--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"ทักษิณ"ออกจากกัมพูชา-กลับดูไบแล้ว


คมชัดลึก :"ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกฯไทยเดินทางออกจากกัมพูชา กลับดูไบแล้ว เลขาฯรมว.ต่างประเทศ ระบุ วิศวกรไทยถูกคุมตัวที่เรือนจำเพซอ ด้านเจ้าหน้าที่กงสุลจะเดินทางไปเยี่ยมวันนี้

(14พ.ย.) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เดินทางออกจากประเทศกัมพูชา เพื่อกลับดูไบแล้วในช่วงเช้าของวันนี้ โดยนายปรัก สักฮอน รองรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางออกกัมพูชา ภายหลังจากเวลา 4 วันที่เขาเดินทางเข้ามาทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้งให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการติดตามช่วยเหลือ นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกร บ.กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิคเซอร์วิส หรือ CATS ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ขโมยข้อมูลเรื่องตารางเวลาการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวไปให้เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบสถานที่คุมขังที่แน่ชัดของนายศิวรักษ์แล้ว วันนี้เจ้าหน้าที่กงสุลของไทยในกัมพูชา และทนายส่วนตัวนายศิวรักษ์ จะเดินทางไปเยี่ยมพร้อมทั้งจะตั้งคณะทำงานด้านกฎหมาย ช่วยประสานงานในทางคดีแก่นายศิวรักษ์ และพร้อมจะให้ความสะดวกมากกว่าในกรณีอื่นๆ อีกด้วย

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันแล้วว่า นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกรไทย ถูกคุมตัวอยู่ที่เรือนจำเพซอ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นเรื่องต่อกรมราชทัณฑ์กัมพูชาแล้ว ระบุ ขอทราบเหตุผลการจับกุมและขอเข้าเยี่ยม ซึ่งอยู่ระหว่างรอคำตอบจากทางการกัมพูชาทั้งนี้ ถือว่าเป็นโชคไม่ดีที่ช่วงเกิดเหตุ ติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้การประสานงานให้ความช่วยเหลือเป็นไปค่อนข้างลำบาก แต่ยืนยันว่าทางการไทยจี้ติดเรื่องนี้ให้กัมพูชาดำเนินการเรื่องการเข้าเยี่ยมให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้าน นางวิมล คิดชอบ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์เต็มที่ และการที่ไทยลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศตั้งความหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะให้การดูแลนายศิวรักษ์ตามขั้นตอน และกระบวนการของกฎหมายที่ถูกต้อง

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่สิงคโปร์ ไม่ประสงค์ที่จะหารือนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา เป็นการส่วนตัว เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศ ขณะที่ฝ่ายนายฮุนเซน ก็ไม่ได้ติดต่อประสานมา เพื่อขอหารือกับนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

ด้านพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ลงนามในคำสั่ง กำชับการปฎิบัติในการรักษาความสงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงทุกหน่วยงาน ประทับตราด่วนที่สุด โดยระบุว่าปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างไทย กัมพูชาอยู่ในสภาวะไม่ปกติเพื่อให้การปฏิบัติในอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยให้ดำเนินการดังนี้ 1.สืบสวนหาข่าวที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ต่าง ๆ

โดยเฉพาะแนวชายแดนไทย 2. เพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจอนุญาตบุคคล ยานพาหนะเข้าออกราชอาณาจักรบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ให้เป็นไปตามระเบียบ และกฎหมาย อย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ 3. เพิ่มความเข้มงวดตรวจตราปราบปราม การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย ยาเสพติดและการกระทำผิดกฎหมายในช่องทางและเส้นทางต่าง ๆ ทั้งบริเวณชายแดนและพื้นที่ตอนใน 4. ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เดินทางเข้าออกราชอาณาจักรในพื้นที่ต่าง ๆเพิ่มความระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ความเป็นไปอย่างใกล้ชิด และหากมีเหตุด่วน ให้รายงานผ่านทางกองสารนิเทศ ทันที

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บ.สามารถยันไม่เกี่ยว ‘ศิวลักษณ์ โชติพงษ์’ วิศวกรถูกเขมรจับ


คมชัดลึก : (13พ.ย.) ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบินที่ 6 เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ท่าอากาศยานทหารกองบิน 6 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายเกียรติ สิทธิอมร ผู้แทนการค้าไทย พร้อมคณะ ได้เดินทางมาขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปร่วมการประชุมเอเปค ระหว่างวันที่ 13 – 15 ที่ประเทศสิงคโปร์

ก่อนขึ้นเครื่อง นายอภิสิทธิ์พยักหน้าเมื่อถูกถามว่าทราบข่าวที่วิศวกรไทยซึ่งทำงานในบริษัท กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS (หมายเหตุ : PAD’s Enemies List บริษัทนี้บริหารงานโดยบริษัทสามารถของไทย) ถูกตำรวจกัมพูชาจับจากการก็อปปี้เอกสารเกี่ยวกับเที่ยวบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา และของสมเด็จฯฮูน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แล้วหรือไม่ เมื่อถามว่าจะดูแลคนไทยคนนั้นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ จะดูแลเหมือนอย่างที่ดูแลคนไทยเวลาที่เจอคดีในต่างประเทศ ”

สามารถยันไม่เกี่ยววิศวกรขโมยข้อมูลทักษิณ

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า มีการปล่อยตัวกลับมาแล้ว 1 คน อีก 1 คนอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยพนักงานคนดังกล่าวมีความสนิทสนมเป็นเพื่อนกับเลขานุการเอก สถานทูตไทยประจำกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท แต่ทางบริษัทต้องเข้าไปดูแล ซึ่งได้แจ้งเรื่องดังกล่าวกับกระทรวงการต่างประเทศแล้ว

“อย่างไรก็ตามมองว่า ข้อมูลตารางการบินเป็นข้อมูลปกติทั่วไป ที่ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับ แต่ทั้งนี้เหตุการณ์อยู่ในสภาวะไม่ปกติ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องบอบบาง การดำเนินธุรกิจของบริษัทในประเทศกัมพูชา ยังคงอยู่ในสภาวะปกติ ทั้งบริษัทวิทยุการบิน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโรงไฟฟ้าของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย” นายวัฒน์ชัย กล่าว

บัวแก้วชี้เขมรกลั่นแกล้งจับวิศวกรไทย

นายกษิต กล่าวถึงข่าวกัมพูชาจับกุมวิศวกรไทยหน่วยจราจรอากาศ (Cambodia Air Traffic Service) ฐานเป็นสายลับขโมยข้อมูลเที่ยวบินของ พ.ตท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯส่งให้ทูตไทย โดยระบุว่า เป็นเรื่องกลั่นแกล้งใส่ร้าย ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูต ประจำกรุงพนมเปญ ดูแลรายละเอียดกระบวนการยุติธรรมแล้ว ทั้งนี้เห็นว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนการพิจารณาดำเนินการต่อกัมพูชา นั้น นายกษิตกล่าวว่า ทางสมช.จะเป็นหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรักษาการโฆษกสำนักนายกฯ กล่าวกรณีที่ทางการกัมพูชาจับกุมวิศวกรชาวไทยในชข้อหาจารกรรมข้อมูล ว่า รัฐบาลกำลังสอบถามรายละเอียดการจับกุมอยู่ ซึ่งจนท.ทูตที่นั่นกำลังหาข้อมูล ข้อเท็จจริง รายงานเข้ามา เมื่อได้ข้อกล่าวหาแล้วรัฐบาลจะมาพิจารณาดูในขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตามสถานทูตมีหน้าที่แนะนำ ดูแลความเรียบร้อย ให้เป็นไปตามหลักสากลหรือตามกม.ระหว่างประเทศอยู่แล้ว ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย แต่เรื่องนี้ไม่ควรเป็นประเด็นที่เราไปยุ่งการสืบสวนสอบสวนของฝ่ายเขา

นอกจากนี้นายปณิธาน ยังกล่าวด้วยว่า ปกติเรื่องเที่ยวบินของผู้นำก็อยู่ในชั้นไม่เปิดเผย ซึ่งต้องไปดูว่ารั่วออกมาได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นข้อมูลในเรื่องการเดินทางทั่วไปก็เป็นข้อมูลเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการจรกรรมแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มของนายศิวลักษณ์มีสายสัมพันธ์กับสถานทูตไทยในกัมพูชา นายปณิธาน กล่าวว่า เราต้องให้ความเป็นธรรมกับคนของเราด้วย โดยเฉพาะเมื่อยังไม่ผ่านการสอบสวน ข้อกล่าวหาตั้งกันได้ แต่ต้องให้โอกาสเขาชี้แจงซึ่งในส่วนของนายกฯและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง คงไม่ลงไปกำกับดูแลอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน ต้องกำชับให้คนไทยที่นั่นระมัดระวัง และดูแลคนไทยให้ดี ไม่ทำอะไรขัดกฎหมายของเขา

สำหรับมาตรการทางการทูตที่มีต่อกัมพูชานับจากนี้ นายปณิธาน กล่าวว่า เราคทบทวนความสัมพันธ์ไปอีกระยะ และพิจารณาดูขั้นตอน กระบวนการต่างๆ โดยฉพาะผลประโยชน์ทับซ้อนที่ทำให้เราเสียเปรียบ แต่อย่างไรก็ต้องไม่ให้กระทบประชาชน รวมถึงไม่ให้กระทบกระเทือนความร่วมมือในภูมิภาค

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์อีกครั้งกรณีที่ทางการกัมพูชาได้จับกุมตัววิศวกรชาวไทยของบริษัท กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส( CATS ) ในฐานะที่เข้าไปล้วงดูข้อมูลเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักิณ ชินวัตร อดีตนายกฯโดยตั้งข้อหาเป็นสายลับ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน ต้องขอเวลาไปตรวจสอบข้อมุลก่อนว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้รับรายงานเรื่องนี้มาหรือไม่

เมื่อถามถึง กรณีที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยออกมาปูดว่า มีบุคคลสำคัญชื่อย่อย ”ส.” ร่วมลงขันตั้งค่าหัวลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ สูงถึง 150 ล้านบาท นายสุเทพ หัวเราะพร้อมย้อนถามว่า ”แล้วเป็นใครล่ะชื่อ“ส.” สุเทพ เหรอ ถ้าตนมีเงินขนาดนั้นก็ตายไปนานแล้ว ไม่มีหรอก ทำเป็นพูดไป ทั้งนี้ไม่ทราบสาเหตุที่นายประชาออกมาพูดเรื่องในตอนนี้เพื่อผลอะไร อย่างไปยุ่ง อย่าไปสนใจ มันบ้า ๆ พูดไปเรื่อย ”

เมื่อถามว่า การออกมาพูดเรื่องนี้เป็นความพายามที่จะสร้างความปั่นป่วนให้สอดคล้องกับการเดินเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่าย นายุสเทพ กล่าวว่า เป็นการกระทำให้มันยุ่งเข้าไว้ ในยุคอย่างนี้ไม่น่าจะมีการลงขันลอบสังหารใคร ข่าวนี้ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ คนไทยเขาไม่คิดทำอย่างนั้นหรอก ถ้าตนมีเงิน 150 ล้าน ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

บัวแก้วเชื่อวิศวกรไทยจะได้รับดำเนินคดีอย่างยุติธรรม

นางสาววิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญได้เข้าไปดูแลให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าคนไทยรายดังกล่าวต้องการความช่วยเหลือใดบ้าง และให้ได้รับความยุติธรรมในการถูกดำเนินคดีให้มากที่สุด แต่โดยขณะนี้กระทรวงยังไม่ได้รับรายงานจากสถานทูตอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ และไม่ทราบว่า ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา แบบเดียวกัน หากมีคนชาติอื่นถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ก็ยังให้มีความหวัง ถือเป็นการให้เกียรติกระบวนการยุติธรรม

ระบุดูแลจนท.สถานทูต-คนไทยในกัมพูชาอย่างใกล้ชิด

นางสาววิมลกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลกัมพูชาขอให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุเอก ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ เดินทางกลับประเทศไทยภายใน 48 นั้น นั้น ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการทางการทูต ซึ่งตนไม่สามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงเหตุการณ์ว่า ด้วยเหตุใดที่กัมพูชาถึงตัดสินใจดำเนินการเช่นนั้น ส่วนมีมีความเหมาะสมหรือไม่ พวกเราก็คิดเอาเองแล้วกัน ซึ่งขณะนี้นายคำรบยังเดินทางกลับมาไม่ถึงประเทศไทย แต่ภายหลังที่นายคำรบกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว คงมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นปกติ และทางผู้ใหญ่ของกระทรวงคงเชิญมาพูดคุยกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติอยู่แล้ว

สำหรับการพิจารณามาตรการตอบโต้ของฝ่ายไทยที่มีต่อกัมพูชา นางสาววิมล กล่าวว่า นายกษิตได้ย้ำแนวทางปฏิบัติให้กระทรวงดำเนินการอย่างสุขุม รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนไทยกับกัมพูชา

“สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญและระมัดระวังในการดำเนินการอย่างยิ่ง ไม่ให้กระทบต่อประชาชน โดยขอย้ำว่า การปิดด่านไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีความหวังจะกลับคืนสู่ความสัมพันธ์สภาวะปกติ และอยากเห็นความร่วมมือในภูมิภาคที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น”นางสาววิมล กล่าว

นางสาววิมล กล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศมีความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งได้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และมีการประเมินสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การคุ้มครอง ดูแลสถานทูตอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม ในส่วนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาก็ยังใช้ชีวิตเป็นไปตามปกติ โดยสถานทูตมีเครือข่ายติดต่อกับชุมชนไทยในกัมพูชา หากมีเหตุการณ์ก็สามารถดูแลได้ทั่วถึง แต่โดยขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องออกประกาศเตือนคนไทยในกัมพูชาแต่อย่างใด

กัมพูชาสวมกอดกับทักษิณ


ที่มา : New York Times

กรุงเทพฯ – นี่เป็นการยั่วโมโหมากที่สุดครั้งหนึ่งของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับออกจากตำแหน่งของไทยเมื่อสามปีที่แล้วทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเดินทางมาเยือนเพื่อนบ้านกัมพูชาสัปดาห์นี้ นี่เป็นการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสองประเทศและหล่อเลี้ยงจิตใจผู้สนับสนุนไปพร้อม ๆ กัน

ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทักษิณกล่าวหารัฐบาลไทยว่า “ปลุกกระแสคลั่งชาติ” ซึ่งจะทำให้ไม่ลงรอยกันไปในระยะยาวรวมถึงการเผชิญหน้ากันด้านการทหารกรณีปราสาทพระวิหารด้วย

แต่การยั่วโมโหรัฐบาลไทยของทักษิณครั้งนี้คำพูดนั้นเทียบไม่ได้กับภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาในการเยือนกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดบ้านเกิดซึ่งให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเดินทางไปรอบโลกไม่ว่าจะเป็นที่ลอนดอน ฮ่องกง นิการากัวจนถึงมอนเตเนโกร และมาปักหลักที่ดูไบ ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนยันว่าอยากกลับบ้าน ทักษิณถูกกล่าวหาจากรัฐบาลไทยและขอให้กัมพูชาส่งตัวให้เนื่องจากข้อหาทุจริตในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่

ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ที่สิงคโปร์กล่าวว่าทักษิณเปิดแนวรุกครั้งใหม่ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวเขาเลย “ผมอยากบอกว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณทำร้ายตนเองเรื่องใหม่”
“ผมคิดว่าทั้งคู่ การเคลื่อนไหวของทั้งคู่เป็นการวางแผนและคิดคำนวณมาอย่างดีแล้ว” เขากล่าวเสริม อ้างถึงทักษิณและฮุนเซน ผู้ที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีของทักษิณ และใช้การเยือนของทักษิณเป็นประเด็นในเรื่องข้อพิพาทชายแดน

เมื่อวันพุธกัมพูชาปฏิเสธที่จะไม่ส่งตัวทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนตามที่รัฐบาลไทยร้องขอมา

“ถ้าเขาแสดงต่อหน้าสาธารณะให้ทุกคนเห็นว่าอภิสิทธิ์ไม่สามารถรับมือกับวิกฤตและแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็จะเสมือนเป็นการตบหน้ารัฐบาล (ไทย) พร้อมทั้งจะเกิดคำถามในเรื่องความชอบธรรมในการบริหารประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์” ปวินกล่าวในตอนท้าย

ทักษิณมาเยือนกัมพูชาครั้งนี้ทำให้การเผชิญหน้ากันระหว่างไทยกับกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้มีข้อพิพาทกันมาตั้งแต่ปี ๒๐๐๘ เรื่องเขตแดนปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองประเทศจนเกิดการนองเลือดขึ้นหลายครั้งและยังคงตึงเครียดอยู่

ทางการทั้งสองประเทศเรียกฑูตกลับประเทศของตนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮุนเซนได้เชิญทักษิณมาเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของตนเองและรัฐบาล ขณะเดียวกันทางการไทยกล่าวว่าจะพิจารณาเรื่องข้อตกลงของทั้งสองประเทศเสียใหม่ในเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล น้ำมันและก๊าซ

ในการปฏิเสธการขอตัวทักษิณตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ทางการกัมพูชาตอบไทยนั้น รัฐบาลกัมพูชาใช้ “ตัวพิมพ์ใหญ่” ในการอธิบายเรื่องการที่ทักษิณถูกขับออกจากอำนาจ “เขาได้รับการเลือกตั้งที่ ล้นหลามและเป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนคนไทย”

ฮุนเซนนั้นอาจจะมองไกลไปถึงเรื่องผลประโยชน์ระยะยาวในกรณีทักษิณในเรื่องที่ว่าเขาจะได้มาเป็นผู้นำของไทยอีกครั้งในอนาคต ปวินกล่าว

อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัติย์ของเขานั้นอ่อนแอลงทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างคาดการณ์ว่าไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งใหนๆ ผู้สนับสนุนทักษิณก็จะชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง

ฮุนเซนต้อนรับทักษิณด้วยการโอบกอดและย้ำว่าตัวเขาและทักษิณเป็น “เพื่อนแท้” ซึ่งดูแล้วเป็นการกระแหนะกระแหนนายอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งได้รับการลงคะแนนจากสภาฯ เพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ด้วยการหนุนหลังของทหารและไม่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งเป็นผลพลอยได้ทางอ้อมหลังการทำรัฐประหารทักษิณให้ออกจากตำแหน่ง

“ถ้านายอภิสิทธิ์แน่จริงทำไมไม่ยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้งใหม่?” ฮุนเซนถามเมื่อวันพฤหัสบดี “เขากลัวอะไร? ผมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาซึ่งได้รับคะแนนถึงสองในสามของสภาฯ นายอภิสิทธิ์ได้รับเท่าไหร่? หรือเขาปล้นเอามาจากคนอื่น?”

ฮุนเซนในวัย ๕๘ และอภิสิทธิ์ในวัย ๔๔ ทั้งสองมาจากคนละโลกเลยก็ว่าได้ ฝ่ายแรกนั้นโตมาด้วยเท้าเปล่าเป็นเด็กวัด จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ตอนเขมรแดง ส่วนอีกฝ่ายเป็นเด็กจากอีตันและอ็อกซ์ฟอร์ด เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษและวิถีตะวันตก

ฮุนเซนไม่ได้แสดงท่าทีปกปิดว่าตนเองนั้นปรามาสเหยียดหยามนายอภิสิทธิ์เลย

“ปัญหาระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้นจริง ๆ แล้วเป็นปัญหาของผมและ “คุณ” อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีของไทย” ฮุนเซนใช้คำนำหน้าว่าคุณซึ่งเป็นคำพูดที่ให้เกียรติกันในหมู่คนไทย “ก่อนที่ใครต่อใครจะพูดเรื่องนี้กัน ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าผมทำงานด้านการเมืองมานานและตั้งแต่นายกรัฐมนตรีของไทยยังเป็นเด็กอยู่เลย”

หากทักษิณต้องการที่จะตีโต้รัฐบาลไทยและทำให้ตนเองตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ในเมืองไทย ดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จ

“Rejected!” เขียนเป็นตัวหนังสือสีแดงตัวใหญ่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากที่กัมพูชาปฏิเสธการขอให้ส่งตัวทักษิณกลับเมืองไทย

หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับนำสำเนาหนังสือของรัฐบาลกัมพูชามาลงหน้าหนึ่งซึ่งประทับตราตัวใหญ่ว่า “แท้จริงอย่างที่สุด” (ABSOLUTE REALITIES) ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่าทักษิณมีสิทธิ์อันชอบธรรมในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย

หนังสือพิมพ์ยังลงกำหนดการเดินทางในกัมพูชาของทักษิณในสองสามวันข้างหน้าว่าจะไปนครวัด และออกรอบตีกอล์ฟกับฮุนเซน รวมถึงการพบปะผู้สนับสนุนตัวเขาที่นั่งรถบัสมาจากประเทศไทย

ทักษิณผู้ซึ่งลึกลับและชาญฉลาดใด้ระบุเอาไว้ท้ายสุดของกำหนดการนั้นว่า “หลังจากนั้นจะเดินทางออกจากกัมพูชา โดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง”

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รวมวาทะเด็ด จากสมเด็จฯฮุนเซน



กลายเป็นมวยถูกคู่ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างเด็กดื้อ ศิษย์หลายเสา กับฮุนเซน พระวิหารยิม เมื่อฝ่ายแรกเปิดฉากรัวหมัดใส่อย่างไม่ยั้ง ราวกับว่าโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน

แต่พอฝ่ายหลังตั้งหลักได้ เท่านั้นแหละมาร์คเอ๊ย เรียกว่าเห็นดาว เห็นเดือน เห็นตะวันกันเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ตามมาดูบทสัมภาษณ์ เฉพาะเนื้อๆเน้นๆ ที่คัดจากมติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ก็แล้วกัน

"ผมขอประกาศชัดๆ ให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลไทยมาหาเรื่องกัมพูชา"

"เรื่องที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชานี้ เป็นปัญหาระหว่างผมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยในปัจจุบันโดยแท้
..ก่อนที่จะพูดขอให้ศึกษาหาความรู้ให้มากกว่านี้เพราะตอนที่ผมเริ่มทำงานการเมืองนั้นนายกรัฐมนตรีไทยยังเป็นเพียงเด็กวิ่งเล่นอยู่เลย"

"อยากปิดก็ขอให้ปิดไปเลย..เพราะกัมพูชาก็จะปิดเช่นกันและปิดทางด้านเศรษฐกิจด้วย
..สั่งห้ามสินค้าไทยทั้งหมดข้ามแดนเข้ามายังตลาดกัมพูชา แม้แต่หมูเพียงตัวเดียว จะไม่ให้ข้ามเข้ามา"

"เรื่องการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทยมาเป็นที่ปรึกษานั้น ผมขอประกาศชัดๆ ให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ มาหาเรื่องกัมพูชา
.. ผมจะบอกให้ว่า จริงๆแล้วปฏิกิริยาของคนไทยที่แท้จริงเป็นอย่างไร คือพวกเสื้อแดงสนับสนุนการแต่งตั้ง พวกเสื้อเหลืองโกรธและประท้วงคัดค้าน และยังมีกลุ่มที่สบายใจโดยอยู่เฉยๆ เงียบๆ อีกด้วยต่างหาก"

"หากทักษิณมาพำนักอยู่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไทยจะกลัวอะไรกันนักกันหนา ทักษิณไปมาแล้วทั่วโลกไม่เห็นทำอะไร ไปศรีลังกา ล่าสุด ก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แต่พอบอกว่าจะมากัมพูชาก็หาเรื่องกัมพูชา"

"อยากรู้นักว่าใครเป็นเบี้ยของใครกันแน่ อภิสิทธิ์ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเอง เพราะเมื่อทักษิณเปิดตัวเข้ามา อภิสิทธิ์ก็กระโดดออกมาตอบโต้โดยไม่คิดอะไรเลยและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของ ชาติเลย"

"สมัยนครวัดนั้นประเทศไทยอยู่ที่ไหนกัน อ้างว่ากัมพูชามายึดครองบุกรุกดินแดนไทยนั้น กัมพูชาจะไปยึดดินแดนไทยได้อย่างไร ศึกษาประวัติศาสตร์เสียให้ดีว่า ใครรุกรานใครกันแน่"

"ผมจึงถือโอกาสนี้ร้องขอให้พี่น้องเสื้อแดงและ พรรคเพื่อไทยเสียสละอนุญาตให้ผมนำท่านทักษิณ มาช่วยกัมพูชาในเรื่องเศรษฐกิจบ้างด้วยแล้วกัน"

"ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทักษิณก็ต้องไล่แก้ตั้งแต่ทักษิณมาเลย ตั้งแต่เรื่องการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549"

"ถ้าอภิสิทธิ์เก่งจริงก็ขอให้เลือกตั้งใหม่สิ ท่านกลัวอะไรหรือ หรือว่ากลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือว่ากลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง"

"ผมเองเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของสภากัมพูชา แล้ว ท่านอภิสิทธิ์ได้รับเท่าไหร่กันหรือ ขโมยเก้าอี้เขามานั่ง ขโมยของของคนอื่น มาเป็นของตัวเองจะให้เคารพได้อย่างไร"

"อภิสิทธิ์มีปัญหาท่วมตัวอยู่แล้ว อาจตายได้..ทักษิณเป็นเพื่อนของผม เพื่อนไม่สามารถหักหลังเพื่อนได้ ไม่สามารถโยนเพื่อนให้เสือกินได้หรอก"

"อยากฉีกอะไรทิ้งก็ฉีกไปเลย อยากปิดอะไรก็ปิดไปเถิด เพราะถ้าเปิดคงจะไม่สะดวกแล้ว เห็นทีต้องถอนกำลังทหาร 911 (หน่วยรบพิเศษ) ของกัมพูชาออกภายในหนึ่งสัปดาห์ดีกว่า เพราะว่าใช้กำลังเพียงนิดๆ หน่อยก็พอ (ที่จะสู้กับไทย) แล้ว"

"รองนายกรัฐมนตรีสุเทพของไทยได้ขอ ว่า ให้ช่วยจับทักษิณส่งตัวไปประเทศไทยได้หรือไม่ เรื่องนี้ผมทำไม่ได้หรอก ถ้าผมทำเช่นนั้นก็ถือเป็น กบฏต่อมิตร"

"ขอร้องให้พี่น้อง ประชาชน-ตำรวจ-ทหารไทย ทราบว่าคนที่คุณๆ ทั้งหลายต่อว่าอยู่นั้นเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งนั้น ผมเคารพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผมจึงช่วยเขา มีแต่อภิสิทธิ์เท่านั้นที่จงเกลียดจงชังคนเหล่านั้น"

"ไทยก็ยังสนับสนุนให้เขมรแดงทำการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย แล้วให้พวกเขมรแดงไปอยู่ประเทศไทย ไทยให้อยู่ในดินแดนไทยได้อย่างไร เรายังไม่ทำเช่นนั้นเลย ถ้าทักษิณตั้งกองกำลังอยู่ในดินแดนกัมพูชาจะว่าอย่างไรบ้างล่ะ
..ลงนามไม่สนับสนุนเขมรแดง ลงนามสันติภาพ แต่ก็ยังละเมิดหลายอย่าง ขอให้คนไทยดูไว้กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่เคารพเลย จะให้เราเคารพกฎหมายไทยได้อย่างไร"

"..ลงนามด้วยมือ ลบด้วยเท้า ขอยกเลิกการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา
.. ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่เกี่ยวกับกัมพูชา แต่เป็นเรื่องระหว่างไทยกับยูเนสโก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง จริตที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรีไทย และเป็นเสมือนการดูหมิ่นเหยียดหยามว่า กัมพูชาโง่อย่างแท้จริง"

"ประเทศไทยเอาปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวประกัน เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร ตลอดจนพยายามเอาผิดกับอดีตรัฐมนตรี นพดล"

------------------

เป็นไงบ้าง ท่านผู้ชม อ่านแล้วต้องยอมรับว่า โดนทุกดอก เข้าทุกเม็ด อย่างกับเข้ามาพูดอยู่ในหัวใจคนไทย ยังไงยังงั้น คนที่พูดได้ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่บอก ใครจะไปรู้ ว่าไม่ใช่ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์

เพราะว่าข้อมูลของน้าฮุนฯแกแน่นปึ้กระดับที่ ถ้าบอกว่าบ้านแกไม่ได้ติดดีสเตชั่น คงไม่มีใครเชื่อ

งานนี้ ถ้าจะบอกว่ามาร์คเสียหมา ก็คงไม่ผิดจากความจริงไปซักเท่าไหร่ เพราะประมาทคู่ต่อสู้แท้ๆ เลยเจอสวนเข้าไปจังๆ เล่นเอามาร์คถึงกับ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากมวยได้ใจ ระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ กลับมายืนพิงเชือก เป่าลมออกจากปากเหมือนหมาหอบแดด หน้าอูมๆเหลืออยู่ไมถึง 2 นิ้ว

ขนาดนี้เราว่าฮาแล้ว แต่น้าฮุนฯแกบอกว่า ยังฮาได้อีก ขอแค่มาร์คเปิดเกมงามๆมาเรื่อยๆ รับรองได้ว่า น้าฮุนฯจะไม่ทำให้หลานมาร์คต้องผิดหวัง เป็นอันขาด

เจอลูกหลงไปเต็มๆ แต่ยังเก็บอาการอยู่ คือบักป๊อกหน้ามึนของเรา เมื่อน้าฮุนฯแกบลั๊ฟมาว่า "ใช้กำลังเพียงนิดๆ หน่อยๆก็พอสู้กับทหารไทยแล้ว" นี่ไม่ใช่แค่หยาม แต่มันเหยียบหน้ากันชัดๆ

แต่ไม่เป็นไร เพราะทหารไทยไม่ถนัดสู้กับคนมีปืน

เวรกรรม ตอนแรกก็นึกว่า เขมรถอนทหารไปบางส่วน เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ที่ไหนได้ กลายเป็นว่ามันมากเกินไป กลัวจะเหยียบกันตาย ตอนไล่ปล้ำทหารตุ๊ด..อะไรจะขนาดนั้น

นี่ถ้าผมเป็นผบ.ทบ. ผมลาออกไปแล้ว

เห็นเพื่อนเขาช่วยเหลือกันในยามยากแล้ว บอกตรงๆว่า "กูอายแทนมึงว่ะ ป๊อก!"

ฮุนเซนกับทักษิณจะคบหากันมา ซักกี่ปีกันเชียว แต่พอทักษิณมาเจอเสือ เพื่อนคนนี้กลับออกหน้า ไม่ยอมให้มันมากัดเพื่อนเป็นอันขาด ผิดกันอย่างลิบลับ กับเพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร...

พอจวนตัวเข้า มันโยนเพื่อนให้เสือกิน

วโรทาห์:

“เสื้อแดง”ครึ่งร้อยผ่านด่านช่องสะงำ พบ”ทักษิณ”ให้กำลังใจที่เสียมราฐ


มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนว่า ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง เดินทางโดยรถทัวร์จาก จ.นครราชสีมา เข้าไปพบและให้กำลังใจแก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยทำหนังสือผ่านแดนข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยผู้ที่เดินทางไปเยี่ยมล้วนเป็นแกนนำกลุ่มในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงจำนวน 45 คน ยื่นหนังสือเพื่อที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยม ให้กำลังใจ และพบกับอดีตนายกทักษิณที่จังหวัดเสียมเรียบในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ จ.เสียมราฐ
นางปารดา ฉิ่งอินทร์ นักจัดรายการสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ที่ต้องเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเดินทางมาใกล้บ้านเรา แต่ประเทศไทยเราต้อนรับไม่ได้ เลยต้องเดินทางไปเสียมราฐแทน “ทั้งนี้ อยากบอกว่า เรารักท่าน อยากให้ท่านกลับประเทศไทย เพราะการบริหารขณะนี้ทำให้ประเทศไทยล่มสลาย”

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศาลรธน. ชี้ รัฐบาลมาร์ค ม. 7 ไม่มีสิทธิ์ยกเลิกเอ็มโอยูกับเขมร

ข่าวสด : เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีครม.มีมติให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจประเทศไทยและกัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อนว่า ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะไปยกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ เพราะปกติการทำร่างสัญญาเพื่อประโยชน์ใดๆ จะต้องมีการตกลงเงื่อนไขกันว่า ถ้าอีกฝ่ายทำผิดเงื่อนไขที่ตกลงกัน อีกฝ่ายจึงจะสามารถยกเลิกได้ ดังนั้นการที่รัฐบาลดำเนินการในตอนนี้เหมือนเป็นการยกเลิกฝ่ายเดียว

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการตั้งข้องสังเกตว่าหนังสือบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะถือเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่จะเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ และจะให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดได้หรือไม่นั้น กรณีที่เกิดขึ้นไม่มีความขัดแย้งในข้อกฎหมาย จึงไม่น่าเป็นเหตุที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาสู่ศาลได้

เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลจะขอหารือและขอคำปรึกษาจากศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า เราไม่ใช่ที่ปรึกษาของใคร คงไม่รับตีความให้ใครพร่ำเพรื่อ อีกทั้งการตีความต้องมีขั้นตอน

ก้าวย่างอันยิ่งใหญ่ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์

รถยนต์ตรวจการณ์สีขาว เปิดไฟวับวาบบนหลังคา แล่นนำหน้านกเหล็กสีเงิน อ้อยอิ่งมาตามลานสนามบินอย่างสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสายตาฝูงชน ที่เฝ้ามองผ่านสื่ออย่างใจจดใจจ่อ ด้วยภารกิจที่ไม่ธรรมดา ทำให้ยานบินส่วนตัวลำกระทัดรัด ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะมันทำหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นภารกิจที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ตราบนานเท่านาน

ประตูเปิดออกเมื่อยานจอดสนิท พลันร่างของบุรุษหนึ่งก็ปรากฎขึ้นอย่างโดดเด่น ภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า สวมทับด้วยชุดสูทสีดำ แต่งแต้มด้วยเน็คไทด์ลายดอกสีแดง ท่วงท่าทระนงองอาจ ราวกับพญาราชสีห์ ที่เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ

นั่นคือการปรากฎตัวอย่างเป็นทางการ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์ ผู้เรืองนามขจรขจายไปทั้งสิบทิศว่า ทักษิณ ชินวัตร

ค้อมร่างลงเล็กน้อย สองมือยกขึ้นจบกันอย่างนอบน้อม สองเท้าก้าวเข้าหาแขกเหรื่อที่มารอต้อนรับอย่างสมเกียรติ ท่วงทีกริยาสุภาพเรียบร้อย ดูไปไม่ผิดกับเสือซ่อนเล็บ ราศีผู้นำเจิดจ้าเกินกว่าที่จะเรียกว่านักโทษ ซึ่งเป็นสมญาที่หมู่มารพยายามจะยัดเยียดให้เป็น

โดยไม่ยอมรับรู้ความจริงที่ว่า แม้จะเป็นนักโทษของอำมาตย์ แต่เขาคือพระเอกที่ครองใจประชาชน

ในรถลีมูซีนสีดำคันโก้ ขนาบหน้าหลังด้วยรถคุ้มกันที่ไว้ใจได้ ปิดท้ายด้วยรถติดตามอีกยาวเหยียด นั่นคือขบวนเกียรติยศที่จะนำแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ ไปส่งยังบ้านพักรับรอง ที่จัดไว้เป็นพิเศษ ภายใต้การอารักขาอย่างเข้มแข็ง ที่ไม่มีช่องว่างให้แก่ความผิดพลาด แม้เพียงเท่ารูเข็ม

วินาทีนั้น หากมีแมลงวันสักตัว บินโฉบเข้ามาในรัศมีทำการ ร่างของมันคงต้องแหลกลาญ สลายลงในพริบตา

คฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬาร ยังดูด้อยไปถนัด เมื่อต้องทำหน้าที่ต้อนรับ อาคันตุกะผู้ยิ่งใหญ่ ที่เป็นยิ่งกว่าแขกพิเศษของรัฐบาล จนแม้แต่ท่านผู้นำแห่งกำปูเจีย ยังต้องให้เกียรติอย่างสูง ด้วยการนำพาครอบครัวอันอุ่น เข้ามาต้อนรับถึงที่พำนัก อันเป็นความรู้สึกที่ คนผู้ไม่มีครอบครัวไม่อาจสัมผัสได้

มหาบุรุษต่างอาณาจักร โผเข้าสวมกอดกัน ราวกับพี่น้องที่เหินห่างกันไปนาน ต่างแลกเปลี่ยนความอบอุ่นให้แก่กันและกัน อันเป็นสัญญาณว่าอาณาจักรทั้งสอง จะปรองดองเป็นหนึ่งเดียวไปชั่วนิรันดร์

เพื่อนก็คือเพื่อน เพียงแค่ได้พบกันก็สุขใจเกินพอแล้ว ไม่มีพิธีรีตองให้รุ่มร่าม ไม่มีของฝากติดไม้ติดมือให้ยุ่งยาก นอกจากสองมือที่อบอุ่น กับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ถ้าจะประเมินค่าของฝากที่บรรจุมาในสมองแล้ว มันยิ่งกว่าเศียรเทวรูป ที่เคยมีโจรนำมาจิ้มก้อง ชนิดเทียบกันไม่ติด

เมื่อสองมหาบุรษมาประสานกัน อุปสรรคขนาดไหนถึงจะขวางกั้นได้ การนำพาประชาราษฎร์ โต้คลื่นไปบนกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ นับเป็นความท้าทายสำหรับผู้มองการณ์ไกล แต่เป็นความเสียวสยองของระบอบโบราณ ที่เกาะกินประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

ในขณะที่อาณาจักรโบราณอย่างกำปูเจีย กำลังจะก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่อาณาจักรที่ก้าวหน้าอย่างสยามประเทศ กลับถูกฉุดรั้งให้ถอยกลับไปในสมัยโบราณ โดยเครือข่ายอำมาตย์อันล้าหลัง ที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ภายใต้สภาวะแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยประชาชนหัวก้าวหน้า

ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น มันคือความขมขื่นของปวงชนชาวไทย ที่ไม่อาจรักษาบุคคลากรอันล้ำค่าไว้ ให้อยู่ช่วยสร้างบ้านแปลงเมือง

น้ำตานั้นเอ่อท้นจนพาลจะไหลออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นแก้วมณีที่เคยครอง ต้องตกไปอยู่ในมือของเพื่อนบ้าน ที่เขาเล็งเห็นคุณค่า จนนำขึ้นประดับคอออกเดินเฉิดฉาย โดยเจ้าของที่แท้จริงได้แต่แอบมองด้วยความอิจฉา ที่ไม่อาจรักษาดวงแก้ว ที่โจรครองเมือง มันบีบบังคับให้ทำลายทิ้ง

เมื่อบุญมา แต่วาสนายังไม่ถึง จึงทำได้แค่ลิ้มรสความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว นอกเหนือกว่านั้น คงต้องฝากประชาชนชาวเขมร ให้ช่วยดูแลรักษาไว้ให้จงดี ระหว่างนี้จะนำไปใช้ประโยชน์ก็ไม่ว่ากัน เพียงขอให้ส่งคืนในสภาพเดิม หลังจากที่ชาวไทยเผด็จศึกอำมาตย์แล้ว

เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง สว่างไสวไปทุกหย่อมหญ้า วิสัยทัศน์ของประชาชน ก็เปล่งประกายเจิดจ้า มองทะลุไปถึงก้นบึ้งแห่งมนต์ดำ มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีใครลังเลที่จะบุกบั่นไปทวงสิทธิ์ เพื่อชีวิตข้างหน้าที่ดีกว่า แม้ภูเขาจะขวางหน้า แม้ขอบฟ้าจะขวางกั้น ประชาชนจะฟันฝ่า เพื่อตามหาศิลามณี

ในเมื่อเจ้าของก็สุดจะหวงแหน และมณีล้ำค่าก็ผูกพันกับเจ้าของ มีหรือที่ทั้งคู่จะไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกัน ในที่สุด

แม้ว่าวันนี้จะยังดูมืดมน แต่ในเมื่อข้างหน้ายังเห็นแสงสว่าง ย่อมแสดงว่าความหวังยังรออยู่ แม้จะอ่อนล้าเพียงใด แต่ถ้าใจยังไม่สิ้นหวัง สังขารคงต้องตะเกียกตะกายไปให้ถึงฝั่งจนได้ ถ้าอัดอั้นตันใจนัก ก็แค่ร้องในใจให้ดังๆว่า...

เมื่อฟ้าส่งเขามา ซับน้ำตาให้ปวงชน ใยนรกต้องส่งจอมมาร มาตามล่าล้างผลาญเล่า

วโรทาห์:

อ่านเต็มๆ คำสัมภาษณ์ของฮุนเซน และการตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย


ที่มา:ประชาไท

ฮุน เซน ประกาศกร้าว “นี่คือปัญหาระหว่างผมกับอภิสิทธิ์” วิพากษ์นายกฯ ไทยตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเองและทำอะไรไม่คิดถึงประโยชน์ชาติ ขู่หากไทยปิดพรมแดน กัมพูชาจะปิดการค้ากับไทย แม้แต่หมูตัวเดียวก็จะไม่ให้เข้าไปขาย ด้านเลขานุการรมต.ต่างประเทศของไทยโต้คำสัมภาษณ์ฮุนเซนถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอีกครั้ง

สรุปเนื้อหาสำคัญในเบื้องต้นของการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของนายกรัฐมนตรี กัมพูชา ที่ห้องรับรองพิเศษท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญ ภายหลังจากเดินทางกลับถึงกัมพูชา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา 16.15 น.


“หากไทยสั่งปิดพรมแดนเมื่อใดก็อย่าห้ามเฉพาะคนที่ประสงค์จะข้ามแดน เพราะกัมพูชาก็จะปิดเช่นกันและปิดทางด้านเศรษฐกิจด้วย สั่งห้ามสินค้าไทยทั้งหมดข้ามแดนเข้ามายังตลาดกัมพูชา แม้แต่หมูเพียงตัวเดียวก็จะไม่ให้ข้ามเข้ามา”

เรื่องที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชานี้เป็นปัญหาระหว่างผมกับนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยในปัจจุบันโดยแท้ ก่อนที่จะพูดขอให้ศึกษาหาความรู้ให้มากกว่านี้เพราะตอนที่ผมเริ่มทำงานการ เมืองนั้นนายกรัฐมนตรีไทยยังเป็นเพียงเด็กวิ่งเล่นอยู่เลย

ตามที่ฝ่ายไทยออกข่าวว่าจะกดดันกัมพูชาด้วยการปิดพรมแดนนั้น “อยากปิดก็ขอให้ปิดไปเลยกัมพูชาก็จะ “เดินตามหลังประเทศไทย” (ทำตามประเทศไทยเพื่อโต้ตอบ) หากไทยสั่งปิดพรมแดนเมื่อใดก็อย่าห้ามเฉพาะคนที่ประสงค์จะข้ามแดน เพราะกัมพูชาก็จะปิดเช่นกันและปิดทางด้านเศรษฐกิจด้วย สั่งห้ามสินค้าไทยทั้งหมดข้ามแดนเข้ามายังตลาดกัมพูชา แม้แต่หมูเพียงตัวเดียวก็จะไม่ให้ข้ามเข้ามา สินค้าต่างๆ ทั้งหลายของไทย กัมพูชาสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้ทั้งหมด ขอยกข้อมูลการค้าไทย-กัมพูชา ปี ค.ศ. 2008 มาเป็นตัวอย่าง ไทยส่งสินค้ามาขายกัมพูชา ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กัมพูชาส่งออกไปไทยแค่ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่อย่างไรก็ดี ก็ขอเห็นด้วยกับการที่นายกรัฐมนตรีไทยได้บอกว่ามาตรการต่าง ๆ จะมิให้มีผลกระทบต่อประชาชนสองประเทศเพราะผมเองก็ไม่อยากกระทำเช่นนั้น [ปิดด่านให้เกิดผลกระทบ] ไม่สอดคล้องกับแนวทางความร่วมมือต่อกันตามกรอบอาเซียน ผมไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ผู้นำฝ่ายไทยก็ขู่ผมเสียเหลือเกิน ผมจึงขอสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่กัมพูชาทั้งหมดว่าเรื่องนี้ [การปิดด่านตอบโต้ไทยและระงับการนำเข้าสินค้าของไทย] ให้เตรียมการไว้ได้เลย


“ทักษิณไปมาแล้วทั่วโลกไม่เห็นทำอะไร ไปศรีลังกาล่าสุดก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แต่พอบอกว่าจะมากัมพูชาก็หาเรื่องกัมพูชา”

เรื่องการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทยมาเป็นที่ปรึกษานั้น ผมขอประกาศชัดๆ ให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ มาหาเรื่องกัมพูชา เรื่องนี้ขอให้คิดดีๆ ว่าฮุนเซน หรือ อภิสิทธิ์ผิด และผมจะไม่มีวันถอยอยู่แล้ว กัมพูชาเคยแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างประเทศมาหลายคนแล้ว ทั้งชาวเกาหลีและชาวออสเตรเลีย หากทักษิณมาพำนัก อยู่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไทยจะกลัวอะไรกันนักกันหนา ทักษิณไปมาแล้วทั่วโลกไม่เห็นทำอะไร ไปศรีลังกาล่าสุดก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แต่พอบอกว่าจะมากัมพูชาก็หาเรื่องกัมพูชา ผมได้อธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่การประชุมที่หัวหินเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 แล้ว ผมอดทนอดกลั้นเงียบมาตลอด แต่นายกรัฐมนตรีไทยและประเทศไทยต่อว่าต่อขานผมอยู่ข้างเดียวเรื่องการยกเลิก บันทึกความเข้าใจ (MOU) [ว่าด้วย OCA] นี่ก็เป็นนายอภิสิทธิ์นี่หล่ะ ที่เอาผลประโยชน์ร่วมของประเทศทั้งสองฝ่ายมาทำให้เกิดความเสียหาย

เรื่องแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่อภิสิทธิ์อ้างว่าอยู่เฉยไม่ได้เพราะดูหมิ่นศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของ ไทย ผมจะบอกให้ว่าจริงๆ แล้วปฏิกิริยาของคนไทยที่แท้จริงเป็นอย่างไร คือพวกเสื้อแดงสนับสนุนการแต่งตั้ง พวกเสื้อเหลืองโกรธและประท้วงคัดค้าน และยังมีกลุ่มที่สบายใจโดยอยู่เฉยๆ เงียบๆ อีกด้วยต่างหาก พวกนี้เขารู้ว่า รัฐบาลฮุนเซน เป็นรัฐบาลที่ดี และสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีก็ทำให้เขาสบายใจ มีเงินใช้ ยิ่งนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ฯ ดำเนินการกดดันเราแรงแค่ไหนก็จะได้รับผลสะท้อนกลับไปแรงเท่านั้น


“อภิสิทธิ์ ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเอง เพราะเมื่อทักษิณเปิดตัวเข้ามา อภิสิทธิ์ก็กระโดดออกมาตอบโต้โดยไม่คิดอะไรเลยและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของ ชาติเลย”

การที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เตือนให้นายกรัฐมนตรีฮุนเซนอย่าเป็นเบี้ยในหมากเกม ของทักษิณนั้น เราไม่ได้เป็นเครื่องมือของใคร อยากรู้นักว่าใครเป็นเบี้ยของใครกันแน่ อภิสิทธิ์ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเอง เพราะเมื่อทักษิณเปิดตัวเข้ามา อภิสิทธิ์ก็กระโดดออกมาตอบโต้โดยไม่คิดอะไรเลยและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของ ชาติเลย แถลงมาจากโตเกียวเรื่องการยกเลิก MOU ก็ ขอให้คนไทยคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าสมบัติของรัฐ แต่กลับยกเอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเหตุเลิกความร่วมมือ คนไทยยอมรับได้ไหม คนอย่างนี้จะเอามาเป็นผู้นำอาเซียนได้ไหม เพราะว่าในปี ค.ศ. 2015 อาเซียนจะร่วมกันหลายด้าน เปิดพรมแดนให้เดินทางไปมาหาสู่ร่วมกัน ใช้เงินสกุลเดียวกัน แต่ไทยเองกลับมารุกรานกัมพูชากันอยู่เห็นๆ ยกกำลังเข้ามายึดดินแดนกัมพูชาสมัยนครวัดนั้นประเทศไทยอยู่ที่ไหนกัน อ้างว่า กัมพูชามายึดครองบุกรุกดินแดนไทยนั้น กัมพูชาจะไปยึดดินแดนไทยได้อย่างไร ศึกษาประวัติศาสตร์เสียให้ดีว่าใครรุกรานใครกันแน่

ทักษิณไม่ได้เป็นเครื่องมือให้เราแต่ผมต้องการเอาประสบการณ์ของ “ท่านทักษิณ” มาช่วยงานด้านเศรษฐกิจของกัมพูชา ผมจึงถือโอกาสนี้ร้องขอให้พี่น้องเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเสียสละอนุญาตให้ผมนำ ”ท่านทักษิณ” มาช่วยกัมพูชาในเรื่องเศรษฐกิจบ้างด้วยแล้วกัน

ตามที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน มีคำแถลงว่าขอให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ผมก็เห็นด้วย แต่ดูเหมือนว่าข้อเสนอของเลขาธิการอาเซียน จะไม่สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลไทย ความจริง กัมพูชาพร้อมที่จะเจรจาอย่างไรเมื่อไรก็ได้ ไม่ว่าทวิภาคีหรือพหุภาคี แต่ก็เหมือนว่าฝ่ายไทยได้ปฏิเสธเสียแล้ว แต่ท่าน สุรินทร์ต้องฟังให้เข้าใจด้วย ขอให้เลขาธิการอาเซียนพิจารณาแก้ปัญหาเหล่านี้ในลักษณะเบ็ดเสร็จในคราวเดียว และแก้ทั้งหมด ทั้งเรื่องของทักษิณ / เรื่องการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 / เรื่องการรุกรานดินแดนของกัมพูชา / การที่กัมพูชาตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา จะใช้กลไกอะไรกัมพูชาก็พร้อม ทั้งทวิและพหุภาคี เรื่องนี้ที่จริงอยากยกขึ้นพูดที่หัวหินเหมือนกันแต่ก็อดกลั้นไว้ ถือว่าตนได้ไว้หน้าประเทศไทยและนายอภิสิทธิ์แล้ว การแก้เรื่องนี้ต้องแก้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทักษิณก็ต้องไล่แก้ตั้งแต่ทักษิณมาเลย ตั้งแต่เรื่องการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549 “ถ้า อภิสิทธิ์ เก่งจริงก็ขอให้เลือกตั้งใหม่สิ ท่านกลัวอะไรหรือ หรือว่ากลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือว่ากลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง”

ผมเองเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของสภากัมพูชา แล้ว “ท่านอภิสิทธิ์” ได้รับเท่าไหร่กันหรือ ขโมยเก้าอี้เขามานั่ง ขโมยของๆ คนอื่นมาเป็นของตัวเองจะให้เคารพได้อย่างไร

อภิสิทธิ์มีปัญหาท่วมตัวอยู่แล้ว อาจตายได้ มี ปัญหากับเพื่อนบ้านทั้งหมด ทั้งลาว กัมพูชา มาเลเซียและพม่า นอกจากนั้น ยังมีปัญหาภาคใต้ไทย ปัญหาเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เสื้อขาว เพื่อไทย เสื้อเหลืองเองก็ยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียด้วยซ้ำ กัมพูชาจะต้องเคารพอะไรไทยหรือ การแต่งตั้งทักษิณเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับไทย ผมเคยบอกอภิสิทธิ์ในการพบกันแล้วว่าทักษิณเป็นเพื่อนของผม เพื่อนไม่สามารถหักหลังเพื่อนได้ ไม่สามารถโยนเพื่อนให้เสือกินได้หรอก ดังนั้น อยากฉีกอะไรทิ้งก็ฉีกไปเลย อยากปิดอะไรก็ปิดไปเถิด เพราะถ้าเปิดคงจะไม่สะดวกแล้ว เห็นทีต้องถอนกำลังทหาร 911 (หน่วยรบพิเศษ) ของกัมพูชาออกภายในหนึ่งสัปดาห์ดีกว่า เพราะว่าใช้กำลังเพียงนิดๆ หน่อยก็พอ [ที่จะสู้กับไทย] แล้ว

กรณีมีข่าวลือว่าทักษิณเข้ามาในกัมพูชาแล้วหลายครั้งนั้น ผมก็ขอปฏิเสธชัดๆ อีก และเห็นว่าข้อมูลข่าวกรองของท่านที่ได้มานั้นผิดพลาด เป็นการแสดงถึงความอ่อนด้อยของการข่าว ทั้งเรื่องการที่ลือว่าเข้ามาเกาะกง รวมทั้งตอนที่ รองนายกรัฐมนตรีสุเทพฯ มากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อพบผมที่อำเภอตาเขมา รองนายกรัฐมนตรีสุเทพฯ ของไทยได้ขอว่า ให้ช่วยจับทักษิณส่งตัวไปประเทศไทยได้หรือไม่ เรื่องนี้ผมทำไม่ได้หรอก ถ้าผมทำเช่นนั้นก็ถือเป็น “กบฏต่อมิตร” และเรื่องการร้องขอให้จับตัวทักษิณส่งไปและข้อหาความผิดที่กล่าวโทษต่อทักษิณเป็นกรณีเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งนั้น

เห็นพูดกันนักว่าทักษิณมาอยู่ในกัมพูชา ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่เคยมา แต่ตอนนี้ขอประกาศชัดๆ เลยว่าจะเชิญมาปาฐกถาเรื่องเศรษฐกิจให้ข้าราชการและนักธุรกิจระดับสูงของ กัมพูชาจำนวนประมาณ 300 คน ได้รับฟัง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ช่วง 8 โมงเช้า ที่กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา

ขอประกาศชัดๆ ให้คนกัมพูชาทุกคนทราบว่า ทักษิณ ชวลิต สมชาย คนเหล่านี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีไทยทั้งนั้น และเป็นเพื่อนของฮุน เซนแห่งกัมพูชา จึงขอให้ทุกคนช่วยอำนวยความสะดวกแก่บุคคลเหล่านี้ และขอร้องให้พี่น้อง ประชาชน-ตำรวจ-ทหารไทย ทราบว่าคนที่คุณๆ ทั้งหลายต่อว่าอยู่นั้นเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งนั้น ผมเคารพ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผมจึงช่วยเขา มีแต่อภิสิทธิ์เท่านั้นที่จงเกลียดจงชังคนเหล่านั้น เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างผมกับอภิสิทธิ์

สมัยก่อนนั้นไทยเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา ลงนามในสัญญาที่ปารีสเมื่อปี ค.ศ.1989 แต่ไทยก็ยังสนับสนุนให้เขมรแดงทำการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย แล้วให้พวกเขมรแดงไปอยู่ประเทศไทย ไทยให้อยู่ในดินแดนไทยได้อย่างไร เรายังไม่ทำเช่นนั้นเลย ถ้าทักษิณตั้งกองกำลังอยู่ในดินแดนกัมพูชาจะว่าอย่างไรบ้างล่ะ เราจะไม่ทำเช่นนั้นหรอกแค่ให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเท่านั้น และเราจะไม่หยุดเช่นกัน ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด



“ไทยไม่เพียงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยซ้ำไป ลงนามไม่สนับสนุนเขมรแดง ลงนามสันติภาพ แต่ก็ยังละเมิดหลายอย่าง ขอให้คนไทยดูไว้กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่เคารพเลย”

เรื่องที่กล่าวว่า กัมพูชาไม่เคารพระบบการศาลของไทยนั้น “เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยนั้นไม่ได้มีคุณค่าอะไรนักหนาที่ควรแก่การให้ความเคารพเลย” สมัยก่อนนั้นนายเขียว สัมพัน นายนวน เจีย ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกัมพูชา ก็อยู่ในประเทศไทยทั้งนั้น อยู่ในประเทศไทยก่อนถูกจับตัวในกัมพูชา ถือว่าไทยไม่เพียงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยซ้ำไป ลงนามไม่สนับสนุนเขมรแดง ลงนามสันติภาพ แต่ก็ยังละเมิดหลายอย่าง ขอให้คนไทยดูไว้กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่เคารพเลย จะให้เราเคารพกฎหมายไทยได้อย่างไร

เรื่องปัญหาปราสาทพระวิหาร ได้เคยหารือทวิภาคีกับอภิสิทธ์แล้วถึง 3 ครั้ง ทั้งที่หัวหิน พัทยาและที่กรุงพนมเปญ เคยหารือและเห็นร่วมกันว่า จะเจรจาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคี แต่พอกลับไปแล้ว ทำเสมือน “ลงนามด้วยมือ ลบด้วยเท้า” ขอยกเลิกการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ไทยส่งคณะผู้แทนไปที่สเปนเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนฯในการประชุมที่เมืองเซบีย่าแล้ว “ยังมีหน้า” มาบอกว่าไม่เกี่ยวกับกัมพูชา แต่เป็นเรื่องระหว่างไทยกับยูเนสโก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง ‘จริต’ ที่แท้จริงของ นายกรัฐมนตรีไทย และเป็นเสมือนการดูหมิ่นเหยียดหยามว่า กัมพูชาโง่อย่างแท้จริง

ที่เคยเป็นข่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ได้เสนอให้ตั้งองค์กรทางด้านกฎหมายของอาเซียนเพื่อมาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง [เรื่องปราสาทฯ] พอรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาทำหนังสือ เสนอว่าจะยกเรื่องนี้ขึ้นในอาเซียน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยก็ไม่เห็นด้วยและอ้างว่าสื่อมวลชน ลงข่าวคลาดเคลื่อน และหนังสือพิมพ์ไทยก็ไม่มีการแก้ข่าว ผมได้อดทนอย่างมากที่ไม่ยกปัญหานี้ขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนล่าสุดที่ ผ่านมาเพราะไม่อยากให้การประชุมอาเซียนล้มเหลว ถือได้ว่าผมไว้หน้าฝ่ายไทย

ประเทศไทยเอาปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวประกัน [เครื่องมือ] ในการโค่นล้มรัฐบาลตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร ตลอดจนพยายามเอาผิดกับ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นพดลฯ ฝ่ายไทยดีแต่พูดว่าเรื่องการร่วมมือแก้ไขปัญหาปราสาทฯ นั้นต้องผ่านการพิจารณาให้การรับรองของสภาเสียก่อน อ้างอยู่นั่นแล้ว ในเรื่องนี้นั้นเมื่อครั้งที่ ประธานรัฐสภาชัย ชิดชอบ เยือนกัมพูชา ผมได้สอบถามความคืบหน้าและขอให้ ประธานรัฐสภาชัย ชิดชอบ ช่วยแก้ปัญหาด้วย ซึ่งได้รับคำตอบว่าเรื่องนี้ผ่านรัฐสภาไทยไปแล้ว ไทยหยิบยกปัญหาปราสาทฯ มาใช้เป็นเกมการเมืองเตะถ่วงการแก้ปัญหา


อ่านฮุน เซนว่าอย่างไรไปแล้ว มาดูท่าทีทางการไทยตอบโต้ โดยเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตอบคำถามผู้สื่อข่าว เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์พาดพิงไทยของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน


เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบ คำถามผู้สื่อข่าว กรณีสมเด็จอัครคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2552 พาดพิงประเทศไทยและรัฐบาลไทย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้


1. การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองภายในของไทยและกระบวนการยุติธรรมของไทย
ความเห็นของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งต่อการเมืองภายในประเทศไทย และต่อกระบวนการยุติธรรมไทยและศาลไทย เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างชัดแจ้งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตามแนวปฏิบัติของนานาอารยประเทศเป็นสิ่งที่ผู้นำรัฐบาลไม่ควรปฏิบัติต่อ มิตรประเทศ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เข้ารับตำแหน่งตามกระบวนการทางรัฐสภาของไทย ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรมของไทยก็มีมาตรฐาน ฝ่ายตุลาการได้ดำเนินการพิจารณาอรรถคดีไปตามตัวบทกฎหมายและโดยมีอิสระและมี ความเป็นวิชาชีพ เป็นกระบวนการที่แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเองก็เคยให้ความเชื่อถือและเข้าร่วมกระบวนการมาก่อน จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าตนจะแพ้คดีจึงได้หนีไปต่างประเทศ ในแง่อุดมคติประชาธิปไตย สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงระยะเวลาการเรียนรู้เพื่อผ่านไปสู่ความเป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ในระหว่างกระบวนการพัฒนาทางการเมืองนี้ อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องภายในของไทยเองที่ประชาชนไทยเองจะต้องเป็นผู้ร่วมกันแก้ไข ปัญหา มิใช่เรื่องที่ผู้นำรัฐบาลต่างประเทศจะเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ นักวิชาการหรือผู้ศึกษาทางรัฐศาสตร์อาจจะสนใจศึกษาหรืออภิปรายในเชิงวิชาการ ได้ว่า ระบบการเมืองของกัมพูชามีเสรีภาพหรือประชาธิปไตยเพียงใด ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ขอวิจารณ์ในเรื่องนี้


2. ความชอบธรรมในการแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ
แม้ว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะอ้างว่าฝ่ายกัมพูชามีความชอบธรรมในการตัดสินใจแต่ง ตั้งดังกล่าว แต่ฝ่ายไทยก็ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การที่ฝ่ายกัมพูชาได้แต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นั้น เป็นการกระทำที่กระทบความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ เนื่องจาก พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นนักโทษคดีอาญาตามคำพิพากษาของศาลไทยที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี ในขณะเดียวกันก็ยังมีบทบาททางการเมืองและเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายและ เหตุการณ์รุนแรงในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างชัดเจน และเป็นการนำผลประโยชน์ส่วนบุคคลขึ้นมาอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาน่าจะเข้าใจได้ดีเพราะฝ่ายไทยได้ อธิบายและสื่อสารไปหลายครั้งแล้ว แต่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็ยังยืนยันที่จะไม่ยอมเข้าใจ


3. ข้ออ้างเรื่องการ “ปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา” และผลกระทบทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ประเทศไทยและรัฐบาลไทยมิได้เป็นผู้เริ่มต้นก่อน แต่การกระทำของฝ่ายกัมพูชาได้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องแสดงท่าทีเพื่อให้ฝ่ายกัมพูชารับทราบความไม่พอใจของฝ่าย ไทย รวมทั้งเป็นการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของไทย ของกระบวนการยุติธรรมของไทย และรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนไทยด้วย อนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นการดำเนินการระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยจะหลีกเลี่ยงการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ

สำหรับข่าวลือเรื่อง “ไทยจะปิดพรมแดน” ก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันแล้วว่า ในชั้นนี้จะยังไม่มีการพิจารณาปิดพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้นประชาชนของทั้งสองฝ่ายจึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลต่อผลกระทบทาง เศรษฐกิจ แม้เหตุการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร รัฐบาลไทยก็จะกระทำทุกวิถีทางที่จะบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งแม้แต่ในคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเอง ก็ได้แสดงความเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวว่า ไม่ควรให้กระทบประชาชนทั้งสองฝ่าย ดังนั้นหากต่อไปในอนาคต ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินมาตรการใดที่จะส่งผลกระทบหรือก่อความเดือดร้อนต่อ พี่น้องประชาชนกัมพูชา รวมถึงผู้บริโภคและนักธุรกิจในกัมพูชาเอง โดยเฉพาะบริเวณชายแดน ก็ควรมีการใคร่ครวญอย่างรอบคอบเองด้วย

ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน จากการที่สภาพความสัมพันธ์ทวิภาคีเสื่อมลงนั้น แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย แต่ก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเกินไปว่า ในที่สุดแล้วฝ่ายไทยจะสูญเสียมากกว่า เมื่อประเมินจากขนาดทางเศรษฐกิจ ศักยภาพทางธุรกิจ และตลาดการค้าและธุรกรรมระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลเชื่อว่าประเทศไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีอยู่มาก การสูญเสียทางเศรษฐกิจหากจะเกิดขึ้นกับฝ่ายใดก็ตาม ไม่ได้เป็นความประสงค์ของรัฐบาลไทย ก็ต้องกลับไปดูว่า ปัญหาในขณะนี้มาจากฝ่ายใด เมื่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเริ่มต้นสร้างปัญหาเอง ก็ควรพิจารณาแก้ปัญหาเอง หรือมิฉะนั้นก็รับผลที่ติดตามมาจากการกระทำของตนเอง


4. การยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน
ขอ ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อพิจารณาถึงที่มาของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีป ทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งจัดทำในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณฯ ดังนั้น การที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจ ฉบับนี้ เนื่องจาก พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลักดันให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นจัดทำ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ และรับรู้ท่าทีในการเจรจาตลอดจนข้อมูลของทรัพยากรและผลประโยชน์ที่จะได้รับ ของฝ่ายไทย ด้วยเหตุข้างต้นรัฐบาลไทยจึงไม่อาจดำเนินการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาบนพื้นฐาน ของบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวต่อไปได้


5. ความผิดของ พ.ต.ท. ทักษิณฯ กับการปฏิบัติตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
การระบุว่าเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อปี 2549 นำมาซึ่งการดำเนินคดีต่างๆ ต่อ พ.ต.ท. ทักษิณฯ แล้วนำมาเป็นข้ออ้างว่าคดีที่ พ.ต.ท. ทักษิณฯ ถูกตัดสินให้มีความผิดเป็นคดีที่มีที่มาจากเหตุผลทางการเมือง เป็นการกล่าวอ้างที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง คดีที่ดินรัชดาฯ และคดีอาญาอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย แม้จะเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ปฏิวัติแต่มิได้เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการปฏิวัติ หรือองค์กรที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติตามกล่าวอ้าง อาทิ คดีที่ดินรัชดาฯ ที่ได้มีการตัดสินไปแล้ว มีอัยการสูงสุดเป็นผู้ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง ซึ่งทั้งอัยการและศาลต่างก็เป็นองค์กรอิสระที่ไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับการปฏิวัติ ดังจะเห็นได้จากการที่ศาลได้พิจารณาคดีและมีคำพิพากษาตัดสินในช่วงรัฐบาล ของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช และอดีตนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นผู้มีความใกล้ชิดและสนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณฯ

นอกจากที่มาและการดำเนินการต่างๆ ของคดีดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติหรือเหตุผลทางการเมืองใดๆ แล้ว ในตัวคดีเองก็เป็นคดีทุจริตซึ่งเป็นคดีอาญา โดยเป็นการกระทำผิดมาตรา 100 (1) วรรค 3 และมาตรา 122 วรรค 1 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรส มีส่วนได้รับผลประโยชน์ในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น


6. การแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหารและข้อพิพาทเขตแดนทางบก
แนวนโยบายของรัฐบาลไทยเพื่อการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดนทางบกไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไทยยึดหลักการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและการเจรจาตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ มาโดยตลอด และการดำเนินการใดๆ ของไทยก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญของไทย สำหรับกรณีความเห็นของประธานรัฐสภาตามที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอ้าง เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของบันทึกการประชุม JBC และกรอบการเจรจาที่เกี่ยวข้องนั้น ฝ่ายไทยได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 แล้วว่า เป็นความเข้าใจผิดในสาระข้อเท็จจริง โดยปัจจุบันบันทึกผลการประชุม JBC ยัง ไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบของรัฐสภา และรัฐบาลต้องเสนอเรื่องให้รัฐสภาพิจารณาก่อนจะดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อบังคับของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

ฮุนเซนเปิดบ้านเลี้ยงทักษิณ



ข่าวสด : เอพีรายงานว่า เมื่อ 10 พ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยเดินทางถึงกัมพูชาแล้ว จากการให้สัมภาษณ์ของนายเขียว กันหะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชา พ.ต.ท.ทักษิณโดยสารเครื่องบินส่วนตัวมาลงที่สนามบินทหารในกรุงพนมเปญ โดยทีวีกัมพูชาถ่ายทอดภาพนาทีที่เดินทางมาถึงด้วย ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดอย่างยิ่ง โดยมีหน่วยรักษาความปลอดภัยของนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาคุ้มกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางถึงกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความตอบแฟนคลับในเว็บ http://twitter.com/Thaksinlive มีข้อความสรุปว่า มาถึงกรุงพนมเปญแล้ว คิดถึงบ้านมาก เตรียมพบปะรับประทานอาหารกับครอบครัวของสมเด็จฮุนเซน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ คงไม่มีอะไรแย่กว่าที่เคยโดนมาแล้ว เพียงแต่อยากให้สื่อและทุกฝ่ายเป็นกลางและเป็นธรรม บ้านเมืองจะได้คืนสู่ภาวะปกติ อย่างน้อยตนเคยทำประโยชน์ให้สังคม ขอย้ำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ในใจตลอด และยืนยันว่าคืนนี้จะจัดรายการวิทยุตามปกติ

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ครม.อนุมัติให้มีการยกเลิกบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยู กับประเทศกัมพูชา ที่ทำไว้เมื่อปี 2544 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ส่วนการยกเลิกต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาหรือไม่นั้น นายกษิต กล่าวว่า เป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่าเข้าข่ายมตรา 190 หรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวเพียงว่า ครับ

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปถึงก็จะดำเนินการทำหนังสือขอตัวมาตามสนธิสัญญา ซึ่งทางหน่วยงานกำลังดำเนินการขอตัวอยู่

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไทม์ออนไลน์: ในโลกนี้มีอดีตผู้นำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงทรงอิทธิพลต่อประเทศของตัวเอง


ที่มา – Timesonline

แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

ลองศึกษาชีวิตของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร อดีตเจ้าของเดิมของทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ และอดีตมหาเศรษฐีอย่างคร่าวๆแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร และดูเฉื่อยชา

ตั้งแต่ทักษิณถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ เขาได้เดินทางไปทั่วโลกแสวงหาที่ลี้ภัย ก่อนที่จะเข้าไปพักพิงในนครดูไบ แหล่งอุดมสมบูรณ์ทางการเงิน และบ้านพักปลอดภาษีของเศรษฐี

ทักษิณหย่ากับภรรยา พำนักในวิลล่าขนาดเก้าห้องนอนร่วมกับผู้ช่วยทำงานบ้านสิบคน และจักรยานออกกำลังกาย เขาออกรอบตีกอล์ฟที่คลับมอนต์โกเมอรี่ข้างบ้าน และช้อปปิ้งในห้างขนาดมหึมาที่ดูไบ ทักษิณใช้เวลาที่เหลือนั่งวิปัสสนา ออกกำลังกาย และอัพเดทเว็บไซต์ของเขา และส่งทวิตเตอร์

ทักษิณต้อนรับแขกด้วยใบหน้าที่ที่ปัดด้วยแป้ง “ทำให้ผมดูหล่อขี้นกว่าตัวจริง” เขาพูดกับช่างภาพของไทม์ด้วยรอยยิ้ม

อย่าได้เข้าใจผิดกับภาพที่เห็นว่าทักษิณไม่ได้ทำอะไร แม้ตัวทักษิณจะอยู่ไกลจากประเทศไทย แต่เขายังคงเต็มไปความกระฉับกระเฉงและความมุ่งมั่นเหมือนเช่นเคย มีอดีตนายกรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ ที่จะยังคงมีอิทธิพลอย่างเต็มเปี่ยมในทางการเมืองของประเทศตัวเอง

ตามที่ทราบกันว่า “เสื้อแดง” คือผู้ให้การสนับสนุนเขา มีการชุมนุมครั้งละนับหมื่นๆคนเกือบแทบทุกอาทิตย์ในกรุงเทพ หลังจากทักษิณเริ่มการทวิตเตอร์ได้เพียงแค่สามเดือนมีผู้ติดตาม (Follow) เขาถึง ๔๑,๐๐๐ คน และมีผู้ร่วมลงรายชื่อยื่นฎีกาถึง ๓,๕๐๐,๐๐๐ คน เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษจากการต้องคดีที่ไม่ไปปรากฏตัวต่อศาลเพื่อรับข้อหาฉ้อราษฎร์ถึงสองปี พรุ่งนี้ทักษิณจะเดินทางไปเยือนกัมพูชาตามคำเชิญของสมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นการเยือนซึ่งจะสร้างความสั่นสะเทือนอย่างหนักให้กับวิกฤติทางการทูต ระหว่างสองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทักษิณเป็นปฏิทรรศน์(Paradox) ในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนไทยหลายคนทั้งเกลียดและกลัวเขา โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีการศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ฉวยโอกาสและเป็นเผด็จการ ย่ำยีสิทธิมนุษยชน สื่อ และองค์กรอิสระต่างๆเพื่อแสวงหาอำนาจ สำหรับประชาชนที่เหลือแล้วทักษิณ – และยังคงเป็น – ผู้นำแห่งประเทศไทยที่ได้รับความชื่นชมมากที่สุด ได้รับการเลือกตั้งซ้ำอีกครั้ง และถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารแบบมือเปล่าในที่สุด

หลังจากการเลือกตั้งโดยทั่วไป คนไทยยังคงลงคะแนนให้ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ และตัวแทนของทักษิณได้เข้ามามีอำนาจ ซึ่งต่อมาถูกบังคับให้ต้องหลุดจากอำนาจ ไม่ใช่จากการลงคะแนนเลือกตั้ง แต่จากคำวินิจฉัยอันน่าสงสัยของศาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทักษิณกล่าวว่า “ผมไม่สนใจว่าจะได้กลับมาเล่นการเมืองอีกหรือไม่” “แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงต้องการผม ผมก็ต้องกลับไป ผมไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้”

(เพิ่มเติม) รัฐสภาแขวนวาระบันทึกประชุม กมธ.เขตแดนร่วมไทย-เขมรประชุมต่อพรุ่งนี้


ประชุมร่วมรัฐสภาค้างพิจารณาวาระ 9 บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หลังมีสมาชิกรัฐสภาลุกขึ้นอภิปรายตอบโต้กันไปมาจนประธานในที่ประชุมตัดบทสั่งปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบและนัดประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม


ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้มีสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเพื่อไทยพยายามขอหารือถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดย นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการค้าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาทรุดหนัก ซึ่งหากมีการรบเกิดขึ้นจริงประชาชนจะเดือดร้อน เพราะกรณีการเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศหายไปแล้ว จึงอยากให้นำเรื่องนี้เข้าหารือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาวันนี้ด้วย ซึ่งประธานในที่ประชุมเห็นว่าควรจะแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าวในช่วงที่มีการพิจารณาวาระบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา จะเหมาะสมกว่า
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ชี้แจงว่า จากการไปตรวจการค้าทางชายแดนบริเวณ จ.สระแก้ว พบว่าสถานการณ์ยังเป็นปกติ ทั้งนี้ด้วยมาตรฐานการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่นุ่มนวลสุขุมรอบคอบในการตอบโต้กัมพูชาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของประเทศ รัฐบาลยืนยันว่านโยบายดังกล่าวเริ่มส่งผลกดดันให้กัมพูชามีท่าทีงอนง้อประเทศไทยแล้ว ซึ่งหอการค้าจังหวัดและพ่อค้าตามแนวชายแดนต่างเข้าใจและสนับสนุนว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ถูกต้องแล้ว รัฐบาลขอยืนยันว่า ศักดิ์ศรีของเราต้องรักษา และด้วยความรักชาติ จะไม่ให้ใครมาย่ำยี
จากนั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้มีการพิจารณาความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งยูเครน เกี่ยวกับกรอบการเจรจาการค้าพหุภาคภายใต้องค์การการค้าโลก และกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีของไทยภายใต้การเจรจาอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
อย่างไรก็ตาม หลังจากอภิปรายไปนานกว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้เห็นชอบความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลยูเครน, กรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก, กรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีของไทยภายใต้การเจรจาอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่ม,บันทึกการหารือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมเวียดนาม,
บันทึกความเข้าใจลับระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ, บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย, บันทึกความเข้าใจลับระหว่างรัฐบาลแก่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแก่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย และ พิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ
เมื่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาวาระเรื่องบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ เมืองเสียมราฐ วันที่ 10-12 พ.ย.51, บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพู ชา ครั้งที่ 4 ณ กรุงเทพฯ วันที่ 3-4 ก.พ.52 และบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6-7 เม.ย.52
ประเด็นสำคัญตามบันทึก คือ ให้ผลิตแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศตลอดแนวเขตแดน เพื่อช่วยสำรวจและจัดทำแนวเขตแดน และชุดสำรวจร่วมอาจเริ่มการสำรวจพื้นที่ตอน 5(หลักเขตแดนที่ 1-23)ตั้งแต่เดือน พ.ค.ปีนี้ และการจัดทำคำแนะนำการสำรวจพื้นที่ตอนที่ 6(หลักเขตแดนที่ 1-เขาสัตตะโสม) ซึ่งรวมบริเวณปราสาทพระวิหารด้วย และระหว่างรอการจัดทำข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารให้แล้วเสร็จ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เริ่มสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ตอนที่ 6 ทันทีที่ได้ข้อยุติเกี่ยวกับคำแนะนำสำหรับการสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อขอให้มีการประชุมลับ แต่ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ ส.ว.ต่างไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลประชุมเปิดประชุมตามปกติ ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลหลายคนกล่าวสนับสนุนให้ประชุมลับ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การนำบันทึกการประชุมดังกล่าวเข้ามาให้รัฐสภาเห็นชอบและต้องขอให้มีการประชุมลับไม่เหมือนกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะรัฐบาลต้องการขออนุมัติเรื่องดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อให้สามารถเจรจากับต่างประเทศได้ ซึ่งในภาวะสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ หากมีการอภิปรายและพาดพิงออกไปอาจจะมีการตีความผิดพลาด และเกิดปัญหาต่อการเจรจาตามกรอบดังกล่าวได้ แต่ถ้าสมาชิกพรรคฝ่ายค้านให้การยืนยันว่าจะอภิปรายเฉพาะในกรอบโดยไม่นำสถานการณ์ปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวข้อง รัฐบาลก็พร้อมจะมีการเปิดอภิปรายตามปกติ
หลังจากนั้นฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลได้ประท้วงกันไปมาจนเกิดความวุ่นวาย ประธานในที่ประชุมจึงสั่งพักประชุมแล้วเรียกวิป 3 ฝ่ายมาหารือ แต่หลังจากกลับมาประชุมอีกครั้ง ประธานวิปฝ่ายค้านขอให้รัฐบาลขอเปิดประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อฟังความเห็นในการบริหาร หรือ ส.ว.ควรเข้าชื่อ 1 ใน 3 ตามมาตรา 161 สอบถามรัฐบาล โดยรัฐสภาต้องใจกว้างอนุมัติให้พิจารณาเรื่องอื่นได้ในสมัยประชุมนิติบัญญัติ ส่วนเรื่องนี้รัฐบาลสามารถถอนเรื่องออกไปก่อนได้ เมื่อปัญหาคลี่คลายค่อยนำเข้ามาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ขัดข้องที่จะถอนเรื่องดังกล่าวออกไป
แต่เมื่อประธานในที่ประชุมให้ตรวจสอบองค์ประชุม ปรากฏว่ามีสมาชิกแสดงตนเพียง 298 คน ไม่ครบองค์ประชุมที่กึ่งหนึ่งจำนวน 312 คน จากสมาชิกรัฐสภา 624 คน ทำให้นายชัยเลื่อนให้นับองค์ประชุมใหม่ในวันที่ 10 พ.ย.และสั่งปิดประชุมทันทีเวลา 17.00 น. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่การประชุมร่วมรัฐสภาต้องยุติลงกลางคันเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบทำให้ไม่สามารถดำเนินการประชุมต่อไปได้

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ซวยแล้วมาร์ค กระแสคลั่งชาติ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น

หลังจากที่ทุ่มทุนสร้าง วางข่ายล้อมอวน ด้วยการร้องเพลงชาติรอมาเป็นนานสองนาน ในที่สุดก็มีปลาใหญ่เข้ามาฮุบเหยื่อเอาจนได้ เมื่อสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ประกาศอุ้มทักษิณ ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู โดยไม่มีการเกรงใจใคร

และแล้วมหกรรมคลั่งชาติที่จ่อคิวรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ ก็ได้เวลาโหมโรงอย่างเป็นทางการซะที

ทั้งโพลเอย สื่อเอย นักวิชาการขาโจ๋ กับนักธุรกิจขาประจำเอย ต่างออกมาประสานเสียงโบ๊ววว..โบ๊ววว..ระเบ็งเซ็งแซ่กันไปหมด เป้าหมายคือการปั่นหัวประชาชน ให้หันมามีเรื่องกับเขมร เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวด จากพิษเศรษฐกิจ ภายใต้ฝีเท้าการบริหารประเทศของมาร์ค พร้อมกับกวาดล้างทักษิณและเสื้อแดงไปในตัว

ก็ขนาดเจ็บกันเจียนตาย สื่อยังช่วยกันแหลออกมาได้ ว่าภาคธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบ จากการเรียกทูตกลับจากพนมเปญ แต่วงในเขารู้ว่า กำลังนั่งจับไข่สั่นอยู่ที่กัมพูชากันเป็นแถว มีแต่น้ำตาลมิตรผล ที่หาญกล้าออกมาแฉกันตรงๆว่า ไปปลูกอ้อยรอไว้แล้วจมหู กำลังจะสร้างโรงงานอยู่รอมร่อ แต่ต้องติดเบรคกันตัวโก่ง

เพราะสถานการณ์มันเข้าไคลฯซะขนาดนี้ ถ้าจะให้ไปบ้าทะลุ่มทะลุยเดินหน้าชน สู้เอาเงิน 2 พันล้านไปทุ่มซื้อหวย ยังจะมีโอกาสรุ่งมากกว่า

แปลกแต่จริง ที่ไม่ยักมีนักธุรกิจด่ารัฐบาล โทษฐานที่โอเวอร์รีแอ๊คจนน่าเกลียด แถมสภาหอการค้าไทย ยังถือโอกาสใช้ลิ้นให้เป็นประโยชน์ ชเลียร์ว่านักธรกิจยอมเจ็บไม่ยอมอาย ไม่ว่าจะเป็นจะตายยังไง ขอเชียร์รัฐบาลให้เอาศักดิ์ศรีของประเทศไว้ก่อน

เห็นว่าถ้ารัฐบาลยืน ยันทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ถึงขนาดกล้าที่จะเข้ามาลุยถั่ว สร้างงานในประเทศ คล้ายๆกับว่าทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ว่างั้นเถอะ

แหม..เล่นเอาความจริงมาแหลเป็นขนมอย่างนี้ จึงช่วยไม่ได้ ที่มาร์คจะออกอาการเขินเล็กน้อย ในขณะที่ขนหน้าแข้งเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย

เป็นธรรมดาของ 1 ประเทศ 2 มาตรฐาน มันก็ต้องมีอะไรบ้าๆบวมๆอย่างนี้ นี่ถ้าเป็นรัฐบาลลุงหมัก ขืนทำอย่างนี้ มีหวังนักธุรกิจดิ้นตายกันเป็นแถว

หันไปมองภาคธุรกิจ เห็นถ้อยทีถ้อยชเลียร์กันไป แต่พอหันมาฝั่งประชาชน ไหงมันกลายเป็นหนังคนละม้วนไปได้ ก็ไม่รู้ เมื่อใครต่อใครพากันอวยพรให้มาร์คจนหูตูบ บอกว่าอ้ายเฮีย! วันๆแม่มันไม่ทำอ่าอะไร ดีแต่หาเรื่องชกต่อยกับชาวบ้าน ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน

กะอีแค่เรื่องของคนๆเดียว มันเล่นซะโกอินเตอร์ ดูไม่จืด แม่มันทำอย่างนี้ พวกที่ไม่ได้รับประทานภาษี มีหวังอดตายกันพอดี

แต่ว่าก็ว่าเถอะ จนป่านนี้ ยังไม่มีใครเข้าใจเหมือนกัน ว่าแค่ฮุนเซนตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา ทำไมมันถึงต้องออกอาการเม้งแตกกันขนาดนี้ ในเมื่อมั่นอกมั่นใจนักหนา ว่าตัวเองทำถูก ก็น่าจะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขมรออกทะเลไปคนเดียว ก็สิ้นเรื่อง

ก็ถ้าน้าฮุนฯยังขืนเดินหน้านโยบาย สร้างบ้านพักหรูหราให้นักโทษไปเรื่อยๆ แถมนอกจากไม่ยอมส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว ยังจะแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอีกต่างหาก คิดดูแล้วกัน ว่าต่อไปยังจะมีใครกล้าคบหาด้วย

เมื่อเขมรกลายเป็นสวรรค์ของอาชญากร นักเซ็นต์ชื่อให้เมียซื้อที่ ไปซะแล้ว

เรื่องของเรื่อง มันไม่น่าจะมีเรื่องด้วยซ้ำไป เมื่อแต่เดิมมันก็แค่ขู่กันไปขู่กันมา เหมือนนักมวยที่ต่อปากต่อคำกันนอกเวที เอ็งมาลูกนี้ ข้าจะตอบโต้ด้วยลูกโน้น ถ้าเอ็งต้อนรับทักษิณ ข้าจะให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน อีกฝ่ายก็โต้ทันควันว่า จ้างให้ก็ไม่ส่ง เพราะเป็นคดีการเมือง เป็นการแลกน้ำลายกันไปมา ทั้งๆที่ยังไม่ได้ขึ้นเวที ด้วยซ้ำไป

แต่ที่ไหนได้ กำลังโต้กันไปโต้กันมาอยู่มันๆ ไม่นึกว่าท่านประธานอาเซี่ยนจะของขึ้น โดดงับน่องสมาชิกอาเซียนบ้านใกล้เรือนเคียงซะ เล่นเอาแผลเปิดเหวอะหวะ ดูยังไงก็ดูไม่จืด

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ เด็กดื้อหัดบริหารประเทศ เมื่อกัมพูชาตัดสินใจประกาศแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ แล้วมีหรือที่นายกฯเด็กฝึกงานจะยอมเสียหน้า โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง จัดการประกาศเรียกทูตกลับทันควัน ในขณะที่ฮุนเซนก็ทันกัน เรียกทูตตัวเองกลับมั่ง ใครจะทำไม

คงต้องดูกันต่อไปว่า เมื่อเศรษฐีใหม่ตัดสินใจ ถอดสูทเข้าคลุกวงใน กอดปล้ำตีเข่ากับขอทานข้างถนน อย่างถึงลูกถึงคน เพียงเพื่อรักษาศักดิ์ศรี ที่ถูกตอกหน้าเอาเจ็บๆ งานนี้ใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะฉิบหายหนักกว่ากัน อีกไม่นานก็น่าจะเริ่มออกอาการ

แต่ที่แน่ๆ เริ่มเห็นแผลแตกที่ใต้ตานักชกเมื่อวานซืนแล้ว เมื่อเจอมวยเชิงสูงอย่างน้าฮุนฯ ที่เก๋าเกมอ่านขาดอย่างกับอ่านหนังสือการ์ตูน ดักแย็ปแล้วชิ่งออก ไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดเกมหนักให้ถูกตัดคะแนน แต่อาศัยยั่วยุให้เด็กมันออกหมัดก่อน แล้วค่อยดักเก็บกินจังหวะสอง แค่นี้ก็ตุนคะแนนจนเป๋าตุงแล้วตุงอีก

เป็นที่น่าสังเกตุว่า น้าฮุนฯแกตั้งอกตั้งใจล่อเป้าวัวกระทิงมาร์คซะเหลือเกิน ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่า เด็กมันมีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะทางอารมณ์ ยังมายั่วอยู่ได้ ทำไมต้องประกาศตั้งที่ปรึกษา ให้มาร์คอิจฉาจนวีนแตกน่าเกลียดขนาดนั้น ทั้งที่จะต่อฮ็อตไลน์สายตรง ปรึกษาอะไรน้าแม้ว ก็ทำได้อยู่แล้ว ในฐานะเพื่อนซี้ไม่มีซั้ว

อย่างการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็เหมือนกัน รอให้เรื่องมันเกิดแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย จะเปิดศาลพิจารณาคดีซัก 20-30 ปี ก็ยังไม่น่าเกลียด หรือจะส่งซิกให้นักโทษเข้าๆออกๆ ล่อให้ศาลลักปิดลักเปิด มันก็เก๋ไปอีกแบบ แล้วทำไมต้องรีบด่วน ชวนมาร์คละเลงน้ำลาย จนเลอะเทอะไปหมด

จะเป็นเพราะเหตุผลกลใดไม่อาจทราบได้ แต่ชักสังหรณ์ใจว่า งานนี้เด็กดื้อมีโอกาสเสียค่าโง่สูง

เพราะแต่ละมาตรการที่มาร์คประกาศออกมานั้น ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาต่อเขมรแต่ประการใด ขืนไปงดให้ความช่วยเหลือ ก็เข้าทางประเทศอื่นที่เรียงคิวรอช่วยเหลืออยู่แล้ว หรือถ้างดให้กู้ ขี้คร้านประเทศอื่น มายืนรอปล่อยกู้กันบานเบอะ ยิ่งไปยกเลิก MOU อะไรนั่นอีก

แน่ใจหรือว่ามันไม่ใช่ MOU ที่เขาอยากจะยกเลิกเต็มแก่อยู่แล้ว เพราะถ้าเซ็นต์กันในสมัยน้าแม้ว ก็ชัดเจนแน่นอนว่าเขาเสียเปรียบ เพราะตอนนั้น กัมพูชายังไม่มีอำนาจต่อรองซักเท่าไหร่

ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่หลอกกินเศียรเทวรูป ที่มีคนอุ้มไปจิ้มก้องมาแล้ว นักต่อนัก

เอาเป็นว่า นอกจากเรื่องอารมณ์แล้ว ก็น่าจะต่างคนต่างมีวาระซ่อนเร้น แต่คนหนึ่งทำเพื่อชาติ ในขณะที่อีกคนทำเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง รายแรกจึงลอยตัวไป เพราะได้การสนับสนุนจากประชาชนอย่างท่วมท้น ในขณะที่รายหลังแทบจะเอาหัวโขกโพเดียมตายซะให้มันรู้แล้วรู้รอด เมื่อไม่มีใครให้ท้าย นอกจากโพลที่ออกมาเชียร์กันสุดลิ่มทิ่มประตู

กระแสคลั่งชาติ จึงมีแค่แมลงสาบแก่ๆ กับขาประจำเจ้าเดิมๆไม่กี่ตัว ที่ออกมาคลั่งหนัก ส่วนประชาชนนั้น คงจะหวังยากซักหน่อย แล้วยิ่งน้าฮุนฯแกเป็นมวยรอจังหวะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ปั่นกระแสยากเข้าไปใหญ่ ทำไปทำมาถึงได้เกิดอาการหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ

คิดแล้วก็ให้เป็นห่วงนายกฯเด็กโง่ ที่ขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ ไม่รู้จักเลิก ระวังว่าโง่ซ้ำโง่ซาก จะติดเชื้อกลายเป็นโง่เรื้อรัง มันจะรักษายาก ถ้าลำบากนัก คราวหน้าคราวหลัง ลองเปลี่ยนไปยืมหัวแม่เท้าข้างซ้ายของท่านทักษิณเอามาคิดแทน ไม่แน่ว่า...

อาจจะฉลาดกว่าสมองกลวงๆที่ใช้อยู่ก็เป็นได้

คัดมาจากบทความของ:วโรทาห์