการแบบนี้

ดังจะเห็นได้จากพฤติกรรมของชนรุ่นหลังจำนวนไม่น้อยที่อยากมีชีวิตทางวัตถุแบบชาวตะวันตกแต่อยากมีหน้ามีตาแบบชาวเกาหลี ขณะเดียวกันก็อาจจะชื่นชอบนักร้องไต้หวัน นักฟุตบอลบราซิล และชอบกินอาหารญี่ปุ่นเป็นต้น

ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนไทยบางส่วนเริ่มมีผลประโยชน์แบบไร้พรมแดน ย่อมทำให้เป็นการยากขึ้นสำหรับรัฐชาติที่มีพรมแดนตายตัว ตลอดจนผู้คนที่ถือมั่นในลัทธิชาตินิยมจะสามารถยืนหยัดเรื่องผลประโยชน์ไทยได้อย่างเคร่งครัดตามจารีตดังเดิม

ล่าสุดตัวอย่างที่น่าสนใจในเรื่องนี้ได้แก่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา ดังที่ทราบกันอยู่แล้ว การที่นายกรัฐมนตรีเขมรแต่งตั้งอดีตนายกฯไทยเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับนายกรัฐมนตรีไทยคนปัจจุบันเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเห็นว่าอดีตนายกฯท่านนั้นมีความผิดทั้งในการเมืองและทางอาญา ขณะเดียวกันก็มีคนไทยบางส่วนโกรธแค้นฝ่ายกัมพูชาเพราะพวกเขาเห็นว่าแทรกแซงกิจการภายในของไทยหรืออย่างน้อยไม่ให้เกียรติประเทศไทยเท่าที่ควร

อย่างไรก็ดีปรากฎว่ามีคนไทยอีกจำนวนมากที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการโต้ตอบถึงขั้นการเรียกทูตกลับของรัฐบาลไทยเลยหากกลับมีอารมณ์ไปวิตกกังวลว่าความขัดแย้งนี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจภายในกัมพูชา ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งการส่งสินค้าไปขายและการลงทุนหลายหมื่นล้านบาท แม้แต่นักธุรกิจในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังอดวิตกไม่ได้ว่ายอดขายทัวร์ไปเขมรอาจจะได้รับแรงกระทบกระเทือน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงชาวบ้านที่ทำการค้าบริเวณชายแดนไทยกัมพูชาต่างก็ภาวนาให้เรื่องนี้จบลงเร็ว

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าทุกวันนี้แม้แต่เรื่องความขัดแย้งระดับคลาสสิคคือเรื่องศักดิ์ศรีของประเทศ คนไทยก็ไม่ได้เห็นพ้องต้องกัน

ในมิติทางการเมืองลักษณะ "พหูพจน์" ของสังคมไทยดังกล่าว สามารถนำไปสู่ข้อพิพาทได้สารพัดอย่างได้โดยง่าย ทั้งความขัดแย้งกันเองของผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้อำนาจรัฐกดดันหรือลดรอนสิทธิในด้านผลประโยชน์และอัตลักษณ์ของบรรดากลุ่มย่อย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากพวกเราประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ก็จำเป็นต้องมีการปรับตัวกันอย่างขนานใหญ่

ในทางวัฒนธรรมการเมืองจะต้องไม่มีการผูกขาดนิยามความเป็นชาติและความเป็นไทยซึ่งมักใช้เป็นข้อกำหนดถูกผิดหากเห็นต่างเรื่อง'ใดก็ว่ากันไปตามเนื้อผ้า และตามลักษณะรูปธรรมของความขัดแย้งเรามีความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างสันติและแก้ไขกรณีพิพาทด้วยสันติวิธี ซึ่งในเรื่องนี้การศึกษาวิจัยทางวิชาการได้ดำเนินมาบ้างแล้ว โดยกระบวนการทางสังคมและกระบวนการทางการเมือง สันติวิธียังห่างไกลลักษณะความเห็นสถาบัน

อย่างไรก็ตามมาตรการสำคัญที่สุดในการลดแรงกระแทกของสังคมที่กำลังแตกปัจเจกแยกกลุ่มย่อย คือการมีพื้นที่ทางการเมืองให้กับทุกฝ่าย อันนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนทุกกลุ่มต้องขึ้นเวทีการเมือง เพื่อช่วงชิงอำนาจแต่หมายถึงการมีหนทางเข้าถึงกระบวนการใช้อำนาจได้ในกรณีที่ส่งผลกระทบถึงตน อีกทั้งมีพื้นที่ในการอธิบายเรื่องราวต่อรัฐและผู้เกี่ยวข้องตลอดจนสังคมส่วนที่เหลือ พูดง่าย ๆ ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและสังคม "พหุลักษณะ" จะต้องอยู่ในวิถีของการเมืองแบบมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นปัญหาไหนก็แก้ไม่ได้

เรื่องนี้จริงๆนับว่าเราได้เริ่มต้นกันมาบ้างแล้วเช่นมีการกำหนดเรื่องสิทธิชุมชนและการเมืองภาคประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการใช้ระบบประชาพิจารณ์และการหยั่งประชามติเป็นครั้งคราว แต่ที่ผ่านมาถือว่ายังไม่พอ เรายังต้องขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทิศทางนี้กันต่อไป

ต่อมาพูดถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำไทยในปัจจุบัน อันที่จริงกรณีทำนองนี้เคยเกิดขึ้นเป็นระยะนานแล้วในประวัติศาสตร์การสร้างรัฐชาติของประเทศไทย เช่นในปี 2475 ปี 2516 ปี 2535 เป็นต้น ซึ่งแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นก็ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองตามหลังมา การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองดังกล่าวไม่ว่าจะถูกเรียกว่าเป็นระบอบอะไรก็ตามแต่ สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือมีการขยายพื้นที่ในส่วนยอดของศูนย์อำนาจเพื่อให้ชนชั้นกลุ่มใหม่หรือรุ่นใหม่เข้ามาอยู่ในพันธมิตรการปกครอง เมื่อผ่านกาลเวลาสักระยะหนึ่งชนชั้นนำใหม่และเก่าก็มักจะปรับตัวเข้าหากัน กำหนดฐานะอันเหมาะควรให้กันและกัน ตลอดจนร่วมกันใช้อำนาจทางการเมืองบังคับบัญชาสังคมที่อยู่เบื้องล่าง

อย่างไรก็ดี สภาพดังกล่าวได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญหลังวิกฤตเศรษฐกิจ 2540 กล่าวคือชนชั้นนำเก่าจากภาคธุรกิจเอกชนซึ่งเคยร่วมมือเป็นพันธมิตรกับชนชั้นนำจากภาครัฐมาเป็นอย่างดีได้ถูกวิกฤตครั้งนั้นทำให้มีฐานะเสื่อมถอยลงทั้งในการเมืองและอิทธิพลทางสังคม ขณะเดียวกันก็ได้เกิดชนชั้นนำกลุ่มใหม่ที่เติบใหญ่มาจากระบบทุนโลกาภิวัตน์ซึ่งสามารถรวบรวมความมั่งคั่งของประเทศไว้ในมือตนได้อย่างรวดเร็วและมหาศาลอย่างเหลือเชื่อ ที่สำคัญคนกลุ่มนี้ไม่เชื่อถือในการบริหารประเทศทั้งโดยชนชั้นนำจากภาครัฐและโดยนักการเมืองรุ่นเก่า ซึ่งมักเป็นตัวแทนของภาคธุรกิจในกรอบรัฐชาติมากกว่าธุรกิจแบบไร้พรมแดน

ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เพียงตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเข้าไปมีส่วนแบ่งในศูนย์อำนาจอย่างที่ชนชั้นนำจากภาคเอกชนรุ่นก่อนๆเคยต่อรองกับชนชั้นนำในระบบราชการ หากมีความประสงค์ถึงขั้นเข้าไปแทนที่ชนชั้นนำรุ่นเก่าๆทั้งหมดในการบริหารจัดการบ้านเมือง

ในบางด้านเราอาจจะกล่าวได้ว่านี่เป็นการขึ้นกุมอำนาจโดยตรงของกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์ในประเทศไทย ซึ่งผ่านระบบการเลือกตั้งและมาพร้อมกับความคิดที่แน่นอนชุดหนึ่งในการปรับเปลี่ยนทั้งกลไกรัฐและสังคมไทย ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยเชื่อมร้อยกับโลกไร้พรมแดนได้อย่างกระฉับกระเฉงขึ้น

หลังจากการปกครองประเทศไทยอยู่ได้ 5- 6ปี การสถาปนาอำนาจนำของนักการเมืองจากกลุ่มทุนโลกภิวัตน์ก็ถูกท้าทายรุนแรงจากหลายภาคส่วนของสังคม กระทั่งถูกโค่นด้วยรัฐประหารในปี 2549 จากนั้นประเทศไทยต้องพบกับความแตกแยกทางการเมืองที่หนักหน่วงร้ายแรงที่สุด นับตั้งแต่การสงบลงของสงครามระหว่างซ้ายขวาเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน

ที่กล่าวมาไม่ได้ต้องการฟื้นฝอยหาตะเข็บ หรือกล่าวหาฝ่ายไหนทั้งสิ้น เพียงอยากจะชวนมาทบทวนว่ากระแสโลกาภิวัตน์ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในมิติของการแข่งขัน ชิงอำนาจอย่างไร ประเทศไทยเคยพยายามปรับตัวเข้าหาโลกาภิวัตน์มาแล้วครั้งหนึ่ง โดยการนำของคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งบังเอิญรีบร้อนและไม่มีความคิดแยบยลพอที่จะบูรณาการสังคมไทยให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมและมอบฉันทานุมัติเสียก่อน จึงประสบความล้มเหลว

ความขัดแย้งทางการเมืองในปี 2549 ที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องพฤติกรรมและผลประโยชน์ของบุคคลอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ในวันนี้สิ่งที่จะพูดคือโครงสร้างที่ทำให้การแบ่งพื้นที่อำนาจระหว่างชนชั้นนำก็ดี การเปิดพื้นที่ให้มวลชนชั้นล่างมีอุปสรรคขัดขวางมากมายทีเดียว

อำนาจรัฐสมัยใหม่ของไทยรวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลางมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ที่เข้าใจยากคือ "ทำไมยังรวมศูนย์อยู่จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ทั้งๆที่เราพยายามสร้างระบอบการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย และเคลื่อนเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์มาแล้วระยะหนึ่ง"

สรุปรวมความแล้วก็คือว่า การที่โลกไร้พรมแดนเข้ามาอยู่ในประเทศที่มีพรมแดนทำให้เราจะต้องพิจารณาหาหนทางบูรณาการประเทศกันใหม่ ทั้งในส่วนที่เป็นภาครัฐและภาคสังคม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม

การสร้างความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันใหม่ในบริบทของความเป็นจริงแห่งปัจจุบันคงจะไม่สามารถทำได้ในกรอบคิดดั้งเดิมของรัฐของลัทธิชาตินิยมหรือภายใต้ระเบียบอำนาจแบบเก่าๆอย่างที่เราคุ้นเคยกัน

"ผมเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ใด โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ยังผูกพันอยู่กับความคิดเรื่องชาติแบบดั้งเดิม แต่เราคงต้องยอมรับว่าในระยะที่ผ่านมาคำว่าชาติได้กลายเป็นคำขวัญของการเมืองแบบผู้ชนะได้ไปหมด สมัยก่อนระบบเผด็จการมักอ้างชาติในการผูกขาดอำนาจ ต่อมารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็อ้างชาติให้คนอื่นเงียบ สุดท้ายกลุ่มการเมืองที่ขัดแย้งกันก็อ้างชาติเพื่อผูกขาดความถูกต้อง เราคงจะอยู่กันอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ เพราะมันไม่สอดคล้องกับความจริง ปัญหาการบูรณาการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุนโลกาภิวัตน์กับผลประโยชน์ของส่วนอื่นๆในสังคมไทยก็ดี ปัญหาความไม่ลงตัวในเรื่องการจัดสรรอำนาจทางการเมืองและพื้นที่ทางการเมืองในสังคมแบบพหุลักษณะก็ดี จะแก้ได้ต่อเมื่อเราขยายเส้นขอบฟ้าทางปัญญาให้กว้างกว่าการใช้นิยามเดียวมาตัดสินที่อยู่ที่ยืนของผู้คน"

ปัจจุบันอำนาจรัฐไทยถูกจำกัดโดยเงื่อนไขโลกาภิวัตน์อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ถูกกำกับโดยประชาสังคมเท่าที่ควร อำนาจรัฐบางส่วนถูกโอนให้สถาบันตลาด แต่ตลาดเองก็ไม่สามารถให้ความเป็นธรรมกับสมาชิกในสังคมได้อย่างทั่วถึง มิหนำซ้ำยังจะดึงรัฐไปรับใช้การขยายตัวของทุนอยู่ตลอดเวลา

เราคงไม่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ฝากความมั่งคั่งและอยู่รอดของตนไว้กับทุนและแรงงานจากต่างประเทศ อีกจำนวนไม่น้อยพอใจชีวิตที่ไม่ต้องถูกนิยามด้วยวัฒนธรรมแห่งชาติ และกินอยู่แต่งกายไปตามกระแสบริโภคสากล

แต่เราก็ต้องยอมรับเช่นกันว่ายังมีอีกหลายกลุ่มที่เดือดร้อนกับโลกที่ไร้พรมแดน บ้างถูกเบียดยึดพื้นที่ทางเศรษฐกิจและการเมือง บ้างถูกคุกคามความอยู่รอดอย่างแท้จริง และบ้างเพียงรู้สึกเจ็บปวดเมื่อโลกที่ตัวเองคุ้นเคยกำลังเลือนหายไป

การดำรงอยู่ของทั้งสองส่วนเป็นสาเหตุสำคัญของกรณีพิพาทในหลายๆเรื่อง และนี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ต้องมีการปรับสมดุลกันในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"ทีดีอาร์ไอ"ซัด รบ.แก้"หนี้นอกระบบ"ไม่ตรงจุด แค่หวังผลการเมือง ห่วงคนกู้นอกระบบมาโปะซ้ำอีก


ทีดีอาร์ไอ"ซัด รบ.แก้"หนี้นอกระบบ"ไม่ตรงจุด แค่หวังผลการเมือง ห่วงคนกู้นอกระบบมาโปะซ้ำอีก

"ทีดีอาร์ไอ"ซัด รบ.แก้ปัญหาหนี้นอกระบบไม่ตรงจุด แค่หวังผลทางการเมือง ไม่ต่างจาก "รบ.แม้ว" ห่วงคนร่วมโครงการเบี้ยวหนี้ หันไปกู้นอกระบบมาโปะซ้ำ ปราชญ์ชาวบ้านหวั่นกลายเป็นหนี้"งูกินหาง"

"มาร์ค-ปทีป-ธานี"ถกปมมาเฟียเงินกู้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) และพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองเลขาธิการนายกฯฝ่ายการเมืองเข้าหารือที่ห้องทำงานในตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ใช้เวลาประมาณ 15 นาที จากนั้น พล.ต.อ.ธานี ให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯ เรียกคุยเรื่องการแก้ไขปัญหาเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล

"ทีดีอาร์ไอ"ชี้ รบ.แก้หนี้ไม่ตรงจุด

ด้านนายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า เชื่อว่าผลลัพธ์ในการดำเนินนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เหมือนกับโครงการของรัฐบาลในอดีต และน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด เป็นการหวังผลทางการเมืองมากเกินไป ไม่แตกต่างจากโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยถูกจุดขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองอยู่พักหนึ่ง แล้วก็หายไป


นายนิพนธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ จากผลการสำรวจรายได้รายจ่ายครัวเรือน ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2550 พบว่าครัวเรือนมีหนี้สินในระบบอยู่ถึง 80% ขณะที่หนี้สินนอกระบบมีแค่ 20% ส่วนครัวเรือนที่มีฐานะยากจนมากที่สุด เป็นหนี้ในระบบอยู่ 56% ส่วนหนี้นอกระบบ 44% เป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน และแนวโน้มสัดส่วนหนี้ในระบบนับวันจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมูลเหตุแห่งหนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่อนทีวี มอเตอร์ไซค์ หรือบัตรอีออน ซึ่งมีกลุ่มลูกหนี้จำนวนมาก ถือเป็นหนี้ในระบบทั้งหมด การแก้ไขปัญหาหนี้ในระบบจึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม

ห่วงคนเบี้ยวหนี้-กู้นอกระบบอีก

นายนิพนธ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ การตั้งเกณฑ์การช่วยเหลือรายละไม่เกิน 2 แสนบาท อาจเป็นตัวเลขที่สูงเกินไป เนื่องจากผลสำรวจหนี้ครัวเรือนปี 2550 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 50,000 กว่าบาทเท่านั้น และเชื่อว่าการตั้งเป้าผู้เข้าร่วมโครงการที่ 1 ล้านคน เมื่อเริ่มดำเนินการผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับการพิจารณาคงมีไม่มากนัก เนื่องจากสถาบันการเงินต่างๆ ต้องระมัดระวังการปล่อยกู้ส่วนนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียในอนาคต และรัฐบาลไม่ควรบีบบังคับให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ลักษณะนี้ เพราะสถาบันการเงินต้องนึกถึงผลประโยชน์ของประชาชนที่เอาเงินมาฝากด้วย

"สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดของการโอนหนี้เข้ามาอยู่ในระบบครั้งนี้ คือ ปัญหาการเบี้ยวหนี้ของประชาชน เพราะในข้อเท็จจริงของการเป็นหนี้นอกระบบ แม้จะต้องเสียดอกเบี้ยแพง แต่ลูกหนี้ก็ต้องจ่าย แต่หนี้ในระบบซึ่งมีดอกเบี้ยถูกกว่า หากลูกหนี้ที่ได้รับกู้เงินไปแล้ว เกิดปัญหาขาดแคลนเงิน ก็จำเป็นต้องใช้วิธีไปกู้หนี้นอกระบบมาโปะอีก หนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ส่วนทันที และถ้าถึงเวลาใช้หนี้พร้อมกัน เชื่อว่าลูกหนี้จะเลือกเบี้ยวหนี้ในระบบก่อน เพราะเสียอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า สุดท้ายภาระหนี้สินหนี้ในระบบก็จะทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่กู้หนี้จนเกินตัว" นายนิพนธ์ กล่าว

แนะให้เข้าถึงเงินกู้ในระบบง่ายขึ้น

นายนิพนธ์ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ตรงจุดที่รัฐบาลควรดำเนินการ คือ การทำอย่างไรให้คนที่เดือดร้อนเงินจริง สามารถเข้าถึงกระบวนการปล่อยเงินกู้ในระบบง่ายมากขึ้น โดยใช้ช่องทางกองทุนหมู่บ้าน ละกองทุนอื่นๆ ของชุมชน เนื่องจากมีระบบที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้ระบบสถาบันการเงินปกติ เพราะกองทุนเหล่านี้มีความเข้าใจคนในพื้นที่อย่างดีว่า มีศักยภาพที่ปล่อยเงินให้ได้หรือไม่

"นอกจากนี้ ควรสนับสนุนการจัดทำเครดิตบูโร ทั้งในส่วนสถาบันการเงินของรัฐและกองทุนหมู่บ้าน เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินงานด้วย นอกจากนี้ ควรเร่งสำรวจข้อมูลว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดหนี้ เพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดมากที่สุด" นายนิพนธ์ กล่าว

ปราชญ์เชื่อเจ้าหนี้ไม่ร่วมมือ

นายประยงค์ รณรงค์ ปราชญ์ชาวบ้าน เจ้าของรางวัลแม็กไซไซ สาขาผู้นำชุมชน ปี 2547 และกรรมการคณะกรรมการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า นโยบายนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ รัฐบาลในอดีตเคยทำมาแล้วช่วงปี 2547-2548 โดยเปิดให้ผู้มีหนี้มาขึ้นทะเบียน และหาคนกลางมาเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากขั้นตอนการเจรจาประนอมหนี้ ไม่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหนี้ พอถึงเวลาไม่มาตามนัด เพราะกังวลผลประโยชน์จะเสียไปจากดอกเบี้ยที่ได้รับจากลูกหนี้ จึงมีเพียงบางส่วนได้รับการแก้ปัญหาเท่านั้น

นายประยงค์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม นโยบายเรื่องนี้ของรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่ดีในการหาทางช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนจากการถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยสูงเกินจริง แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ คือการสนับสนุนเงินทุนให้กับลูกหนี้ เพื่อนำไปสร้างงาน สร้างอาชีพ หลังปัญหาหนี้สินได้รับการช่วยเหลือเบื้องต้นไปแล้ว

เตือนระวังเป็นหนี้ "งูกินหาง"

"รัฐบาลต้องไม่ลืมว่า แม้จะนำหนี้ที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบ เปลี่ยนตัวเจ้าหนี้จากตัวบุคคลมาเป็นสถาบันการเงิน แต่ภาระหนี้ของลูกหนี้ไม่ได้หมดไป การช่วยเหลือครั้งนี้เป็นเพียงแค่การชะลอความเป็นหนี้ออกไปเท่านั้น หากลูกหนี้มีปัญหาการเงินขึ้นมาอีก สุดท้ายคงต้องไปกู้หนี้นอกระบบมาใช้อีก จะทำให้หนี้เพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง จะกลายเป็นงูกินหาง หาทางออกไม่ได้" นายประยงค์ กล่าว

นายประยงค์ กล่าวว่า นอกเหนือจากปัญหาดังกล่าว สิ่งที่รัฐบาลควรระวัง คือการหาช่องเข้ามาหาผลประโยชน์จากคนบางกลุ่ม โดยสร้างหนี้ปลอมหรือทำสัญญาลอย นำมายื่นเรื่องเข้าโครงการเพื่อเอาเงินไปใช้กันเอง ทั้งที่ไม่ได้มีหนี้สินจริง กลวิธีแบบนี้กำลังเป็นที่พูดกันมากในระดับพื้นที่ว่ามีการเตรียมวางแผนกันไว้เรียบร้อยแล้ว หากรัฐบาลไม่รีบหาวิธีการรับมือ อาจทำให้โครงการนี้ต้องเจอปัญหาได้

ธปท.ชี้ยากตรวจหนี้นอกระบบ

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีรัฐบาลจะแก้ไขหนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบว่า เป็นเรื่องดี แต่ต้องดูว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะการจะตรวจสอบเอกสารของเจ้าหนี้นอกระบบเป็นเรื่องยาก ส่วนเรื่องอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตในระบบที่มองว่าสูงเกินไปนั้น เรื่องนี้เป็นเรื่องของอุปสงค์ในตลาด หากมีความต้องการด้านสินเชื่อมากจะเกิดการแข่งขันก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม มองว่าอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตปัจจุบันอยู่ในระดับที่ยอมรับได้

"อยากให้ดูทั้ง 2 ด้าน หากมองว่าสูงเกินไป จะดูเป็นการเอาเปรียบผู้ใช้ แต่อีกด้านหากต่ำเกินไปก็จะกระทบต่อความเสี่ยงของลูกค้าทำให้สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อย จะทำให้ไปใช้บริการเงินกู้นอกระบบ" นางธาริษา กล่าว

"กสิกร"ยันไม่กระทบสินเชื่อแบงก์

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เป็นเรื่องดีที่จะช่วยให้ผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสามารถเข้าระบบการเงินที่ถูกต้องได้ เพราะอัตราดอกเบี้ยนอกระบบสูงมาก เฉลี่ย 20% ต่อเดือน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลในระบบอยู่ที่ 28% ต่อปี

"ปัจจัยหนึ่งที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบได้ คือเรื่องความชัดเจนด้านรายได้ ซึ่งธนาคารและนอนแบงก์ (สถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์) ต่างมีข้อกำหนดเรื่องรายได้ขั้นต่ำที่ต้องมี 1 หมื่นบาทต่อเดือนขึ้นไป ผู้ที่มีรายได้น้อยจึงไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ ต้องแก้ไขจากต้นตอในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย แม้กฎหมายจะกำหนดให้เรียกเก็บไม่เกิน 15% แต่ไม่มีบทลงโทษจึงไม่มีใครทำตาม หากมีการเอาจริงในเรื่องนี้จะช่วยแก้ไขหนี้นอกระบบได้" นายชาติชาย กล่าว

นายชาติ กล่าวว่า การแก้ไขหนี้นอกระบบของรัฐบาล ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารแน่นอน เนื่องจากเป็นการแก้ไขหนี้ที่เกิดในอดีตไม่ใช่ในปัจจุบัน จึงไม่ส่งผลให้ลูกค้าสินเชื่อส่วนบุคคลของธนาคารไหลไปเข้าโครงการนี้ แต่อาจมีส่วนหนึ่งที่เป็นหนี้ทั้งในระบบและนอกระบบที่อาจเข้าร่วมด้วยส่วนหนึ่ง

ตร.โคราชรวบ 38 ราย "แก๊งเงินกู้"

วันเดียวกัน พล.ต.ต.เดชาวัต รามสมภพ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3) พร้อม พล.ต.ต.ฉัตรกนก เขียวแสงส่อง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (ผบก.ภ.จว.) นครราชสีมา และพ.ต.อ.ภควัต ธรรมดี ผกก.สภ.ปากช่อง ร่วมแถลงข่าวผลการกวาดล้างจับกุมแก๊งออกเงินกู้นอกระบบ ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 15% โดยผู้ต้องหาเป็นชายฉกรรจ์ 38 คน พร้อมของกลางเป็นสมุดบัญชีเก็บหนี้ สำเนาบัตรประชาชนจำนวนมาก เงินสดจำนวนหนึ่ง เครื่องถ่ายเอกสารแบบพกพา 1 เครื่อง และรถจักรยานยนต์ 10 คัน

พล.ต.ต.เดชาวัต กล่าวว่า การกวาดล้างจับกุมแก๊งเงินกู้ครั้งนี้ เพราะมีประชาชน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าแม่ค้าหลายรายใน จ.นครราชสีมา ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากกลุ่มบุคคลที่ออกเงินกู้นอกระบบเรียกเก็บดอกเบี้ยสูง เริ่มต้นที่ร้อยละ 20 บางรายคิดสูงถึงร้อยละ 60 โดยเรียกเก็บเป็นรายวัน หากขาดส่งดอกเบี้ยหรือส่งไม่ตรงเวลา จะส่งชายฉกรรจ์มาข่มขู่บังคับทวงหนี้ บางรายถึงขั้นขู่จะทำร้ายร่างกาย ทั้งตบตี บุกทำลายทรัพย์สินภายในร้าน หรือแผงตลาด จึงระดมกำลังสืบสวนสอบสวนทุกพื้นที่จนติดตามจับกุมแก๊งเก็บเงินกู้ และทวงหนี้ได้ตามตลาดสดหลายแห่ง ควบคุมตัวทั้งหมดมาสอบสวน เบื้องต้นผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ บางรายอ้างตัวรับว่าเป็นผู้ปล่อยกู้ด้วยตัวเอง

ลั่นขยายผลนายทุนปล่อยกู้

"ข้อมูลการสืบสวนทางลับทราบว่า มีนายทุนรายใหญ่หลายรายที่เป็นผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังการปล่อยเงินกู้ และแบ่งกลุ่มบุคคลกระจายแต่ละพื้นที่ดูแลลูกหนี้ คาดว่าวงเงินกู้หมุนเวียนของนายทุนนอกระบบรายนี้เฉพาะใน จ.นครราชสีมา ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท สาเหตุสำคัญที่ทำให้พ่อค้าแม่ค้า หรือประชาชนทั่วไป ใช้บริการแก๊งเงินกู้นอกระบบ เพราะเข้าถึงการกู้เงินได้ง่าย เงื่อนไขไม่ยุ่งยากซับซ้อน" พล.ต.ต.เดชาวัต กล่าวและว่า เจ้าหน้าที่จะดำเนินคดีอย่างจริงจัง เนื่องจากมีพฤติการณ์ออกเงินกู้ และข่มขู่ทำร้ายร่างกายลูกหนี้ โดยผู้เสียหายที่เป็นลูกหนี้สามารถมาชี้ตัวเพื่อตำรวจจะรวบรวมพยานหลักฐานส่งดำเนินคดี และขยายผลนำไปสู่การดำเนินคดีกับตัวการใหญ่ที่เป็นนายทุนผู้อยู่เบื้องหลังต่อไป

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสืบสวนเชิงลึกของตำรวจ พบว่ากลุ่มปล่อยเงินกู้นอกระบบใน 8 จังหวัดอีสานตอนล่าง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนายทุนในพื้นที่ คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 ราย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับบุคคลในเครื่องแบบที่คอยให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวก ทำให้การจับกุมตัวกลุ่มนายทุนทำได้ยาก และผู้เสียหายไม่ให้ความร่วมมือแจ้งเบาะแสกับตำรวจ เพราะเกรงกลัวอิทธิพล แม้มีการกวดขันจับกุมอย่างจริงจัง แต่ปัญหายังไม่หมดไป เนื่องจากเงินกู้นอกระบบเป็นธุรกิจที่สมยอมกันทั้งสองฝ่าย ทำให้การสืบหาข้อมูลการกระทำผิดทำได้ยาก

ทักษิณ ชินวัตร: เดินฝ่าพายุ


ที่มา – Siam Intelligence Unit

และแล้ว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ก็เดินทางถึงประเทศกัมพูชาตามคำเชิญของนายฮุนเซ็นในฐานะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจและการคลังของประเทศกัมพูชา และคงจะได้บรรยายสรุปผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจกัมพูชาที่ดูแลด้านเศรษฐกิจจำนวน 300 คน ฟังในวันที่ 12 พฤศจิกายนนี้

เนื้อหาการบรรยายของเขา คงไม่พ้นสิ่งที่ถูกเรียบเรียงอยู่ในหนังสือ “Tackling Poverty : The policy that change Thailand, and how they can change the world” เขียนโดยนักเขียนชาวอินเดีย ที่ทำงานกับนิตยสาร CEO ในกลุ่มประเทศอาหรับ

หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร : คนไทยหายจน (เสียดายถูกปล้นเสียก่อน)”

เนื้อหาหลักๆ ในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่พ้นจากที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค, กองทุนหมู่บ้าน, หวยบนดิน, โครงการโอท็อป ตลอดไปจนถึง นโยบายระดับมหภาคที่อยู่ในชื่อ “เศรษฐกิจสองขา” (dual track policy)

พูดกันอย่างเป็นธรรม หลายต่อหลายนโยบายไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ถูกคิดขึ้นมาโดยข้าราชการและมือทำงานในหลายๆ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่แตกต่างกันออกไปคือ พรรคไทยรักไทยนำมาปัดฝุ่น “บรรจุหีบห่อ” และโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างเป็นบูรณาการ ที่สำคัญที่สุด พ.ต.ท. ทักษิณสัญญา แล้วยังทำได้จริง

นี่เป็นเรื่องไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พ.ต.ท. ทักษิณและพรรคไทยรักไทย เปลี่ยนจารีตของการแข่งขันทางการเมืองจาก การ “แจกเงิน” มาเป็น “แจกนโยบาย”

พรรคการเมืองน้อยใหญ่ต่างต้องรีบปรับตัว เปลี่ยนรูปแบบการหาเสียงที่ยึดติดกับตัวบุคคลหรือหัวคะแนน มาใช้นโยบายเป็นหลัก

จึงไม่แปลกที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ออกมายอมรับในคำให้สัมภาษณ์ว่า “การทำงานการเมือง ไม่ต่างกับการทำธุรกิจ” เขาเพียงแต่ ทำการตลาด, หาเสียง, และขายของ นอกเหนือจากนี้ก็เป็นความสามารถในเชิง “บริหารจัดการ”

สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แล้วเขาไม่เคยคิดว่าเป็นศัตรูที่น่าเกรงขามมากมายอะไร

อย่าลืมว่าทักษิณเคยเริ่มต้นด้วย “กำลัง” ที่ติดลบมาก่อน

กับภาพการหาเสียงที่จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2542 เมืองหลวงของพรรคประชาธิปัตย์ยามขณะเรืองอำนาจ เวทีหาเสียงของพรรคไทยรักไทยถูกรื้อ กระแสไฟฟ้าก็ยังถูกตัด ส้วมสาธารณะถูกสั่งปิด แต่ พ.ต.ท. ทักษิณ ยังจุดเทียนปราศรัยท่ามกลางสายฝน

และในเวลาต่อมาพรรคไทยรักไทยก็สามารถเอาชนะเลือกตั้งได้แบบถล่มทลาย!

ด้วยความสำเร็จอย่างท่วมท้น ทั้งในด้านธุรกิจ และการเมือง พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่คิดว่าเขาจะ “สะดุดล้มคว่ำ” ทางการเมือง แต่สิ่งที่ทักษิณเห็นอาจเป็นเพียงภาพลวงตา

กระแสการเบื่อหน่ายพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจต่างหาก ที่เป็นตัวหอบหิ้วทักษิณผงาดขึ้นในสนามการเมือง

ถามว่าทักษิณมีความ “ยอดเยี่ยม” ในเชิงเศรษฐกิจและบริหารจัดการหรือไม่ คำตอบคือ “อาจใช่”

แต่ไม่ใช่ในเชิง “การเมือง”!

เอาเข้าจริง เขาก็ยอมรับในคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดกับไทมส์ว่า “เขาอ่อนหัดทางการเมือง”

ความผิดพลาดในการ “พูดทางการเมือง” เป็นจุดอ่อนสำคัญของเขา ไม่ว่าจะเป็นคำพูด “โจรกระจอก” กับปัญหาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือการพูดว่าเขาจะลาออกหากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่ง แม้จะฟังได้สองมุม แต่ภาพของเขาถูกวาดไว้ว่า “ไม่จงรักภักดี”

ภาพลักษณ์ของเขายังถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ทุจริต, โคตรโกง, ขายชาติ, คบศัตรู, ทรยศชาติ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “ไม่จงรักภักดี” สำหรับทักษิณแล้ว หากเขาพลาดเมื่อไหร่ เรื่องนี้ “จุดติด” ทุกครั้ง ซึ่งหากจะว่าไปเรื่องอื่นไม่ได้ร้ายแรงเท่ากับข้อกล่าวหาว่า “ไม่จงรักภักดี” และเขาเองก็รู้ดี

ทักษิณต้องลงทุนอย่างมากในการแก้ภาพลักษณ์ความไม่จงรักภักดีของเขา ไม่ว่าจะเป็นการเชิญ นายสมัคร สุนทรเวช เข้าพรรคพลังประชาชน หรือการเชิญ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ เข้าพรรคเพื่อไทย เพราะสองคนนี้มีภาพความจงรักภักดีสูง

บทให้สัมภาษณ์ในไทมส์นั้น ปัญหาก็มาจาก “วาจา” ของทักษิณอีกนั่นแหละ การให้สัมภาษณ์ในเชิงโจมตี “ผู้อยู่ใต้เบื้องพระยุคลบาท” และคำพูดที่ก้าวลึกไปยังพื้นที่ต้องห้ามของสังคมไทย ที่แจ่มชัดมากเกินไป สร้างปัญหาให้กับเขา

อันที่จริงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยให้สัมภาษณ์ในลักษณะเดียวกันนี้กับไฟแนนเชียลไทมส์

ม.ร.ว. สุขุมพันธ์ บริพัตร ก็ให้สัมภาษณ์เรื่องที่คล้ายกันนี้กับ Spiegel ของเยอรมัน

แต่ทั้งสองคนนี้ไม่มีปัญหากับคำให้สัมภาษณ์ เพราะรู้ดีว่าจุดที่พูดได้อยู่แค่ไหน สำหรับทักษิณแล้วเขายิ่งต้องระมัดระวัง หากไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ได้ยิ่งจะเป็นการดี

แต่ด้วยลักษณะนิสัยที่ต้องรู้หมดทุกอย่างของเขา ทำให้ทักษิณอดไม่ได้ที่จะให้ความเห็น และนั่นก็ทำให้ผิดพลาดทางการเมืองอย่างร้ายแรง เมื่อไทมส์พาดหัวด้วยถ้อยคำที่อ่อนไหว ในห้วงเวลาขณะปัจจุบัน

สำหรับสมัครนั้นเขาเคยปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดด้วยการโต้นายบรรหาร ศิลปอาชาว่า ให้ “แหงน” ขึ้นมามองเครื่องราชฯของเขา และหลังจากนั้นเขาต้องแอบไปกราบขอโทษนายบรรหารถึงบ้านภายหลัง สะท้อนให้เห็นว่านายสมัครเข้าใจว่าเรื่องนี้ “อ่อนไหว” และ “ลึกซึ้ง” แค่ไหน

มันคงเป็นเหมือนชะตากรรมของทักษิณ การเล่นการเมืองของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับการเล่นการพนัน

ครั้งที่พรรคของเขาได้รับการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย แม้ถูกรัฐประหารจนคว่ำไป ก็ยังคว้าชัยชนะกลับเข้าสภาหินอ่อนได้ หรือแม้กระทั่งเลือกตั้งซ่อมครั้งล่าสุด ทักษิณก็ใช้การโฟนอินขอคะแนนจนได้รับชัยชนะ

โชคชะตาดูเหมือนจะล่อให้ทักษิณติดกับในการเมืองทุกขณะ

เพราะยิ่งเล่นการเมืองเขาก็ยิ่งเสีย เมื่อยิ่งเสียเขาก็ยิ่งสู้ต่อ

ใครจะไปเชื่อในช่วงที่เขาเรืองอำนาจที่สุดในปี 2548 หากจะมีคนบอกว่าเขาจะต้องถูกยึดทรัพย์ สูญตำแหน่ง ครอบครัวแตกแยก ไม่มีแผ่นดินอยู่ และต้องคดีถูกจำคุก

แต่เขาก็ยังเชื่อว่าเขาจะได้รับชัยชนะ เหมือนคนวางเดิมพันแล้วเสีย แต่ไม่ยอมรับว่าตัวเองแพ้ สถานการณ์ที่พลิกกลับไปกลับมาทำให้เขาต้องติดพันกับการเมือง

บางทีการที่เขาพูดว่าเขานั้น “ไร้เดียงสา” ทางการเมือง ในใจจริงแล้วเขาอาจไม่เคยยอมรับมันเลยก็ได้

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“จักรภพ”ลั่นกลับบ้านเกิดกราบคนไทยแน่ ขอเดินสายจ้อชาวโลกก่อน ปัดโหมใช้กำลังรุนแรงขนอาวุธเสริมกำลังแดง


มติชน : “จักรภพ”โฟนอินปัดสัมภาษณ์สื่อนอกขนอาวุทธยุทโธปกรณ์บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา อัดสื่อไทยเล่นข่าวถือว่าเจตนาป้ายสี ยันไม่เคยคิดใช้ความรุนแรง ขอคนสนับสนุนปชต.ฟังหูไว้หูอย่าใช้วิชามารป้ายสี-ลุ่มหลงลัทธิพรรคพวก ขอเวลาอธิบายชาวโลกถึงสถานการณ์การเมืองก่อนกลับมากราบปชช.

ที่ร้าน Red shop ชั้น 5 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 19 พ.ย. นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำขบวนการประชาธิปไตยและแกนนำกลุ่มแดงสยาม อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้นัดหมายสื่อมวลชนเพื่อแถลงข่าวผ่านการโฟนอินชี้แจงกรณีที่มีกระแสข่าวที่นายจักรภพให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศเกี่ยวกับการปฏิบัติทางทหารและมีการขนอาวุทธยุทโธปกรณ์บริเวณแนวชายแดนไทยกับกัมพูชา ว่า ขอยืนยันว่า ตนไม่ได้เคยให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวดังกล่าว เพราะนายชอว์น คริสพิน (Shawn Crispin) ของเอเชีย ไทม์ส ออนไลน์ ได้นัดสัมภาษณ์ตนเมื่อวันที่ 11เมษายนที่ผ่านมา ผ่านผู้ประสานงานสื่อต่างประเทศของตนและยังได้ถ่ายภาพที่สัมภาษณ์ตนครั้งนี้เป็นหลักฐานด้วย อีกทั้งได้สนทนาเพียงกว้างๆในประเด็นอนาคตของการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตยและวิสัยทัศน์ของตนต่อการเมืองไทยในอนาคต ทั้งนี้ยืนยันว่าตนไม่ได้ให้สัมภาษณ์และไม่ปรากฎว่ามีประเด็นเกี่ยวกับการสะสมอาวุธ ซึ่งตนได้คุยกับนายชอว์นครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย และไม่มีการติดต่ออีกจนบัดนี้

“เมื่อมีประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงนี้ สื่อไทยบางส่วนก็คว้าเอาไปเล่นข่าวกันเสมือนเป็นเรื่องจริง โดยไม่เคยตรวจสอบกับผมเลย ทำให้เกิดคำถามว่าคนเหล่านี้มีแผนอะไรกัน ผมขอตั้งประเด็นไว้ว่าเป็นเจตนาป้ายสีผมโดยหวังให้เกิดผลบางอย่างในทางการเมือง และขอย้ำว่าการเตรียมการใดๆที่ใช้ความรุนแรงไม่ว่าจะสถานที่ใดไม่ใช่แนวทางของผมและผู้สนับสนุนตัวผมเด็ดขาด การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในไทยจะต้องเกิดจากพลังขับดันภายในประเทศ และเกิดโดยสงบสันติ เมื่อปวงชนชาวไทยมีความพร้อมแล้วเท่านั้น ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ฝ่ายที่สนับสนุนประชาธิปไตย โปรดฟังหูไว้หู ก่อนจะเชื่อข่าวดังกล่าว และอย่ากระทำการใดๆที่เป็นการเหยียบย่ำคนในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเพื่อให้ทางศัตรู วิพากษ์วิจารณ์ได้เสมอ และอย่าใช้วิชามารป้ายสีตีตราทำร้ายผู้สนับสนุนอีกกลุ่มหนึ่งเพราะลุ่มหลงในลัทธิพรรคพวกอย่างเกินเลย เป็นต้น พึงละเว้นเสีย” นายจักรภพ กล่าว

นอกจากนี้ นายจักรภพ กล่าวถึงการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงในวันที่ 28 พฤศจิกายน ว่า การชุมนุมลักษณะใดก็ถือเป็นประโยชน์ต่ออนาคตทั้งสิ้น การรวมมวลชนไม่ว่าจะสถานการณ์ใดๆถือเป็นการประครองประชาธิปไตยไปสู่ระยะยาว และยังเป็นการให้ความรู้ประชาธิปไตยเพื่อจัดตั้งฝ่ายประชาธิปไตยให้มีประสิทธิเหมือนฝ่ายตรงข้ามถึงจะพูดเรื่องชัยชนะได้ ส่วนกลุ่มเสื้อแดงจะล้มรัฐบาลได้หรือไม่นั้น ตนมองว่าไม่ว่าฝ่ายใดก็ถือเป็นฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันเพียงแต่มีหลายแนวทางในการต่อสู้ ซึ่งการล้มรัฐบาลนั้นต้องมองลึกด้วยว่าเมื่อโค่นล้มได้แล้วเราจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับมาหรือไม่

นายจักรภพ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณตน เป็นนระยะบ้างทางโทรศัพท์ และพ.ต.ท.ทักษิณได้ฟังความเห็นหลายคนในการกำหนดเกมเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงซึ่งไม่ใช่แค่ปรึกษาตนเท่านั้นแต่ฟังเสียงประชาชนด้วยเพราะเป็นที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุด ส่วนการชุมนุมเสื้อแดงจะจบเกมได้หรือไม่ตนไม่ขอวิจารณ์แต่ขอให้ทำงานด้านมวลชนเต็มที่ เพราะเวลานี้เป็นการสู้กันระหว่างอำมาตย์กับประชาธิปไตยยากที่จะชี้ชัดได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร หากจะมีการส่งไม้ต่อให้พวกเราเมื่อไรตนก็พร้อมรับเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่าจะรับไม้ต่อจากนปช.ใช่หรือไม่หากการชุมนุมไม่ประสบผล นายจักรภพ กล่าวว่า ตนไม่กล้าพูดเช่นนั้น แต่บอกแค่ว่าการพัฒนาประชาธิปไตยตอนนี้ระดมมวลชนกัน ซึ่งการต่อสู้ระยะต่อไปต้องรวมถึงการจัดตั้งให้เป็นระบบยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ขอบอกในตอนนี้ได้ และยืนยันไม่ใช่เรื่องการใช้อาวุธหรือความรุนแรงแน่ เพียงแต่ต้องเตรียมที่จะไปแทนที่กลไกอำมาตย์ที่เข้มแข็งกว่าประชาธิปไตยให้ได้

เมื่อถามว่า แดงสยามกับกลุ่มนปช.มีความสัมพันธ์ทิศทางเดียวกันหรือไม่นายจักรภพ กล่าวว่า ยังเดินสู่ประชาธิปไตยเดียวกัน ก็คือปวงชนชาวไทยมีอำนาจสูงสุด ส่วนเรื่องยุทธวิธีจะเดินไปอย่างไร เราเชื่อว่าจะรวมความคิดออกมาให้ดีที่สุด เพราะเจตนารมณ์ฝ่ายประชาธิปไตยเหมือนกันหมดไม่มีความแตกต่างกัน ไม่มีความแตกร้าวด้านความคิดใดๆ มีแต่ความหลากหลายในยุทธวิธีเท่านั้นไม่ใช่เรื่องที่แปลก และเชื่อว่าเวลาจะสมานเรากลับมาด้วยกัน แต่ทั้งนี้ขอร้องว่าหากเป็นฝ่ายเสื้อแดงหรือประชาธิปไตยด้วยกันอย่าทำร้ายกัน

เมื่อถามถึงคดีความของนายจักรภพที่อัยการได้เลื่อนฟ้องมาหลายครั้งแล้วจะกลับมาสู้คดีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ได้ติดตามอยู่ แต่ตนไม่แน่ใจว่าขณะนี้เกิดอะไรขึ้นเพราะคดีเลื่อนแล้วเลื่อนอีก และอยากจะให้คดีจบเรื่องเร็วที่สุดไม่ว่าผลออกมาด้านใดตนจะได้ทราบและพร้อมรับทุกอย่างอยู่แล้ว ส่วนจะกลับมาต่อสู้คดีได้เมื่อไรนั้น แต่ตอนนี้ตนขอใช้เวลาในการอธิบายให้ชาวโลกได้รู้ก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองไทยเพราะไม่มีประโยชน์ที่จะเดินทางกลับที่จะไปแสดงจุดยืนเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากคดี แต่ทั้งนี้ ช่วงนี้ตนจะเดินทางไปประเทศทั่วโลกมาแล้ว 10 ประเทศยังพบรัฐบาลและสื่อมวลชน กลุ่มนักธุรกิจ รวมทั้งจะไปบอกองค์การระหว่างประเทศเพื่ออธิบายความผิดของฝ่ายอำมาตย์ โดยเฉพาะเรื่องการยึดสนามบินสุวรรณภูมิ หากหมดเรื่องพวกนี้ตนจะกลับไทยเพื่อไปกราบประชาชนแน่

เขมรแก้ผ้ารัฐบาลชุดนี้ซะล่อนจ้อนให้โลกดู


ที่มา thaifreenews

บทความโดย...ป้าพลอย

ประเทศไทยเรานี่มีมนุษย์หลายรูปแบบ คนที่ไม่ชอบทักษิณไล่กัดทักษิณจนทักษิณต้องระเหเร่ร่อนเหมือนนกขมิ้น แต่พอเดือดร้อนขึ้นมารัฐบาลปัญญานิ่มช่วยเหลือคนของตนไม่ได้ ต้องเดือดร้อนให้ทักษิณช่วย ดูแล้วมันช่าง น่าขันจังนะ

กรณีที่นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ ที่ถูกรัฐบาลเขมรจับกุมในข้อหาจารกรรมตารางบิน ทำไมรัฐบาลไทยไม่ไปช่วยเองทำไมต้องทักษิณ? คนของตัวเองปล่อยลอยแพให้ติดคุก ทั้งที่เขาทำเพื่อพวกคุณแท้ๆ

เห็นความเห็นแก่ตัวหรือยัง? ปากบอกจะทำเพื่อประชาชน แต่เมื่อประชาชนอย่างนายศิวรักษ์เขาทำเพื่อรัฐบาล แล้วทำไมรัฐบาลไม่เข้าช่วยเหลือประชาชนของตนละ? ทักษิณไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย

ใช่แม้ทักษิณจะเป็นคนไทย แต่ในเมื่อคนไทยคิดไม่ซื่อกับทักษิณ ขโมยตารางบินเพื่อทำมิดีมิร้ายต่อทักษิณ สมควรที่ทักษิณจะช่วยเหลือหรือ? หากทักษิณยังหลงเชื่อคารมของคนลิ้นไม่มีกระดูกของพวกปัญญาอ่อนอยู่อีก ทักษิณก็ไม่มีวันชนะพวกนี้ได้

ฉะนั้นทักษิณไม่จำเป็นต้องทำความดีในกรณีนี้ ที่จะขี่ม้าขาวมาช่วยเหลือศัตรู ก็เท่ากับช่วยเหลืองูเห่าให้รอดพ้นจากการติดคุก และหลังจากนั้นก็แว้งกัดทักษิณตามเคย

การที่นายเนวินออกมาพูด บอกให้ทักษิณ ช่วยเหลือนายศิวรักษ์ฐานคนไทยด้วยกัน แต่นายเนวินลืมไปแล้วหรือว่า ทักษิณก็คือคนไทยคนหนึ่งเช่นกัน แล้วที่นายศวิรักษ์ทำเช่นนี้ มันหมายความว่าอย่างไร?เห็นทักษิณไม่ใช่คนไทยหรือ? ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง อยาก จะให้คนไทยบางคนที่มีหัวใจเป็นทาสของเผด็จการได้รับบทเรียน

ฉะนั้นนายศิวรักษ์สมควรได้รับโทษในการกระทำครั้งนี้ ตามกฏหมายประเทศกัมพูชา การช่วยเหลือคนผิดให้พ้นโทษ คงมีแต่ในประเทศไทย ประเทศเดียวที่ทำได้ เพราะกฏหมายไทยเขียนกันขึ้นมาเองและก็ใช้กันเอง ถูกก็เปลี่ยนให้เป็นผิดได้ จากผิดเปลี่ยนให้เป็นถูกได้ เหมือนกรณีนายกษิตและนายสนธิลิ้มเป็นต้นฯ แต่ในประเทศกัมพูชาคงไม่อาจทำเช่นไทย เพราะเป็นคดีในฐานแทรกแซงภายในของประเทศอื่น

กลายเป็นอาชญากรสากล ฐานที่ไปจารกรรมตารางการบินที่เป็นความลับสุดยอดของประเทศกัมพูชา ซึ่งประเทศทั่วโลกไม่อาจยอมรับ เพราะมันอันตราย หากฝ่ายผู้ก่อการ ร้ายทราบว่าเที่ยวบินนั้นๆ จะผ่านน่านฟ้าของไทยเวลาใด ผู้ก่อการร้ายสามารถยิงเครื่องบินลำนั้นได้ตรง เป้าหมาย

ดังนั้นโทษฐานของนายศิวรักษ์คงไม่ใช่เบาแน่นอน

การที่จะให้ทักษิณช่วยเหลือคนกระทำความผิดที่นายเนวินออกมาขอร้อง ทำไมนายเนวินไม่ไปช่วยเหลือด้วยตัวเอง? ทั้งที่ทำงานกอดรัดฟัดเหวี่ยงอยู่กับนายอภิสิทธ์รัฐบาลชุดนี้มิใช่เหรอ? หมดปัญญาที่จะต่อกรกับเขมรแล้วซินะ? เพราะเขมรแก้ผ้ารัฐบาลไทยชุด นี้ซะล่อนจ้อนให้ชาวโลกได้ดู ว่าที่แท้รัฐบาลชุดนี้ก็ไม่มีอะไรดีซ่อนใว้หลังจากแก้ล่อนจ้อน



นอกจากพบแต่ความตอแหลอยู่ในร่มผ้าที่ปิดบังชาวโลกมา 11 เดือน ว่าไม่มีของดีซ่อนใว้ในการเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ การที่เขมรได้ แก้ผ้ารัฐบาลไทย ให้ชาวโลกได้ดู ทำให้ชาวโลกได้เห็นใบหน้าของแต่ละคนของนักการเมืองกังฉินประชาธิปัตย์

เราชาวประชาธิปไตยแห่งไทยแลนด์ขอขอบคุณรัฐบาลเขมรเป็นอย่างมาก ที่ได้ทำเพื่อพี่น้องคนไทย ที่ได้ช่วยตอบโต้รัฐบาลเส็งเค็งไทยแลนด์ชุดนี้ได้อย่างเจ็บแสบที่สุด ชาวโลกได้สัมผัสกับการตอกกลับของผู้นำเขมรต่อรัฐบาลไทย ที่ว่าทำแต่เรื่องเน่าเฟะให้ประเทศของตัวเองยังไม่พอ ยังจะมาหาเรื่องประเทศ เพื่อนบ้านเขมรอีก

อ่านข่าวแล้วรักน้ำใจคนเขมรมากขึ้น ที่ปกป้องชื่อเสียงคนไทยไม่ให้เสียหน้า เขมรยังรักคนไทย แต่คนไทยกันเองกลับไล่จับคนไทยมาเข้าคุก อายเขมรไหม???

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"จตุพร”แฉกัมพูชามีเทปลับ 2ชิ้น บันทึกเสียงโทรศัพท์ “กษิต” สั่งจัดหาตารางบิน “แม้ว”


มติชน : นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย(พท.) และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงเมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 18 พฤศจิกายน ที่รัฐสภาว่า ตามที่กัมพูชาได้ควบคุมตัว นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยนั้น ตนทราบมาว่า สาเหตุเพราะทางการกัมพูชามีหลักฐาน 3 ชิ้นที่ปรากฏว่า ประเทศไทยไปกระทำการเข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในและกระทบต่อความมั่นคงของกัมพูชา ซึ่งนอกจากหลักฐานชิ้นแรกคือตารางการบินตามที่ปรากฏเป็นข่าวแล้ว หลักฐานชิ้นที่สองคือเทปบันทึกการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศและเลขานุการเอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา โดยเนื้อหาเป็นลักษณะสั่งการให้จัดหาและส่งตารางบินและกำหนดการต่างๆของพ.ต.ท.ทักษิณ และ ชิ้นที่สามเป็นเทปบันทึกการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างเลขานุการเอกอัครราชทูตไทยและนายศิวรักษ์ เรื่องสั่งให้หาตราบิน ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 ไปไว้ที่สนามบินอู่ตะเภา ที่สามารถบินเข้าสู่เมืองเสียมเรียบของกัมพูชาได้ภายใน 20 นาที ซึ่งเป็นระยะหวังผล อย่างนี้จะฆาตกรรมกันชัดๆ โดยสิ่งที่เกิดขึ้นทางการกัมพูชาเห็นว่าเกระทบต่อความปลอดภัยและความมั่นคง จึงได้มีการสับเปลี่ยนเที่ยวบินและโรงแรมที่พักให้พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมด

“หากไม่เป็นความจริงก็ขอให้นายกษิต ออกมาปฏิเสธ แต่ถ้าเป็นความจริงนายกฯ จะยังให้นายกษิตอยู่ในตำแหน่งรมว.ต่างประเทศต่อไปได้อย่างไร เพราะทางกัมพูชาเองก็เตรียมจะเปิดเผยเทปเร็วๆ นี้ ที่ผมออกมาพูดเพราะไม่อยากให้คนไทยถลำลึกไปกับการปลุกกระแสชาตินิยมมากไปกว่านี้ พวกผมไม่ได้มีความสุขที่วิศวกรไทยถูกจับกุมและได้พยายามให้ความช่วยแหลือเช่นกันจึงทำให้ทราบข้อมูลดังกล่าว อย่างไรก็ตามทราบว่าทางกัมพูชาจะเร่งพิจารณาและส่งตัวนายศิวรักษ์กลับไทยเร็วๆ นี้ โดยจะประสานมาที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีและประธานพรรคเพื่อไทย เป็นผู้ไปรับตัว เหตุเพราะไม่ไว้วางใจรัฐบาลไทย” นายจตุพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเหตุใดถึงทราบว่ากัมพูชามีเทปบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ นายจตุพร กล่าวว่า ตนอยู่ในจุดที่พอรับรู้อะไรพอสมควร เพราะเราเองก็ต้องการเข้าไปช่วยเหลือวิศวกรไทยซึ่งเป็นแค่ปัญหาปลายเหตุ แต่ตัวต้นเหตุหนึ่งคือบริษัทแม่ของวิศวกรรายนี้ที่ได้ผลประโยชน์จากการทำธุรกิจในกัมพูชาจากรัฐบาลปัจจุบัน รวมถึงโครงการอื่น เช่น ผลประโยชน์ในโครงการรถเมลเอ็นจีวี 4,000 คัน และทีวีดาวเทียมบางระบบที่กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ แต่เมื่อเกิดปัญหาก็ห่วงตัวเองมากกว่าพนักงาน และวิ่งแจ้นมาพบพวกเราในพรรคเพื่อไทยบางคนให้ช่วยเหลือเหมือนกัน ส่วนรัฐบาลก็เล่นละครตบตาปลุกกระแสคลั่งชาติ แต่ความจริงแล้วตัวเองไปแทรกแซงกิจการภายในประเทศอื่น รัฐบาลนี้กำลังจะมีปัญหากับทุกประเทศเพื่อนบ้านที่ทำดีกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ทักษิณอัดรัฐบาล คุณหนูวีนแตก ผูกขาดรักชาติ


ไทยรัฐ :พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวผ่านรายการทอล์ก อะราวด์ เดอะเวิลด์ ทางเว็บไซต์ส่วนตัว www.thaksinlive.com ว่า ตอนออกจากประเทศกัมพูชา ทราบว่าได้มีการเอาเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 จากฐานทัพอากาศที่ จ.นครราชสีมาย้ายมาไว้ที่อู่ตะเภา และถ้าเครื่องบินผมบินผ่านน่านฟ้าไทยให้ขับไล่เอาลงมา ลากเข้ามา ถ้าไม่มาก็ยิง ฟังแล้วน่ากลัวมาก เข้าใจว่าคนสั่ง เป็นคนไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร จับพลัดจับผลูมามีตำแหน่ง ทำแบบนี้ประเทศเสียหาย ใช้อารมณ์ความแค้นส่วนตัว ไม่คิดถึงหน้าตาประเทศ แต่อย่างไรก็ตามนักบินเอฟ 16 ไม่ทำ เขารู้ว่าอะไรควรไม่ควร อะไรที่จะทำให้ประเทศเสียหาย อย่างไรก็ตามส่วนตัวรู้สึกเฉย ไม่ได้กลัวอะไร สุดท้ายก็เลยต้องบินอ้อมหน่อยเพื่อเดินทางกลับไปที่ดูไบ

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัพูชา มีน้ำใจ ทูลเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนโรดมสีหมุนีโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของกัมพูชานั้น ไม่ได้หมายความว่าตัวเองไม่รักชาติ แต่ชาติไม่ให้ผมทำงาน จึงไปช่วยงานกัมพูชาตามที่เขาให้เกียรติผม แต่นายอภิสิทธิ์ไปคิดในทางลบ คิดในทางทำลาย เป็นการคิดแบบโบราณ เห็นว่าเขาได้แล้วเราต้องเสีย มันไม่ใช่แล้วสมัยใหม่มันช่วยเขาแล้วเราได้ จะได้ทั้ง 2 ฝ่าย “วินวิน” วันนี้การเมืองระหว่างประเทศของไทยผ่านมา 1 ปี เสียหาย หรือดีต่อประเทศต้องทบทวนได้แล้ว ต้องอย่าผูกขาดความรักชาติ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลต้องรักชาติฝ่ายเดียว ฝ่ายค้านรักไม่ได้ ไม่ใช่แบบนี้

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อว่า พวกรักชาติแล้วหากินบนความรักชาติ ทุจริตบนความรักชาติก็มี ดังนั้นอย่ามาเอาประเด็นนี้มาเป็นการเมืองดีกว่า ผมจะทำอะไรต้องคิดว่าให้ประเทศไทย และประเทศกัมพูชาดีด้วยทั้ง 2 ฝ่าย ต้องทำแบบนั้นให้ได้ ขนาดเศรษฐกิจของเขาเล็กมาก เมื่อเทียบกับไทย เขาซื้อสินค้าไทยเยอะมากหลายอย่างเขาไม่มี ไทยได้ดุลการค้าเขาปีละ 6.4 หมื่นล้านบาท เขาเป็นลูกค้าเราอย่าไปไล่ลูกค้า อย่าเอาอารมณ์ส่วนตัวไปใส่ อย่าเห็นตนเองเป็นปฏิปักษ์แล้วไปทำแบบนั้น การเมืองระหว่างประเทศต้องเป็นผู้ใหญ่ จะมาทำตัวเป็นคุณหนูวีนแตกไม่ได้

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่คนไทยถูกทางการกัมพูชาจับว่า เรื่องนี้มีคนบอกให้ตัวเองช่วย ก็ได้ฝากบอกทางกัมพูชาว่า ขอให้ความเป็นธรรมด้วย เมื่อถึงเวลากระบวนการยุติธรรมเดินไปถึงจุดไหน ถ้ามีอะไรที่ตัวเองทำได้ก็จะทำให้ถึงแม้จะเป็นเรื่องจริง จะเป็นสปายทำให้ผมได้รับอันตราย ก็จะช่วยเพราะเขาเป็นคนไทย ตัวเองเป็นคนให้อภัยคนความจริงเรื่องราวนี้ผมมารู้ทีหลัง ตอนนั้นรู้เพียงว่ามีการเปลี่ยนเครื่องบินให้ผม ก็ทำตามเจ้าภาพให้ไปไหนก็ไปตามเขา

พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวอีกว่า วันก่อนมีการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร และก็เอาเรื่องเก่าเล่าใหม่ ใส่ร้ายเสียหายก็ได้มอบเรื่องให้ทางทนายไปฟ้อง อะไรเข้าข้อกฎหมายก็ฟ้องไป แต่พวกนี้แม้จะโดนรอลงอาญา หรือโดนอะไรก็ยังไม่เลิก ตัวเองไม่ได้อาฆาตแค้นอะไร แต่ก็ต้องทำไปเรื่อยๆ จนกว่ากรรมการจะเป็นกลางเสียที วันนี้บางอันไม่ไหวเลย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บางคน ศาลรัฐธรรมนูญบางท่าน บางทีอาจรู้สึกอาย ต้องเป็นกลางเสียที ก็จะรอไปเรื่อยๆ

อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า ส่วนที่กล่าวหาว่าผมขว้างระเบิด ก็ตลกดีผมขว้างระเบิดจากดูไบไปถึงสนามหลวงได้ เก่งจริง ก็ขอประณามคนลงมือทำ ความขัดแย้งทางการเมือง ทางประชาธิปไตยเกิดได้ตลอดเวลา แต่อย่าใช้ความรุนแรง วันนี้ทุกคนต้องการความปรองดองในชาติ ไม่อย่างนั้นความสงบสุขไม่มีทางกลับคืนมาได้

จัดอันดับคอร์รัปชั่นโลก ไทยร่วงอันดับ 84 ดีกว่าอินโดนีเซียแย่กว่ามาเลเซีย คะแนนเต็มสิบได้แค่ 3.4

จัดอันดับคอร์รัปชั่นโลกปี 2552 ไทยแย่ลงจากอันดับ 80 ร่วง 84 คะแนน ดีกว่าอินโดนีเซีย แต่แย่กว่ามาเลเซีย เต็มสิบได้ 3.4 คะแนน สถานการณ์ไม่เคยดีขึ้น วูบมาตลอดต่ำสุดเท่ากับปี 50

องค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย (Transparency Thailand) เปิดเผยเมื่อวันที่ 17 พ.ย. ถึงผลการจัดอันดับดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นประจำปี พ.ศ.2552 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน อยู่อันดับที่ 84 จากการจัดอันดับทั้งหมด 180 ประเทศทั่วโลกหลังจากปี 2551 อยู่อันดับ 80 และอยู่อันดับที่ 10 จาก 23 ประเทศในภูมิภาคเอเชีย


CPI (Corruption Perceptions Index) คือดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์ปัญหาคอร์รัปชั่นของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่มีค่าคะแนนตั้งแต่ 0 (คอร์รัปชันมากที่สุด) – 10 (คอร์รัปชันน้อยที่สุด) จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระนานาชาติที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อรณรงค์แก้ไขปัญหาคอร์รัปชันและมีเครือข่ายใน 120 ประเทศทั่วโลก


ทั้งนี้ ได้จัดทำดรรชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นของประเทศต่างๆ เป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ พ.ศ.2538 ซึ่งในปี พ.ศ. 2552 นี้ ได้จัดอันดับจากประเทศต่างๆ จำนวน 180 ประเทศ โดยจัดอันดับจากผลสำรวจของสำนักโพลล์ต่างๆ จำนวน 10 แห่ง ที่ได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ 2551และ 2552


ผลการจัดอันดับประจำปี 2552 พบว่า ประเทศไทยได้ 3.4 คะแนน จัดเป็นอันดับที่ 84 เท่ากับประเทศเอลซาวาดอร์ กัวเตมาลา อินเดีย และปานามา


ขณะที่นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก สิงคโปร์และสวีเดน เป็นกลุ่มประเทศที่ครองตำแหน่งสามอันดับแรก ได้แก่ 9.4, 9.3 และ 9.2 คะแนน (ตามลำดับ) ส่วนประเทศที่ได้อันดับสุดท้าย ได้แก่ ประเทศอิรัก (1.5 คะแนน) ซูดาน (1.5 คะแนน) พม่า (1.4 คะแนน) อัฟกานิสถาน (1.3 คะแนน) และโซมาเลีย (1.1 คะแนน) ซึ่งประเทศที่มีคะแนนน้อยเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่กำลังอยู่ในภาวะสงครามหรือมีความขัดแย้งภายในประเทศเป็นระยะเวลายาวนาน ซึ่งเป็นสภาพการเมืองการปกครองที่มีความเปราะบาง


เมื่อพิจารณาเฉพาะการจัดอันดับของกลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชีย พบว่าประเทศที่มีคะแนนเป็นอันดับที่ 1 คือ สิงคโปร์ (9.2 คะแนน) ส่วนประเทศที่มีคะแนนต่ำที่สุดคือ พม่า (1.4 คะแนน)


ผลการจัดอันดับโดยทั่วไปแสดงให้เห็นว่าประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระดับสูงมักจะมีอันดับที่ดีกว่าประเทศที่มีระดับการพัฒนาที่น้อยกว่า แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อประเทศกำลังพัฒนาด้วย กล่าวคือ ต้องไม่ให้สินบนเพื่อดำเนินธุรกิจในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือต้องไม่สนับสนุนศูนย์กลางการดำเนินธุรกรรม ทางการเงินที่อาจเป็นแหล่งฟอกเงินของผู้กระทำความผิด (Safe haven) เช่น หมู่เกาะบริติช เวอร์จิน


นอกจากนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ต้องไม่เพิกเฉยโดยปล่อยให้มีกฎหมายภายในประเทศของตนที่ถือว่าข้อมูลทางการเงินเป็นความลับทางธุรกิจ เพื่อแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันและความตั้งใจที่จะคืนทรัพย์สินที่ผู้กระทำผิดได้โกงมาจากประเทศของตนแล้วนำไปฝากไว้ในต่างประเทศ ทั้งนี้ ความพยายามของประเทศที่พัฒนาแล้ว (ซึ่งมีอันดับและคะแนนภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นที่ดี) จะช่วยทำให้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของประเทศที่กำลังพัฒนา (ซึ่งมีคะแนนคอร์รัปชันในระดับต่ำ) ลดความรุนแรงลงและส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนภายในประเทศ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

จาตุรนต์ ฉายแสงให้สัมภาษณ์กรณีกัมพูชา


Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ว่า เหตุการณ์พัฒนามาจนกระทั่งเกิดผลกระทบ เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศไปมากอย่างน่าตกใจ ทั้งที่ต้นเหตุไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรจะทำให้เกิดความเสียหายขนาดนั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะรัฐบาลใช้มาตราการที่รุนแรงเกินกว่าเหตุไปมาก จนมองได้รัฐบาลได้คำนึงถึงการทำลายคู่แข่งทางการเมืองมากว่าประเทศชาติ และเป็นสร้างคะแนนนิยมให้กับตนเองบนความเสียหายของบ้านเมือง ทั้งนี้ที่ผ่านมาข้อขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา มีมาโดยตลอดแต่ความขัดแย้งมีมากขึ้นหลังจากการปลุกกระแสความคลั่งชาติ ในการทวงปราสาทเขาพระวิหารคืน รวมถึงการอ้างว่าแผ่นดินใต้เขาพระวิหารยังเป็นของไทยโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รวมถึงการที่สมเด็จฯฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีสร้างบ้านที่กัมพูชาให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ และการตั้งเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การตอบโต้ที่รุนแรงของรัฐบาลไทยไม่เกิดผลดีใดๆ ทั้งสิ้น กรณีที่รัฐบาลกัมพูชาไม่ส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาให้ทางการไทย ซึ่งประเด็นนี้ตนเห็นว่ารัฐบาลไทยควรที่จะร้องต่อศาลกัมพูชา เช่น ในกรณีของนายราเกซ สักเสนา อดีตที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพฯพาณิชยการ จำกัด (มหาชน) หรือบีบีซี ที่รัฐบาลไทยร้องต่อศาลแคนนาดา แทนการลดระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จนกลายเป็นความบาดหมางระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

“การตัดความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเป็นการตอบโต้ ทำให้ไปกระทบใจกับประเทศเพื่อนบ้านอื่นด้วย ว่ามีอะไรไม่ตรงกันนิดหนึ่งคุณก็ตัดความช่วยเหลือเสียแล้ว และนี่เป็นการผลักกัมพูชาให้ไปสนิทกับประเทศอื่นมากกว่า นอกจากนี้ควรที่จะคำนึงด้วยว่ากัมพูชาเป็นมิตรประเทศกับไทยอยู่ ไม่ใช่ศัตรูอย่างที่รัฐบาลกำลังปฎิบัติอยู่ โดยเฉพาะการใช้คำพูดกับประเทศเพื่อนบ้านแบบผิดๆเหมือนที่กล่าวหาว่าพล.อ. ชวลิต (ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคเพื่อไทย) ชักศึกเข้าบ้าน”นายจาตุรนต์กล่าว

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยอมรับว่าสมเด็จฯฮุนเซ็นในฐานะนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ได้พูดถึงประเทศไทยได้พูดเกินกว่าที่ควรจะพูดไป เช่น การวิจารณ์ระบบยุติธรรมประเทศไทย หรือบอกให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นการพูดที่เกินวิสัยของนายกรัฐมนตรีที่จะพูดต่อประเทศอีกประเทศหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่สมเด็จฯฮุนเซ็นพูดวิจารณ์นายอภิสิทธิ์ รัฐบาลไทย ที่มาของรัฐบาล และระบบยุติธรรมที่ถูกแทรกแซงโดยคมช. ส่วนใหญ่ถือว่าพูดตามความจริงทั้งนั้น

“สิ่งที่รัฐบาลนี้ และพรรคประชาธิปัตย์กำลังพยายามทำอยู่ พูดเหมือนกับว่ากัมพูชาเป็นศัตรูของประเทศไทยไปแล้ว เป็นการฉวยโอกาสจากการที่ประชาชนไทยมักถูกสอนให้เกลียดพม่าดูถูกเขมรดูถูกลาวถือเป็นการใช้พื้นฐานของการที่คนไทยถูกปลุกให้มีความคิดชาติยม คลั่งชาติมาเป็นประโยชน์ทางการเมืองจนลืมประโยชน์ของประเทศ”นายจาตุรนต์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคประชาธิปัตย์พยายามอธิบายว่าการที่สมเด็จฯฮุนเซ็น ตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่พล.อ.ชวลิต เดินทางไปกัมพูชา นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การที่พล.อ.ชวลิต เดินทางไปกัมพูชานั้น เท่าที่ตนได้พูดคุยกับพล.อ.ชวลิตทั้งก่อนและหลังไป พล.อ.ชวลิต ไม่มีความต้องการที่ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาหรือแม้แต่การที่สมเด็จฯฮุยกนเซ็นสร้างบ้านให้พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพล.อ.ชวลิต เข้าพรรคเพื่อไทยมีเงื่อนไขว่าขออย่าให้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสั่งว่าให้เป็นอะไร

“พล.อ.ชวลิต ไม่ต้องการให้เป็นเรื่องว่าเข้ามาก็ดี เป็นอะไรก็ดีตามคำสั่งของพ.ต.ท.ทักษิณ ท่านต้องการให้เป็นตามระบบพรรค ท่านแคร์เรื่องนี้มากอยู่แล้ว ไปกัมพูชาก็เป็นกิจกรรมหนึ่งในห้าเรื่องที่พล.อ.ชวลิต ต้องการมาทำ ท่านไม่ต้องการทำเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณ กับรัฐบาลกัมพูชา แต่ว่าไปแล้วเกิดมีการต่อสายกันจนกลายเป็นเรื่องที่สมเด็จฯ พูดเรื่องเตรียมบ้านให้พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งท่านชวลิตก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เรื่องเลยไปกระทบภาพของพล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นผลเสียอันหนึ่ง”นายจาตุรนต์กล่าว

เมื่อถามว่าพล.อ.ชวลิต เสียใจหรือไม่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ไม่ทราบต้องไปถามพล.อ.ชวลิต เอง อย่างไรก็ตามพรรคเพื่อไทยควรจัดระบบพรรคให้เกิดขึ้น ทำงานกันในระบบพรรค และให้พล.อ.ชวลิต เป็นกำลังสำคัญในระบบพรรค แทนที่จะให้เป็นเรื่องว่าพล.อ.ชวลิต จะทำอะไรได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับพ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าเราไปทำให้พล.อ.ชวลิต ทำเพียงรอคำสั่งพ.ต.ท.ทักษิณ นั้นน่าเสียดายคุณค่าของพล.อ.ชวลิต เพราะพล.อ.ชวลิตยังสามารถทำได้อีกหลายเรื่อง เพราะท่านมีประสบการณ์และความตั้งใจที่ดี การที่จะให้ยอมรับได้ต้องมีระบบมารองรับให้ท่านสามารถแสดงความสามารถได้เต็มที่

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านถือเป็นเรื่องที่ดี แต่การที่พ.ต.ท.ทักษิณ เลือกที่จะมากัมพูชา เปิดเผยว่าจะมีบ้านในกัมพูชา และได้รับการต้อนรับจากรัฐบาลกัมพูชา รวมถึงวิธีการกับจังหวะหรือโอกาสที่เสนอเรื่องนี้มีปัญหา เพราะการเปิดเรื่องนี้ในจังหวะที่ไทยกับกัมพูชาระหองระแหงกันอยู่ โอกาสที่พ.ต.ท.ทักษิณจะเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองมีสูงกว่าที่จะได้เปรียบ จนรัฐบาลนี้สามารถฉวยโอกาสในการทำลายคู่แข่งทางการเมือง ทำให้ในที่สุดพ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยกลายเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบทางการเมือง ซึ่งเรื่องนี้จะเป็นภาระต่อไปว่าจะสามารถชี้แจงกับประชาชนอย่างไรว่าเรื่องที่พ.ต.ท.ทักษิณ ทำอยู่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศ

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า รัฐบาลต้องพยายามสุดความสามารถที่รักษาสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาไว้ และเลิกความคิดที่จะยกเลิกเอ็มโอยู ทั้งนี้หากมีการยกเลิกเอ็มโอยูจริง ต้องนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

เมื่อถามว่ามีการวิเคราะห์กันว่าแท้ที่จริงแล้วพ.ต.ท.ทักษิณ ตกเป็นเครื่องมือของสมเด็จฯ นายจาตุรนต์ นิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนตอบว่า ต่างคนต่างมอง ตนยังไม่เห็นประโยชน์อะไรมากที่จะเกิดกับสมเด็จฯฮุนเซ็นในกรณีนี้ แต่โดยรวมๆแล้ว ทำให้เกิดความเสียหายไปทุกฝ่าย ทั้งกัมพูชาและไทยที่ได้รับความเสียหาย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็สึกหรอ

เมื่อถามว่าดูเหมือนว่ากรณีของไทย-กัมพูชา และประเด็นการให้สัมภาษณ์ไทมส์ออนไลน์จะทำให้หนทางการกลับประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ริบหรี่ลงทุกขณะ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า โอกาสกระทบในทางลบต่อความนิยมของพ.ต.ท.ทักษิณเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดเป็นกรณีขึ้นมา เป็นการกล่าวหาแบบฝ่ายเดียว โดยไม่อนุญาติให้ประชาชนเห็นเนื้อหาสาระของสิ่งที่พูด ผู้ถูกกล่าวหาย่อมเสียเปรียบมากทำให้ตกที่นั่งลำบากมากขึ้น ส่วนจะมีผลต่อการเดินทางกลับประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการชี้แจงทำความเข้าใจของพ.ต.ท.ทักษิณ พรรคเพื่อไทย และเสื้อแดง ต่อประชาชนว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด

แม่วิศวกร วอนรัฐเร่งช่วยลูกกลับไทย

แม่วิศวกรไทยที่ถูกเขมรจับ วอนรัฐบาลเร่งช่วยเหลือนำตัวลูกชายกลับไทย หวั่นโรคประจำตัวกำเริบ "กษิต" ยันจนท.ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ด้าน "บัวแก้ว" จี้ใช้อนุสัญญากรุงเวียนนาดูแล "ศิวรักษ์" ขณะที่เขมรปล่อยข่าวให้เยี่ยมแล้ว

นางสิมารักษ์ ณ นครพนม อายุ 57 ปี ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา มารดาของนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ อายุ 31 ปี พนักงานบริษัท กัมพูชาแอร์ ทราฟฟิก เซอร์วิส หรือแคทส์ (CATS) บริษัทในเครือบริษัทสามารถเทลคอม ซึ่งถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว โดยกล่าวหาว่าลอบสำเนาเอกสารเกี่ยวกับกำหนดการเดินทางโดยเครื่องบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรี กัมพูชา เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่เป็นห่วงลูกชายมากที่สุดตอนนี้ก็คือ สภาพร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ เพราะลูกชายเป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรัง มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ที่มักจะมีอาการหายใจขาดช่วง เป็นโรคประจำตัว ได้วางแผนไว้ว่าหากว่างจะพาไปผ่าตัดรักษาอาการป่วย แต่มาเกิดเหตุขึ้นเสียก่อน

นางสิมารักษ์ กล่าวว่า ได้รับทราบข่าวจากเพื่อนสนิทของลูกชายและข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตว่า ลูกถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ก็รู้สึกช็อกและเสียใจมาก ไม่คิดว่าจะมีเหตุอย่างนี้เกิดกับลูกได้ เพราะลูกเป็นคนดี สุขุม เรียบร้อย มีคุณธรรม เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดา ญาติสนิท และเพื่อนฝูงทุกคน เป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ ให้แก่ครอบครัวหรือผู้อื่น ที่ผ่านมาลูกชายจะโทรศัพท์มาหาประจำทุกอาทิตย์ ล่าสุดเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมเพิ่งเดินทางมาพักผ่อนที่บ้าน และกลับไปทำงานเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บอกว่าจะไปทำงานที่ชายแดนไทย-ลาวแต่ไม่ได้บอกรายละเอียด จากนั้นก็ขาดการติดต่อจนกระทั่งทราบข่าวว่าถูกจับตัวที่เขมร

นางสิมารักษ์ กล่าวว่า อยากให้ลูกชายพ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างและกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย ส่วนสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นหากบอกว่าเป็นเรื่องการเมืองคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนฝักใฝ่การเมือง จึงขอให้รัฐบาลหรือผู้ที่ดูแลทางด้านนี้ ขอให้ช่วยคนไทยคนหนึ่งที่ไปประสบปัญหาในต่างแดน ทำอย่างไรก็ได้ช่วยกันนำตัวลูกชายกลับมาให้เร็วที่สุด และไม่เชื่อว่าลูกจะทำความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาแน่นอน

"รู้ว่าเขาทุกข์มาก ทั้งตัวเองและทุกข์ห่วงความรู้สึกแม่ เพราะเขาห่วงแม่มากที่สุด หากฝากคำพูดนี้ไปถึงลูกได้ อยากบอกว่าคิดถึงอยากคุยอยากพูดด้วยและไม่ต้องห่วงแม่ เรื่องสภาพจิตใจแม่เข้มแข็ง ห่วงก็แต่ตัวลูกเท่านั้น แม่ห่วงลูกมากกว่า อย่างไรเสียคิดว่ารัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คงจะดูแลช่วยเหลือเอาตัวลูกกลับมาโดยเร็วที่สุด" นางสิมารักษ์กล่าว

ประวัติ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ อายุ 31 ปี ชื่อเล่น เต๋า เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2521 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เมื่อปี พ.ศ. 2541 บิดาชื่อนายสุวิทย์ ชุติพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งถึงแก่กรรมแล้วด้วยโรคอาการหายใจขาดช่วง (ไหลตาย) ตั้งแต่ปี 2538 มารดาชื่อนางสิมารักษ์ อายุ 57 ปี อาชีพครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา

นายกฯจี้เขมรยึดหลักสากลดูแลคนไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนไทยที่ถูกจับในประเทศกัมพูชาว่า ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และได้มอบให้กระทรวงต่างประเทศติดตามเรื่องอยู่ ขอวอนไปยังประเทศกัมพูชาว่าให้ปฏิบัติกับคนไทยที่ถูกจับกุมตามหลักสากล ยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่ทราบข้อกล่าวหา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรจะดีขึ้นหรือไม่นั้น เรื่องนี้อยู่ที่กับประเทศกัมพูชา สำหรับการประชุมครม.ในวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ที่ประชุมจะพิจารณาเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องทบทวนการให้ความช่วยเหลือประเทศกัมพูชา ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าจะเดินทางมาประเทศกัมพูชาบ่อยๆ นั้น คงจะต้องรอดู ส่วนจะมีมาตรการอย่างไรนั้น คงจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เขมรอ้างให้จนท.ไทยเข้าเยี่ยมแล้ว

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างถ้อยแถลงของนายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ว่าเจ้าหน้าที่ทูตของไทยคนหนึ่งได้เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยวัย 31 ปี ที่เรือนจำเพรย์ซอร์ โดยทางเขมรยอมให้เจ้าหน้าที่ไทยเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ เมื่อเวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้

"กษิต"สวนกลับเขมรยังไม่ให้ไทยเยี่ยม

นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ว่า ขณะนี้กัมพูชายังไม่ได้แจ้งตอบกลับมาจะอนุญาตให้สถานทูตไทยได้เข้าพบนายศิวรักษ์หรือไม่ รวมถึงยังไม่มีหนังสือแจ้งมายังไทย เกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหาและการดำเนินคดีกับนายศิวรักษ์

เมื่อถามว่ามีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศอ้างคำกล่าวของโฆษกรัฐบาลของกัมพูชา ที่ว่าทางการกัมพูชาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเข้าพบนายศิวรักษ์ได้แล้ว เมื่อเวลา 14.00 น. เป็นการให้ข่าวที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะข่าวที่ออกมาจากฝ่ายกัมพูชาต้องมีการยืนยันกัน เป็นเรื่องการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้มีการตื่นตระหนกตกใจเมื่อได้รับทราบข้อมูลใดๆ และไม่อยากให้เป็นเรื่องร้อน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวบุคคล และต้องการได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการกฎหมาย

ส่วนประเด็นที่ว่านายศิวรักษ์มีโรคประจำตัวนั้น ได้รับการยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชามายังสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ว่าเขามียาทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะเป็นโรคใด แต่เราอยากจะมีคนของเราเข้าไปสอบถามอาการ หรือจัดหาแพทย์เข้าไปหรือจัดเตรียมยาประจำที่นายศิวรักษ์ต้องการไว้

นายกษิตกล่าวอีกว่า เมื่อเช้าวันที่ 16 พฤศจิกายน นายชโลธร เผ่าวิบูลย์ อุปทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ได้เข้าพบอธิบดีกรมเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อแสดงเจตจำนงขอเข้าพบนายศิวรักษ์ รวมทั้งแจ้งให้ทราบว่า ตนจะโทรศัพท์พูดคุยกับนายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ในระหว่างขึ้นเครื่องบินเดินทางไปประเทศอิตาลี คาดว่าในเวลา 18.00 น. หรือเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตนจะได้พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เพื่อแจ้งให้กัมพูชาได้ทราบใน 2 เรื่อง คือต้องการรับทราบข้อกล่าวหาของนายศิวรักษ์และขอให้กัมพูชาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ไทยเข้าไปพบนายศิวรักษ์โดยเร็ว

กต.จี้ใช้อนุสัญญาเวียนนาดูแลศิวรักษ์

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ฝ่ายไทยต้องการให้กัมพูชา ทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ ถึงการจับกุมตัวนายศิวรักษ์ในข้อหาใด รวมถึงต้องรายงานสวัสดิภาพปัจจุบันว่านายศิวรักษ์มีความเป็นอยู่อย่างไรด้วย ซึ่งเป็นข้อบังคับที่กัมพูชาต้องปฏิบัติตามอนุสัญญากรุงเวียนนาที่กำหนดไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามกฎหมายระหว่างประเทศข้อ 3 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุลฯ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมคุมขัง มีสิทธิแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จับกุมคุมขังตน แจ้งให้สถานกงสุลของประเทศที่ผู้ต้องหามีสัญชาติอยู่ทราบเรื่องโดยไม่ชักช้า ผู้แทนทางการทูตหรือกงสุลมีสิทธิเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาที่เป็นคนชาติของตน รวมทั้งตั้งทนายความและล่ามให้ตลอดกระบวนการต่อสู้คดี เพื่อให้ผู้ต้องหานั้นสามารถต่อสู้คดีได้โดยไม่มีการแปลคำให้การบิดเบือน ผิดพลาด หรือรับสารภาพโดยไม่รู้เรื่อง

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติความเป็นมาของคำว่า"ธรรมาภิบาล"และพัฒนาการ


ประวัติความเป็นมาของคำว่า"ธรรมาภิบาล"และพัฒนาการ
ธรรมาภิบาลภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์: นัยต่อประเทศไทย (๑)
รศ. ดร.สมบูรณ์ ศิริประชัย : เขียน
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ประวัติความเป็นมาของคำว่า"ธรรมาภิบาล"และพัฒนาการ
ธรรมาภิบาลภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์: นัยต่อประเทศไทย (๑)
รศ. ดร.สมบูรณ์ ศิริประชัย : เขียน
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word


บทคัดย่อ

บทความนี้พยายามอธิบายว่า "ธรรมาภิบาล"เป็นแนวความคิดใหม่ที่เข้าใจได้ไม่ง่ายนัก และแท้ที่จริงเป็นเรื่องของสถาบันทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะเป็นนโยบายชุดหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ได้ทันทีเหมือนนโยบายทั่ว ๆ ไป ความซับซ้อนนี้ทำให้มีการตีความธรรมาภิบาลอย่างง่ายๆ เพียงพิจารณาองค์ประกอบทั่วไปของธรรมาภิบาล ซึ่งมักทำให้เราหลงผิดและหลงประเด็น

ความจริงก็คือ "โครงสร้างธรรมาภิบาล"ไม่เคยสมบูรณ์และหยุดนิ่ง แต่มีพลังพลวัตและพัฒนาปรับตัวไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยเฉพาะธรรมาภิบาลแบบตะวันตกนั้น มีเสาหลักที่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นสำคัญ. ในบทความนี้ ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นว่า การนำแนวความคิดธรรมาภิบาลแบบตะวันตกเข้ามาในสังคมไทย หลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจนับว่ายังห่างไกลจากความสำเร็จ แม้ว่ารัฐไทยได้ตรากฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาล ส่วนสำคัญมาจากความเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อนต่อแนวความคิดนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ "ธรรมาภิบาล"เป็นเรื่องของการปฏิรูปสถาบันในสังคมให้มีประสิทธิผล ซึ่งขึ้นกับความสามารถของรัฐนั้นในการยกระดับการพัฒนาทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะสถาบันแบบไม่เป็นทางการ มักเป็นอุปสรรคสำคัญของการสร้างธรรมาภิบาล

การสร้างระบบการบริหารราชการแผ่นดินของไทยที่มีลักษณะการรับผิด โปร่งใส คาดคะเนได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และจำเป็นต้องมาจาก การมีรัฐที่มีเสถียรภาพและความเข้มแข็งเท่านั้น แต่นั่นยังเป็นเรื่องของความฝันมากกว่าความจริง

ธรรมาภิบาลภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ : นัยต่อประเทศไทย

แนวความคิดเรื่องธรรมาภิบาลกับโลกาภิวัฒน์ นับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งมีการกล่าวขวัญกันอย่างจริงจังเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเชีย เมื่อปี 1997 (พ.ศ.2540) คือ การกล่าวอ้างขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทั้งสององค์กรมีบทบาทสำคัญในการผลักดันวาระของธรรมาภิบาลให้เป็นวาระของโลก ในแง่ที่ว่า มูลเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเชียนั้น ก็เพราะประเทศในภูมิภาคแถบนี้ไร้ซึ่งธรรมาภิบาล ด้วยเหตุนี้ ทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จึงได้เสนอแนวทาง "ธรรมาภิบาลระดับโลก" (global governance) ที่พยายามผลักดันให้ประเทศในแถบเอเชียและประเทศอื่นๆ พยายามเดินตามกรอบของธรรมาภิบาล เพราะเชื่อว่า ด้วยหนทางนี้เท่านั้น ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากจะสามารถพัฒนาประเทศให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ธนาคารโลกดูเหมือนจะเป็นองค์กรโลกบาลที่เชื่อมั่นดังกล่าวอย่างจริงจัง เพราะก่อนหน้าวิกฤติการณ์ทางการเงินในปี 1997 ธนาคารโลกเองได้ตีพิมพ์เผยแพร่เอกสารจำนวนไม่น้อย ชี้ให้เห็นถึง "ธรรมาภิบาลกับการพัฒนา"

ประวัติความเป็นมาของคำว่า "ธรรมาภิบาล"

แท้ที่จริงการเลือกใช้คำว่า "ธรรมาภิบาล" ในที่นี้เป็นการเลือกแบบอำเภอใจ เพราะเห็นว่าใกล้เคียงกับคำว่า "good governance" มากที่สุด ในความเป็นจริงสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ การแยกคำว่า "governance" กับคำคุณศัพท์ว่า "good" ออกจากกัน ในวงการวิชาการนั้น รู้จักคำว่า governance มานานมากแล้ว ส่วนการใส่คุณศัพท์เพื่อกำกับคุณค่าบางอย่างนี้เพิ่งเริ่มเมื่อไม่นานมานี้ โดยหลักฐานเท่าที่ปรากฏในหลายๆ แห่ง ระบุตรงกันว่า คำว่า "governance" เพิ่งมีใช้อย่างเป็นทางการในปี 1989 (พ.ศ.2532) เมื่อธนาคารโลกพยายามวิเคราะห์ถึงความล้มเหลวในการพัฒนาประเทศของประเทศต่างๆ ในแถบตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา อัฟริกา หลังจากนั้นคำนี้ก็เริ่มมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริง ขณะที่ธนาคารโลกเริ่มเผยแพร่

ตามหลักฐานที่ปรากฏในตำราหลายเล่มชี้ว่า คำว่า good governence เพิ่งมีการใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1989 ในรายงานเรื่อง Sub Sahara Africa : From Crisis to Sustainable Growth ซึ่งเป็นรายงานที่ธนาคารโลกพยายามวิเคราะห์ถึงความล้มเหลวของรัฐ ในอัฟริกาในการพัฒนาประเทศ. คำว่า good governance เริ่มมีบทบาทในแง่ของโลกาภิวัฒน์ก็เพราะทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างเชื่อว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนจักทำไม่ได้เลย ถ้าประเทศนั้นๆ ปราศจาก good governance หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มีการผูกโยงคำว่า "การพัฒนา" ให้ควบคู่กับคำว่า good governance นั่นคือการกำหนดกลไกอำนาจของรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรทั้งแง่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อให้เกิดการพัฒนา. ในตอนแรกเริ่มนั้น ธนาคารโลกได้เน้นถึงความหมายกว้างๆ 3 ลักษณะคือ

(1) โครงสร้างและรูปแบบของระบอบทางการเมือง (Political regime)
(2) กระบวนการและขั้นตอนที่ผู้มีอำนาจในทางการเมือง ใช้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อพัฒนาประเทศ
(3) ความสามารถของผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศในการวางแผนเพื่อกำหนดนโยบายและการแปลงแผนและนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารประเทศ

สังเกตได้ว่า ธนาคารโลกสร้างลักษณะของธรรมาภิบาลระดับโลกขึ้น เพื่อให้หน่วยงาน และเครือข่ายในองค์กรผลักดันให้ประเทศต่างๆ ดำเนินตามแนวทาง "ธรรมาภิบาล" ซึ่งลักษณะองค์ประกอบที่กว้างขวางนี้ มิได้ชี้ชัดว่า ประเทศนั้นจะต้องอยู่ภายใต้ระบบการเมืองการปกครองแบบใดแบบหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง แม้ว่าอาจมีการแปลความหมายแบบแอบแฝงในคำว่า ระบบการเมือง นั้นน่าจะหมายถึง"ระบอบประชาธิปไตย"ก็ตาม (Democratic good governance) ในตอนแรกๆ ของการใช้คำนี้ ยังมีความไม่ลงรอยระหว่างองค์กรระหว่างประเทศ แต่เนื่องจากอิทธิพลของธนาคารโลกที่มีอยู่มาก ในไม่ช้า คำว่า "ธรรมาภิบาล" จึงเป็นคำที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะหลังวิกฤติการณ์เศรษฐกิจในปี 1997 ในประเทศไทยและลามไปสู่ประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็ว

UNDP: กลไกประชารัฐ ๓ ด้านที่ดี (ความสมดุลระหว่างองค์กร)

ในแง่บริบทของไทย การสร้างกลไกประชารัฐที่ดีสามารถส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาคนในสังคมให้มีความยั่งยืน ซึ่งองค์การพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme-UNDP) ก็เป็นแกนนำในการผลักดันความคิดนี้ในระดับสากล โดยสามารถศึกษาจากเอกสารของ UNDP ในเรื่อง Governance for Sustainable Human Development ซึ่งมีการนิยามกลไกประชารัฐไว้อย่างชัดเจนว่ามี 3 ด้าน คือ

- ด้านประชาสังคม (Civil Society)
- ด้านภาคธุรกิจเอกชน (Private Sector) และ
- ด้านภาครัฐ (State)

"ประชารัฐที่ดี"หรือ"ธรรมาภิบาล" จึงเป็นกลไกฝังลึกอยู่ภายในที่เชื่อมองค์ประกอบทั้ง 3 ด้านเข้าด้วยกัน กลไกประชารัฐที่ดีหรือธรรมาภิบาลจึงเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างองค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน ให้ดำรงอยู่อย่างสันติสุขและมีเสถียรภาพ

"ธรรมาภิบาล" ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสืบค้นความหมายของ "ธรรมาภิบาล" จะพบว่า จริงๆ แล้ว คำว่า "ธรรมาภิบาล" ที่ใช้กันแพร่หลายตั้งแต่ปี 1989 นั้น มีนัยแอบแฝงว่าเป็น "ธรรมาภิบาล" ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย (democratic good governance) ในความหมายของชาติตะวันตก เช่น ธนาคารโลก และองค์กรโลกบาลแห่งอื่นๆ หมายถึงระบบการเมืองที่อิงกับแบบจำลองของรัฐที่เน้นประชาธิปไตยเสรีนิยม (liberal democratic polity) ซึ่งมีหน้าที่

- ปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิของประชาชน บวกกับ
- การบริหารราชการที่มีความเข้มแข็ง ปราศจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง และ
- มีระบบการบริการที่มีความรับผิด (accountable)

ในระบบการเมืองเช่นนี้มักเสนอแนะว่า ระบบเศรษฐกิจต้องมีการแข่งขันอย่างเต็มที่ และมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งความเชื่อเช่นนี้มิใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด เพียงแต่ใช้ศัพท์ที่ต่างกัน เพราะในทศวรรษ 1960 ก็มีการอ้างอิงถึงสังคมที่ดีในตัวมันเอง (good society itself) ภายใต้แนวความคิดการพัฒนาแบบตะวันตกที่เป็นกระบวนการพัฒนาให้ทันสมัย

"ธรรมาภิบาล" ในวงการวิชาการมีความหมายสองนัย
กำเนิดของคำว่า "ธรรมาภิบาล" ในวงการวิชาการมีความหมายในสองนัย กล่าวคือ

- นัยแรก เป็นความหมายที่จำกัด ซึ่งธนาคารโลกพยายามสื่อสารโดยตีความว่า หมายถึง ในด้านการบริหารหรือการจัดการของรัฐ
- นัยที่สอง เป็นนัยที่รัฐบาลตะวันตกนำมาอ้างอิงคือ เป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า

ด้วยเหตุนี้จึงมักเกิดความสับสนในวงการวิชาการว่า จะหมายถึง นัยแรก หรือนัยที่สอง. แท้ที่จริงแล้ว องค์กรระหว่างประเทศนั้นมิได้ยึดถือ "ธรรมาภิบาล" อย่างเคร่งครัดตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 เพราะทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก็มักปล่อยเงินกู้แก่ประเทศต่างๆ ที่มีลักษณะเป็น "bad governance" อย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าประเทศนั้นจะเป็นประชาธิปไตยหรืออยู่ภายใต้ระบบเผด็จการทางทหาร ธนาคารโลกก็พร้อมในการปล่อยกู้เสมอมา

ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนติน่า ชิลี สมัยปิโนเช่ อิหร่าน หรือเกาหลีใต้ หรือกรณีของประเทศที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างกว้างขวาง เช่น อิรัก แซร์ ไฮติ เป็นต้น คำถามที่สำคัญมี่เกี่ยวกับ "ธรรมาภิบาล" คือ เพราะเหตุใด รัฐบาลตะวันตกจึงเริ่มคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังในปลายทศวรรษ 1980 ในแง่ของการส่งเสริมสนับสนุนธรรมาภิบาล? คำตอบต่อ คำถามนี้อย่างน้อยมี 4 คำตอบคือ

ประการแรก ประสบการณ์ของการการปล่อยกู้ยืมเงินภายใต้โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ประการที่สอง การกลับมาอีกครั้งของทุนนิยมเสรีแบบใหม่ในตะวันตก (Neo-liberalism)
ประการที่สาม การล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ และ
ประการที่สี่ กระแสการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา

1. การปล่อยเงินกู้ภายใต้โครงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างมีประสบการณ์อย่างดีในการปล่อยเงินกู้ในการปรับโครงสร้างให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 การปรับโครงสร้างดังกล่าวนี้มักเป็นการลดบทบาทของรัฐ เพื่อลดการอุดหนุนหรือใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลต่างๆ ในประเทศกำลังพัฒนา โดยต้องการให้มีการลดการบิดเบือนกลไกราคา เพื่อกระตุ้นให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเน้นการส่งออกเป็นยุทธศาสตร์หลัก

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างสถาบัน
ในช่วงทศวรรษ 1980s นี้ ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างก็พยายามทำให้รัฐในประเทศกำลังพัฒนามีขนาดเล็กลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจนั้น มักมีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นการปรับโครงสร้างดังกล่าว ไม่อาจทำได้ถ้าปราศจากความมุ่งมั่นทางการเมืองจากฝ่ายข้าราชการและประชาชน ดังนั้น ทั้งสององค์กรโลกบาลจึงเริ่มตระหนักว่า การปฏิรูปโดยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างเดียว ไม่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าปราศจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยการเงินเสรี หรือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

2. การกลับมาอีกครั้งของทุนนิยมเสรีแบบใหม่ในตะวันตก
ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีความสนใจว่า การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ทำมาโดยตลอดในช่วงทศวรรษ 1980 ไม่อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะรัฐในประเทศต่างๆ ยังไม่มีลักษณะของโครงสร้างอภิบาลแบบตะวันตก อิทธิพลของลัทธิเสรีนิยมแบบใหม่นั้นกลับมาเป็นที่นิยมในตะวันตก เมื่อปลายทศวรรษ1970s ซึ่งเน้นให้รัฐดำเนินตามกลไกราคาอย่างเต็มที่ โดยให้มีการลดบทบาทของรัฐลง เน้นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเน้นด้านอุปทานทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริมบทบาทของปัจเจกชนและวิสาหกิจเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งแนวความคิดเสรีนิยมใหม่นี้ ซ่อนอยู่ในนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการปล่อยเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วยก็คือ แนวความคิดเสรีนิยมแบบใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องทฤษฏีเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่มีนัยที่เข้มงวดของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของการเมืองและของรัฐ ว่าควรมีบทบาทเช่นใด

เสรีนิยมแบบใหม่ เน้นให้รัฐมีบทบาทที่น้อยลง (minimal state)
ในแง่นี้ แนวคิดแบบเสรีนิยมแบบใหม่ที่เน้นให้รัฐมีบทบาทที่น้อยลง (minimal state) นั้นยังมีหน้าที่ทางการเมืองที่เชื่อมต่อระหว่างตลาดกับรัฐผ่านกลไกประชาธิปไตย แนวความคิดนี้ในทางสุดขั้ว เน้นว่า ความล้มเหลวในการพัฒนาของประเทศด้อยพัฒนาจำนวนมาก มีมูลเหตุมาจากการแทรกแซงของรัฐมากเกินไป และขาดกลไกของประชาธิปไตยที่ส่งเสริมให้มีกิจการค้าแบบเสรีนิยมอย่างแท้จริง การมีระบอบประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีประชาสังคมที่มีความเป็นอิสระและมีความหลากหลาย

แนวความคิดเสรีนิยมสรุปว่า ความล้มเหลวของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจนั้น มีผลที่เชื่อมโยงโดยตรงกับปัจจัยทางการเมืองที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบเผด็จการทางทหาร สิ่งที่แนวความคิดเสรีนิยมเน้นมาโดยตลอดก็คือ ประชาธิปไตยนั้นต้องดำเนินควบคู่กับเศรษฐกิจเสรี ซึ่งมีรัฐบาลที่เข้มแข็งที่มีความรับผิดต่อประชาสังคม มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงน้อย และเน้นการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐในระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมนั้นสามารถ "จัดสรรสินค้าสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

3. การล่มสลายของคอมมิวนิสต์เสริมแนวคิดธรรมาภิบาล
การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ในปลายทศวรรษ 1980 เป็นปรากฏการณ์ที่ช่วยหนุนเสริมให้แนวความคิดธรรมาภิบาลมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการตอกย้ำว่า รัฐคอมมิวนิสต์ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจแบบยั่งยืนได้ โดยเฉพาะหากระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์นั้นเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง การจัดการที่ผิดพลาด ความไร้ประสิทธิภาพ และความล้าหลังทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลโดยตรงจากการขาดประชาธิปไตย และการไม่มีส่วนรวมของประชาสังคม

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการเสนอว่า การมีเสรีภาพทางการเมืองเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาและบูรณาการแห่งยุโรปในปี 1991 (พ.ศ.2534) จึงมีหน้าที่ในการช่วยบูรณะและฟื้นฟูประเทศในยุโรปตะวันออก และประเทศในเครือสหภาพโซเวียตให้มีเสรีภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมให้มีประชาธิปไตยที่มีหลายภาคการเมือง มีลักษณะพหุนิยม และมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

4. กระแสการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา
ประเด็นสุดท้ายในเรื่องการกลับมาใหม่ของธรรมาภิบาลคือ ผลกระทบของกระบวนการเคลื่อนไหวและประชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1980s ทั้งในลาตินอเมริกาและในทวีปอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งในกรณี จีน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน บังคลาเทศ และเนปาล ล้วนเป็นกระแสให้ประเทศต่างๆ หันมาสนใจในเรื่อง"ธรรมาภิบาล"กันอย่างจริงจัง

ความหมายของคำว่า "ธรรมาภิบาล" ของธนาคารโลก

ในเอกสารของธนาคารโลกเมื่อปี 1989 (พ.ศ.2532) ให้ความหมายที่เจาะจงของคำนี้ประกอบด้วย

(1) การบริการของรัฐที่มีประสิทธิภาพ (an efficient public service)
(2) ระบบศาลที่เป็นอิสระ (an independent judicial system)
(3) ระบบกฎหมายที่บังคับสัญญาต่างๆ (legal framework to enforce contracts)
(4) การบริหารกองทุนสาธารณะที่มีลักษณะรับผิดต่อประชาสังคม (the accountable administration of public funds)
(5) การมีระบบตรวจสอบทางบัญชีที่เป็นอิสระ (an independent public auditor) ซึ่งรับผิดชอบต่อตัวแทนในรัฐสภา
(6) การเคารพในกฎหมายและสิทธิมนุษยชนทุกระดับของรัฐบาล (respect for the law and human right at all levels of government)
(7) โครงสร้างสถาบันที่มีลักษณะพหุนิยม (a pluralistic institutional structure)
(8) การมีสื่อสารมวลชนที่เป็นอิสระ (a free press)

ความหมายที่แอบแฝงของธรรมาภิบาล

อย่างที่กล่าวไว้ว่า "ธรรมาภิบาล" มิใช่ศัพท์ที่เกิดขึ้นในสูญญากาศ แท้ที่จริงนั้น มีการแอบแฝงแนวความคิดธรรมาภิบาลประชาธิปไตยไว้ ซึ่งมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในความหมายของธนาคารโลก ซึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำศัพท์นี้ก็คือ ปัจจัยสามด้านที่แวดล้อม คำว่า "ธรรมาภิบาล" นั่นคือ ความเป็นระบบ (systematic) ทางการเมือง (political) และการบริหารราชการแผ่นดิน (administrative)

ประการแรก ในแง่ความเป็นระบบ
เป็นที่ยอมรับว่า คำว่า "ธรรมาภิบาล" มีความหมายกว้างกว่าคำว่ารัฐบาล (government) ซึ่งโดยทั่วไปมักหมายถึง โครงสร้างทางสถาบันแบบที่เป็นทางการและเป็นเรื่องการตัดสินใจของฝ่ายบริหารในรัฐสมัยใหม่ทั่วไป แต่คำว่า "ธรรมาภิบาล" นั้นมีนัยที่หลวมกว่าและกว้างกว่าการใช้อำนาจทางการเมืองภายในและภายนอกของระบบการเมือง ในแง่นี้ธรรมาภิบาลจึงมีลักษณะเป็นระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ในความหมายที่แคบที่มีการใช้กันอยู่นั้น "ธรรมาภิบาล" มีความหมายถึงระบบทุนนิยมแบบประชาธิปไตย (democratic capitalist regime) ที่มีรัฐแบบมีอำนาจน้อยที่สุด คือรัฐมีหน้าที่รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยเท่านั้น (law and order) ซึ่งเป็นความคิดที่กว้างของธรรมาภิบาลแบบตะวันตก

ประการที่สอง ในด้านการเมือง
ซึ่งมีลักษณะจำกัดและระบุทางการเมืองอย่างชัดเจน ธรรมาภิบาลมีนัยว่า รัฐมีความชอบธรรม (legitimacy) และมีอำนาจหน้าที่ (authority) อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบประชาธิปไตยสร้างขึ้นมา เพื่อแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ทางการเมืองอย่างชัดเจน ในแง่อำนาจของนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบประธานาธิบดีหรือระบบรัฐสภา ระบบสหพันธ์รัฐหรือรัฐเดี่ยว ก็ใช้ระบบเดียวกัน ในแง่ของการมีสังคมแบบพหุนิยมที่มีการเลือกตั้งอย่างเสรี มีการเลือกตัวแทนเข้าไปทำงานในฝ่ายบริหาร โดยที่ต้องมีการตรวจสอบให้มีการใช้อำนาจอย่างถูกต้อง (checks and balances) เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นความหมายธรรมาภิบาลในทางการเมืองที่ประเทศตะวันตกยึดถือตลอดมา

ประการที่สาม ในแง่การบริหารราชการแผ่นดินแบบแคบ
"ธรรมาภิบาล" หมายถึง ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ เปิดเผย มีความรับผิดและมีการตรวจสอบทางบัญชีอย่างถี่ถ้วน โดยมีระบบข้าราชการที่เข้มแข็ง เพื่อออกแบบนโยบายและปฏิบัตินโยบายที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีระบบตุลาการที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง เพื่อแก้ไขกรณีพิพาทต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจตลาดแบบเสรี

ดังนั้น ในคำนิยามของธนาคารโลกและในสังคมตะวันตก คำว่า "ธรรมาภิบาล" จึงเป็นความคิด "ธรรมาภิบาลประชาธิปไตยภายใต้ระเบียบของโลกใหม่" (new world order) ด้วยเหตุนี้ หากเราเดินตามเส้นทางของธนาคารโลกและองค์กรโลกบาลทั้งหมด "ธรรมาภิบาล" ในความหมายนี้ เราจึงได้เลือกรูปแบบและกลไกแบบประชาธิปไตยตะวันตกพร้อมกันไปด้วย ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาอาจไม่สามารถสร้างขึ้นได้ชั่วข้ามคืน หรืออาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 100 ปี

ธรรมาภิบาลกับสังคมไทย

โดยทั่วไป ความรับรู้ของนักวิชาการไทยและข้าราชการไทยนั้นมีแตกต่างกัน มีบางส่วนที่เห็นว่าแนวคิดเรื่องธรรมาภิบาลไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่มีมาช้านานแล้วในสังคมไทย แต่มีบางส่วนชี้ว่าแนวความคิดเป็นของใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในชุมชนวิชาการ และขยายไปสู่วงการข้าราชการชาวไทย แนวความคิดเรื่องนี้มีปัญหาหลายด้านที่ควรนำมาวิเคราะห์ให้ละเอียด ในส่วนนี้จะกล่าวถึงความรับรู้โดยทั่วไปของวงการวิชาการไทย หลังจากนั้นจะเป็นการวิเคราะห์กฎหมายไทยที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาล 2 ฉบับ

นักวิชาการไทยกับธรรมาภิบาล : Good governance คืออะไร?

ในภาษาไทย มีความพยายามอย่างยิ่งของนักวิชาการไทยที่พยายามจะเข้าใจศัพท์คำว่า "good governance" มากกว่าคำว่า "governance" ดังนั้นในงานวิจัยจำนวนมาก จึงนิยมเรียกว่า "ธรรมาภิบาล" มากที่สุด ส่วนคำว่า "ธรรมรัฐ" นั้นมีการใช้ครั้งแรกโดยชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นอกจากนี้ยังมีการแปลคำว่า good governance เป็นอีก 7 คำ คือ

- สุประศาสนการ โดย ติณ ปรัชญพฤทธิ์,
- ธรรมราษฎร์ โดย อมรา พงศาพิชญ์,
- การกำกับดูแลที่ดี โดย วรภัทร โตธนะเกษม และพูลนิจ ปิยะอนันต์,
- ประชารัฐ โดย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
- รัฐาภิบาล โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช,
- การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และ
- กลไกประชารัฐที่ดี โดย อรพินท์ สพโชคชัย

ปัญหาการให้คำนิยามที่แตกต่างกันมากนี้ น่าจะสะท้อนว่า นักวิชาการไทยยังไม่สามารถหาฉันทานุมัติในเรื่องนี้ได้ ผลก็คือ ชาวบ้านก็คงมีความสับสนอีกต่อไปว่า คำว่า "good governance" มีความหมายว่าอย่างไร. แท้ที่จริงก็แปลคำว่า "good" คือ ธรรมะแล้วสมาสกับคำว่า "อภิบาล" เป็น"ธรรมาภิบาล" ก็ไม่ได้สื่อความหมายที่ถูกต้องในวงวิชาการ โดยเฉพาะวงวิชาการตะวันตกที่ใช้คำนี้กันอย่างกว้างขวาง

ปัญหาข้อที่สองที่นักวิชาการไทยเผชิญก็คือ มีการตีความธรรมาภิบาลในความหมายที่แคบมาก โดยมักอธิบายถึงองค์ประกอบของธรรมาภิบาล ซึ่งหน่วยราชการไทยก็นิยมทำเช่นนี้เช่นกัน

องค์ประกอบที่สำคัญของธรรมาภิบาลในงานวิชาการไทย มักประกอบด้วย

- หลักนิติธรรม (The Rule of Laws)
- ความโปร่งใส (Transparency)
- การมีส่วนรวม (Participation) และ
- ความรับผิด (Accountability)

แต่ที่ประหลาดก็คือ มักมีเพิ่มองค์ประกอบอีก 2 ตัวคือ คุณธรรม (Ethics) และความคุ้มค่า (Cost Recovery) ซึ่งทำให้ความหมายที่แท้จริงของธรรมาภิบาลเริ่มสร้างความสับสนในวงการวิชาการ

ธรรมาภิบาลในทัศนะ ธีรยุทธ บุญมี
ธีรยุทธ บุญมี ดูเหมือนจะเป็นนักวิชาการไทยที่พยายามเข้าใจ "ธรรมภิบาล" ที่ปริบทแบบตะวันตกดังที่เขากล่าวว่า "ธรรมรัฐคือ กระบวนการความสัมพันธ์ (Interactive Relation) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาคประชาชน ในการที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องมีคุณธรรม มีความโปร่งใส มีความยุติธรรม และสามารถตรวจสอบได้ การบริหารประเทศที่ดี ควรเป็นการบริหารแบบสองทาง ระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตย และฝ่ายสังคม เอกชน องค์กรพัฒนาภาคเอกชน โดยเน้นการมีส่วนร่วม การจัดการตนเอง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น"

อย่างไรก็ตาม ภายหลังแนวคิดของธีรยุทธมักถูกวิเคราะห์ ตีความ หรือเขียนใหม่ ซึ่งแตกต่างกันออกไปในงานแต่ละชิ้นที่ทำการศึกษาเรื่องธรรมาภิบาล ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่า มีความจำเป็นต้องสรุปแนวคิดเพียงสั้นๆ จึงทำให้ความคิดที่สำคัญบางส่วนตกไป เช่น ในงานของบุษบง และบุญมี ในปี 2544 เลือกอธิบายอย่างกระชับว่า "แนวคิดธรรมรัฐ (ของธีรยุทธ) คือ การเป็นหุ้นส่วนกันในการบริหารและการปกครองประเทศโดยรัฐประชาชน และเอกชน ซึ่งขบวนการอันนี้จะก่อให้เกิดความเป็นธรรม ความโปร่งใสความยุติธรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนดี..." แม้ว่างานชิ้นนี้จะมีความสำคัญ และเป็นประโยชน์มากในการประมวลนิยาม องค์ประกอบ และแนวคิดเกี่ยวกับ "ธรรมาภิบาล" อย่างไรก็ดี ผลงานของธีรยุทธชิ้นนี้ นับว่ามีความซับซ้อนมากกว่านั้น กล่าวคือ

ในภาคผนวก 1. ธีรยุทธได้จำแนกความหมายของธรรมรัฐในความคิดของเขาออกเป็น 3 ระดับ คือ

- หนึ่ง ธรรมรัฐในระดับปัจเจกบุคคล หมายถึง ความเข้าใจว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ มีอำนาจในตนเองและกล้าใช้อำนาจนี้
เพื่อประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม แต่เป็นไปโดยความรับผิดชอบ

- สอง ธรรมรัฐในระดับกลุ่ม บริษัทและองค์กร หมายถึงการพฤติกรรมขององค์กรทั้งภายในภายนอกที่ถูกต้องเหมาะสม
ต้องมีจริยธรรมทางวิชาชีพ และการบริหารงานที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส และ

- สาม ธรรมรัฐระดับชาติ

นอกเหนือจากนั้น ธีรยุทธ บุญมี ไม่ลืมที่จะเสนอวิธีการเพื่อนำความคิดนี้ไปสู่ความเป็นรูปธรรม โดยเขาเสนอว่า ธรรมรัฐแบบนี้ก็คือ ยุทธศาสตร์แห่งชาติ นั่นเอง ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย

- หนึ่ง ยุทธศาสตร์การเพิ่มทุนทางการเมือง
- สอง ยุทธศาสตร์เพิ่มทุนทางสังคม และ
- สาม ยุทธศาสตร์การเพิ่มทุนทางค่านิยม วัฒนธรรม

ธรรมาภิบาลในทัศนะ อานันท์ ปันยารชุน
ทัศนะของผู้นำของสังคมไทยที่สำคัญมาจากผลงานของ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ท่านได้เขียนและพูดไว้ในหลายที่ ซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมคือ บทความเรื่อง "ธรรมรัฐกับสังคม" หน้า 25-32 (ในงาน สมหมาย ปาริฉัตร (บก) มุมมองของนายอานันท์ สำนักพิมพ์มติชน ปี 2541) ซึ่งงานชิ้นดังกล่าวออกมาในช่วงไล่เลี่ยกับคำให้สัมภาษณ์เรื่อง "เต๋าของ good governance" ในหนังสือพิมพ์เนชั่นรายวัน วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2541 หน้า 41-42 กระทั่งมีการตีพิมพ์ มุมมองของนายอานันท์ เล่ม 2 สำนักพิมพ์เดียวกัน ปี 2544

ในผลงานเหล่านี้ อานันท์แสดงความเห็นว่า รัฐต้องจำกัดอำนาจลง มีความโปร่งใส (สะอาด หรือ clear) มีการเปิดเผยข้อมูลและการกระทำมากขึ้น (open) ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดการรับรู้ "ธรรมรัฐ" ของเขาคือ รัฐต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความยุติธรรม เพิ่มการบริการสังคม ในแง่นี้อานันท์หมายถึงการมี "ธรรมรัฐ" โดยบรรษัทเอกชน (corporate sector) มากกว่าส่วนอื่นๆ กล่าวอีกทางหนึ่ง สำหรับอานันท์แล้ว ไม่ว่ารูปแบบการปกครองจะเป็นอย่างไรก็ตาม ขอเพียงมีองค์ประกอบเหล่านี้ สังคม หรือองค์กรนั้น ก็มี "ธรรมรัฐ" เช่น การยกตัวอย่างสิงคโปร์ โดยอานันท์ อ้างว่าสิงคโปร์ปกครองแบบอำนาจนิยม แต่มี "ธรรมรัฐ" ดังนั้น "ธรรมรัฐ" รูปแบบนี้จึงเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคการจัดการมากกว่าการเมือง

ธรรมาภิบาลในทัศนะ ประเวศ วะสี
นักคิดอีกคนที่สำคัญต่อการรับรู้เรื่องธรรมาภิบาลคือ นายแพทย์ประเวศ วะสี ซึ่งเริ่มปรากฏเพื่อรำลึกถึง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 6 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป นายแพทย์ประเวศจะทำการกล่าวถึงลักษณะ ปัญหา หรือทางออกของสังคมไทย โดยภาพรวมมากกว่าจะนำเสนอแต่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การติดตามความคิดของ นายแพทย์ประเวศวะสี ต่อประเด็นธรรมาภิบาลจึงค่อนข้างซับซ้อน เช่นในเรื่อง "ธรรมรัฐ: จุดเปลี่ยนประเทศไทย?" ปี 2541, และในเรื่อง "ธรรมรัฐกับคอรัปชั่น" ปี 2546, บทความของท่านถูกตั้งชื่ออย่างกว้างๆ ว่า "ระเบียบวาระแห่งชาติ ปฏิรูปสังคมไทย"

นายแพทย์ประเวศ แสดงทัศนะค่อนข้างต่างจากอานันท์ เพราะว่า "ธรรมรัฐ" แบบของท่านไม่อาจแยกออกจากการปกครองประชาธิปไตย ยิ่งไปกว่านั้น นักคิดท่านนี้เสนอให้มีการสร้างเครือข่ายสังคม และพลังสังคม เพื่อสถาปนาสังคมที่มี "สันติประชาธรรม". อย่างไรก็ตาม ความคิดของนายแพทย์ประเวศ ในภายหลังมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอีก และจำเป็นต้องทำความเข้าใจควบคู่กับข้อเสนอให้ใช้แนวคิดแบบพุทธศาสนา ให้เข้ามามีบทบาทต่อ"ธรรมรัฐ" และสังคม และข้อเสนอให้สร้างสังคมอุดมคติแบบอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอาจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ผู้มีอิทธิพลและบารมีอย่างสูง ในสังคมไทยหรือที่รู้จักกันว่า "สันติประชาธรรม"

"ธรรมรัฐ" ของนายแพทย์ประเวศ จึงมีลักษณะ "รัฐหรือประเทศหรือสังคมที่มีความถูกต้องทุกๆ จุด กล่าวคือ นายแพทย์ประเวศเห็นว่า ภายหลังการปฏิรูปสังคมเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ถูกต้อง เป็นธรรม ในทุกสัดส่วนของสังคม หรือเกิดความเป็นธรรมรัฐ ท่านระบุว่ากระบวนการธรรมาภิบาลคือ "การสร้างเศรษฐกิจมหภาคที่ถูกต้อง มีระบบรัฐที่ถูกต้อง มีการปฏิรูปการศึกษาให้สามารถสร้างความเข้มแข็งทางสติปัญญาให้คนทั้งมวล ปฏิรูปสื่อเพื่อสังคม ตลอดจนปฏิรูปกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับการที่จะสร้างสังคมเข้มแข็งถูกต้องเป็นธรรมทั้งหมด รวมกันคือธรรมรัฐ หรือ good governance อันจะทำให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งทุกด้านทั้งทางคุณค่าและจิตสำนึก ทางปัญญา ทางสังคม ทางการเมือง ทางวัฒนธรรม ทางจริยธรรม ทางเศรษฐกิจ มีสมรรถนะ มีความโปร่งใส สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข และมีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความจำเริญรุ่งเรืองต่อไปด้วยฐานอันมั่นคง"

ลักษณะของนักคิดไทยที่ยกมาประกอบในบทความนี้ ชี้ให้เห็นว่า ความเข้าใจในเรื่องธรรมาภิบาลยังไม่อาจหาข้อยุติได้ เพราะระหว่างนายอานันท์ ปันยารชุน กับนายแพทย์ประเวศ วะสี ก็ยังมีความแตกต่างในสาระสำคัญ นั่นคือ จำเป็นหรือไม่ที่โครงสร้างของธรรมาภิบาลเกิดขึ้นได้ในสังคมที่ไม่ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก

ธรรมาภิบาลในทัศนะ อรพินท์ สพโชคชัย
ในแง่นักวิชาการที่ศึกษาธรรมาภิบาลตั้งแต่เริ่มต้น อรพินท์ สพโชคชัย (2541) ได้ สังเคราะห์ถึงองค์ประกอบของธรรมาภิบาลไว้อย่างกระชับ ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้านดังนี้คือ

1. การมีส่วนร่วมของสาธารณชน (public participation)
การมีส่วนร่วมของสาธารณชน คือกลไกกระบวนการที่ประชาชน (ชายและหญิง) มีโอกาสและมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่างเท่าเทียมกัน (equity) ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าร่วมในทางตรงหรือทางอ้อม โดยผ่านกลุ่มผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยชอบธรรม. การเปิดโอกาสให้สาธารณชนมีส่วนร่วมอย่างเสรีนี้ รวมถึงการให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน และให้เสรีภาพแก่สาธารณชนในการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ คุณลักษณะสำคัญประการหนึ่งที่สาธารณชนมีส่วนร่วมคือการมีรูปแบบการปกครอง และบริหารที่กระจายอำนาจ (decentralization)

2. ความสุจริตและโปร่งใส (honesty and transparency)
ความสุจริตและโปร่งใส คือกลไกที่มีความสุจริต และโปร่งใสซึ่งรวมถึงการมีระบบกติกาและการดำเนินงานที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา ประชาชน สามารถเข้าถึงและได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี เป็นธรรม ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลและประชาชนสามารถตรวจสอบและติดตามผลได้

3. พันธะความรับผิดชอบต่อสังคม (accountability)
พันธะความรับผิดชอบต่อสังคม คือกลไกที่มีความรับผิดชอบในบทบาทภาระหน้าที่ที่มีต่อสาธารณชน โดยมีการจัดองค์กรหรือการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เน้นการดำเนินงานเพื่อสนองตอบความต้องการของกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างเป็นธรรม ในความหมายนี้รวมถึงการที่มี bureaucracy accountability, political accountability ซึ่งจะมีความหมายที่มากกว่าการมีความรับผิดชอบเฉพาะต่อผู้บังคับบัญชา หรือกลุ่มผู้เป็นฐานเสียงที่ให้การสนับสนุนทางการเมือง แต่ครอบคลุมถึงพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น องค์กรหน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องพร้อมและสามารถที่จะถูกตรวจสอบและวัดผลการดำเนินงานทั้งในเชิงปริมาณ คุณภาพ ประสิทธิภาพ และการใช้ทรัพยากรสาธารณะ ดังนั้น คุณลักษณะของความโปร่งใสของระบบในลำดับที่สองจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง accountability

4. กลไกการเมืองที่ชอบธรรม (political legitimacy)
กลไกการเมืองที่ชอบธรรม คือกลไกที่มีองค์ประกอบของผู้ที่เป็นรัฐบาลหรือผู้ที่เข้าร่วมบริหารประเทศซึ่งมีความชอบธรรม เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม โดยรวม ไม่ว่าจะโดยการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง แต่จะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนว่ามีความสุจริต มีความเที่ยงธรรม และมีความสามารถที่จะบริหารประเทศได้

5. กฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน (fair legal framework and predictability)
กฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน คือมีกรอบของกฎหมายที่ยุติธรรมและเป็นธรรมสำหรับกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม ซึ่งกฎเกณฑ์มีการบังคับใช้และสามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนซึ่งคนในสังคมทุกส่วนเข้าใจ สามารถคาดหวังและรู้ว่าจะเกิดผลอย่างไรหรือไม่เมื่อดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นการประกันความมั่นคง ศรัทธา และความเชื่อมั่นของประชาชน

6. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (efficiency and effectiveness)
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดกระบวนการทำงาน การจัดองค์กร การจัดสรรบุคลากร และมีการใช้ทรัพยากรสาธารณะต่างๆ อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม มีการดำเนินการและการให้บริการสาธารณะที่ให้ผลลัพธ์ เป็นที่น่าพอใจและกระตุ้นการพัฒนาของสังคมทุกด้าน (การเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ)