--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

"แม้ว"เดือดฉะกลับ "เนวิน"ใส่ความ ทับถมระบอบทักษิณ หลุดคดียางฯขอให้โชคดี ได้เป็น นายหน้าค้าอำนาจ


"แม้ว"เดือดฉะกลับ"เนวิน" ใส่ความ-ทับถมระบอบทักษิณ หลุดคดียางฯขอให้โชคดี ได้เป็น"นายหน้าค้าอำนาจ""แม้ว"เดือดทวิตฉะ"เนวิน"ใส่ความ-ทับถมระบอบทักษิณ หลุดคดียางฯ ขอให้โชคดี ได้เป็น"นายหน้าค้าอำนาจ" เพื่อไทยตอกซ้ำ จำได้หรือไม่ใครนำคนเสื้อแดงบุกบ้าน "ป๋าเปรม" นปช.รุกเดินสายเปิด "ร.ร.นปช. 4" ภาคเพิ่มคุณภาพให้สมาชิก
"แม้ว"ฉะ"เนวิน" ใส่ความระบอบทักษิณ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตข้อความ เมื่อวันที่ 23 กันยายน ผ่าน http://www.twitter.com/ ถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือ งมีคำวินิจฉัยถอนฟ้อง 44 จำเลยในคดีกล้ายาง โดยส่วนใหญ่เป็นถ้อยความที่แสดงถึงความน้อยใจ ในลักษณะทีว่า หากเป็นคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ หรือคนที่อยู่ฝั่งเดียวกัน จะก็ทำให้แน่นหนา แต่พอย้ายฝากก็จะทำให้หลุด

ซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งเขียนถึง นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน ว่า "ข้ามฟากอย่างเดียวไม่พอ ท่านต้องเนียนด้วยการคลอเคลียใส่ความผมเยอะๆ และลืมไม่ได้ ที่ต้องกล่าวทับถมระบอบทักษิณ ที่ครั้งหนึ่งท่านเคยว่า คนที่ว่าเรามาก่อน และข้อกล่าวหาที่ได้ผลชะงักคือ ล้มล้างสถาบันฯ ทั้งๆที่ท่านรู้ดีว่า ผมเทิดทูนสูง เพราะท่านก็เคยร่วมกับผมทำงานถวายฯ อย่างมีความสุขมาหลายปีหลายงาน และเราก็เคยพูดกันในค.ร.ม. ถ้าท่านทำได้ครบก็จะมีคนยกหูช่วยท่านให้หลุดพ้น"

พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนด้วยว่า "ผมขอให้โชคดี และพ้นคดีกันทุกคนนะครับ ถ้าเนียนจริงก็จะได้เป็นนายหน้าค้าอำนาจ ไม่ต้องห่วงผม ชีวิตผมต้องช่วยตัวเองครับ เกิดปีวัวกลางวันก็หนักหน่อย ผมใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนก็สบายดีครับ ถึงแม้จะเหงาหน่อย แต่ก็จิตสงบดีเพราะไม่ได้ฟังเรื่องไร้สาระรายวัน คนที่นี่เขาใช้เวลาทำมาหากิน อย่างมีกติกาครับ หลวงพ่อบอกว่า ยามที่เรามีกรรมสิ่งชั่วร้ายก็จะเกาะรอบตัวเรา แต่ถ้ายามที่บุญกลับมาสิ่งชั่วร้ายก็จะค่อยหลุดจากเราไป คงเหลือแต่สิ่งดีๆ"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีบุคคลภายใต้ชื่อ "spravinvongvuth" ได้ตั้งคำถามพ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คิดอย่างไรหากนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าวโดยตรง เพียงแต่ทวิตข้อความว่า "55555555" ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าว ยังได้ทวิตคำถามเดียวกันนี้กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีด้วย แต่นายอภิสิทธิ์ ยังไม่ได้ตอบคำถามนี้


"สมชาย"สงสัยมติศาลยกฟ้องกล้ายาง"รั่ว" เย้ยระบบเก็บความลับไม่ดี
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีมติถอนฟ้อง 44 จำเลยในคดีกล้ายางด้วยมติ 8 ต่อ 1 ว่า เป็นดุลยพินิจของศาลคงไปก้าวก่ายอะไรไม่ได้ เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตกันว่าเหตุใดผลการตัดสินถึงรั่วไหลปรากฎสู่สาธารณชนก่อนที่จะมีการตัดสินจริง นายสมชาย กล่าวว่า ตนก็สงสัยเช่นเดียวกันที่มติของศาลออกมาตามขาด ซึ่งเรื่องนี้มีอยู่ 2 สาเหตุคือ 1.เป็นการคาดการณ์ที่บังเอิญตรงกับความจริง หรือ 2.ข่าวรั่วซึ่งหากเป็นประเด็นหลังแสดงให้เห็นว่าระบบการเก็บความลับไม่ดี

เมื่อถามถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ระบุว่าเป็นเพราะนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นหนึ่งในจำเลยทำให้ศาลยกฟ้องจำเลยทั้งหมด นายสมชาย กล่าวว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงจะลำบาก ดังนั้นจะต้องดูที่คำวินิจฉัยของศาล ซึ่งตนเชื่อว่าศาลคงจะไม่ทำเพื่อคนคนเดียวแต่ตัดสินไปตามพยานหลักฐานที่มี เมื่อถามว่าหากผลการตัดสินคดีหวยบนดินที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ปรากฎว่าศาลตัดสินว่าจำเลยซึ่งหนึ่งในนั้นคือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีมีความผิดจะถือว่าการบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่าง 2 มาตราฐานหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า เป็นคนกรณีกันเทียบกันไม่ได้ ซึ่งต้องดูว่าคำวินิจฉัยขององค์คณะเป็นอย่างไร มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่ตนจะให้ความเห็น

พท.ซัด"เนวิน"นำแดงบุกบ้านป๋า
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย และอดีตกรรมการบริหารพรคไทยรักไทย ระบุว่าจะเดินหน้าล้มระบอบทักษิณว่า นายเนวินเคยอยู่ในระบอบทักษิณมาก่อนน่าจะรู้ดีว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ซึ่งความแตกแยกในสังคมที่มีเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงิน นายเนวินต้องยอมรับความจริงว่ามีส่วนร่วมด้วย นายเนวินเคยทำสิ่งใดไว้สังคมรับทราบดีและตัดสินได้ว่าใครรู้บุญคุณคน ใครซื่อสัตย์ สังคมไม่ยอมรับคนทรยศ แม้ว่าศาลจะยกฟ้องก็ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นพระเอกในช่วงข้ามคืน เพราะผู้ร้ายก็คือผู้ร้าย

"เสื้อแดงคนที่ริเริ่มคือนายเนวินไม่ใช่หรือที่นำคนเสื้อแดงบุกบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เหตุการณ์เหล่านั้นลืมไปแล้วหรือ ลองเอากระจกขึ้นมาส่องดูแล้วถามคนในกระจกว่าคนไหนคือต้นเหตุของความวุ่นวายที่แท้จริง" นายสุรพงษ์ กล่าว
แดงเดินสายเปิด "ร.ร.นปช." 4 ภาค

วันเดียวกันที่ชั้น 6 ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว กรุงเทพฯ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)-แดงทั้งแผ่นดิน แถลงมติที่ประชุมแกนนำคนเสื้อแดงว่า ได้ประเมินผลการดำเนินการโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน ที่ดำเนินการรุ่นที่ 1 อบรมแกนนำในพื้นที่กรงุเทพฯ และปริมณฑลไปแล้วนั้น ต่อไปจะประเมินผลนักเรียนแต่ละคนที่ผ่านการอบรมไป โดยจะเน้นเรื่องการเคลื่อนไหว พร้อมไปกับเดินหน้าอบรมหลักสูตรโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน ต่อในอีก 4 ภาคใน 4 สัปดาห์ของเดือนตุลาคม เริ่มจากวันที่ 3-4 ตุลาคม ที่ จ.ขอนแก่น สัปดาห์ถัดไปจะเป็นภาคกลาง ตะวันออก เหนือและใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนตุลาคม เพื่อผลิตนักเรียนโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.-แดงทั้งแผ่นดินที่มีคุณภาพออกมาอย่างต่อเนื่อง
แฉเขมรทำถนนรุกพท.ทับซ้อน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า แกนนำคนเสื้อแดงได้มีมติร่วมกันว่าจะเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พูดความจริงกับประชาชนกรณีที่ประเทศเพื่อนบ้านทำถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 สาย เข้ามาในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณที่ตั้งประสาทเขาพระวิหาร 4.6 กิโลเมตร แต่รัฐบาลนี้กลับนิ่งเฉยๆ แสดงเจตนาปล่อยปละละเลย เพราะพรรคฝ่ายค้านเคยนำเรื่องนี้ไปอภิปรายไม่ไว้วางใจมาแล้วครั้งหนึ่ง ล่าสุด ตนได้รับข้อมูลจากกองทัพภาค 2 ซึ่งเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ในค่ายสุรนารีว่าได้ทำหนังสือชี้แจงมายังรัฐบาลได้รับทราบถึง 9 ครั้ง 9 ฉบับ เพื่อให้เคลื่อนไหวทางการทูตทักท้วงไม่ให้ประเทศเพื่อนบ้านก่อสร้างถนนทั้งสองสาย แต่รัฐบาลยังางเฉยไม่ได้ดำเนินการใดๆ โดยปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านสร้างถนนจนแล้วเสร็จ

หากนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทยกับกัมพูชา กรณีการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแล้ว ต้องถูกกล่าวหาว่าขายชาติ ทั้งที่ยังไม่ได้ทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดง ดังนั้น การนิ่งเฉยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องถือว่าคุณกำลังจะเป็นคนขายชาติตัวจริง เพราะประเทศไทยกำลังจะทำให้สูญเสียดินแดน นปช.จะติดตามอย่างเข้มข้น แต่เราไม่มีนโยบายนำมวลชนเข้าไปเพื่อให้เกิดการเผชิญหน้ากับประชาชน ตำรวจ ทหารและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และไม่มีความต้องการนำไปสู่การกระทบกระทั่งระหว่าง 2 ประเทศ เพียงแต่ต้องการให้รัฐบาลพูดความจริงเท่านั้น และไม่ขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภา เพราะหากทำให้สูญเสียดินแดนจริงๆ 7 ชั่วชีวิตของนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่อาจจะชดใช้ได้ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่หากเราจะต้องต่อสู้กับรัฐบาลอย่างแตกหักเราก็จะทำ" นายณัฐวุฒิกล่าว

ขีดเส้นต.ค.ไม่เคลียร์นัดชุมนุมอีก
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นอกจากนี้ นปช.-แดงทั้งแผ่นดินยังต้องถามไปยังนายทหารใหญ่ในกองทัพด้วยว่า ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ได้อย่างไรหรือเป็นเพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณกว่า 1 หมื่นล้านให้กองทัพซื้ออาวุธ จึงทำให้ประเด็นเขาพระวิหาร น้ำหนักเบาบางลงไป นอกจากนี้ กรณีกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนำมวลชนไปปะทะกับชาวบ้านภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพราะชาวบ้านลุกขึ้นมาปกป้องท้องถิ่นของตัวเอง แต่นายสุเทพกลับบอกว่า จะจับกุมคนทั้ง 2 ฝ่าย อยากถามว่าพี่น้องศรีสะเกษผิดอะไรที่ปกป้องบ้านของตัวเอง

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า นปช.-แดงทั้งแผ่นดิน จะติดตามคำตอบจากนายอภิสิทธิ์ และผู้ที่รับผิดชอบเกี่ยวเรื่องนี้อย่างเข้มข้น ซึ่งแน่นอนว่าคนเสื้อแดงจะเคลื่อนไหวเพื่อติดตามคำตอบ หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน โดยจะให้เวลาระยะหนึ่งให้รัฐบาล ซึ่งอาจจะถึงสิ้นเดือนตุลาคม หากไม่มีคำตอบอาจจะพิจารณาชุมนุมใหญ่เพื่อทวงถามเอาคำตอบนี้

อัปยศ ที่ UN


โดย จักรภพ เพ็ญแข

ที่มา คอลัมน์ สายตาโลก

หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
เมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นพูดในที่ประชุมเดียวกันนี้ ขอให้รู้เถิดครับว่า สายตาโลกเขามองมาด้วยความดูถูกดูแคลนและความสมเพชเวทนา เพราะความทรงจำของเขาเมื่อสามปีที่ผ่านมายังคงแจ่มชัดอยู่ และเขาเข้าใจดีว่าระบอบประชาธิปไตยไทยที่จอมปลอมและเป็นมายาใหญ่คือเหตุผลเดียวที่คนอย่างคุณอภิสิทธิ์ฯ มาพูดต่อหน้าเขาได้ในนามประเทศไทย ผมไม่ค่อยสนใจว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะทำอะไรหรือพูดอะไร


เพราะคุณอภิสิทธิ์เป็นเพียงนักแสดงตามบท ตีบทแตกบ้างและไม่แตกบ้างไปตามฉาก ไม่มีอิทธิพลใดๆ ในการเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างคนเป็นนายกรัฐมนตรีควรมี ในฐานะร่างทรงของระบอบอำมาตยาธิปไตย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีอำนาจชี้นำ


น้อยกว่า นายควง อภัยวงศ์ หลังรัฐประหาร พ.ศ.๒๔๙๐


น้อยกว่า พลเอกถนอม กิตติขจร (ยศในขณะนั้น) หลังรัฐประหาร พ.ศ.๒๕๐๐


น้อยกว่า นายสัญญา ธรรมศักดิ์ หลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖


น้อยกว่า นายธานินทร์ กรัยวิเชียร หลังรัฐประหาร ๖ ตุลาคม ๒๕๑๖


และยังน้อยกว่า นายชวน หลีกภัย


หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.๒๕๓๕ เพราะคุณอภิสิทธิ์ไม่มีความสามารถในการขับเคลื่อนทางการเมือง ได้รับเลือกตั้งมาตลอดด้วยภาพลักษณ์และบุคลิกภาพ ไม่มีใครรู้แนวคิดหรือนโยบายในใจ จนเสมือนเป็นคนไร้ความคิด บำเพ็ญตนเป็นลูกหาบทางการเมืองของคุณชวนฯ จนถอนตัวออกมาเป็นลูกจ้าง คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่างเคร่งครัด ขณะนี้ก็กำลังถอนจากคุณสุเทพฯ แล้วเข้าทำงานเต็มตัวกับบริษัทแม่ของระบอบอำมาตย์


อาวุธของคุณอภิสิทธิ์ฯ คือการทำตัวเองให้เป็นคนที่ไร้อาวุธ เพื่อให้ผู้ถืออาวุธเขาไว้วางใจและเรียกใช้งาน ซึ่งก็ได้ผล หากคิดจะเป็นนายกรัฐมนตรีเล่นโก้ๆ โดยไม่สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงให้กับประเทศที่มีผู้คนกว่าหกสิบล้านเขาหวังการนำอยู่ สำหรับคนที่คิดอะไรแบบรับผิดชอบต่อบ้านเมือง การดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจทางการเมืองและการบริหารชาติ แต่ไม่ทำอะไรให้สมกับอำนาจนั้น ต้องถือเป็นการทรยศต่อประชาชนผู้เลือกตั้ง


เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจรัฐอันแท้จริง มอบฉันทะให้นายกรัฐมนตรีคนนั้นๆ ทำงานแทนอยู่ ฝ่ายประชาธิปไตยในอนาคตอันไม่ไกลนัก ต้องไล่เบี้ยคนประเภทนี้ต่อไป แต่เมื่อคุณอภิสิทธิ์ฯ ได้รับมอบหมายให้ไป “แสดง” ในวิกละครระหว่างประเทศถึงองค์การสหประชาชาติหรือ UN จะให้รอเก็บความเสียหายในอนาคตคงจะไม่เข้าที


ควรพูดกันสักคำสองคำเดี๋ยวนี้ก่อนลืมไม่ได้ว่า คุณอภิสิทธิ์ฯ คือนายกรัฐมนตรีไทยคนแรกที่จะไปพูดในที่ประชุมใหญ่สหประชาชาติ หรือ United Nations General Assembly (UNGA) หลังจากการงดปราศรัยอย่างกะทันหันเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ โดยนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เพราะเกิดรัฐประหารในเมืองไทยเมื่อวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ภาพสุดท้ายที่คนทั่วโลกเขาจำได้คือ เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่นายกรัฐมนตรีทักษิณฯ จะได้ขึ้นกล่าวบนแท่นหินอ่อนสีดำที่เจนตา


ก็เกิดข่าวเรื่องรัฐประหาร ทำให้คุณทักษิณฯ ต้องตัดสินใจว่าจะขึ้นกล่าวตามคำเชิญของประธานที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติหรือไม่ ซึ่งในที่สุดก็ไม่กล่าว และออกเดินทางจากนครนิวยอร์กไปยังกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร


ทำไมไม่ถือโอกาสกล่าวคำปราศรัยประกาศตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นและปักหลักมันอยู่ที่นิวยอร์กเลยนั้น เป็นคำถามสำหรับอนาคตสำหรับคนที่ปรารถนาจะย้อนกลับมาชำระประวัติศาสตร์ ตัวผมขอจองไว้คนหนึ่งล่ะ ถึงวันนั้นจะกลับมาชำระกับเขาด้วย ในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๙ ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ชัดว่า


นายโคฟี่ อันนัน เลขาธิการสหประชาชาติในครั้งนั้น ท่านยืนยันว่านายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ยังสามารถขึ้นพูดในที่ประชุมโลกได้แม้จะเกิดรัฐประหารที่ประสบความสำเร็จในเมืองไทยแล้วก็ตาม แปลไทยเป็นไทยว่า องค์การสหประชาชาติเขาไม่ยอมรับคณะรัฐประหารและมรดกปิศาจใดๆ ที่เกิดจากการรัฐประหารในครั้งนั้น


และเห็นว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งอย่าง ดร.ทักษิณฯ ยังเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทยอยู่ ใครจะว่าอย่างไรก็เถิด ผมขอยกย่องเทิดทูนบทบาทขององค์การสหประชาชาติและตัวนายโคฟี่ อันนันเอาไว้ในที่นี้


การตัดสินใจโยนผ้ายอมแพ้ของเรา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ UN เลย เมื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นพูดในที่ประชุมเดียวกันนี้ ขอให้รู้เถิดครับว่า สายตาโลกเขามองมาด้วยความดูถูกดูแคลนและความสมเพชเวทนา เพราะความทรงจำของเขาเมื่อสามปีที่ผ่านมายังคงแจ่มชัดอยู่


และเขาเข้าใจดีว่าระบอบประชาธิปไตยไทยที่จอมปลอมและเป็นมายาใหญ่คือเหตุผลเดียวที่คนอย่างคุณอภิสิทธิ์ฯ มาพูดต่อหน้าเขาได้ในนามประเทศไทย โลกเขายกย่องเฉพาะผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้นครับ ผู้นำเผด็จการ หรือลูกสมุนของจอมเผด็จการนั้น เขาต้องฟังไปตามหน้าที่โดยไม่มีความศรัทธาใดๆ


จำได้ไหมครับ กระทรวงการต่างประเทศยุคที่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรีและไปพูดที่ UN เหมือนกันนั้น ต้องแอบเอาภาพข่าวมาตัดต่อให้ดูเหมือนว่ามีผู้แทนประเทศต่างๆ อยู่ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่มากมาย


เพราะในวันนั้นเขาลุกออกจากที่นั่งกันมากกว่าครึ่งหนึ่งของห้อง คุณเปรมฯ พูดอย่างภูมิใจในเมืองไทยว่า เป็นผู้นำระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ และทำท่าว่าโลกเขาเข้าใจและยอมรับว่าเมืองไทยต้องค่อยๆ กระดืบสู่ระบอบที่ประชาชนมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ความจริงเขาไม่ยอมรับ เขารังเกียจ และระบอบวิตถารใดๆ ที่มีความเป็นประชาธิปไตยไม่เต็มที่


เขาสงเคราะห์ว่าเป็นเผด็จการทั้งนั้นล่ะครับ คราวนี้คนรุ่นหลานของขี้ข้าเผด็จการจะไปทำหน้าที่เดียวกันบ้าง สงสัยกระทรวงการต่างประเทศต้องออกแรงสร้างภาพอีกแล้วล่ะกระมัง เพราะจากคนอายุ ๘๐ กว่าจนถึงคนอายุ ๔๐ กว่า เมืองไทยในระบอบอำมาตยาธิปไตยยังไม่เปลี่ยนแปลงสันดานและไม่ได้ดีขึ้นเลยในสายตาโลก คุณอภิสิทธิ์ฯ คงจะพูดภาษาอังกฤษได้เพราะพริ้ง ดูเผินๆ ก็น่าภูมิใจ


แต่ทุกคำพูดที่เปล่งออกไปจะยืนยันอย่างเดียวว่าราชอาณาจักรไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตย และเอาเด็กฝึกงานมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพียงเพราะหวังว่าเขาจะสร้างภาพชดเชยความเน่าหนอนของระบอบอำมาตยาธิปไตยไทยที่ตนเป็นเจ้าของได้ ไปก็ดีครับ ความอัปยศของระบอบปัจจุบันของไทยมันจะได้แพร่หลายไปทั่วโลก


คนไทยที่รักเมืองไทยก็อย่าห่วงครับ รัฐบาลที่เลวไม่ได้แปลว่าประเทศต้องเลว คิดเสียว่าเขาไปช่วยประจานความชั่วร้ายของตัวเอง เพื่อที่วันหนึ่งเมื่อระบอบแบบนี้สิ้นสุดยุติลง ประเทศไทยจะได้สูงขึ้นโลกเขาไม่สนใจหรอกครับว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ จะไปพูดอะไร เพราะเขารู้ว่าคุณอภิสิทธิ์ฯ คืออะไร.

เสียดายที่ต้องจ่ายภาษี


เห็นภาพ คนไทยไล่ตีไล่ทุบกันเองบริเวณใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากปัญหาพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ใครไม่รู้สึกเศร้าใจหรือเสียใจก็คงใจแข็งเกินไปหน่อยล่ะครับ

แต่ถ้าหากผู้มีอำนาจในรัฐบาลจะกล่าวเพียงสั้น ๆ ว่า “เสียใจ” และไม่พยายามหาทางแก้ไข ทำได้แค่นั้น หลายคนคงรู้สึกเสียดายที่ต้องจ่ายภาษี เพื่อเป็นเงินเดือนให้กับผู้มีอำนาจในการแก้ปัญหา ถ้าหากจะถามว่าใครต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ครั้งนี้บ้าง

ผมตอบได้เลยว่า ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ตัวแทนจากพันธมิตรฯ ชาวภูมิซรอล อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการฝ่ายปกครอง แทนที่จะนั่งจับเข่าพูดคุยหรือทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนว่าแต่ละฝ่ายมีจุดยืนหรือมีท่าทีอย่างไร ก็ไม่น่าจะเกิดความรุนแรงเกิดขึ้น หรือถ้า ผู้ว่าฯศรีสะเกษ มีกึ๋นซักหน่อย เปิดโต๊ะเจรจาให้ทุกฝ่ายเข้ามานั่งพูดคุยกัน ปัญหาคงไม่บานปลายถึงขั้นเลือดตกยางออก

และผมก็ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้จะเป็นแผนของใครบางคน หวังใช้กระแสปกป้องอธิปไตย มากลบความเคลื่อนไหวของ นปช. หรือคนเสื้อแดง ใครกล้าทำอย่างนี้ได้ จิตใจต้องไม่ธรรมดาแล้วล่ะครับ

เกิดปัญหาอย่างนี้แล้วอยากแนะนำ “คุณสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะที่ดูแลสื่อของรัฐ ก่อนจะผลักดันโครงการ “ไทยสามัคคีไทยเข้มแข็ง” หวังให้คนไทยร้องเพลงชาติร่วมกันจนครบ 76 จังหวัด ช่วยกรุณาให้ผู้เกี่ยวข้องและมีความรู้เกี่ยวกับข้อพิพาทของไทย-กัมพูชา มาช่วยให้ข้อมูลหรืออธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นปัญหาให้ชัดเจนหน่อยเถอะครับ

แม้ว่า “นายกษิต ภิรมย์” รมว.การต่างประเทศ จะเคยชี้แจงบ้างแล้ว แต่ถ้าหากยังทำให้คนในสังคมไทยเข้าใจอย่างถ่องแท้ไม่ได้ ก็ต้องหาคนมาอธิบายให้บ่อยขึ้นอีก อย่างผมมีข้อข้องใจในบางประเด็น ลองตั้งโจทย์ เผื่อว่าจะมีใครมีความเห็นตรงกัน เช่น

1. พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ยังมีคนกัมพูชาอาศัยอยู่หรือไม่ ในระหว่างที่ทั้งสองประเทศกำลังหาข้อยุติร่วมกันอยู่ ?

2. การหาข้อยุติเพื่อแบ่งผลประโยชน์ในอ่าวไทย ซึ่งมีทั้งแก๊ส น้ำมัน เจรจาไปถึงในระดับไหน เพราะได้ยินว่าทางกัมพูชาได้ว่าจ้างบริษัทจากต่างชาติมาสำรวจทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทยแล้ว และเราจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากขุมทรัพย์ใต้ทะเลบ้าง ?

3. สถานภาพของนายกษิตในฐานะเป็น รมว.การต่างประเทศ มีผลกระทบกับการเจรจาระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่ เนื่องจากเคยเคลื่อนไหวร่วมกับพันธมิตรฯ มาก่อน ถ้าหากมีปัญหาจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบุคคลที่ดำรงตำแหน่ง รมว.การต่างประเทศหรือไม่ เพื่อให้การเจรจาดำเนินการไปด้วยความราบรื่นและไม่มีอุปสรรค ?

4. ผู้รับผิดชอบจะมีแนวทางอย่างไรเพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยต้องมาไล่ทำร้ายกันเอง อันสืบเนื่องมาจากกรณีปราสาทพระวิหาร

วันนี้ผมขอคำตอบเฉพาะหน้าแค่ 4 ข้อนี้ล่ะครับ หากจะมีใครช่วยชี้แจงหรือตอบข้อข้องใจ หรือถ้าหาก เรื่องอะไรที่เป็นความลับ เปิดเผยไม่ได้ เพราะเกรงว่าจะกระทบกับผลประโยชน์ของชาติ (ไม่ใช่ประโยชน์ของใครบางคน) ก็ไม่ว่ากันครับ ในฐานะเป็นคนไทยคนหนึ่งก็รักชาติเหมือนกัน แต่เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งขึ้นมาอย่างนี้แล้ว องค์กรไหนจะผลักดันปราสาทพระวิหารให้เป็น “มรดกโลก” ผมว่าคงต้องระงับไว้ก่อนแล้วล่ะครับ.

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

คตส.งานเข้า!!ชัยชนะของคู่กรรม


หากย้อนมองมาถึงการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ บรรดานายทหารบรรดา คตส. บรรดา ป.ป.ช. กล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือไม่ว่า...รัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ไม่มีเรื่องปนเปื้อนเกี่ยวกับทุจริตเลยแม้แต่น้อยโครงการชุมชนพอเพียง สะดุดปัญหาอะไร ไม่ใช่เรื่องทุจริตหรอกหรือ???โครงการต้นกล้าอาชีพก็เช่นเดียวกันแม้แต่โครงการไทยเข้มแข็ง ใครบ้างที่กล้าการันตีว่าไม่มีเรื่องทุจริต

คดีทุจริตกล้ายาง มูลค่า 1,440 ล้านบาท ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มั่นใจว่าเป็นคดีเด็ดและจะสามารถพิสูจน์ทุจริตได้ตามที่กลุ่มพันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ซึ่ง

ขณะนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน และที่สำคัญคณะปฏิรูปการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข (คปค.) กล่าวหา และได้ใช้เป็นเหตุในการกระทำรัฐประหาร19 กันยายน 2549ว่าในช่วงเวลาของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ได้ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตเกิดขึ้นมากมายอย่างเช่นกรณีทุจริตกล้ายางคตส.หมายมั่นปั้นมือว่า เอาอยู่แน่โดยเฉพาะเป้าเด็ดหัวสำคัญก็คือนายเนวิน ชิดชอบ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯและอยู่ในขั้วการเมืองร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณหลังรัฐประหารนายเนวิน ต้องหนีหัวซุกหัวซุน เพราะเล่าเองจากปากสดๆให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ถูกทหารจับไปบังคับให้แก้ผ้าล่อนจ้อนเพื่อสอบสวนอย่างน่าเอน็จอนาถ

แต่วันนี้เมื่อหันมาสนับสนุน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จนายเนวินก็ไม่ต้องหนีหัวซุกหัวซุนอีกต่อไปแถมยังกลับกลายมาเป็นที่ปรึกษาพิเศษใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มให้กับนายอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะไม่มีตำแหน่งในทางการเมืองใดๆ ก็ตามเพราะยังติดกรณีคำตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปีอยู่ซ้ำยังตั้งพรรคภูมิใจไทย และผลักดันกลุ่มก๊วนเพื่อนเนวิน และคนใกล้ชิดให้ได้ดีทางการเมือง ราวกับไม่ได้ถูกเว้นวรรคทางการเมืองอย่างนั้นแหละแม้กระทั่งคดีกล้ายาง ที่ คตส. มั่นใจแล้วมั่นใจอีก และมั่นใจมาก แต่เมื่อนายเนวินหันมาหนุนนายกฯอภิสิทธิ์ หันมาศิโรราบให้กับระบอบอำมาตยาธิปไตย นายเนวินกลับเชื่อมั่นกว่า คตส. เสียอีกไม่เช่นนั้นคงไม่มีข่าว “หลุดแน่”ออกมาตั้งแต่ยังไม่มีคำพิพากษา!!!และก็พ้องกันโดยบังเอิญกับคำพิพากษาที่ออกมาว่า “ยกฟ้อง”ทั้งหมดซึ่งจริงๆ แล้วก็เป็นไปได้ว่า การที่นายเนวินเชื่อมั่นในการมาฟังคดีกล้ายางโดยที่ไม่ได้มีการหลบหนีคดีอย่างที่หลายฝ่ายเป็นห่วงนั้นก็เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการในช่วงสมัยที่อยู่ร่วมในคณะรัฐมนตรีของพ.ต.ท.ทักษิณ นั้น การดำเนินการในเรื่องกล้ายาง มูลค่า 1,440 ล้านบาท

นั้นเป็นการทำอย่างถูกต้องไม่ได้มีการทุจริตใดๆ อย่างที่ คตส.ระบุ หรือเล่นงานซึ่งวันนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มลทินที่บอกว่า ภายใต้รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลินหัวหน้าคณะ คปค. อ้างว่ามีการทุจริตอย่างมากมาย จนต้องกระทำรัฐประหารนั้นเอาเข้าจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ทั้ง 44 คน ที่มีทั้งรัฐมนตรี มีทั้งข้าราชการพลเรือน และมีทั้งนักธุรกิจ บริษัทเอกชน ได้รับการยกฟ้องครบกันหมดทั้งพวงสิ่งที่ คตส. ซึ่งถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.)ซึ่งเปลี่ยนชื่อมาจาก คปค. และเป็นการแต่งตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบเล่นงานคดีทุจริตโดยเฉพาะ และแสดงความมั่นอกมั่นใจมาตลอดนั้นสุดท้ายก็เป็นเพียงการเข้าใจไปเองเพราะไม่เข้าใจกระบวนการทางธุรกิจเอกชน

ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ระบุชัดเจนว่าบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลงานนั้นไม่ได้ฮั้วประมูล แต่มีการแข่งขัน และมีฐานะทางธุรกิจที่เพียงพอกับการที่จะรับงานมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทของกระทรวงเกษตรฯคำถามจึงต้องวกกลับมาที่ คตส.แล้วว่าหากตลอดมา คตส.ทำหน้าที่โดยปราศจากอคติ ไม่มีธงที่จะมาเล่นงานรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณจริง อย่างที่ได้มีการกล่าวอ้างอยู่เป็นระยะๆก็ต้องแสดงว่า เป็นการดำเนินการโดยที่ไม่ได้มีความไม่เข้าใจ ไม่มีความรู้ในเชิงธุรกิจที่มากเพียงพอ จึงเข้าใจเอาเองว่ามีเรื่องทุจริตเกิดขึ้นซึ่งวันนี้ก็คงได้บทเรียนที่น่าจะช่วยเปิดมุมมองเกี่ยวกับการบริหารจัดการและการดำเนินการสไตล์ธุรกิจให้กับคตส.มากขึ้นแล้วจะได้ไม่บุ่มบ่ามตั้งข้อสงสัยเหมือนกับที่ผ่านๆ มาคตส.จะได้ไม่ถูกมองว่า เป็นเครื่องมือในการจ้องเล่นงานทางการเมืองเหมือนที่หลายฝ่ายสงสัย ทั้งๆ ที่ความจริงเป็นการดำเนินการ

ตั้งสมมุติฐานภายใต้ความไม่รู้จริงเสียมากกว่ากรณีคำตัดสินคดีกล้ายางจึงน่าจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้กับ คตส.ได้มากขึ้นเพราะคดีที่ยังจะต้องดำเนินการพิสูจน์ถูกผิด พิสูจน์ว่าทุจริตในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณมีมากมายจริงๆ หรือไม่นั้นยังมีค้างอยู่อีกถึง 11 คดีซึ่งเรื่องข้อสงสัยและการดำเนินการของคตส. ที่ผ่านมา จนมาพิสูจน์ชัดในคดีกล้ายางในครั้งนี้ แม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี ยังได้มีการทวิตเตอร์ทักทายแฟนคลับ หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้องแล้วว่าคำตัดสินคดีกล้ายางคงอธิบายให้สังคมไทยกระจ่างขึ้นมากเท่ากับ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวหาว่ารัฐบาลของตนทุจริตโดยใช้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) เป็นเครื่องมือเพราะคดีที่ว่าเจ๋งยังหลุดได้

นี่คือบทเรียนทางการเมืองของไทยที่บรรดานายทหารที่เอะอะก็ใช้การปฏิวัติรัฐประหาร โดยอ้างเช่นเดียวกับ บิ๊กบังเช่นเดียวกับ คปค.หรือคมช. ว่าไม่รัฐประหารไม่ได้แล้ว เพราะทุจริตกันเหลือเกินพึงที่จะต้องสังวรณ์เอาไว้เป็นบทเรียนสำคัญด้วยเช่นกันที่สำคัญกรณีคดีกล้ายางเป็นเหมือนชัยชนะของ ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและ เนวิน ชิดชอบ ซึ่งทั้งคู่ ณ วันนี้ก็คือคู่กรรมขนานแท้เลยก็ว่าได้แต่ความพ่ายแพ้กลับไปตกอยู่ที่ คตส.โดยเฉพาะประเด็นที่ถูกมองว่า การเอาหนึ่งในคตส. ไปเป็นพยานให้กับทางจำเลยในคดีนี้ได้อย่างไรนี่คือภาพที่เกิดเส้นคั่นบางๆ ขึ้นกับการกล่าวหาเรื่องทุจริตของรัฐบาลในแต่ละห้วงเวลาเพราะหากย้อนมองมาถึงการบริหารประเทศภายใต้รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์บรรดานายทหาร บรรดา คตส. บรรดาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล้าที่จะพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือไม่ว่ารัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ไม่มีเรื่องปนเปื้อนเกี่ยวกับทุจริตเลยแม้แต่น้อย!!!โครงการชุมชนพอเพียง สะดุดปัญหาอะไรไม่ใช่เรื่องทุจริตหรอกหรือ???โครงการต้นกล้าอาชีพก็เช่นเดียวกันเสียงครหา

เสียงร้องจากผู้ที่เข้าอบรมแล้วยังไม่ได้รับเงินคืออะไร???แม้แต่โครงการไทยเข้มแข็ง ใครบ้างที่กล้าการันตีว่าไม่มีเรื่องทุจริตโครงการถนนปลอดฝุ่น โครงการรถเมล์เช่า 4,000 คัน ราคาโคตรแพงระยิบระยับล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยเสียงลือเสียงเล่าอ้างที่พิศดาร และถูกสังคมจับตามองหรือแม้กระทั่งกรณีที่ กระทรวงกลาโหมเสนอขออนุมัติงบประมาณเป็นหมื่นล้านในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ในช่วงการประชุมครม.ครั้งสุดท้ายของเดือน ก.ย.ก่อนขึ้นปีงบประมาณใหม่ซึ่งสังคมก็สามารถมองได้ว่า จะเป็นการเข้าข่ายผลประโยชน์ตอบแทนหรือไม่เพราะรัฐบาลชุดนี้ใช้งานทหารหนักมากๆในการดูแลจัดการกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

แน่นอนว่าเหล่านี้สังคมล้วนสงสัยและมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ได้ทั้งสิ้นโดยเฉพาะที่สำคัญ ที่พูดกันหนาหูมากขึ้นทุกวัน แต่ไม่รู้ว่า คตส. และ ป.ป.ช.เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเลขพิศดาร 30–35–40 ที่เกิดขึ้นมาในช่วงของรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ บ้างหรือไม่สิ่งเหล่านี้องค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบและสร้างความยุติธรรมให้กับแผ่นดินและสังคมไทย จะได้รับโปรดเกล้าฯ หรือไม่ก็ตาม พึงที่จะต้องมีศักดิ์ศรีและระลึกถึงความสำคัญของหน้าที่อยู่ตลอดเวลาดังนั้น การดำเนินการต่างๆ ไม่มีธงอย่างที่ยืนยันมาตลอดนั้นดีแล้ว แต่จะยิ่งดีมากที่สุดคือจะต้องละเอียดรอบคอบและเปิดกว้างกับทุกการทุจริตที่เกิดขึ้นไม่ว่าในยุคของรัฐบาลใดก็ตามก็เหมือนกับการที่ ป.ป.ช. ตัดสินใจเลื่อนการลงมติชี้มูลคดีถอดถอนอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ข้อหากระทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190กรณีออกมติ ครม.สนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาออกไปก่อน จากวันที่ 22 กันยายนไปเป็นวันที่ 29 กันยายน แทนซึ่ง นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป.ป.ช. ระบุชัดว่า ได้ดูข้อมูล

สำนวนคดีที่คณะทำงานฯ ได้สรุปมาแล้ว พบว่าสำนวนคดียังมีบางจุดที่ไม่สมบูรณ์เป็นการดีแล้วที่ ป.ป.ช.จะต้องรอบคอบเพราะกรณีนี้ก็มีผู้ถูกกล่าวหาทั้งสิ้น 44 คนด้วยเช่นเดียวกันกับคดีกล้ายางแถม 4 คนก็ยังเป็นรัฐมนตรีอยู่ในรัฐบาลของนายกฯอภิสิทธิ์ด้วยแต่หวังว่าจะเป็นความรอบคอบที่ไม่ใช่อย่างกระแสข่าวลือที่ออกมาแล้วอีกเช่นกันว่าอาจจะมีการยกฟ้อง 43 คน โดยนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศผิดเพียงคนเดียวอะไรแบบนั้นถึงวันนี้หากทุกฝ่ายต้องการสร้างความสมานฉันท์ ต้องการยุติการแตกแยกทางความคิดที่รุนแรงรัฐบาลนายกฯอภิสทธิ์ ต้องทำหน้าที่โดยสุจริตและเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศในทุกเรื่องเช่นเดียวกับ คตส. และ ป.ป.ช. ที่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ใจและที่สำคัญ ไม่มีวาระซ่อนเร้นกันเลยจริงๆ ■

ฮอนดูรัส อิหร่าน อัฟริกาใต้ และไทย การต่อสู้ทางชนชั้นที่นำ โดยนักการเมืองนายทุน


เขียนโดย ลั่นทมขาว

นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายในไทยต้องศึกษาและเปรียบเทียบปรากฏการณ์สมัยใหม่ที่กำลัง เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะที่ฮอนดูรัส อิหร่าน และ อัฟริกาใต้... เพราะมันมีบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทยที่เราต้องมาสรุปเป็นคลังความรู้ของ ทฤษฏีมาร์คซิสต์

จุดร่วมของทั้งสี่ประเทศที่กล่าวถึงคือ เรากำลังเห็นการต่อสู้ทางชนชั้น ระหว่างชนชั้นนายทุนซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง และ ชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีด คือกรรมาชีพและคนจน แต่ที่น่าสนใจและแปลกคือในบริบทที่พรรคฝ่ายซ้ายอ่อนแอ หรือไม่ยอมนำการต่อสู้(กรณีอัฟริกาใต้) นักการเมืองนายทุนสามารถเข้ามานำกรรมาชีพและคนจนมาเป็นพวก เพื่อสู้กับอีกซีกหนึ่งของชนชั้นปกครองภายใต้นโยบายประชานิยม และเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ว่ามันเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นชนิดหนึ่ง เราต้องตัดสินใจว่านักสังคมนิยมจะมีท่าทีอย่างไรในรูปธรรม เพื่อผลักดันการต่อสู้ไปในทิศทางก้าวหน้า

ในฮอนดูรัส ประธานาธิบดี เซลายา ที่พึ่งถูกล้มในรัฐประหาร เป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยม Liberal ซึ่งเป็นพรรคนายทุนเก่าแก่ ไม่ใช่พรรคฝ่ายซ้าย แต่ตัว เซลายา เองได้เปลี่ยนจุดยืนมาเข้าข้างคนจนและคนพื้นเมืองที่ถูกกีดกันจากอำนาจและ ทรัพยากรมาตลอด พร้อมกันนั้น เซลายา ก็สร้างมิตรภาพกับ ฮูโกชาเวส ในเวนเนสเวลาด้วย และเขาต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ เพราะรัฐธรรมนูญเดิมสร้างอำนาจผูกขาดให้อภิสิทธิ์ชน นี่คือสาเหตุที่มีการทำรัฐประหารโดยฝ่ายอภิสิทธิ์ชน และพวกที่ทำลายประชาธิปไตยก็ใช้ข้ออ้างที่คุ้นหูคือ “คนจนไม่มีวุฒิภาวะที่จะลงคะแนนเสียง เขาไม่เข้าใจประชาธิปไตย เราต้องมีรัฐประหารเพื่อปกป้องประชาธิปไตย” ในกรณีนี้ฝ่ายซ้ายมีทางเลือกสองทางคือ ร่วมกับมวลชนที่สนับสนุนเซลายา หรือใช้จุดยืน “สองไม่เอา” เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และนอนอยู่บ้าน

ใน ช่วงนี้ดูเหมือน เซลายา กำลังประนีประนอมกับทหารผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้ความฝันที่จะสร้างประชาธิปไตยแท้ที่มีความเป็นธรรมทางสังคมหมด หายไป มันคล้ายไทยไหม? แล้วจะทำอย่างไร?

ใน อิหร่าน เราเห็นการต่อสู้ระหว่างสองซีกของชนชั้นปกครอง คือซีกอนุรักษ์นิยมของ อามาดินจาดกับคะเมนี่ และซีกปฏิรูปของ มุซาวิ สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่มวลชนชั้นล่างออกมาสนับสนุนทั้งสองซีก มันสะท้อนความไม่พอใจทางชนชั้นของคนธรรมดาในหลายรูปแบบคือ ฝ่าย อามาดินจาด มีนโยบายบางอย่างที่ช่วยคนจน และฝ่าย มุซาวี มีจุดยืนขยายประชาธิปไตยตามความต้องการของนักศึกษา ขบวนการสตรี และขบวนการแรงงาน ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจและการตกงานที่ อามาดินจาดและมุสซาวีไม่อยากแก้เต็มที่เพราะสนับสนุนแนวเสรีนิยมกลไกตลาด ในสถานการณ์แบบนี้ฝ่ายซ้ายกลุ่มที่ออกมาอยู่นอกประเทศอิหร่านมาเป็นสิบๆปี ก็ได้แต่ท่องสูตรนามธรรมว่า “กรรมกรต้องสู้เพื่อสังคมนิยม” โดยไม่พยายามเชื่อมติดกับมวลชนแต่อย่างใด ดูเหมือนแค่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ฝ่ายซ้ายอีกส่วน คลุกคลีกับมวลชนของ มุสซาวี และพยายามหาทางดึงคนจนที่อาจเคยชื่นชม อามาดินจาด มาเป็นพวกภายใต้ข้อเรียกร้องรูปธรรมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการตกงานและความยาก จน พร้อมๆ กับการชูประเด็นสิทธิเสรีภาพ

ในอัฟริกาใต้ มีพรรคฝ่ายซ้ายที่ใหญ่โตคือพรรคคอมมิวนิสต์ SACP แต่พรรคนี้ใช้นโยบายสร้างแนวร่วมกับนักการเมืองนายทุนในพรรค African National Congress (ANC) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของคนผิวดำ ส.ส.ของพรรคคอมมิวนิสต์ถึงกับลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค ANC นี่คือตัวอย่างคลาสสิกของแนวร่วมข้ามชนชั้นของพรรคแนว สตาลิน... ในไทย พ.ค.ท. เคยพยายามทำแนวร่วมกับสฤษดิ์! ผลของแนวร่วมแบบนี้คือการยับยั้งการต่อสู้ของคนชั้นล่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับนักการเมืองนายทุน มันเป็นแนวร่วมฉวยโอกาส

ปัญหาคือรัฐบาลANC หลังยุค เนลสัน แมนเดลา ใช้นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว ซึ่งทำให้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยสูงมาก และคนจนในอัฟริกาใต้คือคนผิวดำ แต่เมื่อต้นปีนี้ ANC ทำท่าว่าจะเปลี่ยนทิศทางภายใต้ผู้นำพรรคและประธานาธิบดีใหม่คือ ซูมา (Zuma) ซูมา ชนะเพราะสัญญาว่าจะใช้นโยบายที่ช่วยคนจน และคนจนจำนวนมากก็ไปลงคะแนนเสียงให้ ประเด็นสำคัญสำหรับฝ่ายซ้ายที่ยังอยากสู้เพื่อสังคมนิยมและไม่ได้ประนี ประนอมกับทุนนิยมแบบผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์คือ คุณจะมีท่าทีอย่างไรต่อ ซูมา คุณจะด่าซูมาว่ากำลังจะหักหลังคนจน (ซึ่งจริง) และด่ามวลชนจำนวนมากที่ฝากความหวังใน ซูมา ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืนบริสุทธิ์ หรือคุณจะวิจารณ์ ซูมา พร้อมๆ กับทำงานแนวร่วมกับคนจนที่เลือกเขา เพื่อสร้างพลังการต่อสู้ในขบวนการแรงงานที่คัดค้านนโยบายการแปรรูปรัฐ วิสาหกิจและการตัดสวัสดิการที่รัฐบาล ซูมา จะนำมาใช้?

พอ ถึงจุดนี้คงต้องดึงอีกประเทศหนึ่งเข้ามาเป็นตัวอย่างคือ อินโดนีเซีย ซึ่งพึ่งมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝ่ายซ้าย PRD นำโดย ดีทา สารี เลือกที่จะทำแนวร่วมกับนักการเมืองนายทุนอย่าง เมกะวัทที และนายพลวิรานโต้ ซึ่งวิรานโต้มีผลงานในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก และ เมกะวัททีก็พยายามปราบปรามฝ่ายซ้ายในอดีต การทำแนวร่วมแบบนี้ของ PRD เป็น “แนวร่วมฉวยโอกาส” เพราะ PRD มองว่าตนเองอ่อนแอเกินไปที่จะรักษาจุดยืนอิสระ จุดจบคือการไม่มีอุดมการณ์เลย และในไม่ช้าพวกนี้คงจะยุบองค์กรและเข้าไปในพรรคนายทุน

ประเด็น ที่นักมาร์คซิสต์ต้องเข้าใจคือ การต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างคนจนกับคนรวย หรือกรรมาชีพ/เกษตรกรกับนายทุน/อำมาตย์ ไม่เคยหายไป แต่ในโลกจริงรูปแบบมันอาจออกมาแปลกๆ โดยเฉพาะถ้าฝ่ายซ้ายอ่อนแอหรือไม่ยอมนำการต่อสู้ ในสถานการณ์แบบนี้เราต้องเลือกข้างเมื่อมวลชนออกมาสู้เพื่อผลประโยชน์ของคน จนหรือประชาธิปไตย การยืนอยู่บนเนินเขาเพื่อท่องสูตรความบริสุทธิ์เป็นการละทิ้งหน้าที่ในการ ต่อสู้เคียงข้างคนจนเพื่อสังคมนิยม ในขณะเดียวกันเราต้องไม่สลายองค์กรมาร์คซิสต์เพื่อไปเข้าพรรคนายทุนภายใต้ แนวร่วมฉวยโอกาส

เล นิน นักปฏิวัติรัสเซีย มักจะวิจารณ์ฝ่ายซ้ายที่หาข้ออ้าง “ความบริสุทธิ์” เพื่อไม่ร่วมสู้กับมวลชน (ดูงาน “ฝ่ายซ้ายไร้เดียงสา”) ในขณะเดียวกัน เลนิน ให้ความสำคัญในการสร้างและปกป้องพรรคสังคมนิยมและอุดมการณ์ของพรรค พวกฝ่ายซ้าย “สองไม่เอา” ในไทยที่ไม่ยอมเข้ากับมวลชนเสื้อแดง แต่พร้อมจะท่องสูตรบอลเชวิค กำลังหันหลังกับการต่อสู้ทางชนชั้น และกำลังหันหลังกับการช่วงชิงการนำในขบวนการเสื้อแดงอีกด้วย เพราะในขณะที่ วีระ กับ ทักษิณ กำลังหาทางประนีประนอมกับอำมาตย์ ซึ่งจะทำให้เราไปไม่ถึงประชาธิปไตยแท้ โดยอ้างว่าเสื้อแดงสู้ตรงๆ ไม่ได้ เราที่เข้าไปในขบวนการคนเสื้อแดงมีสิทธิ์ที่จะเถียงกับมวลชนว่านั้นไม่ใช่ แนวทางที่ถูกต้อง เราต้องขยายแนวคิดเสื้อแดงไปสู่ขบวนการแรงงานอันมีพลังซ่อนเร้น แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนเสื้อแดงคุณก็หมดสิทธิ์แสดงความเห็น เพราะคุณไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณจริงใจในการสู้กับอำมาตย์ในรูปธรรม

ฝ่าย ซ้ายสองไม่เอา เป็นคนที่ไม่สนใจการสร้างพรรคอย่างจริงจัง ไม่สนใจการจัดกลุ่มศึกษาเพื่อเข้าใจประเด็นชนชั้นที่ซับซ้อน ไม่สนใจการขายหนังสือพิมพ์ฯลฯ หรือการขยายสมาชิกไปสู่พลเมืองธรรมดา เพราะพอใจที่จะเป็นกลุ่มเล็กๆ มือสะอาดบริสุทธิ์ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับเลี้ยวซ้ายที่เข้าใจว่าเราต้องสร้างพรรคมาร์คซิสต์ เพราะมันเป็นเครื่องมือในการเข้าไปร่วมสู้และช่วงชิงการนำในขบวนการคนจนและกรรมาชีพ... คนเสื้อแดงนั้นเอง

อดสู

ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย....."นายกฯนำครม. คณะบุคคลต่างๆ ในทำเนียบรัฐบาล ร้องเพลงชาติ ตอน 6 โมงเย็นวันศุกร์ประเดิมโครงการ"ไทยสามัคคี-ไทยเข้มแข็ง"แต่รุ่งขึ้นคนไทยเปิดศึกทำร้ายกันเอง ถึงเลือด ถึงเนื้อน่าอดสูสุดๆ!!

เรื่องของเรื่องเนื่องจากกลุ่มพันธมิตรนำม็อบบุกไปเขาพระวิหารเพื่อทวงคืนดินแดนจากเขมรเกิดปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่บาดเจ็บสาหัสหลายสิบคนใครถูก ใครผิด ต้องว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมายแต่ภาพพจน์ประเทศในสายตาชาวโลก ที่เสียหายอยู่แล้วยิ่งยับเยินป่นปี้วิกฤตความขัดแย้งแตกแยกของคนในประเทศ

ที่ยากเกินเยียวยาก็ยิ่งโคม่ามากกว่าเก่าไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็งกันอีท่าไหน ครับพี่น้อง?จนถึงวันนี้กลุ่มพันธมิตรยังเชื่อ ยังฝังใจไทยได้เสียดินแดนบริเวณเขาพระวิหารให้กับเขมรเรียบร้อยทั้งๆที่วันนี้มีนายกฯชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีรมว.ต่างประเทศชื่อ กษิต ภิรมย์มีรักษาการผบ.ตร.ชื่อ ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ซึ่งยืนยันหลายครั้งหลายหน ยังไม่เสียอะไรใดๆ แม้แต่ตารางนิ้วเดียวหรือพันธมิตรไม่เชื่อถือบุคคลเหล่านี้แล้ว??ไม่เพียงเท่านั้น

ทหารทุกเหล่าทัพ ราชการทุกกรมกองประชาชนคนไทยอีกกว่า 60 ล้านคนต่างก็รักชาติ รักแผ่นดินทุกคนพร้อม "สละเลือดทุกหยาด เป็นชาติพลี" ไม่น้อยไปกว่าพันธมิตร?เพียงแต่ทุกอย่างต้องว่าตามเหตุผล ข้อเท็จจริงยึดระบบระเบียบ กระบวนการตามมาตรฐานสากลยิ่งเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ยิ่งต้องละเอียดอ่อน สุขุม รอบคอบใช้สติปัญญามากๆ อารมณ์ความรู้สึกน้อยๆ

ไม่ใช้เลยยิ่งดีมิฉะนั้นจากรักชาติจะกลายเป็นคลั่งชาติ!ส่งผลเสียหายอย่างที่เคยเกิดกับหลายๆ กรณีปัญหา"ไทยนี้รักสงบ แต่รบไม่ขลาด" ก็จริงแต่ไม่ควรคิดเอง เออเอง สรุปเอง เป็นอย่างนั้น อย่างนี้?แล้วอาศัยช่องว่างระดับ "สติปัญญา" "วุฒิภาวะ" ของคนยุยงปลุกปั่นสร้างเรื่อง

สร้างสถานการณ์มันน่าอดสู!?

พันธมิตรฯจัดทัพใหญ่ 5 แกนนำเตรียมถกทวงคืนที่ทับซ้อนพระวิหาร


5 แกนนำพันธมิตรฯยืนยันไม่ได้ลอยแพ “วีระ” ให้สู้โดดเดี่ยวในการเคลื่อนไหวทวงคืนพื้นที่ทับซ้อน เตรียมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวใหญ่เร็วๆนี้ จี้รัฐบาลพูดให้ชัดมีวิธีปฏิบัติและกรอบเวลาอย่างไร อย่าดีแต่อ้างอยู่ระหว่างเจรจากับเขมรแต่ไม่มีผลคืบหน้า “อภิสิทธิ์” ระบุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ข้อมูลบางเรื่องเปิดเผยไม่ได้เพราะจะทำให้ไทยเสียเปรียบ ลูกพรรค ปชป. แนะพันธมิตรฯถามข้อมูลจาก “กษิต” ด้าน “บุญยอด” ปูดทีมแพทย์เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง 5 คนบินไปดูไบเพื่อรักษาอดีตนายกฯ แกนนำเสื้อแดงเผยรอดูผลคดีสำคัญที่จะทยอยตัดสินกันในเดือน ก.ย. ถึงต้น ต.ค. เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวอีกครั้ง

การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินที่ผ่านพ้นไปด้วยดี และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จังหวัดศรีสะเกษที่เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับชาวบ้านจนมีผู้บาดเจ็บ

“มาร์ค” ย้ำเน้นเจรจาแก้ปัญหาพระวิหาร
เกี่ยวกับเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่อยากให้คนไทยมีปัญหากันเอง และไม่อยากเห็นการปะทะเกิดขึ้นอีก ส่วนแนวทางแก้ปัญหาพิพาทกับกัมพูชานั้นจะเน้นการเจรจา แม้จะมีการส่งกำลังเข้าไปแต่ไม่อยากให้เกิดการปะทะ เพราะจะกลายเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
ไม่เสียสิทธิ-ไม่เพลี่ยงพล้ำแน่นอน

“ผมขอให้ความมั่นใจว่าเราไม่เสียสิทธิ์ ไม่เพลี่ยงพล้ำ และรัฐบาลไม่มีอะไรแอบแฝงหรือซ่อนเร้น แต่มีเจตนาที่จะรักษาดินแดน” นายอภิสิทธิ์กล่าวพร้อมอ้างว่ามีหลายเรื่องที่ไม่สามารถพูดในที่สาธารณะได้เพราะมีความละเอียดอ่อนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และจะกระทบความได้เปรียบเสียเปรียบของไทย

“สุเทพ” ยันม็อบตีกันจัดการตามกฎหมาย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปะทะกันที่ศรีสะเกษต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย และไม่ขอวิจารณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯที่มักมีความรุนแรงเพราะไม่อยากสร้างเงื่อนไขอะไรขึ้นมาอีก ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็ต้องขอบคุณที่อยู่ในกรอบกฎหมาย ทำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี
แฉหมอมะเร็งบินไปรักษา “ทักษิณ”

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่ามีเพื่อนที่รู้จักกับแพทย์ของโรงพยาบาลพระราม 9 บอกให้ฟังว่าแพทย์ของโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคมะเร็ง 5 คนได้เดินทางไปที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้มีคำถามว่าไปเพื่อรักษาอาการป่วยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่

ท้าอดีตนายกฯโชว์ผิวหนัง-เสยผม
“ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ป่วยก็ขออย่าใส่เสื้อแขนยาว และขอให้ปัดผมให้ดูหน่อย เพราะมีคนตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณใส่วิกและใส่เสื้อแขนยาวปกปิดผิวหนัง” นายบุญยอดกล่าวและว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากอย่างที่เคยมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้

จี้พันธมิตรฯดูข้อมูลพระวิหารที่ “กษิต”
นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พันธมิตรฯสอบถามข้อมูลเรื่องเขาพระวิหารจากนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีความใกล้ชิดกัน ซึ่งดีกว่าการชุมนุมเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

นายสาธิตปฏิเสธด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรฯจัดชุมนุมเพื่อดึงความสนใจของประชาชนออกจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างที่ถูกกล่าวหา เข้าใจว่าแกนนำพันธมิตรฯบางส่วนที่รู้ข้อมูลก็เข้าใจรัฐบาลดี และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม

ตร. ไม่พบเสื้อแดง-“แม้ว” พาดพิงใคร
พ.ต.อ.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า จากการติดตามการปราศรัยของแกนนำคนเสื้อแดงและการวิดีโอลิ้งค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เบื้องต้นยังไม่พบว่าพาดพิงให้บุคคลใดได้รับความเสียหาย แต่จะต้องตรวจสอบรายละเอียดจากเทปที่บันทึกไว้อีกครั้งหนึ่ง
แกนนำเสื้อแดงหยุดประเมินสถานการณ์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า หลังการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมาจะยุติการชุมนุมชั่วคราว แต่อาจมีการชุมย่อยบ้างตามต่างจังหวัด เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับคนเสื้อแดงในพื้นที่
“ช่วงนี้ต้องหยุดรอดูเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อน เพราะหลังจากนี้จะมีการตัดสินคดีความสำคัญๆต่างๆหลายคดี จึงต้องการรอดูผลคดีก่อน จากนั้นจึงจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง” นายจตุพรกล่าว
อัดรัฐตื่นตูมผลาญงบรักษาความมั่นคง

นายจตุพรกล่าวอีกว่า การชุมนุมที่ผ่านมาคนเสื้อแดงได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธตามสิทธิในรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอย่างไร แต่รัฐบาลกลับตื่นตูม ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ และนำกำลังตำรวจ ทหารออกมาจำนวนมาก ทำให้เสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น เพราะตำรวจ ทหารที่ออกมามีเบี้ยเลี้ยงวันละ 180-240 บาท ใช้กำลังตั้ง 66 กองร้อย คิดดูเองว่าหมดเงินไปเท่าไร
พันธมิตรฯขึ้นผามออีแดงอ่านแถลงการณ์

ด้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯในวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมาได้ส่งตัวแทน 30 คนขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

นายวีระ สมความคิด แกนนำผู้ชุมนุม อ่านแถลงการณ์ในนามภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหาร ฉบับที่ 1 มีข้อเรียกร้องหลัก 2 ข้อคือ จะมีการดำเนินการทุกวิถีทางตามกรอบกฎหมายทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหารให้กลับคืนมาเป็นของราชอาณาจักรไทยดังเดิมทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย และดำเนินการเอาผู้กระทำความผิดที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือสมรู้ร่วมคิดทำให้ดินแดนไทยต้องถูกรุกล้ำ หรือเสียดินแดนมารับโทษทางกฎหมายจนถึงที่สุด
ยันแกนนำ 5 คนไม่ได้ทอดทิ้ง “วีระ”

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนทวงคืนพื้นที่เขาพระวิหารแม้ไม่ได้ทำตามมติของแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 คน แต่ถือว่าเป็นสิทธิและหน้าที่ของคนไทยที่ต้องพิทักษ์และหวงแหนอธิปไตยของชาติ ซึ่งสมควรได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ

อ้างรัฐปลุกระดมจนเกิดปะทะ
“การชุมนุมจะไม่มีความรุนแรงหากไม่มีคนของรัฐไปบิดเบือนข้อมูลปลุกระดมมวลชนมาขัดขวาง” นายสุริยะใสกล่าวพร้อมยืนยันว่า แกนนำพันธมิตรฯไม่ได้ลอยแพนายวีระอย่างที่สื่อบางแขนงเสนอข่าว แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่มติของ 5 แกนนำ แต่เครือข่ายพันธมิตรฯทั่วประเทศมีอิสระในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะนายวีระสนใจติดตามเรื่องเขาพระวิหารมาตลอด ซึ่งแกนนำทั้ง 5 คนก็เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพวกเราเห็นด้วยกับการเจรจาไม่สนับสนุนการทำสงคราม แต่รัฐบาลต้องกำหนดกรอบเวลาและแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน ไม่ใช่อ้างว่าอยู่ระหว่างเจรจาแต่ไม่มีความคืบหน้า ซ้ำร้ายการเจรจายังมีเงื่อนงำเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานเข้ามาปะปนด้วย

5 แกนนำเตรียมถกเคลื่อนไหวใหญ่
“แกนนำทั้ง 5 คนให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาโดยตลอด และจะหาทางเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อทวงคืนอธิปไตยของชาติกลับคืนมา ซึ่งเร็วๆนี้คงมีการหารือกันในที่ประชุม 5 แกนนำถึงมาตรการและแนวทางในการเคลื่อนไหวใหญ่” นายสุริยะใสกล่าว

โพลไม่เชื่อร้องเพลงชาติทำให้คนรักกัน
ด้านสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อโครงการ “ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง” หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นำคณะรัฐมนตรีร่วมกันร้องเพลงชาติไทยในเวลา 18.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เปิดโครงการเพื่อลดบรรยากาศความตึงเครียดทางการเมือง

ผลสำรวจพบว่าแม้ผู้ตอบแบบสอบถามจะเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี ทำให้ภูมิใจในความเป็นคนไทย แต่เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 36.49 ไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดความรักความสามัคคีได้จริงหรือไม่ ร้อยละ 32.85 เชื่อว่าจะทำให้มีความสามัคคีมากขึ้น และร้อยละ 30.66 ไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิดความสามัคคีเพิ่มขึ้น

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวิตร"เสียใจพันธมิตรฯปะทะชาวศรีสะเกษ

ไทยรัฐ : รมว.กลาโหม เผย เสียใจ กลุ่มพันธมิตรฯปะทะชาวบ้านศรีสะเกษ เชื่อมั่นไทย-กัมพูชาเข้าใจสถานการณ์ดีไม่มีปัญหา จี้แม่ทัพภาค 2-ผู้ว่าฯเร่งหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ปะทะซ้ำซ้อน …
วันนี้ (21ก.ย.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์การปะทะกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับประชาชนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ไม่อยากให้เหตุการณ์ลักษณะนั้นเกิดขึ้นอีก รู้สึกเสียใจที่คนไทยต้องมาทะเลาะกันเอง รัฐบาลต้องดูแลทุกอย่างในการรักษาอธิปไตยของประเทศ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงได้พยายามทำตามขั้นตอน ซึ่งคณะกรรมการทุกระดับกำลังดำเนินการอยู่โดยเฉพาะคณะกรรมการปักปันเขตแดน หากมีปัญหาก็ต้องพูดคุยกัน ส่วนกลุ่มคนที่ขึ้นไปท้วงคืนปราสาทเขาพระวิหาร จนปะทะกับชาวบ้านนั้นตนไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะทุกฝ่ายก็รักชาติและรักษา อธิปไตยด้วยกันทุกฝ่าย ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เจ้าหน้าที่ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน

เมื่อถามว่า มีมาตรการป้องกันอย่างไรเพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ปะทะกับกลุ่มที่มาประท้วง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องดูแลและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องช่วยกันเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนทางผู้ใหญ่ของประเทศกัมพูชานั้นมีความเข้าใจดีโดยเราพูดจากับผู้ใหญ่ ฝ่ายกัมพูชาตลอด เมื่อถามว่า ได้โทรศัพท์คุยกับ พล.อ.เตีย บัณห์ รมว.กลาโหม เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ตนดูแลได้ไม่มีปัญหาทางเขาก็เข้าใจ เมื่อถามว่า กังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้กังวลใจ เพราะมีขั้นมีตอนในการทำงานของผู้บริหารในทุกระดับไม่มีปัญหาอะไร และขณะนี้ไม่จำเป็นต้องเสริมกำลังทหารเพราะแม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บัญชาการตำรวจผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องพูดคุยกันถึงมาตรการป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อน

ศาลฏีกาฯเริ่มอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตกล้ายางฯจำเลยทั้ง 44 มาครบขาดเพียง "อดิศัย"เพียงคนเดียว

ทรงศักดิ์"ปัด"เนวิน"ได้สัญญาณพิเศษ บอกที่ไม่หนีเพราะเชื่อกระบวนการยุติธรรม คนสนิทดาหน้าโต้ข่าวเตรียมฉลอง ชี้เป็นไปไม่ได้รู้คำตัดสินก่อน เชื่อข่าวปล่อยหวังทำลายความเชื่อมั่นตุลาการ "ชวรัตน์"บอกแค่งานเลี้ยงสังสรรค์ส.ส.ของพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเลื่อนอ่านคำพิพากษาจากวันที่ 17 สิงหาคมนั้น ปรากฏว่า จำเลย รวม 44 คน ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสรอรรถ กลิ่นปทุม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหารบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ขาดเพียง นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพาษา ในครั้งแรก และในครั้งนี้ด้วย

"ชวรัตน์"ปัดจัดงานฉลอง"เนวิน"หลุดคดีกล้ายาง อ้างเลี้ยงสังสรรค์ส.ส.

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหา มีนาย เนวิน ชิดชอบ และนาย สรอรรถ กลิ่นประทุม แกนนำพรรคภูมิใจไทย รวมอยู่ด้วย ว่า ตนจะไปเป็นกำลังใจให้นายเนวินที่ศาล ส่วนลูกพรรคคนอื่นจะไปหรือไม่นั้น แล้วแต่สะดวกของแต่ละคน เมื่อถามว่า มีความมั่นใจว่า นายเนวินสามารถฝ่าพ้นวิกฤตตนนี้ไปได้หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตั้งความหวังกับทางศาลยุติธรรม แต่โดยส่วนตัวเชื่อในความบริสุทธิ์ของนายเนวิน

เมื่อถามว่า ถ้านายเนวินพ้นวิกฤตตรงนี้ไปได้แล้ว จะเป็นครูใหญ่ที่สามารถเป็นแกนนำพรรคภูมิใจไทยที่มีประสิทธิภาพได้หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า นายเนวินสามารถช่วยได้มาก เพราะท่านมีความรู้ทางการเมืองมาก คลุกคลีกับการเมืองมานาน ท่านรู้เรื่องการเมืองดีกว่าตนมาก ตนได้ลาราชการไปให้กำลังใจด้วยตัวเอง ส่วนที่ในวันที่ 22 ก.ย.จะมีงานเลี้ยงของพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่เกี่ยวกับกรณีคำตัดสินของนายเนวิน เป็นการเลี้ยงสังสรรค์ ส.ส.ไม่ใช่การเลี้ยงฉลองอะไร อย่าได้เข้าใจผิด มันฉลองอะไรไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการเปิดงานเสวนาวิชาการ "พลังงานไฟฟ้ากับสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน" ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายชวรัตน์ จะเดินทางไปลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ทรงหายต่อพระอาการประชวร ที่โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นจะเดินทางไปให้กำลังใจนายเนวิน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

"ทรงศักดิ์"ปัด"เนวิน"ได้สัญญาณพิเศษ ชี้คำพิพากษาเป็นความลับนายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กลุ่มเพื่อนเนวิน ยืนยันว่า ในวันนี้นายเนวิน ชิดชอบ จะเดินทางไปรับฟังคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท ซึ่งสภาพจิตใจของนายเนวินยังเป็นปกติ ไม่ได้หวั่นวิตกกับคำตัดสิน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุที่ทำให้นายเนวินมั่นใจและไม่หนีคดี เพราะได้รับสัญญาณพิเศษบางอย่างมาก่อนหน้านี้ นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะคำพิพากษาของศาลถือเป็นความลับ เป็นเรื่องยากมากที่นายเนวินจะรู้มาก่อน แต่การที่นายเนวินไม่คิดหลบหนี เพราะเคารพในคำตัดสินของศาล และยอมรับกระบวนการยุติธรรม

เผยไม่มีจำเลยกล้ายางขอเลื่อน
ก่อนหน้านี้ นายธนากร แหวกวารี ทนายความกลุ่มคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำเลยร่วมคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท กล่าวว่า วันที่ 21 กันยายน เวลา 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่สอง หลังจากเลื่อนอ่านคำพิพากษาจากวันที่ 17 สิงหาคมนั้น จำเลยกลุ่ม คชก. จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาอย่างแน่นอน ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งจากจำเลยกลุ่มใดว่าจะยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษา ส่วนที่มีข่าวลือว่าจะมีจำเลยกลุ่มข้าราชการะดับอธิบดี และกลุ่มบริษัทเอกชนจะยื่นคำร้องขอเลื่อนนั้น ตนไม่ทราบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หากจะมีจำเลยคนใดใช้สิทธิยื่นคำร้องขอเลื่อน ก็ต้องเป็นดุลพินิจของศาล ว่าจะอนุญาตหรือไม่ แต่การเลื่อนนัดครั้งที่ผ่านมาศาลได้กำชับให้จำเลยมาฟังคำพิพากษาอยู่แล้วด้าน นายเจษฎา อนุจารีย์ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการสภาทนายความ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีให้ ป.ป.ช. โจทก์ที่ยื่นฟ้องคดีนี้ กล่าวว่า ยังไม่ทราบข่าวว่าจะมีจำเลยกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดยื่นคำร้องขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบที่ศาลฎีกาฯ วันศุกร์ที่ 18 กันยายน ยังไม่ปรากฏว่า มีทนายความจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อน แต่อย่างไรตาม เนื่องจากศาลฎีกาฯนัดอ่านคำพิพากษาในที่ 21 กันยายน เวลา 14.00 น. จึงทำให้ยังมีเวลาที่ทนายความจะยื่นคำร้องขอเลื่อนได้ในช่วงเช้าก่อนถึงเวลาอ่านคำพิพากษา ซึ่งการนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 5 ให้ทนายความยื่นคำร้องอ่านคำพิพากษาลับหลัง โดยอ้างเหตุเดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บกระดูกสันหลัง ที่สหรัฐอเมริกา แต่ศาลพิจารณาแล้วให้ปรับนายประกัน 1 ล้านบาท และออกหมายจับมาฟังคำพิพากษาเนื่องจากเห็นว่า มีพฤติการณ์จงใจหลบเลี่ยงเดินทางมาฟังคำพิพากษาที่กำหนดนัดไว้ล่วงหน้าแล้ว

ชี้เป็นดุลพินิจของศาลอ่านคำตัดสิน
ดังนั้น หากนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 กันยายน ยังไม่ได้ตัวนายอดิศัยมาฟังคำพิพากษา หลังจากออกหมายจับและเลื่อนอ่านคำพิพากษาแล้ว 1 เดือน โดยที่ไม่มีจำเลยคนใดขอเลื่อนอีก องค์คณะสามารถอ่านคำพิพากษาได้ทันทีตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 32 วรรคสอง ซึ่งหลังจากที่ศาลออกหมายจับนายอดิศัยแล้ว ยังไม่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ติดตามจับตัวนายอดิศัย อย่างไรก็ตาม หากในวันที่ 21 กันยายน มีจำเลยคนอื่น ยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังพิพากษาอีกก็เป็นดุลพินิจขององค์คณะผู้พิพากษาที่จะร่วมกันพิจารณาว่าจะออกหมายจับปรับนายประกันจำเลยนั้นและต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีกหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง ของกรมวิชาการเกษตรนั้น ป.ป.ช.ยื่นฟ้องจำเลย รวม 44 คนประกอบด้วยอดีตรัฐมนตรี อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสรอรรถ กลิ่นปทุม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหารบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง

"เนวิน"โอดถูกปล่อยข่าวทำลาย

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ได้รับมอบหมายจาก นายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ให้ทำความเข้าใจ กรณีกระแสข่าวพรรคภูมิใจไทยเตรียมเลี้ยงฉลอง หลังทราบข่าวว่า นายเนวิน จะหลุดจากคดีทุจริตกล้ายาง ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาจะตัดสินในวันที่ 21 ก.ย. นี้ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวจากผู้ที่มีเจตนาร้ายกับนายเนวิน และมีเจตนาร้ายต่อสถาบันตุลาการ เพราะคำพิพากษาคดีทุกคดีไม่เฉพาะคดีนี้ เป็นความลับ ผู้ที่ตกเป็นจำเลยไม่มีทางล่วงรู้ผลการพิพากษา และนายเนวิน ได้เจียมเนื้อเจียมตัว และยืนยันมาตลอดว่ายอมรับคำตัดสินของศาล ข่าวที่ออกมาต้องการที่จะทำลายความเชื่อมั่นของสถาบันตุลาการ และเอานายเนวิน มาเป็นเหยื่อ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่ปล่อยข่าวยุติเรื่องนี้ เพราะจะมีแต่ทำให้เกิดความเสียหาย อย่าเอาคดีนี้มาเป็นเครื่องมือในการทำลายกัน

"อนุทิน"แก้ต่าง"เนวิน"ไม่เคยพูด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีข่าวนายเนวิน ชิดชอบ เตรียมเลี้ยงฉลองหลุดคดีกล้ายาง และมีการประกาศกับคนในพรรคภูมิใจไทยว่าหลุดคดีแน่ ว่า ไม่มีการจัดงานเลี้ยงไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลในการเลี้ยงฉลอง เพราะต่อให้หลุดคดีกล้ายางจริง ซึ่งยังไม่ทราบว่า เป็นอย่างไร ยังมีเรื่องของคดีหวยบนดิน ที่มีการนัดในวันที่ 30 ก.ย.นี้อีก นอกจากนี้ เรื่องคดีของนายเนวินไม่มีการพูดคุยกันในพรรคภูมิใจไทยเลย โดยแกนนำทุกคนไม่มีใครถามนายเนวิน ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ เพราะทราบดีว่าทุกคนที่ต้องขึ้นศาลย่อมมีความหนักใจ และคงอึดอัดใจที่ต้องตอบคำถาม อีกทั้งเป็นเรื่องของศาล ที่ไม่มีใครทราบว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับตัวนายเนวิน ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้กับคนในพรรค ส่วนตนนั้น แม้นายเนวิน จะไปขึ้นศาลในวันที่ 21 ก.ย.นี้ แล้วก็ไม่คิดจะถาม นายเนวิน เพราะเห็นว่า ในเมื่อนายเนวิน พร้อมที่จะน้อมรับคำตัดสินของศาล และนายเนวิน ยืนยันจะไปศาลแน่นอน จึงไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้ ดังนั้น ข่าวที่ออกมาไม่เป็นไม่เป็นธรรม ตั้งใจให้เห็นว่า ท้าทายอำนาจศาล ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เด็จพี่ร้อง ปปช.สอบมาร์ค-ชวรัตน์ เอื้อ บ.ชิโนไทย

ข่าวสด : เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และ นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูนพรรคเพื่อไทย ยื่นเอกสารร้องป.ป.ช.เพื่อให้สอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในกรณีที่เอื้อประโยชน์และประโยชน์ทับซ้อน และผลประโยชน์ขัดกันของกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบ 265 และกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 100 (1),(3),(4) กรณีที่มีมติครม.เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2552 ที่อนุมัติให้มีการลงทุนโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ วงเงิน 408 ล้าน และ 98 ล้านที่ทางสำนักงบประมาณท้วงติงไว้ว่าน่าจะมีการลงทุนร่วมกัน แต่ที่สุดครม.ก็มีการอนุมัติ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้มีข้อเท็จจริงอยู่ในเอกสารที่ยื่นให้ป.ป.ช. ไปแล้ว

นายพร้อมพงษ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า บ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น นั้นมีผู้ถือหุ้น ประกอบด้วยบุตรและครอบครัวของนายชวรัตน์ แต่ยังได้รับการอนุมัติให้รับสัมปทานโครงการของรัฐตามมติครม.ของนายอภิสิทธิ์ด้วยทั้งที่กฎหมายระบุว่าคนที่เป็นรัฐมนตรี ข้าราชการเมือง ต้องไม่มีผลประโยชน์ขัดกันทางกฎหมาย หรือเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวและญาติ จึงต้องการให้ป.ป.ช.สอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เพื่อเอาผิดนายอภิสิทธิ์ และนายชวรัตน์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมต้องตรวจสอบ เพื่อให้เห็นว่าเป็นเหมือนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ 50 เช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเอกสารที่นายพร้อมพงษ์ยื่นให้ป.ป.ช.แผ่นหนึ่งเป็นตารางโครงข่ายที่ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างนายชวรัตน์ กับพรรคภูมิใจไทย รวมถึงกระทรวงต่างๆในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทย ที่ล้วนแต่มีเมกะโปรเจ็กต์แล้วเชื่อมโยงต่อไปยังบ.ซิโน-ไทยฯ ซึ่งมีภรรยาและครอบครัวชาญวีรกูล ของนายชวรัตน์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งสิ้น เช่น นางสนองนุช นายอนุทิน นายมาศถวิน น.ส.อนิลรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ทักษิณ โฟนอินบอกอยู่ใกล้ไทย-ไว้อาลัยแท็กซี่ฮีโร่ผูกคอตาย 19 ก.ย.ยอมไม่ได้ครอบครัว คนยืนข้างถูกกลั่นแกล้ง



มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 19 กันยายน ที่ลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ในเวทีคนเสื้อแดงจัดงานรำลึก 3 ปีรัฐประหารโค่นล้มอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีประชาชนคนเสื้อแดงเดินทางเข้าร่วมจำนวนมาก จากนั้นพ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามากล่าวว่า ตอนนี้อยู่ใกล้เสียงชัดดี ก่อนจะกล่าวถึง นายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ที่ฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตายใต้สะพานลอยถนนวิภาวดีรังสิตต่อต้านการรัฐประหารและขอให้คนเสื้อแดงยืนไว้อาลัย นายนวมทองที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาประชาธิปไตย เห็นว่าอำนาจเผด็จการเป็นสิ่งเลวร้ายต่อแผ่นดิน ควรภูมิใจที่นายนวมทองได้เสียสละชีวิต ไม่มีใครเสียสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตยและขอยืนไว้อาลัยให้กับนายนวมทอง และขอบริจาคเงินให้แก่ภรรยาลุงนวมทองเล็กน้อย จำนวน 5 หมื่นบาท

ขณะที่เวทีคนเสื้อแดงได้มอบเงินจำนวน 5 หมื่นบาทให้กับภรรยานายนวมทองถึงกับเป็นลม จนต้องหามลงจากเวที

วันนี้เป็นวันที่ครบ 3 ปีการปฏิวัติรัฐประหารศตวรรษที่ 21 คนทั้งโลกมองว่าประเทศไทยได้พัฒนาตัวเองเกือบจะพัฒนาแล้ว และได้ถอยหลังเข้าคลองสู่เผด็จการรัฐประหาร ผมเป็นห่วงคนทั้งประเทศบอบช้ำ การที่พยายามจะขจัดกันโดยอยู่ระบอบนอกประชาธิปไตย การต่อสู้ซึ่งสามารถที่จะใช้การพูดจาก็จบแต่ใช้อาวุธมากมายแม้แต่อาวุธนิวเคลียร์ก็ต้องใช้แล้วถูกสารกัมมันภาพรังสีตายไปเอง” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถ้าถูกกลั่นแกล้งยอมไม่ได้ วันนี้ครอบครัว เสื้อแดงพรรคที่ยืนข้างผมถูกยุบแล้วยุบอีก

10 เหตุผลที่เราต้องขอบคุณ คณะรัฐประหาร 19 กันยา

ที่มา thaifreenews
แปลและเรียบเรียงจาก “10 Reasons to be Thankful to the 19 September, 2006 Coup Makers in Thailand.”
โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก วันนี้เป็นวันครบครอบสามปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีใครบ้างไหมที่คิดถึงวันวานเก่าๆ ของการออกไปมอบดอกไม้แก่ทหารและถ่ายรูปคู่กับรถถัง และคงมีอีกหลายๆ คนที่อย่างน้อยก็อยากจะมองในแง่ดีและขอบคุณต่อเหล่านายพลผู้ก่อรัฐประหาร ที่มอบบริการอันประมาณค่ามิได้แก่ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”

1. ขอบคุณเหล่านายพลผู้ก่อรัฐประหาร ที่ช่วยปลุกให้เราตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า การเมืองไทยยังหนีไม่พ้นการรัฐประหารและระบบอุปถัมภ์

2. ขอบคุณเหล่านายพลที่ช่วยทำให้เรารู้ว่า มีผู้นิยมชมชอบระบอบ “ประชาธิปไตยแบบตามใจฉัน” มากแค่ไหน (เช่น เหล่านักวิชาการ เอ็นจีโอ สื่อกระแสหลัก และนักการเมือง)

3. ขอบคุณเหล่านายพล ที่ช่วยเตือนเรารู้ว่า รัฐประหารนั้นยังเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”

4. ขอบคุณเหล่านายพลที่รัก ผู้ช่วยทำให้เหล่าอำมาตย์ไทยกลายเป็นตัวตลกของนานาชาติ -- ในยุคที่การรัฐประหารเปรียบเสมือนโบราณวัตถุ และเป็นเรื่องตลกทางการเมืองในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

5. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ทำให้เราตระหนักว่า การมีรัฐธรรมนูญฉบับปากกระบอกปืน เป็นสิ่งสำคัญมากแค่ไหน

6. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ทำให้รู้ว่า สิ่งใดหายไปจากระบอบประชาธิปไตยของไทย

7. ขอบคุณเหล่านายพลผู้ช่วยให้เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงตัวตนของขั้วตรงข้ามทางการเมืองของทักษิณ และยังทำให้เราเห็นว่า คนบางกลุ่มนั้นพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง

8. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ที่บอกเราอย่างจริงใจตั้งแต่ในวันแรกว่า พวกคุณทำรัฐประหารเพื่อใคร

9. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ที่ได้ทำให้ความยากลำบากในการต่อสู้ทางชนชั้นเป็นที่ปรากฏ

10. และขอบคุณเหล่านายพลอีกครั้ง ที่ทำให้เราตระหนักว่า ไม่ใช่ทุกผลลัพธ์ที่จะทำให้ “วิธีการ” ถูกต้อง และในขณะเดียวกัน “ผลลัพธ์” นั้นเองก็ไม่สามารถทำให้คำโกหกเป็นเรื่องถูกต้องได้ด้วย