"อดิศัย" ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษาคดีหวยบนดิน อ้างป่วยบริเวณกระดูกสันหลัง รักษาตัวอยู่สหรัฐ "เนวิน" ประกาศลั่นพร้อมเดินทางไปรับฟังคำตัดสินแน่นอน
"เนวิน"พร้อมฟังคดีหวยบนดิน
ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีศาลฎีกาฯ นัดอ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดิน ที่ คตส.โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี (จำหน่ายคดีออกจากสารบบความชั่วคราว) จำเลยที่ 1 , อดีตคณะรัฐมนตรีชุดรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นจำเลยที่ 31-47 นั้น
มีรายงานว่า นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 21 ได้ยื่นคำร้องต่อองค์คณะผู้พิพากษาขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน โดยอ้างเหตุผลป่วยบริเวณกระดูกสันหลังและอยู่ระหว่างรักษาตัวที่สหรัฐ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ศาลอาจมีการเลื่อนนัดฟังคำพิพากษาออกไป
ข่าวแจ้งว่านายสบโชค สุขารมณ์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน ยังคงกำหนดนัดประชุมองค์คณะคดีหวยบนดิน 9 คน เพื่อลงมติและออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีหวยบนดินในช่วงเช้าวันที่ 30 กันยายน ตามเดิม เพราะกฎหมายกำหนดให้ศาลต้องทำคำพิพากษาให้เสร็จสิ้นและพร้อมอ่านคำพิพากษาในวันที่ศาลนัดโจทก์และจำเลยมาฟังคำพิพากษา ประกอบกับในวันที่ 1 ตุลาคม นายสบโชค ต้องเลื่อนตำแหน่งไปเป็นประธานศาลฎีกา และนายพลรัตน์ ประทุมทาน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา ต้องโยกย้ายไปเป็นผู้พิพากษาอาวุโสประจำสำนักงานอธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ทำให้ต้องลงมติคำพิพากษาให้เสร็จ
ด้านนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่ตกเป็นจำเลยในคดีหวยบนดิน กล่าวว่า พร้อมที่จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาอย่างแน่นอน
อัยการแจงปมเป็นพยาน2คดี
ด้านสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงระบุว่า คดีทุจริตกล้ายางที่ปรากฏเป็นข่าวว่ามีข้าราชการระดับสูงของสำนักงานอัยการสูงสุดไปเบิกความนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีหมายศาลเรียกตัวนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 8 ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยานตามที่มีการกำหนดประเด็นในการพิจารณาคดีคือ ข้อที่ไม่สมบูรณ์ที่สำนักงานอัยการสูงสุดได้แจ้งไปที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐทรัพย์สิน(คตส.) สำหรับคดีหวยบนดิน ศาลฎีกาฯได้มีหมายศาลเรียกตัวนายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด (อสส.) และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รอง อสส. ให้ไปเบิกความ โดยฝ่ายจำเลยเป็นผู้ขอให้ศาลออกหมายเรียกไปเป็นพยาน ตามประเด็นที่ศาลกำหนด โดยการเบิกความนั้นเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ต้องรับรองเอกสารซึ่งอยู่ในสำนวนการไต่สวนอยู่แล้ว
"การไปเป็นพยานเป็นไปตามหมายเรียกของศาล ซึ่งทุกคนมีหน้าที่ต้องไปเป็นพยานตามที่กฎหมายกำหนดและถือเป็นหน้าที่ของผู้รับหมายศาลที่จะต้องไปเบิกความ เพื่อให้ศาลได้ความจริงในการพิจารณาให้ความเป็นธรรมแก่คู่ความ "แถลงการณ์ระบุ และว่า คดีทุจริตกล้ายางและคดีหวยบนดิน สำนักงานอัยการสูงสุดยังมิได้มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดย อสส. ยังมิได้พิจารณาสำนวน ขั้นตอน ณ ขณะนั้น คณะทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาสำนวนแล้วพบข้อที่ไม่สมบูรณ์ จึงได้ดำเนินการแจ้งให้ คตส.ทราบข้อที่ไม่สมบูรณ์เพื่อร่วมกันแก้ไขให้ได้ความครบถ้วนก่อนจะนำขึ้นเสนอ อสส.เพื่อพิจารณาสั่งคดี แต่ทั้งสองคดียังไม่ทันร่วมกันดำเนินการในข้อที่ไม่สมบูรณ์ คตส. ก็ดำเนินการนำคดีไปฟ้องเสียเองก่อน
วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552
จตุพรเผยพันธมิตรใช้ คลิปพัทยา'แบล็กเมล์'มาร์ค ม.7

ข่าวสด : เมื่อเวลา 13.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่รัฐบาลจัดสรรงบประมาณจากสำนักนายกรัฐมนตรี 300 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ทีเอเอ็น ที่มีน.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์ เป็นผอ.สถานี ว่า ขณะนี้ตนมีหลักฐานเป็นเอกสารชัดเจนหมดแล้วว่ารัฐบาลโยกงบประมาณในส่วนไหนไป และจะเตรียมเป็นข้อมูล เพื่อนำไปตั้งกระทู้ถามในวันที่ 1 ต.ค. ที่จะถึงนี้
เรื่องดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะหากเปรียบเทียบกันแล้ว หากในรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือนายสมัคร สุนทรเวช ให้เงินสนับสนุนพีเพิลแชแนล ก็อยู่ไม่ได้ แต่นี่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอาเงินงบประมาณที่กู้มา ไปให้กับเครือข่ายเอเอสทีวีของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เป็นผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย อย่างนี้ชาวบ้านจะยอมได้อย่างไร และจำนวนเงินที่มากถึง 300 ล้านบาท เอาไปใช้อะไร หากเอาเงินจำนวนนี้มาเปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมได้ตั้ง 40 กว่าสถานี ดังนั้นจึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าเป็นการสมยอมรับใช้เขา
“ผมเองก็สงสัยว่าทำไมต้องยอมเป็นทาสเขาอย่างนี้ ทั้งเรื่องโยนงบประมาณ 300 ล้านบาท หรือการแต่งตั้งผบ.ตร. ก็ไปได้ยินมาว่า ที่ยอมเป็นทาสเขาขนาดนี้ ก็เพราะไปถูกเขาแอบถ่ายคลิปที่พัทยาแล้วถูกเอามาแบล็คเมล์ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหน้าตาดีๆ จะไปมีพฤติกรรมอย่างนี้ได้ เรียกได้ว่ากลับบ้านไปถูกเมียตีแน่นอน” นายจตุพร กล่าว
“ผมเองก็สงสัยว่าทำไมต้องยอมเป็นทาสเขาอย่างนี้ ทั้งเรื่องโยนงบประมาณ 300 ล้านบาท หรือการแต่งตั้งผบ.ตร. ก็ไปได้ยินมาว่า ที่ยอมเป็นทาสเขาขนาดนี้ ก็เพราะไปถูกเขาแอบถ่ายคลิปที่พัทยาแล้วถูกเอามาแบล็คเมล์ ซึ่งผมก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนหน้าตาดีๆ จะไปมีพฤติกรรมอย่างนี้ได้ เรียกได้ว่ากลับบ้านไปถูกเมียตีแน่นอน” นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่ยอมช่วยเหลือกลุ่มพันธมิตรฯ โดยพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการผบ.ตร. ที่ไปลดข้อกล่าวหาการยึดทำเนียบรัฐบาล จากเดิมที่เป็นการก่อการร้าย ก่อกบฎในราชอาณาจักร ที่มีโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต เป็นแค่การบุกรุกสถานที่ราชการ มีความเสียหายแค่ 6 ล้านบาท โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีเท่านั้น แต่กับคนเสื้อแดงที่ชุมนุมข้างทำเนียบโดนข้อกล่าวหาจำคุกไม่เกิน 7 ปี แต่ยึดทำเนียบโดนแค่ 3 ปี แล้วขอให้คอยดูต่อไปว่าสุดท้ายคงมีแค่โทษปรับ เพราะเขาช่วยกันกันทั้งหมด จึงอยากบอกพล.ต.อ.ธานี ไว้ว่าเรื่องอย่างนี้คนเสื้อแดงยอมไม่ได้แน่นอน และขอให้ระวังว่าจะติดคุกตอนแก่ เพราะไปนั่งประชุมร่วมกับพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง เพื่อคลี่คลายคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล โดยไปพูดจาว่าจะอุ้มคนนั้นคนนี้ แต่สุดท้ายโดนบันทึกคำสนทนาเหล่านี้ไว้ และจะถูกดำเนินคดีแน่นอน
ด้านนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะภารกิจของสำนักนายกฯไม่มีหน้าที่สนับสนุนสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมช่องใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้านายจตุพร มีพยานหลักฐานขอให้เปิดเผยออกมา ตนพร้อมให้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ ไม่เช่นนั้นจะถือว่าเป็นการกุเรื่องเท็จ โกหกสร้างความเสียหายให้แก่สำนักนายกและตน ซึ่งพบว่าได้มีการขยายผลในวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งถ้านายจตุพร ไม่มีหลักฐานมายืนยัน เท่ากับว่าเป็นการโกหก ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยออกมายอมรับเสียว่าโกหกเพื่อหวังผลทางการเมือง
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ยังกล่าวถึงภาพเหตุการณ์กลุ่ม นปช. บุกเข้าไปในกระทรวงมหาดไทย และทุบรถนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นกรณีที่กลุ่มนปช. ระบุว่านายกฯไม่ได้อยู่ในรถ ว่า ทางสำนักนายกฯ นำภาพเหตการณ์ดังกล่าวที่เห็นว่านายกฯนั่งอยู่ในรถ เผยแพร่ใน http://factreport.go.th/photo/2009-04-12/426 ซึ่งเป็นภาพที่มีช่างภาพหนังสือพิมพ์ถ่ายไว้ได้ แล้วนำมามอบให้กับนายกฯในภายหลัง ซึ่งภาพนี้เห็นชัดเจนว่านายกฯ อยู่ในรถตลอดเวลาที่กระทรวงมหาดไทย เพราะนักข่าวล่างภาพวิ่งถ่ายรูปตลอดเวลา ดังนั้นถือเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า นายจตุพร พูดนั้นไม่เป็นความจริง ถือเป็นความเท็จทั้งสิ้น ทั้งนี้จะส่งภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ไปให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสภา เพื่อตรวจสอบต่อไป
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552
ปฐมเหตุแห่งปัญหา
วันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆ พวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูป การเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ “เบี่ยงเบน”
ท่ามกลางความวิกฤติอันหนักหน่วงของชาติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย อันมีปฐมเหตุมาจากความต้องการ “ประชาธิปไตย” ตามกฎของทุนนิยมที่ครอบงำโลกคนไทยผู้รักชาติ ต่างคิดหามรรควิธีในการแก้ไขกันไปต่างๆ นานา แบบเดียวกับคนยุโรปก่อนการปฏิวัติเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ด้วยอวิชาต่อกฎเกณฑ์ทุนนิยม ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งปัญหา ทำให้ผู้ไม่เข้าถึง ซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทางการเมือง หลงเพียรไปด่าทอ “บุคคล” กันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ปัญหาหลักการ” ของขบวนเผด็จการต่างหาก ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องพังพินาศวันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆพวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูปการเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ“เบี่ยงเบน”ความสนใจของประชาชนที่เดือดร้อน อันเกิดจากระบอบเผด็จการอุบาทว์
เพื่อไม่ให้ประชาชนมองลึกลงไปถึงสมุทัยที่แท้แห่งปัญหาชาติตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการปกครองตามแนวทางระบอบเผด็จการตั้งแต่ พ.ศ.2475 จึงเห็นใครต่อใครต่างโยน ยาผีบอก แห่งการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประชาชนเป็นระยะๆเพื่อรักษา “การปกครองเผด็จการ” ที่สูบเลือดกินแรงประชาชนเอาไว้มาโดยตลอดด้วยเหตุนี้ พวกเผด็จการจึงโยน “การปฏิรูปทางการเมือง” ลงมาใส่ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อลดการกดดันของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ “ทำนาอยู่บนหลังคน”แท้จริงแล้ว “การปฏิรูปการเมือง” (Political Reform)นั้นไม่มีในโลก เพราะ “การเมือง” เป็น Reality เช่นเดียวกับนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถไปปฏิรูปหรือปฏิวัติ เพราะเป็นนามธรรมมนุษย์ทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนแปลง “การปกครอง”คือ เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่ถือครองจากคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำGovernment Reform คือ เปลี่ยนจากเวียง วัง คลัง นาเป็น กระทรวง ทบวง กรม และสถาปนาความเป็นรัฐแห่งชาติให้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อนเช่นเดียวกันคณะราษฎรก็ได้สร้าง “รูปการปกครอง”คือ “ระบบรัฐสภา” ให้เมื่อ พ.ศ.2475การต่อสู้กัน เองระหว่า่ง ผู้ปกครอง
ด้วยกันเองแบบทนุสามานย์ออกไป ทุนจัญไรกลับมา” โดยใช้สีเหลือง-แดงเป็นสัญลักษณ์ได้สร้างความวินาศให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างอเนกอนันต์
ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อพวกเผด็จการประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมด้วยการกำเนิดขึ้นของโรงสีไฟของชาวอเมริกันในปี 2401 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมหาอำนาจ อเมริกา อังกฤษเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย บีบให้เปิดประเทศ
และใช้สนธิสัญญาที่ได้เปรียบเข้ารุกรานทางเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างรุนแรงทำให้ญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทัน เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพงรัฐบาลศักดินาขาดเงินตราในการบริหาร จึงจำต้องเก็บภาษีมหาโหดเมื่อชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนจึง “ลุกขึ้นสู้” (เกิดวิกฤติที่สุดในโลกของญี่ปุ่น) พวกเขาบุกเข้าไปทุบทำลายบ้านพักและทรัพย์สินของพวกขุนนางเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีการเผาโฉนดที่ดินทำกินและสัญญากู้ยืมมหาโหดของพวกโชกุนเจ้าของที่ดินและเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูปที่ดิน” และ “ยกเลิกหนี้สิน” เฉลี่ยทรัพย์ให้เกิดความเป็นธรรมเรียกร้ององค์พระจักรพรรดิให้ขับไล่“บากุฝุ” รัฐบาลศักดินาป่าเถื่อนออกไปเพียงปีเดียวเกิดการจลาจลขนาดใหญ่ถึง43 ครั้ง
การไม่ยอมรับการปกครอง ของประชาชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางส่งผลทำให้ผู้ปกครองเกิดการต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งอำนาจการปกครอง ระหว่าง “นายทุนผูกขาดใหม่” กับ “อำนาจชนชั้นสูงเก่า” ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์พ.ศ.2406 รัฐบาลศักดินาตระกูลโชกุนโตกูกาวา ชื่อ อิเอโมฉิพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการประกาศดำเนินการปกครองแบบใหม่ (ปฏิรูปการเมือง) ด้วยการทำรัฐประหารเพื่อปราบปรามฝ่ายก้าวหน้าและรักษาอำนาจการควบคุมองค์จักรพรรดิไว้ในกำมือตนแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นฝ่ายล้าหลัง!พ.ศ.2410 การต่อสู้ของ “ชาวนา” ได้ประสานเข้ากับ“กรรมกร” ในเขต “ควานโต” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของรัฐบาลต่อมา “กรรมกรญี่ปุ่น” ในแคว้นอื่นๆ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการขับไล่รัฐบาล ทำให้โชกุนโตกูกาวาที่ครองอำนาจมานานถึง 200 ปี ต้องยอมถวายอำนาจคืนให้แก่องค์จักรพรรดิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2411พ.ศ.2411 รัฐบาลเมจิรวมศูนย์อำนาจเป็นรัฐเดียว และทรงทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ด้วยการยกเลิก“ระบอบเผด็จการ”ปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว หลังจากใช้“กองทัพแห่งชาติ” ปราบขบถในแคว้น “ชัตสุมา”ของตระกูลโตกูกาวาอย่างราบคาบในปี 2420การปฏิวัตินี้เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยของกรรมกร” เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้วทั่วประเทศ ส่งผลทำให้การปฏิวัติของพระจักรพรรดิมีกำลังเข้มแข็งเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ การปฏิวัติของญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติในอังกฤษหรือประเทศใดๆ ที่ไม่ได้ถูกมหาอำนาจรุกราน (จนต้องทำการ “ปฏิวัติประชาชาติ”เพื่อให้ได้ปฏิวัติประชาธิปไตยไปด้วย)ไม่ได้บอกเป็นนัยยะอะไรว่า ประเทศไทยกำลังเดินตามประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ท่ามกลางความวิกฤติอันหนักหน่วงของชาติ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมไทย อันมีปฐมเหตุมาจากความต้องการ “ประชาธิปไตย” ตามกฎของทุนนิยมที่ครอบงำโลกคนไทยผู้รักชาติ ต่างคิดหามรรควิธีในการแก้ไขกันไปต่างๆ นานา แบบเดียวกับคนยุโรปก่อนการปฏิวัติเมื่อ 200 ปีก่อนแต่ด้วยอวิชาต่อกฎเกณฑ์ทุนนิยม ซึ่งเป็นปฐมเหตุแห่งปัญหา ทำให้ผู้ไม่เข้าถึง ซึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคทางการเมือง หลงเพียรไปด่าทอ “บุคคล” กันเป็นบ้าเป็นหลังทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว “ปัญหาหลักการ” ของขบวนเผด็จการต่างหาก ที่ทำให้ชาติบ้านเมืองต้องพังพินาศวันใดที่ ประชาชนเกิดวิกฤติศรัทธาต่อเผด็จการมากๆพวกเขาก็จะรีบโยน “กระดูกติดมัน” อ้างว่าเพื่อปฏิรูปการเมือง ที่เรียกว่า “แก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย” เพื่อ “ลดความไม่พอใจ” และ“เบี่ยงเบน”ความสนใจของประชาชนที่เดือดร้อน อันเกิดจากระบอบเผด็จการอุบาทว์
เพื่อไม่ให้ประชาชนมองลึกลงไปถึงสมุทัยที่แท้แห่งปัญหาชาติตลอดระยะเวลา 77 ปี ของการปกครองตามแนวทางระบอบเผด็จการตั้งแต่ พ.ศ.2475 จึงเห็นใครต่อใครต่างโยน ยาผีบอก แห่งการปฏิรูปการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาให้ประชาชนเป็นระยะๆเพื่อรักษา “การปกครองเผด็จการ” ที่สูบเลือดกินแรงประชาชนเอาไว้มาโดยตลอดด้วยเหตุนี้ พวกเผด็จการจึงโยน “การปฏิรูปทางการเมือง” ลงมาใส่ประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อลดการกดดันของประชาชนที่มีต่อระบอบเผด็จการ ที่ใช้เป็นเครื่องมือ “ทำนาอยู่บนหลังคน”แท้จริงแล้ว “การปฏิรูปการเมือง” (Political Reform)นั้นไม่มีในโลก เพราะ “การเมือง” เป็น Reality เช่นเดียวกับนิพพาน ซึ่งไม่มีใครสามารถไปปฏิรูปหรือปฏิวัติ เพราะเป็นนามธรรมมนุษย์ทำได้ก็แค่เพียงเปลี่ยนแปลง “การปกครอง”คือ เปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่ถือครองจากคนส่วนน้อยให้เป็นอำนาจอธิปไตยของประชาชนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทำGovernment Reform คือ เปลี่ยนจากเวียง วัง คลัง นาเป็น กระทรวง ทบวง กรม และสถาปนาความเป็นรัฐแห่งชาติให้แล้วเมื่อ 100 ปีก่อนเช่นเดียวกันคณะราษฎรก็ได้สร้าง “รูปการปกครอง”คือ “ระบบรัฐสภา” ให้เมื่อ พ.ศ.2475การต่อสู้กัน เองระหว่า่ง ผู้ปกครอง
ด้วยกันเองแบบทนุสามานย์ออกไป ทุนจัญไรกลับมา” โดยใช้สีเหลือง-แดงเป็นสัญลักษณ์ได้สร้างความวินาศให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างอเนกอนันต์
ท่ามกลางวิกฤติศรัทธาของประชาชนต่อพวกเผด็จการประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมด้วยการกำเนิดขึ้นของโรงสีไฟของชาวอเมริกันในปี 2401 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่ “สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง”หลังจากที่ญี่ปุ่นถูกมหาอำนาจ อเมริกา อังกฤษเนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และรัสเซีย บีบให้เปิดประเทศ
และใช้สนธิสัญญาที่ได้เปรียบเข้ารุกรานทางเศรษฐกิจสมัยใหม่อย่างรุนแรงทำให้ญี่ปุ่นปรับตัวไม่ทัน เกิดวิกฤติข้าวยากหมากแพงรัฐบาลศักดินาขาดเงินตราในการบริหาร จึงจำต้องเก็บภาษีมหาโหดเมื่อชาวนาทั่วประเทศเดือดร้อนจึง “ลุกขึ้นสู้” (เกิดวิกฤติที่สุดในโลกของญี่ปุ่น) พวกเขาบุกเข้าไปทุบทำลายบ้านพักและทรัพย์สินของพวกขุนนางเจ้าหน้าที่ของรัฐและนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยสูง มีการเผาโฉนดที่ดินทำกินและสัญญากู้ยืมมหาโหดของพวกโชกุนเจ้าของที่ดินและเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูปที่ดิน” และ “ยกเลิกหนี้สิน” เฉลี่ยทรัพย์ให้เกิดความเป็นธรรมเรียกร้ององค์พระจักรพรรดิให้ขับไล่“บากุฝุ” รัฐบาลศักดินาป่าเถื่อนออกไปเพียงปีเดียวเกิดการจลาจลขนาดใหญ่ถึง43 ครั้ง
การไม่ยอมรับการปกครอง ของประชาชนขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางส่งผลทำให้ผู้ปกครองเกิดการต่อสู้กันเอง เพื่อแย่งอำนาจการปกครอง ระหว่าง “นายทุนผูกขาดใหม่” กับ “อำนาจชนชั้นสูงเก่า” ซึ่งเป็นพวกอนุรักษ์พ.ศ.2406 รัฐบาลศักดินาตระกูลโชกุนโตกูกาวา ชื่อ อิเอโมฉิพยายามแก้ไขวิกฤติด้วยการประกาศดำเนินการปกครองแบบใหม่ (ปฏิรูปการเมือง) ด้วยการทำรัฐประหารเพื่อปราบปรามฝ่ายก้าวหน้าและรักษาอำนาจการควบคุมองค์จักรพรรดิไว้ในกำมือตนแต่ก็ล้มเหลวเพราะเป็นฝ่ายล้าหลัง!พ.ศ.2410 การต่อสู้ของ “ชาวนา” ได้ประสานเข้ากับ“กรรมกร” ในเขต “ควานโต” ซึ่งเป็นฐานที่มั่นคงของรัฐบาลต่อมา “กรรมกรญี่ปุ่น” ในแคว้นอื่นๆ ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรในการขับไล่รัฐบาล ทำให้โชกุนโตกูกาวาที่ครองอำนาจมานานถึง 200 ปี ต้องยอมถวายอำนาจคืนให้แก่องค์จักรพรรดิ เมื่อวันที่ 12 พ.ย. 2411พ.ศ.2411 รัฐบาลเมจิรวมศูนย์อำนาจเป็นรัฐเดียว และทรงทำการ “ปฏิวัติประชาธิปไตย” ด้วยการยกเลิก“ระบอบเผด็จการ”ปฏิรูปที่ดินให้ชาวนามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
และทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมขนาดใหญ่อย่างเต็มตัว หลังจากใช้“กองทัพแห่งชาติ” ปราบขบถในแคว้น “ชัตสุมา”ของตระกูลโตกูกาวาอย่างราบคาบในปี 2420การปฏิวัตินี้เรียกว่า “การปฏิวัติประชาธิปไตยของกรรมกร” เพราะเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปอย่างกว้างขวางแล้วทั่วประเทศ ส่งผลทำให้การปฏิวัติของพระจักรพรรดิมีกำลังเข้มแข็งเอาประวัติศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยของญี่ปุ่นมาให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบ การปฏิวัติของญี่ปุ่น ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิวัติในอังกฤษหรือประเทศใดๆ ที่ไม่ได้ถูกมหาอำนาจรุกราน (จนต้องทำการ “ปฏิวัติประชาชาติ”เพื่อให้ได้ปฏิวัติประชาธิปไตยไปด้วย)ไม่ได้บอกเป็นนัยยะอะไรว่า ประเทศไทยกำลังเดินตามประวัติศาสตร์ของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
พันธมิตรคลั่งชาติก่อเรื่องสมใจ-ฮุนเซนสวมบทกร้าวสั่งยิงไทยรุกพระวิหาร
ไอเอ็นเอ็น : สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ระหว่างไปกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีเปิดอาคารกระทรวงการท่องเที่ยวแห่งใหม่ในกรุงพนมเปญ เมื่อ 28 ก.ย. นายกรัฐมนตรีฮุน เซน แห่งกัมพูชา มีคำสั่งให้ทหารกัมพูชาตามพรมแดนยิงคนไทยทุกคนที่ล่วงล้ำดินแดนกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นพลเรือนหรือทหาร ซึ่งถือว่าเป็น “ศัตรูผู้บุกรุก” เข้าไปในกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย ทหาร ตำรวจ และกองกำลังติดอาวุธทั้งหมดของกัมพูชาต้องยึดมั่นในคำสั่งนี้ สำหรับผู้บุกรุก ไม่ต้องใช้โล่ แต่ให้ใช้กระสุนปืน
ฮุน เซน ยังกล่าวโจมตีที่ไทยอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และว่าอาจหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดระหว่างการประชุมอาเซียนในเดือนหน้า เรื่องนี้เป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียว ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะยึดครองดินแดนของกัมพูชา ถ้านายกรัฐมนตรีของไทยหยิบแผนที่ที่เขียนขึ้นแต่ฝ่ายเดียวมาวางตรงหน้าตน ตนจะฉีกมันทิ้ง กัมพูชาไม่ต้องการสงคราม แต่มีสิทธิ์ที่จะทำลายศัตรูในดินแดนของตัวเอง ตนจะยื่นเรื่องนี้ถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถ้าไทยมีพฤติกรรมรุกรานใดๆ
เอเอฟพีระบุด้วยว่า คำกล่าวของฮุน เซน มีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทยไปชุมนุมกันบริเวณพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร เพื่อทวงดินแดนคืน ซึ่งบริเวณดังกล่าวทหารไทยและกัมพูชาเคยปะทะกันแล้วหลายครั้งตั้งแต่ความขัด แย้งปะทุขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว 7 นาย
ฮุน เซน ยังกล่าวโจมตีที่ไทยอ้างกรรมสิทธิ์ในพื้นที่พิพาท 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร และว่าอาจหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดระหว่างการประชุมอาเซียนในเดือนหน้า เรื่องนี้เป็นการกล่าวอ้างแต่ฝ่ายเดียว ด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะยึดครองดินแดนของกัมพูชา ถ้านายกรัฐมนตรีของไทยหยิบแผนที่ที่เขียนขึ้นแต่ฝ่ายเดียวมาวางตรงหน้าตน ตนจะฉีกมันทิ้ง กัมพูชาไม่ต้องการสงคราม แต่มีสิทธิ์ที่จะทำลายศัตรูในดินแดนของตัวเอง ตนจะยื่นเรื่องนี้ถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติถ้าไทยมีพฤติกรรมรุกรานใดๆ
เอเอฟพีระบุด้วยว่า คำกล่าวของฮุน เซน มีขึ้นไม่ถึง 1 สัปดาห์ หลังกลุ่มผู้ประท้วงชาวไทยไปชุมนุมกันบริเวณพื้นที่พิพาทใกล้ปราสาทพระวิหาร เพื่อทวงดินแดนคืน ซึ่งบริเวณดังกล่าวทหารไทยและกัมพูชาเคยปะทะกันแล้วหลายครั้งตั้งแต่ความขัด แย้งปะทุขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ทหารของทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตแล้ว 7 นาย
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552
ภูมิซรอล(ตอนวิหารแห่งความเขลา)

Mekong Review : ภูมิซรอลเป็นแค่หนึ่งในนั้น แต่มีหมู่บ้านเป็นจำนวนมากในเขตพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร ที่พิจารณาแล้วว่า ยังไม่มีความเป็นไทยมากพอ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงตามความเห็นของ ไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งในกลุ่ม 40 สว. ผู้มีจิตใจรักชาติรักแผ่นดินกว่าคนอื่นทั้งหมดในประเทศไทย
แต่เพื่อความสะอาดสดใสของภาษาไทย ก่อนที่จะได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้าน เห็นสมควรเสนอให้ท่านวุฒิสมาชิก เสนอร่างกฎหมายสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อยกเลิกราชาศัพท์ และ ภาษาราชการจำนวนมากที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร จากนั้นจึงดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้านให้สอดคล้องกับภาษาไทยที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว
หมู่บ้านและตำบลที่จะต้องเปลี่ยนชื่อให้เรียงตามลำดับความใกล้ชิดกับปราสาทพระวิหารเป็นสำคัญ กล่าวคือ
อำเภอ กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มี 20 ตำบล ปรากฏว่ามีหมู่บ้านที่มีชื่อไม่เป็นไทยมากกว่าครึ่งดังต่อไปนี้
1 ตำบลเสาธงชัย ซึ่งเป็นเขตปกครองของบ้าน ภูมิซรอล ที่ประชาชนในเขตบ้านนี้ได้แสดงการเป็นปรปักษ์ต่อผู้รักชาติรักแผ่นดินอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดใช้กำลังเข้าประทุษร้ายคณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึง 2 ครั้ง 2 คราในระยะแค่ปีเดียว มีรายชื่อหมู่บ้านที่จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงคือ บ้านภูมิซรอล เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยภูมิซรอล 2 และภูมิซรอลใหม่ นอกจากนี้ยังมีบ้าน ซำเม็ง ที่อยู่ใกล้กัน ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย
2 ตำบล บึงมะลู ให้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยถนนวิหาร โนนเยาะ โนนเปือย โนนดู่ โนนแสนคำ โนนศิริ (โนน เป็นภาษาลาว ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย) ศรีสะอาด (คำว่าสะอาดเป็นภาษาเขมร)
3 ตำบลรุง ประกอบด้วย บ้านโดนเอาว์ และ โดนเอาว์ใต้ เป็นอันดับแรก ตามด้วยบ้านตาทวด
4 ตำบลทุ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยบ้าน กระมอล บ้านตาซุน โนนสะอาด ทุ่งประทาย
5 ตำบลกุดเสลา ให้เปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป และหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยน คือ บ้านกันจาน บ้านซะวาซอ
6 ตำบลสังเมก ให้เปลี่ยนชื่อตำบลด้วยเช่นกัน ส่วนหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยนคือ บ้านตาเหมา บ้านนากันตรม บ้านกันตรมพัฒนา บ้านศรีพนมทอง บ้านสังเม็กตะวันตก บ้านสำโรง
7 ตำบลตระกาจ มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยบ้านซำตารมย์
8 ตำบลภูเงิน เริ่มจากบ้านไพรงาม บ้านนาซำ ซำผักแว่น หนองตระกาศ
9 ตำบลซำ อาจจะต้องเปลี่ยนทั้งตำบล เพราะไม่มีชื่อหมู่บ้านใดแสดงออกถึงความเป็นไทยเลยแม้แต่บ้านเดียว ตั้งแต่บ้านซำ บ้านแจงแมง แจงแมงน้อย แจงแมงเหนือ ซำม่วง 1 และ 2
10 ตำบลกระแซง ยิ่งแล้วใหญ่ ประกอบไปด้วยหมู่บ้านจำนวนมากที่หาความเป็นไทยอะไรไม่ได้เลย เช่นบ้านเขวา บ้านระโยง บ้านซำเบง บ้านจำนรรจ์ บ้านซำเบ็งน้อย บ้านศรีษะอโศก ด้วย หาความเป็นไทยไม่ได้สักคำ
11 ตำบลโนนสำราญ ให้เปลี่ยนชื่อบ้านกระหวัน เป็นอย่างอื่น เพื่อความเป็นไทย
12 ตำบลขนุน ประกอบไปด้วยบ้าน โตนด ตาเครือ นาขนวน บ้านโตนดกลาง
13 ตำบลสวนกล้วย ให้เริ่มตั้งแต่บ้านทุ่งขนวน เป็นต้นไป เพราะมีทั้งเหนือและใต้
14 ตำบลภูผาหมอก ก็ใช่ว่าจะรอด ท่านวุฒิสมาชิกได้สั่งการให้ศึกษาว่า หมู่บ้าน โศกขามป้อม เป็นไทยแค่ไหน ทำไมจึงไม่ชื่อว่า บ้านโคกมะขามป้อม คำว่า โศก สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า โศรก
อำเภอกันทรรมย์ อยู่ใกล้กับอำเภอกันทรลักษ์ ซ้ำยังชื่อพ้องกัน อาจจะได้อิทธิพลจากเขมร เมื่อสำรวจดูแล้ว ปรากฏว่ามีหลายหมู่บ้านในหลายตำบล ไม่มีชื่อเป็นภาษาไทยเลย เช่น ตำบลละทาย มีชื่อหมู่บ้านแปลกๆ เช่น บ้าน เหม้า บ้านกอก บ้านละทาย
อำเภอขุนหาญ แม้ว่า ไม่ติดกับปราสาทพระวิหาร แต่ปรากฏว่ามีชื่อตำบลและหมู่บ้านที่ส่อออกไปทางเขมรเป็นจำนวนมาก เห็นสมควรให้พิจารณาด้วย เริ่มตั้งแต่ตำบลไพร กระหวัน กันทรอม และหลายหมู่บ้านในตำบลเหล่านี้ไม่ได้เป็นภาษาไทยเลยแม้แต่น้อย เช่นบ้านซำเสียน บ้านซำสะโหมง ในตำบลไพรเป็นต้น
อำเภอภูสิงห์ ก็มีหลายหมู่บ้านที่ชื่อเป็นภาษาเขมร เช่นหนองแบกชะนัง โคกทะลอก ฟังยังไงก็ไม่มีทางเป็นภาษาไทยเด็ดขาด
ในจังหวัดศรีสะเกษ นั้นไม่ว่าจะสุ่มจากอำเภอใด ตำบลใด จะต้องปรากฏว่ามีหมู่บ้านและตำบลที่มีชื่อเป็นภาษาเขมรเสมอ หนักเข้าบางหมู่บ้านเป็นส่วย หรือ กุย ด้วยซ้ำไป หากจะสร้างความเป็นไทยกันแล้ว จังหวัดนี้ทั้งหวัดอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อ ยังไม่นับจังหวัดใกล้เคียงที่ก็ไม่ได้น้อยหน้ากัน สุรินทร์ และ บุรีรัมย์ ไม่ได้เป็นรองศรีสะเกษเลยในการเอาภาษาเขมรมาตั้งชื่อหมู่บ้านของตัว
บางทีท่านสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ อาจจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเรื่องชื่อเป็นการเร่งด่วน เพราะไม่เพียงชื่อหมู่บ้าน ตำบล หรือแม้แต่อำเภอ เช่น อำเภอสตึก ไม่ได้เป็นภาษไทยแล้ว ยังปรากฏว่าประชาชนในบริเวณนั้นก็ไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองและลูกหลานเป็นภาษาไทย เช่น บางคนชื่อ เนวิน ฟังยังไง ก็ไม่มีทางเป็นไทยไปได้ (ชื่อไพบูลย์นั้นก็น่าสงสัยยิ่งนักว่าเป็นไทยยังไง) อีกทั้งไม่ได้พากันพูดภาษาไทยอีกด้วย
ในครอบครัวของประชาชนเหล่านี้กลับพากันพูดภาษาเขมรทั้งสิ้น
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ใช้สติปัญญาประกอบการดำเนินการ
แต่เพื่อความสะอาดสดใสของภาษาไทย ก่อนที่จะได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้าน เห็นสมควรเสนอให้ท่านวุฒิสมาชิก เสนอร่างกฎหมายสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อยกเลิกราชาศัพท์ และ ภาษาราชการจำนวนมากที่มีรากศัพท์มาจากภาษาเขมร จากนั้นจึงดำเนินการเปลี่ยนแปลงชื่อหมู่บ้านให้สอดคล้องกับภาษาไทยที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว
หมู่บ้านและตำบลที่จะต้องเปลี่ยนชื่อให้เรียงตามลำดับความใกล้ชิดกับปราสาทพระวิหารเป็นสำคัญ กล่าวคือ
อำเภอ กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ มี 20 ตำบล ปรากฏว่ามีหมู่บ้านที่มีชื่อไม่เป็นไทยมากกว่าครึ่งดังต่อไปนี้
1 ตำบลเสาธงชัย ซึ่งเป็นเขตปกครองของบ้าน ภูมิซรอล ที่ประชาชนในเขตบ้านนี้ได้แสดงการเป็นปรปักษ์ต่อผู้รักชาติรักแผ่นดินอย่างโจ่งแจ้ง ถึงขนาดใช้กำลังเข้าประทุษร้ายคณะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถึง 2 ครั้ง 2 คราในระยะแค่ปีเดียว มีรายชื่อหมู่บ้านที่จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงคือ บ้านภูมิซรอล เป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยภูมิซรอล 2 และภูมิซรอลใหม่ นอกจากนี้ยังมีบ้าน ซำเม็ง ที่อยู่ใกล้กัน ฟังเท่าไหร่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย
2 ตำบล บึงมะลู ให้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยถนนวิหาร โนนเยาะ โนนเปือย โนนดู่ โนนแสนคำ โนนศิริ (โนน เป็นภาษาลาว ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นไทย) ศรีสะอาด (คำว่าสะอาดเป็นภาษาเขมร)
3 ตำบลรุง ประกอบด้วย บ้านโดนเอาว์ และ โดนเอาว์ใต้ เป็นอันดับแรก ตามด้วยบ้านตาทวด
4 ตำบลทุ่งใหญ่ ประกอบไปด้วยบ้าน กระมอล บ้านตาซุน โนนสะอาด ทุ่งประทาย
5 ตำบลกุดเสลา ให้เปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป และหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยน คือ บ้านกันจาน บ้านซะวาซอ
6 ตำบลสังเมก ให้เปลี่ยนชื่อตำบลด้วยเช่นกัน ส่วนหมู่บ้านที่ต้องเปลี่ยนคือ บ้านตาเหมา บ้านนากันตรม บ้านกันตรมพัฒนา บ้านศรีพนมทอง บ้านสังเม็กตะวันตก บ้านสำโรง
7 ตำบลตระกาจ มีความจำเป็นจะต้องเปลี่ยนตั้งแต่ชื่อตำบลเป็นต้นไป ตามด้วยบ้านซำตารมย์
8 ตำบลภูเงิน เริ่มจากบ้านไพรงาม บ้านนาซำ ซำผักแว่น หนองตระกาศ
9 ตำบลซำ อาจจะต้องเปลี่ยนทั้งตำบล เพราะไม่มีชื่อหมู่บ้านใดแสดงออกถึงความเป็นไทยเลยแม้แต่บ้านเดียว ตั้งแต่บ้านซำ บ้านแจงแมง แจงแมงน้อย แจงแมงเหนือ ซำม่วง 1 และ 2
10 ตำบลกระแซง ยิ่งแล้วใหญ่ ประกอบไปด้วยหมู่บ้านจำนวนมากที่หาความเป็นไทยอะไรไม่ได้เลย เช่นบ้านเขวา บ้านระโยง บ้านซำเบง บ้านจำนรรจ์ บ้านซำเบ็งน้อย บ้านศรีษะอโศก ด้วย หาความเป็นไทยไม่ได้สักคำ
11 ตำบลโนนสำราญ ให้เปลี่ยนชื่อบ้านกระหวัน เป็นอย่างอื่น เพื่อความเป็นไทย
12 ตำบลขนุน ประกอบไปด้วยบ้าน โตนด ตาเครือ นาขนวน บ้านโตนดกลาง
13 ตำบลสวนกล้วย ให้เริ่มตั้งแต่บ้านทุ่งขนวน เป็นต้นไป เพราะมีทั้งเหนือและใต้
14 ตำบลภูผาหมอก ก็ใช่ว่าจะรอด ท่านวุฒิสมาชิกได้สั่งการให้ศึกษาว่า หมู่บ้าน โศกขามป้อม เป็นไทยแค่ไหน ทำไมจึงไม่ชื่อว่า บ้านโคกมะขามป้อม คำว่า โศก สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากคำว่า โศรก
อำเภอกันทรรมย์ อยู่ใกล้กับอำเภอกันทรลักษ์ ซ้ำยังชื่อพ้องกัน อาจจะได้อิทธิพลจากเขมร เมื่อสำรวจดูแล้ว ปรากฏว่ามีหลายหมู่บ้านในหลายตำบล ไม่มีชื่อเป็นภาษาไทยเลย เช่น ตำบลละทาย มีชื่อหมู่บ้านแปลกๆ เช่น บ้าน เหม้า บ้านกอก บ้านละทาย
อำเภอขุนหาญ แม้ว่า ไม่ติดกับปราสาทพระวิหาร แต่ปรากฏว่ามีชื่อตำบลและหมู่บ้านที่ส่อออกไปทางเขมรเป็นจำนวนมาก เห็นสมควรให้พิจารณาด้วย เริ่มตั้งแต่ตำบลไพร กระหวัน กันทรอม และหลายหมู่บ้านในตำบลเหล่านี้ไม่ได้เป็นภาษาไทยเลยแม้แต่น้อย เช่นบ้านซำเสียน บ้านซำสะโหมง ในตำบลไพรเป็นต้น
อำเภอภูสิงห์ ก็มีหลายหมู่บ้านที่ชื่อเป็นภาษาเขมร เช่นหนองแบกชะนัง โคกทะลอก ฟังยังไงก็ไม่มีทางเป็นภาษาไทยเด็ดขาด
ในจังหวัดศรีสะเกษ นั้นไม่ว่าจะสุ่มจากอำเภอใด ตำบลใด จะต้องปรากฏว่ามีหมู่บ้านและตำบลที่มีชื่อเป็นภาษาเขมรเสมอ หนักเข้าบางหมู่บ้านเป็นส่วย หรือ กุย ด้วยซ้ำไป หากจะสร้างความเป็นไทยกันแล้ว จังหวัดนี้ทั้งหวัดอาจจะต้องเปลี่ยนชื่อ ยังไม่นับจังหวัดใกล้เคียงที่ก็ไม่ได้น้อยหน้ากัน สุรินทร์ และ บุรีรัมย์ ไม่ได้เป็นรองศรีสะเกษเลยในการเอาภาษาเขมรมาตั้งชื่อหมู่บ้านของตัว
บางทีท่านสมาชิกวุฒิสภาผู้ทรงเกียรติ อาจจะต้องตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาเรื่องชื่อเป็นการเร่งด่วน เพราะไม่เพียงชื่อหมู่บ้าน ตำบล หรือแม้แต่อำเภอ เช่น อำเภอสตึก ไม่ได้เป็นภาษไทยแล้ว ยังปรากฏว่าประชาชนในบริเวณนั้นก็ไม่ได้ตั้งชื่อตัวเองและลูกหลานเป็นภาษาไทย เช่น บางคนชื่อ เนวิน ฟังยังไง ก็ไม่มีทางเป็นไทยไปได้ (ชื่อไพบูลย์นั้นก็น่าสงสัยยิ่งนักว่าเป็นไทยยังไง) อีกทั้งไม่ได้พากันพูดภาษาไทยอีกด้วย
ในครอบครัวของประชาชนเหล่านี้กลับพากันพูดภาษาเขมรทั้งสิ้น
จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา ใช้สติปัญญาประกอบการดำเนินการ
วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2552
ย้อนคดีหวยบนดิน ให้ ครม.'แม้ว'ชดใช้ 3.6หมื่นล้าน ลุ้นศาลฎีกาเลื่อนตัดสิน 30 ก.ย.อดีด ผอ.กลองสลาก ล่องหน
ย้อนรอยคดีหวยบนดินซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอษยาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดจำลยทั้ง 47 คนฟังคำพิพากษา แต่มีปัญหาว่า "สุรสิทธิ์ สังขพงศ์" อดีคผู้อำนวยการกองสลากบินไปต่างประเทศตั้งแต่เดือนสิงหาคม ต้องต้องลุ้นว่า จะต้องเลื่อนอ่านคำตัดสินหรือไม่
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"-ในวันที่ 30 กันยายน 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาการทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งมีจำเลยถึง 47 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม มีจำเลย 1 ใน 47 รายคือ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และอดีตรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลาออกจากราชการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2552 จึงต้องดูว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์จะเดินืทางกลับมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาหรือไม่
***************
สำหรับคดีดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียแก่รัฐ(คตส. )ได้ยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ให้ลงโทษทางอาญาแก่จำเลยและเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 36,000 ล้านบาท โดยองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีนายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษา เจ้าของสำนวน
ทั้งนี้จากการสอบสวนของ คตส. ในคดีดังกล่าวสรุปว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มีการประชุมและมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)และได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหนังสือที่ กค 0100/11415 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2546 เสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 3 ประเด็น คือ
1. ให้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบนดิน)
2 .ให้นำรายได้ส่วนเกินของกองทุนเงินรางวัลหลังหักค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและการจ่ายเงินรางวัลกลับคืนสู่สังคม
3.ได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310 ) และภาษีการพนันตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ในวาระเพิ่มเติม และมีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2546 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอทั้ง 3 ข้อ และมีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตามโครงการตั้งแต่งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ถึงงวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เริ่มนำเงินที่ได้จากโครงการไปใช้ตามมติข้อที่ 2 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 ถึง 14 กันยายน 2549 เป็นเงิน 16,027,505,235.94 บาท และตามมติข้อ 3 ในเรื่องการยกเว้นและลดหย่อนภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ไม่ได้ชำระจำนวน 8,809,155,737.38 บาท , ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของส่วนลดการจำหน่ายขาดไป 161,585,172.84 บาท ภาษีตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ1 (4) ขาดไปจำนวน 12,792,152,581.50 บาท และภาษีท้องที่ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 17 ข้อที่ไม่ได้ชำระจำนวน 336,635,594.25 บาท
จากการไต่สวนรวมถึงการสอบปากคำพยาน คตส.มีความเห็นว่าโ ครงการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการออกสลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่เป็นการออกสลากกินรวบโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย และเห็นว่าการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังนี้
1. มติข้อ 1. ที่ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบดิน) ถือเป็นสลากกินรวบเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 5 และมาตรา 9 ในส่วนของ ครม. ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติอนุมัติให้ดำเนินการออกสลากฯ โดยฝ่าฝืนนั้น เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากกินแบ่งฯ โดยจะต้องใช้ทรัพย์สินและบุคคลของสำนักงานฯ มาดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นความเสียหายที่เห็นได้อยู่ในตัว
การอนุมัติข้อ 1 เพื่อให้เกิดข้อ 2 เป็นข้อบ่งบอกให้เห็นว่า ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ที่ได้จากการดำเนินการตามมติข้อ 1 ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เข้าหลักเกณฑ์ ของการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเข้าองค์ประกอบทั้งสองประการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เร่งรัดให้ในการดำเนินการในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้มีการกระทำความผิด
ส่วนครม.ที่เข้าร่วมประชุม นั้นได้เข้าประชุมโดยรู้สำนึกในการกระทำและประสงค์ต่อผลในเรื่องที่เข้าประชุม การมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดไปนั้น ก็มีมติไปในขณะที่รู้สำนึกในการกระทำมีความรับผิดชอบตามหน้าที่ ส่วนที่จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่น่าจะอ้างได้ จึงถือว่า ครม.ที่เข้าร่วมประชุมทุกคน และมีมติมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 ด้วย
สำหรับคณะกรรมการสลากกินแบ่งนั้น มีฐานะเป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติไว้ในกฎหมาย การที่ร่วมกันมีมติเสนอโครงการจนกระทั่ง ครม.มีมติอนุมัติ ถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่บัญญัติไว้ในพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
2. มติข้อ 2 ที่ให้นำรายได้คืนสู่สังคมนั้นเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491มาตรา 4 และ มาตรา 13 และพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 23และ มาตรา 27 ทั้งนี้ การปฎิบัติหน้าที่ในฐานะครม. มีมติให้นำเงินของหน่วยงานรัฐออกไปใช้ โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะนำออกไปใช้หรือมีมติให้นำออกไปใช้นั้น
-เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ คือ สำนักงานสลากกินแบ่ง และเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบเป็นการทุจริตอันเข้าลักษณะที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
-มติดังกล่าวนั้นเป็นการก่อให้เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด จ่ายทรัพย์ไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153
-ก่อให้พนักงานซึ่งมีหน้าที่จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นตามกฎหมาย จึงต้องถือว่า ครม. ที่มีมติดังกล่าวนั้นเป็นผู้ใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153 และเป็นผู้ใช้ให้พนักงานในองค์การของรัฐกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดต่อพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานขงอรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 10
สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง และนายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานสลากฯ นั้นมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่จะต้องดูแลสำนักงานสลากฯ การที่บุคคลทั้งสาม เข้าไปร่วมมีมติให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม ซึ่งฝ่าฝืนต่อพ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 เป็นการเข้าไปมีสว่นได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นอันเนื่องด้วยกิจการของสำนักงานสลากฯ เข้าลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 อีกบทหนึ่งด้วย
ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติให้เสนอโครงการและต่อมามีมติให้ดำเนินการจ่ายเงินตามมติครม.นั้น คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ถือว่า เป็นพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการของสำนักงานสลากฯ การที่เสนอ ให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ. สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 นั้นการกระทำของคณะกรรมการสลากฯ เป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และเป็นผู้ใช้พนักงานที่มีหน้าที่จ่ายทรัพย์จ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายมาตรา 10 การกระทำของครม.และคณะกรรมการสลากฯ เป็นทั้งตัวการร่วมกันและเป็นผู้ใช้และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3. มติข้อ 3 ที่ให้ลดหย่อนและยกเว้นภาษีนั้น คตส. พิจารณาแล้วเห็นว่า มติ นี้ เป็นการขัดต่อกฎหมายฝ่าฝืน พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310) พ.ศ. 2540 มาตรา 5 จตุทศ และฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2543 ) ออกตามความในพรย.การพนัน พ.ศ. 2478 และถือเป็นคำบงการหรือเป็นส่วนก่อให้เกิดการละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรของเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1574 นอกเหนือจากการมีมติในส่วนนี้จะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157
คตส.จึงมีมติเห็นว่า
1.การกระทำของครม. ที่มีมติ ในส่วนนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,86,154 และ 157 และเป็นความคิดตามพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานจของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ส่วนคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติเกี่ยวข้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,84,86 , 154 และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
สำหรับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหายจากโครงการฯ นี้ ประกอบไปด้วย สำนักงานสลากฯ แยกเป็นเงินที่มีการอนุมัติให้นำไปจ่ายตามโครงการฯ ต่าง จำนวน 13,679,596,802.79 บาท และจ่ายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2,347,908,433.15 บาท รวมจำนวนเงินทั้งหมด 16,027,505,235.94 บาท (ระหว่างการไต่สวน มีหน่วยงานที่รับเงินไปคืนมาให้สำนักงานสลากฯ จำนวน 1,165,206,460.00 บาท คงเหลือส่วนที่เสียหายจำนวน 14,862,298,775.94 บาท
2. กระทรวงการคลัง ในส่วนของการขาดภาษีอากรที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ หัก ณ ที่ จ่าย จากส่วนลดการจำหน่ายไว้จำนวน 161,585,172.84 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายได้จากการจำหน่ายสลากตามราคาทั้งหมด เป็นยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่กระทรวงการคลัง ต้องขาดรายได้ไป จำนวน 8,809,155.737.38 บาท ซึ่งถือว่า เป็นค่าเสียหายในส่วนของกระทรวงการคลัง จำนวน 8,970,740,910.22 บาท
3. กระทรวงมหาดไทย ในส่วนของภาษีตามพรบ.การพนัน ที่ต้องชำระ ในส่วนที่หักไม่ครบถ้วน โดยจะต้องชำระ ร้อยละ 10 ของยอดราคาสลากแต่หักไว้เพียงร้อยละ 0.5 รวมเป็นจำนวนเงิน 12,792,152,581.50 บาท
4. กรุงเทพมหานคร ในฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่นขาดรายได้ภาษีท้องถิ่น ไป รวมเป็นเงิน 336,635,594.25 บาท
รวมค่าเสียหายของหน่วยงานทั้งหมดเป็นเงิน 36,961,827,861.91 บาท โดยในส่วนของ ครม. ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนความเสียหาย ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ จะต้องรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่แต่ละคนเข้าไปร่วมประชุมและมีมติอนุมัติไป
สำหรับรายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ มีจำนวน 47 คน ประกอบไปด้วย
1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 4.นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี 5.นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
6.ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 7.นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี 8.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรี (รมว.) ว่าการกระทรวงกลาโหม 9.ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมว.คลัง 10.นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ว่าการกระทรวงการคลัง
11.นายสนธยา คุณปลื้ม อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 12.นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 13.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ 14.นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ 15.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
16.นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตรมช.คมนาคม 17.นายนิกร จำนง อดีต รมช.คมนาคม 18.นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 19.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 20.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีต รมว.พลังงาน
21.นายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ 22.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์ 23.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีต รมว.มหาดไทย 24.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ยุติธรรม 25.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมว.แรงงาน
26.นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีต รมว.วัฒนธรรม 27.นายพินิจ จารุสมบัติ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 28.นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข 29.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีต รมช.สาธารณสุข 30.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.อุตสาหกรรม
31.นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล 32.นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 33.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย 34.นายพรชัย นุชสุวรรณ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 35.นางสาวสุรีพร ดวงโต ในฐานะผู้แทนกรมบัญชีกลาง
36.นายณัฐวิช อินทุภูมิ ในฐานะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 37.นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 38.นายกำธร ตติยกวี 39.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 40.นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
41.นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 42.พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ 43.นางสตรี ประทีปปะเสน ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 44.นายอำนวยศักดิ์ พูลศิริ 45.พล.ต.ท.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
46.นายบัณฑูร สุภัควณิช ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ และ 47.นางอรอนงค์ มณีกาญจน์ ผู้แทนกรมบัญชีกลางซึ่งเป็นกรรมการ (บอร์ด) สลากกินแบ่งรัฐบาล
หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"-ในวันที่ 30 กันยายน 2552 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาการทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งมีจำเลยถึง 47 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะกรรมการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม มีจำเลย 1 ใน 47 รายคือ พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และอดีตรองผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลาออกจากราชการเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณต้นเดือนสิงหาคม 2552 จึงต้องดูว่า พล.ต.ต.สุรสิทธิ์จะเดินืทางกลับมาฟังคำพิพากษาหรือไม่ และจะเป็นเหตุให้ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาหรือไม่
***************
สำหรับคดีดังกล่าว คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียแก่รัฐ(คตส. )ได้ยื่นฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2551 ให้ลงโทษทางอาญาแก่จำเลยและเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 36,000 ล้านบาท โดยองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีนายรุ่งโรจน์ รื่นเริงวงศ์ รองประธานศาลฎีกา ผู้พิพากษา เจ้าของสำนวน
ทั้งนี้จากการสอบสวนของ คตส. ในคดีดังกล่าวสรุปว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล มีการประชุมและมีมติเห็นชอบในหลักการเกี่ยวกับโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2ตัว (หวยบนดิน)และได้เสนอกระทรวงการคลังพิจารณา ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำหนังสือที่ กค 0100/11415 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2546 เสนอขออนุมัติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใน 3 ประเด็น คือ
1. ให้ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบนดิน)
2 .ให้นำรายได้ส่วนเกินของกองทุนเงินรางวัลหลังหักค่าใช้จ่ายในการบริหารงานและการจ่ายเงินรางวัลกลับคืนสู่สังคม
3.ได้รับยกเว้นและลดหย่อนภาษีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310 ) และภาษีการพนันตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุม ครม. ในวาระเพิ่มเติม และมีมติเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2546 เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอทั้ง 3 ข้อ และมีการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตามโครงการตั้งแต่งวดวันที่ 1 สิงหาคม 2546 ถึงงวดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลได้เริ่มนำเงินที่ได้จากโครงการไปใช้ตามมติข้อที่ 2 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547 ถึง 14 กันยายน 2549 เป็นเงิน 16,027,505,235.94 บาท และตามมติข้อ 3 ในเรื่องการยกเว้นและลดหย่อนภาษีอากรที่เกี่ยวข้อง คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ไม่ได้ชำระจำนวน 8,809,155,737.38 บาท , ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของส่วนลดการจำหน่ายขาดไป 161,585,172.84 บาท ภาษีตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ1 (4) ขาดไปจำนวน 12,792,152,581.50 บาท และภาษีท้องที่ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 17 ข้อที่ไม่ได้ชำระจำนวน 336,635,594.25 บาท
จากการไต่สวนรวมถึงการสอบปากคำพยาน คตส.มีความเห็นว่าโ ครงการดังกล่าวไม่ใช่เป็นการออกสลากการกุศลหรือสลากกินแบ่งรัฐบาล แต่เป็นการออกสลากกินรวบโดยได้รับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทย และเห็นว่าการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังนี้
1. มติข้อ 1. ที่ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว (หวยบดิน) ถือเป็นสลากกินรวบเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 5 และมาตรา 9 ในส่วนของ ครม. ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติอนุมัติให้ดำเนินการออกสลากฯ โดยฝ่าฝืนนั้น เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากกินแบ่งฯ โดยจะต้องใช้ทรัพย์สินและบุคคลของสำนักงานฯ มาดำเนินการตามโครงการดังกล่าว เป็นความเสียหายที่เห็นได้อยู่ในตัว
การอนุมัติข้อ 1 เพื่อให้เกิดข้อ 2 เป็นข้อบ่งบอกให้เห็นว่า ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ ที่ได้จากการดำเนินการตามมติข้อ 1 ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย เข้าหลักเกณฑ์ ของการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตซึ่งเข้าองค์ประกอบทั้งสองประการที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เร่งรัดให้ในการดำเนินการในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการก่อให้มีการกระทำความผิด
ส่วนครม.ที่เข้าร่วมประชุม นั้นได้เข้าประชุมโดยรู้สำนึกในการกระทำและประสงค์ต่อผลในเรื่องที่เข้าประชุม การมีมติอย่างหนึ่งอย่างใดไปนั้น ก็มีมติไปในขณะที่รู้สำนึกในการกระทำมีความรับผิดชอบตามหน้าที่ ส่วนที่จะอ้างว่าไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่น่าจะอ้างได้ จึงถือว่า ครม.ที่เข้าร่วมประชุมทุกคน และมีมติมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 157 ด้วย
สำหรับคณะกรรมการสลากกินแบ่งนั้น มีฐานะเป็นพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติไว้ในกฎหมาย การที่ร่วมกันมีมติเสนอโครงการจนกระทั่ง ครม.มีมติอนุมัติ ถือว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริตที่บัญญัติไว้ในพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
2. มติข้อ 2 ที่ให้นำรายได้คืนสู่สังคมนั้นเป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติเงินคงคลัง พ.ศ. 2491มาตรา 4 และ มาตรา 13 และพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. 2517 มาตรา 23และ มาตรา 27 ทั้งนี้ การปฎิบัติหน้าที่ในฐานะครม. มีมติให้นำเงินของหน่วยงานรัฐออกไปใช้ โดยไม่มีสิทธิ์ที่จะนำออกไปใช้หรือมีมติให้นำออกไปใช้นั้น
-เป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ คือ สำนักงานสลากกินแบ่ง และเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่แสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบเป็นการทุจริตอันเข้าลักษณะที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
-มติดังกล่าวนั้นเป็นการก่อให้เจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด จ่ายทรัพย์ไปโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันมีลักษณะเป็นการเบียดบังทรัพย์นั้น เป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153
-ก่อให้พนักงานซึ่งมีหน้าที่จ่ายทรัพย์นั้นเกินกว่าที่ควรจ่ายเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นตามกฎหมาย จึงต้องถือว่า ครม. ที่มีมติดังกล่าวนั้นเป็นผู้ใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,153 และเป็นผู้ใช้ให้พนักงานในองค์การของรัฐกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดต่อพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานขงอรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 10
สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ รมว.คลัง และนายวราเทพ รัตนากร รมช.คลัง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานสลากฯ นั้นมีอำนาจหน้าที่ตามระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่จะต้องดูแลสำนักงานสลากฯ การที่บุคคลทั้งสาม เข้าไปร่วมมีมติให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม ซึ่งฝ่าฝืนต่อพ.ร.บ.สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 เป็นการเข้าไปมีสว่นได้ส่วนเสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นอันเนื่องด้วยกิจการของสำนักงานสลากฯ เข้าลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 152 อีกบทหนึ่งด้วย
ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติให้เสนอโครงการและต่อมามีมติให้ดำเนินการจ่ายเงินตามมติครม.นั้น คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ถือว่า เป็นพนักงานที่มีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการของสำนักงานสลากฯ การที่เสนอ ให้นำเงินรายได้ของสำนักงานสลากฯ ไปจ่ายคืนสู่สังคม อันเป็นการฝ่าฝืนพ.ร.บ. สำนักงานสลากฯ พ.ศ.2517 มาตรา 23 และ 27 นั้นการกระทำของคณะกรรมการสลากฯ เป็นความผิดตาม พรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การฯ มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และเป็นผู้ใช้พนักงานที่มีหน้าที่จ่ายทรัพย์จ่ายทรัพย์เกินกว่าที่ควรจ่ายมาตรา 10 การกระทำของครม.และคณะกรรมการสลากฯ เป็นทั้งตัวการร่วมกันและเป็นผู้ใช้และสนับสนุนซึ่งกันและกัน
3. มติข้อ 3 ที่ให้ลดหย่อนและยกเว้นภาษีนั้น คตส. พิจารณาแล้วเห็นว่า มติ นี้ เป็นการขัดต่อกฎหมายฝ่าฝืน พระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 310) พ.ศ. 2540 มาตรา 5 จตุทศ และฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ.2543 ) ออกตามความในพรย.การพนัน พ.ศ. 2478 และถือเป็นคำบงการหรือเป็นส่วนก่อให้เกิดการละเว้นไม่เรียกเก็บภาษีอากรของเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่เรียกเก็บหรือตรวจสอบภาษีอากรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1574 นอกเหนือจากการมีมติในส่วนนี้จะเป็นการปฎิบัติหน้าที่ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานสลากฯ และปฎิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามมาตรา 157
คตส.จึงมีมติเห็นว่า
1.การกระทำของครม. ที่มีมติ ในส่วนนี้มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,84,86,154 และ 157 และเป็นความคิดตามพรบ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานจของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 ส่วนคณะกรรมการสลากฯ ที่มีมติเกี่ยวข้อง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ,84,86 , 154 และความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11
สำหรับหน่วยงานที่ได้รับความเสียหายจากโครงการฯ นี้ ประกอบไปด้วย สำนักงานสลากฯ แยกเป็นเงินที่มีการอนุมัติให้นำไปจ่ายตามโครงการฯ ต่าง จำนวน 13,679,596,802.79 บาท และจ่ายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 2,347,908,433.15 บาท รวมจำนวนเงินทั้งหมด 16,027,505,235.94 บาท (ระหว่างการไต่สวน มีหน่วยงานที่รับเงินไปคืนมาให้สำนักงานสลากฯ จำนวน 1,165,206,460.00 บาท คงเหลือส่วนที่เสียหายจำนวน 14,862,298,775.94 บาท
2. กระทรวงการคลัง ในส่วนของการขาดภาษีอากรที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ หัก ณ ที่ จ่าย จากส่วนลดการจำหน่ายไว้จำนวน 161,585,172.84 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายได้จากการจำหน่ายสลากตามราคาทั้งหมด เป็นยอดภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่กระทรวงการคลัง ต้องขาดรายได้ไป จำนวน 8,809,155.737.38 บาท ซึ่งถือว่า เป็นค่าเสียหายในส่วนของกระทรวงการคลัง จำนวน 8,970,740,910.22 บาท
3. กระทรวงมหาดไทย ในส่วนของภาษีตามพรบ.การพนัน ที่ต้องชำระ ในส่วนที่หักไม่ครบถ้วน โดยจะต้องชำระ ร้อยละ 10 ของยอดราคาสลากแต่หักไว้เพียงร้อยละ 0.5 รวมเป็นจำนวนเงิน 12,792,152,581.50 บาท
4. กรุงเทพมหานคร ในฐานะเป็นราชการส่วนท้องถิ่นขาดรายได้ภาษีท้องถิ่น ไป รวมเป็นเงิน 336,635,594.25 บาท
รวมค่าเสียหายของหน่วยงานทั้งหมดเป็นเงิน 36,961,827,861.91 บาท โดยในส่วนของ ครม. ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบเต็มจำนวนความเสียหาย ในส่วนของคณะกรรมการสลากฯ จะต้องรับผิดชอบตามจำนวนเงินที่แต่ละคนเข้าไปร่วมประชุมและมีมติอนุมัติไป
สำหรับรายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ มีจำนวน 47 คน ประกอบไปด้วย
1.พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 2.พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 3.นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 4.นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี 5.นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
6.ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี 7.นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี 8.พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรี (รมว.) ว่าการกระทรวงกลาโหม 9.ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมว.คลัง 10.นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ว่าการกระทรวงการคลัง
11.นายสนธยา คุณปลื้ม อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา 12.นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ 13.นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ 14.นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์ 15.นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
16.นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตรมช.คมนาคม 17.นายนิกร จำนง อดีต รมช.คมนาคม 18.นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 19.นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 20.นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีต รมว.พลังงาน
21.นายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์ 22.นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์ 23.นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีต รมว.มหาดไทย 24.นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ยุติธรรม 25.นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมว.แรงงาน
26.นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีต รมว.วัฒนธรรม 27.นายพินิจ จารุสมบัติ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 28.นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข 29.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีต รมช.สาธารณสุข 30.นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.อุตสาหกรรม
31.นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล 32.นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง 33.นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย 34.นายพรชัย นุชสุวรรณ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 35.นางสาวสุรีพร ดวงโต ในฐานะผู้แทนกรมบัญชีกลาง
36.นายณัฐวิช อินทุภูมิ ในฐานะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย 37.นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 38.นายกำธร ตติยกวี 39.พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 40.นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
41.นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 42.พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์ 43.นางสตรี ประทีปปะเสน ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ 44.นายอำนวยศักดิ์ พูลศิริ 45.พล.ต.ท.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
46.นายบัณฑูร สุภัควณิช ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ และ 47.นางอรอนงค์ มณีกาญจน์ ผู้แทนกรมบัญชีกลางซึ่งเป็นกรรมการ (บอร์ด) สลากกินแบ่งรัฐบาล
วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552
ไทม์ชี้'มาร์ค'แค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดโกง แก้วิกฤตไม่ได้ ระบุมะกันวิตกสถานการณ์การเมือง ให้เงินฟื้น ปชต.
นิตยสารไทม์แพร่บทความ เปรียบ "มาร์ค" สะพานเชื่อม 2 ขั้ว ฟื้นฟูความเชื่อมั่นประชาธิปไตย บอกแค่ภาพลักษณ์ดี ปลอดคอร์รัปชั่นแก้วิกฤตไม่ได้ อ้างสหรัฐเป็นกังวลสถานการณ์ ให้เงินฟื้นปชต.ที่ไม่เคยเกิดในรอบ 15 ปี
"ไทม์"ระบุ"มาร์ค"พยายามฟื้นฟูปชต.
เมื่อวันที่ 26 กันยายน รายงานข่าวแจ้งว่า นิตยสารไทม์ รายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา ฉบับตีพิมพ์วันที่ล่วงหน้าวันที่ 5 ตุลาคม เผยแพร่บทความของฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย ที่เข้าพบสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และร่วมสังเกตการณ์การประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน โดยผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีวัย 45 ปีของไทยดูสบายๆ กับการทำหน้าที่เชิงการทูตระหว่างประเทศ มากกว่าการต้องเผชิญหน้ากับหลากหลายประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดแย้งรุนแรงในประเทศ
ฮันนาห์ บีช ระบุว่า ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวนายกรัฐมนตรี ตรงกันข้ามนายอภิสิทธิ์กลับพยายามอย่างมากที่จะฟื้นฟูสถาบันประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากจากความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และอ้างความเห็นของสุนัย ผาสุก ตัวแทนองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทยไว้ว่า นายกฯคนนี้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งคนแรกที่ประกาศจะใช้สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนำหน้าในการบริหารของรัฐบาลเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติขึ้น แต่ไม่มีอำนาจพอที่จะขับเคลื่อนรัฐบาลผสมให้แปรคำพูดเป็นการกระทำจริงๆ ได้ ซึ่งนายกฯปฏิเสธ โดยระบุว่า ทุกอย่างยังคงรุดหน้าเพียงแต่จำเป็นต้องให้แน่ใจว่า คนกลุ่มน้อยที่โน้มเอียงไปในทางใช้ความรุนแรงและก่อเหตุโกลาหล จะไม่สามารถสร้างความยากลำบากให้เกิดขึ้นกับประเทศได้เท่านั้น
ชี้สหรัฐวิตกให้เงินสร้างปชต.ในไทย
ผู้สื่อข่าวไทม์ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองในไทยยังอยู่ในสภาพน่าวิตก ความขัดแย้งทางการเมืองมักนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มและฝักฝ่าย ทำให้การสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้มีคนไทยเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เห็นว่า ประเทศกำลังเดินไปถูกทาง
"จริงๆ แล้ว สหรัฐวิตกกับสภาวการณ์ในเมืองไทยมากถึงขนาดตัดสินใจมอบเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเสด) เพื่อดำเนินการสร้างประชาธิปไตยขึ้นในไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 15 ปีแล้ว"ข้อเขียนดังกล่าวระบุ
เปรียบ"มาร์ค"เป็นสะพานเชื่อม2กลุ่ม
บทความของไทม์เปรียบเปรยนายกฯไทยว่าเป็นเสมือน "คนที่อยู่ตรงกลาง"ซึ่งนอกจากจะต้องพยายามทำตัวเป็นสะพานระหว่าง 2 กลุ่ม และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้ง แต่เพียงแค่มีภาพลักษณ์สะอาด ปลอดคอร์รัปชั่นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการเมืองภายใน ต้องเริ่มตั้งแต่ภายในรัฐบาลผสมด้วยกันเองก่อน
ฮันนาห์ บีช ยังระบุว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับตรงๆ ถึงความยากลำบากที่ประเทศไทยและรัฐบาลของตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่ได้มีผู้นำทางการเมืองที่มีศักยภาพมากมายเพียงพอที่จะทำอะไรๆ ได้ดีกว่าที่นายอภิสิทธิ์กำลังดำเนินการ
"เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องให้แน่ใจว่าสามารถสถาปนาเสาหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยให้เข้าที่เข้าทางได้โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับสิ่งที่มองกันว่าประชาธิปไตยคือการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ เราต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวให้ได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
"ไทม์"ระบุ"มาร์ค"พยายามฟื้นฟูปชต.
เมื่อวันที่ 26 กันยายน รายงานข่าวแจ้งว่า นิตยสารไทม์ รายสัปดาห์ของสหรัฐอเมริกา ฉบับตีพิมพ์วันที่ล่วงหน้าวันที่ 5 ตุลาคม เผยแพร่บทความของฮันนาห์ บีช ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย ที่เข้าพบสัมภาษณ์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนหน้าที่จะเดินทางไปร่วมการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และร่วมสังเกตการณ์การประชุมกลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ หรือจี 20 ในฐานะประธานอาเซียน โดยผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า นายกรัฐมนตรีวัย 45 ปีของไทยดูสบายๆ กับการทำหน้าที่เชิงการทูตระหว่างประเทศ มากกว่าการต้องเผชิญหน้ากับหลากหลายประเด็นทางการเมืองโดยเฉพาะความขัดแย้งรุนแรงในประเทศ
ฮันนาห์ บีช ระบุว่า ความแตกแยกขัดแย้งทางการเมืองในไทยไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวนายกรัฐมนตรี ตรงกันข้ามนายอภิสิทธิ์กลับพยายามอย่างมากที่จะฟื้นฟูสถาบันประชาธิปไตยที่เสื่อมถอยลงอย่างมากจากความแตกแยกในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และอ้างความเห็นของสุนัย ผาสุก ตัวแทนองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ประจำประเทศไทยไว้ว่า นายกฯคนนี้เป็นนายกฯจากการเลือกตั้งคนแรกที่ประกาศจะใช้สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมนำหน้าในการบริหารของรัฐบาลเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติขึ้น แต่ไม่มีอำนาจพอที่จะขับเคลื่อนรัฐบาลผสมให้แปรคำพูดเป็นการกระทำจริงๆ ได้ ซึ่งนายกฯปฏิเสธ โดยระบุว่า ทุกอย่างยังคงรุดหน้าเพียงแต่จำเป็นต้องให้แน่ใจว่า คนกลุ่มน้อยที่โน้มเอียงไปในทางใช้ความรุนแรงและก่อเหตุโกลาหล จะไม่สามารถสร้างความยากลำบากให้เกิดขึ้นกับประเทศได้เท่านั้น
ชี้สหรัฐวิตกให้เงินสร้างปชต.ในไทย
ผู้สื่อข่าวไทม์ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมืองในไทยยังอยู่ในสภาพน่าวิตก ความขัดแย้งทางการเมืองมักนำไปสู่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มและฝักฝ่าย ทำให้การสำรวจความคิดเห็นทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้มีคนไทยเพียง 1 ใน 3 เท่านั้นที่เห็นว่า ประเทศกำลังเดินไปถูกทาง
"จริงๆ แล้ว สหรัฐวิตกกับสภาวการณ์ในเมืองไทยมากถึงขนาดตัดสินใจมอบเงินทุนจำนวนหนึ่งให้กับสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (ยูเสด) เพื่อดำเนินการสร้างประชาธิปไตยขึ้นในไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมายาวนานเกือบ 15 ปีแล้ว"ข้อเขียนดังกล่าวระบุ
เปรียบ"มาร์ค"เป็นสะพานเชื่อม2กลุ่ม
บทความของไทม์เปรียบเปรยนายกฯไทยว่าเป็นเสมือน "คนที่อยู่ตรงกลาง"ซึ่งนอกจากจะต้องพยายามทำตัวเป็นสะพานระหว่าง 2 กลุ่ม และฟื้นฟูความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยขึ้นอีกครั้ง แต่เพียงแค่มีภาพลักษณ์สะอาด ปลอดคอร์รัปชั่นเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาการเมืองภายใน ต้องเริ่มตั้งแต่ภายในรัฐบาลผสมด้วยกันเองก่อน
ฮันนาห์ บีช ยังระบุว่า นายอภิสิทธิ์ยอมรับตรงๆ ถึงความยากลำบากที่ประเทศไทยและรัฐบาลของตนเองกำลังเผชิญอยู่ แต่ขณะเดียวกัน ไทยก็ไม่ได้มีผู้นำทางการเมืองที่มีศักยภาพมากมายเพียงพอที่จะทำอะไรๆ ได้ดีกว่าที่นายอภิสิทธิ์กำลังดำเนินการ
"เรารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราต้องให้แน่ใจว่าสามารถสถาปนาเสาหลักพื้นฐานของประชาธิปไตยให้เข้าที่เข้าทางได้โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับสิ่งที่มองกันว่าประชาธิปไตยคือการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ เราต้องหาจุดสมดุลที่ลงตัวให้ได้" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทำได้ หรือ ไม่ทำ..
ที่มา:บางกอกทูเดย์
แนวทางความคิดในการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”ที่ดูเหมือนจะเข้าท่าเข้าทางของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดูเหมือนจะเป็นดั่งคำโบราณท่านว่าเสียแล้ว “ท่าดีทีเหลว”เป็นเพราะการกระตุ้นนั้นไปทำกันเพียงแค่กลุ่มกระจุกเท่านั้น ไม่ได้เป็นการกระตุ้นโดยทั้งระบบทุกภาคส่วนบางครั้งแนวทางการคิดของผู้ใหญ่บางคนอาจจะใช้ได้เมื่อ 30 ปีก่อน...
แต่วันนี้สังคมโลกเปลี่ยนไป แนวทางการค้าเปลี่ยนไปในโลกแห่งความเป็นจริง...ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดที่เดิมมีอาชีพเป็นขุนนางหรืออำมาตย์แล้วมาบริหารบ้านเมืองในเรื่องการค้าได้ดีเลย เพราะขาดประสบการณ์และความชำนาญนั้นเองการที่ได้ผู้นำมาจากนักวิชาการ...ก็ดูเหมือนจะมีประสบการณ์มาจากตำราที่เรียนรู้ดูท่องจำ
แต่ขาดปัญญาปัญญาก็คือสิ่งที่ต้องคิดเองแก้ไขเองด้วยวิถีทางที่พอดีพอเหมาะกับสังคมโลก หากเปรียบเทียบการค้าของทุกประเทศทั่วโลก คงเปรียบให้เหมือนกับการแข่งกีฬาก็ได้เช่นกันทุกประเทศเล่นในการแข่งขันด้วยกติกาเดียวกันไม่มีการต่อแต้มใดๆ และเมื่อโค้ชทีมเราไม่เก่ง นักกีฬาอ่อนแอ จะมองเห็นชัยชนะได้อย่างไรหากให้นักกอล์ฟอย่าง “ธงชัย ใจดี” ไปตีแข่งกับมือหนึ่งของโลก ไทเกอร์ วูด ก็คงไม่มีการให้แต้มต่อกับธงชัยอย่างแน่นอนการค้าทั่วโลกแข่งกันขายด้วยระบบกติกาเดียวกัน!หากผู้นำไม่มีประสบการณ์ หรือไม่เคยประสบความสำเร็จทางด้านการค้าขายมาก่อนเลยในชีวิต
หลับตานึกเล่นๆ ว่า...ทิศทางของประเทศจะไปทางไหนผู้นำวันนี้ต้องเปลี่ยนไปตามระบบของกระแสโลก เพราะเรายังต้องพึงพาประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาและในยุโรปอีกหลายประเทศหากผู้นำเป็น “ไก่อ่อน” ต่อรองราคาไม่เป็น ยืดหยุ่นไม่เป็น เห็นทีการค้าขายส่งออกที่ฝันเอาไว้จะเป็นไปได้ยากเต็มทีเพราะเทคนิคในการเจรจานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เวลาเจรจากันจะกี่ฝ่ายก็สุดแท้แต่ ต่างก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศตนเป็นหลักด้วยกันทั้งนั้น
คิดเล่นๆ กับยางพารา เมื่อ 5 ปีก่อน...ใครหนอ? จะคิดว่า น้ำยางพารา และ ยางพารา ที่สำเร็จรูปจะแพงระยับขึ้นไปถึงกิโลกรัมละร้อยบาทได้นั่นเป็นแนวคิดวิธีของใคร เราคงจำกันได้ดีแต่วันนี้ราคายางร่วงหล่นไม่เป็นท่า เรื่องการค้าง่ายๆยังไม่สามารถทำได้ แล้วการค้าระดับการส่งออกระหว่างประเทศ...จะขุนจะดันกันได้เพียงไหนยิ่ง WTA มีกฎกติกามากมาย แล้วจะไหวกันหรือเบื้องต้นสิ่งแรกที่เป็นการเกื้อหนุนการส่งออกคือ ลดภาษีด่วน ทั้งภาษีในการส่งออก ภาษีจากการนำเข้า ลดจากเดิมกึ่งหนึ่งก็พอที่จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจภาครวมได้อยู่มากโขจากนั้นพยายาม ลดราคาน้ำมัน ลงอย่าให้แพงไปกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้ และ
การลดต้นทุนอีกอย่างหนึ่ง คือ ลดต้นทุนของเวลาในการบริหารบ้านเมืองเลิกเล่นการเมืองกันได้แล้ว 3 ปีผ่านมาคนไทยบอบช้ำเหมือนเป็นไข้หนักที่รอหมอเก่งๆ มารักษาแววตาคนไทยตาดำๆ ส่วนมากวันนี้เริ่มฝ้าฟาง...มองอะไรไม่ค่อยชัดเสียเท่าไหร่ เพราะว่าขาดวิตามินในการมาบำรุงเพราะไม่มีรายได้มากพอที่จะหาซื้ออาหารดีๆ มารับประทานเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนโน่นถามตรงๆ ว่า...วงการไหนที่ไม่มีโกงไม่มีกินค่าคอมมิชชั่นบ้าง ตอบได้ว่า “คงไม่มี”ให้เขาบ้าง...เราบ้าง คงจะนำพาประเทศไปได้ดีกว่านี้ หากยึดถือแต่หลักการบางอย่างเอาไว้มากๆ เหมือนพวกอำมาตย์เฒ่าเมื่อ 30 ปีก่อนมีหวังเหนื่อยกันยาวๆทั้งประเทศแน่พี่น้องเอ้ย!เพราะโลกหมุนทุกวันเปลี่ยนไปทุกวัน ■
แนวทางความคิดในการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”ที่ดูเหมือนจะเข้าท่าเข้าทางของ รัฐบาลอภิสิทธิ์ ดูเหมือนจะเป็นดั่งคำโบราณท่านว่าเสียแล้ว “ท่าดีทีเหลว”เป็นเพราะการกระตุ้นนั้นไปทำกันเพียงแค่กลุ่มกระจุกเท่านั้น ไม่ได้เป็นการกระตุ้นโดยทั้งระบบทุกภาคส่วนบางครั้งแนวทางการคิดของผู้ใหญ่บางคนอาจจะใช้ได้เมื่อ 30 ปีก่อน...
แต่วันนี้สังคมโลกเปลี่ยนไป แนวทางการค้าเปลี่ยนไปในโลกแห่งความเป็นจริง...ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดที่เดิมมีอาชีพเป็นขุนนางหรืออำมาตย์แล้วมาบริหารบ้านเมืองในเรื่องการค้าได้ดีเลย เพราะขาดประสบการณ์และความชำนาญนั้นเองการที่ได้ผู้นำมาจากนักวิชาการ...ก็ดูเหมือนจะมีประสบการณ์มาจากตำราที่เรียนรู้ดูท่องจำ
แต่ขาดปัญญาปัญญาก็คือสิ่งที่ต้องคิดเองแก้ไขเองด้วยวิถีทางที่พอดีพอเหมาะกับสังคมโลก หากเปรียบเทียบการค้าของทุกประเทศทั่วโลก คงเปรียบให้เหมือนกับการแข่งกีฬาก็ได้เช่นกันทุกประเทศเล่นในการแข่งขันด้วยกติกาเดียวกันไม่มีการต่อแต้มใดๆ และเมื่อโค้ชทีมเราไม่เก่ง นักกีฬาอ่อนแอ จะมองเห็นชัยชนะได้อย่างไรหากให้นักกอล์ฟอย่าง “ธงชัย ใจดี” ไปตีแข่งกับมือหนึ่งของโลก ไทเกอร์ วูด ก็คงไม่มีการให้แต้มต่อกับธงชัยอย่างแน่นอนการค้าทั่วโลกแข่งกันขายด้วยระบบกติกาเดียวกัน!หากผู้นำไม่มีประสบการณ์ หรือไม่เคยประสบความสำเร็จทางด้านการค้าขายมาก่อนเลยในชีวิต
หลับตานึกเล่นๆ ว่า...ทิศทางของประเทศจะไปทางไหนผู้นำวันนี้ต้องเปลี่ยนไปตามระบบของกระแสโลก เพราะเรายังต้องพึงพาประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาและในยุโรปอีกหลายประเทศหากผู้นำเป็น “ไก่อ่อน” ต่อรองราคาไม่เป็น ยืดหยุ่นไม่เป็น เห็นทีการค้าขายส่งออกที่ฝันเอาไว้จะเป็นไปได้ยากเต็มทีเพราะเทคนิคในการเจรจานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่ง่ายอย่างที่คิดเอาไว้ เวลาเจรจากันจะกี่ฝ่ายก็สุดแท้แต่ ต่างก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศตนเป็นหลักด้วยกันทั้งนั้น
คิดเล่นๆ กับยางพารา เมื่อ 5 ปีก่อน...ใครหนอ? จะคิดว่า น้ำยางพารา และ ยางพารา ที่สำเร็จรูปจะแพงระยับขึ้นไปถึงกิโลกรัมละร้อยบาทได้นั่นเป็นแนวคิดวิธีของใคร เราคงจำกันได้ดีแต่วันนี้ราคายางร่วงหล่นไม่เป็นท่า เรื่องการค้าง่ายๆยังไม่สามารถทำได้ แล้วการค้าระดับการส่งออกระหว่างประเทศ...จะขุนจะดันกันได้เพียงไหนยิ่ง WTA มีกฎกติกามากมาย แล้วจะไหวกันหรือเบื้องต้นสิ่งแรกที่เป็นการเกื้อหนุนการส่งออกคือ ลดภาษีด่วน ทั้งภาษีในการส่งออก ภาษีจากการนำเข้า ลดจากเดิมกึ่งหนึ่งก็พอที่จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจภาครวมได้อยู่มากโขจากนั้นพยายาม ลดราคาน้ำมัน ลงอย่าให้แพงไปกว่าที่เป็นอยู่ให้ได้ และ
การลดต้นทุนอีกอย่างหนึ่ง คือ ลดต้นทุนของเวลาในการบริหารบ้านเมืองเลิกเล่นการเมืองกันได้แล้ว 3 ปีผ่านมาคนไทยบอบช้ำเหมือนเป็นไข้หนักที่รอหมอเก่งๆ มารักษาแววตาคนไทยตาดำๆ ส่วนมากวันนี้เริ่มฝ้าฟาง...มองอะไรไม่ค่อยชัดเสียเท่าไหร่ เพราะว่าขาดวิตามินในการมาบำรุงเพราะไม่มีรายได้มากพอที่จะหาซื้ออาหารดีๆ มารับประทานเหมือนเมื่อ 5 ปีก่อนโน่นถามตรงๆ ว่า...วงการไหนที่ไม่มีโกงไม่มีกินค่าคอมมิชชั่นบ้าง ตอบได้ว่า “คงไม่มี”ให้เขาบ้าง...เราบ้าง คงจะนำพาประเทศไปได้ดีกว่านี้ หากยึดถือแต่หลักการบางอย่างเอาไว้มากๆ เหมือนพวกอำมาตย์เฒ่าเมื่อ 30 ปีก่อนมีหวังเหนื่อยกันยาวๆทั้งประเทศแน่พี่น้องเอ้ย!เพราะโลกหมุนทุกวันเปลี่ยนไปทุกวัน ■
ศาลปค.สูงสุดป่วน'วรพจน์'ทิ้งเก้าอี้ตุลาการกระทันหัน วิจารณ์แซด ตั้ง3หัวหน้าคณะข้ามหัว-ปมพระวิหาร

ที่มา มติชน
ศาลปกครองสูงสุดป่วน "วรพจน์ วิศรุตพิชญ์"ลาออกจากตุลาการกระทันหัน หลัง กศ.ป.มีมติแต่งตั้งหัวหน้าคณะใหม่ 3 คน วิจารณ์แซ่ดข้าม"อาวุโส" เผยปมขัดแย้งเรื่องแนวคิด-วิธีการทำงานมาแตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร
แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลปกครองเปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า ได้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในศาลปกครอง เมื่อนายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้ยื่นหนังสือลาออกในวันเดียวกันโดยให้มีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจาณ์อย่างหนักในศาลปกครอง
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่คาดว่า ทำให้นายวรพจน์ตัดสินใจลาออกอย่างกระทันหัน ทั้งๆที่มีอายุเพียง 57 ปี เป็นเพราะในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง(กศ.ป.)ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน เป็นประธานในวันเดียวกันเพื่อพิจารณาแต่งตั้งรองประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดซึ่งจะว่างลง 3 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2552 ปรากฏว่า นายชาญชัย แสวงศักดิ์
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและนายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดซึ่งบุคคลทั้งสองเห็นว่า เป็นการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรมเเนื่องจากไม่เป็นไปตามลำดับอาวุโส นอกจากนั้นยังมีแรงกดันในการทำงานเนื่องจากมีแนวคิดและวิธีการทำงานที่ไม่ตรงกับผู้บริหารศาล นับแต่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวกรณีที่คณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวชมีมติสนับสนุนประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ประชุม กศ.ป.มีมติแต่งตั้งนายพีระพล เชาวน์ศิริ ตุลาการหัวหน้คณะในศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธานศาลปกครองสูงสุด แต่งตั้งนายวิชัย ชื่นชมพูนุท นายปรีชา ชวลิตธำรง และนายเกษม คมสัตย์ธรรม ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทั้งนายวิชัย ชื่นชมพูนุท และนายปรีชา ชวลิตธำรง และนายเกษม คมสัตย์ธรรม สามารถสอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดพร้อมนายชาญชัย แสวงศักดิ์ เป็นรุ่นแรกซึ่งขณะนั้นนายชาญชัยดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอยู่แล้ว ขณะที่นายเกษม คมสัตย์ธรรม เป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองชั้นต้นเท่านั้น
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับนายวรพจน์นั้น แม้ จะสอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดรุ่นที่สอง แต่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองกลาง ขณะที่นายเกษม คมสัตย์ธรรมเป็นหัวหน้าคณะในศาลปกครองกลาง โดยผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดบางคนขอร้องให้นายวรพจน์ดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองกลางต่อไปก่อนเพื่อวางระบบศาลปกครองกลางให้ดีเพราะอยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มจัดตั้ง อย่างเพิ่งสอบเป็นตุลาการศาลปกครองในรุ่นแรก แต่ กศ.ป.กลับนำมาเป็นข้ออ้างว่า นายวรพจน์มีอาวุโสน้อยกว่านายเกษม คมสัตย์ธรรม จึงไม่แต่งตั้งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีจำนวน 17 คน สำหรับรองประธานและตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดที่เกษียณอายุประกอบด้วย นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ นายจรัญ หัตถกรรม นายดำริ วัฒนะ สิงหะ ตามลำดับบวกกับนายวรพจน์ที่ลาออกทำให้เหลือตุลาการศาลปกครองสูงสุดเพียง 13 คน อย่างไรก็ตามมีผู้สอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้อีก 6 คน อยู่ระหว่างนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ
ศาลปกครองสูงสุดป่วน "วรพจน์ วิศรุตพิชญ์"ลาออกจากตุลาการกระทันหัน หลัง กศ.ป.มีมติแต่งตั้งหัวหน้าคณะใหม่ 3 คน วิจารณ์แซ่ดข้าม"อาวุโส" เผยปมขัดแย้งเรื่องแนวคิด-วิธีการทำงานมาแตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหาร
แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลปกครองเปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 25 กันยายนว่า ได้เกิดความปั่นป่วนขึ้นในศาลปกครอง เมื่อนายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้ยื่นหนังสือลาออกในวันเดียวกันโดยให้มีผลในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2552 จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจาณ์อย่างหนักในศาลปกครอง
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับเหตุผลที่คาดว่า ทำให้นายวรพจน์ตัดสินใจลาออกอย่างกระทันหัน ทั้งๆที่มีอายุเพียง 57 ปี เป็นเพราะในการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง(กศ.ป.)ซึ่งมีนายอักขราทร จุฬารัตน เป็นประธานในวันเดียวกันเพื่อพิจารณาแต่งตั้งรองประธานศาลปกครองสูงสุดและตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดซึ่งจะว่างลง 3 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม 2552 ปรากฏว่า นายชาญชัย แสวงศักดิ์
ตุลาการศาลปกครองสูงสุดและนายวรพจน์ วิศรุตพิชญ์ ไม่ได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดซึ่งบุคคลทั้งสองเห็นว่า เป็นการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรมเเนื่องจากไม่เป็นไปตามลำดับอาวุโส นอกจากนั้นยังมีแรงกดันในการทำงานเนื่องจากมีแนวคิดและวิธีการทำงานที่ไม่ตรงกับผู้บริหารศาล นับแต่ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวกรณีที่คณะรัฐมนตรีนายสมัคร สุนทรเวชมีมติสนับสนุนประเทศกัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
แหล่งข่าวกล่าวว่า ที่ประชุม กศ.ป.มีมติแต่งตั้งนายพีระพล เชาวน์ศิริ ตุลาการหัวหน้คณะในศาลปกครองสูงสุดเป็นรองประธานศาลปกครองสูงสุด แต่งตั้งนายวิชัย ชื่นชมพูนุท นายปรีชา ชวลิตธำรง และนายเกษม คมสัตย์ธรรม ตุลาการศาลปกครองสูงสุด เป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทั้งนายวิชัย ชื่นชมพูนุท และนายปรีชา ชวลิตธำรง และนายเกษม คมสัตย์ธรรม สามารถสอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดพร้อมนายชาญชัย แสวงศักดิ์ เป็นรุ่นแรกซึ่งขณะนั้นนายชาญชัยดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสำนักงานศาลปกครองอยู่แล้ว ขณะที่นายเกษม คมสัตย์ธรรม เป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองชั้นต้นเท่านั้น
แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับนายวรพจน์นั้น แม้ จะสอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดรุ่นที่สอง แต่เคยดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองกลาง ขณะที่นายเกษม คมสัตย์ธรรมเป็นหัวหน้าคณะในศาลปกครองกลาง โดยผู้บริหารศาลปกครองสูงสุดบางคนขอร้องให้นายวรพจน์ดำรงตำแหน่งอธิบดีศาลปกครองกลางต่อไปก่อนเพื่อวางระบบศาลปกครองกลางให้ดีเพราะอยู่ในช่วงเพิ่งเริ่มจัดตั้ง อย่างเพิ่งสอบเป็นตุลาการศาลปกครองในรุ่นแรก แต่ กศ.ป.กลับนำมาเป็นข้ออ้างว่า นายวรพจน์มีอาวุโสน้อยกว่านายเกษม คมสัตย์ธรรม จึงไม่แต่งตั้งเป็นตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบัน ตุลาการศาลปกครองสูงสุดมีจำนวน 17 คน สำหรับรองประธานและตุลาการหัวหน้าคณะในศาลปกครองสูงสุดที่เกษียณอายุประกอบด้วย นายธีรยุทธ์ หล่อเลิศรัตน์ นายจรัญ หัตถกรรม นายดำริ วัฒนะ สิงหะ ตามลำดับบวกกับนายวรพจน์ที่ลาออกทำให้เหลือตุลาการศาลปกครองสูงสุดเพียง 13 คน อย่างไรก็ตามมีผู้สอบเข้าเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุดได้อีก 6 คน อยู่ระหว่างนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ
วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552
เปิดวิจัยร้อน'ป้องกันราชอาณาจักร'ชำแระอิทธิพลสื่อเหลือง ASTV ทำสังคมไทยแตกแยก

ประชาชาติธุรกิจ : เปิดงานวิจัย นักศึกษา วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่น 21 ชำแหละ อิทธิพลของสื่อสาธารณะดิจิตอล ASTV ต่อพฤติกรรมการบริโภคข่าว คนกรุงเทพ พบ ผู้รับชมที่มีการศึกษาสูง จะไตร่ตรองก่อนเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ถ้าผู้รับชมมีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีแนวโน้มจะเชื่อตามทฤษฎีเข็มฉีดยา ชี้ ผล
กระทบที่ร้ายแรงที่สุดคือ การสร้างความแตกแยกให้เกิดกับสังคมในทุกระดับ
ประชาชาติออนไลน์ นำเสนองานวิจัย ” อิทธิพลของสื่อสาธารณะ ดิจิตอล ที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคข่าวสาร ด้านการเมือง ศึกษาเฉพาะ ASTV ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร” ผลงานวิจัยของ นายวิทอง ตัณฑกุลนินาท กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ๊กเซลเล้นท์ กราฟฟิค จำกัด นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 21 ประจำปีการศึกษา พ.ศ.2551-2552 ที่ได้รับรางวัลชมเชย อาจารย์ที่ปรึกษา 4 คน ประกอบด้วย พ.อ. ชำนาญ ช้างสาต รศ. ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน พล.ต. ณรงค์ เนตรเจริญ และ พ.อ. กฤษฎา สุทธานินทร์
กลุ่มตัวอย่างสัมภาษณ์ เชิงลึก 20 ราย ประกอบด้วย ตัวแทนจาก ASTV กรมประชาสัมพันธ์ สถานีโทรทัศน์ไทยทีสีสีช่อง 3 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ นักวิชาการด้านสื่อมวลชน ตำรวจ สำนักงานกิจการภายนอกประเทศ ทหาร องค์กรสิทธิมนุษยชน นักวิชาการด้านจิตวิทยา พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ อดีตพรรคไทยรักไทย วุฒิสภา ศาลปกครอง สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรม สถาบันการเงิน และกระทรวงต่างประเทศ
นอกจากนี้ ผู้วิจัยยังได้ ทำวิจัยผ่านกลุ่มตัวอย่างการสัมภาษณ์วิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 100 ราย ในช่วงต้นปี 2552 ที่ผ่านมา
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาจากเหตุการณ์กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยจำนวนหลายแสนคน ร่วมดำเนินกิจกรรมทางการเมือง โดยการชุมนุมเรียกร้อง เพื่อดำเนินการปฏิรูปทางการเมือง เป็นระยะเวลายาวนานถึง 193 วัน ถือเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องลงบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ไทย
เนื่องจากมีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม ทั้งการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทำงานของรับบาลท รวมถึงปรากฏการณ์ต่างๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต อาทิเช่น การบุกยึดทำเนียบรัฐบาล และการเข้าไปชุมนุมอยู่ในพื้นที่ของสนามบินต่างๆ เป็นต้น ส่งผลต่อประเทศชาติหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นผลด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้การปฏิรูปทางการเมืองดังกล่าวเกิดขึ้น และกระตุ้นให้การปฏิรูปทางการเมืองดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง คือ การสร้างการรับรู้ให้กับมวลชนผ่านสื่อ ASTV ที่มีการสื่อสารผ่านสื่อดิจิทัลหลายช่องทาง อาทิเช่น การถ่ายทอดสดผ่านระบบเคเบิ้ลทีวี ระบบจานดาวเทียม ระบบอินเทอร์เน็ต และสื่อวิทยุท้องถิ่น เป็นต้น
ปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานหรือกฎหมายฉบับใดที่เข้ามาควบคุมสื่อดิจิทัลดังกล่าวโดยตรง ทำให้สื่อดิจิทัลดังกล่าว มีอำนาจในการปลุกระดมมวลชน (Mass Mobilization) สร้างความคิดเห็น และความเชื่อ รวมถึงการหล่อหลอมพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นไปตาม “ทฤษฎีเข็มฉีดยา” (Hypodermic Needle Theory)
ทฤษฎีดังกล่าว มีความเชื่อว่า องค์กรหรือผู้ส่งข่าวสาร เป็นผู้มีอำนาจ และบทบาทสำคัญที่สุด เพราะสามารถกำหนดข่าวสารและส่งข่าวสารไปยังผู้รับ โดยการคาดคะเนผลที่จะเกิดขึ้นได้คล้ายกับหมอที่ฉีดยารักษาผู้ป่วยข่าวสารที่ส่งไปจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้รับได้โดยตรงอย่างกว้างขวาง และให้ผลทันทีกับฝ่ายผู้รับข่าวสารเป็นบุคคลจำนวนมากจะมีปฏิกิริยาหรือพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปตามที่ผู้ส่งข่าวสารต้องการโดยจะไม่มีอำนาจควบคุมผู้ส่งข่าวสารได้ทฤษฎีนี้ถือว่าผู้มีอำนาจในการตัดสินใจและเข้าใจสถานการณ์ สามารถใช้สื่อมวลชนทำให้เกิดผลตามที่ตนเองต้องการได้ ซึ่งตรงข้ามกับการสื่อสารผ่านช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 9 และ TPBS ซึ่งมีการพิจารณาและกลั่นกรองเนื้อหารายการจากทางสถานีโทรทัศน์ที่ทำการถ่ายทอดก่อนนำเสนอ
จากปัญหาที่ได้กล่าวมาในข้างต้นเห็นได้ว่าสื่อสาธารณะระบบดิจิทัล ถ้าไม่ได้รับการวางแผนกำกับดูแลเนื้อหาและการแพร่กระจายของสื่อให้มีการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา และเป็นกลางอย่างที่ควรจะเป็นไปตามครรลองจริยธรรมของสื่อที่ดี อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงของชาติในระยะยาว
งานวิจัยชิ้นนี้เป็นการวิจัยถึงกระบวนการ ทัศนคติ และพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของมวลชนภายหลังจากการบริโภคข่าวสารด้านการเมืองที่เผยแพร่ผ่านทางสื่อสาธารณะระบบดิจิทัลอย่าง ASTV รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ เพื่อหาแนวทางในการควบคุมการบริโภคสื่อดังกล่าวต่อไป
@ บทสรุป อิทธิพล ASTV ต่อสังคมการเมืองไทยพฤติกรรม และทัศนคติ ของกลุ่มตัวอย่างหลังการรับชมข่าวสารทางการเมืองจาก ASTV โดยใช้ ทฤษฎีเข็มฉีดยา พบว่า หากเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาสูง เมื่อรับชมข่าวสารการเมือง ผ่าน ASTV จะมีการไตร่ตรอง ก่อนการเชื่อและตัดสินใจกระทำการใด
แต่หากกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีแนวโน้มที่เห็นด้วยว่าการชุมนุมเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งตรงข้ามกับทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี
การศึกษาครั้งนี้ยังได้ทดสอบสมมติฐานถึงปัจจัยระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่าง ต่อพฤติกรรม และทัศนคติ ของกลุ่มตัวอย่างหลังการรับชมข่าวสารทาการเมืองจาก ASTV พบว่าระดับการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างมีผลต่อพฤติกรรมและทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างหลังการรับชมข่าวสารทางการเมืองจาก ASTV ในหลายประเด็น ดังนี้
1. กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี เลือกที่จะรับชมข่าวสารด้านการเมืองจาก ASTV ผ่านช่องทางวิทยุมากที่สุด และกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาในระดับสูงกว่าปริญญาตรีเลือกที่จะรับชมข่าวสารด้านการเมืองจาก ASTV ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตมากที่สุด
2. กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี เลือกที่จะรับชมข่าวสารด้านการเมืองจาก ASTV เนื่องจากทัศนคติที่ว่าสื่อสาธารณะอื่นนำเสนอข่าวที่ไม่เป็นกลางและน่าเชื่อถือ รวมถึงมักจะใช้สื่อดังกล่าวเป็นช่องทางหนึ่งในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
3. กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีแนวโน้มที่เห็นด้วยว่า ASTV มีการนำเสนอข่าวที่เป็นอิสระ มีความเป็นกลาง ตรงไปตรงมา ไม่ได้เป็นเครื่องมือของฝ่ายใด อีกทั้งยังมีความยกย่องในตัวพิธีกรที่ดำเนินรายการ ซึ่งตรงข้ามกับทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี
4. กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีแนวโน้มที่เห็นด้วยว่าการชุมนุมเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งตรงข้ามกับทัศนคติของกลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาระดับปริญญาตรี และสูงกว่าปริญญาตรี
5.กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี เป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มที่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารราชการของรัฐบาลในปัจจุบัน รวมถึงระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
6. กลุ่มตัวอย่างที่มีระดับการศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี เป็นกลุ่มที่นิยมนำเนื้อหาของสื่อที่ได้รับนั้น ไปเผยแพร่บอกต่อให้กับคนรอบข้างรับฟัง รวมถึงชักชวนให้บุคคลรอบข้างหันมารับข่าวสารจากสื่อ ASTV มากขึ้น
นอกจากผลการวิจัยในทัศนคติและพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างหลังการรับชมข่าวสารด้านการเมืองผ่านสื่อ ASTV ดังที่ได้รายงานสรุปไปในข้างต้นแล้วนั้น ผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน อันเป็นผลสืบเนื่องจากการนำเสนอข่าวของสื่อดิจิทัล ทั้งทางด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจนั้น สามารถสรุปในแต่ละด้านได้ดังนี้
ผลกระทบด้านสังคม ผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดคือ การสร้างความแตกแยกให้เกิดกับสังคมในทุกระดับตั้งแต่ระดับสังคม ชุมชน และประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นการปลูกฝังความรุนแรงให้กับเยาวชนของชาติที่รับชมผลกระทบด้านการเมือง การนำเสนอข่าวของ ASTV รวมทั้งสื่อดิจิทัลอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือในเรื่องของกระบวนการทำงานทั้งต่อตัวบุคคล องค์กร สถาบัน และระบบบริหารงานราชการงานปกครองต่างๆ
ผลกระทบด้านเศรษฐกิจเป็นการส่งผลกระทบโดยทางอ้อม อันเกิดจากการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งสร้างความเสียหายและความเชื่อมั่นกับต่างประเทศเป็นมูลค่าอันมหาศาลรวมถึงเป็นการลดความน่าเชื่อถือด้านการลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจต่างๆ กับต่างประเทศ
โดยผลที่เกิดขึ้นดังกล่าวเนื่องมาจากการที่ภาครับ ภาคเอกชน และประชาชน ขาดการเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแลสื่อ ซึ่งเป็นอาชีพที่ได้รับอิสระในการนำเสนอข่าว จนบางครั้งเกินขอบเขตอันควร ซึ่งส่งผลถึงการละเมิดยังสิทธิของผู้อื่น อันจะก่อผลในเชิงลบที่ตามมาเป็นอย่างมาก
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ทุกองค์ประกอบในสังคมจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแลการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะบนพื้นที่สาธารณะในยุคดิจิทัลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว
เปิดคำให้การ"ชัยเกษม นิติสิริ"อัยการสูงสุด พยานจำเลย ยันหวย 3 ตัว 2 ตัว ถูก กม. คตส.ฟ้องคดีเรื่องการเมือง
ที่มา มติชน
กลายเป็นวิวาทะระหว่างอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำสำนวนคดีทุจริตการจัดซื้อกล้ายางมูลค่า 1,440 ล้านบาทซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องจำเลย 44 คนเพราะไม่ยอมรับฟังข้อทักท้วงคณะทำงานคดีของอัยการสูงสุดที่ให้สอบประเด็นให้สมบูรณ์
นอกจากนายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. ยืนยันว่า การทำสำนวน ของคตส.ที่ผ่านมาทำตามหลักการของกฎหมาย ไม่เคยมีใครสั่งอะไรหรือไม่รับคำสั่งจากใคร ไม่เคยทำหน้าที่ตามกระแส ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวสู้คดีเต็มที่ สำนวน คตส.ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องครบถ้วนเป็นธรรมแล้ว
นายสักยังตอบโต้อัยการว่า มีหน้าที่ฟ้องคดีแทนแผ่นดินแต่ไม่ทำหน้า กฎหมายจึงกำหนดให้ คตส.ต้องจัดหาทนายความฟ้องเอง จึงอยากเรียกร้องสังคมว่าควรจะมีองค์กรอิสระภาคเอกชนขึ้นมาทำหน้าที่ในกรณีที่องค์กรของรัฐไม่ทำหน้าที่เหมือนบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน หรือเกาหลี มิฉะนั้น จะเข้าตำราสุภาษิตจีนที่ว่า "ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล"
นอกจากนั้น นายสัก ยังตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้รับผิดชอบระดับสูงของกระบวนการยุติธรรมไปเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลย ทั้งคดีกล้ายาง และคดีหวย 2 ตัว 3 ตัว และตอบคำถามทนายจำเลยบางประการสมควรหรือไม่ เช่น ทนายจำเลยที่ 31 คำถามสุดท้ายว่า "พยานมีความเห็นเกี่ยวกับที่โจทก์นำคดีไปฟ้องเป็นคดีอาญาในเรื่องนี้อย่างไร"
"พยานตอบว่า "ถ้าจะให้เรียนโดยตรง พยานมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมาย เรื่องอะไรโดยตรง มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันพอสมควร ที่ผลออกในลักษณะนี้"
จากการตรวจสอบรายชื่อพยานจำเลยในคดีโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว(หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวก รวม 47 คนเป็นจำเลยและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 กันยายน พบว่า พยานจำเลย 2 คนที่ที่นายสักระบุอยู่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมมีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 2 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่งให้การต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานของอัยการสูงสุด ให้การเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552
จากการตรสวจสอบเอกสารถอดเทปคำให้การของพยานจำเลยทั้งสองมีสาระสำคัญดังนี้
นายชัยเกษม นิติสิริ
ศาลฎีกาฯไต่สวนพยานในฐานะอัยการสูงสุดและในฐานะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ร่วมทำคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 568-569/2549 เกี่ยวกับโคงการสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวซึ่งเห็นว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่มีอำนาจออกหวย 3 ตัว 2 ตัว
อย่างไรก็ตาม นายชัยเกษมอ้างว่า เป็นเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการกฤษฎีกาที่วินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ตัวบันทึกคำวินิจฉัยออกมาตามความเห็นของเสียงข้างมาก
"แต่ในส่วนตัวของพยานเห็นว่า สำนักงานสลากฯนั้นมีอำนาจที่จะทำกิจการอันนี้โดยอาศัยมาตรา 5ผ3)ซึ่งเขียนไว้ค่อนข้างกว้างและพยานเห็นว่า การตีความต้องตีความให้ปฏิบัติได้ ทำงานได้ ถ้าตีความในลักษณะที่ปฏิบัติไม่ได้ ทุกอย่างจะติดขัดไปหมด...การออกสลากไม่ว่า เป็นสลากการกุศลหรือสลาก 2 ตัว 3 ตัว เมื่อไม่ได้เป็นสลากที่ออกมาตรา มาตรา 5(1)แล้ว การจัดสรรเงินรางวัล สัดส่วนการใช้เงินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล สามารถจะทำไปตามนโยบายของคณะกรรมการหรือตามที่รัฐบาลมีนโยบายได้"
นอกจากนนันเมื่อทนายจำเลยที่ 31 31(นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล )ได้ซักถามว่า พยานเชื่อว่า การที่สำนักงานสลากฯตัดสินใจทำหวย 2 ตัว 3 ตัวโดยเห็นว่า ถุกต้องตามมาตรา 5ผ3) เช่นนี้ มีเจตนาทางอาญาหรือไม่
นายชัยเกษมตอบว่า "คิดว่า ไม่มีเพราะการที่คนตีความกฎหมายไม่เหมือนกัน ก็คงต้องไปดูว่า มีอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่ ถ้าแค่การตีความกำหมายไม่เหมือนกันและก็มาบอกว่า มีเจตนาทางอาญา พยานไม่เห็นด้วย"
ทนายจำเลยที่ 31 ถามคำถามสุดท้ายว่า มีความเห็นเกี่ยวกับที่โจทก์(คตส.)นำคดีไปฟ้องคดีอาญาในเรื่องนี้อย่างไร
นายชัยเกษมตอบว่า "ถ้าจะให้เรียนโดยตรง พยานมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมายเรื่องอะไรโดยตรง มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันพอสมควรที่ผลออกมาในลักษณะเช่นนี้"
นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน สำนักงานอัยการสูงสุดที่พิจารณาคดีหวย 3 ตัว 2 ตัวรวมกับทาง คตส.
คำให้การของนายวัยวุฒิเน้นไปที่ข้อที่ไม่สมบูรณ์ของคดี 5 ข้อ แต่ทาง คตส.ไม่เห็นด้วยและไม่ทำตามข้อเสนอของทางคณะทำงาน
เมื่อทนายจำเลยที่ 23(นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย )ถามว่า ตามที่มีข่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งกล่องเอกสารสำนวนคืน คตส. ทาง คตส.ติงว่า กล่องยังไม่มีการแกะ แสดงว่า อัยการสูงสุดไม่เคยอ่านเอกสารหรือไม่
นายวัยวุฒิตอบว่า " นี่เป็นสิ่งที่พยานรันทดในการทำงาน ตลอดชีวิตราชการของพยาน พยานทำงานมา ถ้าไม่ต่ออายุปีนี้ก็เกษียณแล้ว ในการทำงานของอัยการเรา ซึ่งพยานก็คิดว่า ไม่ต่างจากทนายความเท่าไร ในคดีต่างๆเหล่านี้ พยานเอกสารหลักฐานต่างๆ เราแทบจะรักษาไว้ด้วยชีวิต ในการดำเนินคดีที่ คตส.ส่งมา คดีหวยบนดินนี้เป็นคดีแรกที่ คตส.ส่งมาให้ ทางคณะทำงานอัยการ คตส.จะส่งต้นฉบับมาอยู่ในกล่องตั้ง 6-7 กล่อง ผนึกมาเรียบร้อย เซ็นชื่อมาเรียบร้อย ขณะเดียวกัน คตส.ก็ส่งสำเนาของเอกสารทั้งหมดไมาให้เราด้วย เมื่อทางกองคดีพิเศษรับสำนวนเสร็จ พยานก็มีคำสั่งให้รักษาต้นฉบับไว้ ไม่ให้ใครไปยุ่ง
"ในการพิจารณาสำนวนนี้ ข้อไม่สมบูรณ์ต่างๆ เราพิจารณาจากสำเนาที่ คตส.ส่งมาประกอบกับบางอันเราถ่ายเอกสารแจกคณะทำงานเพื่อช่วยกันพิจารณาเนื่องจากระยะเวลามีเพียง 30 วัน เอกสารเป็นหมื่นๆหน้า.... เมื่อ คตส.ขอสำนวนคืน เราก็ส่งคืนให้ สำเนาเราก็ส่งคืนให้ไป ก็ได้ไปออกข่าวว่า พยานนั่งเที่ยน ไม่แกะสำนวนออกดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรเรื่องข้อไม่สมบูรณ์... เรื่องนี้สาธารณชนก็โจมตีคณะทำงานอัยการสุงสุด พยานไปที่ไหนก็อายเขา หาว่านั้งเที่ยนพิจารณา พยานคิดว่า ถ้าพยานทำอย่างนั้น พยานคงไม่ก้าวหน้ามาจนถึงบัดนี้..."
กลายเป็นวิวาทะระหว่างอดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กับนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำสำนวนคดีทุจริตการจัดซื้อกล้ายางมูลค่า 1,440 ล้านบาทซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องจำเลย 44 คนเพราะไม่ยอมรับฟังข้อทักท้วงคณะทำงานคดีของอัยการสูงสุดที่ให้สอบประเด็นให้สมบูรณ์
นอกจากนายสัก กอแสงเรือง อดีต คตส. ยืนยันว่า การทำสำนวน ของคตส.ที่ผ่านมาทำตามหลักการของกฎหมาย ไม่เคยมีใครสั่งอะไรหรือไม่รับคำสั่งจากใคร ไม่เคยทำหน้าที่ตามกระแส ให้โอกาสผู้ถูกกล่าวสู้คดีเต็มที่ สำนวน คตส.ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ถูกต้องครบถ้วนเป็นธรรมแล้ว
นายสักยังตอบโต้อัยการว่า มีหน้าที่ฟ้องคดีแทนแผ่นดินแต่ไม่ทำหน้า กฎหมายจึงกำหนดให้ คตส.ต้องจัดหาทนายความฟ้องเอง จึงอยากเรียกร้องสังคมว่าควรจะมีองค์กรอิสระภาคเอกชนขึ้นมาทำหน้าที่ในกรณีที่องค์กรของรัฐไม่ทำหน้าที่เหมือนบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ไต้หวัน หรือเกาหลี มิฉะนั้น จะเข้าตำราสุภาษิตจีนที่ว่า "ปล่อยให้คนชั่วลอยนวล"
นอกจากนั้น นายสัก ยังตั้งข้อสังเกตว่า มีผู้รับผิดชอบระดับสูงของกระบวนการยุติธรรมไปเบิกความเป็นพยานฝ่ายจำเลย ทั้งคดีกล้ายาง และคดีหวย 2 ตัว 3 ตัว และตอบคำถามทนายจำเลยบางประการสมควรหรือไม่ เช่น ทนายจำเลยที่ 31 คำถามสุดท้ายว่า "พยานมีความเห็นเกี่ยวกับที่โจทก์นำคดีไปฟ้องเป็นคดีอาญาในเรื่องนี้อย่างไร"
"พยานตอบว่า "ถ้าจะให้เรียนโดยตรง พยานมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมาย เรื่องอะไรโดยตรง มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันพอสมควร ที่ผลออกในลักษณะนี้"
จากการตรวจสอบรายชื่อพยานจำเลยในคดีโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว(หวยบนดิน)ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพวก รวม 47 คนเป็นจำเลยและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 30 กันยายน พบว่า พยานจำเลย 2 คนที่ที่นายสักระบุอยู่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมมีอยู่ด้วยกันอย่างน้อย 2 คน คือ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด ซึ่งให้การต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2552และนายวัยวุฒิ หล่อตระกูล รองอัยการสูงสุด ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานของอัยการสูงสุด ให้การเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552
จากการตรสวจสอบเอกสารถอดเทปคำให้การของพยานจำเลยทั้งสองมีสาระสำคัญดังนี้
นายชัยเกษม นิติสิริ
ศาลฎีกาฯไต่สวนพยานในฐานะอัยการสูงสุดและในฐานะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ร่วมทำคำวินิจฉัยเรื่องเสร็จที่ 568-569/2549 เกี่ยวกับโคงการสลากพิเศษแบบเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัวซึ่งเห็นว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลไม่มีอำนาจออกหวย 3 ตัว 2 ตัว
อย่างไรก็ตาม นายชัยเกษมอ้างว่า เป็นเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการกฤษฎีกาที่วินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ตัวบันทึกคำวินิจฉัยออกมาตามความเห็นของเสียงข้างมาก
"แต่ในส่วนตัวของพยานเห็นว่า สำนักงานสลากฯนั้นมีอำนาจที่จะทำกิจการอันนี้โดยอาศัยมาตรา 5ผ3)ซึ่งเขียนไว้ค่อนข้างกว้างและพยานเห็นว่า การตีความต้องตีความให้ปฏิบัติได้ ทำงานได้ ถ้าตีความในลักษณะที่ปฏิบัติไม่ได้ ทุกอย่างจะติดขัดไปหมด...การออกสลากไม่ว่า เป็นสลากการกุศลหรือสลาก 2 ตัว 3 ตัว เมื่อไม่ได้เป็นสลากที่ออกมาตรา มาตรา 5(1)แล้ว การจัดสรรเงินรางวัล สัดส่วนการใช้เงินก็ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล สามารถจะทำไปตามนโยบายของคณะกรรมการหรือตามที่รัฐบาลมีนโยบายได้"
นอกจากนนันเมื่อทนายจำเลยที่ 31 31(นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล )ได้ซักถามว่า พยานเชื่อว่า การที่สำนักงานสลากฯตัดสินใจทำหวย 2 ตัว 3 ตัวโดยเห็นว่า ถุกต้องตามมาตรา 5ผ3) เช่นนี้ มีเจตนาทางอาญาหรือไม่
นายชัยเกษมตอบว่า "คิดว่า ไม่มีเพราะการที่คนตีความกฎหมายไม่เหมือนกัน ก็คงต้องไปดูว่า มีอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่ ถ้าแค่การตีความกำหมายไม่เหมือนกันและก็มาบอกว่า มีเจตนาทางอาญา พยานไม่เห็นด้วย"
ทนายจำเลยที่ 31 ถามคำถามสุดท้ายว่า มีความเห็นเกี่ยวกับที่โจทก์(คตส.)นำคดีไปฟ้องคดีอาญาในเรื่องนี้อย่างไร
นายชัยเกษมตอบว่า "ถ้าจะให้เรียนโดยตรง พยานมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องข้อกฎหมายเรื่องอะไรโดยตรง มันเป็นเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันพอสมควรที่ผลออกมาในลักษณะเช่นนี้"
นายวัยวุฒิ หล่อตระกูล ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน สำนักงานอัยการสูงสุดที่พิจารณาคดีหวย 3 ตัว 2 ตัวรวมกับทาง คตส.
คำให้การของนายวัยวุฒิเน้นไปที่ข้อที่ไม่สมบูรณ์ของคดี 5 ข้อ แต่ทาง คตส.ไม่เห็นด้วยและไม่ทำตามข้อเสนอของทางคณะทำงาน
เมื่อทนายจำเลยที่ 23(นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย )ถามว่า ตามที่มีข่าวว่า สำนักงานอัยการสูงสุด ส่งกล่องเอกสารสำนวนคืน คตส. ทาง คตส.ติงว่า กล่องยังไม่มีการแกะ แสดงว่า อัยการสูงสุดไม่เคยอ่านเอกสารหรือไม่
นายวัยวุฒิตอบว่า " นี่เป็นสิ่งที่พยานรันทดในการทำงาน ตลอดชีวิตราชการของพยาน พยานทำงานมา ถ้าไม่ต่ออายุปีนี้ก็เกษียณแล้ว ในการทำงานของอัยการเรา ซึ่งพยานก็คิดว่า ไม่ต่างจากทนายความเท่าไร ในคดีต่างๆเหล่านี้ พยานเอกสารหลักฐานต่างๆ เราแทบจะรักษาไว้ด้วยชีวิต ในการดำเนินคดีที่ คตส.ส่งมา คดีหวยบนดินนี้เป็นคดีแรกที่ คตส.ส่งมาให้ ทางคณะทำงานอัยการ คตส.จะส่งต้นฉบับมาอยู่ในกล่องตั้ง 6-7 กล่อง ผนึกมาเรียบร้อย เซ็นชื่อมาเรียบร้อย ขณะเดียวกัน คตส.ก็ส่งสำเนาของเอกสารทั้งหมดไมาให้เราด้วย เมื่อทางกองคดีพิเศษรับสำนวนเสร็จ พยานก็มีคำสั่งให้รักษาต้นฉบับไว้ ไม่ให้ใครไปยุ่ง
"ในการพิจารณาสำนวนนี้ ข้อไม่สมบูรณ์ต่างๆ เราพิจารณาจากสำเนาที่ คตส.ส่งมาประกอบกับบางอันเราถ่ายเอกสารแจกคณะทำงานเพื่อช่วยกันพิจารณาเนื่องจากระยะเวลามีเพียง 30 วัน เอกสารเป็นหมื่นๆหน้า.... เมื่อ คตส.ขอสำนวนคืน เราก็ส่งคืนให้ สำเนาเราก็ส่งคืนให้ไป ก็ได้ไปออกข่าวว่า พยานนั่งเที่ยน ไม่แกะสำนวนออกดูแล้วจะรู้ได้อย่างไรเรื่องข้อไม่สมบูรณ์... เรื่องนี้สาธารณชนก็โจมตีคณะทำงานอัยการสุงสุด พยานไปที่ไหนก็อายเขา หาว่านั้งเที่ยนพิจารณา พยานคิดว่า ถ้าพยานทำอย่างนั้น พยานคงไม่ก้าวหน้ามาจนถึงบัดนี้..."
"เกียรติกร" ส.ส.ประชาธิปัตย์ปูดเอง "มาร์ค" แก้ รธน.190 หวังผลประโยชน์

มติชน : นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 24 กันยายน ที่รัฐสภา เรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เร่งดำเนินการเจรจากับกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากขณะนี้กัมพูชาได้มีการเซ็นสัญญาเปิดสัมปทานขุดน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนให้กับประเทศญี่ปุ่น โดยมีผลประโยชน์มูลค่าหลายแสนล้านบาท ทั้งๆที่พื้นที่ดังกล่าวประเทศไทยต้องรับรู้ร่วมกันเพราะเป็นพื้นที่ทับซ้อนกันอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้พระประชาธิปัตย์ในขณะที่เป็นฝ่ายค้านได้เรียกร้องและติดตามเรื่องนั้นมาโดยตลอด แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลกลับเงียบหายไป
นายเกียรติกร กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 190 ซึ่งน่าสังเกตว่า รัฐบาลต้องการประวิงเวลาเพื่อให้การแก้ไขเสร็จเรียบร้อยก่อน เพราะหากมีการเซ็นสัญญาประเทศไทยจะต้องร่วมลงนามด้วยและต้องนำเข้ารัฐสภาเพื่ออนุมัติ แต่รัฐบาลกลับไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 190 ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ต้องนำเรื่องเข้าขอมติจากรัฐสภาอีก ซึ่งตนเห็นว่ามีกลุ่มคนที่จะได้ผลประโยชน์จากพื้นทีทับซ้อนนี้ คือนักการเมือง ไม่ใช่ประชาชน ดังนั้นจึงฝากถามนายกรัฐมนตรีว่าหากเดินทางกลับผประเทศไทยแล้วจะเปิดการเจรจาเรื่องดังกล่าวหรือไม่อย่างไร และผลประโยชน์ในสัญญาดังกล่าวมีมูลค่าเท่าใด ซึ่งตนเชื่อว่าการเซ็นสัญญาของกัมพูชาจะทำให้ประเทศไทยเสียทั้งดินแดน เงิน และทรัพยากร
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 07.45 น. วันที่ 24 กันยายน ตรงกับเวลาท้องถิ่นนครนิวยอร์คเวลา 21.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบ เว็บคอนเฟอเรนซ์ ระหว่างการปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 64 ที่นครนิวยอร์ก และการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม จี-20 พิตส์เบิร์ก ซัมมิท ที่นครพิตส์เบิร์ก ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน มายังรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 กรณีกลุ่มเสื้อแดงกล่าวหาว่าระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลปล่อยให้กัมพูชาสร้งถนนเข้ามา 2 เส้น โดยอ้างมีหนังสือเตือนจากกองทัพ 9 ครั้ง แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร และเป็นประเด็นที่คนเสื้อแดงจะอ้างเพื่อชุมนุมแตกหักในเดือนตุลาคมนี้ ว่า ขอให้ไว้วางใจ ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตัวถนนนั้นก่อสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง และมีการรายงานจากพื้นที่ขึ้นมา จากนั้นก็มีการประท้วง จนถึงขณะนี้ ก็มีการนำไปสู่กรอบของการจรจา ซึ่งรัฐบาลกำลังเสนอต่อสภาในเรื่องที่จะให้ทุกฝ่ายออกจากพื้นที่ และกลับไปสู่ข้อตกลงเมื่อปี 2543 คิดว่าไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล เรื่องนี้เดินต่อตามแนวทางซึ่งเราจะรักษาสิทธิดินแดนอธิปไตยทุกประการ เพียงแต่วิธีการที่รัฐบาลทำนั้น ไม่ต้องการให้เกิดการปะทะ การสูญเสียเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า การเข้ามาในพื้นที่ของกัมพูชา ไม่ได้เข้ามาในช่วงที่นายกฯเป็นรัฐบาลใช่หรือไม่ นายภิสิทธิ์ กล่าวว่า มาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล จริงๆแล้วคงจำได้ว่า มันมีการปะทะตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2551 เรื่องการมีกองกำลังต่างๆ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่มีการออกแถลงการณ์ร่วมเรื่องมรดกโลก ซึ่งเป็นเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น และมีปัญหาในขณะนี้ว่า คนที่ไปทำขณะนั้นมีความผิดหรือไม่ในเรื่องของการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนกรณีชุมชน การค้าขายต่างๆ ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีก คือเกิดขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์ในกัมพูชาสงบ ก็มีการเปิดให้มีการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว โดยมีทั้งคนไทย และกัมพูชาเข้าไปขายของ และมีชุมชนขึ้นมา ตอนนี้ก็พยายามที่จะช่วยกันจัดระเบียบอยู่
เมื่อถามว่า ดูเหมือนรัฐบาลอยู่ท่ามกลางแรงกดดันทั้งของกลุ่มเสื้อแดง และเสื้อเหลืองที่ต้องการให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากความมุ่งหมายเราตรงกัน เราก็อย่าขัดแย้งกันเอง ไม่มีคนไทยคนไหน ที่ต้องการให้ประเทศไทยเสียสิทธิ เสียอธิปไตย เสียดินแดน เพียงแต่แนวทางในการแก้ปัญหาตกลงกับทางกัมพูชากัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องในฐานะเพื่อนบ้าน เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกัน คือ แก้ปัญหากันด้วยสันติวิธี ส่วนความได้เปรียบ เสียเปรียบในทางกฎหมาย ตนยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพราะแถลงการณ์ร่วมเราก็แจ้งยกเลิกไปแล้ว รัฐบาลก็ทำงานเต็มที่เรื่องการไปคัดค้าน ซึ่งอาจเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้องนักในส่วนของมรดกโลก ก็เป็นการแสดงออกชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายจากปีที่แล้ว ซึ่งในส่วนทางพื้นที่ทางทหารก็ยืนยันแล้วว่าเรามีการตึงกำลังของเราอยู่
เมื่อเวลา 08.45 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเปิดเผยว่ารัฐบาลเปิดโอกาสให้ทางการกัมพูชาสร้างถนนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 4.6 ตารางกิโลเมตร ว่า การสร้างถนนในพื้นที่พิพาทเกิดขึ้นนานแล้ว มีถนนก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารอีก ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงออกมาโจมตีเรื่องนี้ ก็ระวังจะเข้าเนื้อตัวเอง เพราะพวกเสื้อแดงเคยเป็นรัฐบาลก่อนที่พวกตนจะเข้ามาเป็นรัฐบาล อย่างไรก็ตามกระทรวงการต่างประเทศเคยทักท้วงในเรื่องนี้ไปแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารและหนังสือซึ่งมีการลงวันที่ชัดเจน เมื่อนายกษิต ภิรมย์ รมว. ต่างประเทศ กลับจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ตนจะชวนมาออกโทรทัศน์เพื่อชี้แจงกับประชาชน โดยเอาเอกสารมาแสดงทั้งหมด
“พอเราเข้ามาเป็นรัฐบาล เขาได้ปรับปรุงถนนบางส่วน เช่น มีการเทซีเมนต์ในพื้นที่ลาดชัน ซึ่งรัฐบาลไทยได้ประท้วงไปแล้ว เพราะไม่ถือว่าเป็นถนนของกัมพูชา ทหารไทยก็อยู่บนถนนนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะมาแสดงความเป็นเจ้าของได้ เพราะพื้นที่ตรงนั้นยังเป็นพื้นที่ที่ต้องแก้ไขปัญหา โดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนต้องพิสูจน์ว่าส่วนไหนเป็นของใคร” นายสุเทพกล่าว
นายสุเทพยังกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนกัมพูชารายงานว่า บริษัทเอกชนสัญชาติญี่ปุ่นที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาเริ่มเข้าไปขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 4.6 ตารางกิโลเมตรแล้ว ว่า เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว และยังต้องเกิดอีก เพราะทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของตน ซึ่งฝ่ายไทยก็ให้สัมปทานบริษัทเอกชนไปหลายบริษัท ขณะนี้จึงไม่มีบริษัทไหนได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว ทางที่ดีคือไทยกับกัมพูชาควรมานั่งปรึกษากันใหม่ พัฒนาพื้นที่ร่วมกัน และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนจะแบ่งส่วนไหนเป็นของใคร ก็ให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนดำเนินการไป
“ถ้างานบางเบาลง ผมจะหาเวลาไปคุยกับผู้นำกัมพูชา (สมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา) เพื่อหาทางเจรจาในเรื่องนี้ ความจริงเคยเจรจาเรื่องนี้คุยกันไว้แล้ว แต่หยุดชะงักไป ก็ต้องหาทางคุยกันใหม่ ส่วนจะไปพบสมเด็จฮุนเซ็นได้ก่อนการประชุมอาเซียนระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมหรือไม่ ต้องดูก่อน ถ้านายกฯ เห็นสมควร ผมก็จะไป” นายสุเทพกล่าว
นายเกียรติกร กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะมาตรา 190 ซึ่งน่าสังเกตว่า รัฐบาลต้องการประวิงเวลาเพื่อให้การแก้ไขเสร็จเรียบร้อยก่อน เพราะหากมีการเซ็นสัญญาประเทศไทยจะต้องร่วมลงนามด้วยและต้องนำเข้ารัฐสภาเพื่ออนุมัติ แต่รัฐบาลกลับไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ เป็นเพราะต้องการให้มีการแก้ไขมาตรา 190 ก่อนหรือไม่ เพื่อไม่ต้องนำเรื่องเข้าขอมติจากรัฐสภาอีก ซึ่งตนเห็นว่ามีกลุ่มคนที่จะได้ผลประโยชน์จากพื้นทีทับซ้อนนี้ คือนักการเมือง ไม่ใช่ประชาชน ดังนั้นจึงฝากถามนายกรัฐมนตรีว่าหากเดินทางกลับผประเทศไทยแล้วจะเปิดการเจรจาเรื่องดังกล่าวหรือไม่อย่างไร และผลประโยชน์ในสัญญาดังกล่าวมีมูลค่าเท่าใด ซึ่งตนเชื่อว่าการเซ็นสัญญาของกัมพูชาจะทำให้ประเทศไทยเสียทั้งดินแดน เงิน และทรัพยากร
ก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 07.45 น. วันที่ 24 กันยายน ตรงกับเวลาท้องถิ่นนครนิวยอร์คเวลา 21.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านระบบ เว็บคอนเฟอเรนซ์ ระหว่างการปฏิบัติภารกิจเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 64 ที่นครนิวยอร์ก และการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรม จี-20 พิตส์เบิร์ก ซัมมิท ที่นครพิตส์เบิร์ก ระหว่างวันที่ 21-27 กันยายน มายังรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางไทยทีวีสีช่อง 3 กรณีกลุ่มเสื้อแดงกล่าวหาว่าระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลปล่อยให้กัมพูชาสร้งถนนเข้ามา 2 เส้น โดยอ้างมีหนังสือเตือนจากกองทัพ 9 ครั้ง แต่รัฐบาลไม่ทำอะไร และเป็นประเด็นที่คนเสื้อแดงจะอ้างเพื่อชุมนุมแตกหักในเดือนตุลาคมนี้ ว่า ขอให้ไว้วางใจ ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตาม ตัวถนนนั้นก่อสร้างกันมาตั้งแต่ก่อนที่ตนเข้ามารับตำแหน่ง และมีการรายงานจากพื้นที่ขึ้นมา จากนั้นก็มีการประท้วง จนถึงขณะนี้ ก็มีการนำไปสู่กรอบของการจรจา ซึ่งรัฐบาลกำลังเสนอต่อสภาในเรื่องที่จะให้ทุกฝ่ายออกจากพื้นที่ และกลับไปสู่ข้อตกลงเมื่อปี 2543 คิดว่าไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล เรื่องนี้เดินต่อตามแนวทางซึ่งเราจะรักษาสิทธิดินแดนอธิปไตยทุกประการ เพียงแต่วิธีการที่รัฐบาลทำนั้น ไม่ต้องการให้เกิดการปะทะ การสูญเสียเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า การเข้ามาในพื้นที่ของกัมพูชา ไม่ได้เข้ามาในช่วงที่นายกฯเป็นรัฐบาลใช่หรือไม่ นายภิสิทธิ์ กล่าวว่า มาตั้งแต่ยังไม่ได้เป็นรัฐบาล จริงๆแล้วคงจำได้ว่า มันมีการปะทะตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2551 เรื่องการมีกองกำลังต่างๆ ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่มีการออกแถลงการณ์ร่วมเรื่องมรดกโลก ซึ่งเป็นเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งสิ้น และมีปัญหาในขณะนี้ว่า คนที่ไปทำขณะนั้นมีความผิดหรือไม่ในเรื่องของการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่วนกรณีชุมชน การค้าขายต่างๆ ย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีก คือเกิดขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์ในกัมพูชาสงบ ก็มีการเปิดให้มีการท่องเที่ยวในพื้นที่ดังกล่าว โดยมีทั้งคนไทย และกัมพูชาเข้าไปขายของ และมีชุมชนขึ้นมา ตอนนี้ก็พยายามที่จะช่วยกันจัดระเบียบอยู่
เมื่อถามว่า ดูเหมือนรัฐบาลอยู่ท่ามกลางแรงกดดันทั้งของกลุ่มเสื้อแดง และเสื้อเหลืองที่ต้องการให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาออกจากพื้นที่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า หากความมุ่งหมายเราตรงกัน เราก็อย่าขัดแย้งกันเอง ไม่มีคนไทยคนไหน ที่ต้องการให้ประเทศไทยเสียสิทธิ เสียอธิปไตย เสียดินแดน เพียงแต่แนวทางในการแก้ปัญหาตกลงกับทางกัมพูชากัน ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องในฐานะเพื่อนบ้าน เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกัน คือ แก้ปัญหากันด้วยสันติวิธี ส่วนความได้เปรียบ เสียเปรียบในทางกฎหมาย ตนยืนยันว่าไม่มีปัญหา เพราะแถลงการณ์ร่วมเราก็แจ้งยกเลิกไปแล้ว รัฐบาลก็ทำงานเต็มที่เรื่องการไปคัดค้าน ซึ่งอาจเป็นกระบวนการที่ไม่ถูกต้องนักในส่วนของมรดกโลก ก็เป็นการแสดงออกชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายจากปีที่แล้ว ซึ่งในส่วนทางพื้นที่ทางทหารก็ยืนยันแล้วว่าเรามีการตึงกำลังของเราอยู่
เมื่อเวลา 08.45 น. วันเดียวกัน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงออกมาเปิดเผยว่ารัฐบาลเปิดโอกาสให้ทางการกัมพูชาสร้างถนนในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 4.6 ตารางกิโลเมตร ว่า การสร้างถนนในพื้นที่พิพาทเกิดขึ้นนานแล้ว มีถนนก่อนที่รัฐบาลจะเข้ามาบริหารอีก ถ้ากลุ่มคนเสื้อแดงออกมาโจมตีเรื่องนี้ ก็ระวังจะเข้าเนื้อตัวเอง เพราะพวกเสื้อแดงเคยเป็นรัฐบาลก่อนที่พวกตนจะเข้ามาเป็นรัฐบาล อย่างไรก็ตามกระทรวงการต่างประเทศเคยทักท้วงในเรื่องนี้ไปแล้ว มีหลักฐานเป็นเอกสารและหนังสือซึ่งมีการลงวันที่ชัดเจน เมื่อนายกษิต ภิรมย์ รมว. ต่างประเทศ กลับจากการปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ตนจะชวนมาออกโทรทัศน์เพื่อชี้แจงกับประชาชน โดยเอาเอกสารมาแสดงทั้งหมด
“พอเราเข้ามาเป็นรัฐบาล เขาได้ปรับปรุงถนนบางส่วน เช่น มีการเทซีเมนต์ในพื้นที่ลาดชัน ซึ่งรัฐบาลไทยได้ประท้วงไปแล้ว เพราะไม่ถือว่าเป็นถนนของกัมพูชา ทหารไทยก็อยู่บนถนนนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะมาแสดงความเป็นเจ้าของได้ เพราะพื้นที่ตรงนั้นยังเป็นพื้นที่ที่ต้องแก้ไขปัญหา โดยคณะกรรมการปักปันเขตแดนต้องพิสูจน์ว่าส่วนไหนเป็นของใคร” นายสุเทพกล่าว
นายสุเทพยังกล่าวถึงกรณีที่สื่อมวลชนกัมพูชารายงานว่า บริษัทเอกชนสัญชาติญี่ปุ่นที่ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลกัมพูชาเริ่มเข้าไปขุดเจาะน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 4.6 ตารางกิโลเมตรแล้ว ว่า เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว และยังต้องเกิดอีก เพราะทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของตน ซึ่งฝ่ายไทยก็ให้สัมปทานบริษัทเอกชนไปหลายบริษัท ขณะนี้จึงไม่มีบริษัทไหนได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าว ทางที่ดีคือไทยกับกัมพูชาควรมานั่งปรึกษากันใหม่ พัฒนาพื้นที่ร่วมกัน และใช้ประโยชน์ร่วมกัน ส่วนจะแบ่งส่วนไหนเป็นของใคร ก็ให้คณะกรรมการปักปันเขตแดนดำเนินการไป
“ถ้างานบางเบาลง ผมจะหาเวลาไปคุยกับผู้นำกัมพูชา (สมเด็จฮุนเซ็น นายกรัฐมนตรีกัมพูชา) เพื่อหาทางเจรจาในเรื่องนี้ ความจริงเคยเจรจาเรื่องนี้คุยกันไว้แล้ว แต่หยุดชะงักไป ก็ต้องหาทางคุยกันใหม่ ส่วนจะไปพบสมเด็จฮุนเซ็นได้ก่อนการประชุมอาเซียนระหว่างวันที่ 23-25 ตุลาคมหรือไม่ ต้องดูก่อน ถ้านายกฯ เห็นสมควร ผมก็จะไป” นายสุเทพกล่าว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)