--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เฉลิมรับเทปกษิตวิจารณ์เขมร ให้ฮุนเซน

ไอเอ็นเอ็น : ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ตนเป็นคนดำเนินการ ส่งเทปบันทึกคำพูดของ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เมื่อครั้งที่ นายกษิต ขึ้นเวทีกลุ่มพันธมิตรฯ ที่มีการกล่าวพาดพิงถึง สมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา กรณีปราสาทเขาพระวิหาร ด้วยการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง โดยยอมรับว่า ตนได้ส่งเทปดังกล่าวให้กับบุตรสาวของสมเด็จฮุนเซน ผ่านทางคนรู้จักของตน ซึ่งส่งผลให้ สมเด็จฮุนเซน เกิดความไม่พอใจและแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวกับประเทศไทย ดังนั้นเชื่อว่า ประเทศไทย จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งบริเวณพื้นที่ทับซ้อนเขาพระวิหารกับประเทศกัมพูชาได้

ทั้งนี้ ตนเสนอว่า หากรัฐบาลชุดนี้ ไม่สามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ ก็ให้ยุบสภา แล้วให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งหากพรรคเพื่อไทย ชนะการเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศในครั้งหน้าได้นั้น ก็จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แก้ไขปัญหาดังกล่าว เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความสัมพันธ์อันดีกับนายกฯของประเทศกัมพูชา

รัฐบาลตื่นตูม-ใช้ พรบ.มั่นคงฯคุมถกอาเซียน 'ชะอำ-หัวหิน'

มติชน : เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคม ที่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี และ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รวมถึงผู้บัญชาการเหล่าทัพ เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ใช้เวลากว่าชั่วโมง

นายอภิสิทธิ์แถลงผลการประชุมว่า จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาประกาศใช้ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในวันที่ 6 ตุลาคม ส่วนระยะเวลาต้องขอความเห็นชอบก่อน แต่น่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคมเป็นต้นไป โดยจะประกาศใน 2 อำเภอ คือชะอำ และหัวหิน แต่หากมีข่าวว่าจะมีการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงค่อยว่ากันอีกที

นายสุเทพกล่าวว่า ในการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ จะมี พล.อ.ประวิตรเป็นผู้อำนวยการดูแลรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัย การบังคับใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯจะห้ามไม่ให้มีการชุมนุมใดๆ รวมถึงจะบูรณาการกำลังทหารและตำรวจเต็มกำลังนับหมื่นนาย เพื่อให้ความมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการล้มการประชุมเหมือนเมื่อครั้งที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี อย่างเด็ดขาด เพราะการประชุมคราวนี้มีความหมายและความสำคัญสำหรับประเทศ อีกทั้งนายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ประธานอาเซียนเป็นครั้งสุดท้ายในการประชุมครั้งนี้ จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของประเทศอื่น ดังนั้น ต้องทำให้ดีและสมบูรณ์

รองนายกฯกล่าวอีกว่า ส่วนการควบคุมดูแลพื้นที่ดังกล่าวเป็นเหมือนกับการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่ จ.ภูเก็ต ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ โดยจะไม่ให้กระทบกระเทือนประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน สำหรับเรื่องการบริหารการจราจรนั้น เนื่องจากมีโรงแรมหลายแห่งอยู่ในระยะทางประมาณ 25 กิโลเมตร ที่จัดไว้เป็นที่พักสำหรับผู้นำประเทศ และมีขบวนรถของผู้นำประเทศวิ่งระหว่างโรงแรมกับสถานที่การประชุม จึงจะแบ่งพื้นที่จราจรเป็นถนนเลนพิเศษที่เรียกว่า “อาเซียน เลน” สำหรับขบวนรถของผู้สื่อข่าว รัฐมนตรี และผู้นำประเทศวิ่ง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จะทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวในพื้นที่ กทม.ในช่วงดังกล่าว จะใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯด้วยหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า ถ้ามีความจำเป็นที่ต้องใช้ใน กทม. ก็คงประกาศใช้ในเขตดุสิตเหมือนเดิม
พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯตั้งแต่วันที่ 12-27 ตุลาคม ในพื้นที่ 9 ตำบล ของ อ.ชะอำ และ 4 ตำบล ของ อ.หัวหิน จะใช้กำลังทั้งจากพลเรือน ตำรวจ และทหาร แต่จะใช้กำลังในพื้นที่ให้มากที่สุด เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองงบประมาณ กองทัพจะเสนอแผนเพื่อเตรียมการรักษาความปลอดภัยเข้าคณะรัฐมนตรีต่อไป และจะมีการตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย

ด้าน พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า จะให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกโทรทัศน์เพื่อชี้ถึงการประกาศใช้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ ที่ อ.หัวหิน และ อ.ชะอำ อย่างไรก็ตาม ได้ดูรายละเอียดในพื้นที่ทุกจุดแล้วไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างยังเรียบร้อยดี เบื้องต้นทุกประเทศยังตอบรับเข้าร่วมประชุมครั้งนี้อยู่

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปราสาทพระวิหาร บทเรียนพลาดซ้ำซาก

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เชื่อมั่นในความเป็นนักเรียนอังกฤษ แต่สุดท้ายไทยก็พลาดเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา จนวันนี้หากมองไม่ลึกถึงปมปัญหาและผลประโยชน์ที่แท้จริง... ระวังจะพลาดซ้ำอีก หากรัฐบาลไทยละเลย จนกระทั่งมีการขีดเส้นในแผนที่จากพื้นที่ทับซ้อน เรื่อยลงไปจนถึงในทะเล จะพบความจริงที่น่าตระหนกนั่นคือ เกาะกูดทั้งเกาะอาจจะหายไปจากแผนที่ประเทศไทยเลยก็ได้ทรัพยากรในทะเลจำนวนมหาศาลจะตกเป็นของใครบ้าง
ตราบาป!

ปราสาทพระวิหาร ประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก สร้างขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 เชื่อว่าโครงสร้างส่วนใหญ่ของปราสาทสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ถือเป็นโบราณสถานของขอม ที่กลายมาเป็นกรณีพิพาทระหว่างไทย กับ กัมพูชา เรื่อยมาจนทุกวันนี้ทั้งๆที่ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหาร คือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพบเมื่อปี พ.ศ. 2442 ขณะทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์ เสด็จไปรับราชการที่มณฑลลาวกาว (อีสาน) ในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้ทรงจารึกปี ร.ศ. ที่พบเป็นเลขไทย ตามด้วยพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดี เป็นข้อความว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ”

ต่อมาเมื่อประเทศฝรั่งเศสเข้ายึดครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม มาตรา 1 ของสนธิสัญญา ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย แต่พอปี 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้สยาม 50 ชุด แต่ละชุดมี 11 แผ่นและมีแผ่นหนึ่งคือ “แผ่นดงรัก” ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าวและกลายเป็นข้อพิพาทที่นำไปสู่การขึ้นศาลโลกในที่สุดเพราะหลังจากที่กัมพูชาได้รับเอกราช เจ้านโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาสละราชสมบัติเข้าสู่การเมือง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร และไทยไม่ยอมรับ เจ้านโรดมประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501และ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้คดีโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับคณะรวม 13 คน เป็นทนายฝ่ายไทย ฝ่ายกัมพูชามีนายดีน แอจิสัน เนติบัณฑิตแห่งศาลสูงสุด อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าคณะ กับพวกอีกรวม 9 คน

วันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยเสียง 9 ต่อ 3ความพ่ายแพ้ในครั้งนั้น ถูกมองว่าส่วนหนึ่งมาจากความเชื่อมั่นที่สูงจนเกินไปของ ม.ร.ว.เสนีย์ ซึ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ของอังกฤษเพราะไม่ได้มองในประเด็นที่มีนักกฎหมายเมืองไทย ให้แง่คิดว่า ปกติศาลโลก หากไม่มีการเข้าไปรับฟังคดีพร้อมกันทั้ง โจทก์ และ จำเลยแล้ว จะไม่มีคำพิพากษาใดๆ ออกมาได้เลยซึ่งวันนั้นนักกฎหมายธรรมดาๆ ของไทย เห็นว่า หากไทยอยู่นิ่งๆ จะดีกว่า เพราะศาลโลกก็ทำอะไรไม่ได้ มีคำพิพากษาออกมาไม่ได้แต่กลับกลายเป็นถูกถามว่า “คุณจบมาจากไหน รู้หรือไม่ว่าผมจบมาจากอังกฤษ”หรือว่าความเป็นนักเรียนนอกจากอังกฤษจะเพาะบ่มความเชื่อมั่นดันทุรังเกินพอดีมาทุกยุคทุกสมัย จากอดีต จนแม้ในยุคปัจจุบันก็ยังมีบางคนที่เป็นอาการแบบนี้ให้เห็นกัน!!!สุดท้ายไทยจึงต้องพบกับความพ่ายแพ้ในศาลโลกแม้ว่าหลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว 20 วัน ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทยในขณะนั้น จะได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก และสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต รวมทั้งหลังจากนั้นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะประกาศก้องว่า จะเอาปราสาทพระวิหารคืนมาให้ได้แต่ว่านับตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ ไม่ได้มีความพยายามอย่างเด่นชัดใดๆ จากผู้นำเหล่าทัพของไทยคนไหนเลยที่จะสานต่อเจตนารมณ์ ทวงคืนปราสาทเขาพระวิหาร

ทั้งๆ ที่หลังจากนั้นไม่นาน กัมพูชาเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศ จนนำไปสู่เหตุการณ์เขมรแตก ประชาชนกัมพูชา หรือแม้แต่ผู้นำกัมพูชา ล้วนมีการพึ่งพาและพึ่งพิงประเทศไทยในการเป็นฐานอพยพบ้าง ในการขอการสนับสนุนบ้างแต่ไทยก็ไม่เคยใช้จังหวะเวลาที่เหมาะสมในการช่วยเหลือสารพัด มาทวงคืนปราสาทหินแห่งนี้เลยจนกระทั่งประมาณปี พ.ศ. 2536 ที่กัมพูชาถูกเขมรแดงเข้าครอบครอง ในขณะที่เขมรแดงเข้มแข็งขึ้น สมเด็จฯ ฮุน เซน มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเกือบ 20 ปีมานี้ จนวันนี้เรียกได้ว่าไม่เหลือภาพนายทหารป่า หรือทหารบ้านนอกอีกแล้ว แต่กลายเป็นผู้นำกัมพูชาที่เขี้ยวรอบตัวอย่างที่ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีของไทยที่ชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และบรรดาผู้บัญชาการกองทัพเหล่าทัพต่างๆ ของไทย โดนตอกหน้ากันระนาวอย่างไม่ยี่หระเช่นขณะนี้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์ที่น่าเสียดาย ที่ไทยไม่เพียงสูญเสียโอกาส แต่ ณ วันนี้ยังถูกสบประมาท ราวกับว่ารัฐบาลและเหล่าทัพอ่อนแออย่างมาก จนกัมพูชาไม่มีความเกรงใจใดๆแล้วดังนั้นแทนที่ พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำรัฐบาล จะมัวส่งบรรดาคนฝีปากกล้าของพรรค มาเล่นเกมการเมืองรายวันกับคนนั้นคนนี้ไม่รู้จักหยุดจักหย่อนแทนที่นายอภิสิทธิ์ จะมัววุ่นวายกับการแต่งตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ ให้ได้ดังใจ โดยไม่สนใจฟังคำทักท้วง หรือไม่สนใจข้อมูลพิเศษ สัญญาณพิเศษใดๆ เลยเชื่อมั่นเพียงแต่ว่า มีอำนาจตามกฎหมายให้ทำได้ดันทุรังตั้ง พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ขึ้นไปรักษาราชการแทน ผบ.ตร.และแม้กระทั่งนายเนวิน ชิดชอบ ภูมิใจไทย CEO ผู้ถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี แต่ก็เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกลไกการเมืองแทบทุกเรื่อง และล่าสุดก็กำลังปลื้มอก

ปลื้มใจ ที่ได้รับอนุมัติโครงการเช่ารถเมล์ฝังเพชรราคาโคตรแพงระยับ 6.2 หมื่นล้านบาทมาได้หมาดๆและฝันเฟื่องที่จะยึดครองพื้นที่อีสานไว้ในกำมือให้ได้นั้นควรจะต้องตระหนักถึงปัญหาพื้นที่ปราสาทพระวิหาร เพราะเป็นตะเข็บสำคัญของชายแดนอีสานกับกัมพูชาหากทุกฝ่ายหันมาใช้จิตสำนึกรักชาติ หากว่าพึงมีมาวิเคราะห์ให้ดี จะรู้ว่า ประเด็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่กำลังร้อนฉ่าอยู่ในเวลานี้ จริงๆ แล้วมีเงื่อนงำผลประโยชน์ระหว่างประเทศอยู่ด้วยหรือไม่???เป็นเรื่องที่มองให้ลึกๆ แล้วจะเห็นร่องรอยที่โยงไปถึงผลประโยชน์ทรัพยากรธรมชาติจำนวนมหาศาลในทะเลด้วยหรือไม่?หากรัฐบาลไทยละเลย จนกระทั่งมีการขีดเส้นในแผนที่จากพื้นที่ทับซ้อน เรื่อยลงไปจนถึงในทะเล จะพบความจริงที่น่าตระหนกนั่นคือ เกาะกูดทั้งเกาะอาจจะหายไปจากแผนที่ประเทศไทยเลยก็ได้ทรัพยากรในทะเลจำนวนมหาศาลจะตกเป็นของใครบ้างทำไมบริษัทฝรั่งเศสถึงได้รีบเร่งทำสัญญาสำรวจทรัพยากรธรรมชาติในทะเลกับรัฐบาลกัมพูชาการที่หลงเกมการพิพาทว่าเป็นเรื่องของการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จนถึงขั้นอาศัยแนวร่วมอย่าง ป.ป.ช. ชุดที่ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ และมีร่องรอยพิรุธทางการเมืองมาโดยตลอด เล่นงานคนไทยด้วยกันเอง อ้างเอาดื้อๆ ว่าผิดสารพัดสุดท้ายจะเข้าทางกัมพูชาและระวัง อนาคตประเทศที่ปัญหาเขตแดนกับไทยจะไม่ได้มีเพียงแค่กัมพูชาผลประโยชน์ในทะเลจำนวนมหาศาล อาจจะทำให้ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาร่วมเกมพิพาทนี้ในอนาคตถึงวันนั้น ผลงานนี้จะกลายเป็น “ตราบาป”ของรัฐบาลประชาธิปัตย์และนายอภิสิทธิ์ก็เป็นไปได้

ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ปมขัดแย้งจริงหรือ???8 มีนาคม พ.ศ. 2548 กัมพูชาได้เสนอต่อองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ปี พ.ศ. 2549 วันที่ 30 มกราคม ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโกที่ปารีสขอให้กัมพูชายื่นเอกสารใหม่เกี่ยวกับเขตกันชนของปราสาท และมีคำแนะนำให้ร่วมมือกับฝ่ายไทยพ.ศ. 2550 กัมพูชายื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอีกครั้ง ขณะที่ไทยยื่นบันทึกช่วยจำต่อเอกอัครราชทูตกัมพูชาและเสนอขึ้นทะเบียนร่วม (Transboundary property) แต่คณะกรรมการมรดกโลกสากลมีมติเลื่อนการขึ้นทะเบียนออกไป โดยให้ไทย-กัมพูชาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เฉพาะเพียงตัวปราสาทเท่านั้น โดยผ่านเกณฑ์การพิจารณาข้อ (i) เพียงข้อเดียว

เสื้อแดง'นัดชุมนุม เพื่อขออภัยโทษให้ทักษิณ


แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
กรุงเทพ – ผู้สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรประกาศแผนการณ์เมื่อวันพฤหัสว่า จะมีการชุมนุมประท้วงเพื่อกดดันให้รัฐบาลยื่นถวายการขอพระราชทานอภัยโทษ ให้มหาเศรษฐีที่กำลังอยู่ในระหว่างการลี้ภัย นปช.ซึ่งแต่งแดงในการประท้วง จะรวมตัวกันที่สนามหลวงในวันที่ ๑๗ ตุลาคม ก่อนที่จะเดินขบวนไปยังทำเนียบรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยื่นถวายการขอพระราชทานอภัยโทษ

นปช.กล่าวหารัฐบาลว่า กำลังดองเรื่องการพิจารณาการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษ ที่มีคนร่วมลงชื่อถึง ๓,๕๐๐,๐๐๐ คน ว่าถูกกฎหมายหรือไม่

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หนึ่งในแกนนำ นปช.ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า “รัฐบาลดึงเรื่องเอาไว้ และพยายามจะหยุดไม่ส่งเรื่องการยื่นขออภัยโทษไปยังสำนักพระราชวัง เพื่อขออนุมัติ”

นปช.ได้จัดชุมนุมครั้งใหญ่ถึงห้าครั้งนับตั้งแต่การเข้าปราบปรามของกองทัพในเดือนเมษายน แสดงให้เห็นว่า ทักษิณยังคงมีเดิมพันที่สูงในการเมืองไทย แม้จะอยู่ในระหว่างการลี้ภัยเพื่อเลี่ยงการติดคุก ๒ ปีต่อการไม่ไปปรากฎตัวเพื่อรับข้อหาจากศาล

ทักษิณเผชิญหน้ากับคดีฉ้อราษฎร์เป็นหางว่าว แม้ทักษิณจะยังยืนยันว่า ตัวเองตกเป็นเหยื่อของการถูกโจมตีทางการเมือง จากฝ่ายตรงข้ามของพวกอำมาตย์และกองทัพที่ทรงอำนาจของประเทศไทย
ผู้สนับสนุนชาวชนบทของทักษิณ ซึ่งลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างถล่มทลายให้ทักษิณเข้าไปเป็นรัฐบาลถึงสองครั้งซ้อน โดยหวังว่าการขอพระราชทานอภัยโทษต่อองค์กษัตริย์ภูมิพล อดุลยเดชพระชนมายุ ๘๑ พรรษาอันเป็นที่เคารพ จะเป็นการแผ้วทางให้ทักษิณกลับมาสู่การเมืองอีกครั้ง

การประท้วงของ นปช. ได้เพิ่มแรงกดดันไปยังรัฐบาลที่กำลังมีสถานะง่อนแง่น ความไม่แน่ใจต่อสถานการณ์และความกลัวว่าจะเกิดความรุนแรง ได้สร้างความวิตกให้กับนักลงทุน และส่งผลให้มีการลดอันดับเครดิต สำหรับประเทศที่มีสภาพเศรษฐกิจอันดับสองในภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

ณัฐวุฒิกล่าวว่า “เสื้อแดง” หรือ นปช. จะมีการชุมนุมเล็กในวันที่ ๑๑ ตุลาคม เพื่อเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ซึ่งกองทัพได้ฉีกทิ้งหลังการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ และได้เขียนฉบับใหม่ของตัวเองขี้นมา

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บิ๊กจิ๋ว เข้า พท.พรุ่งนี้เผยทักษิณทาบเอง

คมชัดลึก :หัวหน้าพรรคเพื่อไทยเผยพล.อ.ชวลิตสมัครเป็นสมาชิกพรรคพรุ่งนี้ ลูกพรรคแจง"ทักษิณ"ทาบทามเอง “แม้ว” ทวิต ยันครม. “ตัวเอง” ไม่มีใครทุจริตหวยบนดิน
เมื่อเวลา 14.00 นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีจะสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยพรุ่งนี้ (2 ต.ค.)ว่า พล.อ. ชวลิต จะเดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยตั้งแต่เวลา 09.00 น.ของวันพรุ่งนี้(2 ต.ค.)เบื้องต้นจะเข้ามาทำงานโดยไม่มีตำแหน่งอะไร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกรรมการบริหารพรรคจะพิจารณาในอนาคต ส่วนตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นเรื่องของอนาคตเช่นกัน ยังตอบไม่ได้

นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี กล่าวว่า สาเหตุที่ พล.อ. ชวลิต เข้ามา เพราะต้องการกลับเข้ามาทำงานการเมืองเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติความขัดแย้งต่างๆในฐานะที่ พล.อ.ชวลิต มีประสบการณ์ทางการเมืองเป็นถึงนายกฯ และยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนทาบทามพล.อ.ชวลิต
“แม้ว”ทวิต ยันครม.ตัวเองไม่มีใครทุจริตหวยบนดิน

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com เพื่อตอบแฟนคลับที่เข้ามาให้กำลังใจหลังจากที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีหวยบนดิน ว่า “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ คดีนี้ไม่มีใครทุจริตแต่ทำเพื่อเป็นทุนการศึกษาเด็กยากจน เด็กเรียนเก่ง แต่ที่แน่ๆเจ้ามือกำลังรวยปีละหมื่นล้าน ”

นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงโครงการไทยเข้มแข็ง ว่า “การเมืองช่วงฟาดฟันกันแบบนี้คนฉลาดแกมโกงจะรีบฉกฉวยผลประโยชน์เพราะการกลัวเสียอำนาจของผู้มีอำนาจจะจำยอมไทยเข้มแข็งจะเป็นใครเข้มแข็ง ”

“เฉลิม”ลั่น"พท."นำหวยบนดินเป็นนโยบายสู้ศึกเลือกตั้ง
ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาคดีหวยบนดินนั้น เห็นได้ชัดว่าจากคำพิพากษาของศาลว่าการออกหวยบนดิน 2 ตัว 3 ตัวเป็นเรื่องที่ทำได้ แต่มีปัญหา เนื่องจากไม่มีการยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อปี 2548 ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะนำเรื่องหวยบนดินมาจัดทำเป็นนโยบายของพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกให้เป็นรัฐบาล จะดำเนินการออกหวยบนดินทันทีภายใต้ชื่อ หวย 2 ตัว หวย 3 ตัว โดยจะแก้ไขพ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 และจะกำหนดเจตนารมณ์ให้ชัดเจนว่าสามารถนำเงินรายได้ไปใช้ในโครงการอะไรได้บ้าง อีกทั้งจะแก้ไขการส่งเงินรายได้เข้าคลัง และการใช้จ่ายเงินคงคลัง

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บริหารบ้านเมืองไม่ได้ ถ้าไม่ยุบสภา ก็ควรเปลี่ยนตัวนายกฯ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่มีแนวคิดของตัวเอง นโยบายทุกอย่างลอกมาจากนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังพบการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง ปลากระป๋องเน่า และโครงการไทยเข้มแข็งในการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงการที่รัฐบาลจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองที่มีคำสั่งระงับการก่อสร้างชั่วคราว 76 โครงการในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมือง จ.ระยองนั้น คนอย่างนี้เป็นผู้นำประเทศได้อย่างไร ไม่รู้ประสีประสา นอกจากนี้ยังขาดความเป็นผู้นำทางการเมือง เพราะแม้แต่ข่าวนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ก็ยังไม่ทราบ

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวท้าทายว่า ถ้านายกรัฐมนตรีแน่จริง ให้สั่งพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทน ผบ.ตร. ดำเนินการออกหมายจับคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ทันที แต่ถ้าไม่ทำ ตนขอถามว่านายอภิสิทธิ์จะกลัวอะไร

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่พล.ท.พิรัช สวามิวัสดิ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าพล.อ.ชวลิตตอบรับเป็นประธานพรรคเพื่อไทยในการเข้ามาช่วยบริหารพรรคเพื่อไทย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่ทราบ

แฉกลโกง 8หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง รบ.มาร์ค ม.7

คมชัดลึก : (1ต.ค.) เวลา 10.25 น. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม.ประธานสำนักงานปราบโกง พรรคเพื่อไทย แถลงถึงแผนปฏิบัติการโครง การไทยเข้มแข็งของรัฐบาล ที่พบเงื่อนงำส่อทุจริต ว่า พรรคเพื่อไทยตรวจพบความไม่ชอบมาพากล ในการใช้งบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง ในส่วนกระทรวงสาธารณสุข ที่มีความพยายามยกระดับสถานีอนามัยขึ้นเป็นโรงพยาบาลตำบล โดยทำการล็อคสเป็คจัดซื้อคุรุภัณฑ์ ภายใต้กรอบงบประมาณ 8 หมื่นล้านบาทเศษ สำหรับการยกระดับสถานีอนามัยดังกล่าวข้อเท็จจริงแล้ว ไม่สามารถทำให้กลายเป็นโรงพยาบาลตำบลได้ ด้วยเหตุผลของเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ ความพร้อมด้านต่าง ๆ กระบวนการที่ส่อทุจริตเริ่มชัดเจนเมื่อวันที่ 18 ส.ค.ที่มีการอนุมัติเงิน 8 หมื่นล้านบาทเศษ แบ่งเป็นงบก่อสร้าง 6 หมื่นกว่าล้าน มีงบอีกส่วนหนึ่งกันไว้เพื่อยกระดับสถานีอนามัยดังกล่าว

เมื่อถึงวันที่ 21 ส.ค.ได้มีหนังสือด่วนที่สุด เรื่องสำรวจความต้องการของสถานีอนามัย 2151 แห่ง งบประมาณ 1,350,000 บาท ต่อแห่ง และขอให้ส่งกลับในวันที่ 24 ส.ค. โดยงบจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นงบก่อสร้าง 5 แสนบาท และงบจัดหาคุรุภัณฑ์อีกส่วนหนึ่งที่น่าสังเกตว่ามีการกำหนดไว้เรียบร้อย 20 รายการ และต้องระบุความต้องการเฉพาะที่กำหนดไว้ ห้ามมีนอกเหนือจากนี้ และถ้าหากสถานีอนามัยส่งข้อมูลกลับไปล่าช้า ส่วนกลางจะกรอกข้อมูลให้แทน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการเตรียมงบประมาณไว้นานแล้ว มีการกำหนดรายละเอียดคุรุภัณฑ์ไว้ตั้งแต่เดือนเม.ย. กระบวนการที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเพียงการสร้างความชอบธรรมเท่านั้น ตัวอย่างเช่น คุรุภัณฑ์ อัลตร้าซาวน์ ที่หากไม่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางไม่สามารถใช้ได้ ไม่สามารถวินิจฉัยโรค เพราะถ้าวินิจฉัยผิดอาจถึงตายได้ สุดท้ายคุรุภัณฑ์นี้อาจเป็นเพียงอนุสาวรีย์คล้ายกับสินค้าในโครงการชุมชนพอเพียง

อย่างไรก็ตามภายหลังที่มีการทักท้วงก็มีปฏิกริยาจากนายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข มีการกำหนดคุรุภัณฑ์ในภายหลังเพิ่มมาอีก 26 รายการ รวมเป็น 46 รายการ ในเดือนก.ย. แต่ผลสุดท้ายก็ไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เพราะเมื่อผู้ใช้งานจริงแจ้งความต้องการให้กระทรวงสาธารณสุข แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับ ของเดิมก็ยังใช้อยู่ ของใหม่ก็ไม่ตรงใจผู้ใช้อีก

“พฤติการณ์เหล่านี้จึงทำให้เชื่อได้ว่าอาจมีการทุจริต แม้จะยังไม่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ฝ่ายค้านต้องออกมาท้วงติงไว้ก่อน เพราะมันทำให้เกิดผลเสียต่อประชาชนโดยตรง และบางกรณีอาจทำให้ประชาชนถึงตายได้ โครงการนี้กระบวนการหลายอย่างไม่ต่างจากโครงการชุมชุนพอเพียง และน่าสังเกตอีกอย่างว่างบฯโครงการไทยเข้มแข็งถือเป็นเงินนอกงบฯ อาจมีการยกเลิกระเบียบบางเรื่องได้ จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตรวจสอบได้ยาก และมีข่าวว่าบางคนในกระทรวงสาธารณสุข ได้ไปพบกับเจ้าของผู้ผลิตเครื่องมือทางการแพทย์ ถ้ามีการจัดซื้อจัดจ้าง เห็นรายชื่อบริษัทจะเชื่อมโยงได้ทันที วันนี้การทุจริตยังไม่เกิดก็ต้องดักคอไว้ก่อน” น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

โลกหมุนกลับ

ที่มา เดลินิวส์
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาฯมูลนิธิแพทย์ชนบท แฉเอง งบ 3 หมื่นล้าน โครงการไทยเข้มแข็ง มีการบีบซื้อเครื่องฆ่าเชื้อยูวี-แฟน ชนิดแพงหูดับจาก 6,000 เป็น 4 หมื่นบาทเครื่องช่วยหายใจจาก 5 แสนเป็น 1.2 ล้าน แฟลตพยาบาลจาก 6 ล้านเป็น 9.6 ล้าน ปล้นกลางแดด เลยนะทุจริตโครงการชุมชนพอเพียง (กินไม่พอเพียง) ยังไม่ทันจางหาย เรื่องนี้ก็โฉ่อีก ถึงนายกฯ จะสั่งฟันเด็ดขาด แต่ก็คงงั้น ๆ

เหมือนโครงการแรก มีแค่ระดับส.ก.กับเจ้าหน้าที่ระดับล่าง ๆ รับกรรมไปตัวใหญ่ ๆ ยังลอยหน้าลอยตา ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น ส.ว.รสนา โตสิ ตระกูล ที่เคยสร้างชื่อจับทุจริตซื้อยา 1,800 ล้านยุค ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ แล้วมี รักเกียรติ สุขธนะ รมต. ติดคุก เพราะกรณีนี้ จะว่าไงจะออกโรงอีกครั้งมั้ยเพราะยุคนี้มี 2 มาตรฐาน

และ เลือกปฏิบัติแบบเปิดเผยอีกด้วย เหมือน กฎหมาย 2 มาตรฐาน หลังยุค คมช.ลากรถถังออกมายึดอำนาจ แล้วตั้ง องค์กรอิสระต่าง ๆ ขึ้นมาฟาดฟันฝ่ายตรงข้ามรู้จักในนาม ตุลาการภิวัฒน์ นี่ล่ะทั้ง ๆ ที่คำนี้ ไม่มีบัญญัติใน พจนานุกรม เลย แต่กลับเป็นเครื่องมือทรงพลัง มีทั้งการใช้กฎหมายย้อนหลัง การตีความแบบกว้าง แบบแคบ

แล้วแต่จำเลยเป็นใคร สำนวนอ่อน หรือแก่ ก็ได้ความขัดแย้งของ คตส. และ อัยการสูงสุด (อสส.) ในคดีทุจริตกล้ายาง ที่ ศาลฎีกาฯนักการเมือง เพิ่งสั่งยกฟ้อง ไปนั้น น่าสนใจมาก ใครก็รู้ว่า คตส.ใหญ่มาก แต่ อสส. ก็กล้าหือ ไม่ยอมฟ้องคดีกล้ายางตอบสนองคดีหวยบนดิน ที่ศาลฎีกาฯวินิจฉัยไปวันพุธ อสส.ก็เห็น

ไม่ควรฟ้อง คตส. ต้องจ้างทนายฟ้องเองหมดล่าสุด นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ ผู้ตรวจราชการอัยการ ไปพูดในงานสัมมนา มีคนฟังมากมาย ว่า “สังคมมันเพี้ยน เพราะบางองค์กรทำเกินหน้าที่ จะให้เขาสั่งคดีตามที่ตัวเองต้องการออกมาให้ข่าวว่าคนนั้น คนนี้ทุจริต ระบบมันเสีย สังคมวุ่นวายวันนี้ เพราะสั่งคดีถูกต้อง แต่ไม่ถูกใจ เราพยายามตระหนักที่สุดไม่ก้าวล่วงองค์กรอื่นแต่ถูกองค์กรอื่นมาพูดเสีย ๆ หาย ๆ วิพากษ์วิจารณ์ให้ข่าว

พูดภาษาชาวบ้านคือ ขี้แพ้ชวนตี ผมไม่ชอบ”น่าจะเป็นครั้งแรก ๆ มั้ง ที่คนในวงการยุติธรรมออกมาพูดถึงผู้คนในแวด วงเกี่ยวพันว่า เพี้ยน สังคมวุ่นวาย ทุกวันนี้ เพราะ ระบบมันเสีย นั่นสินะ ที่พึ่งสุดท้าย เพี้ยนเมื่อไหร่ อย่างอื่นก็ไร้ความหมายจริง ๆจึงขอคารวะในความกล้าหาญของนายเสริมเกียรติ น้อยคนนักจะกล้าพูดความจริงในยุคนี้ ต่อให้โก่งคอร้องเพลงชาติ 8 โมงเช้า 6 โมงเย็น โชว์ทีวีทั้งปี

หากความเป็นธรรมไม่มี สันติสุขก็ไม่เกิด หรอกนอกจากหลอกตัวเองไปวัน ๆครม.ล่าสุด มีมติเด้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปเป็นรองปลัดยุติธรรม ก็เพราะ ทำคดี ทีพีไอบริจาคเงิน 258 ล้านให้ ปชป. ตรงไปตรงมามากไป เลยเป็นพิษอีกเรื่อง ครม.อนุมัติเช่ารถเมล์ 4,000 คัน 6.3 หมื่นล้านบาทแล้ว ส่วน ภูมิใจไทย ก็ถอยเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญแล้ว เค้าสมผลประโยชน์แล้ว ที่เสีย “ค่าโง่” ดูปาหี่ ก็คนไทยตาดำ ๆ นี่ล่ะแล้ว ป.ป.ช.ก็มีมติ เชือด สมัคร สุนทรเวช และ นพดล ปัทมะ ในคดี ปราสาทพระวิหาร แค่ 2 คน จากจำเลย 28 คน ที่เหลือปล่อยผีหมด พอดีเนื้อที่หมด เอาไว้วันหลังเถอะ.

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ศาลฯจำคุก 2 ปี วราเทพ-สมใจนึก-ชัยวัฒน์ รอลงอาญาคดีหวยบนดิน

ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาลงโทษนายวราเทพ รัตนากร อดีตรมช.คลัง ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล, นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล และนายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เนื่องจากมีความผิดจากการออกโครงการสลากพิเศษรางวัลเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว(หวยบนดิน)

โดยศาลฯ สั่งจำคุกนายวราเทพ 2 ปี ปรับ 20,000 บาท, สั่งจำคุกนายสมใจนึก 2 ปี ปรับ 10,000 บาท และสั่งจำคุกนายชัยวัฒน์ 2 ปี ปรับ 10,000 บาท อย่างไรก็ดี จำเลยทั้งหมดไม่เคยกระทำความผิดจึงให้รอลงอาญาไว้คนละ 2 ปี

ศาลฯ พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยทั้ง 3 คน ต่างมีหน้าที่กำกับดูแลงานสำนักงานสลากฯ และจำเป็นจะต้องรู้ชัดเจนถึงขอบเขตของกฎหมาย แต่กลับจงใจที่จะดำเนินการนอกเหนือจากกรอบวัตถุประสงค์และเจตนารมย์ของ พ.ร.บ.สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงของประธานคณะกรรมาธิการยุติธรรมที่แนะนำให้มีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับดังกล่าวก่อนที่จะออกโครงการหวยบนดิน

ขณะที่จำเลยคนอื่นนั้นศาลมีคำสั่งยกฟ้อง เนื่องจากเห็นว่าไม่มีเจตนาที่จะร่วมกระทำความผิด เช่น กรณีของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นการลงมติอนุมัติไปตามธรรมเนียมปฏิบัติ โดยไม่มีเวลาศึกษารายละเอียดเนื่องจากมีการส่งเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นวาระจร ขณะที่กรรมการคนอื่นในบอร์ดกองสลากฯ เป็นเพียงตัวแทนของแต่ละหน่วยงาน ดังนั้นจึงเชื่อว่าไม่น่าจะมีส่วนรับรู้ในรายละเอียด

ฉีกหน้า อาเซียน

เพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆ อุตส่าห์ปีนป่ายขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐบาลได้สมดังที่ปรารถนา แต่ระยะเวลาเพียง 8-9 เดือน กลับเจอแต่ปัญหาสารพันรุมเร้าไปหมดวันนี้แม้สีหน้าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะยังเก็บอาการไว้ได้ เพราะถือเป็นหนึ่งในบรรดาแถวหน้านักการเมืองของไทยที่ไม่ธรรมดา ชาติตระกูลดี การศึกษาดี มีดีกรีระดับออกซ์ฟอร์ดมาเป็นแบคกราวด์ให้
จนทำให้ในภาพรวมนายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีภาพลักษณ์ภายนอกดูดีการเก็บอาการไว้ภายใต้สีหน้า จึงยังสามารถทำได้ดี ยังสามารถยิ้มได้แม้วันนี้จะรู้แล้วว่า เก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ไขว่คว้าทุกวิถีทางจนได้มานั้น ถือเป็น “ทุกข์ลาภ” ขนานแท้ยิ่งปัญหาหนักที่สุดในเวลานี้ ทั้งท้าทายความสามารถในการบริหารประเทศ ท้าทายภาพลักษณ์ ท้าทายการยอมรับจากบรรดาประเทศเพื่อนบ้านเป็นอย่างมาก ก็คือ กรณีความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา อันมีปมปัญหามาจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณปราสาทเขาพระวิหารวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำประเทศกัมพูชา แสดงออกอย่างชัดเจน ถึงการไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งรับตำแหน่งเป็นประธานกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในเวลานี้ด้วย

การขีดเส้นตายสารพัดนั้น อาจจะสามารถมองได้ว่าเป็นการพยายามแสดงท่าทีของกำลังทางทหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่บรรดาผู้นำทหารผู้นำเหล่าทัพต่างๆ ของไทยจะต้องรับผิดชอบในการรับมือตอบโต้แต่การที่ประกาศชัดเจนว่า จะไม่พูดกับนายอภิสิทธิ์ที่สำคัญพร้อมที่จะฉีกแผนที่ซึ่งนายอภิสิทธิ์ใช้ ต่อหน้าต่อตาโดยไม่ยี่หระนั้นเป็นการประกาศชัดทางการทูตระหว่างประเทศแล้วว่า หมดความเกรงใจใดๆ ทั้งสิ้นแล้วซ้ำยังประกาศชัดเจนว่า อาจจะไม่มาประชุมสุดยอดอาเซียนที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ หากรัฐบาลไทยยังพูดไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาพื้นที่เขาพระวิหารนี่คือ การดิสเครดิตภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์โดยตรงเพราะต้องไม่ลืมว่า ประเทศกัมพูชานั้นเพิ่งเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศอาเซียนหลังสุด โดยการสนับสนุนผลักดันของประเทศไทยนี่เองแล้วการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้ ถือเป็นแมทช์แก้ตัว เป็นแมทช์เรียกภาพลักษณ์กลับคืน หลัง

จากที่การประชุมล่มจนบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ต้องรีบเดินทางหนีออกจากพื้นที่การประชุมที่จังหวัดชลบุรีมาแล้วครั้งนั้นประเทศไทย และนายอภิสิทธิ์ เสียหน้าเสียเครดิตเป็นอย่างมากเพราะประเมินไว้ว่าจะไม่มีปัญหา รัฐบาลคุมกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงอยู่มือแน่ แต่กลับคุมกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินของนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ที่ยังคงมีบารมีการเมืองสูงมาก แม้จะถูกตัดสินให้เว้นวรรคการเมือง 5 ปี ก็ตามเกมให้คนมาก่อกวนและปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง จนเหตุการณ์บานปลาย ทำให้การประชุมสุดยอดอาเซียนล่ม ก็ยังเกิดขึ้นได้และวันนี้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติที่นายอภิสิทธิ์เข้าไปล้วงลูกควบคุม ยังไม่ได้มีการอะไรเพื่อเอาผิดกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินเลยแม้แต่น้อยซึ่งจะต้องรวมไปถึงนายเนวิน ที่มีหลักฐานภาพถ่ายชัดเจนในการนั่งรถมอเตอร์ไซค์ไปดูแลถึงที่เกิดเหตุ และยืนชี้ไม้ชี้มืออย่างใกล้ชิดด้วยตัวเอง จนทำให้การประชุมระดับประเทศที่ไทยเป็นเจ้าภาพต้องพังลงอย่างไม่เป็นท่า

วันนี้พอรัฐบาลจะมีการประชุมสุดยอดอาเซียนใหม่ เพื่อเรียกหน้าตาของการเป็นเจ้าภาพกลับคืนมาให้ได้ กลับมาเจอปัญหากับประเทศกัมพูชาเข้าให้อีกเพราะวันนี้ สมเด็จฯฮุน เซน แสดงแล้วว่า ไม่สนใจเวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่ไทยเป็นเจ้าภาพ แม้ว่าไทยจะเป็นคนสนับสนุนให้กัมพูชาได้เข้ามาเป็นประเทศสมาชิกก็ตามนี่คือการตบหน้ากันตรงๆอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าจุดระเบิดคำพูดแข็งกร้าวของสมเด็จฯฮุน เซน และการแสดงออกว่า ไม่ให้ความสำคัญกับนายอภิสิทธิ์ อีกต่อไปแล้วก็เป็นเพราะความผิดพลาดของรัฐบาลไทยเอง 2 ประการด้วยกันทั้งการแต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ และการปล่อยให้ม็อบพันธมิตร ที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นพื้นที่ละเอียดอ่อน และอ่อนไหวระหว่างประเทศเพียงเพราะหนี้บุญคุณเท่านั้นหรือ ที่นายอภิสิทธิ์ คิดได้ เรื่องบานปลายมาจนถึงวันนี้
แทนที่จะหาทางแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศกลับยังใช้กลไกเดิมๆ ในการโยนบาป โดยให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นชุดที่แต่งตั้งขึ้นมาโดย คมช. และไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ออกมาชี้มูลความผิด นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ กรณีแถลงการณ์ร่วมรัฐบาลไทย-กัมพูชา สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

จนทำให้สังคมงงไปหมดว่า ตกลงหน้าที่ของ ป.ป.ช. คืออะไรกันแน่???เพราะออกมาในจังหวะนี้พอดี ซึ่ง นายกล้านรงค์ จันทิก ก็ยังต้องพูดออกตัวเลยว่า ไม่กังวลว่ามติของ ป.ป.ช.ครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เพราะถือว่าทำตามกฎหมายย่อมสามารถแปลได้ว่า ป.ป.ช.เองก็รู้ว่า ในจังหวะนี้เรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวและสุ่มเสี่ยงแต่ก็ยังเล่นเกมรับลูกสอดคล้องทางการเมืองให้กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์นายกล้านรงค์ ยังอ่านคำแถลงด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ในการได้เสียดสีนายสมัคร ทั้งๆที่วันนี้นายสมัครพ้นจากเวทีการเมืองไปแล้วก็ตาม รวมทั้งอยู่ในระหว่างพักรักษาตัวด้วยจิตใจและท่าทีที่แสดงออกนั้น ต้องยอมรับว่าสะท้อนภาพให้สังคมได้เห็นอย่างชัดเจนความทุ่มเททำงานเช่นนี้ น่าจะให้ ป.ป.ช. ย้อนกลับไปลองสอบ พฤติกรรมในอดีตเกี่ยวกับการมีสัมพันธ์พิเศษกับเมียลูกน้องของผู้มีตำแหน่งหน้าที่ราชการในสังคมของใคร

บางคนเหลือเกิน ที่แทบทุกเช้าเป็นต้องร้อง “ขอกินนมสักจอก”อยู่เรื่อยๆ ... คงจะเป็นคดีที่สนุกพิลึกแต่ก็คงได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่คดีทุจริต จึงไม่ใช่หน้าที่ของ ป.ป.ช. แม้ว่าจริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ ป.ป.ช.ควรจะรู้ไว้บ้างก็ตามแต่เมื่อตอนนี้ทั้ง ป.ป.ช. และรัฐบาล รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ ไม่ว่างเพราะมามะรุมมะตุ้มเรื่องพื้นที่เขาพระวิหาร ด้วยเกมการเมืองในประเทศ ก็คงต้องดูว่าสุดท้ายจะแก้เกมได้อย่างไร เพื่อไม่ให้ไทยต้องเสียเครดิตไปมากกว่านี้เพราะแม้แต่สมเด็จฯฮุน เซน ยังพูดชัดว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเรื่องการเมืองภายในของไทยนั่นเองงามหน้ามั้ยล่ะ

การระบุว่าอาจจะไม่มาร่วมประชุมสุดยอดอาเซียนในไทยของสมเด็จฯฮุน เซน กำลังทำให้เครดิตของไทยในฐานะประเทศเจ้าภาพ และบทบาทประธานกลุ่มประเทศอาเซียน สั่นคลอนอย่างรุนแรงความผิดพลาดของรัฐบาลไทย 2 ประการ

1. คือ การที่นายอภิสิทธิ์ ตกเป็นหนี้บุญคุณของกลุ่มพันธมิตรฯ ในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแบบเร่งรัดตัดทาง จึงจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณด้วยการตั้ง นายกษิต ภิรมย์ ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แล้วว่า นายกษิต เคยกล่าววาจาพาดพิงถึงสมเด็จฮุน เซน เอาไว้เช่นไรดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นมา ตามหน้าที่แล้วกระทรวงต่างประเทศจะต้องมีบทบาทสูงในการเจรจาในการประนีประนอม และในการเดินเกมสันถวไมตรีแต่กระทรวงต่างประเทศทำไม่ได้ เพราะนายกษิตเข้าหน้าสมเด็จฯฮุน เซน ไม่ติด เนื่องมาจากคำพูดที่ไม่มีวุฒิภาวะในอดีตนั้นเองเหมือนๆ กับคำพูด “อาหารอร่อย สนุกดี ดนตรีเพราะ” ที่พูดออกมาแบบไร้วุฒิภาวะ เพราะเป็นเรื่องความเสียหายของประเทศชาติ ชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของประเทศป่นปี้หมด แต่กลับพูดออกมาหน้าตาเฉยจึงทำให้กลายเป็น “วลีบาป” ที่คงจะต้องถูกล้อเลียนไปตลอดชีวิตแน่ความผิดพลาดของนายอภิสิทธิ์ ในการตั้งนายกษิต จึงถือว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์สำหรับปัญหาไทย-กัมพูชาในขณะนี้

2. คือ การตัดสินใจแก้ปัญหาม็อบพันธมิตรฯที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ที่ยกพลไปสร้างภาพความรุนแรง ความแตกแยก ที่บริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร จนกลายเป็นข่าวฉาวไปทั่วโลกชนิดที่แม้แต่แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ยังต้องกระโดดหนี อ้างว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย เป็นการดำเนินการไปเองของนายวีระสุดท้ายรัฐบาล และผู้นำทางทหาร จะเป็นเพราะติดค้างหนี้บุญคุณกลุ่มพันธมิตรฯหรืออะไรก็ตาม แต่กลับแก้ปัญหาซึ่งเกี่ยวพันกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเหลือเชื่อ!!!ว่ารัฐบาลจะกระทำการเช่นนี้ จะเอาใจกลุ่มม็อบมีเส้นขนาดนี้คือให้กลุ่มม็อบของนายวีระ ขึ้นไปประกาศเยิ้วๆ บนพื้นที่พิพาททั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า พื้นที่ดังกล่าวในความรู้สึกของกัมพูชานั้นยังคิดว่าเป็นพื้นที่ของตนเองอยู่และไทยก็ยังเคลียร์ปัญหาในเรื่องนี้ไม่จบการให้กลุ่มม็อบของนายวีระขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ จึงทำให้ทางกัมพูชาไม่พอใจอย่างมาก ดังนั้นหลังจากนั้น ทางสมเด็จฯฮุน เซน จึงได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้นมาในฉับพลัน

'อดิศัย'ขอเลื่อนฟังคำตัดสินหวยบนดิน อ้างป่วยรักษาอยู่สหรัฐ 'เนวิน'ลั่นไปฟังคำตัดสินแน่นอน

"อดิศัย" ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาคดีหวยบนดิน อ้างป่วยบริเวณกระดูกสันหลัง รักษาตัวอยู่สหรัฐ "เนวิน" ประกาศลั่นพร้อมเดินทางไปรับฟังคำตัดสินแน่นอน

"เนวิน"พร้อมฟังคดีหวยบนดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดิน ที่ คตส.โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว) จำเลยที่ 1 , อดีตคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำเลยที่ 31-47 นั้น

มีรายงานว่า นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 21 ได้ยื่นคำร้องต่อองค์คณะผู้พิพากษาขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลป่วยบริเวณกระดูกสันหลังและอยู่ระหว่างรักษาตัวที่สหรัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ศาลอาจมีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไป

ข่าวแจ้งว่านายสบโชค สุขารมณ์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน ยังคงกำหนดนัดประชุมองค์คณะคดีหวยบนดิน 9 คน เพื่อลงมติและออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดินในช่วงเช้าวันที่ 30 กันยายน ตามเดิม เพราะกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องทำคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นและพร้อมอ่านคำพิพากษาในวันที่ศาลนัดโจทก์และจำเลยมาฟังคำพิพากษา ประกอบกับในวันที่ 1 ตุลาคม นายสบโชค ต้องเลื่อนตำแหน่งไปเป็นประธานศาลฎีกา และนายพลรัตน์ ประทุมทาน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา ต้องโยกย้ายไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ทำให้ต้องลงมติคำพิพากษาให้เสร็จ

ด้านนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน กล่าวว่า พร้อมที่จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาอย่างแน่นอน

อัยการแจงปมเป็นพยาน2คดี

ด้านสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงระบุว่า คดีทุจริตกล้ายางที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีข้าราชการระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุดไปเบิกความนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีหมายศาลเรียกตัวนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยานตามที่มีการกำหนดประเด็นในการพิจารณาคดีคือ ข้อที่ไม่สมบูรณ์ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งไปที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐทรัพย์สิน(คตส.) สำหรับคดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯได้มีหมายศาลเรียกตัวนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รอง อสส. ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยาน ตามประเด็นที่ศาลกำหนด โดยการเบิกความนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ต้องรับรองเอกสารซึ่งอยู่ในสำนวนการไต่สวนอยู่แล้ว

"การไปเป็นพยานเป็นไปตามหมายเรียกของศาล ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ต้องไปเป็นพยานตามที่กฎหมายกำหนดและถือเป็นหน้าที่ของผู้รับหมายศาลที่จะต้องไปเบิกความ เพื่อให้ศาลได้ความจริงในการพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความ "แถลงการณ์ระบุ และว่า คดีทุจริตกล้ายางและคดีหวยบนดิน สำนักงานอัยการสูงสุดยังมิได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดย อสส. ยังมิได้พิจารณาสำนวน ขั้นตอน ณ ขณะนั้น คณะทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนแล้วพบข้อที่ไม่สมบูรณ์ จึงได้ดำเนินการแจ้งให้ คตส.ทราบข้อที่ไม่สมบูรณ์เพื่อร่วมกันแก้ไขให้ได้ความครบถ้วนก่อนจะนำขึ้นเสนอ อสส.เพื่อพิจารณาสั่งคดี แต่ทั้งสองคดียังไม่ทันร่วมกันดำเนินการในข้อที่ไม่สมบูรณ์ คตส. ก็ดำเนินการนำคดีไปฟ้องเสียเองก่อน

จตุพรเผยพันธมิตรใช้ คลิปพัทยา'แบล็กเมล์'มาร์ค ม.7




ข่าวสด : เมื่อเวลา 13.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณจากสำนักนายกรัฐมนตรี 300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ทีเอเอ็น ที่มีน.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผอ.สถานี ว่า ขณะนี้ตนมีหลักฐานเป็นเอกสารชัดเจนหมดแล้วว่ารัฐบาลโยกงบประมาณในส่วนไหนไป และจะเตรียมเป็นข้อมูล เพื่อนำไปตั้งกระทู้ถามในวันที่ 1 ต.ค. ที่จะถึงนี้

เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว หากในรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนายสมัคร สุนทรเวช ให้เงินสนับสนุนพีเพิลแชแนล ก็อยู่ไม่ได้ แต่นี่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอาเงินงบประมาณที่กู้มา ไปให้กับเครือข่ายเอเอสทีวีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย อย่างนี้ชาวบ้านจะยอมได้อย่างไร และจำนวนเงินที่มากถึง 300 ล้านบาท เอาไปใช้อะไร หากเอาเงินจำนวนนี้มาเปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมได้ตั้ง 40 กว่าสถานี ดังนั้นจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าเป็นการสมยอมรับใช้เขา
“ผมเองก็สงสัยว่าทำไมต้องยอมเป็นทาสเขาอย่างนี้ ทั้งเรื่องโยนงบประมาณ 300 ล้านบาท หรือการแต่งตั้งผบ.ตร. ก็ไปได้ยินมาว่า ที่ยอมเป็นทาสเขาขนาดนี้ ก็เพราะไปถูกเขาแอบถ่ายคลิปที่พัทยาแล้วถูกเอามาแบล็คเมล์ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหน้าตาดีๆ จะไปมีพฤติกรรมอย่างนี้ได้ เรียกได้ว่ากลับบ้านไปถูกเมียตีแน่นอน” นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ยอมช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรฯ โดยพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการผบ.ตร. ที่ไปลดข้อกล่าวหาการยึดทำเนียบรัฐบาล จากเดิมที่เป็นการก่อการร้าย ก่อกบฎในราชอาณาจักร ที่มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เป็นแค่การบุกรุกสถานที่ราชการ มีความเสียหายแค่ 6 ล้านบาท โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น แต่กับคนเสื้อแดงที่ชุมนุมข้างทำเนียบโดนข้อกล่าวหาจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่ยึดทำเนียบโดนแค่ 3 ปี แล้วขอให้คอยดูต่อไปว่าสุดท้ายคงมีแค่โทษปรับ เพราะเขาช่วยกันกันทั้งหมด จึงอยากบอกพล.ต.อ.ธานี ไว้ว่าเรื่องอย่างนี้คนเสื้อแดงยอมไม่ได้แน่นอน และขอให้ระวังว่าจะติดคุกตอนแก่ เพราะไปนั่งประชุมร่วมกับพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง เพื่อคลี่คลายคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยไปพูดจาว่าจะอุ้มคนนั้นคนนี้ แต่สุดท้ายโดนบันทึกคำสนทนาเหล่านี้ไว้ และจะถูกดำเนินคดีแน่นอน

ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะภารกิจของสำนักนายกฯไม่มีหน้าที่สนับสนุนสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้านายจตุพร มีพยานหลักฐานขอให้เปิดเผยออกมา ตนพร้อมให้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกุเรื่องเท็จ โกหกสร้างความเสียหายให้แก่สำนักนายกและตน ซึ่งพบว่าได้มีการขยายผลในวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งถ้านายจตุพร ไม่มีหลักฐานมายืนยัน เท่ากับว่าเป็นการโกหก ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยออกมายอมรับเสียว่าโกหกเพื่อหวังผลทางการเมือง

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ยังกล่าวถึงภาพเหตุการณ์กลุ่ม นปช. บุกเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย และทุบรถนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกรณีที่กลุ่มนปช. ระบุว่านายกฯไม่ได้อยู่ในรถ ว่า ทางสำนักนายกฯ นำภาพเหตการณ์ดังกล่าวที่เห็นว่านายกฯนั่งอยู่ในรถ เผยแพร่ใน http://factreport.go.th/photo/2009-04-12/426 ซึ่งเป็นภาพที่มีช่างภาพหนังสือพิมพ์ถ่ายไว้ได้ แล้วนำมามอบให้กับนายกฯในภายหลัง ซึ่งภาพนี้เห็นชัดเจนว่านายกฯ อยู่ในรถตลอดเวลาที่กระทรวงมหาดไทย เพราะนักข่าวล่างภาพวิ่งถ่ายรูปตลอดเวลา ดังนั้นถือเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า นายจตุพร พูดนั้นไม่เป็นความจริง ถือเป็นความเท็จทั้งสิ้น ทั้งนี้จะส่งภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ไปให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสภา เพื่อตรวจสอบต่อไป

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

ปฐมเหตุแห่งปัญหา

วันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆ พวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูป การเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ “เบี่ยงเบน”

ท่ามกลางความวิกฤติอันหนักหน่วงของชาติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย อันมีปฐมเหตุมาจากความต้องการ “ประชาธิปไตย” ตามกฎของทุนนิยมที่ครอบงำโลกคนไทยผู้รักชาติ ต่างคิดหามรรควิธีในการแก้ไขกันไปต่างๆ นานา แบบเดียวกับคนยุโรปก่อนการปฏิวัติเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ด้วยอวิชาต่อกฎเกณฑ์ทุนนิยม ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งปัญหา ทำให้ผู้ไม่เข้าถึง ซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทางการเมือง หลงเพียรไปด่าทอ “บุคคล” กันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ปัญหาหลักการ” ของขบวนเผด็จการต่างหาก ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องพังพินาศวันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆพวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูปการเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ“เบี่ยงเบน”ความสนใจของประชาชนที่เดือดร้อน อันเกิดจากระบอบเผด็จการอุบาทว์

เพื่อไม่ให้ประชาชนมองลึกลงไปถึงสมุทัยที่แท้แห่งปัญหาชาติตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการปกครองตามแนวทางระบอบเผด็จการตั้งแต่ พ.ศ.2475 จึงเห็นใครต่อใครต่างโยน ยาผีบอก แห่งการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประชาชนเป็นระยะๆเพื่อรักษา “การปกครองเผด็จการ” ที่สูบเลือดกินแรงประชาชนเอาไว้มาโดยตลอดด้วยเหตุนี้ พวกเผด็จการจึงโยน “การปฏิรูปทางการเมือง” ลงมาใส่ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์

เพื่อลดการกดดันของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ “ทำนาอยู่บนหลังคน”แท้จริงแล้ว “การปฏิรูปการเมือง” (Political Reform)นั้นไม่มีในโลก เพราะ “การเมือง” เป็น Reality เช่นเดียวกับนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถไปปฏิรูปหรือปฏิวัติ เพราะเป็นนามธรรมมนุษย์ทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนแปลง “การปกครอง”คือ เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่ถือครองจากคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำGovernment Reform คือ เปลี่ยนจากเวียง วัง คลัง นาเป็น กระทรวง ทบวง กรม และสถาปนาความเป็นรัฐแห่งชาติให้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อนเช่นเดียวกันคณะราษฎรก็ได้สร้าง “รูปการปกครอง”คือ “ระบบรัฐสภา” ให้เมื่อ พ.ศ.2475การต่อสู้กัน เองระหว่า่ง ผู้ปกครอง
ด้วยกันเองแบบทนุสามานย์ออกไป ทุนจัญไรกลับมา” โดยใช้สีเหลือง-แดงเป็นสัญลักษณ์ได้สร้างความวินาศให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างอเนกอนันต์

ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อพวกเผด็จการประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมด้วยการกำเนิดขึ้นของโรงสีไฟของชาวอเมริกันในปี 2401 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมหาอำนาจ อเมริกา อังกฤษเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย บีบให้เปิดประเทศ

และใช้สนธิสัญญาที่ได้เปรียบเข้ารุกรานทางเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างรุนแรงทำให้ญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทัน เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพงรัฐบาลศักดินาขาดเงินตราในการบริหาร จึงจำต้องเก็บภาษีมหาโหดเมื่อชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนจึง “ลุกขึ้นสู้” (เกิดวิกฤติที่สุดในโลกของญี่ปุ่น) พวกเขาบุกเข้าไปทุบทำลายบ้านพักและทรัพย์สินของพวกขุนนางเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีการเผาโฉนดที่ดินทำกินและสัญญากู้ยืมมหาโหดของพวกโชกุนเจ้าของที่ดินและเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูปที่ดิน” และ “ยกเลิกหนี้สิน” เฉลี่ยทรัพย์ให้เกิดความเป็นธรรมเรียกร้ององค์พระจักรพรรดิให้ขับไล่“บากุฝุ” รัฐบาลศักดินาป่าเถื่อนออกไปเพียงปีเดียวเกิดการจลาจลขนาดใหญ่ถึง43 ครั้ง

การไม่ยอมรับการปกครอง ของประชาชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางส่งผลทำให้ผู้ปกครองเกิดการต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งอำนาจการปกครอง ระหว่าง “นายทุนผูกขาดใหม่” กับ “อำนาจชนชั้นสูงเก่า” ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์พ.ศ.2406 รัฐบาลศักดินาตระกูลโชกุนโตกูกาวา ชื่อ อิเอโมฉิพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการประกาศดำเนินการปกครองแบบใหม่ (ปฏิรูปการเมือง) ด้วยการทำรัฐประหารเพื่อปราบปรามฝ่ายก้าวหน้าและรักษาอำนาจการควบคุมองค์จักรพรรดิไว้ในกำมือตนแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นฝ่ายล้าหลัง!พ.ศ.2410 การต่อสู้ของ “ชาวนา” ได้ประสานเข้ากับ“กรรมกร” ในเขต “ควานโต” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของรัฐบาลต่อมา “กรรมกรญี่ปุ่น” ในแคว้นอื่นๆ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการขับไล่รัฐบาล ทำให้โชกุนโตกูกาวาที่ครองอำนาจมานานถึง 200 ปี ต้องยอมถวายอำนาจคืนให้แก่องค์จักรพรรดิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2411พ.ศ.2411 รัฐบาลเมจิรวมศูนย์อำนาจเป็นรัฐเดียว และทรงทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ด้วยการยกเลิก“ระบอบเผด็จการ”ปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน

และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว หลังจากใช้“กองทัพแห่งชาติ” ปราบขบถในแคว้น “ชัตสุมา”ของตระกูลโตกูกาวาอย่างราบคาบในปี 2420การปฏิวัตินี้เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยของกรรมกร” เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้วทั่วประเทศ ส่งผลทำให้การปฏิวัติของพระจักรพรรดิมีกำลังเข้มแข็งเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ การปฏิวัติของญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติในอังกฤษหรือประเทศใดๆ ที่ไม่ได้ถูกมหาอำนาจรุกราน (จนต้องทำการ “ปฏิวัติประชาชาติ”เพื่อให้ได้ปฏิวัติประชาธิปไตยไปด้วย)ไม่ได้บอกเป็นนัยยะอะไรว่า ประเทศไทยกำลังเดินตามประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก