--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2552

ปณิธานแฉแม้วอยู่ชายแดนหวังเผด็จศึก


คมชัดลึก :
โฆษกรัฐ” แฉแผน "ทักษิณ" ป้วนเปี้ยนชายแดนไทย เตรียมเผด็จศึก “ก่อนตุลา” วางแผนล้มประชุมอาเซียน หักหน้ารัฐตามรอยพัทยา เพิ่มกำลังเฝ้าทำเนียบ “3กองร้อย” แย้มหนทางเคลียร์คดีแม้ว ให้ยอมรับโทษก่อน แล้วจะผ่อนหนักเป็นเบา หลายประเทศก็เป็นแบบนี้

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประเมินการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและกลุ่มเสื้อแดง ว่า ต้องจับตาในช่วงเดือนก.ย.และต.ค.จะเป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด จากประวัติศาสตร์แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกันในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ เป็นช่วงที่งบประมาณเริ่มไหลลงพื้นที่จะเกิดแรงกระเพื่อมสูง รวมทั้งกลุ่มองค์กรภาคประชาชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง รวมทั้งกลุ่มคนเดือนตุลาจะมีกิจกรรมเคลื่อนไหวกันมาก ขณะที่รัฐบาลเอง เมื่อผ่านการบริหารงานหลายเดือนความแตกต่างทางความคิดก็จะเริ่มมีมากขึ้น กลุ่มเสื้อแดงก็จะใช้จังหวะนี้สร้างความรุนแรง อาจจะล้มประชุมอาเซียนเพราะคิดว่าครั้งที่แล้วทำสำเร็จครั้งนี้ก็ทำได้

รัฐบาลได้รับข่าวว่าในวันที่ 19 ก.ย.จะมีการระดมผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน จากหลากหลายกลุ่มทั่วประเทศ ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรจะรู้ได้ล่วงหน้าก่อน 2 สัปดาห์ แต่รัฐบาลได้วางมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเพิ่มกำลังทหารในการดูแลทำเนียบรัฐบาลจาก 1 กองร้อย เป็น 3 กองร้อย และใช้แผนปฎิบัติการที่เคยเตรียมไว้ในวันที่ 30 ส.ค.มาใช้รับมือกลุ่มผู้ชุมนุม”โฆษกรัฐบาล กล่าว

นายปณิธาน กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าใจดีว่ารัฐบาลอ่อนไหวมากในช่วงนี้ เขาจึงพยายามสร้างแรงกระเพื่อมระดับสูง เห็นได้จากการใช้สื่อสมัยใหม่อย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค หรือแทรกตัวเข้ามาในสื่อรัฐ ก็เป็นความตั้งใจที่จะจุดกระแสโจมตีรัฐบาล เพื่อเผด็จศึกในช่วงนี้ เพราะถ้าผ่านเดือนก.ย.และต.ค.ไป บรรยากาศของประเทศจะเปลี่ยนไป เพราะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นอยู่ในช่วง “ตัววี” ขาขึ้น ขณะที่ประชาชนก็เข้าสู่เทศกาลฉลอง ท่องเที่ยวในช่วงปลายปีไม่มีใครสนใจการเมือง ขณะที่กระแสยุบสภาก็ปลุกไม่ขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่พร้อมที่จะเลือกตั้ง ประชาชนก็ไม่ต้องการเลือกตั้งใหม่

ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะเปิดการเจรจานั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการเดินยุทธวิธีที่หลากหลายของพ.ต.ท.ทักษิณ สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะเจรจามี 2 ข้อเท่านั้นก็คือคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท คดีของคนในครอบครัว แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากที่จะเจรจา เพราะนายกฯก็ย้ำหลายครั้งว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องกลับมารับโทษ หรือมีแนวโน้มว่าจะยอมรับกระบวนการยุติธรรมก่อน ประตูการเจรจาจึงจะถูกเปิดออก

“ในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อดีตผู้นำก็ต้องเข้ารับโทษก่อนแล้วหลังจากนั้นจะมีการกระบวนการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนแปลงโทษได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ใดๆเลยก็ยาก คุณทักษิณ อยากจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง อยากจะเอาทุกอย่าง โดยที่ไม่เสียอะไรเลย เหมือนสมัยที่เป็นนายกฯซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้คุณทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ หากยังยื้ออยู่แบบนี้ แล้วโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้ในช่วงต.ค.โอกาสของเขาจะน้อยลงมาก เพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เขาก็จะกลายเป็นอดีตนายกฯคนหนึ่งที่ร่อนเร่อยู่ในต่างประเทศและเคลื่อนไหวทางการเมืองลำบากมากขึ้น หลังจากนี้ยุทธวิธีของเขาอาจจะปรับมาเคลื่อนไหวตามชายแดน เพื่อให้ใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเพื่อกระตุ้นมวลชนในประเทศ โดยพร้อมที่จะเข้าประเทศไทยได้ทุกเมื่อ” นายปณิธาน กล่าว

ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเจาะเข้ามาที่สื่อของรัฐ ทั้งที่รัฐเป็นเจ้าของเครือข่ายนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้เปิดกว้างให้กับคนทุกกลุ่มได้แสดงความคิดเห็น แบบไม่มีการปิดกั้น อย่างไรก็ตามก็มีคำถามตามมาว่าคนที่มีคดีติดตัวนั้นมีสิทธิจะเข้าถึงสื่อของรัฐได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับที่นายจอม เพ็ชรประดับ ประกาศยุติการทำรายการก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป ไม่ใช่เกิดจากการกดดันหรือแทรกแซงจากรัฐบาลแต่อย่างใด แต่หลังจากนี้ก็เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเทคนิคใหม่ๆในการสื่อสารกับประชาชน เพราะมีคนที่แนะนำให้พ.ต.ท.ทักษิณใช้สื่อใหม่จำนวนมาก

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

ระหว่างบันทัด จาก กกต. ฝันไปเถอะยุบพรรค ปชป.


ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
8 กันยายน 2552สัมภาษณ์พิเศษ:ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.):ไขรหัสคดียุบพรรค ประชาธิปัตย์ ? ในวิกฤตศรัทธา-ไม่เป็นกลาง

คดีเงินบริจาค 258 ล้านให้พรรคประชาธิปัตย์ ผมมองแล้วเหมือนกับมีแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล อยู่ๆ ดีเอสไอก็ร้อนรนโยนเรื่องนี้มาให้ กกต. ในความเห็นส่วนใหญ่ผมและ กกต.ทุกท่าน และอีกหลายคนในประเทศไทยก็คงอยากเห็นพรรคการเมืองมีความมั่นคง เป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคเกิดแล้ววันดีคืนดีก็ถูกยุบ เป็นหนังหน้าไฟรับแรงร้อน-แรงหนาวจากพายุ-มรสุมการเมืองทุกระลอกทั่วสารทิศ"ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ" ในหัวโขนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องเปิดตำรา-พลิกกฎหมาย ทุกมาตรา

ในวาระที่ต้องเชื่อมั่นประเทศไทย ด้วยคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ที่ไหลจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ไปปรากฏตัวเลขบนบัญชีที่อาจพัวพันถึงอดีตผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์บางคน แถมท้ายด้วยแฟ้มคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมืองอีก 29 ล้านบาท ซึ่งทำให้ "ประชาธิปัตย์" ต้องร้อนยิ่งกว่าที่เคยร้อนในรอบ 63 ปี เมื่อนักการเมืองทั้งรัฐสภาล้วนรอฟังการตัดสินความ "44 นักการเมือง" ที่อาจ "ไม่มี" คุณสมบัติการเป็น ส.ส. และคดีความสำคัญเรื่องเงินๆ ทองๆ ของพรรคแกนนำรัฐบาล "ดร.สุทธิพล" ที่ชาชิน-ชำนาญกับการเป็นคนหน้าไมค์-ไฟส่องหน้า-มาตั้งแต่อยู่ในร่มเงาศาลยุติธรรม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตศรัทธา ความไม่เชื่อมั่นต่อองค์กรอิสระ สิ่งที่เขาเป็นห่วงและแคร์ คือ "ความรู้สึกของชาวบ้าน"- ช่วง 3 ปีที่ทำงานมามีปัญหาอะไรบ้างอันดับแรกคือ วิกฤตศรัทธา เป็นผลจากการทำงานของกรรมการการเลือกตั้งก่อนที่ กกต.ชุดนี้จะเข้ามา วิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการปฏิวัติ แล้วปัญหาที่เกิดจากการทำงานของ กกต.โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นองค์กรอิสระแต่ไม่อิสระจริง ไม่เป็น กลางทางการเมืองวิกฤตศรัทธานั้นก็เป็นผลทำให้ กกต.ชุดก่อนถูกศาลพิพากษาจำคุก และขณะนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนระหว่างอุทธรณ์ ฎีกาอยู่ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อผมเข้ามาแล้วประชาชนหลายคนมององค์กร กกต.เป็นลบ

แล้วส่งผลถึงกำลังใจของพนักงานที่เป็นบุคลากรในองค์กร รวมทั้งแขนขาของ กกต.ที่ กกต. มอบให้ปฏิบัติงานในส่วนภูมิภาคก็คือ กกต. จังหวัด และปัญหา คุณภาพของบุคลากร พนักงานที่อยู่ภูมิภาคก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม คนไหนอยู่ใกล้ชิดผู้ใหญ่ก็จะได้ดิบได้ดี ผมเข้ามาก็เห็นว่าผู้บริหารหลายคนผิดฝาผิดตัว...ทำงานที่ไม่ถนัด - ในฐานะเลขาฯ กกต. มองวิกฤตการเมืองขณะนี้อย่างไรผมมองว่าเป็นปัญหาของการไม่เคารพกฎกติกา อาจจะกล่าวได้ว่า บางทีประชาชนถูกใช้เป็นเครื่องมือ เขาไม่รู้ว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด ทุกคนอ้างว่าตัวเองถูกหมด ทุกคนอ้างประชาธิปไตยหมด ก็เลยไม่รู้ว่าประชาธิปไตยที่ถูกต้องคืออะไร ประชาชนถูกดึงไปเป็นพวก วิกฤตของเราอาจจะไม่ได้เกิดจากระบบการเมือง ผม คิดว่าวิกฤตของเราเกิดจากกลุ่มบุคคลมากกว่าที่เขาไม่ยอมกัน

ซึ่งปัญหาเหล่านี้ผมเห็นว่าถ้าเราไม่รีบแก้ไขให้มันเข้ารูปเข้ารอยมันก็จะส่งผลกระทบต่อหลายสิ่งหลายอย่างไม่เฉพาะระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ขณะนี้มันลามไปถึงสถาบันเบื้องบนลามไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ไม่สามารถที่จะจับมือก้าวเดินเพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้พอคำตัดสินวินิจฉัยออกมาไปกระทบต่อประโยชน์ของขั้วการเมืองขั้วใดขั้วหนึ่ง ผมก็สังเกตว่ามักจะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ บางครั้งผมคิดว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่ ไม่ได้ตั้งอยู่บนเหตุผล แต่ตั้งอยู่ในความรู้สึกที่ได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยของ กกต. - 5 เสือ กกต.มาจากการสรรหา ควรแก้รัฐธรรมนูญให้มาจากการเลือกตั้งหรือไม่ในองค์กรที่ดูแลกรอบกติกา ระบบเลือกตั้งอาจจะไม่เหมาะ

ในลักษณะบางอย่างที่จะเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วต้องเป็นกลาง ระบบเลือกตั้งอาจจะไม่เหมาะ ไม่เช่นนั้นเราก็ต้องมีผู้พิพากษาที่มาจากการเลือกตั้ง ประเทศเยอรมนี กกต.มาจากสภา ในหลายๆ ประเทศประธานาธิบดีเป็นคน แต่งตั้ง ซึ่งก็ทำงานได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ามาประเทศไทยแล้วบอกว่าให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้ง ผมคิดว่าจะเกิดปัญหาทันที- อำนาจในมือ กกต.มีมาก ใช้หรือไม่ใช้ก็โดนด่า กกต.ควรจะอยู่ตรงไหนของการใช้อำนาจ ในสถานการณ์ความขัดแย้งขณะนี้ กำหนดภารกิจให้ กกต.มีความรับผิดชอบมาก ขณะนี้ดูเหมือนว่าภารกิจต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมันจะมาอยู่ที่ กกต. ซึ่งเรื่องของการขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกภาพ ซึ่งมันผ่านกระบวนการเลือกตั้งไปเรียบร้อยแล้ว บทบาทอย่างนี้ บางครั้งทำให้ประชาชนก็ไม่เข้าใจนักการเมืองก็ไม่เข้าใจ ก็ไปคิดว่า กกต. จ้องจะจับผิด ซึ่งจะเป็นอันตรายเพราะผมคิดว่าการทำงานของ กกต.จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง - คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท กับคดีเงินสนับสนุนพรรคการเมือง 29 ล้านบาท คือการสร้างวิกฤตศรัทธาให้กลับมาอีกครั้งหรือไม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนแล้วก็เป็นเรื่องใหญ่

ซึ่งผมมองแล้วเหมือนกับมีแรงกดดันจากฝ่ายตรงข้ามพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล เรื่องอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วอยู่ๆ ดีเอสไอก็ทำเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งอยู่ๆมันก็มีการร้อนรนโดยโยนเรื่องนี้มาให้ กกต. ทำ เรื่องนี้มันก็ไม่ปกติตั้งแต่แรกแล้ว เพราะฉะนั้นเราก็ต้องระมัดระวัง แล้วเรื่องยังมาไม่ถึงเราก็เกิดเป็นข่าวเป็นประเด็นขึ้นมา มีความพยายามที่จะนำเรื่องนี้เข้ามาในช่วงที่มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล แล้วการทำงานของบางหน่วยงานก็ไปสอดรับกัน แล้วก็มีการเร่งส่งเรื่องมาให้ กกต.เอกสารที่เข้ามาเราก็ถามทางดีเอสไอว่ามีการสอบอะไรเสร็จเรียบร้อยไหม ทาง ดีเอสไอบอกว่ามีการสอบประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ ก็เลยถามว่าแล้วทำไมไม่สอบให้เสร็จก่อน โดยดีเอสไอตอบว่าเรื่องนี้คิดว่าสามารถที่จะส่งมาให้ กกต.ได้แล้ว พอดูเอกสารที่ส่งมาแล้วมันก็ไม่ได้สมบูรณ์ที่เราจะดูจากเอกสารแล้วก็สอบดำเนินการไปได้ เพราะว่าเอกสารที่ส่งมาเป็นการสอบเนื่องจากเรื่องของคดีปัญหาความผิดต่อหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถเอาเอกสารที่เขาสอบมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขาก็ให้ข่าวออกมาว่าสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว

แต่พอเข้าไปจริงๆ แล้วเราถาม เขาก็บอกว่าสอบเสร็จแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์นี้เอกสาร 3,000-4,000 หน้า พอเรามาตรวจดูแล้วก็เป็นการสอบเพื่อที่จะให้มันเข้าองค์ประกอบความผิดหลักทรัพย์หรือตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมันเป็นคนละองค์ประกอบของความผิด เพราะฉะนั้น เมื่อเรื่องเข้ามาถึง กกต.ต้องใช้เวลา เคยถามดีเอสไอว่าพยานปากสำคัญทำไมคุณไม่ไปดำเนินการสอบเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องภาษีเงินได้ ทำไมคุณไม่ไปขอจากสรรพากร ทำไมไม่ไปประสานกับสรรพากรให้เรียบร้อย ซึ่งผมมองว่าท่าน กกต.ที่ผ่านมาเป็นผู้พิพากษามา 30 ปี อีกท่านเป็นอัยการ การมองพยานหลักฐานท่านย่อมมีความรอบคอบมากกว่า จำเป็นต้องใช้ระยะเวลา อาจจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่พอเรามีคำวินิจฉัยออกไปแล้วเราสามารถที่จะชี้แจงโดยอาศัยหลักการและเหตุผลได้ ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นการรอบคอบกว่า เรื่องที่นำไปสู่การยุบพรรคผมคิดว่าเป็นเรื่องความมั่นคง เป็นความมั่นคงในระบอบประชาธิปไตย

ในความเห็นส่วนใหญ่ผมและ กกต.ทุกท่าน และอีกหลายคนในประเทศไทยก็คงอยากเห็นพรรคการเมืองมีความมั่นคง เป็นสถาบัน ไม่ใช่พรรคเกิดแล้ววันดีคืนดีก็ถูกยุบ แต่ว่าบางครั้งถ้ามันเข้าองค์ประกอบของความผิด มันมีเหตุ แล้วกฎหมายกำหนดให้เป็นเช่นนั้น ข้อเท็จจริงมันนำไปสู่การยุบ มันก็ต้องดำเนินการ ทั้งๆ ที่เราไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น

ต้องไล่-ปลดออกภายใน 30 วัน หลังป.ป.ช.ชี้มูลอาญา-วินัย"พัชรวาท-สุชาติ"พร้อม"สมชาย-จิ๋ว คดีม็อบ 7 ตุลาฯ

คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติแล้ว ฟันอาญา"สมชาย-บิ๊กจิ๋ว"คดี 7 ตุลาเลือด ส่วน"พัชรวาท-สุชาติ"เจอ2เด้งพวงวินัยร้ายแรง ฐานะผู้บัญชาการเหตุการณ์ ต้องถูกไล่ออก-ปลดออกภายใน 30 วัน ขณะที่ 5 บิ๊กสีกากีระดับ รอง ผบ.ตร.-รองผบช.น.รอดเพราะทำตามคำสั่ง

นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยเมื่อวันที่ 7 กันยายน ภายหลังการประชุม ป.ป.ช. ซึ่งพิจารณาสำนวนการไต่สวนคดีการสลายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากว่า ที่ประชุมมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้สลายการชุมนุม นอกจากนั้น ยังมีมติให้ชี้มูลความผิดทางอาญา และวินัยร้ายแรงในฐานความผิดเดียว กับพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ในฐานะผู้บัญชาตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ แต่กลับไม่มีการสั่งให้หยุดการสลายการชุมนุม ทั้งที่มีผู้บาดเจ็บและชีวิตในช่วงเช้า

นายวิชา กล่าวว่า สำหรับผู้ถูกกล่าวหาอีก 5 คน ระดับรองผบ.ตร. และรองผบช.น. คณะกรรมการฯ เห็นว่าไม่มีความผิด เนื่องจากเป็นผู้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา รายละเอียดทั้งหมดจะแถลงในเวลา 15.00 น. วันเดียวกันนี้ โดยนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการและโฆษก ป.ป.ช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับความผิดในคดีอาญา ป.ป.ช.จะต้องส่งสำนวนของบุคคลทั้ง 4 ให้กับอัยการสูงสุดภายใน 14 วันซึ่งอัยการสูงสุดต้องพิจารณาส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน 30 วัน(พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542(มาตรา 10) เว้นต่อัยการสูงสุดเห็นว่า สำนวนไม่สมบูรณณ์ต้องตั้งคณะทำงานร่วมขึ้นมาระหว่างอัยการสุงสุดกับ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนดังกล่าว

ส่วนความผิดวินัยร้ายแรง ของ พล.ต.อ.พัชรวาท และ พล.ต.ท.สุชาติ ป.ป.ช.จะต้องส่งสำนวนให้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.)และฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) พิจารณาโทษซึ่งนายอภิสิทธิ์ จะต้องนำกรณีของ พล.ต.อ.พัชรวาท เข้าพิจารณาใน ก.ต.ช. ส่วนพล.ต.ท.สุชาติ เข้าใน ก.ตร. เพื่อพิจารณาลงโทษภายใน 30 วัน ซึ่งมีเพียงไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น จากนั้นจะต้องแจ้งให้ ป.ป.ช.ทราบ ภายใน 15 วัน

ด้านนายวัฒนา เตียงกูล ทนายความส่วนตัวของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 กันยายนที่ผ่านมาได้รับมอบอำนาจจากนายสมชาย ให้ฟ้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อดำเนินการตามกฏหมายกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานหลีกเลี่ยง ละเว้นการเข้าพบคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถือเป็นกรรมการวินิจฉัยข้อพิพาทตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครอง และขอให้มีคำสั่งให้ ป.ป.ช.เข้าพบคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารก่อนชี้มูลความผิดนายสมชายและคณะจากเหตุการณ์สลายชุมนุมหน้ารัฐสภาวันที่ 7 ตุลาคม

นายวัฒนา กล่าวว่า กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากนายสมชายได้อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเพื่อขอให้ ป.ป.ช.เข้ารับทราบข้อมูลอย่างครบถ้วนรอบด้านก่อนที่จะชี้มูลความผิด เมื่อประมาณ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 40 (7) ว่าด้วยในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบได้รับพยานหลักฐานตามสมควร จากนั้นคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารได้นัดปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.เข้าพบในวันที่ 8 กันยายนที่จะถึงนี้ แต่ปรากฏว่า ป.ป.ช.กลับไม่ยอมเข้าพบและเร่งรัดชี้มูลความผิดนายสมชายและคณะมาเป็นวันที่ 7 กันยายนถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอน อีกทั้งที่ผ่านมาป.ป.ช.ก็ไม่เคยเรียกนายสมชายและพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายรัฐมนตรีเข้าชี้แจง ดังนั้นคำวินิจฉัยของป.ป.ช.ในวันที่ 7 กันยายนจึงถือว่าเป็นคำสั่งที่มิชอบ และเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 157

อนึ่ง ก่อนหน้านี้แหล่งข่าวจาก ป.ป.ช.เปิดเผย"มติชนออนไลน์"เมื่อวันที่ 6 กันยายนว่า ในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.นัดพิเศษวันที่ 7 กันยายน มีวาระพิจารณาคดีสำคัญ 2 คดี
คดีแรกคือพิจารณาสำนวนคดีไต่สวนเจ้าหน้าที่ของรัฐประพฤติมิชอบกรณีสั่งการให้สลายการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบริเวณหน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นการพิจารณาต่อเนื่องจากการประชุมคณะกรรมการเมื่อวันอังคารที่ 1 กันยายน ทั้งนี้หลังจากให้เจ้าหน้าทที่ที่รับผิดชอบไปปรับปรุงสำนวนมาใหม่แล้ว คาดว่า คณะกรรมการจะลงมติชี้มูลผู้ที่ถูกกล่าวหาทั้ง 9 คนด้ ตั้งแต่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รอง ผบ.ตร พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) พล.ต.ต.ลิขิต กลิ่นอวล รองผบช.น. พล.ต.ต.เอกรัตน์ มีปรีชา รอง ผบช.น.พล.ต.ต.วิบูลย์ บางท่าไม้ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบช.น.

คดีที่สอง คือ คดีถอดถอนคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายรัฐมนตรีพร้อมคณะกรณีออกมติ ครม.การออกแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งคดีดังกล่าวติดอยู่ที่การพิจารณาว่า ผู้ถูกกล่าวหากว่า 30 คนซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรี 28 คนแบะข้าราชการประจำ 5 คน "จงใจ"หรือมีเจตนาพิเศษที่จะฝ่าฝืนบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญหรือไม่ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา มีการถกเถียงกันในประเด็นนี้อย่างมาก
อย่างไรก็ตามมีข่าวว่า กรรมการ ป.ป.ช.บางคนพยายามบีบมิให้เจ้าหน้าที่สรุปสำนวนว่า อดีตรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลนายสมัครมีความผิด

สำหรับรายชื่อรัฐมนตรี 28 คนในสมัยรัฐบาลนายสมัคร ที่ถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาประกอบด้วย นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯและรมว.กลาโหม นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกฯ นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง, ร.ต.(หญิง)ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมพัฒน์ แก้วพิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ

นายธีระชัย แสนแก้ว อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายสันติ พร้อมพัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุพล ฟองงาม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายบุญลือ ประเสริฐโสภา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

นายพงศกร อรรณนพพร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางอนงค์วรรณ เทพสุทิน อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

นายมั่น พัธโนทัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีตรมว.แรงงาน

ส่วนรัฐมนตรี 6 คน คนที่ไม่ถูกป.ป.ช.แจ้งข้อกล่าวหาเนื่องจากไม่ได้เข้าประชุม ครม.เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2551 คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกฯ พล.ท.(หญิง)พูนภิรมย์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายสิทธิชัย โควสุรัตน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย

สำหรับข้าราชการประจำที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ได้ แก่ 1.นายกฤช ไกรกิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย 2.นายเชิดชู รักตบุตร อัครราชทูตไทยประจำกรุงปารีส 3.นายพิษณุ สุวรรณรชฎ รองอธิบดีกรมเอเชียตะวันออก 4.นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ 5 .พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บรรดารัฐมนตรีที่ถุกแจ้งข้อกล่าวหามีอยู่ 3 คนที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แก่ พล.ต..สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ ,นายประดิษฐ ภัทรประสิทธิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงไอซีที

น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะผู้รับผิดชอบสำนวนกล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะพิจารณาสำนวนเขาพระวิหารต่อจากสำนวนคดี 7 ตุลาซึ่งจะพิจารณาในช่วงเช้า แต่ขึ้นอยู่กับว่า ที่ประชุมจะสามารถชี้ขาดคดี 7 ตุลาฯได้หรือไม่ ถ้ายังไม่สามารถสรุปได้อาจต้องเลื่อนคดีเขาพระวิหารออกไปอีก

"ลับ ลวง พราง"ฉบับแม้ว

วันอังคาร ที่ 08 กันยายน 2552 เวลา 6:55 น
ลองมีการจัดอันดับเรื่องการใช้สื่อเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง ผมเชื่อว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คงจะอยู่ในอันดับต้นๆ แน่เลยครับ ลองคิดดูขนาดมีสื่อของแกนนำ นปช. ทั้งทีวีดาวเทียม สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ช่วยชูภาพว่าเป็น “นักประชาธิปไตย” แทนที่จะทำให้คนเชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาหนีคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วันดีคืนดียังสามารถใช้สื่อของรัฐ ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของตนเองให้ทุกคนเห็นว่า เป็นนักประนีประนอม และพร้อมจะเจรจากับทุกคนเพื่อสร้างความสมานฉันท์และความปรองดอง เห็น อย่างนี้แล้วไม่รู้ว่า “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะคิดอย่างไร

ในขณะที่ตนเองเป็นถึงผู้นำรัฐบาล แค่ขอใช้สถานีของรัฐจัดรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ยังเจอสัญญาณติด ๆ ขัด ๆ แต่อดีตนายกฯขวัญใจของ “คุณจอม เพชรประดับ” เสียงชัดแจ๋ว ไม่มีคลื่นแทรกเลยครับ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่างานนี้จะเกี่ยวข้องกับ “งานรับน้องใหม่” ผู้บริหาร อสมท ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน เพราะคลื่นวิทยุที่นายใหญ่ใช้ออกอากาศขึ้นตรงกับ อสมท โดยตรง

มีประเด็นนี้ขึ้นมา ผมก็เลยคิดว่าหรือนี่จะเป็นแผนของ “มือวางแผน” บางคนที่เดินเกมอย่างลึกซึ้ง เรียกว่า “ยิงปืนนัดเดียว” ได้นกหลายตัว

ข้อแรกถ้า “นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลสื่อของรัฐ แบนรายการ “ดิเอ็กซ์คลูซีฟ” ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 หรือมีบทลงโทษกับผู้บริหารของสถานีวิทยุ ก็จะถูกวิจารณ์ว่าแทรกแซงสื่อทันที และจะเป็นประเด็นที่แกนนำ นปช. นำไปขยายผลในการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.

ข้อสอง สร้างภาพให้คนทั่วไปได้เห็นว่า คนชื่อ “ทักษิณ” พร้อมเจรจากับทุกฝ่าย โดยหวังสร้างความปรองดองให้กับบ้านเมือง หลังจากเคยจัดรายการวิทยุในสื่อของตนเอง แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน จึงอาศัยสื่อของรัฐ มาช่วยโปรโมตภาพลักษณ์ของตนเอง

ข้อสาม บิ๊กบอสคนใหม่ของ อสมท อาจไม่ได้รับความไว้วางใจหรือผ่านความเห็นชอบ จากการประเมินผลงานของบอร์ด อสมท อย่าลืมว่าการบ้านข้อใหญ่ของนายใหม่ซึ่งดูแลสื่อของรัฐ คือ การพิจารณาเรื่องต่อสัญญาสัมปทานของช่อง 3 ซึ่งเป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่รัฐต้องพึงได้ และมีข่าวว่ารัฐบาลพยายามจะหาทาง เก็บผลประโยชน์จากการเช่าสัมปทานให้มากขึ้นกว่าเดิม

หรือกรณีมีอดีตผู้บริหารของ อสมท ไปยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ “บริษัทไร่ส้ม” ซึ่งเคยทำสัญญาเช่าเวลากับสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ในยุคที่ “นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” คุมองค์กรสื่อซึ่งเคยเรียกว่า “แดนสนธยา” โดยได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสื่อของรัฐก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เอาละครับผมขอตั้งคำถามกับอดีตนายกฯว่า ถ้าหากมีความจริงใจกับบ้านเมืองและต้องการสร้างความสมานฉันท์ทำไมในช่วงที่ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” แกน นปช. ออกมาแถลงข่าวจาบจ้วง “นายอำพล เสนาณรงค์” องคมนตรี อย่างสาดเสียเทเสียหลังจากออกมาปาฐกถาพาดพิงถึงอดีตผู้นำบางคน ทำไม พ.ต.ท. ทักษิณ ถึงไม่ออกมาติเตียน หรือแสดงท่าทีว่าไม่เห็นด้วย หรือเป็น “แผนลับ ลวง พราง” ฉบับแม้ว เพื่อตัดตอนไม่ให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องแผนป่วนบ้านป่วนเมืองของแกนนำ นปช. ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า."

เขื่อนขันธ์

อย่าเลอะเทอะกับคลิปเสียง

ที่มา บางกอกทูเดย์
ผมไม่ให้ความสำคัญกับคลิปเสียง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ต้น จึงไม่เขียนเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพราะผมรู้ว่า “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่โง่ที่จะพูดอย่างที่ได้ยินในคลิปเสียงหลังจากที่ผมฟังคลิปรอบที่สาม...

ผมมั่นใจทันทีว่าเป็นการตัดต่อเสียงเพื่อทำลายชื่อเสียงนายกรัฐมนตรีซึ่งผมถือว่าไม่เป็นธรรมกับเขาและผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะยุติไปแล้ว...แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ได้มีการเอาเข้ามาตั้งกระทู้สดในสภาฯแล้วสิ่งที่เกิดในสภาฯ ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ คือ การโต้ฝีปากไปมาระหว่าง ส.ส.ฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาลอย่างดุเดือดโดย

เฉพาะฝีปากนายกรัฐมนตรี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ที่เปรียบใครก็ไม่รู้เป็นสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่ง ทำให้ภาพพจน์สภาฯ ที่ตกต่ำอยู่แล้ว ตกต่ำหนักลงไปอีกแล้วจะให้ประชาชนทั่วไปศรัทธาระบอบประชาธิปไตยระบอบที่ฝ่ายอมาตย์และเผด็จการตั้งป้อมทำลายด้วยวิธีการต่างๆมานานได้อย่างไรปกติผมก็เชียร์พวกท่าน “ฝ่ายค้าน” อยู่แล้ว...เนื่องจากผมไม่เห็นด้วยกับการปล้นอำนาจมาของ

รัฐบาลชุดนี้ และไม่ชอบการทำงานแบบเด็กๆ อีกหลายเรื่องที่ท่านสามารถนำมาพูดได้แบบที่ “คุณอนุดิษฐ์ นาครทรรพ” ส.ส.ดอนเมือง กำลังทำอยู่นั่นแหละ!เพราะยังมีเรื่องที่คนในรัฐบาลนี้ทำอย่าง ตะกละตะกลามด้วยความหิวโหยมานานอีกตั้งหลายเรื่องที่ฝ่ายค้านควรขุดคุ้ยโดยเฉพาะ “พี่เหลิม” ที่ทำผลงานดีๆ ฝากไว้กับสภาฯก็มีให้จดจำตั้งหลายเรื่องเรื่องที่ฝ่ายค้านน่าเตือนอีกเรื่อง...

ก็คือการรับมือกับการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรเหลือ 0% จำนวน 23 รายการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ตามข้อตกลงอาฟต้าที่รัฐบาล“พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ไปลงนามมาซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ชี้ว่า...รัฐบาลนี้มีการเตรียมการรับมือทั้งที่เหลือเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้นเกษตรกรที่จะต้องรับเคราะห์หนัก คือ “ชาวสวนปาล์ม”โดยเฉพาะทางใต้ฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่จะสู้ราคาปาล์มจากมาเลเซียไม่ได้และที่สำคัญ คือ...

เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ ชาวนาที่ราคาข้าวปัจจุบันต่ำมากอยู่แล้ว จะตกต่ำลงไปอีกเพราะจะมีข้าวราคาถูกกว่าข้าวไทยกว่าครึ่งจากพม่า ลาวและเวียดนาม แย่งตลาดส่งออกข้าวของไทยเรา และอาจถึงกับเข้ามาตีตลาดข้าวในประเทศหรือว่าคนไทย เมืองไทย เมืองอู่ข้าว อู่น้ำ อุดมสมบูรณ์ปลูกข้าวกินเอง และเหลือส่งออกอีกครึ่งหนึ่ง ต้องกินข้าวพม่า ลาว เวียดนามกันแล้วอนิจจา...เศร้ามั้ยล่ะครับเรื่องอย่างนี้สมควรที่ฝ่ายค้านจะหยิบยกมาเตือนเป็นอย่างยิ่งซึ่งผมได้แต่ฝากความหวังและบทความนี้ผ่านไปถึงส่วนรัฐบาล ผมไม่หวังพึ่งอะไรเขาอยู่แล้วครับ! ■

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

การเลือกตั้งเส้นทางประชาธิปไตยที่คนเสื้อแดงต้องเลือกเดิน(อีกครั้ง)

ไม่ว่าจะมองในทางไหน หรือในแง่มุมใด รัฐบาลเทพประทาน มาร์ค ม. 7 ก็ดูท่าจะไปไม่รอด ต่อให้เป็นรัฐบาลเทพอุ้มสม หรือรัฐบาลเทพประทานขนาดไหนก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นและรุมเร้ารัฐบาลขณะนี้มัน ยากลำบากรุนแรง

และปมเงื่อนมันสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ไขให้จบสิ้นได้ในเร็ววัน... ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรในการเพิ่มรายได้ นอกจากอาศัยเงินกู้ และออกพันธบัตรให้ประชาชนกินดอกเบี้ย ซึ่งที่จริงก็คือเงินของภาษีของตัวเองน่ะิแหละ....ปัญหาความขัดแย้งทางการ เมืองที่นับวันแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ....

ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศ เพื่อนบ้านที่มีปัญหากับเขาไปทั่ว.... ปัญหาสาธารณสุขโรคไข้หวัด 2009 ที่กำลังกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลที่ล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านการ ป้องกัน... เพราะครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนโดยตรงการ เปิดแนวรบเข้าโจมตีกองกำลังและฐานอำนาจของเผด็จการอมาตย์ในหลายๆ แนวรบ

ไม่ว่าจะเป็นการโฟนอินเรื่่องการแก้ไขเศรษฐกิจชาติของท่านนายกทักษิณ...การ เข้าชื่อถวายฎีกาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ท่านนายกทักษิณ.... หรือแม้กระทั่งแรงกดดันให้มีการดำเนินคดีข้อหาผู้ก่อการร้ายสากลแ่ก่น ายกษิต ภิรมย์ และกลุ่มแกนนำพันธมิตร...

เหล่านี้ล้วนส่งผลร้ายจนถึงขั้นพลังอำนาจของเผด็จ การอมาตย์ที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมสั่นคลอนลงอย่างเห็นได้ชัดรัฐ บาลมาร์ค ม. 7 ก็มิได้เป็นรัฐบาลที่เข็มแข็งอะไร เพราะลำพังเสียงในสภาของพรรค ประชาธิปัตย์เอง ก็มีเพียง 164 คนเท่านั้น

ถ้าไม่ได้เสียงสนับสนุนจากพรรคงูเห่าของภูมิใจไทยก็ล่มอย่างแน่นอน... และข้อเท็จจริงก็คือ ส.ส. ปัจจุบันในพรรคภูมิใจไทยก็เคยเป็นอดีต ส.ส. ในพรรคพลังประชาชนมาก่อนทั้งสิ้น แม้ว่าปัจจุบันจะกลายเป็น ส.ส. งูเห่าแตกแยกกันไปกับพรรคเพื่อไทย แต่ถึงอย่างไรก็เหมือนกับ “คนบ้านเดียวกัน...พี่น้องกันทะเลาะกัน” วันหนึ่งก็อาจจะกลับมาคืนดีกันก็ได้เพราะเคยเป็นน้ำเนื้อเดียวกันมาก่อน ซึ่งไม่เหมือนกับการเข้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคนละน้ำคนเนื้อกัน....

มีการคาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่า รัฐบาลนี้คงมีอายุอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ จากนั้นจะต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ที่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมยุบสภาในขณะนี้ทั้ง ๆ พรก. กู้เงิน800,000 ล้านก็ผ่านไปแล้ว ส่วนสำคัญก็เพราะว่าเหตุการณ์การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษเป็นตัวอย่างทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่า ถ้าเกิดการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือเปล่า....

ซึ่งนี่คือความคิดในมุมมองของรัฐบาลเทพประทาน และพรรคร่วมแต่ใน ส่วนมุมมองของคนเสื้อแดงผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น กลับมีเรื่องที่น่าจะต้องนำมาพิจารณากันอย่างรอบคอบก็คือว่า “ถ้าเกิดการยุบสภาขึ้นในครั้งนี้และมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยควรจะไปร่วมเลือกตั้งด้วยหรือไม่?” ผมมองว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นประเด็นที่พึงนำมาพิจารณาเพื่อวางแผน ยุทธศาสตร์กันอย่างเร่งรีบมิใช่น้อย....

ก่อนจะมีการเลือกตั้งซ่อม ที่จัุงหวัดสกลนคร อาจารย์ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้เป็นผู้จุดประเด็นเรื่องการ Vote No ในการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่า “การเลือกตั้งในระบอบเผด็จการนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลก็จะยังคงถูกอำนาจเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญทำลาย อยู่ดี (ดังที่มีตัวอย่างมาแล้ว 2 รัฐบาล)

ดังนั้นการใช้เวทีเลือกตั้งลงประชามติให้ประชาชนแสดงความเห็นถึงพิษภัยและ อำนาจเผด็จการด้วยการ Vote No คือการปฏิเสธการเลือกตั้งในระบบเผด็จการนี้ จึงเป็นหนทางออกที่ดีที่สุดเพื่อส่งสัญญาณให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาิ ติ” การจุดประเด็นในครั้งนั้นเป็นข้อถกเถียงที่ ฮือฮากันมาก

จนทำให้คนเสื้อแดงเกือบจะแตกทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ในที่สุด อาจารย์ชูพงศ์ ก็ยอมถอยด้วยการขอถอนความคิดนี้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาโดยให้เหตุผล ว่า คนเสื้อแดงก็เหมือนคนที่กำลังเดินทางไปบนถนนเส้นเดียวกัน

บางคนอาจจะแวะที่สระบุรี บางคนอาจจะแวะที่พิษณุโลก บางคนอาจจะมีเป้าหมายไปที่เชียงใหม่ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดเพราะทุกคนอยู่บนถนนเส้นทางเดียวกัน จากนั้นก็หันมาให้การสนับสนุนผู้สมัครพรรคเพื่อไทยแทน และเมื่อคนเสื้อแดงรวมพลังกันได้ในที่สุดก็ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยก็ ชนะถล่มทลาย ทั้งที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษ...

นั่นคือการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาแต่ในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง ในอนาคตอันใกล้นี้ต่างหากที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง... เวลานี้ประชาชนไทยโดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่ตามต่างจังหวัดเริ่มมีความเข้าใจ ถึงอำนาจมืดของเผด็จการอมาตย์ที่ได้ครอบคลุึมประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านาน แล้ว พี่น้องเหล่านั้นต้องการต่อสู้ให้ประเทศนี้มีความเป็นประชาธิปไตยและ ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่เกิด 2 มาตรฐานขึ้นในการบังคับใช้กฎหมาย

พี่น้องเหล่านั้นเริ่มมองเห็นแล้วว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบที่จะนำไปสู่การได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการต่ออายุให้อำนาจเผด็จการเสียด้วยซ้ำ... คุณ จักรภพ เพ็ญแข ได้มีโอกาสสนทนาเข้ามาทางรายการวิทยุก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการไม่ใช่หนทางนำประชาธิปไตยมาสู่ชาติ” และมีหลาย ๆ กระแสเริ่มออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน...

เป็น ความจริงอย่างยิ่งว่า พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ คนต่างก็ต้องการให้ประเทศนี้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยขอให้เพียงให้บอก มาแระกันว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ยินดีทำตามทั้งสิ้น จะเห็นได้จากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร, ศรีสะเกษ การรวบรวมรายชื่อถวายฎีิกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ท่่านนายกทักษิณ (ซึ่งขณะนี้มีมากกว่าล้านคนแล้ว)

ด้วยเหตุนี้การกำหนดยุทธศาสตร์ล่วงหน้าเพื่อนำมาพิจารณาว่า “ถ้าิเกิดยุบสภาเพื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ประชาชนไทยจะได้อะไรจากการเลือกตั้ง... ควรหรือไม่ที่พี่น้องผู้ต้องการประชาธิปไตยจะ Vote No เพื่อปฏิเ้สธการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการนี้” เรื่องนี้เป็น เรื่องที่สำคัญไม่น้อยในการพิจารณาเพื่อวางแผนกำหนดการต่อสู้กับอำนาจเผด็จ การให้เป็นไปตามเป้าหมายประชาิธิปไตย...

ถ้าเกิดการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ แล้วพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง...ต่อมา กกต. ก็แจกใบแดงให้กับผู้สมัครผู้ได้รับการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย จนเหลือจำนวนไม่ถึงครึ่ง...

และเมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้วแม้พรรคเพื่อไทยได้รับ เสียงข้างมากแต่ก็ไม่สามารถสั่งการใครได้โดยเฉพาะกองทัพ...จากนั้นไม่นานก็ ถูกตุลาการพิจารณาพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพ ถูกยุึบพรรค หรือไม่ก็ถูกบีบจากอำนาจภายนอกให้บริหารราชการไม่ได้... ประชาชนก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจเผด็จการมืดต่อไป พวกที่ประท้วงเรียกร้องก็เรียกร้องไป

พวกที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนก็หน้าด้านทำต่อไปโดยไม่สนใจอะไร..... “แล้วพี่น้องคนไทยจะได้รับอะไรจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้” เราจะได้ประชาธิปไตยหรือเปล่า ? การต่อสู้ที่สูญเสียแม้กระทั่งเลือดเนื้อชีวิตจะสูญเปล่าหรือเปล่า ? ถึง เวลาการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย กับเผด็จการอมาตย์แล้ว ถ้าประเทศนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยประชาชนก็จะต้องถูกกดขี่ และถูกสูบเลือดสูบเนื้อจนแห้งตาย....

สมรภูมิที่สำคัญมากชี้เป็นชี้ตายซึ่งกำลังจะมาถึงอันใกล้นี้ก็คือ “การเลือกตั้งใหญ่” ที่จะเกิดขึ้นนี้ เพราะเมื่อเผด็จการอมาตย์กำลังจะสูญสิ้นอำนาจพวกเขาก็จะยุบสภาโดยไม่แก้ไข รัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 และยังคงอำนาจเผด็จการอมาตย์เอาไว้...เมื่อถึงเวลานั้นพี่น้องผู้รัก ประชาธิปไตยทุกท่านคงจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการนั้นให้ประโยชน์ใดแก่ประชาชนในประเทศ ชาติบ้าง”
และการเลือกตั้งใหญ่จะทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ประชาธิปไตยตามที่ เรียกร้องจริงหรือ?

ปูนนก

เทพชัย "ทีวีไทย"แหยงรีบแจงทำสกู๊ปทักษิณเจาะเหมืองเพชร


ไทยรัฐ : “เทพชัย หย่อง” รีบชี้แจง ไทยพีบีเอส เจาะสกู๊ปเหมืองเพชร “ทักษิณ” หวังให้รับรู้รายได้อุตสาหกรรมเพชรส่วนใหญ่นำไปทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยอมรับ อาจตกเป็เครื่องมือแม้ว …
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (7 ก.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา เพื่อรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2551 ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) โดยสมาชิกวุฒิสภาได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลายทั้งตำหนิการนำเสนอรายการต่างๆ ของ สถานีไทยพีบีเอส และ การชมเชย

นางสุกัญญา สุดบรรทัด ส.ว.สรรหา อดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวท้วงติงการนำเสนอข่าวว่า ตามหลักการของ ส.ส.ท.จะต้องมีเนื้อหาที่เป็นกลาง แต่เมื่อดูจากการประเมินผลการดำเนินการของทีวีไทยแล้วพบว่า คณะกรรมการฯที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประเมินผล ได้ระบุถึงความไม่เป็นกลางในการนำเสนอข่าวของทีวีไทยด้วย จึงรู้สึกเป็นห่วงว่าการที่สถานีโทรทัศน์นำเสนอข่าวสารที่มีเนื้อหาสาระไม่เป็นกลาง จะยิ่งก่อให้เกิดผลการปลุกเร้าสังคมไทยที่ขณะนี้มีความแบ่งฝ่ายอยู่แล้ว ทำให้สถานการณ์หนักขึ้นไปอีก จึงฝากไปถึงผู้บริหารทีวีไทยว่าจะทำอย่างไรจึงจะสร้างกระแสปลุกเร้าในเชิงเหตุผล และทำอย่างไรให้การนำเสนอข่าวและการทำหน้าที่ของทีวีไทยมีความเที่ยงตรง เป็นกลางให้มากที่สุด

ด้าน นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เนื้อหาของรายการมีความหลากหลายและให้สาระแก่ผู้ชม ดีกว่าครั้งเมื่อเป็นสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ที่มีแต่เนื้อหาข่าวที่อาจสร้างความสับสนให้กับประชาชน
ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า หลายรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ เสนอเนื้อหาที่ไม่สมควร อาทิ รายการ “ที่นี่ทีวีไทย”ที่พาไปค้นหาเหมืองเพชรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวอ้าง เท่ากับเป็นการสนับสนุน และทำให้ประชาชนเชื่อ และตกเป็นเครื่องมือของอดีตนายกฯ ที่ต้องการใช้สื่อสารมวลชนปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า ตนสนับนุนให้เสนอข่าวสารที่ถูกกล่าวหาทางการเมือง เสนอให้ประชาชนได้รับทราบในทุกๆด้าน แต่ไม่ควรนำคู่กรณีที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมานั่งในรายการเพื่อให้ตอบโต้กัน รวมทั้งไม่ควรเสนอข่าวผลสำรวจของโพลต่างๆที่มักจะแฝงด้วยผลประโยชน์ทางการเมืองและมีการชี้นำสังคม

จากนั้น นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ชี้แจง ว่า การทำงานให้สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เป็นทีวีเพื่อสาธารณะนั้นไม่ใช่ของง่าย หากเริ่มต้นรับบุคลากรใหม่เลยทั้งหมด ตนคิดว่าคงดีกว่านี้ แต่เมื่อต้องรับบุคลากรจากที่เคยทำโทรทัศน์ เพื่อธุรกิจหลายร้อยคนมาปรับเปลี่ยนการทำงานให้เป็นทีวีเพื่อสาธารณะ จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำทุกอย่างได้ตามที่ฝ่ายนโยบายตั้งเป้าหมายไว้ และยอมรับว่าตลอดชีวิตการทำงานของตนไม่เคยทุกข์ใจเท่ากับมาบริหารงานที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ทั้งนี้สามารถทำได้เพียงนโยบาย แต่ภาคปฏิบัติต้องบังคับบัญชาให้ผู้ปฏิบัติทำงานตามที่ฝ่ายนโยบายวางไว้ให้ได้ ขอย้ำว่า พวกตนทำงานด้วยความเป็นอิสระอย่างมาก หากถูกแทรกแซง หรือกดดันจากฝ่ายใด ก็คงจะไม่อยู่ทำงานด้วยแน่

นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการส.ส.ท. ชี้แจงว่า กรณีการตัดสินใจทำสกู๊ปเจาะประเด็นการทำธุรกิจเหมืองเพชรนั้น เป็นเพราะตนได้คุยกับฝ่ายข่าวแล้ว เห็นว่าน่าจะทำเรื่องนี้ เพราะจะทำให้ประชาชนได้รับทราบถึงอุตสาหกรรมเพชร ที่เพชรทุกเม็ดของแอฟริกาล้วนมาจากเลือดเนื้อของชาวแอฟริกัน ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จากเหมืองเพชรจะถูกนำไปใช้ในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแอฟริกาเอง จึงอยากให้ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในแอฟริกาหรือไม่ ส่วนการปล่อยเสียงของอดีตนายกรัฐมนตรียาวมากนั้น เป็นเพราะจำเป็นต้องเปิดรับฟังความเห็นรอบด้าน แต่ก็ยอมรับว่าอาจตกเป็นเครื่องมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เหมือนกัน

คนดีกับระบบที่ดี

คนดีกับระบบที่ดี
สุรพศ ทวีศักดิ์
ปัญหาที่ว่าคนดีคือคนเช่นไร? และความดีคืออะไร? เป็นปัญหาเก่าแก่ ทฤษฎีจริยศาสตร์ตะวันตกดูเหมือนจะอธิบายเรื่องนี้ในสองมุมมองหลักๆคือ

ทฤษฎีคุณธรรม (virtue theory) อธิบายว่าการจะตัดสินว่าใครคือคนดีต้องพิจารณาจาก “ตัวผู้กระทำ” (ไม่ใช่ดูการกระทำในบริบทสถานการณ์เฉพาะหนึ่งๆ) ว่าเขามีคุณลักษณะ (character) หรืออุปนิสัย (habit) ที่ประกอบด้วยคุณธรรมอะไร (เช่น ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ฯลฯ)

ดังนั้น คนดีจึงหมายถึงคนที่ฝึกฝนตนเองให้มีคุณธรรม เช่น มีปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม เป็นต้น จนเป็นคุณลักษณะนิสัยประจำตัว ดังที่ อริสโตเติล กล่าวว่า “คุณธรรมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนจนเป็นอุปนิสัยประจำตัว”

คุณธรรมอันเป็นอุปนิสัยประจำตัวของแต่ละบุคคลนั่นเอง คือสิ่งที่โน้มน้าวหรือชี้นำ/กำกับให้เขากระทำสิ่งที่ถูกต้องต่างๆ เช่น คนที่มีความยุติธรรมเป็นอุปนิสัยย่อมทำให้เขากระทำการต่างๆอย่างยุติธรรมในบริบทของสถานการณ์ที่ต้องการความยุติธรรมซึ่งเขาเกี่ยวข้อง ดังนั้น คุณลักษณะนิสัยที่มีคุณธรรมของบุคคลจึงเป็นหลักประกันความคงเส้นคงวาของการกระทำที่ถูกต้องทางจริยธรรม

ทฤษฎีคุณธรรมเน้นที่ “ตัวบุคคล” (moral agent) โดยยึด “คนดี” ในอุดมคติ (ideal person) เป็นแบบอย่างหรือเป็นแรงบันดาลใจให้เราฝึกฝนตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรม เช่น โสเครตีส เป็นแบบอย่างของบุคคลผู้มีความกล้าหาญทางจริยธรรม พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของผู้อุทิศตนเพื่อมนุษยชาติด้วยความรัก มหาตมะ คานธี เป็นแบบอย่างของบุคคลที่สมถะเรียบง่าย เมตตา อหิงสา ยึดมั่นในสันติวิธี ฯลฯ

จุแด่นของทฤษฎีนี้คือ ถือว่าคุณธรรมเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนหรือปฏิบัติจนเป็นคุณลักษณะนิสัยประจำตัวซึ่งจะส่งผลให้บุคคลมีคุณธรรมที่มั่นคง แต่จุดอ่อนก็คือการเน้นที่ตัวบุคคลอาจทำให้สังคมฝากความหวังไว้กับ “คนดี” หรือ “คนมีคุณธรรม” (virtuous person) ซึ่งอาจแสดงออกโดยการเรียกร้องหรือรอคอยบุคคลเช่นนั้นมาเป็นผู้นำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง หรือบางครั้งสังคมก็แสดงอาการเสมือนว่าสิ้นหวังเพราะขาดคนดีอย่างที่พูดกันว่า “สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้”

ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งคือทฤษฎีหน้าที่ (duty theory) ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวผู้กระทำว่าเขาจะมีลักษณะนิสัยหรือเป็นคนเช่นไร แต่สนใจการกระทำของเขาในสถานการณ์หนึ่งๆว่าเขากระทำตามกฎ (rule) หรือหลักการ (principle) อะไร เช่น เขาพูดความจริงบนหลักการของการยึดผลประโยชน์ส่วนตัว หรือยึดผลประโยชน์ส่วนรวม หรือยึดถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องเคารพตนเองและสิทธิที่จะรับรู้ความจริงของมนุษย์ทุกคน

กฎหรือหลักการที่ถูกต้องตามทฤษฎีดังกล่าวนี้ หมายถึงกฎที่เป็น “หลักการสากล” ที่มนุษยชาติสามารถยึดถือปฏิบัติร่วมกันได้ ไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยภูมิหลังทางสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ อุดมการณ์ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศ ผิว ฯลฯ กล่าวอย่างรวมๆก็คือหลักจริยธรรมสากล (universal ethic) ที่วางอยู่บนพื้นฐานของการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์นั่นเอง

ตามทฤษฎีหน้าที่ กฎเกณฑ์ หลักการ หรือ “ระบบที่ดี” สำคัญกว่า “คนดี” ซึ่งกฎเกณฑ์ หลักการ หรือระบบที่ดีนั้น ไม่ได้มาจากแบบอย่างหรือคำสอนของ “บุคคลในอุดมคติ” หากแต่มาจากสามัญมนุษย์ทุกคนที่มีธรรมชาติแห่งเหตุผล (rational being) และสามารถใช้เหตุผลกำหนดกฎเกณฑ์ หลักการ หรือระบบดังกล่าวนั้นร่วมกัน

ข้อสังเกตคือ พื้นฐานความเชื่อทางศีลธรรมของสังคมไทยนั้น มาจากพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งความเชื่อของพุทธศาสนาแบบไทยๆนั้นดูเหมือนจะสอดคล้องกับทฤษฎีคุณธรรม ที่ถือว่าคุณธรรมเกิดจากการฝึกฝนจนเป็นนิสัย มีบุคคลในอุดมคติที่เป็นแบบอย่างทางคุณธรรมคือพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์

ในทางการเมืองชาวพุทธไทยก็เรียกร้องผู้ปกครองที่ดีหรือที่มีทศพิธราชธรรม และสังคมในอุดมคติของชาวพุทธก็คือ สังคมที่มีผู้มีบุญบารมีมาโปรดเช่นสังคมยูโทเปียในโลก “ยุคพระศรีอาริย์” เป็นต้น

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าพุทธศาสนาแบบไทยหรือความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ปลูกฝังกันมาในสังคมไทยที่ค่อนไปทางการยึดติดหรือฝากความหวังไว้กับ “คนดี” นั้นสอดคล้องกับพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมมากน้อยเพียงใด เพราะหากพิจารณาจากวิธีคิดของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม พระพุทธองค์ถือว่า “ธรรม” มีสถานะเหนือตัวบุคคล แม้แต่พระพุทธองค์เองยังเคารพธรรม ก่อนปรินิพพานก็ไม่ได้แต่งตั้งให้ใครเป็นศาสดาของพุทธบริษัทแทน แต่ให้ “ธรรมและวินัย” เป็นศาสดาของชาวพุทธ

โดยเฉพาะหลักการวินิจฉัยความจริง ความถูกต้องในกาลามสูตร พระพุทธองค์กลับปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงที่จะให้เราฝากความหวังไว้กับ “ตัวบุคคล” แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นครูหรือศาสดาของเราก็ตาม พระพุทธองค์นิยามตนเองเป็นเพียง “กัลยาณมิตร” ผู้ชี้แนะ ส่วนใครจะเชื่อ หรือจะทำตามหรือไม่เป็นเสรีภาพของแต่ละบุคคล

ความขัดแย้งทางการเมืองของบ้านเราที่ถูกปลุกเร้าด้วยวาทกรรมว่าด้วยความดี/เลวของ “ตัวบุคคล” จนนำไปสู่การเลือกข้างเลือก “สี” ดังที่เป็นมานี้ นอกจากจะไม่ชัดเจนว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างไรแล้ว ยังสะท้อนปัญหาของการยึดติดในตัวบุคคล ความคลุมเครือในมโนทัศน์ (concept) เกี่ยวกับ “คนดี – ความดี” ในบริบทสังคมประชาธิปไตย

อันที่จริงในอารยะประเทศ (เช่น สหรัฐอเมริกา) แม้เขาจะเน้นการสร้างระบบที่ดี แต่เราก็พบเสมอว่าคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศล้วนแต่มี character ของ “คนดี” ที่โดดเด่นแตกต่างกันไป โดยเฉพาะ character ด้านสติปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ความเสียสละ ฯลฯ (ดังประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็มีแนวคิดบางอย่างคล้ายอับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น)

สำหรับบ้านเราผู้นำที่มี character คุณธรรมระดับสากลทั้งด้านสิปริตความเป็นนักประชาธิปไตย สติปัญญา แนวความคิด ความกล้าหาญ ความเสียสละ นอกเหนือจากท่านรัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ แล้ว แทบจะมองไม่เห็นใครอีกเลย

ดังนั้น ทั้งการยึดติดใน “คนดี” และการเรียกร้อง “ระบบที่ดี” โดยละเลยที่จะพูดถึง character ของคนดี ไม่น่าจะเป็นคำตอบสำหรับสังคมการเมืองที่ดีกว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากนี้จำเป็นต้องชัดเจนทั้งการสร้างระบบที่ดีที่เป็นพื้นฐานของความเป็นธรรมทางสังคม และต้องชัดเจนใน character ของคนดีในภาคส่วนต่างๆที่สามารถขับเคลื่อนระบบที่ดีนั้นให้มีผลในทางปฏิบัติได้จริง

แม้วใช้ทวิตเตอร์แฉ รบ. สั่งเก็บเทปจ้อวิทยุ


คมชัดลึก :"ทักษิณ"เปิดใจรายการวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม
อสมท" ระบุพร้อมคุยกับแกนนำรัฐบาล แม้กระทั่งนายกฯอภิสิทธิ์ แต่เชื่อ "อภิสิทธิ์" ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการใดๆได้ "สาทิตย์" เผย "อสมท" ชี้แจงเบื้องต้นแล้ว ยันรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ "ทักษิณ" เป็นนักโทษหนีคดี

เช้าววันนี้(6ก.ย.) พ.ท.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจในรายการเอ็กคลูซีฟ สถานีวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม อสมท โดยระบุว่า ไม่รู้จะคุยแนวทางแก้ปัญหาบ้านเมืองกับใคร รวมถึงนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยติดต่อมาแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตามตนพร้อมคุยกับแกนนำรัฐบาล แม้กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่เชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการใดๆได้
"สาทิตย์"รอ"อสมท"ชี้แจงปล่อยทักษิณจ้อวิทยุ

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ หลังมีการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณว่า “เช้านี้งานเข้าที่ อสมท ครับ คาดว่าเป็นข่าวแน่ พรุ่งนี้จะมีคำชี้แจง ตอนนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง”

อสมทเรียก"ผช.ผอ."วิทยุแจงปล่อย"ทักษิณ"จ้อ"

สำนักข่าวเนชั่นไอเอ็นเอ็นรายงานว่า นายสมจิต ชินสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักวิทยุและกิจกรรมพิเศษ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เข้าชี้แจงต่อกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กรณีปล่อยให้พ.ต.ท.ทักษิณ สัมภาษณ์ในรายการเอกครูสีฟ FM 100.5 ซึ่งดำเนินรายการโดย นายจอม เพชรประดับ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยนายสมจิต กล่าวว่ายังไม่ทราบที่มาที่ไปของเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมาการเชิญแขกเข้ารายการจะไว้วางใจผู้ดำเนินรายการ

ด้านนายจอม ยอมรับว่า เป็นผู้ติดต่อขอสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ มาหลายเดือนแล้วแต่เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ โทรกลับมาตอบรับเมื่อช่วงเช้าก่อนเข้ารายการ ตนจนจึงให้เข้ารายการทันที่ ซึ่งยืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งคำถามเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ

พร้อมกันนี้ ขอชี้แจงว่า ตนได้ทำหน้าที่ของสื่อที่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และรอบด้าน โดยไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายฝ่ายหนึ่ง แต่หากการทำหน้าที่ของตนเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่ถูกต้อง ตนก็พร้อมยอมรับ และไม่กลัวว่าจะถูกปลดจากรายการ เพราะชีวิตตนนั้นถูกย้ายมาหลายที่แล้ว ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ก็เคยบอกว่าจะเปิดกว้างเรื่องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

นายจอม ยังได้กล่าวว่าในสมัยรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน ตนก็เคยเชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ สมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้านสัมภาษณ์ออกทีวีเหมือนกัน

เมื่อเวลา 19.00น.พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ความว่า "ผมให้สัมภาษณ์คุณจอมฯไปเมื่อเช้านี้ได้ข่าวว่าตอนนี้รัฐบาลสั่งสอบกันให้วุ่นส่ังเก็บเทปไม่ให้เผยแพร่ ไหนว่าสื่อมีเสรีภาพ รัฐบาลอย่ากลัวความจริง"

สาทิตย์สั่งสอบอสมทปล่อยทักษิณจ้อ

นายสาทิตย์ เปิดเผยอีกครั้งผ่านทางมติชนออนไลน์โดยสรุปว่า ทางผู้บริหาร อสมท ได้รายงานข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้รับทราบแล้ว โดยทางผู้บริหาร อสมท จะแถลงรายละเอียดในวันที่ 7 กันยายน แต่ในเบื้องต้นพบว่า มีผู้หญิงโทรศัพท์มาจากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มายังห้องส่ง หลังจากนั้นก็มีการโทรศัพท์ผ่านรายการนายจอม ซึ่งพนักงาน อสมท.ก็ไม่ทราบว่า จะมีการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายสาทิตย์กล่าวว่า ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นการบริหารคลื่นวิทยุภายใน อสทม และมีการเชิญบุคคลภายนอกมาร่วมจัด นายจอมก็เป็นคนนอก ไม่ได้เป็นพนักงาน อสมท. ซึ่งมีคณะกรรมการดูแลรายการ เพียงแต่วันนี้ ไม่มีการรายงานและพิจารณากันในการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณมาให้สัมภาษณ์ ดังนั้นเรื่องทาง อสมท ก็ต้องไปดูว่า มีความบกพร่องอย่างไร

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อย่างไรก็ตามความจริงแล้วเรื่องนี้ รัฐบาลไม่เคยขัดข้องในการให้ทุกฝ่ายออกรายการวิทยุ ทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน หรือฝ่ายไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพียงแต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ว่าเป็นนักการเมืองแต่เป็นนักโทษหนีคดีด้วย ก็เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนพอควร
ปชป.ไม่ไว้ใจ"ทักษิณ"ขอคุยจวกพูดอย่างทำอย่าง

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวผ่านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ว่า การเจรจาก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะปัญหาที่เกิดจากบุคคลกลุ่มหนึ่งในขณะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องตัวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยมีความเชื่อถือในคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเวลาที่ตนเองได้เปรียบก็มักพูดอย่าง แต่เวลาเสียเปรียบก็พูดอีกอย่าง

อย่างเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดอยู่เสมอว่า หากมีเลือดสักหยดจะกลับมานำผู้ชุมนุมด้วยตัวเอง แต่พอมีการปราบปรามผู้ก่อเหตุจลาจล พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้กลับมา หรืออย่างกรณีคลิปเสียงนายกฯก็เช่นเดียวกัน พอ พ.ต.ท.ทักษิณเห็นว่าการที่ ส.ส.เพื่อไทยนำไปเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่เพลี่ยงพล้ำ ก็รีบออกมาปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทันที” นายชินวรณ์ กล่าว

นายชินวรณ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกมาพูดเช่นนี้ น่าจะมาจากการที่นักธุรกิจและภาคเอกชนหลายส่วนออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงยุติการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้กระทบกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องออกมาพูดเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า วิเคราะห์หรือไม่ว่าเหตุใดจึงต้องออกมาพูดก่อนที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.นี้ นายชินวรณ์ กล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงขณะนี้ถูกมอง 2 แบบ 1.สร้างความปั่นป่วนทางการเมือง จนกระทบกับปากท้องของพี่น้องประชาชน และ2.การเคลื่อนไหวก็ชัดเจนไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่เป็นการทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ในช่วงที่เพลี่ยงพล้ำ จึงต้องพูดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ก่อน

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นายกฯหรือรองนายกฯจะไปเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณนายชินวรณ์ กล่าวว่า หากจะเปิดการเจรจาอย่างน้อยคนที่จะมาเจรจาต้องมีความจริงใจ โดย พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับเข้ามาในประเทศและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน

“แต่ส่วนตัวไม่เชื่อว่าหลังจากคุยแล้วจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองกลับสู่ความสงบ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีโทษจำคุก 2 ปีอยู่ ขณะที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ผมจึงไม่คิดว่า คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณจะยอมยุติการเคลื่อนไหวง่ายๆ” นายชินวรณ์ กล่าว
“นพดล”สับเวทีสัมมนาจุฬาฯจ้องถล่ม“ทักษิณ”

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูปการเมืองกับบอนาคตของประเทศไทย” ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า การจัดงานสัมมนาดังกล่าวมีวิทยากรรับเชิญคือ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ นายอมร จันทรสมบูรณ์ นักวิชาการด้านกฎหมาย โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นตัวปัญหา รวมทั้งกล่าวหาว่าอดีตนายกฯทำการฟอกเงิน ส่วนตัวคิดว่าการจัดสัมมนาใด ๆ ถ้าเชิญแต่คนที่มีความคิดเห็นเชิงปฏิปักษ์ ผลลัพธ์ก็จะออกมาในรูปแบบนี้ จึงอยากฝากให้ผู้จัดเชิญคนที่มีความเห็นอีกด้านหนึ่งมาร่วมด้วย เพื่อให้เวทีสัมมนามีความสมดุล ไม่ใช่จัดเพื่อถล่มฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นายนพดลกล่าวว่า สำหรับการโจมตีว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวปัญหา สร้างความปั่นป่วนนั้น ขอตอบโต้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่ผู้สร้างปัญหา แต่เป็นผู้ถูกกระทำจากฝ่ายที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย จึงพยายามเรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมให้ตนเอง ต้นตอของปัญหาที่แท้จริงคือการยึดอำนาจ กลุ่มอำมาตย์ กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบือน และระบบ 2 มาตรฐาน ความจริงพล.อ.สายหยุดเป็นประธานมูลนิธิองค์กรกลาง น่าจะมีความเป็นกลางบ้าง อยากรู้ว่าตอนที่มีการยึดอำนาจ หรือมีการใช้ความรุนแรง พล.อ.สายหยุดไปอยู่ที่ไหน

"ส่วนที่พล.ต.อ.วสิษฐระบุว่ามีการฟอกเงินแล้วนำไปซุกไว้ที่ต่างประเทศนั้น ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร แต่ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีแน่ พล.ต.อ.วสิษฐเป็นตำรวจเก่า ถ้ามีข้อมูลควรนำไปยื่นให้ป.ป.ง. และกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบ หรือจะยื่นที่พรรคเพื่อไทยก็ได้ อย่าพูดแบบตีหัวเข้าบ้าน ทำให้คนอื่นเสียหายโดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พล.ต.อ.วสิษฐชอบเขียนนิยาย แต่ไม่ควรเอานิยายมาปะปนกับเรื่องจริง" นายนพดล กล่าว

"ไตรรงค์"เปรียบ“ทักษิณ"แค่ก้อนกรวดในรองเท้า
ที่โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท กาญจนบุรีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวระหว่างปิดงานสมัชชาประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ “ วาระประชาชนภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี” ถึงพ.ต.ท.ทักษิณว่า บ้านเมืองขณะนี้ไม่สงบ เพราะมีสีแดงอยู่ และพ.ต.ท. ทักษิณให้การสนับสนุน แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แค่ราคาคุยมากกว่าที่จะกระทำจริง ซึ่งสามารถควบคุมดูแลได้ไม่ต้องห่วง

"ผมสนิทกับเหล่าทัพและหน่วยข่าวกรอง ดังนั้นไม่มีอะไรน่ากลัว เปรียบเหมือนก้อนกรวดในรองเท้า ก็รำคาญนิดหน่อย แต่บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้" นายไตรรงค์ กล่าว
เสื้อแดงประกาศชัยชนะยึกพื้นที่สีเหลืองระยอง

คืนวันที่ 5 กันยายน บริเวณสนามหญ้าใกล้ตลาดสี่ภาค ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองระยอง ใช้เป็นสถานที่ตั้งเวทีปราศรัยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) บนเวทีเขียนว่าชมรมคนรักประชาธิปไตย สุภาพชนคนเสื้อแดงระยอง ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยตั้งแต่หน้าทางเข้าไปที่โต๊ะอาหาร หน้าเวที ของการ์ด นปช.จำนวนมาก พร้อมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ(นปพ.)ระยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุมกลุ่มงานสืบสวนภูธร จังหวัดระยอง มาในชุดเสื้อดำ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยโป่ง ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ส่วนรอบนอกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งจุดตรวจค้นหลายจุด

ภายในงานเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 300 โต๊ะ กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มทยอยกันเดินทางเข้าไปในงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมชูป้าย อำเภอแกลง นปช.พัทยา แหลมฉบัง นปช.สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ซึ่งนำโดยนายสำเริง ประจำเรือ ส.จ. จันทบุรี บางพลัดกทม. ฯลฯ ประมาณกว่า 2,000 คน เนื่องจากยังมีโต๊ะว่างเปล่าอีกจำนวนมาก ภายในบริเวณงานเต็มไปด้วยเสื้อแดง

นายสำเริง แกนนำเสื้อแดง จ.จันทบุรี ขึ้นเวทีประกาศอย่างเป็นทางการวันนี้เสื้อแดงเกิดขึ้นแล้วหลังจากในอดีตมีแต่เสื้อเหลือง แต่วันนี้รู้สึกดีใจมากที่กลุ่มคนรักพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มาจากต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมกันให้การสนับสนุน ดร.ภิรมณ์ ศรีธาตุ แกนนำเสื้อแดง จังหวัดระยอง จนประสบความสำเร็จ พร้อมปราศรัยโจมตีบุคคลสำคัญ รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความสะใจ และปราศรัยอีกว่าเมื่อวันก่อนเดินทางมารณรงค์ปราศรัยในพื้นที่จังหวัดระยองร่วมกับ ดร.ภิรมณ์ ระหว่างทางขากลับถูกยิง 3 นัดแต่ไม่เป็นไร รอดตายเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คนดีของพวกเราคุ้มทำให้รอดตาย

ดร.ภิรมณ์ กล่าวปราศรัยว่า พอทราบข่าวนายสำเริง ถูกยิงจึงโทรศัพท์สอบถามนายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำเสื้อเหลืองระยอง ว่าทำไมจึงเล่นกันรุนแรงขนาดนี้ ไหนว่าจะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งนายสุทธิ ตอบว่า ไม่ใช่เสื้อเหลืองแต่เป็นคนกลุ่มนักการเมืองคนหนึ่ง ดังนั้น จึงพูดกลับไปว่าก็พวกเดียวกันไม่ใช่หรือ ถ้างั้นก็ไปคุยกันเอง จากนั้นก็มีการผลัดกันขึ้นเวที โดยมีนายประวัฒน์ อุตตะโมท แกนนำคนสำคัญ จ.จันทบุรี ผลัดกันปราศรัยโจมตีบุคคลสำคัญอย่างรุนแรง พร้อมประกาศวันที่ 12 กันยายนนี้ ให้ไปร่วมชุมนุมกันที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และพบกันในวันที่ 19 กันยายน รวมตัวกันที่บริเวณสนามหลวง จากนั้นจะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล และจุดสุดท้ายไปที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อเวลา 22.00น.เศษ นอกนั้นแกนนำคนสำคัญเสื้อแดงไม่มีใครเดินทางมาร่วมงาน

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

โดยจอม เพชรประดับ FM 100.5 MHz
มติชน
ทักษิณ”ให้สัมภาษณ์ผ่านวิทยุ อสมท. ยันเงินซื้อเหมืองเพชรกำไรจากขายทีมฟุตบอล ซัดรบ.ไทยทำต่างชาติรำคาญกระอักกระอ่วน ส่งหนังสือจี้ตามตัว พร้อมเจรจาทุกคนสร้างสมานฉันท์ ชี้ “มาร์ค”แก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่มีอิสระ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 ก.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางวิทยุอสมท. คลื่น 100.5 เมกกะเฮิร์ต ในรายการเอ๊กคลูซีฟ ดำเนินรายการโดยนาย จอม เพชรประดับ โดยผู้ดำเนินรายการได้สอบถามถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้นำเงินจากที่ใดมาดำเนินกิจการเหมืองเพชร หรือมีการฟอกเงินไว้ในรัฐบาลที่แล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า หลังจากที่ตนออกจากประเทศไทย ก่อนปฏิวัติ มีคนลือว่า ตนขนเงินออกมา 30 กระเป๋าเดินทาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครทำได้ ขอให้อย่าหลงประเด็น อย่าหลงเชื่อกลุ่มคนที่ปล่อยข่าว หากจำได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยซื้อทีมฟุตบอล แล้วก็ขายทีมฟุตบอลแล้วนำผลกำไรมาลงทุนเหมืองเพชร

ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอายัดเงินที่ประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่มีเงินฝากที่ประเทศอังกฤษ ทั้งหมดเป็นการปล่อยข่าวทำร้ายกัน เมื่อขายทีมฟุตบอลได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เพียงพอจะลงทุนในเหมือง เพราะราคาเองก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร

เมื่อถามว่า การที่ท่านเดินทางเข้าประเทศต่างๆนั้น ต่างประเทศรู้สึกกระอักกระอ่วนใจบ้างหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาไม่กระอักกระอ่วนตน แต่เขากระอักกระอ่วนรัฐบาลไทยมากกว่า เขามีอธิปไตยในดินแดนของเขาจะให้ใครอยู่หรือจะให้ใครไปมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่รัฐบาลไทยทำจดหมายถึงทุกประเทศต่างประเทศเขาบอกเขารำคาญ และก็ยังบอกอีกว่าเขารำคาญรัฐบาลไทยยังไม่ต้องมาประเทศเขาก็ดี

เมื่อถามว่า มีประเทศใดที่เขาบอกว่าท่านไม่ทำตามคำสั่งศาลหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่มี เขาเห็นคำพิพากษากรณีที่ดินรัชดาเขาก็ขำแล้ว มีอย่างที่ไหนคนซื้อไม่ผิดคนขายไม่ผิด แต่มันตลกตรงที่นายกฯเอาบัตรประชาชนไปรับรองให้เมียซื้อที่ดินเขาบอกผิด แต่ที่บุกรุกที่ดินป่าสงวนไม่เป็นไร การเมืองไทยตอนนี้มุ่งแต่ทำลายฝ่ายตรงข้าม

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าท่านมีเครื่องบินส่วนตัวมีบอร์ดี้การ์ดชั้นดี พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่มีเครื่องบิน บอร์ดี้การ์ดก็ไม่มี ผมไม่กลัว เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว เรื่องอย่างนี้ผมโดนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่เป็นไร
เมื่อถามว่าจะหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ผมพร้อมเจรจากับทุกคน คิดดูขนาดคนอย่างคุณจอมยังติดต่อผมได้ แล้วคนที่มีอำนาจในประเทศจะติดต่อผมไม่ได้หรือ ขนาดคนขับแท็กซี่ ตำรวจชั้นผู้น้อยยังมีเบอร์ผม โทรมาผมผมก็คุยผมคุยกับทุกคน แต่คนเดียวที่ไม่มีเบอร์ผมก็คือ คนในทำเนียบรัฐบาล ยืนยันผมคุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายกฯหรือรองนายกฯแม้ว่าจะหน้าดำผมก็คุย”

เมื่อถามว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โทรมาหาท่านขอความร่วมือให้ท่านหยุดเคลื่อนไหวแล้วทุกอย่างจบ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า จะร่วมมือกันอย่างไรบอกมา ตนยินดี จะให้ทำอะไร และรัฐบาลต้องบอกว่าจะทำอย่างไรด้วยเพื่อให้เกิดความปรองดองทุกฝ่าย ไม่ใช่ปรองดองเพียงฝ่ายเดียว ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสมด้วย

เมื่อถามว่า หากนายกฯบอกว่าท่านต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ต้องถามว่ากระบวนการตอนนี้มันยุติธรรมจริงหรือไม่ และจะกำหนดความยุติธรรมอย่างไร ตนเชื่อว่า ศาลส่วนใหญ่ยุติธรรม แต่ก็มีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกแทรกแซง และนายอภิสิทธิ์ก็เข้าไปแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่มีคนที่มีอิสระเหนือรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ที่จริงเรื่องที่ถ้าบ้านเมืองมีความสมดุล มีการถ่วงดุลที่ดีบ้านเมืองจะเดินไปได้

แต่ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะเพียงต้องการจะล้มตนเท่านั้น ที่จริงเมื่อครั้งนั้นถ้าพูดกับผมดีๆ บอกให้หยุด ให้เลิกเพราะชนะมากไปแล้ว ก็หยุดก็จะวางมือ ไม่ใช่ว่าตนอยากจะอยู่ เพียงแต่ว่าต้องการทำภาระกิจที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น ตอนนี้ตนอยู่เมืองนอกก็มีความสุขดี ไม่มีความเครียดอะไร มีคนหาว่าตนไปทำคลีโม แต่หน้าตนตอนนี้ใสมาก

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ชะตากรรม ส.ส.

ประเทศไทย(ก็)ของผม
ศร อัจฉรา
สภาพของบรรดา ส.ส.ในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะโคตรยุ่งสไตล์รัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วยแล้วไม่รู้ตัวเลยว่าชะตากรรมจะออกหัวหรือออกก้อยวันนี้เป็น ส.ส.อยู่ดีๆ พรุ่งนี้จะยังคงเป็น ส.ส.อยู่หรือไม่???...วุ่นวายตายชักจะหวังพึ่งหัวหน้ารัฐบาล ตอนนี้ลำพังแค่ตั้ง ผบ.ตร.ยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอด ข่าวลือ ข่าวลวง ถี่ยิบไปหมดคนนั้นก็มีข้อมูลพิเศษที่ไม่อาจเปิดเผยได้ คนโน้นก็มีข้อมูลลับเฉพาะเปิดเผยไม่ได้เช่นกันเจอแต่เรื่องลับๆ แม้ว่าจะไม่มีของลับๆ อะไรเข้ามายุ่งเกี่ยว

แต่แค่นี้ก็วุ่นวายไม่เลิกแล้วแล้วจะมีเวลามาดูแล ส.ส. ได้อย่างไรยิ่งเจอมือตรวจสอบระดับพระกาฬอย่าง ส.ว.เรืองไกรลีกิจวัฒนะ เจ้าของฉายา “จอมสอย” ด้วยแล้ว ไม่หนาวกระดูกสันหลังยะเยือกไปถึงก้นกบก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วคนอะไรขยันทำการบ้านเสียเหลือเกินส.ส. หรือแม้กระทั่ง ส.ว.ทั้งหลาย ถือหุ้นอยู่ดีๆ ก็เข้าไปตรวจสอบเสียอย่างนั้น แน่นอนในแง่ของคนตรวจสอบก็ใช่แหละ…นี่คือการสร้างบรรทัดฐานแต่ในแง่ของคนที่ถือหุ้นนี่สิ หงุดหงิดหัวใจชนิดคันยิบๆ ชะมัดซึ่งทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อินเทรนด์กับกระแส วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 หรือที่เวลาเขียนย่อๆ ว่า 090909บรรดาคนท้องทั่วโลก

อยากจะคลอดลูกกันวันนี้จำนวนมาก ขนาดท้องแค่ 7 เดือนเศษ ยังไปถามหมอว่าหนูจะคลอดวันที่ 090909 ได้หรือไม่...เล่นเอาหมอมึนไปตามๆ กันกับกระแสฮิตแต่ กกต.นี่สิ คนอื่นเค้าจ้องจะคลอดกัน กลับดันจ้องจะเชือดเพราะ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ออกมาเปรยแล้วว่า การประชุม กกต. วันที่ 9 ก.ย.นี้ จะสามารถลงมติกรณี 44 ส.ส. ถือครองหุ้นที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญได้เพราะข้อมูลที่คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ส่งมาให้ครบถ้วนแล้ว

มีการแยกประเภทของหุ้นในส่วนที่อนุกรรมการฯ มีความเห็นไม่ตรงกับ กกต. มาให้ตามที่ กกต. เสนอแนะไปแล้วด้วยและที่สำคัญ ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาในข้อกฎหมายแล้วฉะนั้นแจ้งเกิด อ้อ! ไม่ใช่สิ แจ้งดับกันได้เลยว่า 090909 ใครบ้างที่จะรอด ใครบ้างที่จะหลุดแต่ที่ไม่ได้รอฤกษ์ยามใดๆ เลย ก็เห็นจะเป็น 4 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยโรงเรียนชุมชนพอเพียง เสร็จมะก้องด้องไปแล้วเพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

อ้างเร่งด่วน จึงมีความจำเป็นต้องเรียกประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคต้องการทำเรื่องปัญหาทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงให้ชัดเจนเนื่องจากสุดท้ายแล้วพบว่า มีสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์บางคนเข้าไปเกี่ยวข้องจริงๆเล่นเอานึกว่าพรรคจะกล้าฟันรายใหญ่หรือขาใหญ่จริงๆ หรือนี่แต่สุดท้ายเป็นเพียงแค่ระดับ ส.ข. และผู้ช่วย ส.ข. จำนวน 4 คน ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจึงมีมติขับออกจากพรรคที่สำคัญ ยืนยันว่าไม่ได้

เป็นการตัดตอนเพื่อไม่ให้สาวถึงต้นตอที่แท้จริงอย่างใดทั้งสิ้นขนาดระดับเด็กๆ ยังทำได้ขนาดนี้ นี่ถ้าหากระดับที่โตๆ กันขึ้นมา นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไรกันได้แค่ไหน???เมื่อยืนยันว่าไม่ได้ตัดตอนก็ว่าไปตามสบายเถอะ แต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกันนะเพราะอย่างที่บอกว่าทุกวันนี้อยู่กันอย่างวัดดวงแล้วจริง ...เอาน่าเดี๋ยวยุบสภา ก็จะมีคนตกงานไปอยู่เป็นเพื่อนอีกเพียบเลย ■

จุดยืนและย่างก้าวต่อไป

โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
ปีที่ 1 ฉบับที่ 135 กันยายน 2552

มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่น คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง

หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง

แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติเราอยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่นมากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ

เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคองระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็นนานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง

และมีขีดความสามารถสูงพอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหารโดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง

บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่นคำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้แต่รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผลต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน

๑. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
๒. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด ไม่ใช่ ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
๓. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
๔. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
๕. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง

ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่าสังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง ๕ ข้อนี้หรือไม่ทั้งหมดนี้คือความละเอียดอ่อน

ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้ชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม
แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานในราชอาณาจักรนั้น ถือว่าเปล่าประโยชน์เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง

เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจของประชาชนหรือไม่เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง ๕ ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์หลายท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน

แล้วทุกอย่างจะพลิกผันมาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติผมต้องขอประทานโทษ-ผมไม่เชื่อสังคมไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วมในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่

และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษาอำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้นรัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕

จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยถ้าเราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืน

ประชาธิปไตยให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจเปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ต้นแล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย

ไม่ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชนเพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อเป้าหมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลง

การปกครอง ร.ศ. ๑๓๐ และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้ ความใหม่ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความหมายแล้วครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง

โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้กว่าสามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง

แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือที่สุดแล้วคืออะไร?จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว สู้โดยสติปัญญาความสามารถโดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลกก้าวย่างคือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน

เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลักขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.
-------------------------------