ที่มา ข่าวสด
ชกไม่มีมุมวงค์ ตาวัน
คณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร.นั้น มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแค่ตรายาง แทนที่จะเป็นด่านกลั่นกรอง ความถูกต้องของบัญชีโยกย้ายระดับนายพล กลับทำหน้าที่เป็นตราประทับรับรองให้กับผู้มีอำนาจ
โดยเฉพาะอำนาจของฝ่ายการเมือง*หลายครั้งมักเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง ไม่ใช่ทุกยุคเสมอไป*กระนั้นก็ตาม เริ่มมีเสียงวิจารณ์ว่า นับตั้งแต่มีก.ต.ช.หรือคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ เข้ามาทำหน้าที่แต่งตั้งผบ.ตร.กลายเป็นว่าก.ต.ช. คือ ด่านหินของนักการเมือง ไม่ใช่ตรายางนายกฯอภิสิทธิ์ หงายหลังมาแล้ว
และคาดว่าถ้ายังเสนอชื่อผู้ขึ้นเป็นผบ.ตร.แบบเดิม ก็คงยากจะได้คะแนนเสียงเห็นชอบถึงขณะนี้ยังเป็นที่ยืนยันว่า เสียงข้างมากของก.ต.ช.ยังยึดมั่นในพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ดังเดิมเป็นของจริง ไม่ใช่แค่แอบอ้าง!!ก.ต.ช.เกิดจากพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547
ซึ่งกำหนดให้ทำหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปตามนโยบายรวมทั้งทำหน้าที่แต่งตั้งผบ.ตร.กรรมการมี 10 คน เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน รมว.มหาดไทย ปลัดมหาดไทย รมว.ยุติธรรม ปลัดยุติธรรม ผบ.ตร. เลขาฯสมช. อีก 4 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีนายกฯเป็นประธาน ซึ่งเป็นคนที่ 11ความที่ก.ต.ช.ทำหน้าที่พิจารณาแต่งตั้งเพียงตำแหน่งเดียว
จึงมีเงื่อนไขสำหรับเจรจาต่อรองลดน้อยลง!ก.ต.ช. เป็นตัวของตัวเองมากกว่าต่างจากก.ตร. ซึ่งทำหน้าที่แต่งตั้งนายพลตั้งแต่รองผบ.ตร.ลงไปถึงผู้การ จึงมีรายการแบ่งเค้กไม่เท่านั้น ก.ต.ช.ชุดปัจจุบัน ยังมีลักษณะพิเศษ เมื่อมท.1และปลัดมท.ไม่ใช่พรรคนายกฯ ส่วนผบ.ตร.ก็ยังไล่ทุบไล่หวด แต่ก็ปลดไม่ได้
แล้วแบบนี้จะต้องกลัวอะไรกันอีกแต่ความเป็นพรรคต่างกัน ก็มิได้หมายความว่า จะต่อรองผลประโยชน์ระหว่างพรรคกันได้เนื่องจากข้อมูลที่มาของพล.ต.อ.จุมพล ซึ่งทำให้ก.ต.ช.เสียงข้างมากสนับสนุนนั้น เป็นเรื่องใหญ่
ไม่ใช่เรื่องของพรรคหรือกลุ่มการเมืองใดมท.1 ปลัดมท. ผบ.ตร. นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ จึงเป็น 5 เสียงที่โหวตให้นายนพดล อินนา ซึ่งงดออกเสียง แต่ก็อภิปรายสนับสนุนพล.ต.อ.จุมพลอย่างชัดเจนแม้นายกฯยังเชื่อมั่นในชื่อปทีปแต่ 6 เสียงนี้ยังเชื่อมั่นในชื่อจุมพล เชื่ออย่างสูงยิ่งกว่าเสียอีก!
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552
ประชาธิปัตย์กำลังเรียนรู้"การบ้าอำนาจ"
Learning authoritarianismAugust 28, 2009
ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
ไม่ต้องคลางแคลงใจกันหรอกว่า พรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยจะเรียนรู้การเป็นเผด็จการได้อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใจกว้างในทางการเมือง แต่ก็เคยนะ สักระยะหนึ่ง เริ่มต้นลงเล่นบนเวทีการเมือง โดยพัฒนาตัวเองมาจากพรรคนิยมเจ้าในวงแคบๆ ไปเป็นพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “วงใน” ของอีกรูปแบบหนึ่งของเผด็จการทางทหาร
พรรคได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว จากที่เคยให้การสนับสนุนอย่างระมัดระวังในการทำรัฐประหารของ....และกองทัพในปี พ.ศ.๒๕๔๙ สนับสนุนในการร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๕๑ ของกองทัพ ร้องแรกแหกกระเชอสนับสนุนพันธมิตรให้ออกมาเล่นการเมืองบนท้องถนน และจัดตั้งรัฐบาลโดยการแอบสมคบคิดกับกองทัพ และนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น พรรคประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นพรรคที่นิยมกับการเมืองแบบเผด็จการอย่างรวดเร็ว
ตลอดเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) ได้เคยแสดงให้เห็นว่า พรรคได้ตกต่ำจนกลายไปเป็นเผด็จการในการคุมอำนาจทางการเมือง เราไม่ได้ใส่ลิ้งค์ไว้ในที่นี้ ขอเชิญท่านผู้อ่านใช้ตัวช่วยในการค้นหา(Search) ซึ่งรวมถึง: นายกรัฐมนตรีถูกจับได้ว่าบิดเบือนความจริง, การใช้กองกำลังต่อต้านการประท้วงอย่างรุนแรง, การตรวจสอบสื่ออย่างบ้าคลั่ง, การใช้.....เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองของตัวเองอย่างเปิดเผย (และ.......มีความสุขร่วมไปด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์) รวมถึงการใช้กฎหมายหมิ่นฯที่โหดร้าย, การจับตัวนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม, การสร้างความหวาดกลัว, การเลือกที่รักมักที่ชังในบรรดาข้าราชการ (แน่ละ มันไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่), การโกงกิน, การทำทารุณกรรมต่อผู้อพยพ, การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้, และการจัดการที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับการที่ตำรวจและกองทัพใช้อำนาจในทางที่ผิด
เรื่องต่างๆยังมีอีกเพียบ และเริ่มดูจะใกล้เคียงกับที่เคยโจมตีอย่างต่อเนื่องไว้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว สิ่งที่น่าวิตกในขณะนี้ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะค้นพบว่า การใช้กำลังปราบปรามอย่างบ้าคลั่งต่อนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะในยามที่ได้รับแรงสนับสนุนจากสื่อที่เซ็นเซอร์ตัวเองและถูกทำให้เชื่อง และชนชั้นกลางที่ขี้ตื่นกลัว พัทยาถือว่าเป็นความหายนะของพรรคประชาธิปัตย์ แต่การปราบปรามผู้ลุกฮือในวันสงกรานต์ แสดงให้เห็นความล้ำหน้าของพรรคประชาธิปัตย์
จากบางกอกโพสต์ (วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “กรุงเทพถูกยึด”) ดูจะเหมาะกว่าถ้าพูดว่า: กรุงเทพถูกกองทัพและตำรวจนับพันนายบุกเข้ายึดพื้นที่ การเข้ายึดเพื่อความมั่นคงถูกนำมาอ้างว่าเพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขี้น แต่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในที่โหดร้ายนี้ มีความหมายนอกเหนือไปจากแค่เพื่อการป้องกัน แท้จริงแล้วเป็นการป้องกันการประท้วงที่ถูกกฎหมายเสียมากกว่า พระราชวังดุสิต ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภากลายเป็นสถานที่ห้ามเข้า และถนนบริเวณนั้นจะปลอดจากผู้ประท้วงและเสื้อแดง
พีพีทีเชื่อว่า แค่เป็นการฝึกการบ้าอำนาจในการรับมือของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร เป็นผู้อนุมัติให้มีการลงมือปราบปรามอย่างรุนแรง ยังมีพื้นที่อื่นๆซึ่งอาจจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามมิให้มีการประท้วงด้วยเช่นกัน รัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนยังคงอ้างเรื่องเดิมๆของ “มือที่สาม” เป็นข้ออ้างที่กองทัพนำมาใช้เมื่อมีการปราบปรามในทศวรรษที่ผ่านมาเสมอ อภิสิทธิ์ชื่นชมกับความมีประสิทธิภาพของพระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน…ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว”
ตำรวจได้เตือนแกนนำ นปช. ในขณะที่รัฐมนตรี สาธิต วงศ์หนอยเตย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีจิตใจคับแคบได้กล่าวกับสื่อว่า “เขาจะไม่ห้ามสื่อในการรายงานการชุมนุม แต่จะขอร้องให้สื่อให้ความระมัดระวังในการรายงานข่าว และตรวจทานก่อนที่จะเสนอความจริงออกไป” หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า นี่ไม่ใช่การห้าม แต่เป็นแค่การเตือน นี่มันขู่กันอย่างชัดๆ
อีกรายงานจากสื่อ (บางกอกโพสต์ วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “แต่งตั้งสุเทพเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคง”) เป็นการแสดงถึงรูปแบบที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นศูนย์ปฎิบัติการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมีรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธาน ผู้ประท้วงจะถูกตรวจค้นก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่ นายสุเทพได้อ้างอย่างไม่น่าเชื่อว่า “กองกำลังของรัฐบาลจะยึดมั่นกับหลักการของความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน”
อภิสิทธิ์ไม่ต้องการยุบสภา เขาทราบดีว่า พรรคของเขาอาจจะไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือจนกระทั่งทั้งตัวเขาและผู้หนุนหลัง มีแผนการเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
หนทางซึ่งไปสู่การปกครองแบบเผด็จการนั้น ทั้งสั้นและไม่ราบรื่น และพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังอยู่บนเส้นทางสายนี้ และดูเหมือนจะมีความสุขอย่างเหลือเชื่อกับเส้นทางสายนี้เสียด้วย
ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
ไม่ต้องคลางแคลงใจกันหรอกว่า พรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยจะเรียนรู้การเป็นเผด็จการได้อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใจกว้างในทางการเมือง แต่ก็เคยนะ สักระยะหนึ่ง เริ่มต้นลงเล่นบนเวทีการเมือง โดยพัฒนาตัวเองมาจากพรรคนิยมเจ้าในวงแคบๆ ไปเป็นพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “วงใน” ของอีกรูปแบบหนึ่งของเผด็จการทางทหาร
พรรคได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว จากที่เคยให้การสนับสนุนอย่างระมัดระวังในการทำรัฐประหารของ....และกองทัพในปี พ.ศ.๒๕๔๙ สนับสนุนในการร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๕๑ ของกองทัพ ร้องแรกแหกกระเชอสนับสนุนพันธมิตรให้ออกมาเล่นการเมืองบนท้องถนน และจัดตั้งรัฐบาลโดยการแอบสมคบคิดกับกองทัพ และนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น พรรคประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นพรรคที่นิยมกับการเมืองแบบเผด็จการอย่างรวดเร็ว
ตลอดเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) ได้เคยแสดงให้เห็นว่า พรรคได้ตกต่ำจนกลายไปเป็นเผด็จการในการคุมอำนาจทางการเมือง เราไม่ได้ใส่ลิ้งค์ไว้ในที่นี้ ขอเชิญท่านผู้อ่านใช้ตัวช่วยในการค้นหา(Search) ซึ่งรวมถึง: นายกรัฐมนตรีถูกจับได้ว่าบิดเบือนความจริง, การใช้กองกำลังต่อต้านการประท้วงอย่างรุนแรง, การตรวจสอบสื่ออย่างบ้าคลั่ง, การใช้.....เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองของตัวเองอย่างเปิดเผย (และ.......มีความสุขร่วมไปด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์) รวมถึงการใช้กฎหมายหมิ่นฯที่โหดร้าย, การจับตัวนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม, การสร้างความหวาดกลัว, การเลือกที่รักมักที่ชังในบรรดาข้าราชการ (แน่ละ มันไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่), การโกงกิน, การทำทารุณกรรมต่อผู้อพยพ, การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้, และการจัดการที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับการที่ตำรวจและกองทัพใช้อำนาจในทางที่ผิด
เรื่องต่างๆยังมีอีกเพียบ และเริ่มดูจะใกล้เคียงกับที่เคยโจมตีอย่างต่อเนื่องไว้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว สิ่งที่น่าวิตกในขณะนี้ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะค้นพบว่า การใช้กำลังปราบปรามอย่างบ้าคลั่งต่อนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะในยามที่ได้รับแรงสนับสนุนจากสื่อที่เซ็นเซอร์ตัวเองและถูกทำให้เชื่อง และชนชั้นกลางที่ขี้ตื่นกลัว พัทยาถือว่าเป็นความหายนะของพรรคประชาธิปัตย์ แต่การปราบปรามผู้ลุกฮือในวันสงกรานต์ แสดงให้เห็นความล้ำหน้าของพรรคประชาธิปัตย์
จากบางกอกโพสต์ (วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “กรุงเทพถูกยึด”) ดูจะเหมาะกว่าถ้าพูดว่า: กรุงเทพถูกกองทัพและตำรวจนับพันนายบุกเข้ายึดพื้นที่ การเข้ายึดเพื่อความมั่นคงถูกนำมาอ้างว่าเพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขี้น แต่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในที่โหดร้ายนี้ มีความหมายนอกเหนือไปจากแค่เพื่อการป้องกัน แท้จริงแล้วเป็นการป้องกันการประท้วงที่ถูกกฎหมายเสียมากกว่า พระราชวังดุสิต ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภากลายเป็นสถานที่ห้ามเข้า และถนนบริเวณนั้นจะปลอดจากผู้ประท้วงและเสื้อแดง
พีพีทีเชื่อว่า แค่เป็นการฝึกการบ้าอำนาจในการรับมือของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร เป็นผู้อนุมัติให้มีการลงมือปราบปรามอย่างรุนแรง ยังมีพื้นที่อื่นๆซึ่งอาจจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามมิให้มีการประท้วงด้วยเช่นกัน รัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนยังคงอ้างเรื่องเดิมๆของ “มือที่สาม” เป็นข้ออ้างที่กองทัพนำมาใช้เมื่อมีการปราบปรามในทศวรรษที่ผ่านมาเสมอ อภิสิทธิ์ชื่นชมกับความมีประสิทธิภาพของพระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน…ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว”
ตำรวจได้เตือนแกนนำ นปช. ในขณะที่รัฐมนตรี สาธิต วงศ์หนอยเตย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีจิตใจคับแคบได้กล่าวกับสื่อว่า “เขาจะไม่ห้ามสื่อในการรายงานการชุมนุม แต่จะขอร้องให้สื่อให้ความระมัดระวังในการรายงานข่าว และตรวจทานก่อนที่จะเสนอความจริงออกไป” หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า นี่ไม่ใช่การห้าม แต่เป็นแค่การเตือน นี่มันขู่กันอย่างชัดๆ
อีกรายงานจากสื่อ (บางกอกโพสต์ วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “แต่งตั้งสุเทพเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคง”) เป็นการแสดงถึงรูปแบบที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นศูนย์ปฎิบัติการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมีรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธาน ผู้ประท้วงจะถูกตรวจค้นก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่ นายสุเทพได้อ้างอย่างไม่น่าเชื่อว่า “กองกำลังของรัฐบาลจะยึดมั่นกับหลักการของความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน”
อภิสิทธิ์ไม่ต้องการยุบสภา เขาทราบดีว่า พรรคของเขาอาจจะไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือจนกระทั่งทั้งตัวเขาและผู้หนุนหลัง มีแผนการเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
หนทางซึ่งไปสู่การปกครองแบบเผด็จการนั้น ทั้งสั้นและไม่ราบรื่น และพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังอยู่บนเส้นทางสายนี้ และดูเหมือนจะมีความสุขอย่างเหลือเชื่อกับเส้นทางสายนี้เสียด้วย
เป็นอะไรไปแล้ว!!??
ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
จากข่าวผู้มีบารมีในรัฐบาลพูดกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาล หลายคนในวงสนทนามื้อพิเศษ"จะพยายามประคับ
ประคองรัฐบาลไปให้ได้ถึงมกราคมปีหน้า"จนถึงข่าวจากปาก"พ่อเนวิน"ชัย ชิดชอบ"อาจมีการยุบสภาเร็วๆ
นี้"
กระทั่งสดๆ ร้อนๆ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ บ่นจะลาออกจากเลขาธิการนายกฯบรรยากาศมันทะแม่งๆ สอดรับกันโดยมิได้นัดหมายสืบสาวราวเรื่องลึกลงไป แม้จะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องแต่แทบทุกปัจจัยมีนายกฯอภิสิทธิ์เป็นปฐมเหตุบรรยากาศทะแม่งๆ เช่น
ระยะนี้ผู้มีบารมีทั้งในและนอกรัฐบาลนัดพบกันบ่อยครั้งขึ้นทุกครั้งมีนายกฯเป็นหัวข้อใหญ่?ผบ.เหล่าทัพกับขุนทหาร พากันลับ ลวง พรางอย่างผิดปกติหลายกรณีสื่อไปถึงนายกฯโดยตรง?และที่มองข้ามไม่ได้ก็คืออาการ"เทพเทือก"ผู้จัดการรัฐบาลระยะหลังทำตัวปลงๆ ผิดวิสัยคำพูดประเภท "ผมมันแค่รองนายกฯ"
หรือ"นายกฯเป็นเจ้านายผม"หล่นออกมาเรียกความเห็นใจถี่ยิบเช่นเดียวกับนิพนธ์ตั้งแต่กลับจากเยอรมันผมหงอกเพิ่มหลายเส้น!หน้าตาเคร่งเครียด ความดันพุ่งทุกครั้งที่จับเข่าคุย กับนายกฯคนชอบเก็บตัว ใจคอเยือกเย็น
มีอารมณ์สุนทรีย์ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ จะบ่นให้บุคคลที่ 3 ที่ 4 ได้ยินหรือ?ที่สำคัญไม่ได้บ่นธรรมดา แต่บ่นแรง บ่นบ่อยแบบ ไม่เคยพบเคยเห็นนายกฯรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ ทว่าคนที่รู้จักเลขาธิการนายกฯ คนนี้ต่างตกใจกับนิพนธ์
หนักใจกับอภิสิทธิ์!!ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ว่าหัวดำ หัวหงอก ล้วนตั้งคำถามนายกฯเป็นอะไรไป??การมั่นใจตัวเองทั้งเรื่องซื่อสัตย์ และยึดมั่นกฎหมายไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นต่าง ไม่เห็นด้วย จะไม่ซื่อสัตย์ ไม่ยึดมั่นกฎหมายทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง แข็งได้ อ่อนได้ พลิกแพลงได้โดยกฎหมายยังอยู่ ซื่อสัตย์ยังครบอยู่ที่ว่า
คิดเป็น ทำเป็น แก้เป็น บริหารเป็น หรือไม่รวมความแล้วไปๆ มาๆ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่องก็มาจบลงตรง"ภาวะผู้นำ"ของนายกฯ!?
เหล็กใน
จากข่าวผู้มีบารมีในรัฐบาลพูดกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาล หลายคนในวงสนทนามื้อพิเศษ"จะพยายามประคับ
ประคองรัฐบาลไปให้ได้ถึงมกราคมปีหน้า"จนถึงข่าวจากปาก"พ่อเนวิน"ชัย ชิดชอบ"อาจมีการยุบสภาเร็วๆ
นี้"
กระทั่งสดๆ ร้อนๆ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ บ่นจะลาออกจากเลขาธิการนายกฯบรรยากาศมันทะแม่งๆ สอดรับกันโดยมิได้นัดหมายสืบสาวราวเรื่องลึกลงไป แม้จะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องแต่แทบทุกปัจจัยมีนายกฯอภิสิทธิ์เป็นปฐมเหตุบรรยากาศทะแม่งๆ เช่น
ระยะนี้ผู้มีบารมีทั้งในและนอกรัฐบาลนัดพบกันบ่อยครั้งขึ้นทุกครั้งมีนายกฯเป็นหัวข้อใหญ่?ผบ.เหล่าทัพกับขุนทหาร พากันลับ ลวง พรางอย่างผิดปกติหลายกรณีสื่อไปถึงนายกฯโดยตรง?และที่มองข้ามไม่ได้ก็คืออาการ"เทพเทือก"ผู้จัดการรัฐบาลระยะหลังทำตัวปลงๆ ผิดวิสัยคำพูดประเภท "ผมมันแค่รองนายกฯ"
หรือ"นายกฯเป็นเจ้านายผม"หล่นออกมาเรียกความเห็นใจถี่ยิบเช่นเดียวกับนิพนธ์ตั้งแต่กลับจากเยอรมันผมหงอกเพิ่มหลายเส้น!หน้าตาเคร่งเครียด ความดันพุ่งทุกครั้งที่จับเข่าคุย กับนายกฯคนชอบเก็บตัว ใจคอเยือกเย็น
มีอารมณ์สุนทรีย์ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ จะบ่นให้บุคคลที่ 3 ที่ 4 ได้ยินหรือ?ที่สำคัญไม่ได้บ่นธรรมดา แต่บ่นแรง บ่นบ่อยแบบ ไม่เคยพบเคยเห็นนายกฯรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ ทว่าคนที่รู้จักเลขาธิการนายกฯ คนนี้ต่างตกใจกับนิพนธ์
หนักใจกับอภิสิทธิ์!!ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ว่าหัวดำ หัวหงอก ล้วนตั้งคำถามนายกฯเป็นอะไรไป??การมั่นใจตัวเองทั้งเรื่องซื่อสัตย์ และยึดมั่นกฎหมายไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นต่าง ไม่เห็นด้วย จะไม่ซื่อสัตย์ ไม่ยึดมั่นกฎหมายทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง แข็งได้ อ่อนได้ พลิกแพลงได้โดยกฎหมายยังอยู่ ซื่อสัตย์ยังครบอยู่ที่ว่า
คิดเป็น ทำเป็น แก้เป็น บริหารเป็น หรือไม่รวมความแล้วไปๆ มาๆ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่องก็มาจบลงตรง"ภาวะผู้นำ"ของนายกฯ!?
วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552
มาร์คต้องพิสูจน์ คลิปเสียงฉาว

คลิปนี้ท่านได้ แต่ใดมาจอมขมังเวทมนตรา จัดให้ทำชอบสิ่งใดนา วานบอกเราขัดใจท่านไซร้ ท่านให้รางวัลถึงวันนี้เรื่องของคลิปฉาวเสียง นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้เป็นแค่เพียงทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ไปทั่วบ้านทั่วเมือง และแม้กระทั่งต่างประเทศ
โดยเฉพาะคนไทยในต่างแดนเท่านั้นแต่ยังเป็นข้อถกเถียงบนพื้นฐานของการต้องรู้ความจริงด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไรแน่นอนว่า วันนี้ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์ และบรรดาผู้เกี่ยวข้องบรรดาผู้มีหน้าที่ในรัฐบาลชุดนี้
รวมไปถึงกระทั่งบรรดาเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานกระทรวงไอซีที ซึ่งต้องตรวจสอบ สอบสวนตามหน้าที่หรือแม้แต่กระทั่งหมอชันสูตรศพ อย่าง พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม ก็ยังต้องออกมาร่วมแจมชันสูตรเสียงพร้อมกับยืนยันว่าตัดต่อชัวร์ 100%พบพิรุธมากถึง 62 จุดแน่นอนว่า บางกอกทูเดย์เองก็เชื่อมั่นในคำยืนยันของนายกฯ อภิสิทธิ์ตลอดจนบรรดาคนอื่นๆ
ที่ออกมาร่วมด้วยช่วยกันยืนยันทั้งหลายว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ไม่ได้พูดแบบที่ปรากฏในคลิปเสียงอย่างแน่นอนปัญหามีอยู่แค่เพียงว่า บังเอิญเสียงนั้นเป็นเสียงของนายกฯ อภิสิทธิ์ จริงๆ ซึ่งนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ยอมรับว่าเป็นเสียงของตนเองจริงๆ แต่คำพูดทั้งหมดนั้นไม่ใช่เป็นการตัดต่อร้อยเรียงใหม่ เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ของผู้กระทำซึ่งในกลุ่มผู้ที่มีความรู้ในเรื่องวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ผู้ที่อยู่ในแวดวง Sound Engineer หรือผู้ที่หลงใหลในโลกไซเบอร์ปัจจุบันอาจจะเข้าใจและยอมรับได้ถึงเรื่องการตัดต่อเปลี่ยนแปลงคำพูด
ซึ่งจะทำให้เกิดความเชื่อถือ เช่นเดียวกับที่บางกอกทูเดย์เชื่อถือว่า แม้เป็นเสียงของนายกฯ อภิสิทธิ์ แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ไม่ได้พูดตามคลิปฉาวเป๊ะๆ อย่างนั้นแน่นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในกลุ่มของผู้ที่เข้าใจเทคโนโลยีในเรื่องเสียงแต่คนไทยทั้งประเทศรวมทั้งแม้แต่คนไทยในต่างแดนไม่ได้เป็น Sound Engineer
หรือไม่ได้เข้าใจในเรื่องเทคนิคเหล่านี้ไปทั้งหมดทำให้ในวันนี้ยังคงมีการเมาธ์กันไม่เลิก ยังคงมีการพูดกันไม่จบแถมทำให้สังคมแตกแยกทางความคิดกันมากขึ้น สุดแท้แต่ว่าจะนิยมฝ่ายไหนซึ่งนี่คือปัญหาของประเทศและเมื่อในเวลานี้ นายกฯ อภิสิทธิ์ ดูแลบริหารประเทศรับผิดชอบในเรื่องชื่อเสียงของประเทศ ตลอด
จนภาพลักษณ์ของประเทศในการเป็นประเทศในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจะปล่อยให้เกิดความสงสัยใดๆ ไม่ได้เลยว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เป็นพวกที่นิยมความรุนแรงเพราะในความเป็นจริง รู้ และเชื่อกันอยู่ว่า
ไม่ได้นิยมความรุนแรงดังนั้น วันนี้จำเป็นที่จะต้องบอกว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องยืนยัน พิสูจน์ และสร้างความกระจ่างให้กับประชาชนคนไทยทุกคนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อเขียวหรือแม้แต่กระทั่งเสื้อน้ำเงิน เสื้อขาว อะไรก็ตามแต่ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีความรู้เป็นอย่างดีในเรื่อง Sound Engineerหรือตามี ยายมา เด็กจุก เด็กเปียทุกคนจะต้องกระจ่างว่า เห็นหรือไม่ เสียงนายกฯ อภิสิทธิ์โดนตัดต่อจริงๆการพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้
สำคัญเสียยิ่งกว่าการประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง เสียด้วยซ้ำเพราะการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ก็เพียงแค่การใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีสยบไม่ให้กลุ่มคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวแต่ไม่ได้หมายความว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องเห็นด้วยหรือจะต้องยอมรับกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงดังกล่าวในขณะที่เรื่องของคลิปฉาวกับคำพูดที่นิยมหรือฝักใฝ่ความรุนแรงนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่จะใช้แค่อำนาจกฎหมายมากดดันให้ยุตินั้นไม่เพียงพอจุดสำคัญ คือ จะต้องให้ประชาชนคนไทยทุกคนเป็นพวกพ้องและยอมรับโดยสนิทใจว่าเป็นการตัดต่อเสียงตราบใดก็ตามที่ไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นชัด ให้กระจ่างกับ
คนทุกระดับทุกกลุ่ม เรื่องนี้ยากที่จะหยุดการเมาธ์หรือการเข้าใจผิดได้แน่ดังนั้น ขณะนี้นายกฯ อภิสิทธิ์ จะต้องเร่งดำเนินการพิสูจน์ซึ่งสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยากก็คือ ลงมือทำให้เห็นกันชัดๆทั่วประเทศไปเลยด้วยการเอาเสียงจริง ประโยคจริง ที่นายกฯ อภิสิทธิ์และบรรดาคนใกล้ชิดที่ระบุอยู่แล้วว่า เป็นการเอามาจากต้นฉบับ
เสียงการออกอากาศรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2552หรือที่บอกว่ามีที่มา 3 ที่ คือ รายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯช่วงวันที่ 19 เม.ย. ช่วงวันที่ 26 เม.ย. และเว็บไซต์นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีการตัดต่อคลิปเสียงที่ไปพูดในรายการต่างๆฉะนั้น ย่อมจะต้องมีต้นฉบับตัวจริงอยู่แล้วจึงควรนำมาประกบกันคำต่อคำ
ประโยคต่อประโยคให้ประชาชนได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งแดงแจ๋ไปเลยว่าคำพูดจริงคืออะไร...คำพูดที่ถูกตัดต่อคืออะไรยกตัวอย่าง เช่น กรณีเอาเสียงนายกฯ อภิสิทธิ์ มาตัดต่อเป็นประโยคว่า ผมจะได้ชำระสะสางในเรื่องเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ผู้ชุมนุมจะต้องได้รับบทเรียนก็เอามาให้เปรียบเทียบให้เห็นกันเลยว่าประโยคที่ว่า
“ผมจะได้ชำระสะสางในเรื่องเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น” จริงแล้วอาจจะเป็นการพูดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯว่าจะเข้ามาดูแลปัญหาขยะล้น กทม. บ้านเมืองไม่เรียบร้อยรุงรังจำเป็นที่จะต้องกำจัดขยะเรียกว่า ดึงออกมาเลยว่าประโยคนี้ความหมายที่แท้จริงหรือเรื่องที่พูดถึงเป็นแบบนี้ เพื่อที่คนจะได้เข้าใจกันชัดๆหรือประโยคที่ว่า “ผู้ชุมนุมจะต้องได้รับบทเรียน”
ซึ่งจริงๆแล้วประโยคที่แท้จริงอาจจะไม่ได้หมายถึงกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเลยก็ได้ อาจจะหมายถึงการชุมนุมของกลุ่มสมัชชาคุณธรรมกลุ่มประชาชนที่มาบำเพ็ญประโยชน์ส่วนเรื่องบทเรียนที่จะได้รับ ก็อาจจะเป็นบทเรียนในเรื่องการทำดีแล้วต้องได้รับผลดีหรือแม้แต่กระทั่งว่า บทเรียนที่ว่าเป็นบทเรียน ก.ไก่ ก.กาอะไรก็ตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ พูดในวันนั้นประชาชนจะได้ชัดเจน อ๋อ! ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เองที่แท้นายกฯ อภิสิทธิ์ พูดในเรื่องนี้ ในประเด็นนี้นี่เองหากมีการพิสูจน์กันจะจะ เจ๋งๆ ให้ได้เห็นเลยอย่างที่ว่าประโยคไหนถูกดึงมาจากตรงไหน แน่นอนว่ากรณีนี้จะชัดเจนและกระจ่างชัดที่สุด
เพราะในทางเทคนิคปัจจุบันสามารถทำได้ และทำได้ตรงทั้งไลน์หรือเส้นเสียงของเสียงคนพูด คือ นายกฯ อภิสิทธิ์และไลน์ของแบ็กกราวด์เสียงรอบข้างที่เกิดขึ้นในขณะนั้นแม้บางเสียงที่เป็นแบ็กกราวด์อาจจะไม่ใช่เสียงที่หูของมนุษย์ปกติจะได้ยิน แต่เครื่องแยกเสียงที่ทันสมัยในปัจจุบันสามารถที่จะเร่งเสียงขึ้นมาให้หูของมนุษย์รับฟังได้ถ้าประโยคตรงกัน ถ้าแบ็กกราวด์เสียงตรงกัน จะเป็นข้อพิสูจน์ชัดเจนอย่างที่สุดเลยว่า นี่เป็นการตัดต่อเอาประโยคของนายกฯ อภิสิทธิ์ มาใช้จริงๆจะหมดข้อถกเถียง จะไร้สิ้นซึ่งข้อครหาใดๆ ทั้งปวง
เรื่องจะได้จบพร้อมกับความสง่างามของนายกฯ อภิสิทธิ์ เองเพราะตลอดมานายกฯ อภิสิทธิ์ แม้จะยอมรับว่าเป็นเสียงของตนเองจริง แต่มีการตัดต่อ เพราะช่วงระดับเสียงไม่เท่ากัน และไม่เคยพูดในลักษณะเช่นนั้นรวมทั้งยืนยันว่า นโยบายแก้ไขปัญหาการชุมนุมอยู่บนพื้นฐานหลักกฎหมายในการเคารพสิทธิเสรีภาพอย่างชัดเจนไม่เคยต้องการเห็นการใช้ความรุนแรงหรือการทำร้ายกัน“ผมพร้อมให้พิสูจน์เรื่องนี้ คนที่ทำมีเจตนาทำร้ายบ้านเมืองชัดเจน
ต้องการยั่วยุให้บ้านเมืองเกิดความรุนแรง หรือจะเป็นการช่วยเหลือคดีบุคคลที่ผมฟ้องร้องอยู่ก็ดีก็อยากเตือนอีกครั้งว่ามันผิดกฎหมาย จึงอยากเตือนหลายคนที่ไม่เจตนาแต่ส่งคลิปนี้ต่อไปให้คนอื่น อาจจะมีความผิดทางกฎหมายด้วย” นั่นคือคำกล่าวของนายกฯอภิสิทธิ์ ซึ่งสมาร์ทอยู่แล้วฉะนั้น จึงน่าที่จะต้องเร่งพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้ให้ชัดเจนกระจ่าง และเป็นที่ยอมรับขืนปล่อยให้คลุมเครือแบบนี้ จะมากจะน้อยถ้ายังมีคน
ไม่เชื่อก็จะกระทบกับภาพลักษณ์ของนายกฯ อภิสิทธิ์ อยู่นั่นเองเวลานี้จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากพิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์ว่าคลิปฉาวที่แสบสันต์นี้...เท็จหรือจริง???รวมทั้งอย่าลืมที่จะไตร่ตรองทบทวนด้วยว่า ที่สังคมมองกัน2 ด้านว่า เป็นฝีมือใคร ระหว่าง “ฝ่ายตรงข้าม” กับ“คนใกล้ตัว” นั้นนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็ควรต้องกระจ่างด้วยเช่นกัน ■
การเมืองร้อน-เกมแรง ทางเลือก"อภิสิทธิ์"ชะตากรรมบนปากเหว
ที่มา มติชน
ปัจจัยหลักที่จะทำให้รัฐบาลอยู่หรือไปเวลานี้ ไม่ใช่เกิดจาก "ศึกนอก"หากแต่เป็น "ศึกใน""ศึกใน" ที่ถูกฉายภาพออกมาจนโดดเด่นชัดเจนว่า "ขัดแย้งกันจริง"และ "รุนแรง" อาจถึงขั้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบโดยเฉพาะตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณชัดๆ ผ่านนายกฯอภิสิทธิ์และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
หลังเดินทางกลับมาจากเยอรมนีว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.เป็นความชัดเจนที่ว่ากันว่า ทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะคำกล่าวอ้างของ "นิพนธ์" บ่งบอกถึงความต้องการของ "ผู้ใหญ่ที่เคารพ"ขณะที่อีกฝ่ายคือ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจ ก็มี "ผู้ใหญ่ที่เคารพ" ออกแรงหนุนเช่นกันคำพูดที่ส่งสัญญาณผ่านแกนนำพรรคภูมิใจไทย อย่าง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล
ในฐานะ กตช. ก็ชัดเจนว่า ให้สนับสนุน พล.ต.อ.จุมพลที่น่ากลัวก็คือ คำพูดของ "นิพนธ์" ที่ถูกกล่าวอ้างว่า ถ้ายังดื้อดึงอาจจะเป็นเรื่องยากในการบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปไม่มีใครรู้เหตุผลว่า ทำไม "คนพวกเดียวกัน" ต้องยืนคนละมุม ทั้งที่สามารถพูดคุยกันได้ที่สำคัญ ไม่มีใครรู้เหตุผลที่ลึกกว่านั้นว่า
ทำไม ต้อง พล.ต.อ.ปทีปทำไม ต้อง พล.ต.อ.จุมพลไม่มีคำตอบ ไม่มีเหตุผลแต่หากสามารถทำให้ชะตากรรมนายกรัฐมนตรียืนอยู่ปากเหวได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯอภิสิทธิ์แต่ไม่ว่าจะออกทางไหน ต้องยอมรับว่าเวลานี้แรงบีบของคนเคยรักกัน เป็นแรงบีบที่หนักหนาสาหัส
ถึงกับมีเสียงเล็ดลอดออกจากปากนายกฯอภิสิทธิ์ ในทำนอง "เล่นกันขนาดนี้เลยหรือ"เมื่อดูธรรมชาติบวกกับความมั่นใจตัวเองของนายกฯอภิสิทธิ์ทำให้หลายฝ่ายหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยกับ "เด็กดื้อ" ที่มีเวทมนตร์อยู่ในมือเสียงกระซิบเบาๆ ของ "ชัย ชิดชอบ" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ว่าหลังผ่านงบประมาณวาระ 3 อาจจะมีการ "ยุบสภา"
ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลย และไกลเกินความเป็นจริงหากคนที่ถืออำนาจในการ "ยุบสภา" ในมือมองว่าถูกรังแก ทำร้ายจากเพื่อนห้องเดียวกัน และทนภาวะที่กดดันไม่ไหวแต่ถามว่า "กล้าหรือไม่"?เพราะการจะยุบสภา ต้องมององค์ประกอบรอบด้าน ที่ชัดเจนคือฝ่ายทหาร ที่เวลานี้มองว่ารัฐบาลอ่อนแอขณะที่เงาทมึนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กลับแข็งแรงและกำลังทาบทับทุกส่วนของด้ามขวานทองฉะนั้นการ "ยุบสภา" จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในภาวะเช่นนี้แม้จะยังคงใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แต่ก็จะไม่สามารถ "ทัดทาน" ความนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะส่งผลถึงอาการแลนด์สไลด์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอนหากมองถึงทางออกคงมีไม่กี่ทาง
ที่แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนนั่งวิเคราะห์และจับยามสามตาทางหนึ่ง ตัดสินใจเลือก พล.ต.อ.จุมพล นั่งเป็น ผบ.ตร.จะได้หมดเรื่องหมดราวทางหนึ่ง นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อล้างไพ่จัดโผ ครม.กันใหม่ก่อนจะ "เขี่ยพรรคภูมิใจไทย" ที่เป็นหนามตำเท้าออกจากการร่วมรัฐบาล และจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและอีกทาง นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อล้างไพ่กันใหม่ ก่อนจะอาศัยอำนาจบารมีของ "ผู้ใหญ่ที่เคารพ"
จัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ ดันอดีตนายกฯชวน หลีกภัย ขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำอีกรอบ ก่อนส่งสาย "บัญญัติ บรรทัดฐาน" ขึ้นมาเป็นมือประสานกับพรรคเพื่อไทย ให้เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลแต่ทางเลือกนี้ จะต้องหาเหตุและผลให้ดี เพราะ "สีเสื้อ" ของแต่ละฝ่ายแรงเหลือเกินเหล่านี้คือ "ทางเลือก"ทางเลือกที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันเป็นการภายในของพรรคประชาธิปัตย์ในภาวะที่นายกรัฐมนตรี ถูกขี่คอ ขย่มซ้ำ โดยเฉพาะจากคนภายในด้วยกันเอง
ปัจจัยหลักที่จะทำให้รัฐบาลอยู่หรือไปเวลานี้ ไม่ใช่เกิดจาก "ศึกนอก"หากแต่เป็น "ศึกใน""ศึกใน" ที่ถูกฉายภาพออกมาจนโดดเด่นชัดเจนว่า "ขัดแย้งกันจริง"และ "รุนแรง" อาจถึงขั้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบโดยเฉพาะตำแหน่ง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณชัดๆ ผ่านนายกฯอภิสิทธิ์และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
หลังเดินทางกลับมาจากเยอรมนีว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.เป็นความชัดเจนที่ว่ากันว่า ทำให้นายกฯอภิสิทธิ์ตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะคำกล่าวอ้างของ "นิพนธ์" บ่งบอกถึงความต้องการของ "ผู้ใหญ่ที่เคารพ"ขณะที่อีกฝ่ายคือ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจ ก็มี "ผู้ใหญ่ที่เคารพ" ออกแรงหนุนเช่นกันคำพูดที่ส่งสัญญาณผ่านแกนนำพรรคภูมิใจไทย อย่าง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล
ในฐานะ กตช. ก็ชัดเจนว่า ให้สนับสนุน พล.ต.อ.จุมพลที่น่ากลัวก็คือ คำพูดของ "นิพนธ์" ที่ถูกกล่าวอ้างว่า ถ้ายังดื้อดึงอาจจะเป็นเรื่องยากในการบริหารประเทศในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปไม่มีใครรู้เหตุผลว่า ทำไม "คนพวกเดียวกัน" ต้องยืนคนละมุม ทั้งที่สามารถพูดคุยกันได้ที่สำคัญ ไม่มีใครรู้เหตุผลที่ลึกกว่านั้นว่า
ทำไม ต้อง พล.ต.อ.ปทีปทำไม ต้อง พล.ต.อ.จุมพลไม่มีคำตอบ ไม่มีเหตุผลแต่หากสามารถทำให้ชะตากรรมนายกรัฐมนตรียืนอยู่ปากเหวได้ ก็คงไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั้งหมดขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯอภิสิทธิ์แต่ไม่ว่าจะออกทางไหน ต้องยอมรับว่าเวลานี้แรงบีบของคนเคยรักกัน เป็นแรงบีบที่หนักหนาสาหัส
ถึงกับมีเสียงเล็ดลอดออกจากปากนายกฯอภิสิทธิ์ ในทำนอง "เล่นกันขนาดนี้เลยหรือ"เมื่อดูธรรมชาติบวกกับความมั่นใจตัวเองของนายกฯอภิสิทธิ์ทำให้หลายฝ่ายหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อยกับ "เด็กดื้อ" ที่มีเวทมนตร์อยู่ในมือเสียงกระซิบเบาๆ ของ "ชัย ชิดชอบ" ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ว่าหลังผ่านงบประมาณวาระ 3 อาจจะมีการ "ยุบสภา"
ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลย และไกลเกินความเป็นจริงหากคนที่ถืออำนาจในการ "ยุบสภา" ในมือมองว่าถูกรังแก ทำร้ายจากเพื่อนห้องเดียวกัน และทนภาวะที่กดดันไม่ไหวแต่ถามว่า "กล้าหรือไม่"?เพราะการจะยุบสภา ต้องมององค์ประกอบรอบด้าน ที่ชัดเจนคือฝ่ายทหาร ที่เวลานี้มองว่ารัฐบาลอ่อนแอขณะที่เงาทมึนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
กลับแข็งแรงและกำลังทาบทับทุกส่วนของด้ามขวานทองฉะนั้นการ "ยุบสภา" จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในภาวะเช่นนี้แม้จะยังคงใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 แต่ก็จะไม่สามารถ "ทัดทาน" ความนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะส่งผลถึงอาการแลนด์สไลด์ทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอนหากมองถึงทางออกคงมีไม่กี่ทาง
ที่แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนนั่งวิเคราะห์และจับยามสามตาทางหนึ่ง ตัดสินใจเลือก พล.ต.อ.จุมพล นั่งเป็น ผบ.ตร.จะได้หมดเรื่องหมดราวทางหนึ่ง นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อล้างไพ่จัดโผ ครม.กันใหม่ก่อนจะ "เขี่ยพรรคภูมิใจไทย" ที่เป็นหนามตำเท้าออกจากการร่วมรัฐบาล และจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยและอีกทาง นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อล้างไพ่กันใหม่ ก่อนจะอาศัยอำนาจบารมีของ "ผู้ใหญ่ที่เคารพ"
จัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์แห่งชาติ ดันอดีตนายกฯชวน หลีกภัย ขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำอีกรอบ ก่อนส่งสาย "บัญญัติ บรรทัดฐาน" ขึ้นมาเป็นมือประสานกับพรรคเพื่อไทย ให้เข้ามาร่วมจัดตั้งรัฐบาลแต่ทางเลือกนี้ จะต้องหาเหตุและผลให้ดี เพราะ "สีเสื้อ" ของแต่ละฝ่ายแรงเหลือเกินเหล่านี้คือ "ทางเลือก"ทางเลือกที่มีการหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกันเป็นการภายในของพรรคประชาธิปัตย์ในภาวะที่นายกรัฐมนตรี ถูกขี่คอ ขย่มซ้ำ โดยเฉพาะจากคนภายในด้วยกันเอง
แม้แต่พระพิรุณยังมีวืด..ถล่มลงมาต้อนรับเสื้อแดง..เป็นการใหญ่
"มันบ้าหรือเปล่าวะ! ยังไม่มีห่าอะไรก็ประกาศพรบ.ฉุกเฉิน" เป็นประโยคที่หลุดออกมาจากปากชาวบ้านคนหนึ่ง
ซึ่งทั้งชีวิตหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องการเมืองสุดฤทธิ์สุดเดช เพราะว่าพูดขึ้นมาทีไรแกจะปวดหัวจี๊ดๆแต่ครั้งนี้ ดูท่าว่าแกจะเหลืออดเหลือทนจริงๆ ถึงได้โพล่งออกมาอย่างนั้น
ทีตอนสมัครประกาศใช้ ทั้งๆที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว แม่มันโวยวายกันใหญ่ หาว่ากระทบความเชื่อมั่นบ้างหละ นักท่องเที่ยวตกใจบ้างหละ แล้วทีตอนนี้นักท่องเที่ยวเลิกกลัวแล้วหรือไง ฉอดๆๆๆ..."
พอดีไปได้ ฟังเข้า เลยเก็บมาเล่าให้ฟังเฉยๆ มาร์คคงไม่ต้องไปสนใจอะไรหรอก เพราะว่ามันชัวร์อยู่แล้ว พวกนี้รับเงินทักษิณ มาดิสเครดิตรัฐบาลคิดได้อย่างนี้ ก็สบายใจไปแปดอย่าง บ้านเมืองจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันไม่รู้เวรกรรมอะไรของมาร์ค
ขณะที่ชาวบ้านยังด่ากันไม่เสร็จ รัฐบาลก็งานเข้าจนได้ เมื่อเจอมือเก๋าอย่างลุงวีระ ย้อนเกล็ดซะเจ็บแสบ ด้วยการประกาศยุทธการ "ให้มันบ้าไปคนเดียว"เลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 กันยายน หลังหมดเขตพรบ.แค่ 1 วัน..ซะงั้นอย่างนี้เรียกว่าเล่นง่าย
กว่ารัฐบาลจะเข็นประกาศพรบ.ออกมาได้ ต้องคิดแทบกะโหลกแตก แถมต้องผ่านที่ประชุมครม. แล้วยังต้องมาโดนประชาชนด่าจนหูตูบอีกแต่ลุงวีระลงทุนแค่ไมโครโฟนตัวเดียว แล้วกรอกเสียงลงไปว่า"เลื่อน" เท่านั้นเอง
มาร์คก็หน้าแหกเป็นริ้วปลาช่อน พลิกตัวกลับไม่ทัน ถูกหักหน้าซ้ำสอง เลือดกำเดาพุ่งกระฉูด อย่างกับน้ำพุยังไม่ปานก็ขนาดเพื่อนซี้ของชาวเสื้อแดง อย่างพระพิรุณยังมีวืด สงสัยไม่ได้ฟังแถลงการณ์เลื่อนประชุมของสามเกลอ
ถึงได้หลับหูหลับตาเทจั่กๆลงมาเป็นการใหญ่ เบิกฤกษ์ตั้งแต่คืนวันที่ 29 ต่อเนื่องมาถึงเช้าวันที่ 30 ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกได้ง่ายๆป่านนี้ไม่รู้ว่า ทหารที่ถูกเกณฑ์ให้มาล้อมร้ัวลวดหนามหิ่บเพลง กับอีก 21 กองร้อยที่ถูกห้ามลาห้ามป่วย
เพื่อแสตนด์บายไว้ไล่ยิงประชาชนโดยเฉพาะ จะด่าเช็ดไปแล้วกี่กระบุงโกยจริงอยู่ที่ว่า รัฐบาลเทพประทาน ทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว แต่สำหรับภาคประชาชน มันก็ต้องว่ากันไปอีกเรื่อง งานนี้มีแต่คนสมน้ำหน้า หาว่าเสือกโง่เองมีอย่างที่ไหน เล่นล้อมอวนไว้ก่อน เพียงเพราะได้รับรายงานว่าปลาจะมาชุมนุมกัน ปลาเลยแตกตื่นว่ายน้ำหนีหายไปหมด..
ถามหน่อยซิ ว่าโง่กว่านี้ยังมีอีกไม๊?ไม่รู้จะใช้คำว่าสงสาร หรือว่าทุเรศดี ขนาดหน้าแหกถึงปานนั้น ยังกล้ามาตีโพยตีพาย ว่าเสื้อแดงกลับกลอกไม่มาตามนัด แถมสำทับแก้เกี้ยวอีกว่า ถ้าเสื้อแดงชุมนุมเมื่อไหร่ ก็จะประกาศอีกงามหน้ากันละคราวนี้
อยู่ดีๆรัฐบาลมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับประชาชน..ซะงั้นแต่ว่าก็ว่าเถอะ ฟังจากที่มาร์คออกมากระฟัดกระเฟียดแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า บางทีลุงวีระก็ทำเกินไป แทนที่จะบอกกันแต่เนิ่นๆ นี่ดันไปประสานงานกับรัฐบาลซะเป็นตุเป็นตะ ว่าจะชุมนุมที่นั่น แล้วจะเคลื่อนไปที่นี่ เริ่มเวลานั้น แล้วไปเลิกเวลานี้
ขนาดเส้นทางที่ใช้ ยังระบุให้เสร็จสรรพเล่นเคาะกะลาให้หมาดีใจอย่างนี้ หมาที่โง่พอก็ต้องนึกว่าพูดจริง เลยจัดการเรียกประชุมครม.ฉับไว ออกประกาศภาวะฉุกเฉินดักหน้าทันที กะว่ายังไงงานนี้ มึงเสร็จกูแน่ถึงได้โง่ลึก จนกลายเป็นโง่ดักดาน
เมื่อเจอโรคเลื่อนแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่มีการบอกกล่าวเล่าสิบ เล่นเอาหน้าเขียวหน้าเหลือง ไปตามๆกันอย่างนี้แหละ ที่เขาเรียกว่า ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เรื่องคลิปลับอื้อฉาว ยังไม่ทันสะเด็ดน้ำดี ก็ไปก่อเรื่องควายๆ มาให้ชาวบ้านได้ฮากันไม่หุบอาการภาวะผู้นำบกพร่อง ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบในระยะนี้ ถือเป็นการพิสูจน์มาตรฐานอ๊อกซ์ฟอร์ดได้ เป็นอย่างดีว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด...มีหรือจะปล่อยกระบือออกมาเพ่นพ่าน..อยู่ในเวลานี้
วโรทาห์: 30 ส.ค. 52
ซึ่งทั้งชีวิตหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องการเมืองสุดฤทธิ์สุดเดช เพราะว่าพูดขึ้นมาทีไรแกจะปวดหัวจี๊ดๆแต่ครั้งนี้ ดูท่าว่าแกจะเหลืออดเหลือทนจริงๆ ถึงได้โพล่งออกมาอย่างนั้น
ทีตอนสมัครประกาศใช้ ทั้งๆที่เกิดเรื่องขึ้นแล้ว แม่มันโวยวายกันใหญ่ หาว่ากระทบความเชื่อมั่นบ้างหละ นักท่องเที่ยวตกใจบ้างหละ แล้วทีตอนนี้นักท่องเที่ยวเลิกกลัวแล้วหรือไง ฉอดๆๆๆ..."
พอดีไปได้ ฟังเข้า เลยเก็บมาเล่าให้ฟังเฉยๆ มาร์คคงไม่ต้องไปสนใจอะไรหรอก เพราะว่ามันชัวร์อยู่แล้ว พวกนี้รับเงินทักษิณ มาดิสเครดิตรัฐบาลคิดได้อย่างนี้ ก็สบายใจไปแปดอย่าง บ้านเมืองจะเป็นยังไงก็ช่างหัวมันไม่รู้เวรกรรมอะไรของมาร์ค
ขณะที่ชาวบ้านยังด่ากันไม่เสร็จ รัฐบาลก็งานเข้าจนได้ เมื่อเจอมือเก๋าอย่างลุงวีระ ย้อนเกล็ดซะเจ็บแสบ ด้วยการประกาศยุทธการ "ให้มันบ้าไปคนเดียว"เลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 กันยายน หลังหมดเขตพรบ.แค่ 1 วัน..ซะงั้นอย่างนี้เรียกว่าเล่นง่าย
กว่ารัฐบาลจะเข็นประกาศพรบ.ออกมาได้ ต้องคิดแทบกะโหลกแตก แถมต้องผ่านที่ประชุมครม. แล้วยังต้องมาโดนประชาชนด่าจนหูตูบอีกแต่ลุงวีระลงทุนแค่ไมโครโฟนตัวเดียว แล้วกรอกเสียงลงไปว่า"เลื่อน" เท่านั้นเอง
มาร์คก็หน้าแหกเป็นริ้วปลาช่อน พลิกตัวกลับไม่ทัน ถูกหักหน้าซ้ำสอง เลือดกำเดาพุ่งกระฉูด อย่างกับน้ำพุยังไม่ปานก็ขนาดเพื่อนซี้ของชาวเสื้อแดง อย่างพระพิรุณยังมีวืด สงสัยไม่ได้ฟังแถลงการณ์เลื่อนประชุมของสามเกลอ
ถึงได้หลับหูหลับตาเทจั่กๆลงมาเป็นการใหญ่ เบิกฤกษ์ตั้งแต่คืนวันที่ 29 ต่อเนื่องมาถึงเช้าวันที่ 30 ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกได้ง่ายๆป่านนี้ไม่รู้ว่า ทหารที่ถูกเกณฑ์ให้มาล้อมร้ัวลวดหนามหิ่บเพลง กับอีก 21 กองร้อยที่ถูกห้ามลาห้ามป่วย
เพื่อแสตนด์บายไว้ไล่ยิงประชาชนโดยเฉพาะ จะด่าเช็ดไปแล้วกี่กระบุงโกยจริงอยู่ที่ว่า รัฐบาลเทพประทาน ทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว แต่สำหรับภาคประชาชน มันก็ต้องว่ากันไปอีกเรื่อง งานนี้มีแต่คนสมน้ำหน้า หาว่าเสือกโง่เองมีอย่างที่ไหน เล่นล้อมอวนไว้ก่อน เพียงเพราะได้รับรายงานว่าปลาจะมาชุมนุมกัน ปลาเลยแตกตื่นว่ายน้ำหนีหายไปหมด..
ถามหน่อยซิ ว่าโง่กว่านี้ยังมีอีกไม๊?ไม่รู้จะใช้คำว่าสงสาร หรือว่าทุเรศดี ขนาดหน้าแหกถึงปานนั้น ยังกล้ามาตีโพยตีพาย ว่าเสื้อแดงกลับกลอกไม่มาตามนัด แถมสำทับแก้เกี้ยวอีกว่า ถ้าเสื้อแดงชุมนุมเมื่อไหร่ ก็จะประกาศอีกงามหน้ากันละคราวนี้
อยู่ดีๆรัฐบาลมาเล่นเจ้าล่อเอาเถิดกับประชาชน..ซะงั้นแต่ว่าก็ว่าเถอะ ฟังจากที่มาร์คออกมากระฟัดกระเฟียดแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า บางทีลุงวีระก็ทำเกินไป แทนที่จะบอกกันแต่เนิ่นๆ นี่ดันไปประสานงานกับรัฐบาลซะเป็นตุเป็นตะ ว่าจะชุมนุมที่นั่น แล้วจะเคลื่อนไปที่นี่ เริ่มเวลานั้น แล้วไปเลิกเวลานี้
ขนาดเส้นทางที่ใช้ ยังระบุให้เสร็จสรรพเล่นเคาะกะลาให้หมาดีใจอย่างนี้ หมาที่โง่พอก็ต้องนึกว่าพูดจริง เลยจัดการเรียกประชุมครม.ฉับไว ออกประกาศภาวะฉุกเฉินดักหน้าทันที กะว่ายังไงงานนี้ มึงเสร็จกูแน่ถึงได้โง่ลึก จนกลายเป็นโง่ดักดาน
เมื่อเจอโรคเลื่อนแบบปัจจุบันทันด่วน ไม่มีการบอกกล่าวเล่าสิบ เล่นเอาหน้าเขียวหน้าเหลือง ไปตามๆกันอย่างนี้แหละ ที่เขาเรียกว่า ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เรื่องคลิปลับอื้อฉาว ยังไม่ทันสะเด็ดน้ำดี ก็ไปก่อเรื่องควายๆ มาให้ชาวบ้านได้ฮากันไม่หุบอาการภาวะผู้นำบกพร่อง ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบในระยะนี้ ถือเป็นการพิสูจน์มาตรฐานอ๊อกซ์ฟอร์ดได้ เป็นอย่างดีว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด...มีหรือจะปล่อยกระบือออกมาเพ่นพ่าน..อยู่ในเวลานี้
วโรทาห์: 30 ส.ค. 52
วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ไม่สนแรงกดดันค่าเงินบาท แบงก์ชาติยืนกรานทำดีแล้ว

เศรษฐกิจไทยจะฟื้นเมื่อไร และจะฟื้นเป็นรูปตัวยู รูปตัววีหรือรูปตัวดับเบิลยู ยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจโดยตลอด แต่ที่เป็นแรงกดดันและภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคธุรกิจส่งออกร้องให้ภาครัฐแก้ปัญหามากที่สุดในขณะนี้คือ เรื่องของค่าเงินบาทซึ่ง นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยในปัจจุบัน” โดยสนับสนุนนโยบายใช้ค่าเงินบาทอ่อนของม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเพิ่มรายได้ให้ภาคการส่งออก การท่องเที่ยวและการเกษตรโดยเห็นว่าเงินบาทควรอ่อนค่าที่ระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไตรมาสแรกปี 2552 ธปท. สามารถดูแลให้เงินบาทอ่อนค่าประมาณ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
แต่กลับมาแข็งค่าไตรมาส 2 อยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯอดีตรองนายกรัฐมนตรียังได้เสนอให้รัฐบาลเร่งปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย อุปโภคบริโภค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวถึง 220,000 ล้านบาท และให้รัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งจะต้องไม่ขึ้นภาษีแต่จะต้องลดภาษีแทน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวโดยเร็ว“หากรัฐบาลทำตามข้อเสนอแนะทั้ง 3 เรื่องได้เร็ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นรูปตัวยูกลับไปอยู่ระดับใกล้เคียงไตรมาส 3ปี 2551 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 3.9 ภายในเวลา12 เดือนจากนี้ หากรัฐบาลดำเนินนโยบายล่าช้าจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 18 เดือน ส่วนจีดีพีไตรมาส 4 ปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นบวก เพราะจีดีพีไตรมาส 4 ปีที่แล้วต่ำมากติดลบร้อยละ 4.3เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก”และไม่เพียงแค่นายโอฬารหรือ ม.ร.ว.จัตุมงคล จะมองในเรื่องของค่าเงินบาท ก่อนหน้านี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้ออกมาระบุเช่นกันว่า ธปท. ไม่ได้บริหารจัดการค่าเงินบาทให้เหมาะสมทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง กระทบการส่งออกของไทยและนโยบายการเงินช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้
3 กูรูหรือ 3 เซียนเศรษฐกิจที่ออกมาพูดสอดคล้องกันว่า ธปท.จำเป็นที่จะต้องดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมกว่านี้ ทำเอานางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. หงุดหงิดและรับไม่ได้ จนถึงกับออกมาย้อนถามว่าไม่เหมาะสมอย่างไรธปท. ดูแลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลภูมิภาคและประเทศคู่แข่ง เรื่องเงินบาทเอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้ต้องเอาข้อมูลมาดูกัน ยืนยันอีกครั้งว่าอย่าดูค่าเงินบาทเป็นรายวันและอย่านำไปเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯการพิจารณาค่าเงินบาทต้องเทียบกับคู่ค้า ซึ่งเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเงินสกุลอื่นๆ มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างแต่เป็นเพียงเล็กน้อย และหากเทียบกับบางสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นน้อยกว่า และไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของการส่งออก แต่หากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมก็จะมีความแตกต่างกันบ้าง“อยากเรียนถามว่าไม่เหมาะสมอย่างไร อยากให้ดูแลให้เกาะกลุ่มกับภูมิภาค เราก็ทำได้ เอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้หรอก แต่ต้องนำเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบกัน”
นางธาริษา กล่าวนางธาริษาได้มีการยืนยันด้วยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาจากการที่ประเทศไทยเกินดุลการค้า และมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งก็เหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาคไม่ได้มีความผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไร และไม่มีแก๊งป่วนบาท“ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าจนสุดโต่ง จากต้นปีที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มาเคลื่อนไหวที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน ยืนยันค่าเงินบาทที่แท้จริงไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขัน เพราะเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลคู่ค้า”อย่างไรก็ตาม นางธาริษากล่าวว่าไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราค่าเงินเท่าไรถึงจะเหมาะสม ผู้ที่จะชี้ได้คือตลาดซื้อขายเงินตราหากมีความพยายามแทรกแซง โดยตลาดเห็นว่าเป็นอัตราที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็จะเกิดการเก็งกำไรขึ้น“หากเกิดเก็งกำไร เราจะต้านได้แค่ไหน ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนที่เท่าไร เหมาะสมหรือไม่ ควรปล่อยไปตามตลาด”
แต่ก็ยอมรับว่าที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างสิ้นเชิง โดยดูแลในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องอยู่ในระดับใด“เราไม่ ได้ปล่อยมันไป ก็ดูระดับหนึ่งแค่นั้นเอง แต่ไม่ได้ไปเขียนบนกระดานว่า เราอยากได้ 35 บาทหรือ 36 บาท เขียนตัวเลขใส่กระดานอย่างนั้นไม่ได้”ส่วนที่มีภาคธุรกิจเอกชนบอกว่า ธปท. ไม่ต้องประกาศว่าจะให้อัตราอยู่เท่าไร แต่ให้ช่วยดูแลในทางลับจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นผู้ว่าการ ธปท. ความจริงเรื่องค่าเงินไม่ควรพูดเลย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดจะจับสัญญาณทั้งสิ้นสำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง นางธาริษากล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 หลายตัวมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ทั้งข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น ดังนั้น หากไม่มีข่าวร้ายที่รุนแรง เช่น การล้มละลายของสถาบันการเงินเกิดขึ้นอีกเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้น โดยปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ที่ปรับตัวดีขึ้นจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่“แต่ก็ยอมรับว่าปัจจัยทางการเมืองก็มีความสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจ หากการเมืองนิ่ง ประชาชนและนักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นและมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น”
และในส่วนของข้อเรียกร้องให้มีการแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก นางธาริษามองว่าเรื่องนี้เป็นข้อเรียกร้องมาทุกยุคสมัย แต่สิ่งที่ต้องคำนึง คือ ทุกนโยบายมีทั้งคนได้คนเสียเช่น เรื่องลดดอกเบี้ย ผู้ส่งออกต้องการให้ลดมากๆ แต่ผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินออมได้รับผลกระทบ ดังนั้น ต้องดูความพอดีเหมาะสมของประเทศซึ่งแบบนี้ค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าใครพูดหรือภาคธุรกิจจะมองอย่างไร ผู้ว่าการ ธปท. ก็ยืนกรานเรื่องความเป็นอิสระในการดูแลค่าเงินบาทตามสไตล์ ธปท. เช่นเดิม มิน่าแม้กระทั่ง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังไม่กล้าสั่งการอะไรมากนัก เพราะเกรงจะถูกจวกว่า“แทรกแซง” นี่เอง ■
แต่กลับมาแข็งค่าไตรมาส 2 อยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯอดีตรองนายกรัฐมนตรียังได้เสนอให้รัฐบาลเร่งปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย อุปโภคบริโภค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวถึง 220,000 ล้านบาท และให้รัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งจะต้องไม่ขึ้นภาษีแต่จะต้องลดภาษีแทน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวโดยเร็ว“หากรัฐบาลทำตามข้อเสนอแนะทั้ง 3 เรื่องได้เร็ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นรูปตัวยูกลับไปอยู่ระดับใกล้เคียงไตรมาส 3ปี 2551 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 3.9 ภายในเวลา12 เดือนจากนี้ หากรัฐบาลดำเนินนโยบายล่าช้าจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 18 เดือน ส่วนจีดีพีไตรมาส 4 ปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นบวก เพราะจีดีพีไตรมาส 4 ปีที่แล้วต่ำมากติดลบร้อยละ 4.3เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก”และไม่เพียงแค่นายโอฬารหรือ ม.ร.ว.จัตุมงคล จะมองในเรื่องของค่าเงินบาท ก่อนหน้านี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้ออกมาระบุเช่นกันว่า ธปท. ไม่ได้บริหารจัดการค่าเงินบาทให้เหมาะสมทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง กระทบการส่งออกของไทยและนโยบายการเงินช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้
3 กูรูหรือ 3 เซียนเศรษฐกิจที่ออกมาพูดสอดคล้องกันว่า ธปท.จำเป็นที่จะต้องดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมกว่านี้ ทำเอานางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. หงุดหงิดและรับไม่ได้ จนถึงกับออกมาย้อนถามว่าไม่เหมาะสมอย่างไรธปท. ดูแลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลภูมิภาคและประเทศคู่แข่ง เรื่องเงินบาทเอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้ต้องเอาข้อมูลมาดูกัน ยืนยันอีกครั้งว่าอย่าดูค่าเงินบาทเป็นรายวันและอย่านำไปเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯการพิจารณาค่าเงินบาทต้องเทียบกับคู่ค้า ซึ่งเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเงินสกุลอื่นๆ มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างแต่เป็นเพียงเล็กน้อย และหากเทียบกับบางสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นน้อยกว่า และไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของการส่งออก แต่หากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมก็จะมีความแตกต่างกันบ้าง“อยากเรียนถามว่าไม่เหมาะสมอย่างไร อยากให้ดูแลให้เกาะกลุ่มกับภูมิภาค เราก็ทำได้ เอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้หรอก แต่ต้องนำเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบกัน”
นางธาริษา กล่าวนางธาริษาได้มีการยืนยันด้วยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาจากการที่ประเทศไทยเกินดุลการค้า และมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งก็เหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาคไม่ได้มีความผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไร และไม่มีแก๊งป่วนบาท“ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าจนสุดโต่ง จากต้นปีที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มาเคลื่อนไหวที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน ยืนยันค่าเงินบาทที่แท้จริงไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขัน เพราะเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลคู่ค้า”อย่างไรก็ตาม นางธาริษากล่าวว่าไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราค่าเงินเท่าไรถึงจะเหมาะสม ผู้ที่จะชี้ได้คือตลาดซื้อขายเงินตราหากมีความพยายามแทรกแซง โดยตลาดเห็นว่าเป็นอัตราที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็จะเกิดการเก็งกำไรขึ้น“หากเกิดเก็งกำไร เราจะต้านได้แค่ไหน ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนที่เท่าไร เหมาะสมหรือไม่ ควรปล่อยไปตามตลาด”
แต่ก็ยอมรับว่าที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างสิ้นเชิง โดยดูแลในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องอยู่ในระดับใด“เราไม่ ได้ปล่อยมันไป ก็ดูระดับหนึ่งแค่นั้นเอง แต่ไม่ได้ไปเขียนบนกระดานว่า เราอยากได้ 35 บาทหรือ 36 บาท เขียนตัวเลขใส่กระดานอย่างนั้นไม่ได้”ส่วนที่มีภาคธุรกิจเอกชนบอกว่า ธปท. ไม่ต้องประกาศว่าจะให้อัตราอยู่เท่าไร แต่ให้ช่วยดูแลในทางลับจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นผู้ว่าการ ธปท. ความจริงเรื่องค่าเงินไม่ควรพูดเลย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดจะจับสัญญาณทั้งสิ้นสำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง นางธาริษากล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 หลายตัวมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ทั้งข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น ดังนั้น หากไม่มีข่าวร้ายที่รุนแรง เช่น การล้มละลายของสถาบันการเงินเกิดขึ้นอีกเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้น โดยปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ที่ปรับตัวดีขึ้นจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่“แต่ก็ยอมรับว่าปัจจัยทางการเมืองก็มีความสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจ หากการเมืองนิ่ง ประชาชนและนักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นและมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น”
และในส่วนของข้อเรียกร้องให้มีการแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก นางธาริษามองว่าเรื่องนี้เป็นข้อเรียกร้องมาทุกยุคสมัย แต่สิ่งที่ต้องคำนึง คือ ทุกนโยบายมีทั้งคนได้คนเสียเช่น เรื่องลดดอกเบี้ย ผู้ส่งออกต้องการให้ลดมากๆ แต่ผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินออมได้รับผลกระทบ ดังนั้น ต้องดูความพอดีเหมาะสมของประเทศซึ่งแบบนี้ค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าใครพูดหรือภาคธุรกิจจะมองอย่างไร ผู้ว่าการ ธปท. ก็ยืนกรานเรื่องความเป็นอิสระในการดูแลค่าเงินบาทตามสไตล์ ธปท. เช่นเดิม มิน่าแม้กระทั่ง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังไม่กล้าสั่งการอะไรมากนัก เพราะเกรงจะถูกจวกว่า“แทรกแซง” นี่เอง ■
แหกตาอีก เหลือบ "โครงการพอเพียง" หลอกขายรถนวดข้าวแพงลิบ
ที่มา: มติชนออนไลน์
แหกตาอีก เหลือบ"โครงการพอเพียง"หลอกขายรถนวดข้าวแพงลิบ ที่แท้เป็น"มือสอง"ย้อมแมวทาสีใหม่"ชุมชนพอเพียง"ฉาวไม่เลิก ชัยภูมิถูกนายหน้าล้วงข้อมูลวงใน หลอกขายรถนวดข้าว"มือสอง"ย้อมแมวทาสีใหม่ ห้องเครื่องเก่าหมด ทั้งที่ราคากว่าเท่าตัว ผญบ.เผยมีสำนักงานขายกิ๊กก๊อกเป็นบ้านหลังเดียว ไม่มีตัวอย่างสินค้าให้ดู พบพิรุธติดต่อบริษัทขายไม่ได้
โครงการชุมชนพอเพียงของสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือ สพช.ยังคงอื้อฉาวต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้พบความไม่ชอบมาพากลในหลายพื้นที่ ล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานโครงการใน จ.ชัยภูมิ ไม่เพียงแต่มีนายหน้าบริษัทอาศัยข้อมูลวงในไปทำโครงการขายปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูปให้ชุมชนเท่านั้น หากยังพบพฤติกรรมนายหน้าบริษัทเอกชนขายเครื่องมือการเกษตรไปเสนอขายสินค้าให้ชุมชน แลกกับการผลักดันให้ได้รับอนุมัติงบประมาณในโครงการโดยเร็วและที่แย่ไปกว่านั้นคือ เครื่องมือการเกษตรนอกจากราคาแพงเกินจริง เมื่อไปรับสินค้ากลับกลายเป็นของย้อมแมว "มือสอง" ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว
พฤติกรรมนายหน้าบริษัททำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายสมศรี ลุนบง อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 13 ชุมชนบ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า มีตัวแทนจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาพบที่บ้าน บอกว่าได้รับทราบข้อมูลมาว่าชุมชนของตนมีโครงการที่จะจัดซื้อรถนวดสีข้าวมาใช้งาน หากชุมชนตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทจะเดินเรื่องให้ สพช.อนุมัติงบประมาณมาให้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตอนแรกที่ตัวแทนบริษัทมาติดต่อ รู้สึกประหลาดใจมากว่า ทำไมถึงทราบว่าชุมชนเสนอโครงการซื้อรถนวดสีข้าว มิหนำซ้ำยังบอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องโครงการ จะไปจัดการให้ แต่กรรมการชุมชนไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นกังวลเพียงอย่างเดียวว่า โครงการที่เสนอไปแล้วจะได้รับอนุมัติงบฯล่าช้า เนื่องจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าทางการจะอนุมัติให้ จึงตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแห่งนี้ และบริษัทก็ดำเนินการได้จริงๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ทางชุมชนได้รับจดหมายจากทางการแจ้งว่า โครงการได้รับการอนุมัติแล้ว และจะโอนเงินมาให้ 250,000 บาท ตามราคาสินค้าที่เสนอขายพอดี
นายสมศรีกล่าวว่า หลังจากโครงการรถนวดสีข้าวได้รับการอนุมัติ ตัวแทนบริษัทมาพบที่บ้านอีกครั้ง พร้อมพาไปที่สำนักงานบริษัท ที่ ต.โพนทอง อ.เมือง เพื่อให้ดูสินค้าตัวอย่าง พบสำนักงานเป็นเพียงบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง หน้าบ้านไม่มีสินค้ามาวางโชว์ ภายในบ้านมีโต๊ะทำงาน และอุปกรณ์สำนักงานเพียงไม่กี่ชิ้น ตัวแทนอ้างว่าเป็นเพียงสำนักงานชั่วคราวที่ใช้ติดต่อขายสินค้าให้ชุมชนต่างๆ ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้ทำสัญญาซื้อขายทันที ไม่นานนัก ตัวแทนบริษัทได้พาไปรับสินค้าที่สำนักงาน
พอผมเห็นรถนวดสีข้าวของเขาถึงกับอึ้งเลย เพราะเป็นรถเก่าที่นำมาวางเครื่องทำสีใหม่ และนำเครื่องนวดสีข้าวมาติดตั้งเพิ่มเท่านั้น ราคาไม่น่าจะเกินคันละ 100,000 กว่าบาท พยายามต่อรองขอให้บริษัทลดราคาลงมา ตัวแทนบริษัทอ้างว่าราคาคันละ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว เพราะบริษัทมีต้นทุนในการผลิตสูง แต่พร้อมรับดูแลซ่อมบำรุงให้ในกรณีมีปัญหาใช้งานไม่ได้ เมื่อเขาไม่ยอมลดราคาให้ ผมจำใจรับรถและขับกลับมาที่ชุมชน จนบัดนี้ยังไม่ได้ทดลองใช้งาน เนื่องจากยังไม่ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เลยนำไปจอดเก็บไว้ เมื่อถึงตอนนั้นหากสินค้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะส่งคนมาดูแลให้ตามที่รับปากไว้หรือไม่ แต่ถ้ามีปัญหาจริงๆ คงจะถอดเครื่องนวดสีข้าวออกไปก่อน และนำรถไปใช้ขนของในหมู่บ้านเวลามีงานแทน" นายสมศรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบสภาพรถนวดสีข้าวคันดังกล่าวพบว่า เป็นรถ 6 ล้อเก่าที่นำมาปะผุ และทาสีใหม่ อุปกรณ์ภายในรถไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า พวงมาลัย ล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้น ตัวถังรถระบุว่าเป็นยี่ห้อโตโยต้า แต่เครื่องยนต์กลับเป็นยี่ห้ออีซุซุ 100 L ซึ่งเป็นเครื่องเก่าเช่นกัน และนำเอาเครื่องนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 76 แรงม้า มาเชื่อมต่อไว้ด้านบนตัวรถ ก่อนทาสีทั้งคันให้เป็นสีฟ้าเพื่อให้รถดูใหม่
จากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายที่ชุมชนทำกับบริษัทพบว่า รายชื่อผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาขายให้มีสถานะเป็นเพียงร้านค้าชื่อย่อ "พ" ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ไม่ใช่บริษัทมีชื่อเสียงอะไร เมื่อติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในสัญญา กลับไม่สามารถติดต่อได้
แหกตาอีก เหลือบ"โครงการพอเพียง"หลอกขายรถนวดข้าวแพงลิบ ที่แท้เป็น"มือสอง"ย้อมแมวทาสีใหม่"ชุมชนพอเพียง"ฉาวไม่เลิก ชัยภูมิถูกนายหน้าล้วงข้อมูลวงใน หลอกขายรถนวดข้าว"มือสอง"ย้อมแมวทาสีใหม่ ห้องเครื่องเก่าหมด ทั้งที่ราคากว่าเท่าตัว ผญบ.เผยมีสำนักงานขายกิ๊กก๊อกเป็นบ้านหลังเดียว ไม่มีตัวอย่างสินค้าให้ดู พบพิรุธติดต่อบริษัทขายไม่ได้
โครงการชุมชนพอเพียงของสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือ สพช.ยังคงอื้อฉาวต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้พบความไม่ชอบมาพากลในหลายพื้นที่ ล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานโครงการใน จ.ชัยภูมิ ไม่เพียงแต่มีนายหน้าบริษัทอาศัยข้อมูลวงในไปทำโครงการขายปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูปให้ชุมชนเท่านั้น หากยังพบพฤติกรรมนายหน้าบริษัทเอกชนขายเครื่องมือการเกษตรไปเสนอขายสินค้าให้ชุมชน แลกกับการผลักดันให้ได้รับอนุมัติงบประมาณในโครงการโดยเร็วและที่แย่ไปกว่านั้นคือ เครื่องมือการเกษตรนอกจากราคาแพงเกินจริง เมื่อไปรับสินค้ากลับกลายเป็นของย้อมแมว "มือสอง" ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว
พฤติกรรมนายหน้าบริษัททำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายสมศรี ลุนบง อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 13 ชุมชนบ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า มีตัวแทนจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาพบที่บ้าน บอกว่าได้รับทราบข้อมูลมาว่าชุมชนของตนมีโครงการที่จะจัดซื้อรถนวดสีข้าวมาใช้งาน หากชุมชนตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทจะเดินเรื่องให้ สพช.อนุมัติงบประมาณมาให้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตอนแรกที่ตัวแทนบริษัทมาติดต่อ รู้สึกประหลาดใจมากว่า ทำไมถึงทราบว่าชุมชนเสนอโครงการซื้อรถนวดสีข้าว มิหนำซ้ำยังบอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องโครงการ จะไปจัดการให้ แต่กรรมการชุมชนไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นกังวลเพียงอย่างเดียวว่า โครงการที่เสนอไปแล้วจะได้รับอนุมัติงบฯล่าช้า เนื่องจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าทางการจะอนุมัติให้ จึงตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแห่งนี้ และบริษัทก็ดำเนินการได้จริงๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ทางชุมชนได้รับจดหมายจากทางการแจ้งว่า โครงการได้รับการอนุมัติแล้ว และจะโอนเงินมาให้ 250,000 บาท ตามราคาสินค้าที่เสนอขายพอดี
นายสมศรีกล่าวว่า หลังจากโครงการรถนวดสีข้าวได้รับการอนุมัติ ตัวแทนบริษัทมาพบที่บ้านอีกครั้ง พร้อมพาไปที่สำนักงานบริษัท ที่ ต.โพนทอง อ.เมือง เพื่อให้ดูสินค้าตัวอย่าง พบสำนักงานเป็นเพียงบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง หน้าบ้านไม่มีสินค้ามาวางโชว์ ภายในบ้านมีโต๊ะทำงาน และอุปกรณ์สำนักงานเพียงไม่กี่ชิ้น ตัวแทนอ้างว่าเป็นเพียงสำนักงานชั่วคราวที่ใช้ติดต่อขายสินค้าให้ชุมชนต่างๆ ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้ทำสัญญาซื้อขายทันที ไม่นานนัก ตัวแทนบริษัทได้พาไปรับสินค้าที่สำนักงาน
พอผมเห็นรถนวดสีข้าวของเขาถึงกับอึ้งเลย เพราะเป็นรถเก่าที่นำมาวางเครื่องทำสีใหม่ และนำเครื่องนวดสีข้าวมาติดตั้งเพิ่มเท่านั้น ราคาไม่น่าจะเกินคันละ 100,000 กว่าบาท พยายามต่อรองขอให้บริษัทลดราคาลงมา ตัวแทนบริษัทอ้างว่าราคาคันละ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว เพราะบริษัทมีต้นทุนในการผลิตสูง แต่พร้อมรับดูแลซ่อมบำรุงให้ในกรณีมีปัญหาใช้งานไม่ได้ เมื่อเขาไม่ยอมลดราคาให้ ผมจำใจรับรถและขับกลับมาที่ชุมชน จนบัดนี้ยังไม่ได้ทดลองใช้งาน เนื่องจากยังไม่ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เลยนำไปจอดเก็บไว้ เมื่อถึงตอนนั้นหากสินค้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะส่งคนมาดูแลให้ตามที่รับปากไว้หรือไม่ แต่ถ้ามีปัญหาจริงๆ คงจะถอดเครื่องนวดสีข้าวออกไปก่อน และนำรถไปใช้ขนของในหมู่บ้านเวลามีงานแทน" นายสมศรีกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบสภาพรถนวดสีข้าวคันดังกล่าวพบว่า เป็นรถ 6 ล้อเก่าที่นำมาปะผุ และทาสีใหม่ อุปกรณ์ภายในรถไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า พวงมาลัย ล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้น ตัวถังรถระบุว่าเป็นยี่ห้อโตโยต้า แต่เครื่องยนต์กลับเป็นยี่ห้ออีซุซุ 100 L ซึ่งเป็นเครื่องเก่าเช่นกัน และนำเอาเครื่องนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 76 แรงม้า มาเชื่อมต่อไว้ด้านบนตัวรถ ก่อนทาสีทั้งคันให้เป็นสีฟ้าเพื่อให้รถดูใหม่
จากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายที่ชุมชนทำกับบริษัทพบว่า รายชื่อผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาขายให้มีสถานะเป็นเพียงร้านค้าชื่อย่อ "พ" ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ไม่ใช่บริษัทมีชื่อเสียงอะไร เมื่อติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในสัญญา กลับไม่สามารถติดต่อได้
เสื้อแดงแถลงแผน "ปล่อยมาร์คบ้าไปคนเดียว" ประกาศเลื่อนชุมนุม

Sun, 2009-08-30
(29 ส.ค.) ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ น.พ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ร่วมแถลงข่าวเลื่อนการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 30 ส.ค.นี้
นายวีระ กล่าวว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้แถลงข่าวอย่างน่าตื่นเต้นว่าทางกองทัพได้เตรียมการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่การเตรียมการไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้นก็ทำให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจได้แล้วเพราะว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ทั้ง 3 เหล่าทัพตั้งจุดตรวจและสายตรวจออกตระเวนดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ นอกจากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างพี่น้องประชาชนด้วยกัน ซึ่งตนขอให้ตั้งสังเกตคำนี้ที่แสดงว่าทางทหารมีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษก็ไม่ทราบถึงขนาดแถลงล่วงหน้าว่าประชาชนด้วยกันจะต้องปะทะกัน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตดุสิตซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ถูกใจกับการชุมนุม และผู้ที่ไม่ถูกใจคือทหารเป็นคนนำพูดเองว่าประชาชนจะต้องปะทะกันระหว่างผู้ที่เห็นด้วยกับเสื้อแดงและไม่เห็นด้วยกับเสื้อแดง
สถานการณ์โดยรวมตนจึงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลฝ่ายเดียวสร้างขึ้นทั้งสิ้น นอกจากนั้น พล.อ.สรรเสริญยังบอกว่าทหารไม่พกอาวุธปืนแต่หากสถานการณ์แรงขึ้นก็มีความจำเป็นก็ต้องใช้ปืนแต่เป็นปืนยิงกระสุนยาง ไม่รู้ว่าเป็นปืนยิงกระสุนยางแบบสงกรานต์เลือดหรือเปล่า ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บสาหัสแล้วลากไปเก็บในกรมทหาร ไม่มีการดูแลรักษาปล่อยให้เลือดไหล บังเอิญคนเสื้อแดงทรหด เลือดแดงถึงเช้าก็ไม่ตาย
“มาตรการและกำลังที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการเตรียมพร้อมที่ลงมือกระทำไปแล้ว ต้องบอกว่ารัฐบาลทำกันเอาจริงเอาจังแล้วทำกันอย่างที่เรียกว่าสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ร้ายแรงกว่า 3 จังหวัดภาคใต้ ใน 3 จังหวัดภาคใต้แท้ๆ ที่มีระเบิดทุกวันทหาร ตำรวจ ครูตายทุกวัน รัฐบาลยังไม่เอาจริงแบบนี้เลย ไม่มีใครเอาใจใส่ แต่คราวนี้ ทำยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นพวกเรา นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงประชุมและปรึกษากันเห็นว่าเมื่อรัฐบาลจะบ้าไปเช่นนี้แล้ว เราก็เห็นสมควรต้องปล่อยให้บ้าไปฝ่ายเดียว เราจะเลื่อนการชุมนุมของเราออกไป” นายวีระกล่าว
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า การตัดสินใจเลื่อนการชุมนุม ในวันที่ 30 ส.ค. ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินในวันนี้เป็นการประกาศยุทธวิธีในการต่อสู้โดยเราพิจารณาวงรอบของสถานการณ์แล้วจึงเลือกใช้ยุทธวิธีการต่อสู้ที่เรียกว่า “ปล่อยมาร์คบ้าไปคนเดียว” นี่คือยุทธวิธีการต่อสู้ที่ได้มีการประชุมและสรุปมติกันเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงเช้าก่อนแถลงข่าว เราไม่เห็นประโยชน์ของการไปช่วยแบ่งเบาทุเลาความเสียสติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เมื่อเห็นว่านายอภิสิทธิ์ได้ออกอาการถึงขนาดนี้ก็น่าจะปล่อยให้แสดงอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนกับว่า เราเห็นนายอภิสิทธิ์ เดินแก้ผ้า น้ำลายยืดอยู่กลางถนน คนเสื้อแดงไม่มีความจำเป็นต้องไปแก้ผ้าแข่งกัน แต่เราเห็นว่าเราควรจะนั่งอยู่ที่บ้านเพื่อดูคุณอภิสิทธิ์เดินน้ำลายยืดเปลื้องผ้าต่อไปอย่างน้อยสัก 4 วัน
“เราจะเลื่อนการชุมนุมจากวันเสาร์ที่ 30 ส.ค.ไปเป็นวันเสาร์หน้าคือวันเสาร์ที่ 5 ก.ย. เพราะ พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎหมายเผด็จการฉบับนี้ ถูกประกาศใช้แค่วันที่ 1 ก.ย. คำถามต่อมาก็คือว่าถ้าหากคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่หายบ้า ประกาศ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปวันที่ 5 ก.ย.อีกเราก็จะเลื่อนไปชุมนุมวันที่ 12 ก.ย. ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่ทุเลา อาการยังหนักอยู่และประกาศ พ.ร.บ.อีก เราก็จะเลื่อนไปวันที่ 19 ก.ย.แต่เนื่องจากว่า วันที่ 19 ก.ย. เป็นวันครบรอบ 3 ปี ของการยึดอำนาจ แล้วถ้านับจากวันนี้ไปถึงวันเสาร์ที่ 19 ก.ย.ก็ถือว่าเป็นวันเสาร์ที่ 4 พอดี เมื่อครบ 4 เสาร์ เราจะปักหลักสู้ครับ คือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน”
“เราประกาศจุดยืนมาตลอดว่าเราไม่เลย 4 เสา เพราะฉะนั้น พอครบ 4 เสาร์เราจะปักหลักสู้ ช่วงนี้ก็ขอเชิญคุณอภิสิทธิ์หาความสำราญกับการขึงลวดหนามล้อมทำเนียบรัฐบาลตามสบาย ไม่มีปัญหา เราได้ส่งทีมงานไปสังเกตการณ์ทำเนียบรัฐบาลเวลานี้พบว่าขณะนี้ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้หมายถึงสถานที่ทำงานรัฐบาลแต่อย่างใด แต่สภาพปัจจุบันมีลวดหนามล้อมรอบ มีรถบดถนน มีกำลังทหารและมีอุปกรณ์กีดขวางมากมาย มันทำให้ทำเนียบรัฐบาลของประเทศไทยกลายเป็นค่ายกักกันผู้อพยพแล้วในเวลานี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิเพิ่มเติมด้วยว่า หากเลื่อนการชุมนุมไปวันที่ 5 ก.ย.แล้ว นายอภิสิทธิ์ยังจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ต้องรื้อลวดหนามออก รถบดก็ไม่ต้องเอาออก สัปดาห์หน้ารัฐบาลก็ทำงานในทำเนียบที่ล้อมลวดหนามอย่างนั้น ส่วน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ต้องยกเลิก เพราะจะมีการชุมนุมกันแน่ๆ เสาร์หน้า หรือเสาร์ที่ 12 หรือเสาร์ที่ 19 ก.ย.ก็ตาม ซึ่งยุทธวิธีการต่อสู้นี้ได้คิดกันอย่างละเอียดรอบคอบและนี่คือคำตอบสุดท้ายที่ตัดสินใจ ตนจึงอยากสื่อสารถึงนายอภิสิทธิ์ซึ่งได้เตรียมการสารพัดสารพันถึงขนาดให้นายพันใน กอรมน.จนถึงระดับพลทหารใส่เสื้อแดงเข้ามาปะปน เราไม่ได้วิตกกังวลตรงนั้นแต่ขอส่งความปรารถนาดีไปถึงนายอภิสิทธิ์ ด้วยรอยยิ้มนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นายณัฐวุฒิได้วางไมค์ลงแล้วหันหน้ายิ้มให้กล้องของสื่อมวลชนสร้างความชอบใจให้แก่บรรดากองเชียร์ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงส่งเสียงปรบมือโห่ฮาพอใจ โดยนายวีระ ได้ล้อว่า เขา (นายอภิสิทธิ์) ก็คงรู้สึกว่าเราก็ใกล้ๆ (บ้า) เข้าไปแล้วเหมือนกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่าคนไทยไม่มีอะไรที่ทำให้เห็นแล้วรู้สึกสังเวชหัวใจได้มากกว่าส่งรอยยิ้มและความปรารถนาดีให้หลังจากรอยยิ้มแล้ว สิ่งที่จะฝากถึงคุณอภิสิทธิ์ก็คือว่า รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มแห่งความรัก “รักนะเด็กโง่ เพราะได้ข่าวว่าไม่กี่วันก่อนมีคนชมว่ายังหนุ่มยังแน่นอยู่นะครับ” นายณัฐวุฒิกล่าวโดยสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนเสื้อแดงที่มารับฟังการแถลงข่าว
ด้านน.พ.เหวง โตจิราการ กล่าวว่า ตนมีคนที่รู้จักอยู่ใน กอรมน.เขาส่งข่าวมาบอกว่ามีความตั้งใจที่จะทำให้การชุมนุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.เกิดเรื่องราวรุนแรงขึ้นเพื่อเป็นเหตุให้รัฐบาลเข้าปราบปรามได้ ตนมีเพื่อนมีคนรู้จักใน กอรมน.อันนี้จึงเป็นเหตุให้พวกเรา นปช.แดงทั้งแผ่นดินได้เลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 ก.ย.ดังนั้น หากมีเหตุอันไม่พึงปรารถนาขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.ขอให้โปรดรับทราบไว้ด้วยว่าไม่ได้เกิดจาก นปช.แดงทั้งแผ่นดิน แต่เกิดจากกองกำลังติดอาวุธเถื่อนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ นั่นเอง
“และนี่มันเชื่อมโยงกับคลิปนะครับ ท่านต้องคิดสักนิดหนึ่งนะครับ อภิสิทธิ์ พยายามจะล่อให้คนไปอภิปรายในประเด็นตัดต่อแต่ยังไม่เคยเห็นเขามาพูดถึงเรื่องเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป ดังนั้นผมก็เลยสงสัย เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูเนี่ย ทำไมคดีอภินพ เครือสุขปิดคดีเร็วจัง แล้วคนหนุ่มๆ อย่างนั้นล้มฟาดชักโครกตายได้ง่ายขนาดนั้นเชียวรึ น่าสงสัยนะครับว่าอภินพไปล่วงรู้อะไรในห้องประชุมนั้นหรือเปล่า นอกจากนั้นยังมีรถที่บรรทุกปืนอาก้า เอ็ม16 โดยให้พวกเราจับได้ง่ายๆ ได้อย่างไร เมื่อย้อนหลังไปดูสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนี่แหละพยายามที่จะสร้างเงื่อนไขแห่งความรุนแรงขึ้นเพื่อปราบปรามเสื้อแดง ดังนั้นการที่เสื้อแดงตัดสินใจที่จะเลื่อนการชุมนุมไปวันที่ 5 จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง อยู่บนหลักการที่มีเหตุผล ได้ประโยชน์รู้ประมาณ และไม่ได้หยุดยั้งในการโรมรันฟันตูกับอมาตยาธิปไตยนะครับ เรายังยืนยันที่จะต่อสู้กับอมาตยธิปไตยต่อไปครับ” น.พ.เหวงกล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงสถานที่ชุมนุมว่า หากวันที่ 5 ก.ย.ไม่มีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็จะมีการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและขอส่งความปรารถนาดีให้คุณอภิสิทธิ์ด้วยรอยยิ้มอีกที จากนั้นนายณัฐวุฒิได้วางไมค์ลงแล้วยิ้มพร้อมทั้งพูดว่ารักนะเด็กโง่อีกครั้งเพื่อให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ ก่อนจบการแถลงข่าว
ภายหลังการแถลงข่าวผู้สื่อข่าวถามถึงการชุมนุมที่ถูกเลื่อนออกไปอย่างช้าสุดเป็นวันที่ 19 ก.ย.ว่าจะมีการรับรองความปลอดภัยของผู้ร่วมชุมนุมอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะเราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะสื่อสารว่าต่อไปนี้ประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจะไม่มีความปลอดภัยอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้ารัฐบาลสื่อสารออกมาแบบนั้นก็ต้องพูดกันใหม่ เพราะนี่เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่จะชุมนุมโดยสงบสันติปราศจากอาวุธได้อย่างปลอดภัย
"จตุพร" แฉคลิปเสียงนายกฯ มาจากห้องยุทธการ ให้เวลา "มาร์ค" 7 วันนำเทปฉบับเต็มออกมาดู
ด้านนายจตุพร กล่าวว่า พฤติกรรมและการกระทำของนายอภิสิทธิ์ตามสำนวนไทยเรียกว่าเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ถ้าให้สอดคล้องกับปัจจุบันคือปากประชาธิปไตยแต่ใจเผด็จการเพราะนายอภิสิทธิ์ ใช้กฎหมายที่ตัวเองเคยต่อต้านมาเองและบอกให้ประชาชนมาชุมนุมได้ แต่ที่จริงให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณไปนั่งประชุมแล้ววางแผนการจัดการปิดถนนทุกเส้นทางที่จะไปลานพระรูปและทำเนียบรัฐบาลเราจะให้นายกฯ ไร้เกียรติได้อีก 3 ครั้ง แต่เราจะไม่เลยไปจากเสาร์ที่ 4
นายจตุพร กล่าวว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์มาใส่ร้ายบริษัทเอสซีฯ และพรรคเพื่อไทย ว่าเป็นต้นตอการเผยแพร่คลิปเสียงนายกฯ ในการสั่งฆ่าประชาชนในการสั่งสร้างสถานการณ์ในเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ตนขอให้นายอภิสิทธิ์ เรียก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เข้ามาให้เอาเทปบันทึกการประชุมที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ภายหลังที่กลับมาจากกระทรวงมหาดไทย ภายหลังที่ไปเปลี่ยนรถออกมา นายอภิสิทธิ์ได้กลับมาแล้วไปประชุมที่ห้องยุทธการณ์ ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีการบันทึกเสียงเอาไว้ โดยนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้อธิบายว่าเสียงนี้ตัวเองไปพูดที่ไหน แต่ให้คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช บอกว่าพูดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ ก็เอามาแสดงว่าพูดตอนไหนอย่างไร แต่ที่ตนบอกว่า อยากให้นายอภิสิทธิ์เอาฉบับเต็มที่ประชุมในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ วิภาวดี ห้องยุทธการนั้น เพราะฉบับเต็มจะมีเสียงนายอภิสิทธิ์ ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารเรือไปทำอะไร รวมทั้งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปทำอะไร แล้วเหตุที่เสียงทหารเหล่านี้ถูกดูดหายไปเพราะคนที่เผยแพร่เป็นทหารที่เขาไม่พอใจที่นายอภิสิทธิ์จะไปเปลี่ยนแปลงเขาในตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้บัญชาหารทหารบกหรือตำแหน่งใดก็ตาม
“คุณอภิสิทธิ์ ลองทบทวนดูสิครับว่า การพูดในวันที่ 12 เม.ย.ซึ่งเป็นวันที่คุณอภิสิทธิ์ประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคุณอภิสิทธิ์ได้พูดอะไรกันไว้บ้าง เพราะเทปนี้มีการตัดมีการดูดเสียงอย่างแน่นอน เพราะคนที่เปิดเขาก็ไม่ต้องการให้ได้ยินเสียงของตัวเอง นอกจากนั้นถ้าเป็นคนต่างกรรมต่างวาระกัน เสียงจะไม่เนียนขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์พยายามจะไม่ตอบคำถามผมว่า ไปพูดอะไรในห้องยุทธการ ที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ถ้าเอาเทปฉบับเต็มซึ่งให้นายอภิสิทธิ์ไปเอามาจาก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหม
“คุณอภิสิทธิ์มีเวลาอีก 7 วันนะ ก่อนจะถึงวันที่ 5 ก.ย. ที่เราจะนัดชุมนุม ส่วนในโลกไซเบอร์นั้นจะมีการโหลดแถวไหน หรือจะส่งแถวไหนก็เป็นเรื่องปกติในโลกไซเบอร์แต่ต้นตอที่ผมชี้ให้คุณเห็นคือ มันออกมาจากห้องประชุมยุทธการ ทำไมคุณไม่ตอบละครับ ถ้าเป็นเรื่องจริงนะครับฉบับเต็ม คุณอภิสิทธิ์อย่าคิดเป็นนายกฯ เลยเพราะคิดเป็นคนยังไม่ได้เลย”
นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า ขอเรียกร้องให้บริษัท เอสซีฯ ฟ้องหมิ่นประมาท รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งตนกำลังจะไปคุยกับหัวหน้าพรรคให้เขาฟ้องหมิ่นประมาทเสียเพราะนั่นคือการใส่ร้าย ตนขอเรียนว่าการชุมนุมที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 ก.ย.หรือวันที่ 12 ก.ย.หรือโดยเฉพาะวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งจะไม่เลื่อนไปอีก ทั้งหมดจะฉายภาพให้โลกได้เห็นว่าประเทศนี้มีนายกรัฐมนตรีที่แย่ในระบอบประชาธิปไตยและแย่เรื่องสติปัญญาด้วย
(29 ส.ค.) ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ น.พ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ร่วมแถลงข่าวเลื่อนการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 30 ส.ค.นี้
นายวีระ กล่าวว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้แถลงข่าวอย่างน่าตื่นเต้นว่าทางกองทัพได้เตรียมการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่การเตรียมการไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้นก็ทำให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจได้แล้วเพราะว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ทั้ง 3 เหล่าทัพตั้งจุดตรวจและสายตรวจออกตระเวนดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ นอกจากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างพี่น้องประชาชนด้วยกัน ซึ่งตนขอให้ตั้งสังเกตคำนี้ที่แสดงว่าทางทหารมีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษก็ไม่ทราบถึงขนาดแถลงล่วงหน้าว่าประชาชนด้วยกันจะต้องปะทะกัน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตดุสิตซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ถูกใจกับการชุมนุม และผู้ที่ไม่ถูกใจคือทหารเป็นคนนำพูดเองว่าประชาชนจะต้องปะทะกันระหว่างผู้ที่เห็นด้วยกับเสื้อแดงและไม่เห็นด้วยกับเสื้อแดง
สถานการณ์โดยรวมตนจึงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลฝ่ายเดียวสร้างขึ้นทั้งสิ้น นอกจากนั้น พล.อ.สรรเสริญยังบอกว่าทหารไม่พกอาวุธปืนแต่หากสถานการณ์แรงขึ้นก็มีความจำเป็นก็ต้องใช้ปืนแต่เป็นปืนยิงกระสุนยาง ไม่รู้ว่าเป็นปืนยิงกระสุนยางแบบสงกรานต์เลือดหรือเปล่า ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บสาหัสแล้วลากไปเก็บในกรมทหาร ไม่มีการดูแลรักษาปล่อยให้เลือดไหล บังเอิญคนเสื้อแดงทรหด เลือดแดงถึงเช้าก็ไม่ตาย
“มาตรการและกำลังที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการเตรียมพร้อมที่ลงมือกระทำไปแล้ว ต้องบอกว่ารัฐบาลทำกันเอาจริงเอาจังแล้วทำกันอย่างที่เรียกว่าสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ร้ายแรงกว่า 3 จังหวัดภาคใต้ ใน 3 จังหวัดภาคใต้แท้ๆ ที่มีระเบิดทุกวันทหาร ตำรวจ ครูตายทุกวัน รัฐบาลยังไม่เอาจริงแบบนี้เลย ไม่มีใครเอาใจใส่ แต่คราวนี้ ทำยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นพวกเรา นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงประชุมและปรึกษากันเห็นว่าเมื่อรัฐบาลจะบ้าไปเช่นนี้แล้ว เราก็เห็นสมควรต้องปล่อยให้บ้าไปฝ่ายเดียว เราจะเลื่อนการชุมนุมของเราออกไป” นายวีระกล่าว
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า การตัดสินใจเลื่อนการชุมนุม ในวันที่ 30 ส.ค. ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินในวันนี้เป็นการประกาศยุทธวิธีในการต่อสู้โดยเราพิจารณาวงรอบของสถานการณ์แล้วจึงเลือกใช้ยุทธวิธีการต่อสู้ที่เรียกว่า “ปล่อยมาร์คบ้าไปคนเดียว” นี่คือยุทธวิธีการต่อสู้ที่ได้มีการประชุมและสรุปมติกันเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงเช้าก่อนแถลงข่าว เราไม่เห็นประโยชน์ของการไปช่วยแบ่งเบาทุเลาความเสียสติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เมื่อเห็นว่านายอภิสิทธิ์ได้ออกอาการถึงขนาดนี้ก็น่าจะปล่อยให้แสดงอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนกับว่า เราเห็นนายอภิสิทธิ์ เดินแก้ผ้า น้ำลายยืดอยู่กลางถนน คนเสื้อแดงไม่มีความจำเป็นต้องไปแก้ผ้าแข่งกัน แต่เราเห็นว่าเราควรจะนั่งอยู่ที่บ้านเพื่อดูคุณอภิสิทธิ์เดินน้ำลายยืดเปลื้องผ้าต่อไปอย่างน้อยสัก 4 วัน
“เราจะเลื่อนการชุมนุมจากวันเสาร์ที่ 30 ส.ค.ไปเป็นวันเสาร์หน้าคือวันเสาร์ที่ 5 ก.ย. เพราะ พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎหมายเผด็จการฉบับนี้ ถูกประกาศใช้แค่วันที่ 1 ก.ย. คำถามต่อมาก็คือว่าถ้าหากคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่หายบ้า ประกาศ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปวันที่ 5 ก.ย.อีกเราก็จะเลื่อนไปชุมนุมวันที่ 12 ก.ย. ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่ทุเลา อาการยังหนักอยู่และประกาศ พ.ร.บ.อีก เราก็จะเลื่อนไปวันที่ 19 ก.ย.แต่เนื่องจากว่า วันที่ 19 ก.ย. เป็นวันครบรอบ 3 ปี ของการยึดอำนาจ แล้วถ้านับจากวันนี้ไปถึงวันเสาร์ที่ 19 ก.ย.ก็ถือว่าเป็นวันเสาร์ที่ 4 พอดี เมื่อครบ 4 เสาร์ เราจะปักหลักสู้ครับ คือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน”
“เราประกาศจุดยืนมาตลอดว่าเราไม่เลย 4 เสา เพราะฉะนั้น พอครบ 4 เสาร์เราจะปักหลักสู้ ช่วงนี้ก็ขอเชิญคุณอภิสิทธิ์หาความสำราญกับการขึงลวดหนามล้อมทำเนียบรัฐบาลตามสบาย ไม่มีปัญหา เราได้ส่งทีมงานไปสังเกตการณ์ทำเนียบรัฐบาลเวลานี้พบว่าขณะนี้ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้หมายถึงสถานที่ทำงานรัฐบาลแต่อย่างใด แต่สภาพปัจจุบันมีลวดหนามล้อมรอบ มีรถบดถนน มีกำลังทหารและมีอุปกรณ์กีดขวางมากมาย มันทำให้ทำเนียบรัฐบาลของประเทศไทยกลายเป็นค่ายกักกันผู้อพยพแล้วในเวลานี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิเพิ่มเติมด้วยว่า หากเลื่อนการชุมนุมไปวันที่ 5 ก.ย.แล้ว นายอภิสิทธิ์ยังจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ต้องรื้อลวดหนามออก รถบดก็ไม่ต้องเอาออก สัปดาห์หน้ารัฐบาลก็ทำงานในทำเนียบที่ล้อมลวดหนามอย่างนั้น ส่วน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ต้องยกเลิก เพราะจะมีการชุมนุมกันแน่ๆ เสาร์หน้า หรือเสาร์ที่ 12 หรือเสาร์ที่ 19 ก.ย.ก็ตาม ซึ่งยุทธวิธีการต่อสู้นี้ได้คิดกันอย่างละเอียดรอบคอบและนี่คือคำตอบสุดท้ายที่ตัดสินใจ ตนจึงอยากสื่อสารถึงนายอภิสิทธิ์ซึ่งได้เตรียมการสารพัดสารพันถึงขนาดให้นายพันใน กอรมน.จนถึงระดับพลทหารใส่เสื้อแดงเข้ามาปะปน เราไม่ได้วิตกกังวลตรงนั้นแต่ขอส่งความปรารถนาดีไปถึงนายอภิสิทธิ์ ด้วยรอยยิ้มนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นายณัฐวุฒิได้วางไมค์ลงแล้วหันหน้ายิ้มให้กล้องของสื่อมวลชนสร้างความชอบใจให้แก่บรรดากองเชียร์ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงส่งเสียงปรบมือโห่ฮาพอใจ โดยนายวีระ ได้ล้อว่า เขา (นายอภิสิทธิ์) ก็คงรู้สึกว่าเราก็ใกล้ๆ (บ้า) เข้าไปแล้วเหมือนกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่าคนไทยไม่มีอะไรที่ทำให้เห็นแล้วรู้สึกสังเวชหัวใจได้มากกว่าส่งรอยยิ้มและความปรารถนาดีให้หลังจากรอยยิ้มแล้ว สิ่งที่จะฝากถึงคุณอภิสิทธิ์ก็คือว่า รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มแห่งความรัก “รักนะเด็กโง่ เพราะได้ข่าวว่าไม่กี่วันก่อนมีคนชมว่ายังหนุ่มยังแน่นอยู่นะครับ” นายณัฐวุฒิกล่าวโดยสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนเสื้อแดงที่มารับฟังการแถลงข่าว
ด้านน.พ.เหวง โตจิราการ กล่าวว่า ตนมีคนที่รู้จักอยู่ใน กอรมน.เขาส่งข่าวมาบอกว่ามีความตั้งใจที่จะทำให้การชุมนุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.เกิดเรื่องราวรุนแรงขึ้นเพื่อเป็นเหตุให้รัฐบาลเข้าปราบปรามได้ ตนมีเพื่อนมีคนรู้จักใน กอรมน.อันนี้จึงเป็นเหตุให้พวกเรา นปช.แดงทั้งแผ่นดินได้เลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 ก.ย.ดังนั้น หากมีเหตุอันไม่พึงปรารถนาขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.ขอให้โปรดรับทราบไว้ด้วยว่าไม่ได้เกิดจาก นปช.แดงทั้งแผ่นดิน แต่เกิดจากกองกำลังติดอาวุธเถื่อนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ นั่นเอง
“และนี่มันเชื่อมโยงกับคลิปนะครับ ท่านต้องคิดสักนิดหนึ่งนะครับ อภิสิทธิ์ พยายามจะล่อให้คนไปอภิปรายในประเด็นตัดต่อแต่ยังไม่เคยเห็นเขามาพูดถึงเรื่องเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป ดังนั้นผมก็เลยสงสัย เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูเนี่ย ทำไมคดีอภินพ เครือสุขปิดคดีเร็วจัง แล้วคนหนุ่มๆ อย่างนั้นล้มฟาดชักโครกตายได้ง่ายขนาดนั้นเชียวรึ น่าสงสัยนะครับว่าอภินพไปล่วงรู้อะไรในห้องประชุมนั้นหรือเปล่า นอกจากนั้นยังมีรถที่บรรทุกปืนอาก้า เอ็ม16 โดยให้พวกเราจับได้ง่ายๆ ได้อย่างไร เมื่อย้อนหลังไปดูสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนี่แหละพยายามที่จะสร้างเงื่อนไขแห่งความรุนแรงขึ้นเพื่อปราบปรามเสื้อแดง ดังนั้นการที่เสื้อแดงตัดสินใจที่จะเลื่อนการชุมนุมไปวันที่ 5 จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง อยู่บนหลักการที่มีเหตุผล ได้ประโยชน์รู้ประมาณ และไม่ได้หยุดยั้งในการโรมรันฟันตูกับอมาตยาธิปไตยนะครับ เรายังยืนยันที่จะต่อสู้กับอมาตยธิปไตยต่อไปครับ” น.พ.เหวงกล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงสถานที่ชุมนุมว่า หากวันที่ 5 ก.ย.ไม่มีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็จะมีการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและขอส่งความปรารถนาดีให้คุณอภิสิทธิ์ด้วยรอยยิ้มอีกที จากนั้นนายณัฐวุฒิได้วางไมค์ลงแล้วยิ้มพร้อมทั้งพูดว่ารักนะเด็กโง่อีกครั้งเพื่อให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ ก่อนจบการแถลงข่าว
ภายหลังการแถลงข่าวผู้สื่อข่าวถามถึงการชุมนุมที่ถูกเลื่อนออกไปอย่างช้าสุดเป็นวันที่ 19 ก.ย.ว่าจะมีการรับรองความปลอดภัยของผู้ร่วมชุมนุมอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะเราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะสื่อสารว่าต่อไปนี้ประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจะไม่มีความปลอดภัยอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้ารัฐบาลสื่อสารออกมาแบบนั้นก็ต้องพูดกันใหม่ เพราะนี่เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่จะชุมนุมโดยสงบสันติปราศจากอาวุธได้อย่างปลอดภัย
"จตุพร" แฉคลิปเสียงนายกฯ มาจากห้องยุทธการ ให้เวลา "มาร์ค" 7 วันนำเทปฉบับเต็มออกมาดู
ด้านนายจตุพร กล่าวว่า พฤติกรรมและการกระทำของนายอภิสิทธิ์ตามสำนวนไทยเรียกว่าเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ถ้าให้สอดคล้องกับปัจจุบันคือปากประชาธิปไตยแต่ใจเผด็จการเพราะนายอภิสิทธิ์ ใช้กฎหมายที่ตัวเองเคยต่อต้านมาเองและบอกให้ประชาชนมาชุมนุมได้ แต่ที่จริงให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณไปนั่งประชุมแล้ววางแผนการจัดการปิดถนนทุกเส้นทางที่จะไปลานพระรูปและทำเนียบรัฐบาลเราจะให้นายกฯ ไร้เกียรติได้อีก 3 ครั้ง แต่เราจะไม่เลยไปจากเสาร์ที่ 4
นายจตุพร กล่าวว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์มาใส่ร้ายบริษัทเอสซีฯ และพรรคเพื่อไทย ว่าเป็นต้นตอการเผยแพร่คลิปเสียงนายกฯ ในการสั่งฆ่าประชาชนในการสั่งสร้างสถานการณ์ในเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ตนขอให้นายอภิสิทธิ์ เรียก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เข้ามาให้เอาเทปบันทึกการประชุมที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ภายหลังที่กลับมาจากกระทรวงมหาดไทย ภายหลังที่ไปเปลี่ยนรถออกมา นายอภิสิทธิ์ได้กลับมาแล้วไปประชุมที่ห้องยุทธการณ์ ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีการบันทึกเสียงเอาไว้ โดยนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้อธิบายว่าเสียงนี้ตัวเองไปพูดที่ไหน แต่ให้คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช บอกว่าพูดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ ก็เอามาแสดงว่าพูดตอนไหนอย่างไร แต่ที่ตนบอกว่า อยากให้นายอภิสิทธิ์เอาฉบับเต็มที่ประชุมในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ วิภาวดี ห้องยุทธการนั้น เพราะฉบับเต็มจะมีเสียงนายอภิสิทธิ์ ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารเรือไปทำอะไร รวมทั้งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปทำอะไร แล้วเหตุที่เสียงทหารเหล่านี้ถูกดูดหายไปเพราะคนที่เผยแพร่เป็นทหารที่เขาไม่พอใจที่นายอภิสิทธิ์จะไปเปลี่ยนแปลงเขาในตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้บัญชาหารทหารบกหรือตำแหน่งใดก็ตาม
“คุณอภิสิทธิ์ ลองทบทวนดูสิครับว่า การพูดในวันที่ 12 เม.ย.ซึ่งเป็นวันที่คุณอภิสิทธิ์ประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคุณอภิสิทธิ์ได้พูดอะไรกันไว้บ้าง เพราะเทปนี้มีการตัดมีการดูดเสียงอย่างแน่นอน เพราะคนที่เปิดเขาก็ไม่ต้องการให้ได้ยินเสียงของตัวเอง นอกจากนั้นถ้าเป็นคนต่างกรรมต่างวาระกัน เสียงจะไม่เนียนขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์พยายามจะไม่ตอบคำถามผมว่า ไปพูดอะไรในห้องยุทธการ ที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ถ้าเอาเทปฉบับเต็มซึ่งให้นายอภิสิทธิ์ไปเอามาจาก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหม
“คุณอภิสิทธิ์มีเวลาอีก 7 วันนะ ก่อนจะถึงวันที่ 5 ก.ย. ที่เราจะนัดชุมนุม ส่วนในโลกไซเบอร์นั้นจะมีการโหลดแถวไหน หรือจะส่งแถวไหนก็เป็นเรื่องปกติในโลกไซเบอร์แต่ต้นตอที่ผมชี้ให้คุณเห็นคือ มันออกมาจากห้องประชุมยุทธการ ทำไมคุณไม่ตอบละครับ ถ้าเป็นเรื่องจริงนะครับฉบับเต็ม คุณอภิสิทธิ์อย่าคิดเป็นนายกฯ เลยเพราะคิดเป็นคนยังไม่ได้เลย”
นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า ขอเรียกร้องให้บริษัท เอสซีฯ ฟ้องหมิ่นประมาท รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งตนกำลังจะไปคุยกับหัวหน้าพรรคให้เขาฟ้องหมิ่นประมาทเสียเพราะนั่นคือการใส่ร้าย ตนขอเรียนว่าการชุมนุมที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 ก.ย.หรือวันที่ 12 ก.ย.หรือโดยเฉพาะวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งจะไม่เลื่อนไปอีก ทั้งหมดจะฉายภาพให้โลกได้เห็นว่าประเทศนี้มีนายกรัฐมนตรีที่แย่ในระบอบประชาธิปไตยและแย่เรื่องสติปัญญาด้วย
วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552
แกนนำเสื้อแดงแถลงเลื่อนการชุมนุมไปเป็น วันที่ 5 ก.ย.นี้
ที่มา MCOT News
กรุงเทพฯ 29 ส.ค. - ฝ่ายทหาร ตำรวจ วางกำลังเตรียมพร้อม หลัง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตพื้นที่ดุสิต มีผลบังคับใช้เป็นวันแรก แต่แล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงออกมาแถลงเลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 กันยายนนี้ และจะเลื่อนอีก หากยังใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน จะปักหลักสู้
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง แถลงเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลยังคงใช้การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เสื้อแดงก็จะเลื่อนการชุมนุมออกไปเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน ซึ่งครบรอบ 3 ปี ที่มีรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะปักหลักสู้ เพราะตอนนี้ไม่เห็นประโยชน์ที่จะชุมนุม และขอฝากรอยยิ้มให้นายกรัฐมนตรี
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” เกี่ยวกับการปฏิบัติของกองทัพ หลังจากที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศเลื่อนการชุมนุม ว่า ทหารจะยังคงปฏิบัติภารกิจตามข้อกำหนดพระราชบัญญัติความมั่นคง โดยจะดูแลความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่วนราชการสำคัญ ด้วยการตั้งจุดตรวจอาวุธ และวางกำลังดูแลทำเนียบรัฐบาลต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่ง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตดุสิต มีผลบังคับใช้ เจ้าหน้าที่ได้วางกำลังและเตรียมพร้อมรักษาความเรียบร้อยสถานที่ราชการสำคัญในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ทำเนียบรัฐบาลมีการนำรถบดถนนของ กทม.มาจอดขวางประตูทางเข้าออกนำรั้วลวดหนามมาขึงตลอดแนวกำแพง รวมทั้งวางแท่งคอนกรีตบนถนนบางจุดรอบทำเนียบรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด และติดตั้งเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่รอบทำเนียบรัฐบาลด้วย
และช่วงเช้าที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจ สนธิกำลังซักซ้อมแผนรับมือการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเน้นการรักษาฐานที่มั่นและการป้องกันตั้งรับ มีการใช้เพียงโล่ กระบอง และหมวกปราบจลาจลเท่านั้น ขณะเดียวกัน ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นตลอดถนนคู่ขนาน ถนนราชดำเนินนอก และราชดำเนินกลาง ซึ่งการซักซ้อมครั้งนี้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้เดินทางมาตรวจดูความพร้อมด้วย
และก่อนที่แกนนำเสื้อแดงส่วนกลางจะแถลงเลื่อนการชุมนุม มีความเคลื่อนไหวของแนวร่วมเสื้อแดงภาคใต้ที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยนางนิษิฏภัทร ณ นคร แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตยภาคใต้ เปิดเผยว่า ทางเครือข่ายคนเสื้อแดงในภาคใต้อย่างน้อย 10 จังหวัด จะทยอยเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ.
-สำนักข่าวไทย
กรุงเทพฯ 29 ส.ค. - ฝ่ายทหาร ตำรวจ วางกำลังเตรียมพร้อม หลัง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตพื้นที่ดุสิต มีผลบังคับใช้เป็นวันแรก แต่แล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงออกมาแถลงเลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 กันยายนนี้ และจะเลื่อนอีก หากยังใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน จะปักหลักสู้
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง แถลงเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลยังคงใช้การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เสื้อแดงก็จะเลื่อนการชุมนุมออกไปเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน ซึ่งครบรอบ 3 ปี ที่มีรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะปักหลักสู้ เพราะตอนนี้ไม่เห็นประโยชน์ที่จะชุมนุม และขอฝากรอยยิ้มให้นายกรัฐมนตรี
ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” เกี่ยวกับการปฏิบัติของกองทัพ หลังจากที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศเลื่อนการชุมนุม ว่า ทหารจะยังคงปฏิบัติภารกิจตามข้อกำหนดพระราชบัญญัติความมั่นคง โดยจะดูแลความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่วนราชการสำคัญ ด้วยการตั้งจุดตรวจอาวุธ และวางกำลังดูแลทำเนียบรัฐบาลต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่ง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตดุสิต มีผลบังคับใช้ เจ้าหน้าที่ได้วางกำลังและเตรียมพร้อมรักษาความเรียบร้อยสถานที่ราชการสำคัญในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ทำเนียบรัฐบาลมีการนำรถบดถนนของ กทม.มาจอดขวางประตูทางเข้าออกนำรั้วลวดหนามมาขึงตลอดแนวกำแพง รวมทั้งวางแท่งคอนกรีตบนถนนบางจุดรอบทำเนียบรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด และติดตั้งเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่รอบทำเนียบรัฐบาลด้วย
และช่วงเช้าที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจ สนธิกำลังซักซ้อมแผนรับมือการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเน้นการรักษาฐานที่มั่นและการป้องกันตั้งรับ มีการใช้เพียงโล่ กระบอง และหมวกปราบจลาจลเท่านั้น ขณะเดียวกัน ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นตลอดถนนคู่ขนาน ถนนราชดำเนินนอก และราชดำเนินกลาง ซึ่งการซักซ้อมครั้งนี้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้เดินทางมาตรวจดูความพร้อมด้วย
และก่อนที่แกนนำเสื้อแดงส่วนกลางจะแถลงเลื่อนการชุมนุม มีความเคลื่อนไหวของแนวร่วมเสื้อแดงภาคใต้ที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยนางนิษิฏภัทร ณ นคร แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตยภาคใต้ เปิดเผยว่า ทางเครือข่ายคนเสื้อแดงในภาคใต้อย่างน้อย 10 จังหวัด จะทยอยเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ.
-สำนักข่าวไทย
วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552
การต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมไทย
ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมไทยขณะนี้ นอกจากจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปสังคมไทยตามแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ กับกลุ่มแนวร่วมต่อต้านโลกาภิวัตน์แล้ว ยังมีมิติทางชนชั้นอันแหลมคมคือ
เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างชนชั้นล่างในเมืองและชนบทที่สนับสนุนผู้นำรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยกับชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการขับไล่ผู้นำรัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญ ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทประกอบด้วย
ประชาชนระดับรากหญ้าที่ตั้งแต่เกิดจนตายมีชีวิตยากจน ลำบากยากแค้น ไม่แน่นอน ไม่มีการศึกษา ขาดเงินทุน มีแต่หนี้สินและโรคภัยไข้เจ็บ ยาเสพติดในละแวกบ้าน อิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ การข่มเหงรังแกของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากผู้ใด ไม่มีปากมีเสียง ถูกละเลยผ่านพ้นรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย พวกเขามีข้อได้เปรียบเพียงประการเดียวคือ
มีจำนวนคนมากนับสิบล้านคนทั่วประเทศและระบบการเมืองที่พอจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีปากมีเสียงบ้างก็คือ ระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นระบอบที่ทุกคนมี "หนึ่งเสียงเท่ากัน" ไม่ว่ายากดีมีจน การศึกษาสูงหรือต่ำ และยังเป็นระบบเดียวที่ทำให้พวกเขาพอจะส่งอิทธิพลไปยังนักการเมืองได้บ้าง พวกเขาสนับสนุนผู้นำรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง
ก็เพราะนี่เป็นรัฐบาลแรกที่หยิบยื่นผลประโยชน์รูปธรรมเฉพาะหน้าให้กับพวกเขาได้จริงผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร หมู่บ้านเอสเอ็มแอล ขจัดปัญหายาเสพติด ลดอิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ แปลงหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ ฯลฯ ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองไม่เคยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดที่ชนชั้นล่างต้องประสบตลอดชีวิต ชนชั้นกลางมีเงิน การศึกษา ตำแหน่งงาน บ้าน รถยนต์ มีช่องทางเข้าถึงเงินทุนและเงินกู้ในระบบ เจ็บป่วยก็มีเงินรักษา ไม่มีปัญหายาเสพติดในละแวกบ้าน ไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจเถื่อนรังแก
ไม่ต้องพึ่งรัฐบาลและนักการเมืองท้องถิ่น พวกเขาจึงมองชนชั้นล่างอย่างดูถูกดูแคลน ว่า "ถูกซื้อ" โดยรัฐบาล พวกเขาต้องการโค่นล้มผู้นำรัฐบาลและเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งก็เพราะในระยะเวลา 5 ปีมานี้ พวกเขาได้สูญเสีย "สวรรค์ของอภิสิทธิ์ชน" ของตนไปเรื่อยๆ กลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาดระบบเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี กำลังสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปิดเสรีการค้าและ
การลงทุนของรัฐบาล พวกเขาจึงต้องโค่นล้มรัฐบาลเพื่อยุตินโยบายดังกล่าว และฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปสู่ระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ดังเดิม ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจต้องการขับไล่รัฐบาล เพราะสูญเสียประโยชน์และสถานภาพจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทมหาชน องค์กรพัฒนาเอกชนที่ต่อต้านทุนนิยมต้องการโค่นล้มรัฐบาล
เพราะปฏิเสธการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย ปฏิเสธการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องการฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปเป็นสังคมเกษตรกรรมหมู่บ้านบุพกาลตามลัทธิชุมชนอนาธิปไตยของพวกตน ข้าราชการเทคโนแครตไม่ต้องการรัฐบาลและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจ เกียรติภูมิและสถานภาพ
จากเดิมที่เป็นผู้บริหารประเทศตัวจริงและมีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรี นักการเมือง แต่วันนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนรับคำสั่งของนักการเมือง กลุ่มก๊วนการเมืองต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะทำให้พวกตนไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องผูกติดกับระบบพรรค
ไม่สามารถข่มขู่รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีให้แบ่งปันผลประโยชน์แก่พวกตนได้เหมือนในอดีต นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสแม้จะเกลียดชังความไม่โปร่งใสในทรัพย์สินของผู้นำรัฐบาล แต่ภูมิหลังคือ พวกเขาเป็นอนุรักษ์นิยม ไม่ต้องการโลกาภิวัฒน์ แล้วยังสูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อถือตลอด 5 ปีมานี้ เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่สนใจนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ให้คุณค่าความสำคัญแก่ราษฎรอาวุโส
อีกทั้งยังคอยกล่าวตอบโต้รุนแรงอยู่เสมอ นักวิชาการและราษฎรอาวุโสเหล่านี้ปากพูดว่า "ต้องการประชาธิปไตย" แต่วันนี้ กำลังเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ เอาระบบจารีตนิยมเข้ามากุมอำนาจรัฐ บางคนเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เอาเผด็จการทหารกลับคืนมา
ทั้งหมดนี้เพื่อโค่นล้มผู้นำรัฐาลเพียงคนเดียว ที่น่าสังเวชคือ นักวิชาการเหล่านี้บางคนปากอ้างมาตลอดชีวิตว่า เป็นทายาททางคุณธรรมของนายป๋วย อึ้งภากรณ์ แม้แต่อดีตฝ่ายซ้ายและนักต่อสู้กับเผด็จการทหารในอดีต มาวันนี้กลับขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อชีวิต วิงวอนร้องขอ "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ ฟื้นระบอบจารีตนิยม
แม้เฉพาะหน้าจะเป็นประเด็นความไม่โปร่งใสของผู้นำรัฐบาล แต่พื้นฐานความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้และผู้นำรัฐบาลทำให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองสูญเสียประโยชน์และสถานภาพอภิสิทธิ์ ทำให้ชนชั้นล่างทั้งในมืองและชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทัดเทียมกัน แม้คำขวัญเบื้องหน้าคือ "กู้ชาติ" "ปฏิรูปการเมือง" และชื่อกลุ่มลงท้ายด้วยคำว่า "เพื่อประชาธิปไตย"
แต่เนื้อแท้คือ ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งอำนาจให้กับชนชั้นล่างมากเกินไป และเปิดช่องให้มีการปฏิรูปทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ฉะนั้นวาระของพวกเขาจึงเป็นปฏิกิริยาและถอยหลังเข้าคลอง สิ่งที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองต้องการไม่ใช่ประชาธิปไตย ที่"หนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน" แต่เป็นระบอบคณาธิปไตยที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองมีอำนาจอภิสิทธิ์ และมีเสียงเหนือชนชั้นล่าง เป็น
ระบอบที่คนส่วนน้อยในเมืองจำนวนหนึ่งมีเสียงเหนือกว่า สามารถ "สั่ง" และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงข้างมากของประชาชนชั้นล่างนับสิบล้านคนได้ ประชาธิปไตยไทย จึงไม่มีวันเป็น "ประชาธิปไตย" ไปได้ เป็นได้แค่คณาธิปไตยจารีตนิยม
เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างชนชั้นล่างในเมืองและชนบทที่สนับสนุนผู้นำรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยกับชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการขับไล่ผู้นำรัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญ ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทประกอบด้วย
ประชาชนระดับรากหญ้าที่ตั้งแต่เกิดจนตายมีชีวิตยากจน ลำบากยากแค้น ไม่แน่นอน ไม่มีการศึกษา ขาดเงินทุน มีแต่หนี้สินและโรคภัยไข้เจ็บ ยาเสพติดในละแวกบ้าน อิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ การข่มเหงรังแกของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากผู้ใด ไม่มีปากมีเสียง ถูกละเลยผ่านพ้นรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย พวกเขามีข้อได้เปรียบเพียงประการเดียวคือ
มีจำนวนคนมากนับสิบล้านคนทั่วประเทศและระบบการเมืองที่พอจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีปากมีเสียงบ้างก็คือ ระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นระบอบที่ทุกคนมี "หนึ่งเสียงเท่ากัน" ไม่ว่ายากดีมีจน การศึกษาสูงหรือต่ำ และยังเป็นระบบเดียวที่ทำให้พวกเขาพอจะส่งอิทธิพลไปยังนักการเมืองได้บ้าง พวกเขาสนับสนุนผู้นำรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง
ก็เพราะนี่เป็นรัฐบาลแรกที่หยิบยื่นผลประโยชน์รูปธรรมเฉพาะหน้าให้กับพวกเขาได้จริงผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร หมู่บ้านเอสเอ็มแอล ขจัดปัญหายาเสพติด ลดอิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ แปลงหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ ฯลฯ ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองไม่เคยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดที่ชนชั้นล่างต้องประสบตลอดชีวิต ชนชั้นกลางมีเงิน การศึกษา ตำแหน่งงาน บ้าน รถยนต์ มีช่องทางเข้าถึงเงินทุนและเงินกู้ในระบบ เจ็บป่วยก็มีเงินรักษา ไม่มีปัญหายาเสพติดในละแวกบ้าน ไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจเถื่อนรังแก
ไม่ต้องพึ่งรัฐบาลและนักการเมืองท้องถิ่น พวกเขาจึงมองชนชั้นล่างอย่างดูถูกดูแคลน ว่า "ถูกซื้อ" โดยรัฐบาล พวกเขาต้องการโค่นล้มผู้นำรัฐบาลและเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งก็เพราะในระยะเวลา 5 ปีมานี้ พวกเขาได้สูญเสีย "สวรรค์ของอภิสิทธิ์ชน" ของตนไปเรื่อยๆ กลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาดระบบเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี กำลังสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปิดเสรีการค้าและ
การลงทุนของรัฐบาล พวกเขาจึงต้องโค่นล้มรัฐบาลเพื่อยุตินโยบายดังกล่าว และฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปสู่ระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ดังเดิม ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจต้องการขับไล่รัฐบาล เพราะสูญเสียประโยชน์และสถานภาพจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทมหาชน องค์กรพัฒนาเอกชนที่ต่อต้านทุนนิยมต้องการโค่นล้มรัฐบาล
เพราะปฏิเสธการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย ปฏิเสธการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องการฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปเป็นสังคมเกษตรกรรมหมู่บ้านบุพกาลตามลัทธิชุมชนอนาธิปไตยของพวกตน ข้าราชการเทคโนแครตไม่ต้องการรัฐบาลและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจ เกียรติภูมิและสถานภาพ
จากเดิมที่เป็นผู้บริหารประเทศตัวจริงและมีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรี นักการเมือง แต่วันนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนรับคำสั่งของนักการเมือง กลุ่มก๊วนการเมืองต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะทำให้พวกตนไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องผูกติดกับระบบพรรค
ไม่สามารถข่มขู่รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีให้แบ่งปันผลประโยชน์แก่พวกตนได้เหมือนในอดีต นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสแม้จะเกลียดชังความไม่โปร่งใสในทรัพย์สินของผู้นำรัฐบาล แต่ภูมิหลังคือ พวกเขาเป็นอนุรักษ์นิยม ไม่ต้องการโลกาภิวัฒน์ แล้วยังสูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อถือตลอด 5 ปีมานี้ เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่สนใจนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ให้คุณค่าความสำคัญแก่ราษฎรอาวุโส
อีกทั้งยังคอยกล่าวตอบโต้รุนแรงอยู่เสมอ นักวิชาการและราษฎรอาวุโสเหล่านี้ปากพูดว่า "ต้องการประชาธิปไตย" แต่วันนี้ กำลังเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ เอาระบบจารีตนิยมเข้ามากุมอำนาจรัฐ บางคนเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เอาเผด็จการทหารกลับคืนมา
ทั้งหมดนี้เพื่อโค่นล้มผู้นำรัฐาลเพียงคนเดียว ที่น่าสังเวชคือ นักวิชาการเหล่านี้บางคนปากอ้างมาตลอดชีวิตว่า เป็นทายาททางคุณธรรมของนายป๋วย อึ้งภากรณ์ แม้แต่อดีตฝ่ายซ้ายและนักต่อสู้กับเผด็จการทหารในอดีต มาวันนี้กลับขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อชีวิต วิงวอนร้องขอ "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ ฟื้นระบอบจารีตนิยม
แม้เฉพาะหน้าจะเป็นประเด็นความไม่โปร่งใสของผู้นำรัฐบาล แต่พื้นฐานความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้และผู้นำรัฐบาลทำให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองสูญเสียประโยชน์และสถานภาพอภิสิทธิ์ ทำให้ชนชั้นล่างทั้งในมืองและชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทัดเทียมกัน แม้คำขวัญเบื้องหน้าคือ "กู้ชาติ" "ปฏิรูปการเมือง" และชื่อกลุ่มลงท้ายด้วยคำว่า "เพื่อประชาธิปไตย"
แต่เนื้อแท้คือ ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งอำนาจให้กับชนชั้นล่างมากเกินไป และเปิดช่องให้มีการปฏิรูปทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ฉะนั้นวาระของพวกเขาจึงเป็นปฏิกิริยาและถอยหลังเข้าคลอง สิ่งที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองต้องการไม่ใช่ประชาธิปไตย ที่"หนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน" แต่เป็นระบอบคณาธิปไตยที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองมีอำนาจอภิสิทธิ์ และมีเสียงเหนือชนชั้นล่าง เป็น
ระบอบที่คนส่วนน้อยในเมืองจำนวนหนึ่งมีเสียงเหนือกว่า สามารถ "สั่ง" และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงข้างมากของประชาชนชั้นล่างนับสิบล้านคนได้ ประชาธิปไตยไทย จึงไม่มีวันเป็น "ประชาธิปไตย" ไปได้ เป็นได้แค่คณาธิปไตยจารีตนิยม
ศาลพิพากษา "จารุวรรณ"ย้าย ขรก.มิชอบ...

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ 40/2549 ฉบับลงวันที่ 10 มี.ค.2549 ที่แต่งตั้งนายอภิชัย ล้อไพบูลย์ทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นักบริหาร9) ในขณะนั้น ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 2 ระดับ 9 ในสายงานนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 9 เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่นายอภิชัยได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า การออกคำสั่งดังกล่าวของคุณหญิงจารุวรรณไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาจากความไม่พอใจเป็นการส่วนตัว ที่ตนเองไม่ยอมมีมติไม่ลงโทษทางวินัยข้าราชการผู้หนึ่ง ตามที่คุณหญิงจารุวรรณต้องการ ทำให้มีผลกระทบต่อสถานะและสิทธิอื่นๆ ที่ตนควรจะได้รับโดยชอบ รวมทั้งทำให้ตนได้รับเงินประจำตำแหน่งลดลง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นิติกร9) ตามโครงสร้างใหม่ มาตรฐานกำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นิติกร9) ไม่ได้กำหนดให้ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต้องผ่านการอบรมนักบริหารระดับสูงมาแล้ว หรือต้องผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าวภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตรวจสอบประวัติของนายชูวิทย์ นุชถาวร ผู้ร้องสอดในคดีนี้ ก็ไม่พบว่า ผ่านหลักสูตรการอบรมนักบริหารระดับสูงมาก่อน เช่นเดียวกับนายอภิชัย รวมทั้งยังไม่เคยบริหารงานในตำแหน่งผู้บริหารสำนักงานมาก่อนด้วย ข้ออ้างของคุณหญิงจารุวรรณที่ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากประวัติราชการ ความรู้ความสามารถในการทำงาน เห็นว่า นายชูวิทย์ นุชถาวร ผู้ร้องสอดในคดีนี้มีความเหมาะสมมากกว่าจึงฟังไม่ขึ้น
ประกอบกับยังปรากฎข้อเท็จจริงว่า ทั้งนายอภิชัยและนายชูวิทย์ได้รับแต่งตั้งในระดับ 9 พร้อมกัน ในโครงสร้างเดิมนายอภิชัยได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ1ขั้น เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2548 แสดงให้เห็นว่า นายอภิชัยมีผลการประเมินเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นักบริหาร9) ในระดับดีเด่น ข้ออ้างของคุณหญิงจารุวรรณที่ว่า นายชูวิทย์มีความรู้ความสามารถและอาวุโสที่เหมาะสม ที่จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย(นิติกร9) จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำได้
คุณหญิงจารุวรรณมีคำสั่งให้นายอภิชัยไปดำรงผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 2 ระดับ 9 ในสายงานนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 9 โดยไม่ยอมทำตามมติของคณะกรรมการพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งต่างๆตาม โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในใหม่ จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ทำให้พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ 40/2549 ลงวันที่ 10 มี.ค.2549 ในส่วนที่แต่งตั้งนายอภิชัยไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจเงินแผ่นดิน2 และคุณหญิงจารุวรรณมีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอภิชัยดำรงตำแหน่งอื่นที่เหมาะสม กับความรู้ความสามารถ ทั้งนี้ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการจัดคนลงตามโครงสร้างใหม่ ตามมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินในการประชุมครั้งที่4 /2549 ลงวันที่ 18ม.ค.2549 และมติของคณะกรรมการพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งต่างๆตามโครงสร้างการแบ่ง ส่วนราชการภายในใหม่มาประกอบพิจารณาการแต่งตั้งด้วย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่คดีถึงที่สุด
สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองเคยมีคำพิพากษาในคดีนางสาวสุมิตรา เนตรสว่าง อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน 8 กลุ่มงานตรวจสอบภายในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยื่นฟ้องสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ในข้อหาหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ ของรัฐออกคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง สตง.ที่ 40/2549 ลงวันที่ 10 มี.ค. 2549 เฉพาะส่วนที่แต่งตั้ง นางสาวสุมิตรา ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 8 สังกัดกลุ่มตรวจสอบการเงินที่ 2สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 1 (จ.พระนครศรีอยุธยา) และให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของ นางสาวสุมิตราได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ที่ส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร-กทม.) ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2549 จนเกษียณอายุราชการ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นิติกร9) ตามโครงสร้างใหม่ มาตรฐานกำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นิติกร9) ไม่ได้กำหนดให้ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต้องผ่านการอบรมนักบริหารระดับสูงมาแล้ว หรือต้องผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าวภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตรวจสอบประวัติของนายชูวิทย์ นุชถาวร ผู้ร้องสอดในคดีนี้ ก็ไม่พบว่า ผ่านหลักสูตรการอบรมนักบริหารระดับสูงมาก่อน เช่นเดียวกับนายอภิชัย รวมทั้งยังไม่เคยบริหารงานในตำแหน่งผู้บริหารสำนักงานมาก่อนด้วย ข้ออ้างของคุณหญิงจารุวรรณที่ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากประวัติราชการ ความรู้ความสามารถในการทำงาน เห็นว่า นายชูวิทย์ นุชถาวร ผู้ร้องสอดในคดีนี้มีความเหมาะสมมากกว่าจึงฟังไม่ขึ้น
ประกอบกับยังปรากฎข้อเท็จจริงว่า ทั้งนายอภิชัยและนายชูวิทย์ได้รับแต่งตั้งในระดับ 9 พร้อมกัน ในโครงสร้างเดิมนายอภิชัยได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ1ขั้น เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2548 แสดงให้เห็นว่า นายอภิชัยมีผลการประเมินเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นักบริหาร9) ในระดับดีเด่น ข้ออ้างของคุณหญิงจารุวรรณที่ว่า นายชูวิทย์มีความรู้ความสามารถและอาวุโสที่เหมาะสม ที่จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย(นิติกร9) จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำได้
คุณหญิงจารุวรรณมีคำสั่งให้นายอภิชัยไปดำรงผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 2 ระดับ 9 ในสายงานนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 9 โดยไม่ยอมทำตามมติของคณะกรรมการพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งต่างๆตาม โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในใหม่ จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ทำให้พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ 40/2549 ลงวันที่ 10 มี.ค.2549 ในส่วนที่แต่งตั้งนายอภิชัยไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจเงินแผ่นดิน2 และคุณหญิงจารุวรรณมีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอภิชัยดำรงตำแหน่งอื่นที่เหมาะสม กับความรู้ความสามารถ ทั้งนี้ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการจัดคนลงตามโครงสร้างใหม่ ตามมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินในการประชุมครั้งที่4 /2549 ลงวันที่ 18ม.ค.2549 และมติของคณะกรรมการพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งต่างๆตามโครงสร้างการแบ่ง ส่วนราชการภายในใหม่มาประกอบพิจารณาการแต่งตั้งด้วย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่คดีถึงที่สุด
สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองเคยมีคำพิพากษาในคดีนางสาวสุมิตรา เนตรสว่าง อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน 8 กลุ่มงานตรวจสอบภายในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยื่นฟ้องสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ในข้อหาหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ ของรัฐออกคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง สตง.ที่ 40/2549 ลงวันที่ 10 มี.ค. 2549 เฉพาะส่วนที่แต่งตั้ง นางสาวสุมิตรา ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 8 สังกัดกลุ่มตรวจสอบการเงินที่ 2สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 1 (จ.พระนครศรีอยุธยา) และให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของ นางสาวสุมิตราได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ที่ส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร-กทม.) ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2549 จนเกษียณอายุราชการ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)