--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

"ลับ ลวง พราง"ฉบับแม้ว

วันอังคาร ที่ 08 กันยายน 2552 เวลา 6:55 น
ลองมีการจัดอันดับเรื่องการใช้สื่อเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง ผมเชื่อว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” คงจะอยู่ในอันดับต้นๆ แน่เลยครับ ลองคิดดูขนาดมีสื่อของแกนนำ นปช. ทั้งทีวีดาวเทียม สื่อสิ่งพิมพ์ประเภทต่าง ๆ ช่วยชูภาพว่าเป็น “นักประชาธิปไตย” แทนที่จะทำให้คนเชื่อว่าเป็นผู้ต้องหาหนีคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วันดีคืนดียังสามารถใช้สื่อของรัฐ ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของตนเองให้ทุกคนเห็นว่า เป็นนักประนีประนอม และพร้อมจะเจรจากับทุกคนเพื่อสร้างความสมานฉันท์และความปรองดอง เห็น อย่างนี้แล้วไม่รู้ว่า “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะคิดอย่างไร

ในขณะที่ตนเองเป็นถึงผู้นำรัฐบาล แค่ขอใช้สถานีของรัฐจัดรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์” ยังเจอสัญญาณติด ๆ ขัด ๆ แต่อดีตนายกฯขวัญใจของ “คุณจอม เพชรประดับ” เสียงชัดแจ๋ว ไม่มีคลื่นแทรกเลยครับ เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่างานนี้จะเกี่ยวข้องกับ “งานรับน้องใหม่” ผู้บริหาร อสมท ซึ่งเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งได้เพียงไม่กี่วัน เพราะคลื่นวิทยุที่นายใหญ่ใช้ออกอากาศขึ้นตรงกับ อสมท โดยตรง

มีประเด็นนี้ขึ้นมา ผมก็เลยคิดว่าหรือนี่จะเป็นแผนของ “มือวางแผน” บางคนที่เดินเกมอย่างลึกซึ้ง เรียกว่า “ยิงปืนนัดเดียว” ได้นกหลายตัว

ข้อแรกถ้า “นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลสื่อของรัฐ แบนรายการ “ดิเอ็กซ์คลูซีฟ” ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 100.5 หรือมีบทลงโทษกับผู้บริหารของสถานีวิทยุ ก็จะถูกวิจารณ์ว่าแทรกแซงสื่อทันที และจะเป็นประเด็นที่แกนนำ นปช. นำไปขยายผลในการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.

ข้อสอง สร้างภาพให้คนทั่วไปได้เห็นว่า คนชื่อ “ทักษิณ” พร้อมเจรจากับทุกฝ่าย โดยหวังสร้างความปรองดองให้กับบ้านเมือง หลังจากเคยจัดรายการวิทยุในสื่อของตนเอง แต่ไม่ค่อยได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน จึงอาศัยสื่อของรัฐ มาช่วยโปรโมตภาพลักษณ์ของตนเอง

ข้อสาม บิ๊กบอสคนใหม่ของ อสมท อาจไม่ได้รับความไว้วางใจหรือผ่านความเห็นชอบ จากการประเมินผลงานของบอร์ด อสมท อย่าลืมว่าการบ้านข้อใหญ่ของนายใหม่ซึ่งดูแลสื่อของรัฐ คือ การพิจารณาเรื่องต่อสัญญาสัมปทานของช่อง 3 ซึ่งเป็นผลประโยชน์ก้อนใหญ่ที่รัฐต้องพึงได้ และมีข่าวว่ารัฐบาลพยายามจะหาทาง เก็บผลประโยชน์จากการเช่าสัมปทานให้มากขึ้นกว่าเดิม

หรือกรณีมีอดีตผู้บริหารของ อสมท ไปยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ “บริษัทไร่ส้ม” ซึ่งเคยทำสัญญาเช่าเวลากับสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ในยุคที่ “นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” คุมองค์กรสื่อซึ่งเคยเรียกว่า “แดนสนธยา” โดยได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ถ้าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสื่อของรัฐก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เอาละครับผมขอตั้งคำถามกับอดีตนายกฯว่า ถ้าหากมีความจริงใจกับบ้านเมืองและต้องการสร้างความสมานฉันท์ทำไมในช่วงที่ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” แกน นปช. ออกมาแถลงข่าวจาบจ้วง “นายอำพล เสนาณรงค์” องคมนตรี อย่างสาดเสียเทเสียหลังจากออกมาปาฐกถาพาดพิงถึงอดีตผู้นำบางคน ทำไม พ.ต.ท. ทักษิณ ถึงไม่ออกมาติเตียน หรือแสดงท่าทีว่าไม่เห็นด้วย หรือเป็น “แผนลับ ลวง พราง” ฉบับแม้ว เพื่อตัดตอนไม่ให้ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้องแผนป่วนบ้านป่วนเมืองของแกนนำ นปช. ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า."

เขื่อนขันธ์

อย่าเลอะเทอะกับคลิปเสียง

ที่มา บางกอกทูเดย์
ผมไม่ให้ความสำคัญกับคลิปเสียง “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”นายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ต้น จึงไม่เขียนเรื่องนี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพราะผมรู้ว่า “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่โง่ที่จะพูดอย่างที่ได้ยินในคลิปเสียงหลังจากที่ผมฟังคลิปรอบที่สาม...

ผมมั่นใจทันทีว่าเป็นการตัดต่อเสียงเพื่อทำลายชื่อเสียงนายกรัฐมนตรีซึ่งผมถือว่าไม่เป็นธรรมกับเขาและผมคิดว่าเรื่องนี้น่าจะยุติไปแล้ว...แต่เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ได้มีการเอาเข้ามาตั้งกระทู้สดในสภาฯแล้วสิ่งที่เกิดในสภาฯ ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ คือ การโต้ฝีปากไปมาระหว่าง ส.ส.ฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาลอย่างดุเดือดโดย

เฉพาะฝีปากนายกรัฐมนตรี “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ที่เปรียบใครก็ไม่รู้เป็นสัตว์สี่เท้าชนิดหนึ่ง ทำให้ภาพพจน์สภาฯ ที่ตกต่ำอยู่แล้ว ตกต่ำหนักลงไปอีกแล้วจะให้ประชาชนทั่วไปศรัทธาระบอบประชาธิปไตยระบอบที่ฝ่ายอมาตย์และเผด็จการตั้งป้อมทำลายด้วยวิธีการต่างๆมานานได้อย่างไรปกติผมก็เชียร์พวกท่าน “ฝ่ายค้าน” อยู่แล้ว...เนื่องจากผมไม่เห็นด้วยกับการปล้นอำนาจมาของ

รัฐบาลชุดนี้ และไม่ชอบการทำงานแบบเด็กๆ อีกหลายเรื่องที่ท่านสามารถนำมาพูดได้แบบที่ “คุณอนุดิษฐ์ นาครทรรพ” ส.ส.ดอนเมือง กำลังทำอยู่นั่นแหละ!เพราะยังมีเรื่องที่คนในรัฐบาลนี้ทำอย่าง ตะกละตะกลามด้วยความหิวโหยมานานอีกตั้งหลายเรื่องที่ฝ่ายค้านควรขุดคุ้ยโดยเฉพาะ “พี่เหลิม” ที่ทำผลงานดีๆ ฝากไว้กับสภาฯก็มีให้จดจำตั้งหลายเรื่องเรื่องที่ฝ่ายค้านน่าเตือนอีกเรื่อง...

ก็คือการรับมือกับการลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรเหลือ 0% จำนวน 23 รายการ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ตามข้อตกลงอาฟต้าที่รัฐบาล“พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์” ไปลงนามมาซึ่งขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณที่ชี้ว่า...รัฐบาลนี้มีการเตรียมการรับมือทั้งที่เหลือเวลาแค่ 4 เดือนเท่านั้นเกษตรกรที่จะต้องรับเคราะห์หนัก คือ “ชาวสวนปาล์ม”โดยเฉพาะทางใต้ฐานเสียงพรรคประชาธิปัตย์เอง ที่จะสู้ราคาปาล์มจากมาเลเซียไม่ได้และที่สำคัญ คือ...

เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ ชาวนาที่ราคาข้าวปัจจุบันต่ำมากอยู่แล้ว จะตกต่ำลงไปอีกเพราะจะมีข้าวราคาถูกกว่าข้าวไทยกว่าครึ่งจากพม่า ลาวและเวียดนาม แย่งตลาดส่งออกข้าวของไทยเรา และอาจถึงกับเข้ามาตีตลาดข้าวในประเทศหรือว่าคนไทย เมืองไทย เมืองอู่ข้าว อู่น้ำ อุดมสมบูรณ์ปลูกข้าวกินเอง และเหลือส่งออกอีกครึ่งหนึ่ง ต้องกินข้าวพม่า ลาว เวียดนามกันแล้วอนิจจา...เศร้ามั้ยล่ะครับเรื่องอย่างนี้สมควรที่ฝ่ายค้านจะหยิบยกมาเตือนเป็นอย่างยิ่งซึ่งผมได้แต่ฝากความหวังและบทความนี้ผ่านไปถึงส่วนรัฐบาล ผมไม่หวังพึ่งอะไรเขาอยู่แล้วครับ! ■

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

การเลือกตั้งเส้นทางประชาธิปไตยที่คนเสื้อแดงต้องเลือกเดิน(อีกครั้ง)

ไม่ว่าจะมองในทางไหน หรือในแง่มุมใด รัฐบาลเทพประทาน มาร์ค ม. 7 ก็ดูท่าจะไปไม่รอด ต่อให้เป็นรัฐบาลเทพอุ้มสม หรือรัฐบาลเทพประทานขนาดไหนก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นและรุมเร้ารัฐบาลขณะนี้มัน ยากลำบากรุนแรง

และปมเงื่อนมันสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ไขให้จบสิ้นได้ในเร็ววัน... ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรในการเพิ่มรายได้ นอกจากอาศัยเงินกู้ และออกพันธบัตรให้ประชาชนกินดอกเบี้ย ซึ่งที่จริงก็คือเงินของภาษีของตัวเองน่ะิแหละ....ปัญหาความขัดแย้งทางการ เมืองที่นับวันแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ....

ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศ เพื่อนบ้านที่มีปัญหากับเขาไปทั่ว.... ปัญหาสาธารณสุขโรคไข้หวัด 2009 ที่กำลังกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลที่ล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านการ ป้องกัน... เพราะครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนโดยตรงการ เปิดแนวรบเข้าโจมตีกองกำลังและฐานอำนาจของเผด็จการอมาตย์ในหลายๆ แนวรบ

ไม่ว่าจะเป็นการโฟนอินเรื่่องการแก้ไขเศรษฐกิจชาติของท่านนายกทักษิณ...การ เข้าชื่อถวายฎีกาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ท่านนายกทักษิณ.... หรือแม้กระทั่งแรงกดดันให้มีการดำเนินคดีข้อหาผู้ก่อการร้ายสากลแ่ก่น ายกษิต ภิรมย์ และกลุ่มแกนนำพันธมิตร...

เหล่านี้ล้วนส่งผลร้ายจนถึงขั้นพลังอำนาจของเผด็จ การอมาตย์ที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมสั่นคลอนลงอย่างเห็นได้ชัดรัฐ บาลมาร์ค ม. 7 ก็มิได้เป็นรัฐบาลที่เข็มแข็งอะไร เพราะลำพังเสียงในสภาของพรรค ประชาธิปัตย์เอง ก็มีเพียง 164 คนเท่านั้น

ถ้าไม่ได้เสียงสนับสนุนจากพรรคงูเห่าของภูมิใจไทยก็ล่มอย่างแน่นอน... และข้อเท็จจริงก็คือ ส.ส. ปัจจุบันในพรรคภูมิใจไทยก็เคยเป็นอดีต ส.ส. ในพรรคพลังประชาชนมาก่อนทั้งสิ้น แม้ว่าปัจจุบันจะกลายเป็น ส.ส. งูเห่าแตกแยกกันไปกับพรรคเพื่อไทย แต่ถึงอย่างไรก็เหมือนกับ “คนบ้านเดียวกัน...พี่น้องกันทะเลาะกัน” วันหนึ่งก็อาจจะกลับมาคืนดีกันก็ได้เพราะเคยเป็นน้ำเนื้อเดียวกันมาก่อน ซึ่งไม่เหมือนกับการเข้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคนละน้ำคนเนื้อกัน....

มีการคาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่า รัฐบาลนี้คงมีอายุอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ จากนั้นจะต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ที่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมยุบสภาในขณะนี้ทั้ง ๆ พรก. กู้เงิน800,000 ล้านก็ผ่านไปแล้ว ส่วนสำคัญก็เพราะว่าเหตุการณ์การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษเป็นตัวอย่างทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่า ถ้าเกิดการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือเปล่า....

ซึ่งนี่คือความคิดในมุมมองของรัฐบาลเทพประทาน และพรรคร่วมแต่ใน ส่วนมุมมองของคนเสื้อแดงผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น กลับมีเรื่องที่น่าจะต้องนำมาพิจารณากันอย่างรอบคอบก็คือว่า “ถ้าเกิดการยุบสภาขึ้นในครั้งนี้และมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยควรจะไปร่วมเลือกตั้งด้วยหรือไม่?” ผมมองว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นประเด็นที่พึงนำมาพิจารณาเพื่อวางแผน ยุทธศาสตร์กันอย่างเร่งรีบมิใช่น้อย....

ก่อนจะมีการเลือกตั้งซ่อม ที่จัุงหวัดสกลนคร อาจารย์ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้เป็นผู้จุดประเด็นเรื่องการ Vote No ในการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่า “การเลือกตั้งในระบอบเผด็จการนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลก็จะยังคงถูกอำนาจเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญทำลาย อยู่ดี (ดังที่มีตัวอย่างมาแล้ว 2 รัฐบาล)

ดังนั้นการใช้เวทีเลือกตั้งลงประชามติให้ประชาชนแสดงความเห็นถึงพิษภัยและ อำนาจเผด็จการด้วยการ Vote No คือการปฏิเสธการเลือกตั้งในระบบเผด็จการนี้ จึงเป็นหนทางออกที่ดีที่สุดเพื่อส่งสัญญาณให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาิ ติ” การจุดประเด็นในครั้งนั้นเป็นข้อถกเถียงที่ ฮือฮากันมาก

จนทำให้คนเสื้อแดงเกือบจะแตกทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ในที่สุด อาจารย์ชูพงศ์ ก็ยอมถอยด้วยการขอถอนความคิดนี้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาโดยให้เหตุผล ว่า คนเสื้อแดงก็เหมือนคนที่กำลังเดินทางไปบนถนนเส้นเดียวกัน

บางคนอาจจะแวะที่สระบุรี บางคนอาจจะแวะที่พิษณุโลก บางคนอาจจะมีเป้าหมายไปที่เชียงใหม่ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใดเพราะทุกคนอยู่บนถนนเส้นทางเดียวกัน จากนั้นก็หันมาให้การสนับสนุนผู้สมัครพรรคเพื่อไทยแทน และเมื่อคนเสื้อแดงรวมพลังกันได้ในที่สุดก็ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยก็ ชนะถล่มทลาย ทั้งที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษ...

นั่นคือการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาแต่ในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึง ในอนาคตอันใกล้นี้ต่างหากที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง... เวลานี้ประชาชนไทยโดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่ตามต่างจังหวัดเริ่มมีความเข้าใจ ถึงอำนาจมืดของเผด็จการอมาตย์ที่ได้ครอบคลุึมประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านาน แล้ว พี่น้องเหล่านั้นต้องการต่อสู้ให้ประเทศนี้มีความเป็นประชาธิปไตยและ ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่เกิด 2 มาตรฐานขึ้นในการบังคับใช้กฎหมาย

พี่น้องเหล่านั้นเริ่มมองเห็นแล้วว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบที่จะนำไปสู่การได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการต่ออายุให้อำนาจเผด็จการเสียด้วยซ้ำ... คุณ จักรภพ เพ็ญแข ได้มีโอกาสสนทนาเข้ามาทางรายการวิทยุก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการไม่ใช่หนทางนำประชาธิปไตยมาสู่ชาติ” และมีหลาย ๆ กระแสเริ่มออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน...

เป็น ความจริงอย่างยิ่งว่า พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ คนต่างก็ต้องการให้ประเทศนี้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยขอให้เพียงให้บอก มาแระกันว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ยินดีทำตามทั้งสิ้น จะเห็นได้จากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร, ศรีสะเกษ การรวบรวมรายชื่อถวายฎีิกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ท่่านนายกทักษิณ (ซึ่งขณะนี้มีมากกว่าล้านคนแล้ว)

ด้วยเหตุนี้การกำหนดยุทธศาสตร์ล่วงหน้าเพื่อนำมาพิจารณาว่า “ถ้าิเกิดยุบสภาเพื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ ประชาชนไทยจะได้อะไรจากการเลือกตั้ง... ควรหรือไม่ที่พี่น้องผู้ต้องการประชาธิปไตยจะ Vote No เพื่อปฏิเ้สธการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการนี้” เรื่องนี้เป็น เรื่องที่สำคัญไม่น้อยในการพิจารณาเพื่อวางแผนกำหนดการต่อสู้กับอำนาจเผด็จ การให้เป็นไปตามเป้าหมายประชาิธิปไตย...

ถ้าเกิดการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ แล้วพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง...ต่อมา กกต. ก็แจกใบแดงให้กับผู้สมัครผู้ได้รับการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย จนเหลือจำนวนไม่ถึงครึ่ง...

และเมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้วแม้พรรคเพื่อไทยได้รับ เสียงข้างมากแต่ก็ไม่สามารถสั่งการใครได้โดยเฉพาะกองทัพ...จากนั้นไม่นานก็ ถูกตุลาการพิจารณาพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพ ถูกยุึบพรรค หรือไม่ก็ถูกบีบจากอำนาจภายนอกให้บริหารราชการไม่ได้... ประชาชนก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจเผด็จการมืดต่อไป พวกที่ประท้วงเรียกร้องก็เรียกร้องไป

พวกที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนก็หน้าด้านทำต่อไปโดยไม่สนใจอะไร..... “แล้วพี่น้องคนไทยจะได้รับอะไรจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้” เราจะได้ประชาธิปไตยหรือเปล่า ? การต่อสู้ที่สูญเสียแม้กระทั่งเลือดเนื้อชีวิตจะสูญเปล่าหรือเปล่า ? ถึง เวลาการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย กับเผด็จการอมาตย์แล้ว ถ้าประเทศนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยประชาชนก็จะต้องถูกกดขี่ และถูกสูบเลือดสูบเนื้อจนแห้งตาย....

สมรภูมิที่สำคัญมากชี้เป็นชี้ตายซึ่งกำลังจะมาถึงอันใกล้นี้ก็คือ “การเลือกตั้งใหญ่” ที่จะเกิดขึ้นนี้ เพราะเมื่อเผด็จการอมาตย์กำลังจะสูญสิ้นอำนาจพวกเขาก็จะยุบสภาโดยไม่แก้ไข รัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 และยังคงอำนาจเผด็จการอมาตย์เอาไว้...เมื่อถึงเวลานั้นพี่น้องผู้รัก ประชาธิปไตยทุกท่านคงจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการนั้นให้ประโยชน์ใดแก่ประชาชนในประเทศ ชาติบ้าง”
และการเลือกตั้งใหญ่จะทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ประชาธิปไตยตามที่ เรียกร้องจริงหรือ?

ปูนนก

เทพชัย "ทีวีไทย"แหยงรีบแจงทำสกู๊ปทักษิณเจาะเหมืองเพชร


ไทยรัฐ : “เทพชัย หย่อง” รีบชี้แจง ไทยพีบีเอส เจาะสกู๊ปเหมืองเพชร “ทักษิณ” หวังให้รับรู้รายได้อุตสาหกรรมเพชรส่วนใหญ่นำไปทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ยอมรับ อาจตกเป็เครื่องมือแม้ว …
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (7 ก.ย.) ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา เพื่อรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2551 ขององค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) โดยสมาชิกวุฒิสภาได้แสดงความคิดเห็นกันอย่างหลากหลายทั้งตำหนิการนำเสนอรายการต่างๆ ของ สถานีไทยพีบีเอส และ การชมเชย

นางสุกัญญา สุดบรรทัด ส.ว.สรรหา อดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวท้วงติงการนำเสนอข่าวว่า ตามหลักการของ ส.ส.ท.จะต้องมีเนื้อหาที่เป็นกลาง แต่เมื่อดูจากการประเมินผลการดำเนินการของทีวีไทยแล้วพบว่า คณะกรรมการฯที่ตั้งขึ้นมาเพื่อประเมินผล ได้ระบุถึงความไม่เป็นกลางในการนำเสนอข่าวของทีวีไทยด้วย จึงรู้สึกเป็นห่วงว่าการที่สถานีโทรทัศน์นำเสนอข่าวสารที่มีเนื้อหาสาระไม่เป็นกลาง จะยิ่งก่อให้เกิดผลการปลุกเร้าสังคมไทยที่ขณะนี้มีความแบ่งฝ่ายอยู่แล้ว ทำให้สถานการณ์หนักขึ้นไปอีก จึงฝากไปถึงผู้บริหารทีวีไทยว่าจะทำอย่างไรจึงจะสร้างกระแสปลุกเร้าในเชิงเหตุผล และทำอย่างไรให้การนำเสนอข่าวและการทำหน้าที่ของทีวีไทยมีความเที่ยงตรง เป็นกลางให้มากที่สุด

ด้าน นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า เนื้อหาของรายการมีความหลากหลายและให้สาระแก่ผู้ชม ดีกว่าครั้งเมื่อเป็นสถานีโทรทัศน์ไอทีวี ที่มีแต่เนื้อหาข่าวที่อาจสร้างความสับสนให้กับประชาชน
ขณะที่นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า หลายรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้ เสนอเนื้อหาที่ไม่สมควร อาทิ รายการ “ที่นี่ทีวีไทย”ที่พาไปค้นหาเหมืองเพชรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวอ้าง เท่ากับเป็นการสนับสนุน และทำให้ประชาชนเชื่อ และตกเป็นเครื่องมือของอดีตนายกฯ ที่ต้องการใช้สื่อสารมวลชนปลุกระดมให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด

น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. กล่าวว่า ตนสนับนุนให้เสนอข่าวสารที่ถูกกล่าวหาทางการเมือง เสนอให้ประชาชนได้รับทราบในทุกๆด้าน แต่ไม่ควรนำคู่กรณีที่ขัดแย้งกันอย่างรุนแรงมานั่งในรายการเพื่อให้ตอบโต้กัน รวมทั้งไม่ควรเสนอข่าวผลสำรวจของโพลต่างๆที่มักจะแฝงด้วยผลประโยชน์ทางการเมืองและมีการชี้นำสังคม

จากนั้น นายเกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ประธานคณะกรรมการนโยบายองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ชี้แจง ว่า การทำงานให้สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง เป็นทีวีเพื่อสาธารณะนั้นไม่ใช่ของง่าย หากเริ่มต้นรับบุคลากรใหม่เลยทั้งหมด ตนคิดว่าคงดีกว่านี้ แต่เมื่อต้องรับบุคลากรจากที่เคยทำโทรทัศน์ เพื่อธุรกิจหลายร้อยคนมาปรับเปลี่ยนการทำงานให้เป็นทีวีเพื่อสาธารณะ จึงเป็นเรื่องยากที่จะทำทุกอย่างได้ตามที่ฝ่ายนโยบายตั้งเป้าหมายไว้ และยอมรับว่าตลอดชีวิตการทำงานของตนไม่เคยทุกข์ใจเท่ากับมาบริหารงานที่สถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ทั้งนี้สามารถทำได้เพียงนโยบาย แต่ภาคปฏิบัติต้องบังคับบัญชาให้ผู้ปฏิบัติทำงานตามที่ฝ่ายนโยบายวางไว้ให้ได้ ขอย้ำว่า พวกตนทำงานด้วยความเป็นอิสระอย่างมาก หากถูกแทรกแซง หรือกดดันจากฝ่ายใด ก็คงจะไม่อยู่ทำงานด้วยแน่

นายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการส.ส.ท. ชี้แจงว่า กรณีการตัดสินใจทำสกู๊ปเจาะประเด็นการทำธุรกิจเหมืองเพชรนั้น เป็นเพราะตนได้คุยกับฝ่ายข่าวแล้ว เห็นว่าน่าจะทำเรื่องนี้ เพราะจะทำให้ประชาชนได้รับทราบถึงอุตสาหกรรมเพชร ที่เพชรทุกเม็ดของแอฟริกาล้วนมาจากเลือดเนื้อของชาวแอฟริกัน ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่จากเหมืองเพชรจะถูกนำไปใช้ในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในแอฟริกาเอง จึงอยากให้ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความรุนแรงในแอฟริกาหรือไม่ ส่วนการปล่อยเสียงของอดีตนายกรัฐมนตรียาวมากนั้น เป็นเพราะจำเป็นต้องเปิดรับฟังความเห็นรอบด้าน แต่ก็ยอมรับว่าอาจตกเป็นเครื่องมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เหมือนกัน

คนดีกับระบบที่ดี

คนดีกับระบบที่ดี
สุรพศ ทวีศักดิ์
ปัญหาที่ว่าคนดีคือคนเช่นไร? และความดีคืออะไร? เป็นปัญหาเก่าแก่ ทฤษฎีจริยศาสตร์ตะวันตกดูเหมือนจะอธิบายเรื่องนี้ในสองมุมมองหลักๆคือ

ทฤษฎีคุณธรรม (virtue theory) อธิบายว่าการจะตัดสินว่าใครคือคนดีต้องพิจารณาจาก “ตัวผู้กระทำ” (ไม่ใช่ดูการกระทำในบริบทสถานการณ์เฉพาะหนึ่งๆ) ว่าเขามีคุณลักษณะ (character) หรืออุปนิสัย (habit) ที่ประกอบด้วยคุณธรรมอะไร (เช่น ปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ฯลฯ)

ดังนั้น คนดีจึงหมายถึงคนที่ฝึกฝนตนเองให้มีคุณธรรม เช่น มีปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม เป็นต้น จนเป็นคุณลักษณะนิสัยประจำตัว ดังที่ อริสโตเติล กล่าวว่า “คุณธรรมไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นได้ด้วยการฝึกฝนจนเป็นอุปนิสัยประจำตัว”

คุณธรรมอันเป็นอุปนิสัยประจำตัวของแต่ละบุคคลนั่นเอง คือสิ่งที่โน้มน้าวหรือชี้นำ/กำกับให้เขากระทำสิ่งที่ถูกต้องต่างๆ เช่น คนที่มีความยุติธรรมเป็นอุปนิสัยย่อมทำให้เขากระทำการต่างๆอย่างยุติธรรมในบริบทของสถานการณ์ที่ต้องการความยุติธรรมซึ่งเขาเกี่ยวข้อง ดังนั้น คุณลักษณะนิสัยที่มีคุณธรรมของบุคคลจึงเป็นหลักประกันความคงเส้นคงวาของการกระทำที่ถูกต้องทางจริยธรรม

ทฤษฎีคุณธรรมเน้นที่ “ตัวบุคคล” (moral agent) โดยยึด “คนดี” ในอุดมคติ (ideal person) เป็นแบบอย่างหรือเป็นแรงบันดาลใจให้เราฝึกฝนตนเองให้เป็นคนดีมีคุณธรรม เช่น โสเครตีส เป็นแบบอย่างของบุคคลผู้มีความกล้าหาญทางจริยธรรม พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของผู้อุทิศตนเพื่อมนุษยชาติด้วยความรัก มหาตมะ คานธี เป็นแบบอย่างของบุคคลที่สมถะเรียบง่าย เมตตา อหิงสา ยึดมั่นในสันติวิธี ฯลฯ

จุแด่นของทฤษฎีนี้คือ ถือว่าคุณธรรมเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝนหรือปฏิบัติจนเป็นคุณลักษณะนิสัยประจำตัวซึ่งจะส่งผลให้บุคคลมีคุณธรรมที่มั่นคง แต่จุดอ่อนก็คือการเน้นที่ตัวบุคคลอาจทำให้สังคมฝากความหวังไว้กับ “คนดี” หรือ “คนมีคุณธรรม” (virtuous person) ซึ่งอาจแสดงออกโดยการเรียกร้องหรือรอคอยบุคคลเช่นนั้นมาเป็นผู้นำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง หรือบางครั้งสังคมก็แสดงอาการเสมือนว่าสิ้นหวังเพราะขาดคนดีอย่างที่พูดกันว่า “สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้”

ส่วนอีกทฤษฎีหนึ่งคือทฤษฎีหน้าที่ (duty theory) ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวผู้กระทำว่าเขาจะมีลักษณะนิสัยหรือเป็นคนเช่นไร แต่สนใจการกระทำของเขาในสถานการณ์หนึ่งๆว่าเขากระทำตามกฎ (rule) หรือหลักการ (principle) อะไร เช่น เขาพูดความจริงบนหลักการของการยึดผลประโยชน์ส่วนตัว หรือยึดผลประโยชน์ส่วนรวม หรือยึดถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องเคารพตนเองและสิทธิที่จะรับรู้ความจริงของมนุษย์ทุกคน

กฎหรือหลักการที่ถูกต้องตามทฤษฎีดังกล่าวนี้ หมายถึงกฎที่เป็น “หลักการสากล” ที่มนุษยชาติสามารถยึดถือปฏิบัติร่วมกันได้ ไม่ว่าจะแตกต่างกันโดยภูมิหลังทางสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ อุดมการณ์ ศาสนา ชาติพันธุ์ เพศ ผิว ฯลฯ กล่าวอย่างรวมๆก็คือหลักจริยธรรมสากล (universal ethic) ที่วางอยู่บนพื้นฐานของการปกป้องสิทธิ เสรีภาพ ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์นั่นเอง

ตามทฤษฎีหน้าที่ กฎเกณฑ์ หลักการ หรือ “ระบบที่ดี” สำคัญกว่า “คนดี” ซึ่งกฎเกณฑ์ หลักการ หรือระบบที่ดีนั้น ไม่ได้มาจากแบบอย่างหรือคำสอนของ “บุคคลในอุดมคติ” หากแต่มาจากสามัญมนุษย์ทุกคนที่มีธรรมชาติแห่งเหตุผล (rational being) และสามารถใช้เหตุผลกำหนดกฎเกณฑ์ หลักการ หรือระบบดังกล่าวนั้นร่วมกัน

ข้อสังเกตคือ พื้นฐานความเชื่อทางศีลธรรมของสังคมไทยนั้น มาจากพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งความเชื่อของพุทธศาสนาแบบไทยๆนั้นดูเหมือนจะสอดคล้องกับทฤษฎีคุณธรรม ที่ถือว่าคุณธรรมเกิดจากการฝึกฝนจนเป็นนิสัย มีบุคคลในอุดมคติที่เป็นแบบอย่างทางคุณธรรมคือพระพุทธเจ้า และพระอริยสงฆ์

ในทางการเมืองชาวพุทธไทยก็เรียกร้องผู้ปกครองที่ดีหรือที่มีทศพิธราชธรรม และสังคมในอุดมคติของชาวพุทธก็คือ สังคมที่มีผู้มีบุญบารมีมาโปรดเช่นสังคมยูโทเปียในโลก “ยุคพระศรีอาริย์” เป็นต้น

ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าพุทธศาสนาแบบไทยหรือความเชื่อทางพุทธศาสนาที่ปลูกฝังกันมาในสังคมไทยที่ค่อนไปทางการยึดติดหรือฝากความหวังไว้กับ “คนดี” นั้นสอดคล้องกับพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมมากน้อยเพียงใด เพราะหากพิจารณาจากวิธีคิดของพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม พระพุทธองค์ถือว่า “ธรรม” มีสถานะเหนือตัวบุคคล แม้แต่พระพุทธองค์เองยังเคารพธรรม ก่อนปรินิพพานก็ไม่ได้แต่งตั้งให้ใครเป็นศาสดาของพุทธบริษัทแทน แต่ให้ “ธรรมและวินัย” เป็นศาสดาของชาวพุทธ

โดยเฉพาะหลักการวินิจฉัยความจริง ความถูกต้องในกาลามสูตร พระพุทธองค์กลับปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงที่จะให้เราฝากความหวังไว้กับ “ตัวบุคคล” แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นครูหรือศาสดาของเราก็ตาม พระพุทธองค์นิยามตนเองเป็นเพียง “กัลยาณมิตร” ผู้ชี้แนะ ส่วนใครจะเชื่อ หรือจะทำตามหรือไม่เป็นเสรีภาพของแต่ละบุคคล

ความขัดแย้งทางการเมืองของบ้านเราที่ถูกปลุกเร้าด้วยวาทกรรมว่าด้วยความดี/เลวของ “ตัวบุคคล” จนนำไปสู่การเลือกข้างเลือก “สี” ดังที่เป็นมานี้ นอกจากจะไม่ชัดเจนว่าความขัดแย้งดังกล่าวจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงเชิงระบบอย่างไรแล้ว ยังสะท้อนปัญหาของการยึดติดในตัวบุคคล ความคลุมเครือในมโนทัศน์ (concept) เกี่ยวกับ “คนดี – ความดี” ในบริบทสังคมประชาธิปไตย

อันที่จริงในอารยะประเทศ (เช่น สหรัฐอเมริกา) แม้เขาจะเน้นการสร้างระบบที่ดี แต่เราก็พบเสมอว่าคนที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศล้วนแต่มี character ของ “คนดี” ที่โดดเด่นแตกต่างกันไป โดยเฉพาะ character ด้านสติปัญญา ความกล้าหาญ ความยุติธรรม ความเสียสละ ฯลฯ (ดังประธานาธิบดีบารัค โอบามา ก็มีแนวคิดบางอย่างคล้ายอับราฮัม ลินคอล์น เป็นต้น)

สำหรับบ้านเราผู้นำที่มี character คุณธรรมระดับสากลทั้งด้านสิปริตความเป็นนักประชาธิปไตย สติปัญญา แนวความคิด ความกล้าหาญ ความเสียสละ นอกเหนือจากท่านรัฐบุรุษปรีดี พนมยงค์ แล้ว แทบจะมองไม่เห็นใครอีกเลย

ดังนั้น ทั้งการยึดติดใน “คนดี” และการเรียกร้อง “ระบบที่ดี” โดยละเลยที่จะพูดถึง character ของคนดี ไม่น่าจะเป็นคำตอบสำหรับสังคมการเมืองที่ดีกว่า ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลังจากนี้จำเป็นต้องชัดเจนทั้งการสร้างระบบที่ดีที่เป็นพื้นฐานของความเป็นธรรมทางสังคม และต้องชัดเจนใน character ของคนดีในภาคส่วนต่างๆที่สามารถขับเคลื่อนระบบที่ดีนั้นให้มีผลในทางปฏิบัติได้จริง

แม้วใช้ทวิตเตอร์แฉ รบ. สั่งเก็บเทปจ้อวิทยุ


คมชัดลึก :"ทักษิณ"เปิดใจรายการวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม
อสมท" ระบุพร้อมคุยกับแกนนำรัฐบาล แม้กระทั่งนายกฯอภิสิทธิ์ แต่เชื่อ "อภิสิทธิ์" ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการใดๆได้ "สาทิตย์" เผย "อสมท" ชี้แจงเบื้องต้นแล้ว ยันรัฐบาลไม่ได้ปิดกั้น เพียงแต่ "ทักษิณ" เป็นนักโทษหนีคดี

เช้าววันนี้(6ก.ย.) พ.ท.ต.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เปิดใจในรายการเอ็กคลูซีฟ สถานีวิทยุ 100.5 เอฟเอ็ม อสมท โดยระบุว่า ไม่รู้จะคุยแนวทางแก้ปัญหาบ้านเมืองกับใคร รวมถึงนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็ไม่เคยติดต่อมาแม้แต่ครั้งเดียว อย่างไรก็ตามตนพร้อมคุยกับแกนนำรัฐบาล แม้กระทั่งนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่เชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ ไม่มีอำนาจตัดสินใจหรือสั่งการใดๆได้
"สาทิตย์"รอ"อสมท"ชี้แจงปล่อยทักษิณจ้อวิทยุ

นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้โพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ หลังมีการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณว่า “เช้านี้งานเข้าที่ อสมท ครับ คาดว่าเป็นข่าวแน่ พรุ่งนี้จะมีคำชี้แจง ตอนนี้กำลังตรวจสอบข้อเท็จจริง”

อสมทเรียก"ผช.ผอ."วิทยุแจงปล่อย"ทักษิณ"จ้อ"

สำนักข่าวเนชั่นไอเอ็นเอ็นรายงานว่า นายสมจิต ชินสมบูรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สำนักวิทยุและกิจกรรมพิเศษ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เข้าชี้แจงต่อกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กรณีปล่อยให้พ.ต.ท.ทักษิณ สัมภาษณ์ในรายการเอกครูสีฟ FM 100.5 ซึ่งดำเนินรายการโดย นายจอม เพชรประดับ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดยนายสมจิต กล่าวว่ายังไม่ทราบที่มาที่ไปของเรื่องนี้ แต่ที่ผ่านมาการเชิญแขกเข้ารายการจะไว้วางใจผู้ดำเนินรายการ

ด้านนายจอม ยอมรับว่า เป็นผู้ติดต่อขอสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ มาหลายเดือนแล้วแต่เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ โทรกลับมาตอบรับเมื่อช่วงเช้าก่อนเข้ารายการ ตนจนจึงให้เข้ารายการทันที่ ซึ่งยืนยันว่าตนไม่ได้ตั้งคำถามเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณ

พร้อมกันนี้ ขอชี้แจงว่า ตนได้ทำหน้าที่ของสื่อที่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และรอบด้าน โดยไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายฝ่ายหนึ่ง แต่หากการทำหน้าที่ของตนเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่มองว่าไม่ถูกต้อง ตนก็พร้อมยอมรับ และไม่กลัวว่าจะถูกปลดจากรายการ เพราะชีวิตตนนั้นถูกย้ายมาหลายที่แล้ว ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ก็เคยบอกว่าจะเปิดกว้างเรื่องการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน

นายจอม ยังได้กล่าวว่าในสมัยรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน ตนก็เคยเชิญ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ สมัยเป็นผู้นำฝ่ายค้านสัมภาษณ์ออกทีวีเหมือนกัน

เมื่อเวลา 19.00น.พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ความว่า "ผมให้สัมภาษณ์คุณจอมฯไปเมื่อเช้านี้ได้ข่าวว่าตอนนี้รัฐบาลสั่งสอบกันให้วุ่นส่ังเก็บเทปไม่ให้เผยแพร่ ไหนว่าสื่อมีเสรีภาพ รัฐบาลอย่ากลัวความจริง"

สาทิตย์สั่งสอบอสมทปล่อยทักษิณจ้อ

นายสาทิตย์ เปิดเผยอีกครั้งผ่านทางมติชนออนไลน์โดยสรุปว่า ทางผู้บริหาร อสมท ได้รายงานข้อเท็จจริงเบื้องต้นให้รับทราบแล้ว โดยทางผู้บริหาร อสมท จะแถลงรายละเอียดในวันที่ 7 กันยายน แต่ในเบื้องต้นพบว่า มีผู้หญิงโทรศัพท์มาจากนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ มายังห้องส่ง หลังจากนั้นก็มีการโทรศัพท์ผ่านรายการนายจอม ซึ่งพนักงาน อสมท.ก็ไม่ทราบว่า จะมีการสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายสาทิตย์กล่าวว่า ความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นการบริหารคลื่นวิทยุภายใน อสทม และมีการเชิญบุคคลภายนอกมาร่วมจัด นายจอมก็เป็นคนนอก ไม่ได้เป็นพนักงาน อสมท. ซึ่งมีคณะกรรมการดูแลรายการ เพียงแต่วันนี้ ไม่มีการรายงานและพิจารณากันในการเชิญ พ.ต.ท.ทักษิณมาให้สัมภาษณ์ ดังนั้นเรื่องทาง อสมท ก็ต้องไปดูว่า มีความบกพร่องอย่างไร

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า อย่างไรก็ตามความจริงแล้วเรื่องนี้ รัฐบาลไม่เคยขัดข้องในการให้ทุกฝ่ายออกรายการวิทยุ ทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน หรือฝ่ายไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล เพียงแต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ แม้ว่าเป็นนักการเมืองแต่เป็นนักโทษหนีคดีด้วย ก็เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนพอควร
ปชป.ไม่ไว้ใจ"ทักษิณ"ขอคุยจวกพูดอย่างทำอย่าง

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาล กล่าวผ่านเว็บไซต์มติชนออนไลน์ว่า การเจรจาก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะปัญหาที่เกิดจากบุคคลกลุ่มหนึ่งในขณะนี้มีส่วนเกี่ยวข้องตัวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ส่วนตัวไม่ค่อยมีความเชื่อถือในคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเวลาที่ตนเองได้เปรียบก็มักพูดอย่าง แต่เวลาเสียเปรียบก็พูดอีกอย่าง

อย่างเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณก็พูดอยู่เสมอว่า หากมีเลือดสักหยดจะกลับมานำผู้ชุมนุมด้วยตัวเอง แต่พอมีการปราบปรามผู้ก่อเหตุจลาจล พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้กลับมา หรืออย่างกรณีคลิปเสียงนายกฯก็เช่นเดียวกัน พอ พ.ต.ท.ทักษิณเห็นว่าการที่ ส.ส.เพื่อไทยนำไปเคลื่อนไหว เป็นสิ่งที่เพลี่ยงพล้ำ ก็รีบออกมาปฏิเสธว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทันที” นายชินวรณ์ กล่าว

นายชินวรณ์ กล่าวว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องออกมาพูดเช่นนี้ น่าจะมาจากการที่นักธุรกิจและภาคเอกชนหลายส่วนออกมาเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงยุติการเคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้กระทบกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ พ.ต.ท.ทักษิณจึงต้องออกมาพูดเพื่อให้ภาพลักษณ์ของตัวเองดูดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า วิเคราะห์หรือไม่ว่าเหตุใดจึงต้องออกมาพูดก่อนที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย.นี้ นายชินวรณ์ กล่าวว่า กลุ่มคนเสื้อแดงขณะนี้ถูกมอง 2 แบบ 1.สร้างความปั่นป่วนทางการเมือง จนกระทบกับปากท้องของพี่น้องประชาชน และ2.การเคลื่อนไหวก็ชัดเจนไม่ได้เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย แต่เป็นการทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น ขณะนี้กลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ในช่วงที่เพลี่ยงพล้ำ จึงต้องพูดเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเอาไว้ก่อน

เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่นายกฯหรือรองนายกฯจะไปเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณนายชินวรณ์ กล่าวว่า หากจะเปิดการเจรจาอย่างน้อยคนที่จะมาเจรจาต้องมีความจริงใจ โดย พ.ต.ท.ทักษิณต้องกลับเข้ามาในประเทศและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน

“แต่ส่วนตัวไม่เชื่อว่าหลังจากคุยแล้วจะทำให้สถานการณ์ทางการเมืองกลับสู่ความสงบ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีโทษจำคุก 2 ปีอยู่ ขณะที่คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ผมจึงไม่คิดว่า คนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณจะยอมยุติการเคลื่อนไหวง่ายๆ” นายชินวรณ์ กล่าว
“นพดล”สับเวทีสัมมนาจุฬาฯจ้องถล่ม“ทักษิณ”

นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการจัดสัมมนาเรื่อง “การปฏิรูปการเมืองกับบอนาคตของประเทศไทย” ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่า การจัดงานสัมมนาดังกล่าวมีวิทยากรรับเชิญคือ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ นายอมร จันทรสมบูรณ์ นักวิชาการด้านกฎหมาย โดยพุ่งเป้าโจมตีไปที่พ.ต.ท.ทักษิณว่าเป็นตัวปัญหา รวมทั้งกล่าวหาว่าอดีตนายกฯทำการฟอกเงิน ส่วนตัวคิดว่าการจัดสัมมนาใด ๆ ถ้าเชิญแต่คนที่มีความคิดเห็นเชิงปฏิปักษ์ ผลลัพธ์ก็จะออกมาในรูปแบบนี้ จึงอยากฝากให้ผู้จัดเชิญคนที่มีความเห็นอีกด้านหนึ่งมาร่วมด้วย เพื่อให้เวทีสัมมนามีความสมดุล ไม่ใช่จัดเพื่อถล่มฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นายนพดลกล่าวว่า สำหรับการโจมตีว่าพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวปัญหา สร้างความปั่นป่วนนั้น ขอตอบโต้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่ผู้สร้างปัญหา แต่เป็นผู้ถูกกระทำจากฝ่ายที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย จึงพยายามเรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรมให้ตนเอง ต้นตอของปัญหาที่แท้จริงคือการยึดอำนาจ กลุ่มอำมาตย์ กระบวนการยุติธรรมที่บิดเบือน และระบบ 2 มาตรฐาน ความจริงพล.อ.สายหยุดเป็นประธานมูลนิธิองค์กรกลาง น่าจะมีความเป็นกลางบ้าง อยากรู้ว่าตอนที่มีการยึดอำนาจ หรือมีการใช้ความรุนแรง พล.อ.สายหยุดไปอยู่ที่ไหน

"ส่วนที่พล.ต.อ.วสิษฐระบุว่ามีการฟอกเงินแล้วนำไปซุกไว้ที่ต่างประเทศนั้น ไม่รู้ว่าหมายถึงใคร แต่ยืนยันว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่มีแน่ พล.ต.อ.วสิษฐเป็นตำรวจเก่า ถ้ามีข้อมูลควรนำไปยื่นให้ป.ป.ง. และกรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบ หรือจะยื่นที่พรรคเพื่อไทยก็ได้ อย่าพูดแบบตีหัวเข้าบ้าน ทำให้คนอื่นเสียหายโดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดชอบอะไร พล.ต.อ.วสิษฐชอบเขียนนิยาย แต่ไม่ควรเอานิยายมาปะปนกับเรื่องจริง" นายนพดล กล่าว

"ไตรรงค์"เปรียบ“ทักษิณ"แค่ก้อนกรวดในรองเท้า
ที่โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท กาญจนบุรีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวระหว่างปิดงานสมัชชาประชาชน พรรคประชาธิปัตย์ “ วาระประชาชนภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี” ถึงพ.ต.ท.ทักษิณว่า บ้านเมืองขณะนี้ไม่สงบ เพราะมีสีแดงอยู่ และพ.ต.ท. ทักษิณให้การสนับสนุน แต่ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว แค่ราคาคุยมากกว่าที่จะกระทำจริง ซึ่งสามารถควบคุมดูแลได้ไม่ต้องห่วง

"ผมสนิทกับเหล่าทัพและหน่วยข่าวกรอง ดังนั้นไม่มีอะไรน่ากลัว เปรียบเหมือนก้อนกรวดในรองเท้า ก็รำคาญนิดหน่อย แต่บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้" นายไตรรงค์ กล่าว
เสื้อแดงประกาศชัยชนะยึกพื้นที่สีเหลืองระยอง

คืนวันที่ 5 กันยายน บริเวณสนามหญ้าใกล้ตลาดสี่ภาค ตำบลห้วยโป่ง อำเภอเมืองระยอง ใช้เป็นสถานที่ตั้งเวทีปราศรัยกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) บนเวทีเขียนว่าชมรมคนรักประชาธิปไตย สุภาพชนคนเสื้อแดงระยอง ท่ามกลางการดูแลความปลอดภัยตั้งแต่หน้าทางเข้าไปที่โต๊ะอาหาร หน้าเวที ของการ์ด นปช.จำนวนมาก พร้อมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฏิบัติการพิเศษ(นปพ.)ระยอง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุมกลุ่มงานสืบสวนภูธร จังหวัดระยอง มาในชุดเสื้อดำ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ห้วยโป่ง ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ส่วนรอบนอกเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งจุดตรวจค้นหลายจุด

ภายในงานเลี้ยงโต๊ะจีนจำนวน 300 โต๊ะ กลุ่มคนเสื้อแดงเริ่มทยอยกันเดินทางเข้าไปในงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมชูป้าย อำเภอแกลง นปช.พัทยา แหลมฉบัง นปช.สุพรรณบุรี ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ซึ่งนำโดยนายสำเริง ประจำเรือ ส.จ. จันทบุรี บางพลัดกทม. ฯลฯ ประมาณกว่า 2,000 คน เนื่องจากยังมีโต๊ะว่างเปล่าอีกจำนวนมาก ภายในบริเวณงานเต็มไปด้วยเสื้อแดง

นายสำเริง แกนนำเสื้อแดง จ.จันทบุรี ขึ้นเวทีประกาศอย่างเป็นทางการวันนี้เสื้อแดงเกิดขึ้นแล้วหลังจากในอดีตมีแต่เสื้อเหลือง แต่วันนี้รู้สึกดีใจมากที่กลุ่มคนรักพ.ต.ท.ทักษิณ ที่มาจากต่างจังหวัดเดินทางมาร่วมกันให้การสนับสนุน ดร.ภิรมณ์ ศรีธาตุ แกนนำเสื้อแดง จังหวัดระยอง จนประสบความสำเร็จ พร้อมปราศรัยโจมตีบุคคลสำคัญ รวมทั้งพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องด้วยความสะใจ และปราศรัยอีกว่าเมื่อวันก่อนเดินทางมารณรงค์ปราศรัยในพื้นที่จังหวัดระยองร่วมกับ ดร.ภิรมณ์ ระหว่างทางขากลับถูกยิง 3 นัดแต่ไม่เป็นไร รอดตายเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ คนดีของพวกเราคุ้มทำให้รอดตาย

ดร.ภิรมณ์ กล่าวปราศรัยว่า พอทราบข่าวนายสำเริง ถูกยิงจึงโทรศัพท์สอบถามนายสุทธิ อัชฌาศัย แกนนำเสื้อเหลืองระยอง ว่าทำไมจึงเล่นกันรุนแรงขนาดนี้ ไหนว่าจะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น ซึ่งนายสุทธิ ตอบว่า ไม่ใช่เสื้อเหลืองแต่เป็นคนกลุ่มนักการเมืองคนหนึ่ง ดังนั้น จึงพูดกลับไปว่าก็พวกเดียวกันไม่ใช่หรือ ถ้างั้นก็ไปคุยกันเอง จากนั้นก็มีการผลัดกันขึ้นเวที โดยมีนายประวัฒน์ อุตตะโมท แกนนำคนสำคัญ จ.จันทบุรี ผลัดกันปราศรัยโจมตีบุคคลสำคัญอย่างรุนแรง พร้อมประกาศวันที่ 12 กันยายนนี้ ให้ไปร่วมชุมนุมกันที่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และพบกันในวันที่ 19 กันยายน รวมตัวกันที่บริเวณสนามหลวง จากนั้นจะเดินทางไปที่ทำเนียบรัฐบาล และจุดสุดท้ายไปที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อเวลา 22.00น.เศษ นอกนั้นแกนนำคนสำคัญเสื้อแดงไม่มีใครเดินทางมาร่วมงาน

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

คำสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

โดยจอม เพชรประดับ FM 100.5 MHz
มติชน
ทักษิณ”ให้สัมภาษณ์ผ่านวิทยุ อสมท. ยันเงินซื้อเหมืองเพชรกำไรจากขายทีมฟุตบอล ซัดรบ.ไทยทำต่างชาติรำคาญกระอักกระอ่วน ส่งหนังสือจี้ตามตัว พร้อมเจรจาทุกคนสร้างสมานฉันท์ ชี้ “มาร์ค”แก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่มีอิสระ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 ก.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ออกอากาศทางวิทยุอสมท. คลื่น 100.5 เมกกะเฮิร์ต ในรายการเอ๊กคลูซีฟ ดำเนินรายการโดยนาย จอม เพชรประดับ โดยผู้ดำเนินรายการได้สอบถามถึงการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ได้นำเงินจากที่ใดมาดำเนินกิจการเหมืองเพชร หรือมีการฟอกเงินไว้ในรัฐบาลที่แล้ว โดย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า หลังจากที่ตนออกจากประเทศไทย ก่อนปฏิวัติ มีคนลือว่า ตนขนเงินออกมา 30 กระเป๋าเดินทาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีใครทำได้ ขอให้อย่าหลงประเด็น อย่าหลงเชื่อกลุ่มคนที่ปล่อยข่าว หากจำได้ ก่อนหน้านี้ตนเคยซื้อทีมฟุตบอล แล้วก็ขายทีมฟุตบอลแล้วนำผลกำไรมาลงทุนเหมืองเพชร

ผู้ดำเนินรายการถามว่า มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอายัดเงินที่ประเทศอังกฤษ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่มีเงินฝากที่ประเทศอังกฤษ ทั้งหมดเป็นการปล่อยข่าวทำร้ายกัน เมื่อขายทีมฟุตบอลได้เงินมาจำนวนหนึ่งก็เพียงพอจะลงทุนในเหมือง เพราะราคาเองก็ไม่ได้สูงมากมายอะไร

เมื่อถามว่า การที่ท่านเดินทางเข้าประเทศต่างๆนั้น ต่างประเทศรู้สึกกระอักกระอ่วนใจบ้างหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เขาไม่กระอักกระอ่วนตน แต่เขากระอักกระอ่วนรัฐบาลไทยมากกว่า เขามีอธิปไตยในดินแดนของเขาจะให้ใครอยู่หรือจะให้ใครไปมันเป็นสิทธิ์ของเขา แต่รัฐบาลไทยทำจดหมายถึงทุกประเทศต่างประเทศเขาบอกเขารำคาญ และก็ยังบอกอีกว่าเขารำคาญรัฐบาลไทยยังไม่ต้องมาประเทศเขาก็ดี

เมื่อถามว่า มีประเทศใดที่เขาบอกว่าท่านไม่ทำตามคำสั่งศาลหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ไม่มี เขาเห็นคำพิพากษากรณีที่ดินรัชดาเขาก็ขำแล้ว มีอย่างที่ไหนคนซื้อไม่ผิดคนขายไม่ผิด แต่มันตลกตรงที่นายกฯเอาบัตรประชาชนไปรับรองให้เมียซื้อที่ดินเขาบอกผิด แต่ที่บุกรุกที่ดินป่าสงวนไม่เป็นไร การเมืองไทยตอนนี้มุ่งแต่ทำลายฝ่ายตรงข้าม

เมื่อถามว่า มีข่าวว่าท่านมีเครื่องบินส่วนตัวมีบอร์ดี้การ์ดชั้นดี พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ตนไม่มีเครื่องบิน บอร์ดี้การ์ดก็ไม่มี ผมไม่กลัว เกิดมาหนเดียวตายหนเดียว เรื่องอย่างนี้ผมโดนมาไม่รู้กี่รอบแล้ว ไม่เป็นไร
เมื่อถามว่าจะหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสมานฉันท์ปรองดองได้หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า “ผมพร้อมเจรจากับทุกคน คิดดูขนาดคนอย่างคุณจอมยังติดต่อผมได้ แล้วคนที่มีอำนาจในประเทศจะติดต่อผมไม่ได้หรือ ขนาดคนขับแท็กซี่ ตำรวจชั้นผู้น้อยยังมีเบอร์ผม โทรมาผมผมก็คุยผมคุยกับทุกคน แต่คนเดียวที่ไม่มีเบอร์ผมก็คือ คนในทำเนียบรัฐบาล ยืนยันผมคุยกับทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายกฯหรือรองนายกฯแม้ว่าจะหน้าดำผมก็คุย”

เมื่อถามว่า หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โทรมาหาท่านขอความร่วมือให้ท่านหยุดเคลื่อนไหวแล้วทุกอย่างจบ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า จะร่วมมือกันอย่างไรบอกมา ตนยินดี จะให้ทำอะไร และรัฐบาลต้องบอกว่าจะทำอย่างไรด้วยเพื่อให้เกิดความปรองดองทุกฝ่าย ไม่ใช่ปรองดองเพียงฝ่ายเดียว ต้องหาจุดร่วมที่เหมาะสมด้วย

เมื่อถามว่า หากนายกฯบอกว่าท่านต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ต้องถามว่ากระบวนการตอนนี้มันยุติธรรมจริงหรือไม่ และจะกำหนดความยุติธรรมอย่างไร ตนเชื่อว่า ศาลส่วนใหญ่ยุติธรรม แต่ก็มีบางส่วนเท่านั้นที่ถูกแทรกแซง และนายอภิสิทธิ์ก็เข้าไปแก้ไขตรงนี้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่รัฐบาลที่มีอิสระอย่างแท้จริง แต่มีคนที่มีอิสระเหนือรัฐบาลเข้าไปแทรกแซง ที่จริงเรื่องที่ถ้าบ้านเมืองมีความสมดุล มีการถ่วงดุลที่ดีบ้านเมืองจะเดินไปได้

แต่ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะเพียงต้องการจะล้มตนเท่านั้น ที่จริงเมื่อครั้งนั้นถ้าพูดกับผมดีๆ บอกให้หยุด ให้เลิกเพราะชนะมากไปแล้ว ก็หยุดก็จะวางมือ ไม่ใช่ว่าตนอยากจะอยู่ เพียงแต่ว่าต้องการทำภาระกิจที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น ตอนนี้ตนอยู่เมืองนอกก็มีความสุขดี ไม่มีความเครียดอะไร มีคนหาว่าตนไปทำคลีโม แต่หน้าตนตอนนี้ใสมาก

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ชะตากรรม ส.ส.

ประเทศไทย(ก็)ของผม
ศร อัจฉรา
สภาพของบรรดา ส.ส.ในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะโคตรยุ่งสไตล์รัฐบาลประชาธิปัตย์ด้วยแล้วไม่รู้ตัวเลยว่าชะตากรรมจะออกหัวหรือออกก้อยวันนี้เป็น ส.ส.อยู่ดีๆ พรุ่งนี้จะยังคงเป็น ส.ส.อยู่หรือไม่???...วุ่นวายตายชักจะหวังพึ่งหัวหน้ารัฐบาล ตอนนี้ลำพังแค่ตั้ง ผบ.ตร.ยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอด ข่าวลือ ข่าวลวง ถี่ยิบไปหมดคนนั้นก็มีข้อมูลพิเศษที่ไม่อาจเปิดเผยได้ คนโน้นก็มีข้อมูลลับเฉพาะเปิดเผยไม่ได้เช่นกันเจอแต่เรื่องลับๆ แม้ว่าจะไม่มีของลับๆ อะไรเข้ามายุ่งเกี่ยว

แต่แค่นี้ก็วุ่นวายไม่เลิกแล้วแล้วจะมีเวลามาดูแล ส.ส. ได้อย่างไรยิ่งเจอมือตรวจสอบระดับพระกาฬอย่าง ส.ว.เรืองไกรลีกิจวัฒนะ เจ้าของฉายา “จอมสอย” ด้วยแล้ว ไม่หนาวกระดูกสันหลังยะเยือกไปถึงก้นกบก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วคนอะไรขยันทำการบ้านเสียเหลือเกินส.ส. หรือแม้กระทั่ง ส.ว.ทั้งหลาย ถือหุ้นอยู่ดีๆ ก็เข้าไปตรวจสอบเสียอย่างนั้น แน่นอนในแง่ของคนตรวจสอบก็ใช่แหละ…นี่คือการสร้างบรรทัดฐานแต่ในแง่ของคนที่ถือหุ้นนี่สิ หงุดหงิดหัวใจชนิดคันยิบๆ ชะมัดซึ่งทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็อินเทรนด์กับกระแส วันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 หรือที่เวลาเขียนย่อๆ ว่า 090909บรรดาคนท้องทั่วโลก

อยากจะคลอดลูกกันวันนี้จำนวนมาก ขนาดท้องแค่ 7 เดือนเศษ ยังไปถามหมอว่าหนูจะคลอดวันที่ 090909 ได้หรือไม่...เล่นเอาหมอมึนไปตามๆ กันกับกระแสฮิตแต่ กกต.นี่สิ คนอื่นเค้าจ้องจะคลอดกัน กลับดันจ้องจะเชือดเพราะ นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ออกมาเปรยแล้วว่า การประชุม กกต. วันที่ 9 ก.ย.นี้ จะสามารถลงมติกรณี 44 ส.ส. ถือครองหุ้นที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญได้เพราะข้อมูลที่คณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ส่งมาให้ครบถ้วนแล้ว

มีการแยกประเภทของหุ้นในส่วนที่อนุกรรมการฯ มีความเห็นไม่ตรงกับ กกต. มาให้ตามที่ กกต. เสนอแนะไปแล้วด้วยและที่สำคัญ ดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาในข้อกฎหมายแล้วฉะนั้นแจ้งเกิด อ้อ! ไม่ใช่สิ แจ้งดับกันได้เลยว่า 090909 ใครบ้างที่จะรอด ใครบ้างที่จะหลุดแต่ที่ไม่ได้รอฤกษ์ยามใดๆ เลย ก็เห็นจะเป็น 4 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ถูกพิพากษาไปเรียบร้อยโรงเรียนชุมชนพอเพียง เสร็จมะก้องด้องไปแล้วเพราะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์

อ้างเร่งด่วน จึงมีความจำเป็นต้องเรียกประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคต้องการทำเรื่องปัญหาทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงให้ชัดเจนเนื่องจากสุดท้ายแล้วพบว่า มีสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์บางคนเข้าไปเกี่ยวข้องจริงๆเล่นเอานึกว่าพรรคจะกล้าฟันรายใหญ่หรือขาใหญ่จริงๆ หรือนี่แต่สุดท้ายเป็นเพียงแค่ระดับ ส.ข. และผู้ช่วย ส.ข. จำนวน 4 คน ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องจึงมีมติขับออกจากพรรคที่สำคัญ ยืนยันว่าไม่ได้

เป็นการตัดตอนเพื่อไม่ให้สาวถึงต้นตอที่แท้จริงอย่างใดทั้งสิ้นขนาดระดับเด็กๆ ยังทำได้ขนาดนี้ นี่ถ้าหากระดับที่โตๆ กันขึ้นมา นึกไม่ออกเหมือนกันว่าจะทำอะไรกันได้แค่ไหน???เมื่อยืนยันว่าไม่ได้ตัดตอนก็ว่าไปตามสบายเถอะ แต่คนจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งก็แล้วกันนะเพราะอย่างที่บอกว่าทุกวันนี้อยู่กันอย่างวัดดวงแล้วจริง ...เอาน่าเดี๋ยวยุบสภา ก็จะมีคนตกงานไปอยู่เป็นเพื่อนอีกเพียบเลย ■

จุดยืนและย่างก้าวต่อไป

โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News
ปีที่ 1 ฉบับที่ 135 กันยายน 2552

มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่น คำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับ ไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมายในหมู่คนเสื้อแดงขณะนี้ เป็นคุณและมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการก้าวเดินของฝ่ายประชาธิปไตย ในระยะที่มีอารมณ์ความรู้สึกมาก ก็ควรปล่อยให้ระบายบ้าง

หลังจากนั้นคือเวลาใคร่ครวญอย่างรอบคอบ ประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริง กำหนดจุดยืนและย่างก้าวของทั้งขบวนการต่อไป ไม่มีอะไรน่าห่วงกังวลเลยครับระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง ซึ่งเป็นธงของพวกเรา จะมีการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงอย่างนี้อีกมากมายนัก ใครที่ไม่คุ้นเคยควรทำความคุ้นเคยไว้เสีย ระบอบการปกครองของไทยที่จะทำให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ไม่ใช่กระซิบกันอย่างไพร่ๆ ว่าให้เงียบเสียง สังคมจะได้สงบสุขมั่นคง

แต่จะระดมเอาความคิดเห็นที่หลากหลายมาสู่เวทีถกเถียงที่ชอบธรรม ซึ่งแปลว่าประชาชนต้องมีส่วนร่วมก่อสร้างหรือส่งตัวแทนมาร่วมในเวทีนั้น และเมื่อถกเถียงได้ที่แล้วก็ต้องรู้จักหยุดเป็นห้วงๆ เพื่อลงมือปฏิบัติเราอยากได้รัฐสภาเช่นนั้นในอนาคต รัฐสภาที่เป็นตัวแทนของของอำนาจอธิปไตยในมือคนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความยืดหยุ่นมากน้อยขึ้นลงได้ตามประชามติ

เป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบายของประเทศที่ประคับประคองระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สามารถหาจุดสมดุลระหว่างความเป็นชาติกับความเป็นนานาชาติได้ แสวงหาผู้บริหารที่ดีที่สุดมาทำหน้าที่เดินงานบ้านเมือง

และมีขีดความสามารถสูงพอในการป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกทำลายโดยการรัฐประหารโดยตรงหรือการรัฐประหารโดยอ้อม เช่น องค์กรอิสระ อำนาจตุลาการ นักวิชาการสายอำมาตย์ เป็นต้น ถ้าเราปรารถนาเช่นนั้น เราต้องทำขบวนการเสื้อแดงให้สะท้อนภาพนั้นเสียตั้งแต่บัดนี้มีผู้หวังดีถามกันมากว่า จักรภพเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดขัดแย้งกันเอง

บางท่านหวังดีแต่มีอารมณ์ก็เลยไปถึงเรื่องผลประโยชน์ขัดกันหรือความอิจฉาริษยาแกนนำไปโน่นคำตอบทั้งหมดอยู่ในช่วงต้นของบทความนี้ครับไม่น้อยกว่านี้ ไม่มากกว่านี้แต่รัฐสภาอันแท้จริงที่ไม่ใช่หุ่นกระบอกของฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ก็เป็นเพียงรูปธรรมอย่างหนึ่ง คำตอบที่ละเอียดขึ้นคือเป้าหมายที่แน่ชัดว่ารัฐสภาต้องเอื้ออำนวยให้เกิดผลต่างๆ เหล่านี้ครบถ้วน

๑. อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจการเมืองสูงสุดที่ไม่มีอะไรสูงกว่า เป็นของปวงชนชาวไทย
๒. บ้านเมืองปกครองด้วยหลักกฎหมาย และด้วยตัวบทกฎหมายที่ปวงชนชาวไทยร่วมกำหนด ไม่ใช่ ด้วยกระบวนการฝ่ายอำมาตย์ที่แอบควบคุมสังคมไทยอยู่โดยอ้างคำว่ากฎหมาย
๓. ประชาชนต้องมีเสรีภาพ
๔. สังคมต้องมุ่งความเสมอภาค
๕. รัฐบาลและผู้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนปวงชนชาวไทยในเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ เข้ามาได้ก็ต้องออกไปได้ ต้องมาจากการเลือกตั้ง

ซึ่งเป็นวิถีการมีส่วนร่วมของประชาชนที่ยังไม่มีอะไรดีกว่าสังคมเสื้อแดงและฝ่ายประชาธิปไตยควรหยุดถกเถียงและใคร่ครวญเป็นระยะๆ ว่า ทิศทางของเรานำไปสู่เป้าหมายใหญ่ทั้ง ๕ ข้อนี้หรือไม่ทั้งหมดนี้คือความละเอียดอ่อน

ขณะพูดต้องพูดตรง ไม่กำกวม ไม่ห่วงภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่เป็นสิ่งไร้สาระ แต่ในขณะลงมือทำต้องมีศิลปะประคองตัว เพราะเราไม่ได้หาเสียงเลือกตั้งเพื่อเป็นรัฐบาลให้เขาเชือดทิ้งเหมือนรัฐบาลภายใต้นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เราต้องการตัวแทนประชาชนที่มีขีดความสามารถในการปกป้องตัวเองได้ชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม
แล้วแพ้ในศึกชิงอำนาจรัฐ ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยแต่ไม่ได้อำนาจรัฐในการบริหารงานในราชอาณาจักรนั้น ถือว่าเปล่าประโยชน์เราจึงตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งมวลชนเข้าร่วมอย่างน่าปลื้มใจทุกครั้ง

เรามีข้อเรียกร้องที่ใหญ่พอและคุ้มค่าต่อความเหนื่อยกายและเหนื่อยใจของประชาชนหรือไม่เราเข้าใกล้เป้าหมายทั้ง ๕ ข้อนั้นมากขึ้นหรือไม่ถ้าไม่ แสดงว่ายุทธวิธีของเราอาจไม่ได้เป็นไปตามยุทธศาสตร์หลายท่านบอกผมว่าเราต้องแกล้งทำ ต้องลับลวงพราง และต้องใจเย็น ในใจของแต่ละท่านก็คือรอให้ธรรมชาติช่วยตัดสิน

แล้วทุกอย่างจะพลิกผันมาเข้าทางเราโดยอัตโนมัติผมต้องขอประทานโทษ-ผมไม่เชื่อสังคมไทยวันนี้ไม่ได้คลุมด้วยตาข่ายทางสังคมที่ประชาชนเป็นผู้ใหญ่และมีส่วนร่วมในการตัดสินชะตากรรมของตัวเอง แต่เป็นการครอบงำของสิ่งที่เรียกว่า “รัฐภายในรัฐ” นั่นคือมีรัฐบาลตัวจริงที่คอยชี้นำทิศทางของประเทศอยู่

และชี้นำทุกอย่างไปสู่การรักษาอำนาจอันล้นเหลือและความมั่งคั่งร่ำรวยที่อธิบายที่มาไม่ได้ของตัวเองและพวกเท่านั้นรัฐบาลที่ว่านี้ไม่เคยมาจากการเลือกตั้ง ไม่สนใจที่จะมาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นรัฐบาลที่คอยล้มการเลือกตั้งของฝ่ายประชาธิปไตยและทำให้แน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่าประชาชนจะไม่ได้เป็นใหญ่ และเป็นรัฐบาลที่เต็มไปด้วยความคั่งแค้นต่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕

จนต้องทำทุกอย่างเพื่อหมุนเข็มนาฬิกาของประเทศกลับไปก่อนหน้านั้นให้จงได้รัฐบาลนี้เขามีพวกมาก แผ่ซ่านไปในทุกวงการ ถ้าเป็นมะเร็งก็ระยะสุดท้าย ต้องหาทางเกิดใหม่อย่างเดียว ภารกิจหลักของรัฐบาลนี้คือการทำลายโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยถ้าเราขอความร่วมมือกับรัฐบาลที่ว่านี้ในการคืน

ประชาธิปไตยให้กับเรา ถ้าเขาไม่ใจร้อนฆ่าเราเสียเลย เขาก็อาจแสร้งว่าเห็นใจและโยนเศษเนื้อข้างเขียงมาให้ อาจจะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีให้สักคน เพราะเรารุมกันประณามนายกรัฐมนตรีคนที่เขาเลือก อาจเปลี่ยนข้อความบางข้อในรัฐธรรมนูญให้เรารู้สึกหายใจโล่งขึ้น แต่ไม่ยอมแตะต้องส่วนสำคัญที่ทำให้เราอยู่ในสภาพน้ำใต้ศอกอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ต้นแล้วเราก็จะไม่ได้แม้แต่ข้อแรก คืออำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทย

ไม่ต้องหวังว่าจะได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีอำนาจรัฐจริง มาอำนวยเสรีภาพและความเสมอภาคทางสังคมให้กับประชาชน และไม่ต้องหวังว่ากระบวนทางกฎหมายจะเป็นไปเพื่อฝ่ายประชาชนเพราะถ้าไม่ได้ข้อแรก เราก็จะเสียหมดทุกข้อเป้าหมายทั้งห้าข้อไม่ใช่ความรู้ใหม่ หมอเหล็ง ศรีจันทร์และคณะเปลี่ยนแปลง

การปกครอง ร.ศ. ๑๓๐ และปัญญาชนสยามสมัยนั้นท่านก็รู้อย่างนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฎร พ.ศ.๒๔๗๕ ท่านก็เสี่ยงชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้ จนถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมา ก็เพราะมั่นใจอย่างนี้ ความใหม่ในวันนี้คือ ประชาชนท่านต้องการสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว หมดสมัยของปัญญาชนคิดพิมพ์เขียวมานำเสนอให้ประชาชนเฮตามทั้งที่ไม่รู้ความหมายแล้วครับ วันนี้ปัญญาชนของฝ่ายประชาธิปไตยคือตัวประชาชนเอง

โดยมีอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีสื่อสารสมัยใหม่เป็นเลขานุการให้กว่าสามปีที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยมา ประชาชนก้าวหน้า แต่ปัญญาชนอุปถัมภ์ของอำมาตย์กลับถอยหลังลงคลอง จนล้าหลังเป็นอย่างยิ่ง

แล้วยังจะมาเรียกร้องขอเล่นบทบาทนำทางสังคมอีกล่ะหรือที่สุดแล้วคืออะไร?จุดยืนของฝ่ายประชาธิปไตยคือสู้กับระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ไม่ได้มีแต่คุณเปรมคนเดียว สู้โดยสติปัญญาความสามารถโดยไม่ใช่เอาเลือดเข้าแลกก้าวย่างคือเตรียมแผ่นดินให้พร้อม เครือข่ายของอำมาตย์เขาก็เตรียมอยู่ต่อหลังฤดูผลัดใบเช่นกัน

เพราะเขาคิดว่าเขาเป็นเจ้าของสวนพฤกษชาติแห่งนี้ เตรียมเครื่องมืออย่างหลากหลายเพื่อกระทำภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละห้วงแต่ละสถานการณ์ และจุดสำคัญคือเมื่อถึงเวลาเดินก็ต้องเดิน ไม่ชวนวนอยู่กับที่เหมือนวัวพันหลักขอเรียนเสนอไว้ให้ฝ่ายประชาธิปไตยถกเถียงต่อไปด้วยใจเคารพ.
-------------------------------

แดงสอยแดง

แดงสอยแดง
ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
ตอนนี้คนเสื้อแดงในระดับแกนนำ แตกตัวออกเป็น 2 กลุ่มแล้วคือ "แดงนปช." ที่มี "3 เกลอ" เป็นผู้นำและกลุ่มใหม่ "แดงสยาม" นำโดย นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์พอเปิดตัว ก็มีรายการสาวไส้กันพอหอมปากหอมคอจากคำสัมภาษณ์พิเศษของนายสุรชัย ที่ปรากฏใน"ข่าวสด"ฉายภาพให้เห็น"ความจริงวันนี้" ในระดับแกนนำม็อบเหมือนว่า

ขณะที่คนเสื้อแดงเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงแต่ตัวตนจริงของแกนนำเสื้อแดง ก็ไม่ได้มีความเป็นประชาธิปไตยทั้งที่การทำงานเสี่ยงมือเสี่ยงตีนนี้ มีคนระดับมันสมองระดมมาร่วมกันมากมายแต่นับวันผ่านไป ธรรมชาติของแต่ละคนก็สำแดงออกมานายสุรชัยยืนยันเลยว่า การถวายฎีกาให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เป็นมติที่ประชุม

ไม่มีแกนนำอื่นล่วงรู้มาก่อนแต่เป็นนายวีระ มุสิกพงศ์ ประกาศลั่นเวทีขึ้นมาเองดื้อๆหลังจากไปรับไอเดียมาจากพระหลังเวที!ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ประกาศเอง จะเคลื่อนม็อบไปทำเนียบไม่ผ่านการปรึกษาหารือใครความเป็นคนเสื้อแดงนั้น เราๆ ท่านๆ ก็ทราบดีอยู่แล้วร้อนแรงแค่ไหนเมื่อมิตรเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูกลายๆ ความร้อนแรงที่สาดใส่กันก็เลยน่าดูชมอย่างนายจตุพรก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ด่านายจักรภพ เพ็ญแข เสียๆ หายๆ หาว่าหนีเอาตัวรอดเพราะนายจักรภพดันเขียนบทความวิจารณ์พวกเดียวกันขณะที่คำพูดของนายสุรชัยก็ดุเดือดไม่เบา

เมื่อเอ่ยถึง"3 เกลอ""ถ้าขืนหลับหูหลับตาให้พวกนี้นำไปก็เหมือนให้เด็กนำการต่อสู้ ก็ไปจบแบบ 6 ตุลา"ไม่ใช่โจมตี แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์การนำของ 3 เกลอที่ขึ้นเวทีแล้วทำตัวเหมือนดารา มีแม่ยก"ผมมองว่าทุกวันนี้ จตุพรกำลังหลงตัวเองอย่างหนัก และไม่เป็นนักประชาธิปไตยที่ใจกว้าง แล้วจะไปสู่จุดหมายได้อย่างไร"

วันนี้สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือจตุพรจะตกคูเสียก่อนในชีวิตการเมือง เพราะเป็นคนอหังการและลำพอง"คำว่าหลอก(ทักษิณ) มันอยู่ในแนวทาง ถ้าเสนอแนวทางแล้วเป็นไปไม่ได้ เช่น ขออภัยโทษ มันเป็นไปไม่ได้เลย เมื่อมันเป็นไปไม่ได้ก็คือหลอกใช่หรือไม่"การขออภัยโทษเพื่อให้ทักษิณกลับมาเมืองไทย กลับมาตอนนี้ก็ตายสิ หลอกให้แกเข้ามาตายหรือ มันอันตราย"นายสุรชัยยังย้อนไปถึงเบื้องหลัง"สงกรานต์เลือด"ด้วย"3 เกลอพูดง่ายๆ

ว่าเป็นเจ้าของหมดทุกอย่าง กลายเป็นเราไปพลอยเวทีเขาแล้วต้องเกรงใจเขา จนเกิดเหตุเลยตามเลยตรงนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง"จากนั้นมีการประชุมสรุปร่วมกัน 3 เกลอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองทำผิดพลาด ไม่เคยวิจารณ์ตนเอง"น่าจับตาความแตกแยกในหมู่เสื้อแดง จะเป็นอย่างไรต่อไป?

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

คลิปมหาประลัย


ที่มา:บางกอกทูเดย์

นานๆ จะเห็นลีลาท่าทางของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”ออกอาการฉุนกึกจนลมออกหูสักที ก็เมื่อบ่ายวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา หลังประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย “สารวัตรเหลิม”ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง สวมบทพนักงานสอบสวน ยื่นกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีกรณีคลิปเสียงสั่งสลายม็อบเสื้อแดงโดยนายกฯ ออกอาการตั้งแต่ยก 2 เมื่อลุกขึ้นชี้แจงอีกรอบถึงต้นตอของคลิปเสียง หลังถูก “สารวัตรเหลิม” ใช้ความเก๋าอ่านคลิปเสียง และเรียกร้อง

หาคลิปมาสเตอร์มาแสดง หากนายกฯเชื่อว่าคลิปดังกล่าวมีการตัดต่อ“ใน 5-6 ประเด็นที่ตัดคำว่า “ไม่” ออกมันก็ชัดอยู่แล้วอยากถามว่าจะมาถามเพื่อต้องการอะไรอีก จะให้ระบุว่าถ้อยคำในคลิปมาจากที่ไหนทั้งหมดเป็นเรื่องยากมาก แต่เพียงแค่นี้ก็น่าจะชัดเจนอยู่แล้ว หากวันไหนท่าน (ร.ต.อ.เฉลิม) ไปพูดที่อื่นว่าถ้าทำอย่างนี้ผมก็เป็นหมา แล้วมีคนไปตัดเสียงเหลือเพียงแค่ว่า“ผมเป็นหมา” มันก็ต้องเป็นเสียงของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่ดี”ว้าว! คำตอบนายกฯ ช่างเจ็บแสบแหลมคำ ถูกใจคอการเมือง“ฮาร์ดคอร์” เสียนี่กระไร เล่นเอา “ดาวสภา” ถึงกับ “อึ้งกิมกี่”ไปชั่วขณะ ก่อนจะลุกขึ้นตอบโต้ตามสไตล์ดาวสภา ตามติดด้วยการประท้วงกันไปมาวุ่นวายน่าดูสำหรับศึกคลิปฉาวระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้านที่สุดท้ายก็ไม่มีใครชนะและดูท่าว่าต้องแพ้ทั้งคู่

เพราะประชาชนที่นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้านคงเข้าใจสัจธรรมบางอย่างของการเมืองไทยที่อำนาจทำให้คนเปลี่ยนไปได้แต่อย่างไรก็ตาม กรณี “คลิปมหาประลัย” อานุภาพทำลายล้างยังไม่จบแค่ในสภา เพราะนอกสภาหลังตำรวจบุกจับพนักงานเอสซี แอสเสทฯ แล้ว เจ้าของบริษัทอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เตรียมฟ้องร้องตำรวจฐานที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงขณะเดียวกันต้องจับตาพลพรรคเสื้อแดงที่กำลังเตรียมเสบียงกรังว่า จะมีการออกศึกในช่วงนี้หรือไม่ หลังจากต่างท่ามาแล้วหลายครั้ง แต่ก็เจอกฎหมาย

ความมั่นคงดักหน้า จนต้องถอยหลังปรับกระบวนยุทธ์กันใหม่ทั้งนี้ น่าจับตามองเหลือเกินว่าทิศทางและจุดยืนของคนเสื้อแดงจะไปในทิศทางใด เพราะที่ผ่านมาคนเสื้อแดงเริ่มแตกคอกันเองมากขึ้น และทุกครั้งที่จะเคลื่อนไหวก็มีแค่ 3 เกลอเท่านั้นที่นั่งแถลงข่าวจนทำให้แกนนำเสื้อแดงในกลุ่มเกิดอาการ “งอน” ไม่ขอเข้าร่วมสังฆกรรมกับเสื้อแดงเมืองกรุงอีกต่อไปจากท่าทีกลุ่มคนเสื้อแดง
โฟกัสกลับมาที่หน่วยงานด้านความมั่นคงอย่าง “กองทัพ” ผู้ที่ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ความมั่นคง ในการรักษาความสงบตามที่รัฐบาลประกาศได้ดีเยี่ยมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่า “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดา ผบ.ทบ. และเหล่าเสนาธิการ ในกองทัพ ประเมินสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะกลับมารุนแรงอีกครั้ง จากอานุภาพของ “คลิปมหาประลัย” ชิ้นนี้“การใส่คลิปเสียงของนายกรัฐมนตรีขณะนี้เป็นการพยายามเพิ่มดีกรี เติมเชื้อไฟ
ซึ่งผู้บังคับหน่วยต้องไปทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยและขยายไปถึงประชาชนขอพูดให้ฟังว่าหากให้ท่านเลือกระหว่างชาติกับสี ท่านต้องเลือกประเทศชาติ หากเอาสีประเทศจะอยู่ไม่ได้ หากตำรวจทหาร แยกสีก็จะวุ่นวาย”พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวกับผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงที่สโมสรกองทัพบกวิภาวดี ในระหว่างการเข้าฟังการบรรยายสรุปผลการปฏิบัติโครงการกู้วิกฤติเศรษฐกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โครงการที่คนเสื้อแดงกล่าวหาว่าเป็นโครงการสลายสีเสื้อความห่วงใยของผู้นำเหล่าทัพย่อมสะท้อนให้เห็นงานด้านการข่าวที่กำลังจะบอกว่า เวลานี้มีการปลุกระดมประชาชนให้ออกมาต่อต้านรัฐจากกรณีคลิปเสียงนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นวิทยุชุมชนคนรักอุดรหรือวิทยุชุมชนเครือข่ายคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐ

และหน่วยงานด้านความมั่นคงหวั่นใจว่า สถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้เช่นเดียวกันตำรวจที่ออกมารับลูกเรื่องนี้ทันทีทันใดในเวลา24 ชั่วโมง สามารถตั้งคณะทำงานขึ้นมาสอบสวนทันที หากเทียบกับคดีอื่นๆ ถือว่าทำสถิติได้เร็วอย่างยิ่งยวด อันนี้ไม่รู้ว่าต้องการโชว์ผลงานช่วงแต่งตั้งโยกย้ายหรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ทราบนะขอรับขณะที่ตำรวจสอบสวนกลางเตรียมเรียกตัวคนส่งต่อหรือฟอร์เวิร์ดเมล์ จำนวน 15 คน เข้ามาสอบปากคำ
หลังตรวจพบว่ามีการส่งต่อไปให้บุคคลอื่นอีกกว่า 179 คน ถือเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เพราะหากปล่อยให้คลิปลอยนวล อาจวุ่นวายไปมากกว่านี้อานุภาพของคลิปเสียงชิ้นนี้รุนแรงเกินบรรยาย และดูเหมือนจะหาทางลงไม่เจอว่า “ต้นตอคลิป” มาจากไหน เมื่อไม่ใช่จากเครือข่ายกลุ่มชินฯ“คลิปมหาประลัย” ยังคงเป็นปริศนา..!? ■

แดงเลื่อนชุมนุม นัด 19 ก.ย.บุกบ้านป๋าเปรม


ที่มา:ไทยรัฐ

แกนนำเสื้อแดงประกาศ ไม่ชุมนุม พรุ่งนี้ นัดระดมพลวันเดียว 19 ก.ย. พร้อมบุกบ้านพล.อ.เปรม ขณะ บ้านเลขที่ 111 จี้ นายกฯเลิกยื้อเก้าอี้ รีบยุบสภา ...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (4 ก.ย.) ที่บริษัทเพื่อนพ้องน้องพี่ ชั้น 6 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วย แกนนำ นปช. แถลงข่าวประกาศยุติยุทธวิธี “ปล่อยมาร์คบ้าไปคนเดียว” ที่จะมีการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 5 ก.ย.นี้ แต่จะไปจัดชุมนุมใหญ่รำลึกครบรอบ 3 ปี การรัฐประหาร ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ไปจนถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ ในวันที่ 19 ก.ย. ตั้งแต่เวลา 13.00 น. เป็นต้นไป จนถึงเช้าวันที่ 20 ก.ย.

นายวีระ กล่าวว่า รัฐบาลได้ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้สึกปั่นสถานการณ์ ให้ดูเหมือนกรุงเทพฯ จะมีสงคราม ทำลายเศรษฐกิจ ทั้งที่ นปช.ไม่ประสงค์เช่นนั้น เพราะคนเสื้อแดงไม่ใช่คนขาดสติ และรักบ้านรักเมือง โดยจะงดการชุมนุมทุกเสาร์ ตามที่เคยประกาศไว้ แต่จัดชุมนุมรำลึกครบรอบ 3 ปี รัฐประหารยึดอำนาจฝ่ายประชาธิปไตย ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 19 ก.ย. โดยไม่สนใจว่า รัฐบาลจะมีการประกาศ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ในพื้นที่เขตดุสิต ในวันดังกล่าวหรือไม่ จากนั้นจะเลื่อนขบวนไปยังบ้านสี่เสาเทเวศร์ บ้านพักของพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ อย่างสงบ เพื่อไว้อาลัยให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2549

ด้าน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษก นปช. กล่าวว่า ที่ประชุมแกนนำ นปช. เมื่อช่วงเช้า ที่ผ่านมา ได้ประเมินสถานการณ์การเมืองและเห็นตรงกันว่า ควรจะไปจัดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 ก.ย. เพื่อระดมพลังคนเสื้อแดงมาชุมนุมกันในคราวเดียวกัน นอกเหนือ จากการจัดงานรำลึก 3 ปี การปล้นชาติให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ ขายชาติ เพราะ นปช. มั่นใจว่า ในระหว่างนี้ไปจนถึงวันที่ 19 ก.ย. สถานการณ์การเมืองของนายอภิสิทธิ์ จะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างถึงที่สุด เนื่องจาก ความขัดแย้งภายในพรรค ระหว่าง นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรค และ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในเรื่องการแต่ง ผบ.ตร. และ ความขัดแย้งกับพรรคภูมิใจไทย ในการแต่งข้าราชการระดับปลัดกระทรวง ซึ่งกว่าจะถึงวันที่ 19 ก.ย. จะเป็นการเพิ่มความบอบช้ำให้กับ นายอภิสิทธิ์ ไปโดยธรรมชาติ รวมถึงจะนำเสนอข้อเท็จจริงให้ประชาชนเห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังจะขายชาติ ด้วยการปล่อยให้กัมพูชาตัดถนนขึ้นไปยังเขาพระวิหาร ทำให้ประเทศมีสิทธิเสียดินแดนที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ให้กับกัมพูชา ดังนั้นถ้ามีใครจะต่อต้านการชุมนุมครั้งนี้ของ นปช.ก็ขอให้ดาหน้าออกมาแสดงความเห็นคัดค้าน เพราะจะได้รู้กันว่า ใครเป็นผู้สนับสนุนให้มีการปฏิวัติรัฐประหารกันบ้าง

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติให้จัดตั้งโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน เพื่อฝึกอบรมให้แกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มต่างทั่วประเทศ เพื่อสอนถึงแผนการ นโยบาย ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีของการเคลื่อนไหวโค่นล้มระบบอำมาตย์บนพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย รวมการจัดตั้งองค์กร โดยมอบหมายให้ นายนิสิต สินธุไพร เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน โดยรุ่นแรกจะเปิดรับสมัครแกนนำคนเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ ในเขต กทม.และปริมณฑล จำนวน 1,000 คน อบรมในระหว่างวันที่ 12-13 ก.ย. นี้ ที่คอนเวนชั่นฮอลล์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ซึ่งจะมีแกนนำ นปช. ตั้งแต่ นายวีระ สลับสับเปลี่ยนมาบรรยายให้ความรู้ จากนั้นจึงจะเดินสายไปจัดอบรมให้ภูมิภาคต่างๆ จนครบ 4 ภาค

ในวันเดียวกัน ที่มูลนิธิ 111 ไทยรักไทย มีการเสวนาหัวข้อ “ยุบสภาประชาชนได้อะไร” โดย นายประจวบ ไชยสาสน์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 เป็นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม ความสามัคคีก็เกิดไม่ได้ จึงต้องแก้รัฐธรรมนูญ หากพรรคแกนนำรัฐบาลไม่ขับเคลื่อน ก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ยาก ส่วนการยุบสภานั้น ที่ผ่านมาประเทศไทยมีการยุบสภามาแล้ว 12 ครั้ง หากจะมีการยุบสภาครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 13 ซึ่งพอจะมีการยุบสภา ก็เอาเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมาล่อ แต่สุดท้ายแล้วไม่มีการแก้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์รู้ดีว่า หากยุบสภาแล้วมีการเลือกตั้งใหม่จะแพ้ล้านเปอร์เซ็นต์ ขณะที่พรรคเพื่อไทย คงได้เสียงไม่ถึงกึ่งหนึ่ง เว้นแต่จะหากำลังสำคัญกลับมา ในการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยต้องยอมกลืนยาพิษ เพื่อเอาศัตรูมาเป็นมิตร เหมือนกับสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยนำพรรคการเมืองต่าง ๆ มาร่วมอยู่ด้วย จนตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้สำเร็จ เราต้องยอมหวานอมขมกลืนเพื่อประโยชน์ของประชาชน

ด้าน นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) กล่าวว่า การที่นายกรัฐมนตรี ระบุเงื่อนไขในการยุบสภา 3 ข้อ คือ 1.ภาวะเศรษฐกิจฟื้น 2.แก้ไขกติกาเลือกตั้ง 3.ให้ประเทศสงบเรียบร้อย แปลความได้ง่ายๆ คือ ไม่ยุบ ซึ่งการยุบสภาเป็นวิธีดีที่สุดในการแก้ปัญหาสถานการณ์การเมืองขณะนี้ แต่เป็นทางออกที่เป็นไปได้น้อยที่สุด ส่วนเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการยุบสภาในเวลานี้มี 10 ข้อคือ 1.ปัญหาการแต่งตั้ง ผบ.ตร. 2.ผู้มีพระคุณของรัฐบาลแตกกันเละ 3.การทุจริตคอร์รัปชั่น 4.การแก้รัฐธรรมนูญ 5.กับดักของรัฐธรรมนูญ เช่น มาตรา 190 หรือ 237 6.กระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน 7.โรคทักษิโนโฟเบีย หรือโรคกลัวทักษิณขึ้นสมอง 8.ความสามารถในการควบคุมสื่อของรัฐบาล 9.การฝากชะตากรรมไว้กับผู้นำที่มีภาวะผู้นำบกพร่องอย่างร้ายแรง 10.เกิดภาวะสุญญากาศทางอำนาจ ที่ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจแน่นอน ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรีบยุบสภา เพื่อหาทางลงจากหลังเสือโดยไม่เจ็บตัว จากนั้นหากพรรคใดได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ก็ให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาแก้ไข ก่อนส่งให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบ และทำประชามติจากประชาชนอีกครั้ง

ขณะที่ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า เชื่อว่า ปัญหาสถานการณ์การเมืองขณะนี้ นายกรัฐมนตรีอยากยุบสภา แต่ติดเงื่อนไขว่า หากเลือกตั้งแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ 100% แต่ถ้านายกรัฐมนตรีคิดเพื่อส่วนรวม ควรรีบยุบสภา เพราะการยุบสภาช่วงนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากที่สุด เป็นการคืนอำนาจประชาธิปไตยให้ประชาชน หากพรรคประชาธิปัตย์แพ้ ก็ควรหยุดก่อกวน เปิดโอกาสให้พรรคอื่นบริหารประเทศ เช่นเดียวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) หากแพ้เลือกตั้ง แล้วออกมาก่อกวนข้างถนน ต่อไปนี้คงไม่มีใครให้ราคาอีกแล้ว